Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ED-APHEIT 2018

ED-APHEIT 2018

Published by ED-APHEIT, 2019-04-05 09:41:45

Description: ED-APHEIT 2018

โครงการประชุมทางวิชาการและเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ :

สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
(สสอท.)

Search

Read the Text Version

องค์ประกอบการ Education Personalized ASCD APLUS+ William ความถี่ เรยี นร้เู ฉพาะบุคคล Elements Learning 5 Foundation การเกบ็ ข๎อมลู ผเ๎ู รยี น     เฉพาะบุคคล *เกณฑก๑ ารสงั เคราะห๑ ผ๎เู ขียนได๎กาหนดวาํ เลือกองคป๑ ระกอบท่ีมีความถต่ี ง้ั แตํ 3 ข้นึ ไป จากการสงั เคราะหส๑ รปุ ได๎วาํ องคป๑ ระกอบทผ่ี ๎ูเขยี นได๎กาหนดเกณฑโ๑ ดยเลือกองคป๑ ระกอบทม่ี ีความถี่ ตัง้ แตํ 3 ขน้ึ ไปพบวํา องคป๑ ระกอบในด๎านเรียนร๎เู ฉพาะบคุ คลประกอบดว๎ ย 1 เนือ้ หาและการเรียนการสอนท่ี ยดื หยํุน 2 การเรยี นการสอนเฉพาะบคุ คล 3 เนน๎ ผเู๎ รยี นเปน็ หลกั และ 4 การเกบ็ ข๎อมลู ผเ๎ู รยี นเฉพาะบุคคล การกากับตนเองในการเรยี นรู้ (Self-regulated Learning) แนวคดิ การเรียนร๎ูโดยการกากับตนเองที่เป็นทีก่ ลําวถงึ มากทส่ี ุดคอื แนวคดิ ของZimmerman(2000) ซง่ึ ไดใ๎ หค๎ วามหมายของการกากบั ตนเองในการเรียนรู๎ไว๎วํา เป็นกระบวนการบังคบั ตนเองของผ๎เู รียนและสร๎าง แรงจงู ใจเพอ่ื การเรียนร๎ูตามเปาู หมายโดยมีกระบวนการทาให๎บรรลุเปูาหมายโดยเร่ิมจากระยะการคดิ ลํวงหนา๎ (Forethought phase)และการควบคุมผลงาน(Performance control) ไปยงั การสะท๎อนตนเอง (Self- reflection) โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ในระยะการคิดลํวงหน๎า ผูเ๎ รยี นตอ๎ งตั้งเปาู หมายในการเรียน ผเ๎ู รยี นทส่ี ามารถกากับตนเองในการ เรยี นรู๎ได๎นน้ั จะมีความคาดหวงั ท่ีเป็นไปได๎ มีพน้ื ฐานอยูบํ นความเปน็ จริง ตงั้ เปาู หมายที่ชัดเจน มกี ารเจาะจงผล ท่ไี ด๎ และวางแผนทจ่ี ะทาให๎สาเรจ็ ในระยะนี้ ผเ๎ู รียนต๎องถามตัวเองวาํ ที่ไหนเป็นสถานท่ีทีด่ ที ส่ี ดุ สาหรบั ตนเอง ในการเรยี นรู๎ เงือ่ นไขอะไรทจ่ี ะสร๎างความทา๎ ทาย และจะเรม่ิ ต๎นอยาํ งไรดี 2. ในระยะที่สอง ระยะการควบคมุ ผลงาน เก่ยี วข๎องกับการกระทาตํางๆระหวาํ งการเรียนร๎ู ในระยะน้ี มกี ลยทุ ธท๑ เ่ี ฉพาะเจาะจง เชนํ การคุยกบั ตนเอง และการตรวจสอบตนเองเพ่อื เพม่ิ ความสาเร็จในการเรยี นร๎ู ใน ระยะนี้ ผเู๎ รยี นตอ๎ งถามตวั เองวาํ ทาตามแผนอยาํ งถกู ตอ๎ งหรอื ไมํ วอกแวกหรอื ไมํ กลยทุ ธอ๑ ะไรทส่ี ามารถใชเ๎ พื่อ ชํวยให๎งานสาเร็จ 3. ในระยะสดุ ทา๎ ยระยะการสะท๎อนตนเอง ผเ๎ู รยี นสะท๎อนตนเองในกจิ กรรมการเรยี นรู๎ของตนเอง ใน ระยะนี้ ผเ๎ู รยี นเปรียบเทียบผลกบั เปูาหมายทีต่ ง้ั ไว๎ ในระยะน้ี ผเ๎ู รยี นตอ๎ งถามตัวเองวํา ทาไดต๎ ามเปาู หมาย ทง้ั หมดหรือไมํ เงอ่ื นไขใดท่ชี วํ ยให๎ประสบความสาเร็จและเงอ่ื นไขใด ทที่ าให๎วอกแวก และ กลยุทธใ๑ ดมี ประสทิ ธิภาพทส่ี ุดในบรบิ ทและกจิ กรรมการเรยี นรูท๎ ก่ี าหนดในแผน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 200

แนวคดิ ของ Pintrich (2000)พัฒนาข้ึนมาจากแนวคิดของ Zimmerman ซ่งึ Pintrich ไดใ๎ ห๎ ความหมายของการกากบั ตนเองในการเรยี นรู๎ไว๎วําเปน็ กลวธิ ที ีเ่ ป็นตวั กลางในการควบคุมความคิดและแรงจงู ใจ กบั บรบิ ทในการเรียนร๎โู ดยมกี ระบวนการ 4 ระยะ คอื ระยะวางแผน(Planning) ระยะตรวจสอบ(Monitoring) ระยะควบคุม(Control) และระยะสะทอ๎ นตนเอง(Reflection) โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้ 1. ในระยะวางแผน ผเ๎ู รียนวางแผน ตงั้ เปูาหมาย และหาความรู๎ 2. ในระยะตรวจสอบ ผเ๎ู รียนมีการวเิ คราะหภ๑ าระงานและ มกี ารตรวจสอบความรค๎ู วามเขา๎ ใจของ ตนเอง 3. ในระยะควบคมุ ผูเ๎ รียนเลือกกลยทุ ธใ๑ นการไปสํเู ปูาหมาย และควบคุมตนเองให๎ทาตามแผนที่วางไว๎ 4. ในระยะสะท๎อนตนเอง ผเ๎ู รียนตดั สนิ วําผลท่ไี ด๎เปน็ ไปตามแผนหรอื ไมํ มีการสะท๎อนตนเองเพ่ือ พัฒนาปรับปรงุ Winne (2001) กลาํ วถงึ การกากับตนเองในการเรียนรใ๎ู นแนวคิด Information Processing Theory วํามี 4 ระยะ คือความเขา๎ ใจในงาน การต้ังเปูาหมายและการวางแผนวธิ กี ารทจ่ี ะบรรลเุ ปาู หมาย การตง้ั กลยทุ ธ๑ และ การปรบั ตัวเขา๎ กับการเรยี น 1. ระยะความเขา๎ ใจในงาน ผเ๎ู รียนทาความเขา๎ ใจในงานจากข๎อมูลทมี่ แี ละข๎อมลู จากความรู๎และ ประสบการณ๑เกาํ 2. ระยะการตง้ั เปูาหมายและการวางแผนวธิ ีการทจี่ ะบรรลเุ ปาู หมาย ผเู๎ รียนตง้ั เปูาหมาย วางแผน 3. ระยะการตง้ั กลยุทธ๑ ผ๎เู รียนเลอื กใช๎กลยทุ ธในการไปสเํู ปาู หมายท่ีวางไว๎ 4. การปรบั ตวั เข๎ากับการเรียน ผเ๎ู รยี นตรวจสอบวํากลยุทธทใ่ี ชไ๎ ปสเํู ปูาหมายไดห๎ รือไมํ ต๎องหาความรู๎ อะไรเพม่ิ หรือไมํ เพอ่ื พัฒนาให๎เกดิ การเรยี นรทู๎ ีด่ ขี น้ึ Paris (Paris, 2001) กลาํ ววํา การกากบั ตนเองในการเรียนร๎ู หมายถึงผู๎เรียนรับผิดชอบตํอการศึกษา และการเรียนรดู๎ ๎วยตนเอง ซ่งึ การกากบั ตนเองในการเรยี นรู๎ ประกอบดว๎ ย 3 ระยะดังน้ี 1.การตระหนักถงึ การคิด (Awareness of thinking) ในการกากับตนเองในการเรียนรู๎ การตระหนัก ตํอการคิด ชวํ ยให๎ผเ๎ู รยี นเขา๎ ใจตนเอง ตงั้ เปูาหมายและวางแผนอยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 2.การใชก๎ ลยุทธ๑ (Use of strategies) เมื่อผเู๎ รยี นวางแผนในขั้นตอนแรกแล๎ว ก็หาทางไปสํูเปูาหมาย ด๎วยการหากลยุทธ๑ท่ีเหมาะสม โดยการพิจารณาทางเลือกตํางๆกํอนท่ีจะเลือกทางที่เหมาะที่สุดและลงมือ ปฎบิ ัติตามที่วางไว๎ 3. การคงแรงจูงใจ (Sustained motivation) ในการกากับตนเองในการเรียนร๎ู ผู๎เรียนต๎องพยายาม สรา๎ งแรงจงู ใจให๎ตนเองอยูํเสมอ เน่อื งจากไมมํ ใี ครมาบังคับเรา จงึ ตอ๎ งอาศัยความมีวนิ ยั จากความหมายท่ีนักวิชาการได๎กลําวมา ผ๎ูเขียนสรุปได๎วํา การกากับตนเองในการเรียนร๎ู หมายถึง ผ๎ูเรยี นมกี ารบงั คับตนเอง มีแรงจูงใจในการหาความร๎แู ละทักษะตําง ๆ ตามเปาู หมายทีต่ ัง้ ไว๎ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 201

จากการศกึ ษางานวจิ ัยและตาราทางวชิ าการของตํางประเทศโดยผ๎ูเขียนไดน๎ ามาสงั เคราะห๑แนวคดิ ข๎างต๎น ไดข๎ ั้นตอนการกากับตนเองในการเรียนรูต๎ ามตารางสงั เคราะหด๑ งั นี้ ตารางท1ี่ .2 ตารางสงั เคราะหข๑ ้นั ตอนการกากบั ตนเองในการเรียนรู๎ ขนั้ ตอนการ Zimmerman Pintrich Winne Paris ความถ่ี กากับตนเองใน (2000) (2000) (2001) (2001) 4 2 การเรียนรู้ 3 การวางแผน   / 1 3 การต้ังกลยทุ ธ๑ // การตรวจสอบ / // ควบคุมผลงาน การคงแรงจงู ใจ / การสะทอ๎ น   ตนเอง *เกณฑก๑ ารสงั เคราะห๑ ผเ๎ู ขียนได๎กาหนดวาํ เลือกองคป๑ ระกอบท่มี ีความถี่ต้งั แตํ 3 ขน้ึ ไป จากการสงั เคราะหส๑ รปุ ได๎วาํ องคป๑ ระกอบทผี่ ๎เู ขยี นไดก๎ าหนดเกณฑ๑โดยเลอื กองค๑ประกอบทมี่ ีความถี่ ต้งั แตํ 3 ขึน้ ไปพบวํา ขัน้ ตอนในดา๎ นแนวคดิ การกากับตนเองในการเรียนรูป๎ ระกอบด๎วย 1. การวางแผน 2. การ ตรวจสอบควบคุมผลงาน 3. การสะทอ๎ นตนเอง การเรยี นรเู้ ฉพาะบุคคล (Personalized Learning) ในมุมมองของผเู้ รียน การเรยี นรูเ๎ ฉพาะบุคคล (Personalized Learning) คอื การเรยี นตามความต๎องการของผ๎ูเรียนแตํละ คน กาเรียนในหอ๎ งเรียนอาจแตกตาํ งจากห๎องเรียนในป๓จจุบัน หรือในสมยั ทพ่ี ํอแมเํ ราเคยเรยี นมา แตํผู๎เรียนจะ ปรบั ตัวเขา๎ กับการเรยี นแบบใหมไํ ด๎ไมํยาก จะสนุกขึน้ เพราะได๎เรยี นตามความตอ๎ งการสํวนบคุ คล โรงเรียนสํวน มาท่เี ปลย่ี นแนวการจัดการเรยี นการสอนมาเปน็ การเรียนรู๎เฉพาะบุคคล (Personalized Learning) สํวนใหญํ เปน็ เพราะความคดิ เห็นของผู๎เรยี น ผูป๎ กครองและชุมชนท่ีมีตํอการเรียนในรูปแบบเดิม ยิ่งมีการจั ดการเรียนร๎ู แบบน้ีเพ่ิมมากข้ึน ย่ิงเห็นวําผ๎ูเรียนได๎ประโยชน๑สูงสุดจากการเปล่ียนแปลงนี้ ( Friend, B., Patrick, S., Schneider, C., & Vander Ark, T., 2017) ข๎อดีของการเรียนรูเ๎ ฉพาะบคุ คลในมมุ มองของผูเ๎ รียน มดี งั น้ี 1. ผเ๎ู รยี นสามารถแสดงความคิดเหน็ ในการเรียนของตนเองได๎ 2. ความตอ๎ งการของแตลํ ะคนได๎รบั การตอบสนอง ผเ๎ู รียนทุกคนจงึ ประสบความสาเร็จ 3. ผเู๎ รยี นมคี วามเขา๎ ใจในเปาู หมายการเรยี นร๎ูของตนเอง และรว๎ู ธิ กี ารท่ีจะไปถงึ เปูาหมายน้นั 4. ผ๎ูเรยี นสามารถเลือกวธิ กี ารเรยี นรขู๎ องตนเองได๎ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 202

5. ผูเ๎ รยี นไดร๎ บั การสนบั สนุนที่ตอ๎ งการในการเรียนรูส๎ ง่ิ ทที่ ๎าทาย 6. ผ๎เู รยี นไดร๎ บั กาลงั ใจและการสนับสนนุ ในการก๎าวไปข๎างหน๎าเม่อื พร๎อม อนั ท่ีจรงิ ส่ิงทผ่ี เ๎ู รยี นตอ๎ งการจากโรงเรยี นไดเ๎ ปล่ียนแปลงไป ผเ๎ู รยี นเพียงแคตํ ๎องการไดร๎ บั แรงบันดาลใจ สรา๎ งแรงจูงใจ และมีสวํ นรํวม ผูเ๎ รยี นต๎องการเรยี นรูส๎ ง่ิ ใหมํ เรียนส่ิงทที่ า๎ ทายความสามารถ และทาส่งิ ท่ีแตกตําง กันไป แตํถ๎าผู๎สอนยังทาหน๎าที่สอนให๎จา สอนทุกคนเหมือนกันโดยไมํคานึงถึงสิ่งท่ีแตํละคนถนัดและสนใจ ผเ๎ู รยี นจะไมสํ นใจเรียนรู๎ ดังนนั้ ผูส๎ อนจึงมหี นา๎ ที่ใหท๎ ักษะในการคิด ความรับผิดชอบในการเรยี นของตนเอง และ สร๎างนิสัยรกั การเรียนรูใ๎ ห๎ผ๎ูเรยี น การเรียนร๎ูเฉพาะบุคคล มํุงเน๎นที่ความต๎องการของผู๎เรียนแตํละคน การจัดการเรียนการสอนต๎อง ออกแบบใหเ๎ หมาะกับความถนดั และเปูาหมายการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียนแตํละคน การเรียนการสอนมีรูปแบบท่ี หลากหลาย มีกจิ กรรมทีห่ ลากหลาย และมกี ารประเมนิ ผลพัฒนาการของผู๎เรียนจากผ๎ูสอนและผู๎เรียน ผ๎ูสอน สามารถจดั การเรียนการสอนใหเ๎ หมาะกับผูเ๎ รยี นแตลํ ะคนอาศยั เทคโนโลยเี ป็นตวั ชํวย การเรยี นรูเ้ ฉพาะบคุ คล (Personalized Learning) ในมุมมองของผู้สอน ผ๎ูสอนทีด่ มี คี วามพยายามทีจ่ ะจัดการเรียนการสอนใหส๎ อดคลอ๎ งกบั ความต๎องการเฉพาะของผู๎เรียนแตํ ละคน โดยให๎ทางเลือกในการคน๎ ควา๎ หาความร๎เู ชงิ ลึกผํานงานและกิจกรรมสาหรับผ๎ูเรียนที่เรียนรู๎เร็ว หรือ ให๎ การสนับสนุนหรือให๎งานเพ่ิมเติมสาหรับผ๎ูเรียนที่มีป๓ญหา แตํการทาแบบน้ีในห๎องเรียนท่ีมีผู๎เรียนมากถึง 30 กวาํ คนเปน็ เรือ่ งทีเ่ ปน็ ไปได๎ยาก จึงต๎องอาศัยเทคโนโลยีเข๎ามาชํวย ทาให๎ผ๎ูสอนสามารถจัดการเรียนร๎ูเฉพาะ บคุ คลได๎ ผ๎สู อนร๎สู กึ วําในการจัดการเรียนการสอนแบบเฉพาะบุคคล ทาใหผ๎ สู๎ อนสามารถนาความรู๎ไปใช๎ให๎เกิด ประโยชนส๑ ูงสุดกับผ๎ูเรยี น ผู๎สอนมคี ณุ คาํ และได๎รับการเคารพ ผ๎ูสอนได๎กลับไปสัมผัสความรู๎สึกและเหตุผลใน การมาเปน็ ผ๎สู อนอีกครั้ง ขอ๎ ดขี องการเรียนร๎ูเฉพาะบคุ คลในมมุ มองของผ๎สู อน มดี ังนี้ 1. ผส๎ู อนมีความสมั พนั ธ๑ทแ่ี นนํ แฟูนกบั ผู๎เรยี น เพราะไดใ๎ ช๎เวลาในการเรียนร๎ูกันมากข้ึนเพื่อทาความร๎ูจั ก ตัวตนผเู๎ รียน มองหาความถนดั จดุ มงุํ หมายและความสนใจของผู๎เรียน 2. ผ๎สู อนมุํงเนน๎ การทาวจิ ัยเก่ยี วกับวธิ กี ารทผ่ี เู๎ รยี นเรยี นร๎ูได๎ดที ี่สุด 3. ผู๎สอนใชเ๎ วลาในการส่ือสารและรวํ มมือกบั ผเ๎ู รยี นตัวตํอตัวมากข้ึน ถามคาถามและทดลองวําวิธีการใด ใชไ๎ ดผ๎ ล 4. ผส๎ู อนต๎องมคี วามคิดสร๎างสรรคใ๑ นการออกแบบหลักสตู รและการจดั การเรียนการสอน 5. ผูส๎ อนใชเ๎ วลาในการทางานตัวตอํ ตวั และเปน็ กลุํมเลก็ ๆกับผเ๎ู รยี นมากข้ึน 6. ผู๎สอนใช๎เวลาน๎อยลงในการเตรียมตัวผู๎เรียนสาหรับการสอบมาตรฐาน และใช๎เวลามากขึ้นในการ แนะนาและเปน็ ทีป่ รึกษาให๎ผู๎เรียนในการเรียน 7. ผู๎สอนชํวยเหลือผู๎เรียนใหเ๎ ขา๎ ใจตนเองมากข้นึ และเขา๎ ใจเปูาหมายในอนาคตของตนเอง 8. ผ๎ูสอนมีโอกาสในการพัฒนาทักษะของตนเองในการเป็นผ๎ูสอนที่ดี และการทางานรํวมกันระหวําง ผ๎ูสอนดว๎ ยกันเพื่อแบํงป๓นความรต๎ู าํ งๆ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 203

การเรียนรู้เฉพาะบคุ คล (Personalized Learning) ในมุมมองของครอบครัว การเรียนร๎เู ฉพาะบคุ คล เน๎นความตอ๎ งการของผเ๎ู รยี นเป็นหลัก ซ่ึงแตํละคนมีแตกตํางกันออกไป จึงมี การดึงผ๎ูปกครองและชุมชนเข๎ามามสี ํวนรวํ มชวํ ยเหลอื สนบั สนุนเพ่อื ให๎เกิดผลดกี ับผเ๎ู รยี น ข๎อดขี องการเรยี นรู๎เฉพาะบคุ คลในมุมมองของครอบครัวและชุมชน 1. ความต๎องการเฉพาะบุคคลของผ๎เู รียนแตลํ ะคนได๎รับการสนใจจากผสู๎ อน 2. ครอบครัวกับผู๎สอนมีความเข๎าใจรวํ มกนั ในเปาู หมายการเรียนร๎ูของผู๎เรียน และทางานรํวมกันในการ หาวธิ กี ารทีด่ ที ีส่ ดุ เพือ่ ไปสํูเปูาหมาย 3. การเรยี นรเ๎ู ฉพาะบุคคลทาให๎เกดิ ความร๎ใู หมดํ า๎ นการศึกษา โอกาสในการเรียนรู๎ และวิธีการใหมใํ นการ ใช๎ความรู๎ทีผ่ เ๎ู รียนไดเ๎ รยี นในโลกยุคใหมํ 4. ครอบครวั ร๎ูรายละเอียดวาํ ลกู ของตนเองเรียนอะไร อยํางไร ไมํใชํแคํรอดูจากคะแนนสอบ ซ่ึงชํวยให๎ ครอบครัวสามารถสนบั สนนุ และชํวยเหลอื ลกู ที่บา๎ นได๎ดขี ึ้น 5. ผ๎ูเรยี นสามารถเรยี นรูใ๎ นจงั หวะความเร็วทเ่ี หมาะสมกบั ตนเอง การเรยี นและกิจกรรมตํางๆถูกออกแบบ ให๎เหมาะกบั แตลํ ะบุคคล 6. ครอบครัวมโี อกาสในการชํวยผ๎ูสอนให๎เข๎าใจผู๎เรียนมากขึ้น โดยการแบํงป๓นข๎อมูลวําลูกชอบอะไร มี ความถนัดด๎านไหน ไมํถนัดด๎านไหน มีเปาู หมายอะไร มีความสนใจด๎านไหนบ๎าง 7. ครอบครวั มโี อกาสสรา๎ งความสัมพนั ธ๑ทด่ี กี ับผู๎สอนและผบ๎ู ริหารโรงเรยี น ผู๎ปกครองท่ีดี ตอ๎ งเข๎ามามีสํวนรํวม ให๎ข๎อมูลกบั โรงเรียน ตงั้ ใจและมุํงมั่นในการทาเพื่อความต๎องการของ ผู๎เรียนอยาํ งแท๎จรงิ และเป็นแรงบันดาลใจให๎ลกู คอยสนบั สนุนและชํวยเหลือเมือ่ ลกู ต๎องการ สรปุ ผลการวิจยั การเรียนรู๎เฉพาะบุคคล มีองคป๑ ระกอบสาคัญดงั นี้ 1. เน้ือหาและการเรยี นการสอนท่ียืดหยํุน 2. การ เรียนการสอนเฉพาะบุคคล 3. เน๎นผ๎ูเรียนเป็นหลัก 4. การเก็บข๎อมูลผ๎ูเรียนเฉพาะบุคคล การเรียนร๎ูเฉพาะ บคุ คลจะชวํ ยให๎การศกึ ษาเปน็ ไปในทางท่ดี ขี น้ึ ผ๎เู รยี นไดเ๎ รียนรู๎ในส่ิงที่ถนัดและสนใจ ได๎รู๎จักตนเอง รู๎จักสร๎าง เปาู หมายและหาวิธกี ารไปสเํู ปาู หมายนัน้ มรี ะบบการคิดที่ดี สามารถสร๎างนวัตกรรมหรือความรใู๎ หมํๆในอนาคต ได๎ และสํงเสริมใหผ๎ ๎เู รียนมีการกากบั ตนเองในการเรยี นร๎จู ะชํวยใหก๎ ารเรียนรเู๎ ฉพาะบุคคลมีประสิทธิภาพมาก ยงิ่ ขึน้ ผ๎เู รยี นสามารถเรียนรูไ๎ ด๎ดขี ึ้นด๎วยตนเอง และสามารถเรียนรู๎ในส่ิงท่ีตนเองสนใจและถนัดได๎มากข้ึน ซึ่ง การกากับตนเองในการเรียนรู๎มี 3 ระยะดังนี้ 1. การวางแผน (Planning phase) 2. การควบคุมผลงาน (Performance control) 3. การสะท๎อนตนเอง (Self-reflection) อภิปรายผล ผลการวิจัยด๎านการเรียนรู๎เฉพาะบุคคล สอดคล๎องกับงานวิจัยของ Demetrios Sampson and Charalampos Karagiannidis, Kinshuk (2002) ทาวิจัยเรื่อง Personalized learning : Educational, technological and standardization perspective ท่ีพบวํา เนื้อหาและการเรียนการสอนท่ียืดหยํุน การ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 204

