Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ED-APHEIT 2018

ED-APHEIT 2018

Published by ED-APHEIT, 2019-04-05 09:41:45

Description: ED-APHEIT 2018

โครงการประชุมทางวิชาการและเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ :

สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
(สสอท.)

Search

Read the Text Version

สถานศึกษา วิสยั ทศั น์ พนั ธกิจ ยทุ ธศาสตร์ กลยทุ ธ์ ตวั ช้ีวดั ขอบข่ายงานวิชาการ 17 ดา้ น การตรวจสอบความ ศึกษา การวิเคราะหโ์ ดย เสี่ยงโดยการติดตาม สภาพแวดลอ้ ม การประเมินความ เส่ียงและจดั ลาดบั ผลทบทวนและ ภายใน รายงาน ความเส่ียง กระบวนการบริหาร ความเสี่ยง การบริ หาร ความเสี่ยง ภาพระบบบริหารความเสี่ยงดา้ นการบริหารงานวชิ าการในสถานศกึ ษา การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 450

ข้อเสนอแนะ ในสถานศึกษาการบริหารความเสี่ยงด๎านงานวิชาการ จะเกิดข้ึนได๎นั้นต๎องได๎รับความรํวมมือจาก บุคลากร ทุกฝาุ ย และในแตํละงานซ่ึงต๎องถือวําเปน็ กจิ กรรมของทุกคนในองค๑การ ผู๎บริหารจะต๎องสร๎างความ เขา๎ ใจ ใหท๎ กุ คนทุกฝาุ ย ตระหนกั ถึงความเสย่ี ง ปญ๓ หาหรอื สิง่ ท่ีอาจขัดขวางการทางานให๎เกดิ ประสิทธิผลและมี ประสทิ ธภิ าพ ท่ีทกุ คนตอ๎ งทา ทาเป็นประจาและทาอยาํ งตอํ เน่ืองเป็นระบบ มรี ปู แบบชัดเจน การตดิ ตามผลและการรายงานเปน็ ส่งิ ท่ีจาเปน็ และมีประโยชน๑ตอํ การบรหิ ารความเสี่ยงเพราะ จะทา ให๎ทราบวํา แผนจัดการความเส่ียงถูกนาไปใช๎อยํางถูกต๎องและมีประ สิทธิภาพเพียงใด ทาให๎ทราบวํา ข๎อผดิ พลาดทอี่ าจเกดิ ข้นึ หลังจากใช๎แผนจัดการความเสี่ยงแล๎ว จะสามารถนาแผนการจัดการความเส่ียงมา ปรบั ปรงุ แกไ๎ ขใหส๎ อดคลอ๎ งกบั สถานการณท๑ ่เี ปลี่ยนแปลงไป หรือ ในกรณีท่ีแผนเดิมไมํมีประสิทธิภาพ ก็จะมี การรายงานตามท่ีถกู กาหนดไว๎ ซ่ึงกระบวนการสอื่ สารในแตํละขนั้ ตอนจะชํวยให๎มีการพัฒนาได๎เหมาะสมได๎ดี ยิ่งขนึ้ ฝุายบริหาร คณะกรรมการบรหิ ารความเสย่ี ง และคณะกรรมการดาเนนิ งานวิชาการในสถานศึกษา รํวมกัน วเิ คราะห๑งานวาํ มปี ญ๓ หา หรือความเสี่ยงใดที่เปน็ อปุ สรรคในการดาเนินงาน หรือต๎องการสํงเสริมงานวิชาการเรื่องใด แลว๎ นาผลทไี่ ด๎มากาหนดเป็นโยบายของสถานศกึ ษา ซึ่งผู๎บริหารสถานศึกษา หัวหน๎าฝุายวิชาการ และครูผ๎ูสอนต๎อง ดาเนินการบริหารความเส่ียงทเี่ สนอไว๎ในบทความนี้มาใชใ๎ นการดาเนินงาน เพ่อื ผลลัพธ๑ของนโยบายสถานที่กาหนดไว๎ เชนํ คะแนน O-netระดับสถานศึกษาสงู ข้ึน การอาํ นเขียนภาษไทยของนักเรียนอยํูในเกณฑ๑ระดับดี ผลคะแนน PISA สูงข้นึ การใชภ๎ าษาอังกฤษของนักเรยี นอยใํู นเกณฑ๑ดขี ้นึ เป็นต๎น เอกสารอ้างองิ เจริญ ศรแี สนปาง. (2556). รายงานวจิ ัยเรอ่ื งการพฒั นาระบบการบรหิ ารความเสย่ี งในโรงเรยี นประถมศกึ ษา .มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. ไทยรฐั ออนไลน.๑ (2557). รายงานโกลบอล คอมเพทตทิ ีฟ รพี อรท๑ 2014-2015 (Global Competitiv Report 2014-2015). สบื คน๎ 1 กมุ ภาพนั ธ๑ 2561, จาก https://www.thairath.co.th/content/448945 ดวงใจ ชวํ ยตระกูล. (2551). การบริหารความเส่ยี งในสถานศกึ ษาระดบั การศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน. วิทยานพิ นธ๑ ปรญิ ญาปรัชญาดษุ ฎบี ัณฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยศิลปกร นฤมล สะอาดโฉม.(2550). การบริหารความเสย่ี ง. สบื คน๎ เมอ่ื 24 กนั ยายน 2559, จาก http://www.auditddc.org/images/1148885564/rm.p1.ppt#262,8 ภาวิช ทองโรจน.๑ (2556). สรปุ การสมั มนาการปรบั ปรุงหลกั สตู รเพอ่ื สนองตอํ นโยบายรัฐบาล เรอ่ื งแนวทาง การปฏริ ปู การศกึ ษาของประเทศไทย วนั ท่ี 22 สงิ หาคม 2556. สบื ค๎น 11 ธันวาคม 2559, จาก planning2.mju.ac.th/wtms_documentDownload.aspx?id=MTM1NjU สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2550). แนวทางการกระจายอานาจการ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 451