สื่อสารระหวาํ งผู๎สอนและผ๎เู รยี น และการเรียนการสอนเฉพาะบุคคล เป็นองค๑ประกอบสาคัญของการเรียนรู๎ เฉพาะบคุ คล และสอดคล๎องกับงานวิจยั ของ Ikumi Courcier (2007) ทาวิจัยเร่ือง Teacher’s perceptions of personalized learning ท่ีพบวํา การประเมินผลการเรียนเฉพาะบุคคล การจัดการเรียนการสอนท่ีมี ประสิทธผิ ล อิสระในการเลอื กเรียน โครงสรา๎ งของโรงเรียน และการมีสํวนรํวมของทุกฝุาย เป็นองค๑ประกอบ สาคัญของการเรียนรู๎เฉพาะบุคคล และสอดคล๎องกับงานวิจัยของ Judy Sebba, Nick Brown, Susan Steward, Maurice Galton, Mary James (2007) ทาวิจัยเรื่อง An investigation of personalized learning approaches used by schools ที่พบวํา การประเมินผลการเรียนเฉพาะบุคคล การจัดการเรียน การสอนท่ีมปี ระสิทธิผล อสิ ระในการเลือกเรียน โครงสร๎างของโรงเรียน และการมีสํวนรํวมของทุกฝุาย เป็น องค๑ประกอบสาคัญของการเรียนรเู๎ ฉพาะบคุ คล และสอดคล๎องกบั งานวิจัยของ Catherine McLoughlin and Mark J. W. Lee (2010) ทาวิจัยเร่ือง Personalized and self-regulated learning in the web 2.0 era: International exemplars of innovative pedagogy using social software ท่ีพบวํา เนื้อหาและการ เรียนการสอนท่ีหลากหลาย เน๎นผู๎เรียนเป็นหลัก และ การสะท๎อนข๎อมูลให๎ผู๎เรียนเฉพาะบุคคล เป็น องค๑ประกอบสาคัญของการเรียนรู๎เฉพาะบุคคล และสอดคล๎องกับงานวิจัยของ Che Ku Naraini Che Ku Mohd, Faaizah Shahbodin, and Naim Che Pee (2014) ทาวิจัยเรื่อง Personalized learning environment (PLE) experience in the 21st century : Review of literature ที่พบวํา เนื้อหาและการ เรียนการสอนที่ยืดหยํุน อิสระในการเลือกเรียน ความรํวมมือของทุกฝุายและ เน๎นผ๎ูเรียนเป็นหลัก เป็น องค๑ประกอบสาคญั ของการเรียนรเู๎ ฉพาะบคุ คล และสอดคล๎องกบั งานวจิ ยั ของ Rich Halverson, Al Barnicle, Sarah Hackett, Tanushree Rawat, Julia Rutledge, Julie Kallio, Curt Mould, and Janice Mertes. (2015) ทาวิจยั เรอ่ื ง Personalization in Practice: Observations from the Field ที่พบวํา เนอื้ หาและการ เรยี นการสอนท่ียดื หยนุํ และ การเก็บข๎อมูลผู๎เรียนเฉพาะบุคคล เป็นองค๑ประกอบที่สาคัญที่ทาให๎การเรียนร๎ู เฉพาะบคุ คลมปี ระสทิ ธผิ ลและประสทิ ธิภาพ ผลการวิจัยด๎านการกากับตนเองในการเรียนรู๎ สอดคล๎องกับงานวิจัยของ Catherine McLoughlin and Mark J. W. Lee (2010) ทาวิจัยเร่ือง Personalized and self-regulated learning in the web 2.0 era: International exemplars of innovative pedagogy using social software ท่ีพบวํา การวางแผน การควบคมุ ผลงาน เป็นข้ันตอนที่สาคัญของการกากบั ตนเองในการเรียนรู๎ และสอดคลอ๎ งกับงานวิจัยของ Che Ku Naraini Che Ku Mohd, Faaizah Shahbodin, and Naim Che Pee (2014) ทาวิจัยเรื่อง Personalized learning environment (PLE) experience in the 21st century : Review of literature ทพ่ี บวํา การคิดลํวงหนา๎ การควบคุมผลงาน และการสะท๎อนตนเอง เป็นขั้นตอนสาคัญในการเสริมสร๎างการ กากับตนเองในการเรียนรู๎ โรงเรียนจึงควรนาแนวคิดการเรียนรู๎เฉพาะบุคคลและการกากับตนเองในการเรียนรู๎ไปปรับใช๎ โดย ผบ๎ู ริหารต๎องสนับสนุนผ๎ูสอนให๎มีอิสระในการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับผ๎ูเรียนแตํละคน โดยผ๎ูสอนให๎ ผูเ๎ รยี นไดเ๎ ข๎าใจความตอ๎ งการของตนเอง ออกแบบการเรียนร๎ทู ผี่ ู๎เรียนเลือกได๎วําท่ีไหน เม่ือไร อยํางไร และให๎ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 205

การสนับสนนุ ใหก๎ าลังใจเพื่อให๎ผเู๎ รียนไดพ๎ ฒั นาตนเองอยํางเตม็ ศักยภาพ นอกจากนช้ี ุมชนควรเข๎ามามีบทบาท และมีสํวนรวํ มวําจะทาอยํางไรใหผ๎ เ๎ู รยี นทเ่ี รียนจบมที กั ษะ มคี วามสามารถในการทางานอยํางมปี ระสทิ ธิผล สา มารสรา๎ งสง่ิ ดีๆให๎สังคมไดอ๎ ยาํ งมคี วามสขุ นอกจากน้ีผ๎ปู กครองและชมุ ชนเข๎ามามสี ํวนรํวมในการเปล่ียนแปลง การศกึ ษาสํกู ารเรยี นร๎ูเฉพาะบุคคล เพราะการเรียนรู๎แบบเดิมที่ทุกคนเรียนเหมือนกันไมํสอดคล๎องกับความ ต๎องการของผ๎เู รียนและไมํสามารถผลติ กาลังคนทมี่ ีศักยภาพให๎กับสังคมได๎ เมื่อเรียนจบ ผ๎เู รยี นต๎องสามารถประสบความสาเร็จไดใ๎ นโลกยคุ ป๓จจบุ ันท่ีทุกอยํางเปลี่ยนแปลงอยําง รวดเร็ว ดังนน้ั สังคมต๎องเคารพความแตกตาํ งของแตํละบคุ คล เพื่อสร๎างให๎เกิดการเรียนร๎เู ฉพาะบุคคล อะไรคือ สิง่ ที่เราต๎องการสาหรบั ผู๎เรยี นในอนาคต ทาอยาํ งไรเขาถึงจะอยํูได๎อยํางแข็งแกรํงและเป็นประโยชน๑กับสังคม สงิ่ ที่เราต๎องสอนใหก๎ บั ผ๎ูเรียนคอื อะไรเพอ่ื ให๎เขามที กั ษะเหลาํ น้นั เมอ่ื ทุกคนในสงั คมเหน็ พอ๎ งต๎องกนั แล๎ววําการ จดั การศกึ ษาใหเ๎ หมาะกับความตอ๎ งการของผู๎เรยี นแตลํ ะคนเปน็ เร่ืองจาเปน็ อนาคตของผู๎เรียนก็จะสดใสเพราะ ได๎เรียนรู๎อยํางมีความสขุ และรู๎สกึ เปน็ เจา๎ ของชีวติ ตนเอง รบั ผดิ ชอบตอํ ชีวติ ตนเอง เข๎าใจวําทกุ ทางเลือกในชีวติ สาคัญเพือ่ มุงํ สูํเปาู หมายการเรียนร๎ูและการดาเนินชวี ติ การจะสร๎างการเรียนร๎เู ฉพาะบุคคลและการกากบั ตนเองในการเรียนรู๎ให๎เกิดข้ึนไมํใชํเร่ืองงําย อาจมี อปุ สรรคเชํน ผูเ๎ รยี นไมรํ ๎ูวาํ ชอบหรือสนใจอะไร ผู๎สอนไมํมที ักษะในการเปน็ ผ๎ูสนบั สนุนในการเรียนทีเ่ น๎นผู๎เรียน เปน็ สาคญั มาตรฐานหรอื ระบบทคี่ วบคุมการออกแบบการเรียนรูม๎ ากเกินไป ไมํยืดหยํุน แตํด๎วยความพยายาม ทํมุ เท และการรํวมมอื กันของผบู๎ รหิ าร ผ๎ูสอน ผเ๎ู รียน ผ๎ูปกครอง และชมุ ชน การเรยี นรู๎เฉพาะบคุ คลจะสามารถ เกดิ ข้ึนไดส๎ าหรบั ผ๎ูเรยี นทุกคนในอนาคตแนนํ อน ข้อเสนอแนะ 1. ผูม๎ ีสวํ นเกี่ยวขอ๎ งกับการศึกษาควรจะนาการเรียนรเ๎ู ฉพาะบคุ คลและการกากบั ตนเองในการเรยี นร๎ู มาปรบั ใช๎กบั การจดั การเรียนการสอนเพอ่ื สร๎างผเ๎ู รยี นท่ีเหมาะกับยคุ ไทยแลนด๑ 4.0 โดยการจัดการเรียนการ สอนท่มี เี นื้อหาและการเรยี นการสอนที่ยืดหยํนุ เป็นการเรียนการสอนเฉพาะบคุ คล เน๎นผู๎เรยี นเป็นหลัก และมี การเกบ็ ข๎อมลู ผ๎เู รยี นเฉพาะ นอกจากน้ตี ๎องสอนให๎ผเู๎ รยี นรจู๎ กั ตงั้ เปูาหมาย วางแผนไปสเ๎ู ปูาหมาย และพฒั นา ตนเองอยเูํ สมอ โดยมกี ระบวนการดงั นี้1. วางแผน 2. การควบคมุ ผลงาน 3. การสะทอ๎ นตนเอง 2. การเรียนรูเ๎ ฉพาะบุคคลและการกากบั ตนเองในการเรยี นร๎ูจะเกิดผลดตี ๎องอาศัยความรํวมมอื และ ความทมํุ เทจากทกุ ฝาุ ยทเ่ี กยี่ วขอ๎ ง เพ่อื ประโยชน๑สงู สดุ กบั ผเ๎ู รียน ผ๎บู รหิ ารสถานศกึ ษาตอ๎ งใหก๎ ารสนบั สนุน ผูส๎ อนตอ๎ งพฒั นาตนเองอยํางสมา่ เสมอ ผป๎ู กครองตอ๎ งเขา๎ ใจและเข๎ามามีสวํ นรํวมในการสร๎างผเู๎ รยี นใหม๎ ีทักษะ ทเ่ี หมาะสมกบั การเรียนร๎ูเฉพาะบุคคลและการกากบั ตนเองในการเรยี นร๎ู เอกสารอ้างองิ คณะกรรมการการศึกษาแหํงชาติ, สานกั งาน. (2542). พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 แกไ้ ข เพม่ิ เติม (ฉบบั ที่2) พ.ศ.2545 และ (ฉบับท่ี3) พ.ศ.2553. กรุงเทพมหานคร: พรกิ หวานกราฟฟิค. วจิ ารณ๑ พานชิ . (2555). วิถีสร้างการเรยี นรู้เพ่ือศิษย์ในศตวรรษที่ 21.-- กรงุ เทพฯ : มูลนธิ สิ ดศรี-สฤษดว์ิ งศ๑. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 206

Bates, S. (2014). Personalised learning: Implications for curricula, staff and students. Paper presented at the Universitas 21 (U21) Educational Innovation Conference, Sydney, Australia. B. J. Zimmerman. (2000) “Attaining self-regulation: a social cognitive perspective,” in Handbook of Self-Regulation, pp. 13–39, Academic Press, San Diego, Calif, USA. Che Ku Naraini Che Ku Mohd, Faaizah Shahbodin, and Naim Che Pee. (2014). Personalized learning environment (PLE) experience in the 21st century : Review of literature. Catherine McLoughlin and Mark J. W. Lee. (2010). Personalized and self-regulated learning in the web 2.0 era: International exemplars of innovative pedagogy using social software. Demetrios Sampson and Charalampos Karagiannidis, Kinshuk. (2002). Personalized learning: Educational, technological and standardization perspective. Interactive Educational Multimedia, number 4, pp. 24-39. Friend, B., Patrick, S., Schneider, C., & Vander Ark, T. (2017). What’s Possible with Personalized Learning? Vienna, VA: International Association for K-12 Online Learning (iNACOL). Hanover Research (2012). Best Practices in Personalized Learning Environments (Grades 4 – 9). Ikumi Courcier (2007) Teachers' Perceptions of Personalised Learning, Evaluation & Research in Education, 20:2, 59-80. Johns, S. and Wolking M. The Core Four of Personalized Learning: The Elements You Need to Succeed. Education Elements. Judy Sebba, Nick Brown, Susan Steward, Maurice Galton, Mary James. (2007). An investigation of personalized learning approaches used by schools. Leadbeater, C. (2008). We think: Mass innovation, not mass production. London, UK: Profile. Paris, S., Paris, A. (2001). Classroom Applications of Research on Self-Regulated Learning.Educational Psychologist. 36 (2), 89-101. P. Pintrich, (2000). “The role of goal orientation in self-regulated learning,” in Handbook of Self-Regulation, M. Boekaerts, P. Pintrich, and M. Zeidner, Eds., pp. 452–502, Academic Press, San Diego, Calif, USA. P. H. Winne and N. E. Perry. (2000). “Measuring self-regulated learning,” in Handbook of Self-Regulation, M. Boekaerts, P. Pintrich, and M. Zeidner, Eds., pp. 531–566, Academic Press, Orlando, Fla, USA. P.Pintrich, and M. Zeidner, Eds. (2000). pp. 531–566, Academic Press, Orlando, Fla, USA. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 207

Rich Halverson, Al Barnicle, Sarah Hackett, Tanushree Rawat, Julia Rutledge, Julie Kallio, Curt Mould, and Janice Mertes. (2015). Personalization in Practice: Observations from the Field. Wisconsin Center for Education Research. Williams, S. (2013). Principal sabbatical report: Practical ways that schools can personalize learning for their students – Powerful learner pit stops. Wolf, M.A. (2010). “Innovate to Educate: System [Re]Design for Personalized Learning. A Report from the 2010 Symposium.” Edited by Partoyan, E., Schneiderman, & Seltz, J. ACSD. P. 21. Zimmerman and D. Schunk, Eds. (2001). pp. 153–189, Erlbaum, Mahwah, NJ, USA. การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 208

การศึกษาความเปน็ ผนู้ าจติ สาธารณะ : กรณีศึกษา อาธิวราห์ คงมาลยั A Study of Public Mind Leadership : A Case Study of Athiwara Khongmalai กรองทิพย์ นาควิเชตร คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยวงษช์ วลติ กลุ e-mail [email protected] บทคัดย่อ การวิจัยเชิงคุณภาพคร้ังน้ีมํุงศึกษาคุณลักษณะความเป็นผู๎นาจิตสาธารณะ กรณีศึกษาวิเคราะห๑ คุณลักษณะความเปน็ ผูน๎ าจิตสาธารณะของอาธิวราห๑ คงมาลัย จากเอกสารและการสัมภาษณ๑ประชาชนรวม 43 คน ใชแ๎ บบสัมภาษณ๑แบบไมํมโี ครงสรา๎ ง วเิ คราะห๑ข๎อมูลเชิงคุณภาพเชื่อมโยงหลักจริยธรรมของผ๎ูนา ผล การศกึ ษาพบวํา อาธิวราห๑ คงมาลยั มีบคุ ลกิ เดํน มคี ุณลักษณะเป็นตามหลกั จรยิ ธรรมของผูน๎ า มคี วามเปน็ ผนู๎ า ด๎านจิตสาธารณะ มพี ฤติกรรมดีงาม โนม๎ นา๎ วความคิด ความร๎ูสึกของผู๎ที่ศรัทธาให๎มีเจตคติท่ีดีและปฏิบัติส่ิงที่ เป็นประโยชน๑เพ่ือผ๎ูอ่ืน เพ่ือสังคม โดยไมํหวังส่ิงตอบแทน ปรากฏชัดในโครงการก๎าวคนละก๎าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลท่ัวประเทศ ซงึ่ เปน็ การว่ิงระยะไกลจากภาคใตจ๎ รดภาคเหนือของประเทศไทย อาศัยการมีวิสยั ทัศน๑ มองการณ๑ไกลเพ่ือประโยชนข๑ องสังคม มีการวางแผนและดาเนนิ งานดว๎ ยความระมัดระวงั จากการมีสํวนรํวม จากทั้งภาครัฐและเอกชนและประชาชนท่ัวไป โดยแสดงพฤติกรรมมํุงมั่น ลงมือทาจริง มํุงบรรลุเปูาหมาย ยิ่งใหญํ บนพื้นฐานของการเรียนร๎ูและพัฒนาตนเสมอ ภายใต๎ความอํอนน๎อม เคารพ ให๎เกียรติผ๎ูอ่ืน ให๎ ความสาคัญกับทกุ คน สขุ มุ รอบคอบ เปน็ แบบอยาํ งทีด่ ี เปน็ การสรา๎ งความศรทั ธาและเสริมพลังคนไทยให๎เข๎า รวํ มกจิ กรรมทาความดีเพอื่ ผ๎อู ่ืน เพ่ือสาธารณะ เกดิ ผู๎นาในการทากิจกรรมว่ิงเสริมโครงการที่ดาเนินงาน เป็น การสรา๎ งภาวะผ๎ูนาแกผํ ท๎ู รี่ ํวมกนั ทางานเพ่อื สังคมและชุมชน ประชาชนจานวนมากทั่วประเทศให๎ความสนใจ ติดตาม และเข๎ารํวมกิจกรรมว่งิ ในโครงการตลอดเสน๎ ทาง รํวมบริจาคเงนิ และรํวมให๎กาลงั ใจ ทาให๎การดาเนิน โครงการบรรลผุ ลสาเรจ็ ตามเปูาประสงค๑ เกิดผลดขี ๎างเคยี ง คอื ทาใหค๎ นไทยที่สนใจโครงการนเี้ หน็ ความสาคัญ ของการดูแลสุขภาพ การออกกาลงั กายเพ่ือสขุ ภาพ และเกิดความสามคั ครี ะหวาํ งคนไทยด๎วยกันในการเข๎ารํวม ดาเนินโครงการ คาสาคัญ: อาธวิ ราห๑ คงมาลัย ความเปน็ ผูน๎ าจิตสาธารณะ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 209

ABSTRACT This qualitative research aimed to study the public mind leadership, a case study of Athiwara Khongmalai’s public-mind leadership. It was conducted through documents and interviews of 43 participants by using unstructured interview . Its findings are linked to the framework of the integrity of leaders. Results found that Athiwara Khongmalai’s character matches with fantastic character and the integrity of leaders. criteria. He has a public-mind leadership, had decent conducts, and could convince his admirers to have good attitudes leading to their conducting of good deeds for others and the society without any conditions. Such characteristics were shown through his “One Step Each” project for 11 hospitals throughout the country. The project involved his long-distance marathon from Thailand’s southern part to the country’s north. The project also reflected his broad vision to do good deeds for the benefit of the society. It was thoroughly planned and conducted with the participation from the government sector, the private sector, and individuals. He also showed his determination, realization of his idea, and his achievement in such a big project on the basis of continuous learning and self-development together with his humility, respect, and giving importance to everyone equally. He also conducted his project carefully and set a good example in building faith as well as reinforces Thai people’s participation for the benefit of others and the society. This initiates future leaders in a marathon which supports the whole project in a larger scale as well as leaders who can cooperate for the society and the community. His project was given a lot of attention from the people throughout the country. Many people participated in the marathon, donated the money, and gave encouragement, leading to the success of the project. The positive effect was that it raised Thai people’s awareness in doing exercise and taking care of their health as well as reinforcing unity among Thai people. KEYWORDS: Athiwara Khongmalai, Public mind leadership การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 210

บทนา “ถงึ แมเ๎ ราจะอยํใู นทาํ มกลางความเจรญิ รดุ หน๎าแหํงยุคปจ๓ จบุ นั อยํางไร เราก็ทอดทง้ิ การศึกษาทางดา๎ น จติ ใจและศีลธรมจรรยาไมไํ ด๎” พระราชดารัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถ บพติ รพระราชทานเพ่ือเชญิ ไปอาํ นในพิธเี ปิดสัมมนา เร่อื ง “การพฒั นาสงั คมไทยในด๎านศีลธรรมและจิตใจ ซ่ึง สภาสังคมสงเคราะห๑แหํงประเทศไทยจัดให๎มีข้ึน ณ โรงแรมนารายณ๑ กรุงเทพมหานคร วันที่ 25 ธันวาคม 2516 (ศกั ด์ิสิทธ์ิ พันธุส๑ ทั ธ๑, 2560 : บรรณาธิการ) สะท๎อนถึงคํานยิ มไทยท่ีให๎ความสาคัญในการพัฒนาคนไทย ดา๎ นความดงี าม ทีม่ มี าช๎านาน สังคมไทยภายใตก๎ ารเปลี่ยนแปลงอยํางรวดเร็วจากความก๎าวหน๎าของเทคโนโลยีระดับโลกที่แพรํ อิทธิพลสทูํ ั่วท้ังโลก จาเปน็ ต๎องยึดการพัฒนาคนไทยให๎มีความสุขและตอบสนองตํอการบรรลุซ่ึงผลประโยชน๑ แหํงชาติ อันปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติฉบับที่ 12 ยุทธศาสตร๑ที่ 6 การพัฒนาและ เสรมิ สรา๎ งศักยภาพของคนทุกชํวงวัยให๎มีสุขภาวะที่ดี จัดการศึกษาที่พัฒนาคนให๎มีคุณลักษณะเหมาะกับยุค ป๓จจุบัน มุํงพัฒนาทั้งป๓ญญา ทักษะปฏิบัติ จิตใจท่ีงดงาม และสุขภาพแข็งแรง (วิจิตร ศรีสอ๎าน , 2561) ท่ีมี คุณลักษณะสาคัญประการหนง่ึ คือ ความพลเมอื งดี มสี วํ นรวํ มและทาประโยชนต๑ อํ สงั คม การพัฒนาบุคคลให๎มี ความประพฤติท่ีเอ้ือการพัฒนาสังคมในป๓จจุบัน ผํานกระบวนการจัดการศึกษาที่มีคุณภา พ (วิจารณ๑ พานิช, 2559; สานกั งานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแหงํ ชาติ, 2559; กระทรวงยตุ ิธรรม, 2560) รวมทงั้ เอือ้ ให๎มี การพัฒนาการเรียนร๎พู ฤตกิ รรมดีของบุคคลต๎นแบบที่ดีในชุมชนและสังคม (สมพงษ๑ จิตระดับ , 2557) ท่ีเป็น ตัวอยาํ งท่ีดี และเป็นบุคคลทเ่ี ปน็ ท่ีช่ืนชอบ อนั จะเป็นผู๎ดลใจให๎ผ๎ูใกลช๎ ิดและเก่ียวขอ๎ งเกิดความศรัทธา มีความ ปรารถนาจะประพฤติดีงามไปในทางคลอ๎ ยตามกนั ในลักษณะเปน็ ผนู๎ าทางความดที ่เี ชอ่ื มโยงกัน (Mahar, T.A. ,2004; อษุ ณยี ๑ มงคลพทิ กั ษ๑สุข, 2554 : 159-196) ซึ่งบคุ คลที่มีคณุ ลักษณะดังกลาํ วบุคคลหนึ่งในป๓จจบุ ัน เป็น ทศ่ี รัทธาในการโน๎มนาคนไทยให๎ทาความดรี ํวมกันแบบไมํมีการแบงํ พวก แบํงเหลํา คือ อาธิวราห๑ คงมาลัย ซ่ึง เป็นท่รี ู๎จักทว่ั ไปในนาม ตูน บอดสี้ แลม แสดงพฤติกรรมในการ “นา” ทาอะไรทาจริง ด๎วยความมํุงมั่น แนํวแนํ จนส่ิงท่ีทาทุกอยํางประสบผลสาเร็จ (นิ้วกลม, 2556 :170 – 173) ทาความดีเพื่อสังคมเป็นที่ประจักษ๑ใน สงั คมไทย ในโครงการ ก๎าวละกา๎ ว เพอ่ื 11 โรงพยาบาลทว่ั ประเทศ ท่ีคนไทยมสี ํวนรํวมในการดาเนนิ งานอยําง เต็มใจและมีความสุข อีกท้ังยังกํอประโยชน๑แกํสังคมในภาพรวมท้ังท่ีเป็นรูปธรรม คือ เงินท่ีรับบริจาคเพื่อ โรงพยาบาล 11 แหงํ เพ่ือการจดั ซอ้ื อุปกรณก๑ ารแพทย๑ และท่เี ปน็ นามธรรมซ่ึงมคี ุณคาํ สงู คือ การสงํ เสรมิ ใหค๎ น ไทยเห็นความสาคัญของการออกกาลังกาย เกดิ ความรกั สมานสามัคคีของคนไทยในลกั ษณะเปน็ หนงึ่ เดียว (ทีวี ชอํ ง 33, 2560) เป็นบุคคลตวั อยาํ ง นนบั เป็นผน๎ู าในการทาความดีเพ่อื สํวนรวม เป็นผน๎ู าทางจรยิ ธรรมที่ควรให๎ ความสาคัญ ในการศกึ ษาเพ่ือสืบสานแนวคิด การปฏิบตั ิ อันจะเป็นประโยชน๑ในการพัฒนาคนไทย อันจะสํงผล ตอํ การพัฒนาสงั คมไทย การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 211

การศกึ ษาคณุ ลักษณะของอาธวิ ราห๑ คงมาลยั ผมู๎ ีพฤติกรรมทาประโยชนเ๑ พ่ือสังคม มีจิตสาธารณะ กํอให๎เกิดปรากฏการณ๑การรวมพลังของคนไทยในการเข๎ารํวมกิจกรรมเพ่ือสํวนรวม ในที่น้ีนาเสนอเก่ียวกับ ประวัติบางด๎านโดยยํอของ นายอาธิวราห๑ ท่ีเก่ียวข๎องกับโครงการก๎าวคนละก๎าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลท่ัว ประเทศ ขอ๎ มูลจากการสมั ภาษณ๑ประชาชนเกี่ยวกับอาธิวราห๑ คงมาลัย ผู๎นา ภาวะผ๎ูนา แ ละความเชื่อมโยง ภาวะผนู๎ าด๎านการให๎ จิตสาธารณะ กบั ภาวะผ๎นู าเชงิ จรยิ ธรรม ซงึ่ มีความสาคัญในการพฒั นาคนไทยในปจ๓ จุบนั ดังสรปุ โดยสงั เขปตํอไปน้ี 1. นายอาธิวราห์ คงมาลัย และโครงการก้าวคนละกา้ วเพ่อื 11 โรงพยาบาลทว่ั ประเทศ นายอาธิวราห๑ คงมาลัย ชื่อเลํนวํา ตูน เกิดเม่ือวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2522 ที่จังหวัด สพุ รรณบรุ ี ปจ๓ จุบัน อายุ 38 ปี สาเร็จการศึกษา คณะนิติศาสตร๑ จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย เคยได๎รับรางวัล ลกู ตญั ๒ดู ีเดํนในวนั แมแํ หงํ ชาติ ในปี พ.ศ. 2549 อาชพี เป็นนักร๎องนาและนกั แตํงเพลงวงดนตรีท่ีเขาและพ่ือน รวํ มกันกอํ ตัง้ คือ วงดนตรีบอดีแ้ สลม จงึ มสี มญานามวาํ เป็นท่ีรู๎จักทั่วไปในนาม ตูน บอด้ีแสลม มีผลงานเพลง หลายอัลบมั้ อีกทงั้ ยงั เปน็ นกั รอ๎ งรับเชญิ ของวงดนตรีอ่นื ๆ เป็นนักแสดง และรับผ๎ูได๎รับเชิญเป็นดาราโฆษณา สินค๎าหลายประเภท อีกทั้งยังเป็นนักกีฬาที่ได๎แสดงความสามารถไว๎ ได๎แกํ กีฬาฟุตบอล เทเบิลเทนนิส จักรยาน ไตรกีฬา และนักวิ่งระยะไกล เขาได๎จัดระดมทุนโครงการก๎าวคนละก๎าว จานวน 2 ครั้ง คร้ังแรกใน พ.ศ. 2559 โครงการก๎าวคนละก๎าวเพื่อโรงพยาบาลบางสะพาน ระยะทาง 400 กิโลเมตร จาก กรุงเทพมหานคร สนิ้ สดุ ที่โรงพยาบาลบางสะพาน จงั หวัดประจวบครี ขี นั ธ๑ ได๎รับเงินบริจาครวม 85 ล๎านบาท คร้งั ตํอมาเป็น โครงการก๎าวคนละก๎าวเพือ่ 11 โรงพยาบาลทว่ั ประเทศ ซงึ่ อาทิวราห๑ คงมาลัย แสดงความร๎ูสึก มีความสขุ จากความสาเร็จในโครงการวิง่ กา๎ วคนละก๎าวระยะท่สี องน้ี เรมิ่ จากอาเภอเบตง จงั หวดั ยะลา เวลาเชา๎ วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 สูํจุดหมายปลายทาง อาเภอแมํสาย จังหวัดเชียงราย เวลาค่าวันท่ี 25 ธนั วาคม พ.ศ. 2560 วิ่งผําน 20 จังหวัด รวมระยะทางประมาณ 2,191 กิโลเมตร ใช๎เวลารวม 55 วัน เขา ขอบคุณประชาชน ทใ่ี ห๎การสนบั สนุน ขอบคุณทมี งาน ทีมแพทย๑ พยาบาลและนกั กายภาพบาบดั ท่ใี ห๎การดูแล สุขภาพตลอดระยะการดาเนินโครงการ อาธิวราห๑ คงมาลัยได๎รับการต๎อนรับจากประชาชนจานวนมากด๎วย ความช่ืนชอบ แสดงออกถงึ การมีความสุขท่ีได๎รํวมโครงการ พร๎อมรับรางวัลทรงเกียรติจากไทยแลนด๑เรคคอร๑ด “คนไทยคนแรกที่วิ่งจากเหนือสุดถึงใต๎สุดของประเทศไทย” ตั้งเปูาหมาย คือ ว่ิงสุดเส๎นทางที่กาหนด และ ยอดเงินบริจาคจากคนไทย 70 ล๎านคน เป็นเงิน 700 ล๎านบาท เมื่อเสร็จส้ินโครงการได๎รับเงินบริจาคเกิน เปูาหมาย คอื ยอดเงินบรจิ าค โครงการกา๎ วคนละก๎าวเพอ่ื 11 โรงพยาบาลทว่ั ประเทศ สูงเกิน 1,150 ล๎านบาท มอบใหม๎ ูลนธิ โิ รงพยาบาลพระมงกุฏเกล๎า การประชาสมั พนั ธใ๑ หม๎ กี ารบรจิ าคตํอเนื่องหลงั โครงการว่งิ คนละกา๎ ว เพอื่ 11 โรงพยาบาลท่วั ประเทศ ยงั คงดาเนนิ การตอํ ไปไดห๎ ลายชอํ งทาง เชนํ SMS บริจาคครั้งะ 10 บาท โดย พิมพ๑ T แล๎วกดสงํ ท่ี 4545099 หรือ บรจิ าคผํานชอํ งทาง ตามลิงค๑ https//www.kaokolakao.com/howto ภายในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นต๎น (พันทิพย๑ดอทคอม, 2560 ; โพสต๑ทูเดย๑, 2560; ทีเอ็นเอ็น 24, 2560) โครงการน้ีได๎รับการสนับสนุนในด๎านการดาเนินงาน และกาลังใจจากหลายภาคสํวนท้ังภาครัฐและ เอกชนหลากหลาย อนั ได๎แกํ บริษทั ผลติ เครื่องกีฬาและอุปกรณ๑กีฬาท่ีมีชื่อเสียง บริษัทจาหนํายรถยนต๑ กลํุม นกั ร๎อง นักดนตรี นกั แสดง สมาคม สโมสรซ่ึงเปน็ ทรี่ ๎ูจักในสงั คมไทย ตํางๆ ใหก๎ ารสนบั สนนุ เสริมศกั ยภาพการ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 212

ดาเนินโครงการ รวมท้ังพระภิกษซุ ึ่งเปน็ ทศ่ี รทั ธาของชาวไทย คือ พระมหาวุฒิชยั วชิรเมธี หรือเปน็ ที่ร๎จู ักทั่วไป ในนาม ทําน ว. วชริ เมธี ได๎ให๎พร และสมทบเงนิ ทาบญุ เพมิ่ เติมในโครงการดงั กลําว อกี ทงั้ มกี ลมุํ บคุ คลทีร่ วมตวั กันทากิจกรรมลักษณะเดียวกันหลายกลุํม รวบรวมเงินบริจาคจากประ ชาชนในสํวนตําง ๆ ของประเทศ เพิม่ เติมในโครงการ ประชาชนจานวนมากตน่ื ตัว ใหค๎ วามสาคัญกับโครงการน้ี เกิดปรากฏการณ๑การรวมกลุํม ผค๎ู นในการออกกาลงั กาย มกี ารสื่อสารผาํ นสือ่ ตําง ๆ รายบุคลและรายกลุํมแสดงให๎เห็นถึงการให๎ความสาคัญ ตํอการรักษาสุขภาพ และการปฏิบัติจิตสาธารณะ (ทีวีชํอง 33, 2560) นับเป็นการสร๎างภาวะผ๎ูนาแกํผู๎รํวม ดาเนินงาน เพอ่ื บรรลุเปูาประสงคเ๑ ดียวกัน สืบเนื่องจากการดาเนินโครงการก๎าวคนละก๎าวเพื่อ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ เกิดปรากฏการณ๑ ย่งิ ใหญทํ บี่ ํงบอกถึงความสุข ความเปน็ หน่งึ เดียวกันในการทาความดีของคนไทยจานวนมาก เปน็ โครงการทเ่ี ป็น “ท่ีสดุ แหํงปี 2560” (ภาคประชาชน) (Top [Ten] of the Year 2017) (พนั ทพิ ยด๑ อทคอม, 2560) 2. ความเชอ่ื มโยงของผนู้ า ภาวะผนู้ าดา้ นการให้ กบั ภาวะผู้นาเชิงจรยิ ธรรมและจติ สาธารณะ ผน๎ู า เป็นบุคคลทมี่ ลี กั ษณะพเิ ศษอันมีอยแํู ละจากการพฒั นาตนเองอยํูเสมอ นาผอ๎ู นื่ หรือทีมงาน ให๎ปฏิบตั งิ านหรอื กิจกรรมจนบรรลผุ ลตามเปาู ประสงคด๑ ีงามที่กาหนดไว๎รํวมกันโดยใช๎วิธีการที่มีอิทธิพลเหนือ ผ๎ูอน่ื (กรองทพิ ย๑ นาควเิ ชตร, 2557 : 10) ปรากฏเป็นภาวะผ๎ูนา ซ่ึงเป็นคณุ สมบตั ิ เชํน สติป๓ญญา ความดีงาม ความร๎ู ความสามารถ ทชี่ กั นาใหค๎ นท้ังหลายมาประสานกัน และพากันไปสูํจุดหมายหรือเปูาประสงค๑ที่ดีงาม ซึ่งขึ้นอยํกู ับ สาระสาคญั ตํอไปน้ี (พระพรหมคณุ าภรณ๑ [ป.อ. ปยตุ ฺโต], 2549 : 4 - 5) 1) ตัวผนู๎ า จะต๎องมคี ณุ สมบัตใิ นตัวเอง เป็นจดุ เริ่มตน๎ ในการเปน็ ผ๎ูนา 2) ผ๎ูตาม โยงดว๎ ยคุณสมบัตทิ ี่สัมพนั ธก๑ บั ผ๎ตู าม ทเ่ี รียกวาํ “ผู๎รวํ มไปด๎วย” 3) จุดหมายหรือเปูาประสงค๑โยงด๎วยคุณสมบัติท่ีสัมพันธ๑กับจุดหมายหรือเปูาประสงค๑ เชํน จดุ หมายมีหรอื เปาู ประสงคค๑ วามชดั เจนแนวํ แนํ 4) หลกั การและวิธีการโยงดว๎ ยคุณสมบตั ทิ ่ีสัมพันธก๑ บั หลกั การและวิธกี ารทจี่ ะทาให๎งานสาเร็จสูํ เปาู ประสงค๑ 5) สงิ่ ทีจ่ ะทาโยงดว๎ ยคุณสมบัตทิ ีส่ ัมพันธ๑กับสง่ิ ท่จี ะทา 6) สถานการณโ๑ ยงดว๎ ยคณุ สมบตั ทิ ่ีสัมพนั ธก๑ บั สภาพแวดลอ๎ ม หรือสิ่งที่จะประสบซึ่งอยูํภายนอก วําทาอยาํ งไรจะบรรลุไดด๎ ๎วยดี ทาํ มกลางสังคม ส่ิงแวดลอ๎ ม หรอื ส่งิ ทีป่ ระสบ เชํน ป๓ญหา เป็นตน๎ อน่งึ ภาวะผูน๎ าเปน็ ความสามารถ หรอื กระบวนการใช๎อิทธิพล หรือคุณลักษณะของบุคคลท่ีเป็น ผู๎นาที่มีอิทธิพลเหนือผ๎ูอื่นในด๎านการกระทา ด๎วยการใช๎ความสามารถของตนในการจูงใจหรือใช๎อิทธิพลตํอ บุคคลทเ่ี ก่ียวข๎องใหป๎ ฏิบัติดงี ามด๎วยความเต็มใจและกระตือรือรน๎ เพอื่ บรรลเุ ปาู ประสงคท๑ ี่กาหนดไว๎ (กรองทพิ ย๑ นาควิเชตร, 2552 : 8) ภาวะผน๎ู าของผน๎ู ามีบทบาทสาคัญในการพฒั นาคน และพัฒนาสังคม (พระพรหมคุณา ภรณ๑ [ป.อ. ปยุตฺโต], 2546) ภาวะผ๎ูนา คือ ความเป็นผ๎ูนา (พระพรหมคุณาภรณ๑ [ป.อ. ปยุตฺโต] , 2549 : 3) เปน็ ความสามารถในการสรา๎ งวิสัยทัศน๑ ส่ือสาร จูงใจ โน๎มน๎าวให๎ผ๎ูอ่ืนรํวมทางานเพื่อบรรลุเปูาหมาย ( Ever and Lokomski, 2000) เปน็ ความสามารถ หรอื กระบวนการใชอ๎ ทิ ธพิ ล หรือคุณลักษณะของบุคคลที่เป็นผู๎นา ซง่ึ อาจมีตาแหนํงหรือไมมํ ีตาแหนํงเปน็ ผบู๎ ริหาร ทมี่ อี ทิ ธิพลเหนอื ผอ๎ู ่นื ในดา๎ นการกระทา ดว๎ ยการใช๎ศิลปะหรือ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 213

ความสามารถของตนในการจูงใจหรือใช๎อิทธิพลตํอบุคคลที่เก่ียวข๎องให๎ปฏิบัติดีงามด๎วยความเต็มใจและ กระตือรือร๎นเพื่อบรรลุเปูาหมายท่ีกาหนดไว๎ทั้งในด๎านดีและด๎านที่ไมํดี (กรองทิพย๑ นาควิเชตร , 2552 : 8) ประเด็นสาคัญ คือ ภาวะผู๎นามีความสาคัญตํอการพัฒนาคน และพัฒนาสังคม (พระพรหมคุณาภรณ๑ [ป.อ. ปยุตฺโต], 2546) ผู๎นาจึงต๎องทาตนให๎เป็นท่ีศรัทธาของผ๎ูอื่นด๎วย (เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ๑, 2555) โดยเฉพาะ ผ๎ูนาพึงเปน็ ผ๎ูทร่ี ๎จู ัก “ให๎” “การให๎” เป็นการมอบ สละ อนุญาต (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556 : 1358) การให๎กาลังแรงกายเป็น การให๎อยํางหนึ่ง (พุทธทาสภิกขุ อ๎างถึงในวัดปุาธรรมคีรี, 2559) การให๎ เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ๑ทาง สังคมและธรรมชาติ (พระไพศาล วศิ าโล ใน ไพฑูรย๑ สนิ ลารัตน๑และคณะ, 2555 : 35 - 73) ที่เช่ือมโยงกับการ นึกถึงผู๎อื่น คานึงถึงสังคม คือ มีจิตสาธาณะ (พระมหาชานาญ กตธมฺโม [บุญแพ] , 2555) ผู๎ให๎ซึ่งมักมีจิต สาธารณะ ผู๎นาที่มีคํานยิ มในการให๎จงึ เกย่ี วข๎องกับการมีจิตสาธารณะและเป็นไปตามหลักจริยธรรมของผู๎นา นน่ั คอื ผท๎ู ีเ่ ป็นผู๎นาตอ๎ งมหี ลกั การและหลักจริยธรรมในการเปน็ ผนู๎ า (กนกอร สมปราชญ๑, 2559 : 164 - 165) ดังนี้ 1) มกี ารวเิ คราะห๑สถานการณ๑ 2) เปน็ ผ๎ูทาให๎เกดิ การเปล่ยี นแปลงพฒั นา 3) มีวสิ ัยทัศน๑มองการณไ๑ กล 4) เป็นผศ๎ู กึ ษาเรยี นร๎ูตลอดเวลา 5) เป็นผูเ๎ สริมพลงั แกผํ ูอ๎ ื่น 6) เป็นผ๎ูมเี สรภี าพทางความคิด 7) มจี ริยธรรมสํวนตนและสอดคลอ๎ งกับจริยธรรมในสงั คมที่ตนอยํู 8) เปน็ ผูส๎ ร๎างภาวะผ๎ูนา (Super Leadership) แกผํ ๎ูรํวมดาเนนิ งาน 9) เป็นผ๎ูตอบสนองและรบั ผดิ ชอบตํอสังคมและชุมชน 10) เปน็ ผ๎ทู ีม่ ีการไตรตํ รองและสะท๎อนคดิ สาหรบั คาวาํ จิตสาธารณะ หมายถึง ความรส๎ู ึกนึกคดิ หรือจติ สานกึ ทรี่ ู๎จักเอาใจใสํ เข๎ารํวมกิจกรรม ในเรอ่ื งที่เปน็ ประโยชน๑ตํอสังคม ประเทศชาติ ตลอดถงึ รับผิดชอบตํอหน๎าที่ของตนเองในฐานะสมาชิกท่ีดีของ สังคม จิตสาธารณะเป็นจิตใต๎สานึกที่ประกอบด๎วยคุณธรรมจริยธรรมซ่ึงได๎รับอิทธิพลมาจากสภาพความ เป็นอยํู และสิ่งแวดล๎อมทางสังคม จากบุคคลใกล๎ชิด บุคคลท่ีศรัทธา โดยการรับรู๎ เรียนรู๎ จดจา และ ลอกเลยี นแบบ กอํ ใหเ๎ กิดพฤตกิ รรมชวํ ยเหลอื เกื้อกูลกัน เสียสละเวลา กาลังกาย กาลังทรัพของตนเอง เพื่อทา ประโยชนแ๑ กํผ๎ูอน่ื และสังคม เป็นไปตามทฤษฎีประชาสังคม (Civil Society Theory) ที่วําด๎วยการเรียนรู๎จาก บคุ คลรอบขา๎ ง บคุ คลทศี่ รัทธาดว๎ ยความเต็มใจ เกิดการเลียนแบบผ๎ูที่เป็นตัวอยํางที่ดี เกิดความรํวมมือกันใน การดาเนนิ การบางประการ ท่ีมจี ดุ มงุํ หมายเพอ่ื ความสมั พนั ธ๑ภายในกลุํม ดูแลผลประโยชน๑ของสํวนรวม ทั้งใน มติ ิของความเปน็ ธรรม ความยตุ ธิ รรม และการเป็นเครอื ขาํ ยกนั ส่ือสารและเรยี นรซู๎ งึ่ กนั และกัน มํุงเปูาประสงค๑ เดยี วกันที่มคี วามหวังและเปน็ ไปไดอ๎ ันเปน็ ประโยชน๑ตอํ สงั คม (พระมหาชานาญ กตธมโฺ ม [บุญแพ], 2555) จิต สาธารณะซงึ่ พัฒนาได๎จากประสบการณใ๑ นกจิ กรรมตาํ ง ๆ ทเี่ กย่ี วเนอ่ื ง (ปภาพินท๑ รนธาตุ และคณะ, 2559 : ) การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 214

เนอื่ งจาก การมจี ติ สาธารณะสํงผลตํอพฤตกิ รรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค๑การ คือ จะมีการชํวยเหลือ สานึก ในหน๎าที่ อดทนอดกลั้น ให๎ความรํวมมือและคานึงถึงผู๎อื่น (ฉัตรฤทัย อินทุโศภน และพิพัฒน๑ นนทนาธรณ๑ , 2559 : 86 - 99) จะเห็นได๎วํา ผู๎นาจิตสาธารณะเป็นผู๎มีคํานิยมในการให๎ ผ๎ูนาจิตสาธารณะจึงเป็นลักษณะสาคัญ สอดคลอ๎ งกบั หลกั จรยิ ธรรมของผนู๎ าท่มี ุํงทาประโยชน๑เพ่ือผอู๎ น่ื และสงั คม 3. การพฒั นาจติ สาธารณะแก่บุคคลและกลมุ่ บคุ คล การพฒั นาคนไทยให๎มีคุณลักษณะเหมาะกบั ยุคป๓จจุบนั พงึ มุํงพฒั นาทงั้ ปญ๓ ญา ทักษะปฏิบัติ จิตใจที่ งดงาม และสุขภาพแข็งแรง ท้ังการพัฒนาตนเอง พฒั นาดว๎ ยการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตาม อธั ยาศัย (วจิ ติ ร ศรสี อา๎ น, 2561) ในท่ีนีน้ าเสนอ การพฒั นาจติ สาธารณะแกบํ ุคคลและกลํมุ บคุ คลตามหลกั การ พัฒนาตนเอง ข๎อควรคานงึ ในการพัฒนาบุคคล และผม๎ู ีบทบาทสาคัญในการพัฒนาคน 3.1 หลกั การพฒั นาตนเอง การพัฒนาตนเองและการพัฒนาบุคคลในองค๑กรเป็นเรื่องสาคัญในยุคป๓จจุบันสอดคล๎อง แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหํงชาติฉบับที่ 12 ที่มีเปูาหมายเพ่ือการพัฒนาประเทศ คือ คนไทยต๎องออก จากกับดัก “รายได๎ปานกลาง” คนไทยทามาหากินโดยใช๎ความร๎ู คิดสรา๎ งนวตั กรรม ทุกอาชีพ ทุกระดับ มีการ เรยี นร๎ูดว๎ ยความปรารถนาของตนเองทุกจดุ ของชวี ิตในหลากหลายรูปแบบ เน๎นการพฒั นาคนดีและสร๎างสังคม ของคนดี และพฒั นาสงั คมมนษุ ย๑ให๎ชวํ ยกนั พัฒนาคนแบบชํวยเหลอื เกอื้ กูลกัน (วิจารณ๑ พานชิ , 2560) การพัฒนาตนเองมีหลักการ (วจิ ารณ๑ พานชิ , 2560; สานกั งานกองทุนสนับสนุนการสร๎างเสริม สุขภาพ, 2560) ซง่ึ สามารถประยกุ ต๑สกํู ารพฒั นาจิตสาธารณะของบคุ คลได๎ ดงั นี้ 1) พัฒนาตนเองแบบองค๑รวม ท้ังพฤตกิ รรม จติ ใจ และความรู๎ความคดิ ทเ่ี รยี กวํา ป๓ญญา การพัฒนาทกุ ดา๎ นต๎องดาเนนิ ไปควบคํกู ัน 2) พฒั นาตนเองในเงื่อนไขวํา ทกุ คนพัฒนาได๎ ฝึกไดแ๎ ละตอ๎ งฝกึ และเรยี นร๎ตู ลอดเวลา เปน็ การฝกึ หดั พัฒนาทีเ่ รียกวํา สกิ ขา หรือ ศกึ ษา 3) เน๎นการพฒั นาตนเองใหเ๎ ปน็ ผูม๎ อี ปุ นิสัยทดี่ ี อธั ยาศยั ดี เอือ้ เฟื้อ มที กั ษะมนษุ ย๑ มีทกั ษะ การเรยี นร๎ู มที ักษะภาวะผ๎นู า ทกั ษะการตัดสนิ ใจ คดิ ตําง ปฏบิ ตั ิ (ทา) แตกตาํ ง มกี ารแลกเปลย่ี นเรียนรู๎จนเกิด ชุมชนแหงํ การเรยี นรู๎ในการปฏบิ ัตดิ ีงาม การปฏบิ ตั ิเพ่อื สาธารณะ การพฒั นาตนเองใหม๎ จี ิตสาธารณะจึงเปน็ กระบวนการที่กระทาได๎โดยเรียนรู๎ ยินดี เต็มใจ และ ลงมอื ปฏบิ ัติให๎เกิดผลดีแกสํ าธารณะ ใหเ๎ กดิ เปน็ นสิ ยั ในการปฏบิ ัติตอํ เนื่อง 3.2 ข๎อควรคานงึ ในการพัฒนาบุคคล บุคคลในองคก๑ รมีลักษณะนสิ ยั หลากหลาย ความแตกตํางระหวํางบุคคล จาเป็นต๎องใช๎วิธีการ พัฒนาทแ่ี ตกตํางกันในโอกาสตําง ๆ กนั ได๎แกํ 1) กลํมุ บุคคลท่มี ีเหตุผล จริงจัง มีเปูาหมาย เป็นผ๎ูนา รวดเร็ว มีความมุํงมั่นสูง มีอิทธิพลในการชี้นาผู๎อื่น 2) กลํุมบุคคลที่มีนิสัยเจ๎าระเบียบ ละเอียด ลึกซ้ึง คิดมาก ชอบ ตรวจสอบ ชอบความเป็นสํวนตัว มีพลังในการพัฒนา 3) กลํุมบุคคลที่มีนิสัยชอบสนุกสนานเฮฮา คิด การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 215

สร๎างสรรค๑ เรียบงาํ ย ไมซํ บั ซ๎อน มีแรงกายแรงใจในการตํอสู๎และพัฒนางาน ผํอนคลาย มองโลกในแงํดี เป็น กาลังสาคัญอกี ลักษณะหนึง่ ในการพฒั นางาน 4) กลมํุ บคุ คลทมี่ นี สิ ยั งาํ ย ๆ เข๎ากับผ๎ูอื่นและสิ่งแวดล๎อมได๎งําย ยืดหยุํน ผํอนคลาย สายกลาง เลี่ยงการปะทะ การขัดแย๎ง สามารถไกลํเกลี่ยป๓ญหาได๎อยํางมีเหตุผล สุขุม รอบคอบ ซ่ึงในความเป็นจริงบุคคลแตํละกลํุมนิสัยมักมีนิสัยของอีกกลุํมหรือหลายกลุํมผสมผสานด๎วย (คาร๑ดิโอโอเค, 2560) การพัฒนาบุคคลให๎มจี ิตสาธารณะควรมีข๎อคานึงถึงแตํละกลํุมบุคคลในลกั ษณะเดียวกนั 3.3 ผ๎มู บี ทบาทสาคัญในการพัฒนาบุคคลใหม๎ จี ติ สาธารณะ กระบวนการพัฒนาคนโดยท่ัวไปเน๎นท่กี ารพัฒนาในสถานศกึ ษาต๎องอาศัยครเู ปน็ บคุ คลสาคัญใน การดาเนินงานโดยตรง และจาเป็นต๎องมกี ารสนบั สนุนสํงเสริมจากผ๎บู ริหาร ดังนี้ 3.3.1 การพัฒนาคนในบทบาทของครู ในยุคป๓จจุบันซึ่งมีการเปล่ียนแปลงทุกมิติอยํางรวดเร็ว ครูจาเป็นต๎องปรับเปล่ียนวิธีคิด กระบวนการจัดการเรยี นรเ๎ู พ่ือพฒั นาผเู๎ รยี น สรา๎ งโอกาสการเรยี นรู๎แกํผ๎ูเรยี น สนับสนนุ ให๎ผเ๎ู รียนไดเ๎ รียนร๎ูอยาํ ง เต็มศักยภาพ ใหผ๎ เ๎ู รียนไดป๎ ฏิบัติในส่ิงท่ีเรียนรู๎ เพอ่ื ใหเ๎ ขาไดเ๎ ผชิญปญ๓ หาและแก๎ไขป๓ญหาที่เกิดขึ้นระหวํางงาน ลงมอื ทางาน หมัน่ ประเมนิ การเรียนรข๎ู องผ๎เู รียนอยํางหลากหลายวิธกี าร ทง้ั ชวํ งขณะที่เขาเรียนร๎ูและหลังการ เรยี นร๎ู หาแนวทางพัฒนาผ๎เู รยี นเสมอ ทั้งความร๎ู ความดี และทักษะปฏิบัติ เนน๎ การอยรูํ ํวมกนั ในสังคมอยํางสุข สงบ ครตู อ๎ งพฒั นาตนเองดว๎ ยกระบวนการเรยี นรหู๎ ลายประการ วิธีทด่ี ีท่ีสดุ คอื การเรยี นรจู๎ ากผรู๎ วํ มวชิ าชีพ คอื เรยี นรู๎จากครูดว๎ ยกันเอง เร่ิมจากกลํุมครกู ลมุํ เล็ก ๆ ท่ีศรัทธางานครู คดิ จะเปล่ยี นแปลงวิธีการทางานของตนใน การพฒั นาผเู๎ รียน ในการนีโ้ รงเรียนตอ๎ งสนับสนนุ ครใู ห๎ดแู ลนักเรยี นถว๎ นทวั่ ทกุ คน ท้ังเรื่องความดแี ละความเกงํ (วิจารณ๑ พานิช, 2560) ประยุกตส๑ ูกํ ารพัฒนาผูเ๎ รยี นใหม๎ ีจิตสาธารณะ ควบคูํกบั การพัฒนาด๎านอ่นื ๆ 3.3.2 การสนับสนนุ สํงเสริมของผู๎บริหาร ผู๎บริหารเป็นบุคคลหรือกลํุมบุคคลที่ชํวยการสนับสนุนสํงเสริมการพัฒนาคน อันควร เกี่ยวข๎องกับบทบาทของผู๎บริหารในการบริหารงานสถานศึกษาด๎านตําง ๆ เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพข องการ ปฏิบัตงิ านของครใู นการพฒั นาผเ๎ู รียน ตามบทบาทครูผ๎ูเป็นบุคลากรหลักในการจัดการเรียนร๎ู ภายใต๎การนา ของผบู๎ ริหารสถานศกึ ษาท่ีนานโยบายและหลักสตู รไปสํกู ารปฏิบตั ิ มีการกากบั ตดิ ตามและนเิ ทศครดู ๎วยวิธีการ ทเ่ี หมาะสม ตามระบบทกุ ชํวงเวลา พัฒนาครูและนักเรียนอยํางสอดคล๎องกับเปูาหมายและบริบทของแตํละ สังคม ชุมชน (สนอง มะลัยขวัญ, 2560) ในทานองเดียวกัน การพัฒนาจริยธรรม รวมถึงการพัฒนาการมี จิตสาธารณะของบุคคลสามารถดาเนินการโดย การสรรหา คัดเลือก ปฐมนิเทศ ฝึกอบรม ประเมินผลการ ปฏบิ ัติงาน และการเสรมิ แรง (สานติ ย๑ หนนู ิล, 2556) สรปุ ไดว๎ ําการพัฒนาจติ อาสาของบุคคล สามารถดาเนินการไดท๎ ั้งในระดบั รายบคุ คล กลมํุ บุคคล และพฒั นาผํานกระบวนการจัดการศึกษาโดยครูเป็นผูพ๎ ฒั นาผ๎เู รียน มีผ๎ูบริหารใหก๎ ารสนบั สนุนสงํ เสริม จากการศึกษาเอกสารและขําวสารตําง ๆ สรุปประเด็นเก่ียวกับอาธิวราห๑ คงมาลัย ได๎วํา เขา เป็นแบบอยํางที่ดีในการทาความดี มีภาครัฐและเอกชนให๎ความรํวมมือดาเนินโครงการ เน่ืองจากเป็นการ กระทาเพอ่ื สาธารณะ เพื่อประโยชนข๑ องสังคม ด๎วยความสภุ าพ มงุํ ม่ัน ลงมอื ทาจริง มงุํ บรรลเุ ปูาประสงค๑ที่ไมํ อาจคาดการณ๑ไดว๎ าํ จะประสบผลสาเรจ็ เพียงใด ใหค๎ วามสาคญั กบั ทกุ คน มีคนไทยจานวนมากทัว่ ประเทศใหเ๎ ข๎า การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 216