บริหารและการจัดการการศึกษาและสถานศึกษา ตามกฎกระทรวง กาหนดหลักเกณฑ๑และวิธีการ กระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษา พ.ศ.2550. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ๑ชุมนุมสหกรณ๑ การเกษตรแหงํ ประเทศไทย จากัด เฟอ่ื งฟาู เทียนประภาสิทธ์ิ. (2550). การบริหารความเสีย่ ง สานักการตรวจเงนิ แผนํ ดิน. สืบคน๎ เมื่อ 24 กนั ยายน 2559 , จาก http://phdb.moph.go.th/newsdoc/files/9/39107477.ppt. เสนาะ ตเิ ยาว๑. (2548). รูปแบบการบริหารและจดั การวจิ ัยทางการศกึ ษาและที่เกยี่ วข๎องขององค๑กร ระดบั ชาติ. กรงุ เทพฯ : สานักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา. สานักงานปลดั กระทรวงศึกษาธกิ าร, กลมํุ ตรวจสอบภายในระดบั กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2556. ). คูมํ ือ การบรหิ ารความเสยี่ ง. สบื คน๎ 15 พฤศจกิ ายน 2559, จาก www.udru.ac.th/~qaudru/attachments/article/71/คูํมอื บริหารความเส่ยี ง.pdf การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 452