รํวมกิจกรรม ทั้งด๎วยการรํวมว่ิง รํวมบริจาค และรํวมให๎กาลังใจ อีกท้ังแสดงความชื่นชอบผํานส่ือตําง ๆ องค๑กรตําง ๆ ทัง้ ภาครัฐและเอกชนสนบั สนุน เกิดการสร๎างภาวะผ๎ูนาให๎เกิดข้ึนอีกหลายคนห ลายกลํุมในการ รํวมกันสนับสนุนโครงการก๎าวคนละกา๎ วเพอ่ื 11 โรงพยาบาลทวั่ ประเทศ โครงการจึงบรรลุเปาู ประสงค๑ ทาให๎ คนไทยทีส่ นใจโครงการนเ้ี หน็ ความสาคัญและเขา๎ รํวมโครงการ เกดิ ประโยชน๑ตํอท้ังสงั คมและตนเอง อนั ควรแกํ การนาสาระสาคัญมาเปน็ แนวคดิ ในการพัฒนาคนไทยตามความเหมาะสมกับบคุ คล กลมุํ บคุ คล และพัฒนาผาํ น กระบวนการจดั การศึกษา โดยมีครแู ละผ๎ูบริหารรํวมกันดาเนินงาน การศึกษาความเป็นผู๎นาจิตสาธารณะ กรณีศึกษา อาธิวราห๑ คงมาลัย จากเอกสาร ขําวสาร การ สมั ภาษณ๑ และหลกั จรยิ ธรรมของผนู๎ า (กนกอร สมปราชญ๑, 2559) กาหนดกรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย ดงั แสดงใน ภาพประกอบ 1 หลกั จรยิ ธรรมของผู้นา 1) มีการวเิ คราะห๑สถานการณ๑ 2) เป็นผ๎ทู าให๎เกดิ การเปล่ียนแปลงพฒั นา คุณลักษณะของอาธิวราห์ คงมาลัย 3) มีวสิ ัยทัศนม๑ องการณ๑ไกล 1) มองการณ๑ไกล 4) เป็นผู๎ศกึ ษาเรียนรูต๎ ลอดเวลา 2) ปฏบิ ัตเิ พ่อื ประโยชนส๑ าธารณะ 5) เป็นผู๎เสรมิ พลังแกํผู๎อ่นื 3) กลา๎ ตดั สนิ ใจทางานใหญํ 6) เปน็ ผมู๎ ีเสรภี าพทางความคดิ 4) มํุงมน่ั อดทน 7) มีจรยิ ธรรมสํวนตนและสอดคล๎องกบั 5) สภุ าพ จริยธรรมในสังคมทีต่ นอยํู 6) ให๎เกียรติ และใหค๎ วามสาคัญกับ 8) เปน็ ผส๎ู ร๎างภาวะผู๎นา ผ๎อู น่ื 9) เปน็ ผูต๎ อบสนองและรบั ผดิ ชอบตํอสงั คม 7) สามารถโน๎มน๎าวผ๎ูอื่นใหร๎ วํ มทาดี 10) เปน็ ผูท๎ ่มี กี ารไตรตํ รองและสะท๎อนคิด ความเปน็ ผนู้ าจิตสาธารณะ ของ อาธิวราห์ คงมาลัย ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดในการวิจยั วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย การวิจยั คร้งั น้ีมํงุ ศึกษาคุณลกั ษณะความเป็นผ๎ูนาจิตสาธารณะ จากกรณศี ึกษา อาธวิ ราห๑ คงมาลยั วิธีดาเนนิ การวจิ ยั การวจิ ัยคร้งั นี้ดาเนนิ การดังนี้ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 217

1) ศกึ ษาเอกสารและขาํ วสารท่ีเกยี่ วขอ๎ ง 2) สัมภาษณ๑ประชาชนที่สนใจกจิ กรรมของอาธวิ ราห๑ คงมาลยั จานวน 43 คน โดยใช๎ แบบสัมภาษณ๑แบบไมมํ ีโครงสรา๎ ง สมั ภาษณไ๑ ด๎ข๎อมูลอ่ิมตวั 3) วเิ คราะหไ๑ ดค๎ ณุ ลักษณะของอาธวิ ราห๑ คงมาลัย ที่ไดจ๎ ากการสมั ภาษณ๑ เชอื่ มโยงหลักจริยธรรม ของผนู๎ าของ กนกอร สมปราชญ๑ (2559 : 171 - 172) สรปุ ผลการวจิ ยั และอภิปรายผล จากกสัมภาษณ๑ประชาชนที่สนใจกิจกรรมของอาธิวราห๑ คงมาลัย จานวน 43 คน โดยใช๎ แบบสัมภาษณ๑แบบไมํมโี ครงสร๎าง วิเคราะหเ๑ ชอื่ มโยงกับหลกั จรยิ ธรรมของผน๎ู า มผี ลการวจิ ัยดงั ตาราง 1 ตาราง 1 การวิเคราะหค๑ ณุ ลกั ษณะของอาธิวราห๑ คงมาลยั จากการสมั ภาษณ๑ กับหลักจรยิ ธรรมของผ๎ูนา สาระสาคญั ทีไ่ ด้จากการสมั ภาษณ์ ความถี่ ผลการวิเคราะหเ์ คราะห์ 1. ผู๎สร๎างแรงบันดาลใจให๎กล๎าคิด ทาในส่ิงที่คิดวําดี เป็นผ๎ูนาในการ 15 1. เปน็ ผ๎ูนาท่ีมีบุคลิกโดดเดํน “ให๎” และทาสิง่ ทเี่ ปน็ ประโยชน๑ตํอผู๎อื่นเป็นผู๎นาการทาความดี ด๎วย เป็นแบบอยํางท่ีดีในการทา การกระทา ทาความดีเพ่ือความดี เป็นผ๎ูสานความผูกพัน สามารถ ความดี โดยมีการวางแผน รวมพลงั ความรัก สามคั คขี องคนไทยเข๎าดว๎ ยกัน อาศยั การมี 2. นึกถึงผ๎ูอ่ืนกํอนตนเอง นึกถึงประโยชน๑สํวนรวมมากกวําสํวนตัว 14 สํวนรํวมจากทั้งภาครัฐและ ชํวยเหลอื ผ๎อู ่นื ดว๎ ยความเต็มใจ มีหัวใจที่ยิ่งใหญํ แสดงถึงการชนะใจ เอกชน ดาเนินงานด๎วยความ ตนเอง ระมัดระวัง รอบคอบ เพื่อ 3. มคี วามมงํุ ม่นั ต้ังใจสูง มานะ พยายาม เข๎มแข็ง เอื้อเฟ้ือ ศรัทธาใน 13 สาธารณะ สิ่งที่ทามีความกล๎า ทาส่ิงที่ยาก และเชื่อวําจะมีคนไทยเข๎ารํวม 2. มีวิสัยทัศน๑ มองการณ๑ไกล กิจกรรม เป็นผู๎ให๎ ซึ่งมีอิทธิพลตํอการมีสํวนรํวมของผ๎ูอื่น เป็นศูนย๑ เพื่อประโยชน๑ของสงั คม รวมใจคนไทยทกุ ระดับท่จี ะทาความดีเพ่ือสวํ นรวม 3. มํุงม่ัน ลงมือทาจริง มํุง 4. เป็นแบบอยํางท่ีดีในการทาความดีโดยไมํหวังส่ิงตอบแทน เป็นผ๎ู 9 บรรลุเปูาประสงค๑ยิ่งใหญํ เสยี สละที่ยิ่งใหญํ เปน็ ตน๎ แบบของการปฏบิ ัตคิ วามดีดว๎ ย พัฒนาตนเสมอ ด๎วยความ จติ สาธารณะ นาไปสํกู ารพฒั นาคนได๎ทุกหมูํเหลํา ไมํมี อํอนน๎อม สุภาพ เคารพ ให๎ การแบํงพรรค แบํงพวก ไมํแบํงชัน้ วรรณะ เกยี รตผิ ู๎อืน่ ใหค๎ วามสาคัญกับ ทุกคน 5. เขม๎ แขง็ อดทน เสยี สละ เปน็ นกั สู๎ ไมทํ อ๎ ถอยแม๎พบอปุ สรรคตาํ ง ๆ 6 4. สร๎างความศรัทธาและ ทาอะไร ทาจริง ทาเต็มที่ ทาจนสาเร็จ ท้ังงานกีฬา งานร๎อง เสริมพลังคนไทยจานวนมาก เพลง งานอน่ื ๆ และงานวิง่ คนละกา๎ ว ท่ั ว ป ร ะ เ ท ศ ใ ห๎ เ ข๎ า รํ ว ม กิจกรรมตามกาลัง ทาให๎การ ด า เ นิ น โ ค ร ง ก า ร บ ร ร ลุ ผ ล สาเรจ็ ตามเปาู ประสงค๑ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 218

สาระสาคญั ทไี่ ดจ้ ากการสมั ภาษณ์ ความถ่ี ผลการวเิ คราะหเ์ คราะห์ 5. เกิดผลดีข๎างเคียง คือ ทา ให๎คนไทยท่ีสนใจโครงการน้ี เหน็ ความสาคัญของการดูแล สุขภาพ การออกกาลังกาย เ พื่ อ สุ ข ภ า พ แ ล ะ เ กิ ด ความสามัคคีในหมคูํ นไทย 6. หน๎าตาดี เรียนเกงํ สุภาพบรุ ษุ บุคลิกโดดเดนํ เรียบงําย พูดจาดี ไมํ 6 โออ๎ วด มักเกรงใจ เคารพผ๎ูอ่นื ในความเป็นป๓จเจกบคุ คล 7. ทาให๎คนไทยตระหนักถึงความสาคัญของสุขภาพ สะท๎อนให๎คนไทย 4 มองเห็นปญ๓ หาสาธารณสุข 8. ให๎ความสาคญั ให๎เวลากับทุกคน แมบ๎ างครั้งมีขอ๎ จากดั ทางสุขภาพ 3 9. มจี ินตนาการสงู คลา๎ ยเพ๎อฝ๓น 3 10. สร๎างแรงบันดาลให๎คนไทยออกกาลังกาย 2 11. ใหแ๎ งํคดิ วํา ความสมบูรณ๑ของรํางกายและจิตใจเป็นพื้นฐานของ 2 การทาเพ่อื ผ๎อู น่ื 12. มีความสามารถหลายอยําง รอ๎ งเพลงเพราะ แตเํ ปน็ นกั ว่ิงเพือ่ ผ๎อู น่ื 2 ในเวลาเดียวกนั เป็นเรอื่ งท่นี าํ ประทบั ใจ ดเู หมอื นเหลือเชื่อ 13. เป็นทชี่ น่ื ชอบของคนหนํุมสาวจานวนมาก 2 14. ใหแ๎ งคํ ดิ วํา การทาบญุ ไมจํ าเปน็ ต๎องมาก หากรํวมกันทาเพียงคน 1 ละเล็กนอ๎ ยก็บรรลเุ ปูาประสงคร๑ วํ มกนั ได๎ 15. เป็นท่ียอมรับและได๎รับความชํวยเหลือสนับสนุนตั้งแตํระดับ 1 บคุ คล ระดับสถาบนั จนถึงรฐั บาล จากตาราง 1 จากการสัมภาษณ๑ สรปุ ได๎วาํ อาธวิ ราห๑ คงมาลัย เปน็ ผู๎นาท่มี บี คุ ลิกโดดเดํน เป็นแบบอยําง ทด่ี ีในการทาความดี โดยมกี ารวางแผน อาศัยการมีสํวนรํวมจากท้ังภาครัฐและเอกชน ดาเนินงานด๎วยความ ระมดั ระวัง รอบคอบ เพอื่ สาธารณะ จากการมีวิสัยทัศน๑ มองการณ๑ไกลเพื่อป ระโยชน๑ของสังคม ด๎วยความ มุํงมัน่ ลงมือทาจรงิ มุํงบรรลุเปาู ประสงคย๑ ิ่งใหญํ พัฒนาตนเสมอ ด๎วยความอํอนน๎อม สุภาพ เคารพ ให๎เกียรติ ผ๎ูอื่น ให๎ความสาคัญกับทุกคน สร๎างความศรัทธาและเสริมพลังคนไทยจานวนมากท่ัวประเทศให๎เข๎ารํวม กิจกรรมตามกาลงั ทาให๎การดาเนินโครงการบรรลุผลสาเร็จตามเปูาประสงค๑ เกิดผลดีข๎างเคียง คือ ทาให๎คน ไทยทสี่ นใจโครงการนี้เห็นความสาคัญของการดูแลสขุ ภาพ การออกกาลังกายเพอ่ื สุขภาพ และเกดิ ความสามัคคี ในหมํคู นไทย การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 219

สรุปผลการศกึ ษาจากการศึกษาเอกสารและการสัมภาษณ๑ซ่ึงมีผลการศึกษาใกล๎เคียงกัน สรุปคุณลักษณะ ของ อาธวิ ราห๑ คงมาลยั ได๎วาํ เปน็ ผู๎มีบุคลกิ โดเดนํ แบบเรียบงําย ตามหลกั จริยธรรมของผ๎ูนา เป็นผู๎นาด๎านจิต สาธารณะ มีพฤติกรรมดีงาม โน๎มน๎าวความคิด ความร๎ูสึกของผ๎ูที่ศรัทธาให๎มีเจตคติที่ดีและปฏิบัติส่ิงท่ีเป็น ประโยชนเ๑ พ่อื ผอ๎ู น่ื เพ่ือสงั คม โดยไมํหวังสิ่งตอบแทน ปรากฏชดั ในโครงการกา๎ วคนละก๎าวเพ่ือ 11 โรงพยาบาล ทวั่ ประเทศ ซึ่งเปน็ การวิ่งระยะไกลจากภาคใต๎จรดภาคเหนือของประเทศไทย วิ่งผาํ น 20 จังหวัด รวมระยะทาง ประมาณ 2,191 กิโลเมตร ใชเ๎ วลารวม 55 ไดร๎ บั เงินบรจิ าคมากกวาํ 1,150 ล๎านบาท เกินเปูาหมายที่กาหนด และยงั มีการบริจาคตํอเนื่องอีกระยะหน่ึง ดาเนินงานโดยอาศยั การมวี ิสัยทศั น๑ มองการณ๑ไกลเพอื่ ประโยชนข๑ อง สังคม มกี ารวางแผนและดาเนินงานดว๎ ยความระมดั ระวัง อาศัยการมีสํวนรํวมจากทั้งภาครัฐและเอกชนและ ประชาชนท่วั ไป ดว๎ ยการแสดงพฤติกรรมมุํงม่ัน กล๎าตัดสินใจ ลงมือทาจริง มุํงบรรลุเปูาประส งค๑ย่ิงใหญํ บน พน้ื ฐานของการเรียนรูแ๎ ละพัฒนาตนเสมอ ภายใตค๎ วามออํ นนอ๎ ม เคารพ ให๎เกียรติผ๎ูอื่น ให๎ความสาคัญกับทุก คน ดาเนินงานดว๎ ยความสุขุม รอบคอบ เปน็ แบบอยํางทีด่ ี เปน็ การสร๎างความศรัทธาและเสริมพลังคนไทยให๎ เขา๎ รํวมกจิ กรรมทาความดีเพ่ือผู๎อื่น เพื่อสาธารณะ อันเป็นจริยธรรมที่สังคมป๓จจุบันให๎ความสาคัญ นับเป็น ผ๎ูสร๎างภาวะผู๎นา (Super Leadership) แกํผู๎รํวมดาเนินงาน เกิดผ๎ูนาในการทากิจกรรมว่ิงเสริมโครงการท่ี ดาเนินงาน เป็นการสร๎างผ๎ูนาท่ีรํวมกันทางานเพื่อสังคมและชุมชน ประชาชนจานวนมากให๎ความสนใจ ตดิ ตาม และเข๎ารวํ มกิจกรรมวิ่งในโครงการตลอดเสน๎ ทาง รํวมบริจาคเงนิ และรํวมให๎กาลังใจ ทาให๎การดาเนิน โครงการที่ยิ่งใหญํทงั้ เปาู ประสงคแ๑ ละวธิ ีการบรรลผุ ลสาเร็จ เกิดผลดีขา๎ งเคยี ง คอื ทาให๎คนไทยท่สี นใจโครงการ น้ีเห็นความสาคัญของการดูแลสุขภาพ การออกกาลังกายเพื่อสุขภาพ และเกิดความสามัค คีในหมูํคนไทย ดว๎ ยกันในการเข๎ารํวมดาเนนิ โครงการ ล๎วนเก่ยี วข๎องกบั การพฒั นาคนไทยในปจ๓ จบุ ัน เป็นการแก๎ป๓ญหาสังคมท่ี เริ่มตน๎ จากภาคประชาชนและสนบั สนนุ โดยทง้ั องค๑กรภาคเอกชนและภาครัฐ อภปิ รายผลการวิจัย 1) จากการวิจัยทพี่ บวําอาธิวราห๑ คงมาลยั มีความเป็นผน๎ู าจิตสาธารณะท่ีสามารถรวมพลังคนไทยให๎ รํวมกจิ กรรมที่มผี ลตอํ การพัฒนาสงั คมในวงกว๎าง เนอ่ื งมาจากอาธิวราห๑ คงมาลัยเป็นบุคคลที่เป็นตัวอยํางท่ีดี และเป็นทีช่ ่นื ชอบ ทาให๎คนไทยที่สนใจโครงการเกิดความศรัทธา เข๎ารํวมโครงการเพื่อเปูาประสงค๑เดียวกัน ดงั ที่ Mahar, T.A. (2004) และ อุษณยี ๑ มงคลพทิ ักษ๑สุข (2554 : 159-196) เสนอหลักการไว๎ อีกท้ังเป็นไปตาม ทฤษฎีประชาสงั คม (Civil Society Theory) ที่วําดว๎ ยการเรียนรจู๎ ากบุคคลรอบขา๎ ง บุคคลที่ศรัทธาด๎วยความ เตม็ ใจ เกดิ การเลยี นแบบผท๎ู ี่เปน็ ตัวอยาํ งที่ดี เกิดความรํวมมอื กนั ในการดาเนินการบางประการ ทมี่ จี ดุ มุํงหมาย หรือเปูาประสงค๑เพื่อความสัมพันธ๑ภายในกลุํม ดูแลผลประโยชน๑ของสํวนรวม (พระมหาชานาญ กตธมฺโม [บญุ แพ], 2555) 2) จากการวจิ ยั ทพี่ บวาํ คุณลกั ษณะเกี่ยวกับความเปน็ ผ๎นู าดา๎ นจติ สาธารณะของอาธิวราห๑ คงมาลยั จากการศึกษาเอกสารและจากการสมั ภาษณ๑ มีสาระสาคัญใกลเ๎ คยี งกนั แสดงให๎เห็นถึงข๎อมูลเอกสารกับข๎อมูล เชิงประจกั ษ๑มคี วามสอดคล๎องกนั เปน็ การยนื ยนั ผลการศกึ ษา การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 220

ขอ้ เสนอแนะ 1) ขอ้ เสนอแนะสูก่ ารปฏิบตั ิ การพัฒนาคนไทยท่ีมํุงเปูาหมายพัฒนาคนให๎มีลักษณะนิสัยท่ีดีงาม มีจิตสาธารณะ อันจะเป็น ประโยชนต๑ ํอการพัฒนาสงั คม สามารถดาเนนิ การไดท๎ งั้ การพัฒนาตนเอง การพัฒนาบุคลากรภาคแอกชนและ ภาครฐั ด๎วยกระบวนการพัฒนาท่เี ริม่ จากการกาหนดเปาู ประสงคท๑ ีช่ ัดเจนเปน็ ประโยชนต๑ อํ สวํ นรวม กลาํ วคอื (1) กรณีพัฒนาตนเอง บุคคลพงึ เริ่มจากเรยี นรู๎และปรับเจตคติที่มีตํอการปฏิบัติจิตสาธารณะเป็น เชงิ บวก เรยี นร๎ูจากบคุ คลและกลมํุ บคุ คลทเ่ี ขา๎ รวํ มหรอื จดั กิจกรรมเพ่ือสาธารณะ (2) กรณีพัฒนากลํุมบุคคลท่ีดาเนินการโดยภาครัฐจาเป็นต๎องนานโยบายที่ปรากฏในแผนพัฒนา การจดั การศกึ ษาระดบั ชาติสูกํ ารปฏิบตั ิอยาํ งเปน็ รูปธรรม ทงั้ ในสถาบันท่ัวไป สถาบันการศกึ ษา และการเรยี นรู๎ พัฒนาจิตสาธารณะตามอัธยาศัย ที่สํวนกลางต๎องให๎การสนับสนุน เชิดชูบุคคลท่ีเป็นตัวอ ยํางท่ีดี จัดหรือเอ้ือ โอกาสให๎หนํวยงาน กลุมํ บคุ คลและบคุ คลได๎ทากจิ กรรมเพ่อื ประโยชนแ๑ กสํ งั คม (3) กรณีพฒั นากลํุมบคุ คลท่ดี าเนนิ การโดยภาคเอกชนซึ่งมคี วามยดื หยุํนการบริหารจัดการ สามารถ ดาเนินงานทัง้ ในลกั ษณะเดียวกับภาครฐั และดาเนนิ การตามวาระพิเศษ หรือวาระเรงํ ดํวนทเ่ี กดิ ขนึ้ ในสังคม ทง้ั นภ้ี าครัฐและเอกชนสามารถรวํ มมือกันระดมความมีจิตอาสา หรือความมีจิตสาธารณะจากคน ไทย ในการรํวมกนั แก๎ไขป๓ญหาและพัฒนาสังคมไทยได๎ โดยใชก๎ รณีศึกษาจาก อาธวิ ราห๑ คงมาลัยเปน็ จุดเร่ิมต๎น ของการประยุกต๑ออกแบบกจิ กรรมเพื่อการดังกลําว 2) ข้อเสนอแนะในการวจิ ัยครัง้ ต่อไป ควรศกึ ษาแนวทางพัฒนาคนไทยให๎มีจิตสาธารณะ และการสรา๎ งผ๎นู าจิตสาธารณะดว๎ ยวิธกี ารที่ หลากหลาย ด๎วยกระบวนการวจิ ัยเชิงคุณภาพ เอกสารอา้ งอิง กนกอร สมปราชญ๑. (2559). ภาวะผนู้ าและภาวะผนู้ าการเรยี นรู้สาหรับผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา. ขอนแกํน : หจก. โรงพิมพค๑ ลังนานาวทิ ยา. กรองทพิ ย๑ นาควเิ ชตร. (2552). ภาวะผู้นาสร้างสรรคเ์ พือ่ การศึกษา. สมุทรปราการ : บริษทั ธีรสาสน๑ พับลชิ เชอร๑ จากัด. . (2557). รปู แบบพัฒนาภาวะผู้นาสาหรบั ผูน้ านักศกึ ษามหาวทิ ยาลยั เอกชน. นครราชสมี า : มหาวิทยาลัยวงษช๑ วลิตกลุ . กระทรวงยุติธรรม. (2560). แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2560 - 2579). [ออนไลน]๑ . ได๎จาก : http://www.moj.go.th. สืบคน๎ เม่อื วันที่ 2 ธันวาคม 2560 การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 221

คาร๑ดโิ อโอเค. (2555). พัฒนาคน พฒั นาองค์กร. (ออนไลน)๑ . ไดจ๎ าก : www.cardiook.net. สืบค๎นเมื่อ วนั ที่ 12 มกราคม 2560. ฉัตรฤทัย อินทุโศภน และพพิ ฒั น๑ นนทนาธรณ๑ (2559). อิทธพิ ลของภาวะผนู๎ าการปฏริ ปู และจติ สาธารณะที่ สงํ ผลตํอพฤตกิ รรมการเปน็ สมาชิกท่ีดีขององคก๑ ารใน รด.จติ อาสา. วารสารสมาคมนักวิจยั . 21 (3) กนั ยายน – ธนั วาคม 2559: 86 – 99. ทเี อน็ เอน็ 24. (2560). ตนู ว่ิงเขา้ เขต อ. แมส่ ายยอดบรจิ าคพ่งุ 1,150 ลา้ น. [ออนไลน]์ . ได้จาก : https://www.youtube.com/watch?v=JPb-FecOo5s. สืบคน๎ เม่ือวันท่ี 2 มกราคม 2561. ทีวชี อํ ง 33. (2560 ). รายการทวี ชี อ่ ง 33 (รายการเกีย่ วเนือ่ งกับอาธวิ ราห๑ คงมาลยั ). ทีวชี อํ ง 33 วนั ที่ 25 ธนั วาคม 2560 นิ้วกลม. (2556). “ตาแหนงํ ”. Head. บรรณาธิการโดย ภาวนา แกว๎ แสงธรรม. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ๑ KOOB. หนา๎ 170 – 173. ปภาพนิ ท๑ รนธาตุ และคณะ. (2559). การพัฒนาจติ สาธารณะด๎วยกระบวนการเรยี นรจู๎ ากประสบการณ๑ ของผนู๎ านักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาตอนต๎นสังกดั สานกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษา สกลนคร เขต 3. วารสารมหาวิทยาลัยนครพนม. 6 (9) พฤษภคม – ธันวาคม 2559 : 25 – 32. พระพรหมคุณาภรณ๑ [ป.อ. ปยุตโฺ ต]. (2546). ภาวะผ้นู า : ความสาคัญตอ่ การพัฒนาคน พัฒนา ประเทศ. กรงุ เทพฯ : ธรรมสภา. . (2549). ภาวะผู้นา. พมิ พค๑ ร้งั ท่ี 8. กรงุ เทพฯ : สุขภาพใจ. พระมหาชานาญ กตธมฺโม [บญุ แพ]. (2555). การศกึ ษาจติ สาธารณะในพระพทุ ธศาสนาเถรวาท. พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาพระพุทธศาสนา) มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย. พนั ทิพยด๑ อทคอม. (2560). โครงการก้าวคนละกา้ ว. [ออนไลน]๑ . ได๎จาก https://pantip.com/topic/37221640 สืบค๎นเม่ือ วนั ท่ี 2 มกราคม 2561. โพสต๑ทูเดย๑. (2560). ตูนวิง่ ถงึ แม่สายแลว้ ! คนรว่ มบริจาคล้น ยอดพงุ่ 1.1 พันลา้ น. วันท่ี 25 ธันวาคม 2560.. [ออนไลน๑]. ไดจ๎ าก : https://www.posttoday.com. สืบค๎นวนั ท่ี 2 มกราคม 2561. ไพฑรู ย๑ สนิ ลารัตน๑และคณะ. (2555). วิกฤตอิ ดุ มศึกษาไทย : ทีม่ าและทไ่ี ป. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ๑ แหงํ จฬุ าลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. ราชบัณฑติ ยสถาน. (2556). พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. พมิ พค๑ รัง้ ที่ 2 . กรงุ เทพฯ : บริษทั นานมีบ๏คุ สพ๑ ับลเิ คชัน่ ส๑ จากัด. วจิ ารณ๑ พานชิ . (2559). การสรา้ งการเรียนรสู้ ูศ่ ตวรรษที่ 21. นครปฐม : ส เจรญิ การพมิ พ๑ จากดั . . (2560). การประชมุ และนาเสนอผลงานวชิ าการทางการศกึ ษาระดับชาติ ครง้ั ที่ 4 เรื่อง “ เส้นทางสู่คุณภาพการศกึ ษายคุ ไทยแลนด์ 4.0” วนั ที่ 8 มกราคม 2560 จัดโดยคณะศึกษาศาสตร๑ มหาวิทยาลยั วงษ๑ชวลิตกุล. ณ ศนู ย๑ประชุมสตาร๑เวลล๑ อาเภอเมือง การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 222

จังหวัดนครราชสีมา วิจติ ร ศรีสอา๎ น. (2561). การประชุมและนาเสนอผลงานวิชาการระดับชาติ ครั้งท่ี 5 เร่อื ง “คุณภาพ การศึกษาสาหรับทุกคน : นวัตกรรม ความท้าทาย ความทักเทียม และความยั่งยนื สาหรบั ประเทศ ไทย 4.0” วนั ท่ี 6 มกราคม 2561 จัดโดยคณะศกึ ษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยวงษ๑ชวลิตกลุ ณ โรงแรม สบาย อาเภอเมือง จงั หวดั นครราชสมี า. วัดปาุ ธรรมครี ี. (2559). การให้. (ออนไลน)๑ ได๎จาก : https://www.facebook.com/WatPaThammakeeree. สืบคน๎ เมือ่ วนั ที่ 1 พฤษภาคม 2559. ศกั ดิ์สทิ ธ์ิ พนั ธสุ๑ ทั ธ๑. (2560). เดนิ ตามคาพ่อสอน : บรรณาธิการ. ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดารัส เกยี่ วกับหลกั ในการดาเนนิ ชวติ ให๎มีความสุขแความเจริญรํงุ เรอื ง. กรุงเทพฯ : หจก. แอลพีซี ฐิติพรการพมิ พ๑ สนอง มะลัยขวญั . (2560). รํวมสนทนากลํุมแนวทางพฒั นาคนไทยตามคาสอนและแนวปฏิบัตขิ อง หลวงพอํ คูณ ปริสทุ .โธ. ณ สหกรณค๑ รูนครราชสีมา อาเภอเมือง จังหวดั นครรราชสีมา วนั ที่ 12 กมุ ภาพันธ๑ 2560. สมพงษ๑ จติ ระดับ. (2557). ความท้าทายของการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21. การประชุมและนาเสนอ ผลงานวิชาการทางการศึกษาระดับชาติ ครั้งท่ี 2 เรอ่ื ง การพฒั นาคุณภาพการศึกษาใน ศตวรรษที่ 21 จดั โดยคณะศึกษาศาสตร๑ มหาวทิ ยาลัยวงษช๑ วลติ กุล วนั ที่ 22 – 23 พฤศจกิ ายน 2557. ณ โรงแรมสบาย อาเภอเมอื ง นครราชสีมา. สานิตย๑ หนูนิล. (2556). การพัฒนาจริยธรรมในองค๑กรผํานกระบวนการบริหารทรัพยากรมนุษย๑. วารสารมหาวิทยาลัยศลิ ปากร ฉบบั ภาษาไทย. 33 (1) : 131 – 148. สานกั งานกองทนุ สนับสนุนการสร๎างเสริมสขุ ภาพ. (2560). การพัฒนาคนตามวิถธี รรมชาติ จติ อาสา พลงั แผน่ ดิน. [ออนไลน๑]. ไดจ๎ าก : www.thaihealth.or.th สืบคน๎ เมื่อวนั ที่ 12 มกราคม 2560. สานักงานคณะกรรมการเศรษฐกจิ และสังคมแหงํ ชาติ. (2559). แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี สิบสอง (พ.ศ. 2560 - 2564). สานกั นายกรฐั มนตร.ี เสริมศกั ด์ิ วศิ าลาภรณ๑. (2555). ย๎อนมองอดตี . หลกั บรหิ ารการศึกษา เกียรตคิ ณุ ศาสตราจารย์ ดร. เสรมิ ศกั ดิ์ วศิ าลาภรณ์ ราชบณั ฑิต เน่อื งในโอกาสอายคุ รบ 6 รอบ วันท่ี 31 สงิ หาคม 2555. บรรณาธิการโดย จักรพรรดิ วะทา.กรุงเทพฯ : พี. เอ. ลฟี ว่งิ จากัด. หนา๎ 35-47. อุษณยี ๑ มงคลพิทักษส๑ ุข. (2550). การพัฒนาภาวะผูน๎ าเปลยี่ นสภาพของนายก อบต. เพ่ือประสทิ ธิผล ขององค๑การ. วารสารร่มพฤกษ.์ 25(3) : 159 – 196. Ever, C.W. and Lokomski., G. (2000). Doing Educational Administration. A Theory of Administrative Practice. New York : Pergamon. Mahar, T.A. (2004). An examination of the MLQ and development of the transformational leadership questionnaire. Master’ s thesis, Department การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 223

of Applied Psychology, Saint Mary University. รปู แบบหน่วยงานกลางสะสมผลการเรยี นรู้ สาหรบั การศกึ ษาตลอดชีวิต The Model of Thai Credit Bank Central Office for Lifelong Education อรณุ ี ตระการไพโรจน์ มหาวทิ ยาลยั ธุรกจิ บณั ฑติ ย์ [email protected] บทคัดยอ่ การวิจยั นม้ี วี ตั ถุประสงค๑ เพ่ือนาเสนอรูปแบบหนํวยงานกลางสะสมผลการเรียนรู๎ สาหรับการศึกษา ตลอดชวี ติ ดาเนนิ การวิจัยโดย 1) ศกึ ษาหลกั การ แนวคิดและพฒั นาการของการสะสมผลการเรียนร๎ูท้ังจากใน ตํางประเทศและในประเทศ 2) ศึกษาสภาพป๓จจบุ นั ของการดาเนนิ งานท่เี กีย่ วข๎องกบั การบริหารจัดการเทียบ โอนผลการเรียนรู๎ ระบบทะเบียน วัดและประเมนิ ผลของประเทศไทย 3) ออกแบบรํางรูปแบบในขั้นต๎น และ นาเสนอราํ งรปู แบบหนวํ ยงานกลางสะสมผลการเรียนรู๎ สาหรับการศกึ ษาตลอดชีวิตของประเทศไทย เป็นการ วจิ ัยเชงิ คุณภาพ (Qualitative Research) ใช๎วิธีการวิจัยเอกสารและสัมภาษณ๑ผู๎บริหาร ผู๎เก่ียวข๎องกับกลไก การเทยี บโอน ระบบทะเบียน วัดและประเมนิ ผล รวมท้ังระบบสารสนเทศในหนวํ ยงานการศึกษาจากสวํ นกลาง ทั้งในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และสังกัดองค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น เครื่องมือการวิจัย ได๎แกํ แบบ สังเคราะหเ๑ อกสาร แบบสัมภาษณ๑ และแบบประเมนิ การตรวจสอบราํ งรปู แบบโดยผู๎ทรงคณุ วุฒิ และวเิ คราะห๑ ขอ๎ มลู โดยใช๎การวเิ คราะห๑เนอ้ื หา (Content Analysis) แลว๎ ออกแบบรํางรูปแบบในข้ันต๎น แล๎วตรวจสอบรําง รูปแบบในข้นั ต๎นโดยผ๎ูทรงคุณวุฒิและผูท๎ มี่ ีประสบการณท๑ งั้ ในระดบั นโยบายและในการจัดการศึกษา ด๎วยการ จัดประชุมกลํมุ Focus Group แล๎วนาผลมาปรบั ปรุงเปน็ รปู แบบทสี่ มบูรณ๑ของหนํวยงานกลางสะสมผลการ เรยี นร๎ู สาหรับการศกึ ษาตลอดชวี ติ ของประเทศไทย ผลการวจิ ัย พบวํา 1) หลักการสาคัญสาหรับการสะสมผลการเรียนร๎ู คือหลัก Recognition , หลัก Validation และหลัก Accreditation – RVA คอื การใหก๎ ารรบั รอง และการให๎หนํวยกติ เป็นผลจากการเรียนรู๎ พน้ื ฐานไปถึงการรับรองผลการเรยี นร๎ูเดิมของแตํละคน 2) การสะสมผลการเรียนร๎ู จะครอบคลุมการศึกษา ตลอดชีวิตของบุคคลและประชาชนท่ัวไปได๎ ต๎องมีหนํวยงานกลางที่มีอิสระ ความคลํ องตัวในการบริหาร จดั การ มเี ครือขาํ ยและกลไกการทางานท่ีสัมพันธ๑กับหนํวยงานการศึกษาอ่ืนๆ ท่ีประกอบด๎วย หลักการและ แนวคิด วัตถุประสงค๑ โครงสรา๎ งและการบริหารจัดการภารกิจ บทบาทหน๎าที่ และกลไกการดาเนินงานแตํละ สวํ นทช่ี ัดเจน กระบวนการรบั เขา๎ การประเมนิ และการใหก๎ ารรับรอง สารสนเทศและเครือขําย และระบบงาน สาขาและการจัดการฐานข๎อมูลในระดับสาขาและสถาบันท่ีเป็นพันธมิตร 3) แนวทางการพัฒนาหนํวยงาน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 224

กลางสะสมผลการเรียนรู๎ สูํความสาเร็จในทางปฏิบัติ คือ 1. จัดให๎เป็นหนํวยงานกลางท่ีเปิดโอกาสให๎ ประชาชนท่ัวไป ทุกวัย ทุกสถานะ และทุกระดับ ได๎นาผลการเรียนร๎ูเดิม มาขอรับการรับรอง และสะสมจน บรรลเุ ปาู หมายของการเรียนรู๎ หรอื คุณวฒุ ทิ ี่ต๎องการของแตลํ ะบคุ คล 2. มีระบบควบคุมคุณภาพ การติดตาม ประเมินผล สาหรบั กระบวนการดาเนินงานของหนวํ ยงานสะสมผลการเรยี นรู๎ สาหรบั การศกึ ษาตลอดชีวติ 3. มี การสร๎างความรู๎ความเข๎าใจเกี่ยวกับการทางานของหนํวยงานกลางสะสมผลการเรียนรู๎ในระดับชาติ ให๎กับ ประชาชน และหนวํ ยงานที่เกยี่ วข๎อง และมกี ารประชาสัมพันธผ๑ ํานสื่อตาํ งๆอยาํ งทว่ั ถงึ และตอํ เนอื่ ง คาสาคญั : รปู แบบ หน่วยงานกลางสะสมผลการเรยี นรู้ ระบบการสะสมผลการเรียนรู้ การศึกษาตลอด ชีวติ การรบั รองผลการเรยี นรู้ การรับรองผลการเรียนรเู้ ดมิ ABSTRACT The objective of this research is to present the Model of Thai Credit Bank Central Office for Lifelong education, which is divided into 3 categories: 1) to study the significant principles, concept and development of The Credit Bank models from other countries and Thailand; 2) to study the current situation of Thailand and the management of Academic Credit Transfer and related process; 3) to design and present the Model of Thai Credit Bank Central Office for Lifelong Education. It is a qualitative research performed by using content analysis, documentation reviewing and interviewing the related Educational departments of the Ministryof Education and the local government entities. The proposed model was assessed by Academic Professionals through the process of Focus Group and then amended according to the Academic Professionals’ comments and opinions and present the complete improvement the central authority of Thai Credit bank model for Lifelong Education afterwards. The findings of this research revealed the following: 1) The key principles for developing the Credit Bank model of Lifelong Learning are Recognition, Validation, and Accreditation – RVA to capture the result of each person‘s learning starting from the Basic education to the recognition of prior learning. 3) The Model covers lifelong education of individuals and general public. There must be an independent agency, which has management flexibility used as a model of the Credit Bank System for Thailand. The proposed Model indicates the conceptual base and principles, Objectives of Organization, Structure and Management, Roles and duties with clear responsibilities and functions together with operational mechanisms and Key Success factors. 4) The Key Success factors for implementing the Model of Thai Credit Bank Central Office is that 1) to open to the general public of all ages, all statuses and all educational levels to gain recognition of prior learning. The learning outcomes can be continuously accumulated without limitations of how long they are obtained, until achieving the defined learning targets or qualifications. 2) to establish an efficient Quality Assurance system and a การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 225

monitoring mechanism that are professionally recognized. 3) to create awareness and understanding about the functionality and operation of the Thai Credit bank Central Office to general public and related parties through media on a thorough and continuous basis. KEYWORDS: Model. Thai Credit Bank Central Office. Credit Bank. Lifelong Education. Recognition, Validation and Accreditation. Recognition of Prior Learning. บทนา การสะสมผลการเรยี นรู๎ เปน็ เรื่องแนวคิดและวธิ ีการจัดการทางการศกึ ษา เพือ่ เปิดโอกาสให๎ประชาชน ท่ัวไป ได๎รับโอกาสในการรับรองผลการเรียนรู๎ตามหลัก Recognition, Validation and Accreditation - RVA และหลัก Recognition of Prior Learning - RPL ซึ่งให๎การยอมรบั ในความสาคัญของการศึกษาตลอด ชวี ติ (Lifelong Education) เน๎นท่กี ารสงํ เสริมความเสมอภาคและการพฒั นาตนของบคุ คล ดว๎ ยหลกั ของการ เรยี นรแ๎ู บบตอํ เนอ่ื งตลอดชีวติ ทส่ี ามารถสะสมผลการเรียนร๎จู ากการเรยี นรูท๎ ุกรปู แบบ เป็นหนํวยกิตสะสมได๎ เพ่ือการเทียบโอนหรือเพื่อการเรียนร๎ูเพิ่มเติมได๎ โดยไมํคานึงวํา การได๎มาซึ่งความร๎ูจะมาจากไหน นาไปสํู แนวคิดพนื้ ฐานในการสร๎างระบบการสะสมผลการเรยี นรู๎ (Credit Bank System) เนือ่ งจากระบบการศึกษาในระบบมีความจากัด ทาให๎ประชาชนสํวนใหญํของประเทศ ขาดโอกาส เขา๎ ถึงการศึกษาถงึ ระดับอุดมศึกษา ขาดแรงจงู ใจในการเรียนร๎ูและพัฒนาตนเองแบบตอํ เน่อื งตลอดชีวิต การ สะสมผลการเรยี นร๎ูนีใ้ ห๎ความสาคญั กบั การเรยี นรู๎นอกระบบและการเรยี นรต๎ู ามอัธยาศัยเพิม่ ขน้ึ ใหก๎ ารรับรอง ท่ี “การเรียนรู้” ซ่ึงการเรียนร๎ูท่ีสาคัญนั้นสํวนใหญํที่เกิดขึ้นในตัวบุคคล จากวิธีการนอกระบบและตาม อัธยาศยั จากครอบครัว จากการฝกึ อบรมในทีท่ างาน เกิดข้ึนในชีวิตจริงตามปกติ จากการเป็นบุคลากรของ องคก๑ ารและการจ๎างงาน ระบบการสะสมผลการเรยี นรู๎น้ี มกี ารรบั รองผลการเรียนร๎ู (Recognition) จากการ เรยี นร๎ูทกุ ชนดิ ในสภาพแวดลอ๎ มตําง ๆ ของแตลํ ะคน ทาให๎ความรู๎และทักษะของแตํละบุคคลเป็นท่ีประจักษ๑ และสามารถสร๎างเป็นผลการเรยี นรูไ๎ ด๎ สาหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 เน๎นการจัดการศึกษาที่มีความ จาเป็นตํอการพัฒนาทรัพยากรมนุษย๑ของประเทศ และกาหนดให๎หนํวยงานที่เก่ียวข๎องกับการจัดการ การศึกษา คือ ให๎สถานศึกษาจัดการศึกษาได๎ท้ัง 3 รูปแบบ ได๎แกํ การศึกษาในระบบ (Formal Education) การศกึ ษานอกระบบ (Non-formal Education) และการศึกษาตามอัธยาศัย (Informal Education) และให๎ มกี ารเทยี บโอนผลการเรยี นรู๎ ที่ผู๎เรยี นสะสมไว๎ในระหวาํ งรูปแบบเดยี วกันหรือตํางรูปแบบ หรือในสถานศึกษา เดยี วกันได๎ รวมท้ังจากการเรยี นรน๎ู อกระบบและตามอธั ยาศยั จากการฝึกอาชีพหรอื จากประสบการณ๑การงาน อาชพี และยงั ไดก๎ าหนดให๎มกี ารจัดการศึกษาท่ียึดหลักการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน ซึ่งสอดคล๎อง กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ ต้ังแตํฉบับท่ี 8 เป็นต๎นมา ท่ีได๎มุํงเน๎นในการพัฒนาคนในด๎าน ตาํ งๆ” แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมฉบับที่ 10 (สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 226

แหงํ ชาติ, 2549, น. 89) ให๎มกี ารสะสมหนํวยกติ ในลักษณะธนาคารหนวํ ยกติ (Credit Bank) เปิดโอกาสใหผ๎ ู๎จบ อาชวี ศึกษาเข๎าศกึ ษาตอํ ในระดบั อดุ มศึกษาได๎ อยํางไรก็ตามการจัดการศึกษาสํวนใหญํของประเทศไทย ยังคงเน๎นท่ีกลุํมผ๎ูเรียนที่อยูํในระบบเป็น สาคัญ จากตัวเลขสถิติของสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาประจาปีการศึกษา 2556 -2557 พบวําอัตรา การศึกษาตํอหลังจากจบการศึกษาภาคบังคับยังอยํูในระดับต่า และการศึกษาตํอในระดับมัธยมศึกษาตอน ปลายเป็นชํวงที่มกี ารตกหลํนของผเ๎ู รยี นมากที่สดุ จึงนําจะเป็นความจาเป็นเรงํ ดํวนสาหรบั ประเทศไทยทจี่ ะต๎อง ยกระดบั คณุ ภาพการศึกษาของประชากรและทรพั ยากรแรงงานของประเทศโดยวิธีการตํางๆที่เหมาะสม จาก การวจิ ยั เร่อื งแนวทางการพัฒนาระบบการสะสมหนํวยการเรยี นร๎ู (Credit Bank System) ระบบการศึกษาข้ัน พ้นื ฐาน ของสานกั งานสภาการศกึ ษา พ.ศ. 2558 โดยพิณสดุ า สริ ธิ รังศรีและคณะ ไดพ๎ บวํา ประเทศไทยยงั ไมํ มรี ะบบการสะสมผลการเรยี นรขู๎ องการศกึ ษาท้งั ระบบโดยรวม ทเี่ ปิดโอกาสให๎ประชาชนแบบทั่วไป มีแตกํ าร เทยี บโอนตามระบบท่เี ปน็ ทางการ (Formal) มกี ารเทยี บโอนทขี่ ยายตัวเพ่มิ มากขึน้ บ๎างในการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) แตํก็ยังไมสํ ามารถเช่อื มโยงกนั ได๎แบบท้ังระบบโดยรวม ประชาชนท่ัวไปยัง ไมสํ ามารถเข๎าถึงการเรยี นรตู๎ ลอดชวี ติ ไดต๎ ามเจตนารมณข๑ องพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหงํ ชาติ เนอื่ งจากยังไมํ มีระบบการจัดการทางการศึกษาท่สี ามารถเช่อื มตํอกนั ได๎ ผ๎ูวิจัยได๎เห็นความสาคัญของการศึกษาพัฒนารูปแบบหนํวยงานกลางสะสมผลการเรียนร๎ู สาหรับ การศึกษาตลอดชีวิตของประเทศไทย เพอ่ื เป็นศูนยส๑ ะสมผลการเรยี นรู๎ การรับรอง การเทยี บโอนผลการเรียนรู๎ รองรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย๑ของประเทศ ท่ีเป็นการศึกษาอยํางตํอเนื่องตลอดชีวิต (Lifelong Education) สาหรับประชาชนโดยทวั่ ไป จึงได๎ศึกษาหลักการ แนวคิด ทฤษฎี และพัฒนาการท่ีเก่ียวข๎องกับ การสะสมผลการเรยี นรู๎ การใชก๎ ารรบั รอง (Recognition) การมีเกณฑ๑มาตรฐาน (Validation) การให๎หนํวย กติ (Accreditation) เป็นกลไกทร่ี วบรวมความรแู๎ ละประสบการณ๑ของประชาชนแบบทั่วไปเข๎าสํูมาตรฐานท่ี รบั รองได๎ เพอื่ ใช๎เปน็ หลกั การพนื้ ฐานในการพัฒนาหนํวยงานกลางสะสมผลการเรียนร๎ูสาหรับการศึกษาตลอด ชีวิตของประเทศไทย วัตถุประสงคข์ องการวจิ ยั การวจิ ยั ครัง้ นี้ มวี ตั ถปุ ระสงค๑ เพ่ือเสนอรูปแบบหนวํ ยงานกลางสะสมผลการเรียนรู๎ สาหรับการศึกษา ตลอดชีวิตของประเทศไทย วิธดี าเนนิ การวิจัย การวิจัยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยดาเนินการวิจัยตามข้ันตอนดังน้ี 1) การวิจัยเอกสาร ผลงานวิจัยเก่ียวกับหลักการ แนวคิด และพัฒนาการของการสะสมผลการเรียนร๎ู และ บทเรียนจากการพัฒนาธนาคารหนํวยกิตในตํางประเทศและในประเทศไทย 2) ศึกษาสภาพป๓จจุบันของ ดาเนินงานทเี่ ก่ียวขอ๎ งกับการบริหารจัดการการเทยี บโอนผลการเรียนร๎ู ระบบทะเบียนและวดั และประเมินผล ในประเทศไทย โดยการสัมภาษณ๑ผู๎บริหาร/ผู๎เกี่ยวข๎องกับกลไกการเทียบโอนผลการเรียนรู๎ ระบบทะเบียน การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 227

รวมท้ังระบบสารสนเทศในหนํวยงานการศึกษาจากสํวนกลาง ท้ังในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และสังกัด องค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่ิน 3) ออกแบบรํางรูปแบบในข้ันต๎น และ 4) ต รวจสอบรํางรูปแบบในข้ันต๎นโดย ผท๎ู รงคุณวุฒิและผูท๎ ่มี ปี ระสบการณท๑ ัง้ ในระดบั นโยบายและในการจดั การศกึ ษา ดว๎ ยการจดั ประชุมกลุํม Focus Group ผู๎ทรงคุณวุฒิดังกลําว เพ่ือฟ๓งความคิดเห็น ข๎อเสนอแนะในรํางรูปแบบ แล๎วนาผลมาปรับปรุงเป็น รปู แบบท่ีสมบรู ณ๑ในการพัฒนาหนํวยงานกลางสะสมผลการเรยี นร๎ู สาหรบั การศึกษาตลอดชีวติ ของประเทศไทย เครือ่ งมอื การวจิ ัย เคร่อื งมือท่ีใชใ๎ นการวิจัยไดแ๎ กํ 1) แบบสังเคราะหเ๑ อกสาร 2) แบบสัมภาษณ๑ 3) แบบประเมินการตรวจสอบราํ งรปู แบบในการประชมุ กลุํม (Focus Group) โดยผูท๎ รงคณุ วุฒิ การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการวิเคราะห๑ข๎อมูลโดยการวิเคราะห๑เน้ือหา (Content analysis) ท่ีได๎ จากการศึกษาเอกสาร รายงานประเมินตนของหนํวยงาน และผลการสัมภาษณ๑ จัดระเบียบข๎อมูลโดยการ จาแนกขอ๎ มูลตามวัตถปุ ระสงค๑การวิจัย และประเด็นคาถามการวิจัย สรุปและตรวจสอบข๎อมูลแบบสามเส๎า ดา๎ นวิธีการรวบรวมข๎อมลู สรปุ ผลการวจิ ัยและอภิปราย ผลการวิจัย พบวํา การสะสมผลการเรียนร๎ูของนานาชาติ ใช๎หลักการและแนวคิด RVA และ RPL เชอื่ มโยงกบั กรอบคณุ วุฒแิ หํงชาติ และกรอบคุณวุฒิวิชาชีพตามบริบท ความต๎องการของแตํละประเทศ เกิด การพัฒนาและสํงเสริมสังคมแหํงการเรียนรู๎ตลอดชีวิต นาไปสูํการพัฒนากาลังคนของชาติอยํางกว๎างขวาง สาหรบั ประเทศไทย ยงั ไมมํ รี ะบบการสะสมผลการเรยี นรใู๎ นลกั ษณะธนาคารสะสมผลการเรียนรู๎ ทชี่ ดั เจนในทุก ระดบั การศึกษาโดยเฉพาะสาหรบั ประชาชนท่ัวไป จึงสมควรพัฒนารูปแบบหนวํ ยงานกลางสะสมผลการเรยี นรู๎ สาหรับการศกึ ษาตลอดชวี ิตของประเทศไทย ดงั น้ี 1) ระบบการสะสมผลการเรียนรู๎ หรือทมี่ ีชื่อเรียกเป็นอยาํ งอ่นื ไดอ๎ กี เชนํ ระบบการสะสมหนวํ ยการ เรียนร๎ู หรือธนาคารหนํวยกิต หรอื คลังหนํวยกติ หรอื ธนาคารหนํวยกิตทางการศกึ ษา จะเป็นระบบทช่ี วํ ยให๎มี การสะสมผลการเรียนรส๎ู าหรบั ประชาชนไดโ๎ ดยทว่ั ไป ดว๎ ยการสะสมผลการเรยี นรจ๎ู ากการศึกษาจากทกุ รปู แบบ จากประสบการณ๑ ประสบการณใ๑ นอาชีพการงานอยาํ งตํอเนื่องแบบตลอดชวี ติ เปิดโอกาสให๎ผท๎ู ่ลี งทะเบยี น สามารถเปิดบัญชสี ะสมผลการเรยี นรไ๎ู ว๎ในรูปหนํวยกติ ทางการศึกษา ในบญั ชีสะสมผลการเรยี นร๎ู (Learning Credit Saving Account) สวํ นตวั ของตนเองได๎ จนไดส๎ ถานะทางการศกึ ษา หรอื ได๎รับวฒุ กิ ารศกึ ษาตามที่ ต๎องการ เปิดโอกาสใหป๎ ระชาชนทั่วไป รบั โอกาสในการรบั รองผลการเรียนรู๎ มหี ลกั การสาคญั สาหรบั การ พฒั นาระบบการสะสมผลการเรยี นร๎คู ือหลกั Recognition , หลกั Validation และหลกั Accreditation – RVA คือการใหก๎ ารรบั รอง และการใหห๎ นวํ ยกติ เปน็ ผลจากการเรียนรพ๎ู ้นื ฐานไปถงึ การรบั รองผลการเรียนรเ๎ู ดิม ของแตํละคน ทาให๎เหน็ ถงึ โอกาสและแนวทางการเสริมสร๎างความสามารถของพลเมอื ง การเพ่มิ พูน “ทรัพย๑ใน ตน” ให๎แกํทรัพยากรบุคคลของชาตไิ ดเ๎ ป็นจานวนมาก ที่มีความรแ๎ู ละประสบการณ๑อยํูนอกระบบการศึกษา ตามแบบเดมิ ๆ ให๎การยอมรับการเรียนร๎ทู กุ รูปแบบ ทงั้ จากในระบบ นอกระบบ และการเรียนรตู๎ ามอธั ยาศัย ให๎ความสาคัญกบั การเรียนรูจ๎ ากการทางาน จากการฝกึ อบรมในท่ีทางาน และในชวี ติ การงาน อาชพี รวมทัง้ จากการเรยี นในระบบ โดยหลกั RVA หรอื ท่ีมชี อ่ื เรียกเปน็ อยาํ งอ่ืน ทีแ่ ตกตาํ งกนั ไป เชํน Prior Learning การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 228