ข้อควรระวังทางด้านกฎหมายเก่ยี วกบั งานการสอนตามพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ 2558 Caution regarding legal education under the Copyright Act 2015. อาจารย๑นิตยา นยิ มไรํ และ ดร.นีรนาท จุลเนยี ม e-mail: [email protected]; [email protected] บทคัดยอ่ ตามพระราชบัญญัตลิ ขิ สทิ ธ์ิ พุทธศักราช 2558 สาหรับการเรียนการสอนในช้ันเรียนของครูน้ัน ไดใ๎ ห๎ความคุ๎มครองแกํงานการสอนอนั มลี ิขสทิ ธ์ิ ซึ่งลักษณะทัว่ ไปของลขิ สทิ ธ์โิ ดยหลกั แลว๎ ผ๎ูสร๎างสรรค๑งานเป็น ผ๎ูมีลิขสิทธ์ิ เป็นสิทธิแตํผู๎เดียว (exclusive rights) เป็นสิทธิในทางทรัพย๑สิน (property rights) เป็นสิทธิท่ีมี จากัดเวลา เป็นสหสิทธิ (multiple rights) และลิขสิทธ์ิแยกตํางหากจากกรรมสิทธิ์ (independence of ownership) ดังนั้น เมื่อการเรยี นการสอนมีการบนั ทึกเสยี ง บนั ทึกภาพ และวีดิทัศน๑ ที่ครู/อาจารย๑กาลังสอน อยูใํ นชัน้ เรียน แล๎วนาไปเผยแพรจํ ึงไมอํ าจเข๎าขํายได๎รับการคุ๎มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ แตํอาจได๎รับความ ค๎ุมครองจากกฎหมายอื่น เชํน กฎหมายอาญา หรือกฎหมายแพํงและพาณิชย๑ ซ่ึงต๎องนามาปรับใช๎กับ พฤติการณ๑ของการกระทาในแตลํ ะกรณี หรือการใช๎ระเบียบ ข๎อบังคับ ของแตํละประเภทของสถานศึกษามา บังคับใช๎ เน่อื งจากยังไมมํ ีกฎหมายโดยตรงท่ีให๎สิทธิของคร/ู อาจารยห๑ รือผส๎ู อนมีสทิ ธิแ์ ตผํ ู๎เดียวในการกระทาอนั เก่ียวกบั การสอนของตนในการเผยแพรํ บันทกึ ทาซ้า ในบางสถานศึกษาน้นั การบนั ทกึ การสอนของคร/ู อาจารย๑ ด๎วยเครื่องบันทึกภาพและเสียงเป็นส่ิงท่ีเป็นปกติวิสัย เชํน ในมหาวิทยาลัยที่ไมํจากัดจานวนรับ หรือ มีลกั ษณะของการดาเนินการของมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชา แตใํ นโรงเรียน วิทยาลยั หรือ มหาวิทยาลัยท่ัวไป ท่ีมีชั้นเรียนและมีครู/อาจารย๑สอนในแตํละรายวิชาน้ันการจดบันทึกบนกระดาษหรือใช๎เคร่ืองคอมพิวเตอร๑ บั น ทึ ก ด๎ ว ย ภ า ษ า ข อ ง ต น เ อ ง เ ป็ น ส่ิ ง ป ก ติ วิ สั ย ใ น ร ะ บ บ ก า ร เ รี ย น ก า ร ส อ น แตกํ ารบนั ทึกด๎วยเคร่อื งบันทึกเสียง และวดี ิทศั น๑ ไมํเป็นสิ่งปกติวสิ ยั ในการเรยี นการสอน แตํอยาํ งไรกต็ าม โดยสามัญสานึกแล๎ว การจะบันทึกด๎วยเครื่องมือบันทึกภาพและเสียงหรือวีดิ ทศั น๑ในสิ่งท่ีคร/ู อาจารยส๑ อนในช้นั เรยี นนั้นต๎องขออนุญาตจากผู๎สอน ถ๎าผ๎ูสอนไมํอนุญาตก็ไมํควรบันทึก การ ลกั ลอบบันทึกโดยทคี่ ร/ู อาจารย๑ไมํทราบและไมํอนุญาตนั้นเป็นการฝุาฝืน ครู/อาจารย๑มีอานาจลงโทษได๎ตาม ขอ๎ บังคับของสถานศกึ ษาแตํละแหํงและแตํละระดับ นอกจากการบันทึกการสอนของครู/อาจารย๑โดยผู๎เรียน แล๎ว สถานศกึ ษาและหนวํ ยงานในสถานศึกษาบางแหํงยังมกี ารชักชวนให๎คร/ู อาจารย๑ใหม๎ ีการบนั ทกึ วีดทิ ัศนก๑ าร สอนของอาจารย๑เพื่อเผยแพรใํ หก๎ บั ผเ๎ู รยี น หรอื ผูส๎ นใจและนาขนึ้ เผยแพรทํ างอินเทอร๑เน็ตให๎ผูส๎ นใจเข๎ามาโหลด ไปได๎ฟรีอีกด๎วย ซึ่งอาจถือได๎วําเป็นการทาให๎ผลงานการสอนของอาจารย๑ผู๎น้ันเป็นของสาธารณะหรือเป็น “Public domain” ซ่งึ จะไมไํ ดร๎ ับการคุ๎มครองจาก พระราชบญั ญัติลิขสิทธ์ิแตํอยํางใด ผลงานตําง ๆ ท่ีอยูํบน อินเทอร๑เน็ตโดยสํวนมากแล๎วเป็น Public domain และไมํได๎รับการคุ๎มครองลิขสิทธิ์ เว๎นแตํจะมีการระบุไว๎ อยํางชัดเจนและมกี ารปอู งกนั การทาสาเนาหรอื นาไปใชไ๎ ว๎พอสมควร คาสาคัญ : พระราชบัญญัติลขิ สิทธ,ิ์ งานการสอน, ด๎านกฎหมาย การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 453