Assessment (PLA), Accreditation of Prior Learning (APL), Accreditation of Prior Experiental Learning (APEL), Accreditation of Prior Certification Learning (APCL) ประเทศนิวซีแลนด๑ และออสเตรเลีย (Madhu, & Ruud, 2013, pp.131-141) ใช๎ Recognition of Prior Learning (RPL) เชอื่ มโยงกบั กรอบคณุ วฒุ แิ หํงชาติ มกี ารยอมรับการประเมินสมรรถนะ อันเกิดจาก การทางาน เขา้ เป็นสว่ นหนึ่งของการรบั รองผลการเรียนรูเ้ ดมิ สามารถดาเนนิ การประเมนิ และรับรองผลการ เรียนร๎ูเดิมได๎ มีกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (National Qualification Framework) ที่ชัดเจน มีกรอบ สมรรถนะกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นกรอบให๎เทียบเคียง มีหนํวยงานช่ือ The New Zealand Qualification Authority (NZQA) บริหารในรูปคณะกรรมการท่ีได๎รับการแตํงตั้งจากกระทรวงศึกษาธิการ รับผิดชอบในการตงั้ มาตรฐานสาหรบั คณุ วฒุ ใิ นโรงเรียนและในระดบั อุดมศึกษา รักษากลไกการรับรองผลการ เรียนรู๎ รกั ษากรอบคุณวฒุ ิและมาตรฐานทิศทางการประเมนิ และมีระบบการประกนั คณุ ภาพของผ๎ูใหบ๎ รกิ ารการ ประเมนิ และรับรอง และคณุ วุฒหิ ลงั สาเรจ็ การศกึ ษาทั้งสายสามัญและสายอาชพี สอดคล๎องกบั นานาประเทศ ประเทศสาธารณรฐั เกาหลี (Kee, & Zhang, 2014. p. 2) ใชร๎ ะบบธนาคารหนวํ ยกิต Academic Credit Bank System -ACBS เป็นนวัตกรรมในการปฏิรูปการศึกษาระบบใหมํของชาติ เป็นสํวนสาคัญท่ี กํอให๎เกิดสังคมแหํงการเรียนรู๎ตลอดชีวิตสาหรับประชาชนทั่วไป ที่อยูํนอกระบบการศึกษาปกติ ชํวยให๎ สามารถเข๎าถึงโอกาสการศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยใช๎หลักการรับรองผลการเรียนรู๎เดิม (RVA) ผลการ เรียนรู๎จากการเรียนร๎ูนอกระบบ และการเรียนรต๎ู ามอธั ยาศยั ได๎ ตง้ั แตํวยั เดก็ ถึงสูงวยั โดยบูรณาการกับระบบ Lifelong Learning Account System – LLAS ซ่ึงสามารถเช่ือมข๎อมูลประวัติและผลงานการเรียนร๎ู ท้งั หมด ดว๎ ยรหสั บัญชีเดียว สํงเสริมการเรียนรู๎จากการทางานตลอดชีวิต ท้ังสายสามัญและอาชีวศึกษา โดย เชื่อมโยงกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติเกาหลี (Korean Qualification Framework –NQF) และคุณวุฒิ วิชาชีพ (Vocational Qualification System-VQS) ได้อย่างเป็นระบบที่ชัดเจน โดยองค์กรกลางท่ีเป็น อิสระ ปลอดจากอิทธิพลทางการเมือง คอื NILE- National Institute of Lifelong Learning ประเทศไต๎หวัน (Kee, Youngwha และคณะ, 2008, น. 5) ใช๎วิธีปฏิบัติในการรับรองผล การศกึ ษานอกระบบ โดยศนู ย๑การศึกษาผ๎ใู หญํของมหาวิทยาลัยแหํงชาติไต๎หวัน (National Taiwan Normal University) อธิการบดีของมหาวิทยาลัยแหํงชาติไต๎หวัน ดูแลรับผิดชอบศูนย๑การรับรองหนํวยกิตการศึกษา นอกระบบของไต๎หวนั (Taiwan Non-formal Education Curriculum Accreditation Center) มกี ลมุํ งาน หลักทป่ี ระกอบด๎วย 1) กลํุมตรวจสอบ (Examination group) 2) กลมํุ การเรยี นการสอน (Tutoring Group) และ3) กลมุํ ทะเบยี น (Registration Group) ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน (Li Huikang, Sun Yaoting, Yang Min, Wei Zhihai, 2013, pp. 61-70) คณะกรรมการการศกึ ษาเทศบาลแหงํ นครซย่ี งไฮ๎ ดาเนินการโดยมหาวิทยาลยั เปิดแหงํ นครเซ่ยี งไฮ๎ (Shanghai Open University) พัฒนาระบบธนาคารการเทียบโอนและสะสมหนํวยกิตทางการศกึ ษาแหงํ นคร เซีย่ งไฮ๎ (Shanghai Academic Credit Transfer and Accumulation Bank for Lifelong Education หรอื ท่ีเรียกยํอวํา “SHCB”) เพื่อสํงเสริมการศึกษาตํอเน่ืองสาหรับประชากร และสร๎างความรํวมมือระหวําง มหาวิทยาลยั และสถาบนั ท่เี ก่ียวข๎องอน่ื ๆ ตอบสนองความตอ๎ งการในการเรยี นรแ๎ู บบตํอเน่ือง เพ่อื พฒั นาทักษะ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 229

อาชีพการทางาน ให๎สามารถแขํงขนั และมคี วามคลอํ งตวั จดั ใหม๎ กี ารรบั รองผลการเรียนร๎ูระหวํางการศึกษาใน รูปแบบท่ีแตกตํางกนั ได๎ ทงั้ การศกึ ษาจากในระบบและนอกระบบ ได๎พัฒนาระบบการสะสมผลการเรียนร๎ู ท่ี ชํวยให๎ประชาชนสามารถสมัครขอเปดิ บญั ชสี ะสมผลการเรียนร๎ไู ด๎ ทัง้ โดยผํานเวบไซต๑ หรือโดยผํานหนํวยงาน สาขาของ SHCB โดยใช๎หมายเลขบัตรประชาชน ด๎วยความรํวมมือระหวํางมหาวิทยาลัยและหนํวยงานท่ี เก่ยี วขอ๎ ง และเปิดโอกาสทางการศึกษาให๎ผ๎เู รียน ท่ีเป็นประชาชนทั่วไปอยํางกว๎างขวาง สํงผลตํอการพัฒนา บุคคลแบบตอํ เนอื่ งตลอดชีวติ และการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย๑ของชาติโดยรวม ระบบการสะสมผลการเรียนรู๎ จึงเป็นระบบท่ีควบคุมเครือขํายการจัดการการศึกษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ผาํ นสถาบนั หรอื หนวํ ยงานรับรองหนํวยกิต บันทึกและรับร๎ู ผลลัพธ๑ของกจิ กรรมและผลการเรยี นรทู๎ ่ีหลากหลาย ใหอ๎ ยํใู นรปู หนวํ ยกติ หรือเนื้องานทางการศึกษาทอี่ าจเปิด โอกาสให๎ไดร๎ ับวฒุ กิ ารศึกษาได๎ เมื่อมีการสะสมหนวํ ยกิตครบตามจานวนท่กี าหนด 2) สาหรบั ประเทศไทย ปจ๓ จบุ ันยังไมพํ บวํา มรี ะบบการสะสมผลการเรยี นร๎ู ท่ีเป็นระบบที่ชัดเจน ตามเจตนารมณ๑ของพระร าชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ ในหนํวยงาน/สายงานการ ศึกษาทุกสังกัดภายใต๎ กระทรวงศกึ ษาธิการและตํางสังกัด และไมํมีหนํวยงานเฉพาะรับผิดชอบการสะสมผลการเรียนรู๎เพ่ือผู๎เรียน หรอื เพอื่ ประชาชนท่ัวไป รวมทัง้ ไมํมรี ะเบียบ แนวปฏบิ ตั ิในการสะสมผลการเรียนรู๎สาหรับประชาชนท่ัวไปที่ เป็นระบบที่ชัดเจน ในลักษณะการสะสมผลการเรียนร๎ู ท่ีสํงเสริมการเรียนรู๎แบบตํอเนื่องตลอดชีวิต มีเพียง ระเบียบ แนวทาง แนวปฏิบตั ิการเทียบโอนผลการเรยี นจากความร๎ูและประสบการณก๑ ลุมํ เปาู หมายเฉพาะ ใน ระดบั การศึกษาขั้นพน้ื ฐานของการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย แนวปฏิบัติการเทียบโ อนผล การเรียน ความร๎ูและประสบการณ๑ในการศึกษาระดับอาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษา มีเพียงสานักงาน คณะกรรมการการอุดมศกึ ษา ทีไ่ ดม๎ คี ณะอนกุ รรมการพฒั นาและสงํ เสริมระบบธนาคารหนวํ ยกิตของสานกั งาน คณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา(สกอ.) ซ่งึ กาลังปรบั ปรุงแนวทางการจัดการศกึ ษาในระบบธนาคารหนวํ ยกิตระดับ อดุ มศกึ ษา จากสรปุ สาระสาคัญของการสะสมผลการเรียนรู๎และพัฒนาการของตํางประเทศและในประเทศไทย รวมท้งั สภาพป๓จจบุ นั การดาเนินงานของระบบการเทียบโอน ระบบทะเบียน วัดและประเมินผล รวมทั้งระบบ สารสนเทศท่ีเกีย่ วข๎องของหนํวยงานการศึกษาสวํ นกลางในประเทศไทยดังกลําว ผู๎วิจัยได๎นามากาหนดกรอบ แนวคิดการวิจัย เพ่ือการพัฒนารูปแบบในข้ันต๎นของหนํวยงานกลางสะสมผลการเรียนรู๎ สาหรับการศึกษา ตลอดชีวิต เป็นระบบเปิด ท่ีจะชํวยให๎มีการสะสมผลการเรียนรู๎สาหรับประชาชนได๎โดยท่ัวไป จึงต๎องมี หนวํ ยงานกลางรับผิดชอบทมี่ ีอิสระ ความคลํองตัวในการบริหารจัดการ ดังรูปแบบที่แสดงองค๑ประกอบใน เรือ่ ง หลกั การและแนวคิด วัตถุประสงค๑ โครงสร๎างการบริหาร ภารกจิ บทบาทหน๎าท่ี และการดาเนินงานใน แตลํ ะสวํ น กับแนวทางการพัฒนาเป็นหนํวยงานกลางสะสมผลการเรยี นร๎แู บบตลอดชวี ติ ดังแสดงในภาพท่ี 1 2.1) หลักการและแนวคิด หน่วยงานกลางสะสมผลการเรยี นร๎ู หมายถึงหนํวยงานท่รี ับผิดชอบ บริหารจัดการให๎มีการสะสมผลการเรียนร๎ู สาหรับประชาชนได๎โดยท่ัวไป ด๎วยการนาผลการเรียนร๎ูจาก การศึกษาจากทุกรูปแบบ ทั้งจากในระบบ (Formal Education) จากการศึกษานอกระบบ (Non-formal การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 230

Education) และจากการศึกษาตามอัธยาศัย (Informal Education) ผลการเรียนร๎ู ที่มาจากประสบการณ๑ ตํางๆ และจากประสบการณ๑ในอาชีพการงาน มาสะสมได๎อยํางตํอเน่ืองแบบตลอดชีวิต โดยมีระบบที่เปิด โอกาสให๎ผท๎ู ลี่ งทะเบยี นสามารถเปดิ บญั ชีสะสมผลการเรยี นรู๎ของตนไว๎ในรปู หนวํ ยกิตทางการศกึ ษา ซึง่ ผเู๎ รยี น สามารถสะสมหนํวยกิตได๎แบบตํอเน่ือง ในบัญชีสะสมผลการเรียนรู๎ (Learning Credit Saving Account) เฉพาะของตนได๎ ซึง่ อาจสะสมไวจ๎ นไดส๎ ถานะทางการศึกษาหรือวุฒิการศึกษาตามระบบและมาตรฐานตามท่ี ต๎องการได๎ โดยคานึงถึงความเหมาะสมกับประสบการณ๑ ภาระหน๎าที่ และจากการพัฒนาทักษะอาชีพ ที่ สามารถให๎การรับรองได๎ หรอื เปน็ ไปตามกรอบคุณวุฒิแหํงชาติและคุณวุฒิวิชาชีพ ซึ่งจะสํงผลตํอการพัฒนา บุคคลแบบตอํ เนือ่ งตลอดชวี ติ และการพัฒนาทรพั ยากรมนุษยข๑ องชาตโิ ดยรวมตํอไป รูปแบบในขนั้ ตน๎ ของหนวํ ยงานกลางสะสมผลการเรยี นร๎ู สาหรบั การศกึ ษาตลอดชีวติ มลี กั ษณะดังน้ี หลกั การและแนวคิด วัตถุประสงค์ โครงสร้างบริหาร ฝา่ ยอานวยการ ฝา่ ยบรกิ ารและ ฝา่ ยเทคโนโลยี ฝา่ ยกจิ การสาขา และแผน รบั รองผลการ และสารสนเทศ / สถาบันทเี่ ปน็ เรียนรู้และระบบ พันธมิตร ทะเบยี น ภาพที่ 1 องคป์ ระกอบรูปแบบหน่วยงานกลางสะสมผลการเรียนรู้ สาหรับการศกึ ษาตลอดชีวติ 2.2) วตั ถปุ ระสงค์ของหนว่ ยงานกลางสะสมผลการเรยี นรู้ เพอื่ บริหารจัดการและดาเนินการ เก่ยี วกบั การให๎บรกิ ารแกํประชาชนท่ัวไปท่จี ะนาผลการเรียน ผลการเรียนร๎ูจากการศึกษาทุกรูปแบบ ทั้งจาก การศกึ ษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย มารับการรับรอง สะสมและเทียบโอน โดยไมมํ รี ะยะเวลาการสะสมผลการเรียนร๎ู เปน็ ศนู ย๑สะสมผลการเรยี นรแู๎ บบตํอเน่ืองตลอดชีวิตที่เชื่อมโยงกับ หนวํ ยงานการศึกษาทกุ ระดับอ่ืนๆอยาํ งใกลช๎ ิด 2.3) โครงสร้างบริหาร ดาเนินงานในลักษณะหนํวยงานกลางท่ีรายงานตรงตํอ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร และประสานความรํวมมือกับหนํวยงานในกระทรวงศึกษาธิการและหนํวยงา นของรัฐท่ี เก่ียวขอ๎ งและหนวํ ยงานอื่นๆ เพ่อื ให๎ได๎รบั ความรํวมมือและความสนับสนนุ เชํน กระทรวงแรงงาน กรมพฒั นา การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 231

ฝีมือแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอ่ืนๆ ผ๎ูมีสํวนได๎เสียในภาครัฐและ เอกชน เชํน สถาบนั การศึกษา สถานศึกษา และองค๑กรอน่ื ๆ กระทรวงศึกษาธิการ ทาหน๎าท่ี 1) กาหนดนโยบาย ทิศทางของการพัฒนามาตรฐาน หลกั สูตร มาตรฐานการรับรองผลการเรยี นรู๎ 2) กาหนดวางแผนการให๎การรับรองหนวํ ยกติ 3) ใหใ๎ บรับรองแกํ สถาบันที่ไดร๎ ับการรบั รองใหร๎ บั รองผลการเรียนรู๎หรอื สถาบันที่เปน็ พนั ธมติ ร หนํวยงานกลางสะสมผลการเรียนร๎ู สาหรบั การศึกษาตลอดชวี ติ มีภารกจิ บทบาทหนา๎ ท่คี ือ 1) เปิดโอกาสให๎ประชาชนทั่วไปได๎เปิดบัญชีสะสมผลการเรียนร๎ู (Learning Credit Saving Account) ของตนเองเปน็ รายบคุ คล 2) ประเมนิ และรับรองโปรแกรมการศึกษาท่ีจัดโดยสถาบันการศึกษาแตํละแหํง รวมท้ังออก ใบรับรองแกํสถาบนั การศกึ ษาท่ีผํานกระบวนการประเมนิ และรับรอง หรือถอนการให๎การรับรอง ถ๎าสถาบัน ผู๎ให๎การรบั รองผลการเรียนรูท๎ าผิดกฎหมาย 3) ให๎หนวํ ยกิตแกํกิจกรรมการเรยี นรูต๎ ามที่อนุญาตตามกฎหมาย 4) พัฒนาระบบการใหก๎ ารรบั รอง การสะสมและเทียบโอนผลการเรียนรูแ๎ กํประชาชนทวั่ ไป ให๎กว๎างขวางจากการศกึ ษาจากทกุ รปู แบบ ท้งั จากในระบบ (Formal Education) จากการศึกษานอกระบบ (Non-formal Education) และจากการศึกษาตามอัธยาศยั (Informal Education) การเรียนร๎ทู ม่ี าจากการ ฝึกอบรม จากประสบการณ๑ในชวี ิต และจากประสบการณใ๑ นอาชพี การงาน และจากทกั ษะชีวิตของตน ไมํมี ระยะเวลาการสะสมเปน็ ขอ๎ จากัด 5) พฒั นาระบบเครอื ขาํ ยสารสนเทศของระบบธนาคารสะสมผลการเรยี นรูท๎ เี่ ช่อื มโยงกับระบบ สารสนเทศของหนํวยงานการศกึ ษาอ่ืนๆ รองรับและสนับสนุนการเรียนรตู๎ ํอเนือ่ งตลอดชีวิตของประชาชนทัว่ ไป 6) สงํ เสริมความรวํ มมือกบั สถาบันทรี่ วํ มเปน็ พันธมิตร ในงานการสะสมผลการเรยี นรู๎ และ การศกึ ษาตลอดชวี ติ (Lifelong Education) หนวํ ยงานหลักภายในประกอบดว๎ ย ฝุายอานวยการและแผน (Planning) ฝุายบริการและรับรอง ผลการเรียนร๎ูและระบบทะเบียน (Recognition & Registration) ฝุายประชาสัมพันธ๑และเผยแพรํ (Public Relation) ฝุายเทคโนโลยีและสารสนเทศ (Technology and Information) ฝุายกิจการสาขา (Branch relationship) ดงั แสดงในภาพท่ี 2 ฝุายอานวยการและแผน รับผิดชอบเก่ียวกับนโยบายการรับรองผลการเรียนรู๎ นโยบายการ รับรองผลการเรียนร๎ู การวางแผนและนโยบายดา๎ นปฏบิ ัติการให๎สอดคล๎องกับแผนแมํบทแหํงชาติ มาตรฐาน คุณวุฒิและคุณวุฒิวิชาชีพ ประสานงานกับหนํวยงานอ่ืนที่เกี่ยวข๎องกับองค๑กรการจัดการการศึกษา สถาบนั การศึกษา ประชาชนทัว่ ไป ดาเนนิ กจิ การด๎านการตํางประเทศตํางๆที่เกี่ยวข๎องกับกิจกรรมการสะสม ผลการเรยี นร๎ู ประชาสมั พนั ธแ์ ละเผยแพร่ข่าวสารของหน่วยงานการสะสมผลการเรียนรู้และที่เกี่ยวข้อง และทาวิจัยและพฒั นาในเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกับระบบการสะสมผลการเรียนร๎ู และการศึกษาตลอดชวี ติ ฝุายบรกิ ารและรับรองผลการเรียนรู้และระบบทะเบียน (Recognition and Registration) มี บทบาทหนา๎ ทีป่ ระเมนิ และให๎การรับรอง โดยมีการแตงํ ตง้ั คณะกรรมการประเมินการให๎การรบั รอง แบํงกลํุม การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 232

ยํอยตามระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน อาชีวศึกษา อุดมศึกษา ออกใบรับรองการให๎หนํวยกิตแกํ สถาบนั การศกึ ษาท่ผี ํานกระบวนการประเมินและให๎การรับรอง หรือถอนการให๎หนํวยกิต ถ๎าสถาบันผ๎ูให๎ หนํวยกิตทาผิดกฎหมาย รวมท้ังงานทะเบียน วัดและประเมินผล ประกอบด๎วยหนํวยยํอย 6 หนํวย ได๎แกํ กลํุมประเมนิ และใหก๎ ารรบั รองผลการเรยี นร๎ู กลุํมมาตรฐานหลักสตู รและโปรแกรมการรับรองผลการเรียนรู๎ กลมํุ งานทะเบยี นและวดั ประเมินผล กลมํุ ใหค๎ าปรกึ ษา กลุํมติดตามและประเมิน ฝุายเทคโนโลยีสารสนเทศ (Technology and information system and Networking) มี บทบาทหน๎าท่ี วางแผนและบริหารระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ พฒั นาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศของระบบ การสะสมผลการเรยี นรู๎ และ ระบบบัญชีสะสมผลการเรียนร๎ู (Learning Credit Saving Account System) จัดการอบรมการใชร๎ ะบบงานสารสนเทศ จัดการและดูแลรกั ษาโฮมเพจ (homepages) ของระบบการสะสมผล การเรยี นร๎ู ผลิตข๎อมลู ทางสถติ ขิ องระบบการสะสมผลการเรียนร๎ู ให๎การสนบั สนุนดา๎ นเทคนิคตํางๆให๎ทันสมัย และเช่ือมตํอกับสถาบันที่เป็นพันธมิตร และพัฒนาระบบสารสนเทศ (Lifelong Learning Information Network) ใหเ๎ ป็นเครอื ขาํ ยเชื่อมตํอกับระบบสารสนเทศของหนํวยงานการศึกษาอ่ืนๆ ฝุายกิจการสาขา/สถาบันพันธมิตร มีบทบาทหน๎าท่ี ประสานงานหนํวยงานการศึกษาอ่ืนๆ บรกิ ารเปดิ บัญชใี หผ๎ เ๎ู รยี น และตรวจสอบการรับรองหนํวยกติ และเผยแพรขํ ๎อมูลขาํ วสารเกี่ยวกับการสะสมผล การเรียนรู๎ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 233

โดยมีกลไกการดาเนนิ งานในแตํละสํวน ทส่ี าคัญคือ 1) ระบบเปิดบัญชสี ะสมผลการเรยี นรู๎ 2) การประเมิน และการใหก๎ ารรบั รองผลการเรยี นรู๎ 3) ระบบประสานเครือขํายกับสถาบันพันธมิตร และสถานศึกษาอ่ืนๆ 4) ระบบการวัดและประเมนิ ผล 5) ระบบแนะแนวและจัดทาแผนการเรยี นรรู๎ ายบุคคล 2.4) แนวทางการพัฒนาหนํวยงานกลางสะสมผลการเรียนรู๎ สาหรับการศึกษาตลอดชีวิต สูํ ความสาเรจ็ ในทางปฏบิ ตั ิ คือ 1) จดั ให๎เป็นระบบท่ีเปิดโอกาสให๎ประชาชนท่ัวไป ทุกวัย ทุกสถานะ และทุ ก ระดบั ได๎นาผลการเรียนรเู๎ ดมิ ท่ีได๎รับจากความร๎ู ประสบการณ๑ การงานอาชีพ การฝึกอบรม มาขอรับการ รับรองจากหนํวยงานสาขาของหนํวยงานกลางสะสมผลการเรียนร๎ู หรือจากสถาบันที่เป็นพันธมิตร 2) มี นโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข๎อง (Policy Planning and Regulations) รองรับเพื่อใช๎เป็นกรอบทิศทางการ พัฒนาหนํวยงานกลางสะสมผลการเรียนร๎ู มีระบบควบคุมคุณภาพ การติดตามประเมินผล สาหรับ กระบวนการดาเนนิ งาน กระบวนการให๎การรบั รองสถาบนั ที่เปน็ พนั ธมติ รในการรับรองผลการเรยี นรเ๎ู ดมิ และ มาตรฐานหลกั สตู ร 3) มีการสรา๎ งความรูค๎ วามเข๎าใจเกยี่ วกับการทางานของหนวํ ยงานกลางสะสมผลการเรยี นร๎ู ในระดับชาติ ให๎กับประชาชน และหนํวยงานทเี่ กีย่ วขอ๎ ง และมีการประชาสัมพันธผ๑ าํ นสื่อตํางๆอยํางทั่วถึงและ ตํอเนอ่ื ง การอภิปรายผล 1. การท่ีนานาชาติเห็นความสาคัญของการศกึ ษาตลอดชีวิต และแนวคิดของการรับรองผลการเรียนรู๎ หรือ RVA และผลการเรียนรู๎เดิม - RPL เป็นหลักการแนวคิดที่สาคัญที่เป็นพื้นฐานของการพัฒนาระบบการ สะสมผลการเรียนร๎ู หรือธนาคารหนํวยกิต เปดิ โอกาสใหป๎ ระชาชนท่ัวไปได๎นาความรู๎ ประสบการณ๑ที่เกิดจาก การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย มาขอการรับรองเปน็ หนํวยกิตทางการศกึ ษา สะสมและเทียบ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 234

โอนจนสาเร็จผลตามความต๎องการ ความสนใจ หรือตามคณุ วุฒิทีต่ ๎องการ ในความสาเร็จของนานาประเทศ ในกลมุํ สมาชกิ OECD และบทเรียนการพฒั นาระบบการสะสมผลการเรียนรู๎ในตํางประเทศ พบวําในประเทศ สาธารณรฐั เกาหลี นอกจากการเน๎นในเรอ่ื งการใชห๎ ลกั การ RVA การเชื่อมโยงกับกรอบคุณวุฒิแหํงชาติ หรือ กรอบคุณวุฒิวิชาชีพแล๎ว จุดสาคัญคือการมีหนํวยงานรับผิดชอบในรูปแบบหนํวยงานกลาง ภายใต๎การดูแล รบั ผดิ ชอบของกระทรวงศกึ ษาธกิ ารในระยะเรมิ่ ต๎น และพัฒนาตอํ ในระยะทีส่ องเป็น รูปแบบองค๑กรอิสระจาก กระทรวงศกึ ษาธิการ และจากอิทธพิ ลของการเมอื ง ทาให๎การบรหิ ารจัดการระบบธนาคารหนํวยกติ ตอบสนอง ความต๎องการของประชาชนทั่วไป สถานประกอบการ เกิดสังคมแหํงการเรียนรู๎ตลอดชีวิต ประชาชนทั่วไป สามารถรับโอกาสการศึกษาระดบั สงู ข้นึ ในระดับอดุ มศกึ ษาได๎ ยกระดบั คณุ ภาพของประชากรของชาติ จนเป็น ทีย่ อมรับของประเทศอืน่ ๆ 2) ประเทศไทย ยังไมํพบระบบการสะสมผลการเรยี นร๎ู ท่เี ป็นระบบชดั เจน และกรอบคุณวุฒแิ หงํ ชาติ ยังอยูใํ นข้ันตอนการวิจยั พัฒนาเพอ่ื นาสกํู ารปฏบิ ตั ิจรงิ และให๎เชื่อมโยงกบั กรอบคณุ วุฒิวชิ าชพี และอนื่ ๆ 3) การพฒั นารปู แบบหนวํ ยงานกลางสะสมผลการเรียนรู๎ สาหรับการศึกษาตลอดชีวิต ภายใต๎ความ รับผิดชอบของกระทรวงศึกษาธิการ ตามองค๑ประกอบของรูปแบบท่ีประกอบด๎วย หลักการและแนวคิด วตั ถปุ ระสงค๑ โครงสรา๎ งการบรหิ าร ภารกิจ บทบาทหน๎าท่ี หนํวยงานหลักและหนํวยงานยํอย กลไกและแนว ทางการพัฒนา จะเปน็ แนวทางเบ้ืองต๎นในการพฒั นาระบบการสะสมผลการเรยี นร๎ใู ห๎เป็นรปู ธรรม พัฒนาความ รวํ มมอื ในหนวํ ยงานการศึกษาภายใต๎สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และหนํวยงานของรัฐอื่นๆ โดยใช๎กลไกของ หนํวยงานสาขาและสถาบันพันธมิตรในการขยายการรับบริการสะสมผลการเรียนร๎ูของประชาชนทั่วไป โดย กาหนดให๎การสะสมผลการเรยี นร๎ู เปน็ วาระแหํงชาติ และมีนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข๎องสนับสนุน มีการ พฒั นากลไกการทางานทสี่ าคญั ในเรื่องการเปิดบัญชีสะสมผลการเรียนร๎ู โดยมีหนํวยงานกลางสะสมผลการ เรียนรู๎ หรอื หนํวยงานสาขา ทาหนา๎ ทตี่ รวจสอบหลักฐาน สถาบันพันธมิตรท่ีผํานกระบวนการประเมินและให๎ การรับรอง สามารถจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรมาตรฐาน โปรแกรมรายวิชาที่ได๎รับการรับรอง และ สามารถฝากเกรดเข๎าในแฟูมสะสมผลการเรียนร๎ูของผู๎เรียน สํงผํานเครือขํายเทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ื อ ประมวลผลทฐี่ านข๎อมลู กลางของหนวํ ยงานกลางสะสมผลการเรียนร๎ูได๎ในชํวงจบภาคการศึกษา มีระบบการ ตรวจสอบและติดตามการดาเนินงานให๎เป็นไปตามระบบประกันคุณภาพ และเป็นท่ียอมรับของสังคมและ ประชาชนและหนวํ ยงานอืน่ ๆของรฐั การประชาสมั พนั ธ๑และเผยแพรํการดาเนินงานของหนํวยงานกลาง สะสม ผลการเรยี นรู๎ หลกั สูตรมาตรฐาน โปรแกรมรายวชิ าและสถาบนั พันธมิตรในชํองทางการประชาสัมพันธ๑ตํางๆ อยาํ งหลากหลาย ข้อเสนอแนะ เพ่ือให๎เกิดการสะสมผลการเรยี นร๎ู สาหรับการศึกษาตลอดชวี ติ ของประเทศไทย ในระยะเร่ิมต๎นควรมี การดาเนนิ การตามแนวทางการพัฒนาหนํวยงานกลางสะสมผลการเรยี นรู๎ทร่ี ะบุไว๎ โดยกาหนดให๎การสะสมผล การเรียนร๎ู สาหรบั การศึกษาตลอดชีวิต เป็นวาระแหํงชาติ ออกกฎหมายการรับรองผลการเรียนรู๎ กฎหมาย การศกึ ษาตลอดชวี ิต และอืน่ ๆท่เี กย่ี วข๎อง ใหห๎ นวํ ยงานกลางสะสมผลการเรียนรู๎ สาหรับการศึกษาตลอดชีวิต การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 235

(Thai Credit Bank Central Office Model) รับผิดชอบโดยตรงในการขับเคล่ือน สนับสนุน ประสานความ รํวมมือ กับหนํวยงานภายในกระทรวงศึกษาธิการและหนํวยงานของรัฐอื่นๆ ในการพัฒนาระบบฐานข๎อมูล ประชาชนท่วั ไปและผู๎เรียน รายงานตรงตํอกระทรวงศกึ ษาธิการ โดยใหม๎ ีนโยบายเป็นวาระแหํงชาติ สนับสนุน ให๎หนํวยงานการศึกษาของรัฐให๎ความรํวมมือในการปฏิบัติงานรํวมกับหนํวยงานกลางสะสมผลการเรียนรู๎ เพื่อให๎บรรลุวัตถุประสงค๑ของการดาเนินงานให๎การรับรอง สะสม และเทียบโอนผลการเรียนรู๎สาหรับ ประชาชนทั่วไป และผูเ๎ รยี น รวมทั้งความรํวมมอื ในการเช่อื มโยงทงั้ ในดา๎ นสารสนเทศเพ่อื การบริหารการศึกษา เพื่อการสํงเสริมการศึกษาตลอดชีวิตให๎เป็นผลสาเร็จ สาหรับผู๎เรียนและประชาชนท่ัวไป นอกจากน้ัน การ เตรียมความพร๎อมของบคุ ลากรทง้ั ฝาุ ยบรหิ ารและฝาุ ยปฏิบตั กิ าร และสํงเสริมใหเ๎ กิดความตระหนัก ความเข๎าใจ ในการสะสมผลการเรียนร๎ู แกปํ ระชาชนทั่วไป ผเ๎ู รียน และหนวํ ยงานอื่นๆ ขอ้ เสนอแนะเพอื่ การทาวจิ ัยตอ่ ไป เสนอแนะใหท๎ าการวิจัยทีค่ รอบคลุมสถานศึกษาแตํละสังกัดเพื่อ ศึกษาป๓ญญาอุปสรรค และความต๎องการในการสะสมผลการเรียนรู๎ และวิจัยในสํวนท่ีเกี่ยวข๎องกับการพัฒนา ระบบธนาคารสะสมผลการเรียนรู๎ สาหรับการศึกษาตลอดชีวิตแตํละสํวน เอกสารอ้างองิ คณะครุศาสตร๑ จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยา. (2550). แนวโน้มการจดั การศึกษานอกระบบโรงเรยี นของประเทศไทย ในทศวรรษหน้า ฉันทนา จนั ทรบ๑ รรจง, และทกั ษ๑ อุดมรัตน๑, (2555). ระบบสะสมหน่วยการเรยี นรแู้ ละการเทยี บโอนผลการเรยี น ความรู้ และประสบการณ์ กรณีศกึ ษาญ่ีปนุ่ . มหาวิทยาลัยนเรศวร พณิ สุดา สิรธิ รงั ศรี, และคณะ, (2558). รายงานการวจิ ัยเร่ือง แนวทางการพัฒนาระบบสะสมหนว่ ยการเรียนรู้ (Credit Bank System) : ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน. สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร. พิณสดุ า สริ ธิ รงั ศรี, และคณะม (2559). รายงานการวจิ ัยเรอื่ ง การพฒั นาคุณภาพและยกระดับการศึกษาของ ผูเ้ รยี น โดยใชร้ ะบบการสะสมหน่วยการเรยี นรู้ (Credit Bank System) ระดับการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน. สานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร. ศริ พิ รรณ ชุมนมุ . (2558). ระบบการรบั รองผลการเรยี นรู้เดิม (Recognition of Prior Learning – RPL). ประเทศออสเตรเลีย. สมศักด์ิ นาวายทุ ธ๑. (2557). ระบบสะสมหนว่ ยการเรยี น และการเทียบโอนผลการเรยี น ความรู้ และ ประสบการณ์ ในการจดั การศึกษาเรียนรูแ้ ละพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ย์ ประเทศสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลี ใต้)สมุ าลี สังขศร.ี (2544). รายงานวิจยั การศกึ ษาตลอดชวี ิตเพอื่ สังคมไทยในศตวรรษที่ 21.สถาบัน เทคโนโลยเี พอ่ื การศึกษาแหงํ ชาติ (สทศช). สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหงํ ชาต.ิ อนุชยั รามวรังกรู , และนลินรตั น๑ รักกศุ ล. (2556). การพฒั นารปู แบบการเทยี บโอนมาตรฐานฝมี อื แรงงานเพ่ือ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 236

คุณวุฒกิ ารศึกษาวชิ าชพี . Choi, Sang-Duk., (2007). Country Background Report: Republic of Korea. OECD Thematic Review on Recognition of Non-formal and Informal Learning. Kee, Younwha. Huang. Fushun, and Zhang, Rui. (2008). Development Orientation of Taiwan Accreditation System of Non-Formal Education. Retrieved on November 24, 2015 from www.taiwanembassy.org/public/attachment/98614485471.doc kee, Youngwha., Rui, Zhang. (2009). Credit Bank System : What has Been saved for Ten Years of Educational Quality ? Soongsil University. Seoul Korea. Li, Huikang., Sun, Yaoting., Yang, Min., Wei, Zhihui. (2012). The Establishment of Academic Credit accumulation and transfer system : A case study of Shanghai Academic Credit Transfer and Accumulation Bank for Lifelong Education. Retrieved on August 4,2016 from http://www.emeraldinsight.com/doi/pdfplus/10.1108/AAOUJ-08-01-2013-B006 Madhu, Singh. (2015). Global Perspectives on Recognising Non-formal and Informal Learning : Why Recognition Matters. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 237

การพฒั นาความรดู้ า้ นเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสาร ของข้าราชการครู สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พืน้ ฐาน (สพฐ.) ในพน้ื ท่ีภาคตะวนั ออก ประเทศไทย โดยการฝึกอบรมเชงิ ปฏิบัติการ Information and Communication Technology Literacy Development for Teacher under Office of the Basic Education Commission (OBEC) in Eastern Thailand by Using Workshop Training นภาพไิ ล ลทั ธศกั ดิศ์ ิริ ฝ่ายวิชาการ, วทิ ยาลยั เทคโนโลยสี ยาม e-mail [email protected] บทคดั ยอ่ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารที่เจริญก๎าวหน๎าอยํางรวดเร็ว สํงผลให๎กระบวนทัศน๑ทาง การศึกษาเปล่ยี นแปลงไป การเรียนร๎ูในยุคศตวรรษที่ 21 จึงไมํได๎จากัดอยูํเฉพาะในห๎องเรียนเทํานั้น แตํการ เรยี นรส๎ู ามารถเกดิ ขึน้ ไดท๎ กุ ท่ที กุ เวลา การบรู ณาการเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (ICT) ในการจัดการ เรยี นการสอนจงึ เป็นสง่ิ สาคญั สาหรับการใหโ๎ อกาสนักเรยี นได๎เรียนรูแ๎ ละพฒั นาทกั ษะท่จี าเป็นในศตวรรษท่ี 21 ครผู ู๎สอนจาต๎องพัฒนาตัวเองใหม๎ ีความรูแ๎ ละทกั ษะวิชาชพี เพื่อสามารถออกแบบการเรียนรู๎ได๎อยํางเป็นระบบ สามารถใช๎ ICT สรา๎ งส่ือการเรียนการสอน และวัดประเมินผลการเรียน จัดการเรียนการสอนท่ีมีผู๎เรียนเป็น ศูนยก๑ ลางได๎อยาํ งมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด ทั้งนี้มีงานวิจัยจานวนมากพบวํา มีข๎อจากัดบาง ประการท่ีทาให๎การนา ICT ไปใช๎ในการเรียนการสอนยังไมํได๎ผลเทําท่ีควร สาเหตุหน่ึงที่สาคัญ คือ ครูข าด ความร๎ูด๎าน ICT ดังนั้นในบทความน้ี ผู๎เขียนจึงได๎สังเคราะห๑และสรุปแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาความร๎ูด๎าน เทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารให๎แกํครูโดยใช๎วิธีการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อให๎ครูมีความรู๎ ความสามารถในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสอ่ื สารไปใช๎จัดการเรยี นการสอนในชนั้ เรียนได๎ในอนาคต รวมถึงติดตามผลการนาความร๎ู ICT ไปใช๎ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎และประเมินผลในช้ันเรียนหลังการ ฝกึ อบรม ท้ังน้ีผบู๎ ริหารสถานศกึ ษาและผ๎ทู มี่ ีหน๎าทีจ่ ดั การฝึกอบรมใหก๎ ับครผู ส๎ู อนสามารถนาไปใชเ๎ ปน็ แนวทาง ในการฝึกอบรมเพือ่ พฒั นาความร๎ูดา๎ น ICT ตํอไปไดอ๎ ยํางเป็นรปู ธรรม การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 238

คาสาคญั : การฝึกอบรมเชิงปฏิบตั กิ าร, การพฒั นาความร๎ู, เทคโนโลยสี ารสนเทศ และการส่อื สาร (ICT) ABSTRACT Information and communication technology (ICT) has progressed. As a result, the educational paradigm shifted. Learning in 21st century is not limited to the classroom but learning can happen anywhere, anytime. Integrating Information and Communication Technology (ICT) into teaching and learning is crucial for providing opportunities for students to learn and develop their skills needed in the 21st century. All teachers need to develop their own knowledge and professional skills to be able to design a systematic learning, can use ICT to create learning media, assess the grades, and manage the learner-centered instruction efficiently and effectively. There are many researches show that there are some limitations to use of ICT in teaching and learning. One important reason is that teachers lack of ICT knowledge. So in this article, the author has synthesized and summarized ideas about the development of information and communication technology for teachers by using the workshop training method. It will help teachers to have knowledge and ability to use information and communication technology to teach in the classroom in the future. Including follow-up on the use of ICT knowledge for classroom learning activities and classroom assessment after training. The school administrators and those who are responsible for providing training to teachers can use it as a guideline for training to further develop ICT knowledge. KEYWORDS: Workshop Training, Literacy Development, Information and Communication Technology (ICT) บทนา ความก๎าวหน๎าทางด๎านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ( ICT) ในยุคศตวรรษที่ 21 สํงผลให๎ กระบวนทัศน๑ทางการศกึ ษาเปล่ยี นแปลงไป ซึ่งเดิมการจัดการศึกษามุํงเน๎นให๎ผ๎ูเรียนมีความรู๎ทักษะอํานออก เขียนได๎ และคิดเลขเป็น เปล่ียนเป็นมํุงเน๎นให๎ผ๎ูเรียนมีความรู๎และทักษะการคิดข้ันสูง เชํน ทักษะการคิด แกป๎ ๓ญหาและการตดั สนิ ใจ ทักษะการคิดแบบวจิ ารณญาณ ทักษะความคดิ สร๎างสรรค๑ ฯลฯ เพื่อสามารถรับมือ กับการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขึ้นได๎ และบทบาทหน๎าที่ของครูจากเดิมท่ีเป็นผ๎ูถํายทอดความร๎ูโดยมีครูเป็น ศนู ยก๑ ลางการเรียนร๎ู เปลีย่ นเป็นผว๎ู างแผนและออกแบบการเรยี นรู๎ ชวํ ยเหลอื ผ๎เู รียนใหส๎ ามารถแสวงหาความร๎ู ดว๎ ยตนเองจากแหลงํ ตํางๆ โดยมผี เ๎ู รียนเปน็ ศนู ย๑กลางการเรยี นรู๎ ICT จงึ กลายเป็นเครอื่ งมอื สาคัญในการจดั การ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 239

เรียนการสอน เพราะชํวยเพม่ิ ความกระตือรือรน๎ ของผเ๎ู รียน และชวํ ยสรา๎ งความสนใจแกํผู๎เรียน ทาให๎ผู๎เรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท่ีสูงขึ้น (Sarkar, 2012, p. 33) สอดคล๎องกับผลวิจัยจากหลายพื้นที่ท่ัวโลกที่พบวํา นักเรียนมีแรงจูงใจมากข้ึนเมื่อมีการนาคอมพิวเตอร๑และอินเทอร๑เน็ตมาใช๎ในชั้นเรียน สํงผลตํอผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นสงู ขน้ึ (ปณ๓ ณิกา ไชยนวล, 2556, น.32; Elmaifi, 2014, online; Robinson, 2016, p.6) กลําว ได๎วํา การนา ICT มาใช๎ในการเรียนรู๎ชํวยสํงเสริมการเรียนรู๎ของผ๎ูเรียน และทาให๎ผ๎ูเรียนมีผลการเรียนดีข้ึน (McGraw-Hill Education, 2016, p. 8) ประเทศไทยให๎ความสาคัญกบั การพัฒนาความรูด๎ ๎าน ICT แกํเยาวชนและประชาชนทั่วไป กลําวคือ ใน พระราชบญั ญัติการศึกษาแหงํ ชาติ พ.ศ.2542 และท่ีแก๎ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 หมวด 9 มาตรา 65 ระบุวาํ ให๎มีการพฒั นาบคุ ลากรทัง้ ด๎านผ๎ูผลติ และผใ๎ู ชเ๎ ทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา เพ่ือให๎มีความร๎ู ความสามารถ และทักษะในการผลติ สามารถใช๎เทคโนโลยีทเ่ี หมาะสม มีคณุ ภาพ และ ประสิทธภิ าพ และมาตรา 66 ท่รี ะบุวํา ให๎ผ๎เู รียนไดร๎ ับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช๎เทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา ในโอกาสแรกท่ีทาได๎ เพ่ือให๎มี ความร๎แู ละทักษะเพียงพอทีจ่ ะนาเทคโนโลยเี พือ่ การศึกษาไปใช๎แสวงหาความรู๎ด๎วยตนเองอยํางตํอเนื่องตลอด ชีวติ (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหํงชาติ, 2545) นอกจากน้ีมีการกาหนดยุทธศาสตร๑ระดับชาติโดย รัฐบาลและหนํวยงานที่เกย่ี วข๎อง อาทิ ยทุ ธศาสตรช๑ าติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) ได๎กาหนดยุทธศาสตร๑ที่ เก่ียวกับระบบ ICT โดยเน๎นการพัฒนาโครงสร๎างพ้ืนฐาน ICT ท่ีเป็นอินเทอร๑เน็ตความเร็วสูงให๎ทันสมัยและ กระจายทั่วทุกพ้ืนที่ และมํุงเน๎นการพัฒนาบุคลากรให๎มีความร๎ูความสามารถและเชี่ยวชาญระดับ มาตรฐานสากล เพื่อสร๎างความเข๎มแข็งของภาคการผลิต ภาคการศึกษา และพาณิชย๑อิเล็กทรอนิกส๑ (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2559, น. 18) ซ่ึงสอดคล๎องกับยุทธศาสตร๑การพัฒนาภายใต๎กรอบนโยบายเทคโนโลยี สารสนเทศและการสอ่ื สารระยะ พ.ศ. 2554-2563 ของประเทศไทย ทม่ี ํุงเน๎นการพัฒนาโครงสร๎างพนื้ ฐาน ICT ทีเ่ ปน็ อนิ เทอร๑เน็ตความเรว็ สงู ให๎มคี วามทันสมยั ม่นั คงปลอดภัย และประชาชนท่วั ไปสามารถเขา๎ ถงึ ได๎ และการ พัฒนาทุนมนุษย๑ในทกุ สาขาอาชพี ใหม๎ คี วามรแ๎ู ละทักษะในการใช๎งาน ICT มีความรอบร๎ูสารสนเทศ และร๎ูเทํา ทันส่ือ เพ่ือสามารถใช๎สารสนเทศได๎อยํางมีประสิทธิภาพ (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร, 2554, น. 12) กลําวได๎วํา ความรู๎ด๎าน ICT เป็นหนึ่งในสมรรถนะที่บุคคลต๎องมีในยุคศตวรรษที่ 21 (OECD, 2005, p.5) ครูและบุคลากรทางการศึกษาผ๎ูเป็นบุคคลสาคัญในการพั ฒนาเยาวชนให๎เป็นพลเมืองที่ดีมีคุณภาพ จาตอ๎ งมีความรู๎ และสมรรถนะทางด๎าน ICT เพือ่ สามารถจดั การเรียนรูใ๎ หเ๎ หมาะสมกับยคุ สมัย และเทําทันโลก โดยบูรณาการ ICT เข๎ามาใช๎ในการจัดการเรียนการสอน และการประเมินผลผู๎เรียนได๎อยํางมีประสิทธิภาพ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2553, น. 31-32) ได๎กาหนดให๎ความสามารถในการใช๎และ พฒั นาส่ือนวตั กรรมเทคโนโลยเี พอ่ื การจดั การเรยี นรูเ๎ ปน็ ตัวบํงชถ้ี ึงสมรรถนะประจาสายงานของครูในด๎านการ บริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู๎ โดยครูต๎องสามารถเลือกใช๎สื่อและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู๎ที่ หลายหลายให๎มีความเหมาะสมกับเน้ือหาและกิจกรรมการเรียนรู๎ สามารถสืบค๎นข๎อมูลผํานเครือขําย อินเทอร๑เน็ต และใช๎เทคโนโลยีคอมพิวเตอร๑ในการผลิตสื่อและนวัตกรรมเพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนร๎ู สอดคลอ๎ งกับผลวิจยั ของสพุ ินดา เลิศฤทธิ์ (2557, น. 160) ท่พี บวํา ความสามารถในการใช๎อนิ เทอร๑เน็ต การใช๎ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 240

ICT เพ่ือการส่ือสาร ความร๎ูพื้นฐานด๎านฮาร๑ดแวร๑และซอฟต๑แวร๑ และการสร๎างสื่อการสอน เป็นความรู๎และ สมรรถนะ ICT ข้นั พ้ืนฐานทค่ี รูควรมีเพ่อื ใช๎ในการจัดการเรียนการสอนและการพัฒนาวิชาชีพในศตวรรษท่ี 21 ดงั น้นั จึงมคี วามจาเป็นอยํางย่งิ ที่ต๎องพัฒนาครูให๎มีความสามารถในการใช๎ ICT เพื่อมาปฏบิ ัติงานดา๎ นการศกึ ษา ใหบ๎ รรลุผลอยาํ งมีประสิทธิภาพ ปญั หาและความท้าทายสาคญั ในการบูรณาการ ICT ในการจดั การเรยี นการสอน การบูรณาการ ICT มาใช๎ในการจดั การเรียนการสอนชํวยสรา๎ งโอกาสในการเรียนรู๎ท่ีดีข้ึน ทั้งน้ีครูสํวน ใหญํท่ัวโลกยงั พบความท๎าทายหลายอยํางทีเ่ ปน็ ป๓ญหาและอุปสรรคทาใหไ๎ มํสามารถบูรณาการ ICT ในการจัด กิจกรรมการเรียนรแ๎ู ละการประเมนิ ผลในช้ันเรยี น อาทิ เวลาการสอนในชนั้ เรียนมีจากดั โครงสร๎างพ้นื ฐาน ICT ทไ่ี มเํ พยี งพอ การเชอื่ มตํออินเทอร๑เนต็ ไมํเสถียร ขาดงบประมาณในการจัดซ้ือวัสดุอุปกรณ๑ ICT ขาดบุคลากร ชํวยสนบั สนุนดา๎ นเทคนิค ผบู๎ รหิ ารสถานศึกษาและครูผ๎ูสอนไมํให๎ความสาคัญและไมํเห็นความจาเป็นท่ีจะใช๎ ICT ในการจัดการเรียนการสอน ครูขาดการฝึกอบรมการใช๎ ICT ในการจัดการเรียนการสอน ครูขาด ประสบการณแ๑ ละขาดความมน่ั ใจในการบูรณาการ ICT เขา๎ กับการเรยี นการสอน ครไู มํมคี วามร๎ูและทักษะ ICT ในการจัดการเรียนการสอน เป็นต๎น (Göktaş, Yıldırım & Yıldırım, 2009, p. 194; Hadi & Zeinab, 2012, p. 42; Özdemir, 2017, p. 505; UNESCO, 2014, p. 16) การจดั ประเภทของป๓ญหาและอุปสรรคท่ีทาให๎ครูไมํได๎ใช๎ ICT ในการจัดการเรียนการสอน สามารถ แบํงได๎เป็น 2 ประเภท ได๎แกํ 1) ป๓จจัยภายใน และ 2) ป๓จจัยภายนอก (นัทธีรัตน๑ พีระพันธุ๑, 2559, น. 5-6; Ertmer, 1999, p. 48) ดังแสดงไวใ๎ นตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ปญ๓ หาและอปุ สรรคทีท่ าใหค๎ รไู มํไดใ๎ ช๎ ICT ในการจัดการเรียนการสอนจาแนกตามประเภท ปัจจัยภายใน (Internal factors) ปจั จยั ภายนอก (External factors) - ครูไมํมคี วามร๎แู ละทกั ษะ ICT ในการจัดการ - เวลาการสอนในชนั้ เรียนมจี ากัด - ภาระงานทร่ี บั ผิดชอบมากเกนิ ไป เรยี นการสอน - ขาดความพรอ๎ มด๎านโครงสร๎างพ้ืนฐาน ICT - ครขู าดความเชือ่ มั่นและแรงจงู ใจในการใช๎ และวสั ดุอปุ กรณ๑ ICT ICT ในการจัดการเรยี นการสอน - ขาดงบประมาณ - ครขู าดประสบการณ๑ในการใช๎ ICT ในการ - ขาดการฝึกอบรมการใช๎ ICT ในการจัดการ จัดการเรยี นการสอน เรยี นการสอน - ครมู ีทัศนคติไมํดีตอํ ICT - ขาดบคุ ลากรชํวยสนบั สนนุ ด๎านเทคนิค - ครไู มํใหค๎ วามสาคัญและไมเํ ห็นความจาเป็น - ขาดต๎นแบบในการนา ICT ไปใชจ๎ รงิ ทีจ่ ะใช๎ ICT ในการจัดการเรียนการสอน - ครูยึดติดกับรปู แบบและวิธกี ารสอนเดมิ ทมี่ ี ครเู ปน็ ศูนย๑กลาง การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 241