Caution regarding legal education under the Copyright Act 2015. AJ.Nittaya Niyomrai and Dr.Neranart Chulniam Professor Faculty of Law University Vongchavalitkul e-mail: [email protected]; [email protected] Abstract Copyright Act 2558 for teaching in the classroom of the teacher. Provide protection to the teaching of copyright. The common feature of all the main creators are copyrighted. As the exclusive right The right to property. A property rights as limited as a separate copyright from the UK rights and ownership. So when teaching with audio and video recording, teachers / professors are teaching in the classroom. Then he released it may not be protected by copyright. But may be protected by other laws. Such as criminal law or civil law and commercial Which must be adapted to the circumstances of the action in each case. Or the regulations of each of the institutions to enforce it. Since there is no law directly to the right of teachers / professors or instructors have the sole act on teaching her to publish the notes repeat in some schools, the recording of the teachers / professors as well. Audio Recorder is habitual. Such as the University of unlimited number of receivers. Or manner of implementation of University Marketing Department. But in school, college or university with class and a teacher / instructor in each course they take notes on paper or computer records with their own language is included in the course. But recording with audio and video is not included in the course. However By common sense then The records with recorded video and audio or videotape of what teachers / professors teach classes that require permission from the instructor. If the instructor does not allow it to be recorded. Stealth recorded by the teachers / professors do not know and do not violate it. Teachers / professors have the power to punish them according to the regulations of each school and each grade. In addition to the teachers / professors and the students. Educational institutions and agencies in some educational institutions still have to persuade teachers / professors to record video teaching teachers to distribute to students. Or the interests and put up on the Internet where people come loaded with free. This may be regarded as making a contribution to teaching, it is a public or a \"Public domain\", which would not be protected from. Copyright in any work that is on the Internet, mostly as Public domain and not protected by copyright. Keywords: Copyright Act, training, legal. การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 454

บทนา ตามพระราชบัญญัตลิ ขิ สทิ ธ์ิ หมายถึง สทิ ธิ์แตํผ๎เู ดยี วของผู๎สรา๎ งสรรคผ๑ ลงานท่จี ะทาการใด ๆ กับงานที่สรา๎ งสรรค๑ได๎ทาข้นึ เชํน การทาซ้าหรือดัดแปลงนาออกเผยแพรํตํอสาธารณชน นาออกให๎ ผ๎ูอื่นเชําต๎นฉบับรวมท้ังอนุญาตให๎ผู๎อื่นใช๎ลิขสิทธ์ิของตนได๎ โดยผลงานลิขสิทธิ์ที่เกิดจากการ สร๎างสรรคข๑ องมนษุ ยจ๑ ะไดร๎ ับความคุ๎มครองจากพระราชบญั ญตั สิ ิทธิบตั ร พระราชบัญญตั ิเครอ่ื งหมาย พระราชบัญญัตลิ ขิ สิทธ์ิ และพระราชบัญญัติความลับทางการค๎า ซ่ึงในกฎหมายแตํละฉบับเป็นการ คุ๎มครองผลงานทม่ี นุษย๑ใช๎ความสามารถและสตปิ ญ๓ ญาสรา๎ งสรรค๑ขน้ึ ได๎แกํ ผลงานทเี่ กดิ จากความคิด สรา๎ งสรรคข๑ องผ๎สู ร๎างสรรค๑ ท่ีเกดิ ขนึ้