ป๓ญหาครูผส๎ู อนขาดความร๎ูและทกั ษะ ICT ในการจัดการเรยี นการสอน เปน็ ปญ๓ หาใหญํปญ๓ หาหน่งึ ท่ี ต๎องเรงํ แกไ๎ ข (นทั ธีรตั น๑ พรี ะพนั ธุ๑, 2559, น. 4) เนื่องจากครเู ปน็ ป๓จจัยสาคญั ทีม่ อี ทิ ธิพลตอํ ผลสมั ฤทธท์ิ างการ เรยี นของผเ๎ู รยี น ดังน้นั ครผู ส๎ู อนควรมกี ารศึกษาคน๎ คว๎าทางวิชาการหมัน่ หาความร๎ูและทกั ษะตํางๆ เพม่ิ เตมิ เกีย่ วกบั เรื่องทสี่ นใจอยํางสมา่ เสมอเพอ่ื มคี วามร๎แู ละประสบการณ๑ทางการเรยี นการสอน สามารถจดั การเรยี น เรียนรแู๎ ละใช๎อปุ กรณก๑ ารสอนทท่ี ันสมยั ชํวยสร๎างแรงจงู ใจและกระตนุ๎ เสรมิ แรงผ๎เู รียน (ประภสั สร วงษ๑ศรี, 2541 : 46) ท้ังนผี้ เ๎ู ขียนได๎ศึกษาและสังเคราะห๑เอกสารและงานวิจัยตํางๆ ทเี่ กย่ี วข๎อง เพอื่ หาวธิ ีการแกป๎ ญ๓ หา ครผู สู๎ อนขาดความร๎แู ละทกั ษะ ICT พบวาํ มกี ลยทุ ธส๑ าหรับพฒั นาครูดา๎ นการใช๎ ICT เพอื่ พฒั นาการจัดการ เรียนการสอนหลายกลยุทธ๑ อาทิ การฝึกอบรมเชิงปฏบิ ตั กิ าร การนิเทศภายใน (มะยุรี สุรสิ าย, ศักด์ิสิทธิ์ ฤทธิ ลนั , และสุรางค๑รัตน๑ ตรเี หรา, 2559, น. 134) กลยทุ ธ๑เหลํานีช้ ํวยเสริมสร๎างความรู๎ด๎าน ICT แกคํ รู และจะชวํ ย ใหค๎ รสู ามารถใช๎ ICT เปน็ เครื่องมือในการจดั การเรยี นการสอนไดอ๎ ยํางเหมาะสมนาไปสูกํ ารเปล่ียนแปลงของ สภาพการเรียนรทู๎ ่ีมผี ูเ๎ รียนเป็นศูนยก๑ ลาง (Meenakshi, 2013, p. 6) วตั ถุประสงคข์ องบทความ ผูเ๎ ขียนได๎จดั การฝึกอบรมเชิงปฏิบตั กิ ารระยะส้ัน 3 ช่ัวโมง เพ่ือพัฒนาความร๎ูด๎านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารให๎แกํข๎าราชการครูสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (สพฐ.) ในพ้ืนที่ภาค ตะวันออกของประเทศไทย จานวน 60 คน ในชวํ งกลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 ภายใต๎หัวข๎อเร่ือง “เครื่องมือ เทคโนโลยสี ารสนเทศ และการส่อื สาร (ICT) กบั การศกึ ษา” โดยมํุงหวงั ให๎ครูท่ีผํานการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ จะสามารถ 1. มีความรู๎พื้นฐานด๎าน ICT เชํน สามารถคน๎ หาและใชส๎ อ่ื สารสนเทศได๎อยํางถกู ตอ๎ ง 2. นาเคร่อื งมือ ICT ไปใช๎จัดกิจกรรมการเรยี นรู๎และการประเมนิ ผลผู๎เรียนในชั้นเรียน การจดั การฝึกอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเพอ่ื พฒั นาความรู๎ดา๎ น ICT โดยท่ัวไปจะมเี นอ้ื หาการฝกึ อบรมที่ เกี่ยวข๎องกบั วตั ถุประสงคข๑ อ๎ ใดขอ๎ หนงึ่ หรอื ทง้ั 3 ข๎อ ดังตํอไปน้ี 1) ความรค๎ู อมพิวเตอร๑ขน้ั พนื้ ฐานท่ีไมํ จาเป็นตอ๎ งเชื่อมโยงกบั การเรียนการสอน 2) ความรเู๎ กีย่ วกบั การใช๎ ICT ฮารด๑ แวรแ๑ ละซอฟต๑แวร๑ ในการจัดการ เรียนการสอน และ 3) การใช๎ ICT ในการพฒั นาระบบการเรยี นการสอนในวิชาตํางๆ และกจิ กรรมนอกโรงเรียน ได๎อยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ (UNESCO Bangkok, 2003, pp. 10-11) การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เร่ือง “เครื่องมือเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ICT) กับ การศกึ ษา” ประกอบดว๎ ยเน้ือหา 2 สํวน คือ ภาคทฤษฎีและภาคฝึกปฏบิ ตั ิ โดยมีหัวขอ๎ การฝึกอบรมและเนื้อหา สาระสาคัญ ดงั แสดงไว๎ในตารางท่ี 2 การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 242

ตารางที่ 2 หัวขอ๎ การฝกึ อบรมและเนอ้ื หาสาระสาคญั หัวข้อการฝึกอบรม เนอ้ื หาสาระสาคญั ความรพู๎ ืน้ ฐานด๎าน ICT - ความสาคัญของ ICT ในการจดั การเรยี นการสอนศตวรรษท่ี 21 - บทบาทและหนา๎ ทขี่ องครยู ุคใหมํ - ประเภทของเคร่ืองมอื ICT ตามลกั ษณะการใชง๎ านในด๎าน การศึกษา - การใชส๎ ือ่ สารสนเทศอยาํ งถกู ต๎องตามกฎหมายลขิ สิทธิ์ - แนะนาแหลํงข๎อมูลสาหรบั สรา๎ งสอื่ การเรียนการสอน เชํน คลงั ทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด OER การใชเ๎ ครื่องมอื ICT ในการจดั ในการฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารครง้ั นใ้ี ช๎เคร่อื งมือ ICT ดังตอํ ไปนี้ กจิ กรรมการเรียนร๎ูและการ - การสบื คน๎ ขอ๎ มลู และประเมินแหลงํ ทรพั ยากรสอื่ สารสนเทศท่ถี ูก ประเมินผลผเู๎ รียน ลิขสิทธผิ์ าํ นเครอื ขํายอนิ เทอรเ๑ น็ต : OER, https://search.creativecommons.org/, https://pixabay.com/ - การสร๎างส่อื การเรียนการสอน : โปรแกรมนาเสนอPowerPoint และโปรแกรม Prezi - การสร๎างแบบประเมนิ ผลผ๎เู รียน : โปรแกรม Plicker และ โปรแกรม Kahoot การฝกึ อบรมเชิงปฏิบตั กิ ารครง้ั น้ี ผเู๎ ขียนบทความใชว๎ ธิ ีการบรรยาย และการสาธิตการใช๎เครื่องมอื ICT เพราะเน้ือหาของการสอนการใช๎เคร่อื งมอื ICT มีขน้ั ตอนบางอยาํ งทีส่ ลับซับซ๎อน การสอนแบบบรรยายเพียง อยาํ งเดยี วไมสํ ามารถสร๎างความร๎ูความเข๎าใจใหก๎ บั ผู๎เข๎ารบั การฝกึ อบรมได๎ การสาธิตพร๎อมแสดงตัวอยํางการใช๎ เครอ่ื งมอื ICT อยาํ งเป็นขน้ั ตอนชวํ ยใหผ๎ ูเ๎ ขา๎ รบั การฝกึ อบรมมองเหน็ ได๎ยิน และสมั ผสั กระบวนการทาสิ่งนน้ั ได๎ อยํางชดั เจน (ยศระวี วายทองคา และคณะ, 2560, น. 208) จากนนั้ จงึ ใหผ๎ เ๎ู ขา๎ รับการฝกึ อบรมไดฝ๎ กึ ปฏิบตั จิ รงิ ตามตวั อยํางและโจทยท๑ ่ไี ดร๎ ับมอบหมาย สาหรบั การสร๎างสอื่ การฝกึ อบรม ผ๎ูเขยี นบทความได๎บรู ณาการ ICT ท่ี หลากหลาย อาทิ ภาพ เสียง ส่อื แอนเิ มช่นั วดี ีโอคลปิ และแบบทดสอบออนไลน๑ เขา๎ ไปในสอื่ การฝึกอบรม ทง้ั นีเ้ พอื่ ใหผ๎ ๎ูเข๎ารบั การฝึกอบรมเห็นถงึ ประโยชน๑ของ ICT ในการนาไปใชใ๎ นการเรยี นการสอนจริง ในชวํ งท๎าย ของการฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ตั ิการ ผู๎เขยี นบทความได๎ใหผ๎ ูเ๎ ข๎ารบั การฝกึ อบรมทาแบบประเมินวดั ความร๎ูพื้นฐาน กอํ นและหลงั การฝึกอบรม และหลงั จากการฝึกอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ าร 3 เดือน ผเู๎ ขยี นไดต๎ ดิ ตามการนาเคร่ืองมือ ICT ไปใช๎ในการจดั การเรียนสอนของครทู เี่ ขา๎ รบั การฝกึ อบรมเชิงปฏบิ ตั กิ าร โดยสงํ ทีอ่ ยบํู นอินเทอรเ๑ น็ต (URL) ของไฟล๑แบบประเมินการติดตามผลการใช๎เคร่อื งมอื ICT ในการจัดการเรยี นการสอนในชั้นเรยี นหลงั การ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 243

ฝึกอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการทีผ่ เ๎ู ขยี นบทความสรา๎ งขึ้นจากโปรแกรม google form ผํานทางอีเมลข๑ องผเ๎ู ข๎ารบั การ ฝกึ อบรมทุกคน สรปุ ผลและอภปิ รายผล สรปุ ผลการวิจยั และอภปิ รายผลตามวตั ถุประสงคท๑ ก่ี าหนดไดต๎ ามลาดบั ดังตอํ ไปน้ี 1. ความรูพ๎ ้ืนฐานด๎าน ICT ของข๎าราชการครู สงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พน้ื ฐาน (สพฐ.) ในพ้ืนท่ภี าคตะวนั ออกของประเทศไทย กอํ นการฝกึ อบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร อยํใู นระดบั ปานกลาง (̅=2.51) ต่ากวําความรูพ๎ ืน้ ฐานด๎าน ICT หลงั การฝกึ อบรมเชงิ ปฏิบตั กิ าร ซงึ่ อยใูํ นระดบั มาก (̅ =3.87) ท้งั น้ี อาจเนื่องมาจากผเ๎ู ขียนบทความใช๎วิธกี ารบรรยายทาใหผ๎ ๎เู ขา๎ รบั การฝกึ อบรมได๎รบั ความร๎ูพน้ื ฐานดา๎ น ICT มาก ขนึ้ นอกจากนไ้ี ด๎ใช๎การสาธิตตัวอยํางการใช๎ ICT ในการจดั การเรยี นการสอน รวมถึงใหผ๎ เ๎ู ข๎ารบั การฝกึ อบรมมี โอกาสไดฝ๎ กึ ปฏิบตั จิ รงิ (Learning by doing) สอดคลอ๎ งกบั งานวิจัยของภรณี หลาวทอง และคณะ (2556, น. 115) พบวํา การเข๎ารวํ มฝกึ อบรมเชิงปฏิบัตกิ ารทาให๎ครผู สู๎ อนมีความรแ๎ู ละสมรรถนะด๎านเทคโนโลยสี ารสนเทศ และการส่ือสารมากข้นึ 2. การนาเคร่ืองมือ ICT ไปใช๎จัดกิจกรรมการเรียนรู๎และการประเมินผลผู๎เรียนในช้ันเรียน หลงั จากเข๎ารบั การฝึกอบรมเชิงปฏบิ ัติการแล๎ว 3 เดือน พบวาํ มีผู๎เข๎ารับการฝึกอบรมเพียง 1 ใน 4 ของผู๎เข๎า รบั การฝึกอบรมทง้ั หมดที่ได๎นาความรู๎ด๎าน ICT ท่ีได๎รับจากการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งน้ีไปใช๎ในชั้นเรียน เมือ่ สอบถามถงึ สาเหตทุ ี่ไมํไดน๎ าเครอื่ งมอื ICT ไปใช๎ในการจดั การเรยี นรู๎ พบวํา สาเหตุสาคัญที่เป็นอุปสรรคใน การบูรณาการ ICT ในการจัดการเรียนการสอน โดยเรียงจากมากไปน๎อย ได๎แกํ 1) โครงขํายพ้ืนฐาน ICT อินเทอรเ๑ นต็ ความเรว็ สงู ไมเํ สถยี ร หรือไมสํ ามารถเชือ่ มตอํ ได๎ (ร๎อยละ 28.57) ทัง้ นอ้ี าจเนื่องมาจากสถานศึกษา ของผ๎ูเข๎ารับการฝึกอบรมบางทํานตั้งอยํูในเขตชนบทที่ขาดความพร๎อมด๎านโครงสร๎างพ้ืนฐาน ICT ที่เป็น อินเทอร๑เน็ตความเร็วสูงซ่ึงเป็นสํวนประกอบสาคญั ของการใช๎ ICT ในระบบการศึกษา ประกอบกับคําบริการ ดา๎ นเทคโนโลยีสารสนเทศในป๓จจุบันยังมีราคาคํอนข๎างสูง (กระทรวงศึกษาธิการ , 2559, น. 2) 2) วัสดุและ อุปกรณ๑ตํางๆ เชนํ เคร่อื งคอมพวิ เตอร๑ เครือ่ งฉายโปรเจคเตอรไ๑ มํเพียงพอ (ร๎อยละ 23.81) ท้ังน้ีอาจเน่ืองมาก จากสถานศึกษาหลายแหงํ ขาดงบประมาณการจัดซื้อวสั ดอุ ุปกรณ๑ สอดคลอ๎ งกบั ผลการวิจัยของอมรรตั น๑ จินดา และเอกนฤน บางทําไม๎ (2559, น.396) พบวํา สถานศกึ ษามคี วามต๎องการให๎มีการสํงเสริมสนับสนุนด๎านวัสดุ อปุ กรณ๑ คอมพิวเตอร๑ และสือ่ การเรียนการสอน โดยเฉพาะระบบเครอื ขํายอนิ เทอร๑เน็ตทมี่ คี วามเสถียร และ 3) ขาดความร๎ดู ๎าน ICT (ร๎อยละ 14.29) ทั้งน้ีอาจเนือ่ งมาจากระยะเวลาท่ีใช๎ในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ นอ๎ ยเกินไป ทาใหผ๎ ๎ูเขา๎ รบั การฝกึ อบรมไมไํ ด๎ฝกึ ปฏบิ ตั อิ ยํางเต็มท่ี กลาํ วไดว๎ ําการฝกึ อบรมเชงิ ปฏิบตั กิ าร เร่ือง “เคร่ืองมือเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสาร (ICT) กับการศึกษา” สามารถชํวยพัฒนาความรู๎ด๎านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการส่ือสารให๎แกํข๎าราชการครูใน สงั กดั สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน (สพฐ.) อยํางไรก็ตามผูเ๎ ขา๎ รบั การฝึกอบรมบางทํานอาจไมํ สามารถนา ICT ไปใช๎ในการจัดการเรียนร๎ูได๎อยํางเต็มท่ี เพราะพบป๓ญหาและอุปสรรคที่เป็นท้ังป๓จจัยภายใน และปจ๓ จัยภายนอก อาทิ โครงขํายพ้นื ฐาน ICT อินเทอร๑เน็ตความเร็วสูงไมํเสถียร หรือไมํสามารถเชื่อมตํอได๎ วัสดุและอุปกรณ๑ตํางๆ ไมํเพียงพอ และขาดความรู๎ด๎าน ICT เป็นต๎น ป๓ญหาและอุปสรรคดังกลําวข๎างต๎น การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 244

สอดคลอ๎ งกับงานวจิ ัยของ Özdemir (2017, p. 51) ท่ีพบวาํ สาเหตุหลักท่ีครูไมํนา ICT มาใช๎ในการเรียนการ สอน เพราะขาดความพรอ๎ มด๎านโครงสร๎างพืน้ ฐาน ICT และวัสดอุ ปุ กรณ๑ ICT ในสถานศึกษา และครูผ๎ูสอนขาด ความรแู๎ ละทกั ษะด๎าน ICT ดงั นั้นควรสงํ เสรมิ สนบั สนนุ การใช๎ ICT เพ่อื การศกึ ษาสาหรับสถานศึกษาทั้ง 3 ด๎าน ไดแ๎ กํ 1) ดา๎ นวสั ดุอปุ กรณ๑ (Hardware) 2) ด๎านโปรแกรมและส่ือสาหรับใช๎จัดการเรียนการสอน (Software) และ 3) ดา๎ นบคุ ลากร (Peopleware) (อมรรตั น๑ จินดา และเอกนฤน บางทําไม๎, 2559, น.405) ข้อเสนอแนะ การฝึกอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ ารเพอ่ื พัฒนาความร๎ูด๎านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารของข๎าราชการ ครู สงั กัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (สพฐ.) ควรทาอยํางตอํ เนื่อง เพ่ือเสริมสร๎างและรักษา ความร๎ทู ไ่ี ด๎รับจากการฝึกปฏบิ ตั ใิ หค๎ งอยํู ชวํ ยให๎ครูผูส๎ อนมีความม่ันใจในการเลือกใช๎ ICT ได๎อยํางเหมาะสมกับ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนร๎ู และการประเมินผล นอกจากนี้ควรมีการนิเทศติดตามหลังการฝึกอบรมเชิง ปฏิบัติการเพ่ือให๎คาปรกึ ษา แนะนา และชํวยเหลอื ให๎ครูสามารถใช๎ ICT ในการจดั การเรียนการสอนในชน้ั เรียน ไดอ๎ ยาํ งเป็นรูปธรรม เอกสารอา้ งองิ กระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร. (2554). กรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สาร ระยะ พ.ศ. 2554-2563 ของประเทศไทย. กรงุ เทพฯ : กระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการ สือ่ สาร. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2559). แผนพัฒนาการศึกษาของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ฉบับท่ี 12 (พ.ศ.2560- 2564). กรงุ เทพฯ : สานกั งานปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ. นัทธีรัตน๑ พีระพันธ.ุ๑ (2559). Studio TEaCH กับการพฒั นานสิ ติ ครูในศตวรรษท่ี 21. วารสารพฤติกรรม ศาสตร์. 22(1) : 1-16. ประภสั สร วงษศ๑ รี. (2541). การรับรอู้ ัตสมรรถนะ ความภาคภมู ใิ จในตนเองกับผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นของ นักศกึ ษาพยาบาล วทิ ยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม. วทิ ยานิพนธก๑ ารศกึ ษามหาบณั ฑติ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ปณ๓ ณกิ า ไชยนวล. (2556). ผลการบูรณาการไอซีทีในการจดั การเรยี นรด๎ู ๎วยโครงการเร่ือง การอนุรกั ษ๑พลงั งาน และสงิ่ แวดลอ๎ มตอํ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนและสมรรถนะสาคญั ของผเ๎ู รียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที 5่ี โรงเรียนศกึ ษาสงเคราะหเ๑ ชียงใหมํ ปกี ารศึกษา 2553. วารสารวจิ ัยราชภัฏพระนคร. 8(1) : 27-36. มะยุรี สุริสาย, ศักดส์ิ ิทธิ์ ฤทธิลนั , และสุรางค๑รตั น๑ ตรีเหรา. (2559). “การพฒั นาครูด๎านการใชส๎ ื่อเทคโนโลยี สารสนเทศและการสอื่ สารเพื่อพฒั นาการเรยี นการสอน : กรณโี รงเรียนนาขามวทิ ยา สงั กดั สานักงาน เขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษากาฬสินธุ๑ เขต 3”. การประชมุ วชิ าการระดบั ชาติครศุ าสตร์ คร้งั ที่ 1 การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 245

การจัดการศกึ ษาเพือ่ พัฒนาท้องถ่ิน สูป่ ระชาคมอาเซยี น : ทศิ ทางใหมใ่ นศตวรรษท่ี 21. กาฬสินธุ๑ : มหาวทิ ยาลยั กาฬสนิ ธุ๑ ภรณี หลาวทอง, โกเมท จันทรสมโภชน,๑ เฉลิมพล คงจันทร,๑ สหเทพ ค่าสรุ ิยา และปิยะ แก๎วบัวดี. (2556). “การพฒั นาสมรรถนะดา๎ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สารของอาจารย๑ผสู๎ อนสงั กดั มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลอสี าน.” วารสารวชิ าการและวิจยั มทร.พระนคร ฉบับพเิ ศษ การประชุม วิชาการมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคล ครงั้ ท่ี5 วันที่ 15 – 16 กรกฎาคม 2556. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล. ยศระวี วายทองคา และคณะ. (2560). นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแหงํ ชาติ. (2545). พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 และที่ แก้ไขเพมิ่ เติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2545. กรงุ เทพฯ : พรกิ หวานกราฟฟิค. สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน. (2553). คูม่ ือประเมินสมรรถนะครู (ฉบับปรับปรงุ ). กรงุ เทพฯ : สานักพัฒนาครูและบคุ ลากรทางการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน. สุพินดา เลศิ ฤทธิ์. (2557). การเตรียมความพร๎อมของโรงเรยี นในด๎านสมรรถนะเทคโนโลยสี ารสนเทศและการ สอ่ื สารขัน้ พ้นื ฐานสาหรับครูภายในปี 2558. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น. 37(2) : 156-163. อมรรตั น๑ จินดา และเอกนฤน บางทาํ ไม๎. (2559). สภาพปญ๓ หาและแนวทางสงํ เสรมิ การใช๎เทคโนโลยี สารสนเทศและการสอื่ สารเพื่อการศกึ ษาเพ่อื การศกึ ษาสาหรบั สถานศึกษาในสังกัดสานกั งานเขตพนื้ ที่ การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 2. Veridian E-Journal, Silpakorn University ฉบบั ภาษาไทย สาขามนษุ ยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และศิลปะ.9(1) : 395-407. Elmaifi. (2014). Advantages of Using ICT in Learning-Teaching Processes. Retrieved from http://edtechreview.in/trends-insights/insights/959-advantages-of-using-ict-in-learning- teaching-processes Ertmer, P.A. (1999). Addressing First- and Second-Order Barriers to Change: Strategies for Technology Integration. Educational Technology Research and Development. 47(4) : 47-61. Göktaş, Y., Yıldırım, S. & Yıldırım, Z. (2009). Main Barriers and Possible Enablers of ICTs Integration into Pre-service Teacher Education Programs. Educational Technology & Society. 12 (1) : 193–204. Hadi, S. & Zeinab, S. (2012). Challenges for Using ICT in Education: Teachers’ Insights. International Journal e-Education, e-Business, e-Management and e-Learning. 2(1) : 40-43. การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 246

McGraw-Hill Education. (2016). 2016 Digital Study Trends Survey. Retrieved from http://www.infodocket.com/wp-content/uploads/2016/10/2016-Digital-Trends-Survey- Results1.pdf Meenakshi. (2013). Importance of ICT in Education. Journal of Research & Method in Education. 1(4) : 3-8. OECD. (2005). Annual Report. Retrieved from: https://www.oecd.org/about/34711139.pdf Özdemir, S. (2017). Teacher Views on Barriers to the Integration of Information and Communication Technologies (ICT) in Turkish Teaching. International Journal of Environmental & Science Education. 12(3) : 505-521. Robinson, K. (2016). The Effect of Technology Integration on High School Students’ Literacy Achievement. Teaching English with Technology. 16(3) : 3-16. Sarkar, S. (2012). The Role of Information and Communication Technology (ICT) in Higher Education for The 21St Century. The Science Probe. 1(1) : 30-40. UNESCO. (2014). ICT in Primary Education Analytical Survey. Volume 2 Policy, Practices, and Recommendations. Retrieved from http://iite.unesco.org/pics/publications/en/files/3214735.pdf UNESCO Bangkok. (2003). Teacher Training on ICT Use in Education in Asia and The Pacific: Overview from Selected Countries/by Information Programmes and Services. Expert meeting on teachers/facilitators training in technology-pedagogy integration, Bangkok, Thailand, 18-20 June 2003. Bangkok : UNESCO Bangkok. การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 247

Reflection over My Journey of Learning from Bhutan to Thailand Author: Deki Peldon University: Rangsit University e-mail: [email protected] ABSTRACT This paper presents my rewarding experiences of studying master’s program in Thailand over the first semester. It is intended to encourage my fellow mate teachers back in my country Bhutan to come forward in upgrading their qualification. Government can think of assisting student teachers to continue master’s program right after they complete their bachelor’s degree rather than prolonging it by deploying them in the teaching field at the first place. Implementation of this practice can prevent the gap between formal education and professional services. Teacher starts finding ways and means to tackle issues related to teaching and learning only after experiencing it rather than being proactive. In the process many give up due to bitter experiences. Being proactive can help retain teachers in the field. This paper presents the Bhutanese learning context followed by learning experiences of master’s program in Thailand. KEYWORDS: Teaching Reflection, Bhutanese Learning Context, Teacher’s qualification, Learning Experiences Introduction With inadequate training opportunity I had in my home country, I had the feeling of not being able to perform to the best of my abilities. Need to earn Master’s Degree became the need of the hour. I am fortunate enough to be one of the awardees of Thailand International Cooperation Agency scholarship. Within 180 days of my stay here in Thailand, I had enriching learning experiences which I would like to share. My sharing would somehow ignite spark amongst teachers to give second thought about their complacency and reluctance to upgrade themselves professionally. First I would like to present the learning context of Bhutanese teachers and students followed by learning experiences in Thailand. การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 248

Content Teachers in Bhutan Number of teachers in Bhutan shying away from further studies are quite high. The reluctance could be attributed to various factors. Some are apprehensive about the change and do not want to step out of their comfort zone. For instance, it took me fourteen long years to enroll myself for this master course. Others find it difficult to bridge the gap between their formal education and professional services. The minimum number of service required before applying for further studies are at least 3years.After meeting the required number of years, teachers at their will can participate in open competition to avail scholarship through foreign aids. But the absorption through such scholarship is restricted to certain numbers. The master program for teachers in Bhutan is limited to just three universities that can accommodate only certain percentage of the teacher population. And rest are left with no choice. They can either continue with what they have been doing or apply for studies at their own cost.Statistatically teachers with master’s degrees and PhD are comparatively low in Bhutan. Professional development is necessary because of teachers’ obligations both to themselves and to their students. Educational research has continued to show that an effective teacher is the single most important factor of student learning. An effective teacher is one who matches the strategies to the students. It cannot be realized without updating oneself as a teacher. Further, lack of up gradation leads to stagnation which is the biggest hurdle in overcoming the challenges of 21st century. Learning context in Bhutan Traditional approach characterized by passive reception and repetitive explanation used to be dominant feature of education in Bhutan. With the modernization, education however is marked by innovation and development that embodies progressive learning intended to find out something better. Given the current stage of development of teaching and learning in Bhutan, there is shift from teacher centered to learner centered. Yet, we still have to work towards making learner centered the leading practices of our education system. There are many ways one can adopt to make students learn. Laws of learning Fredericks (2005) believes that following laws of learning can be applicable to students around the world to promote their learning. การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 249


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook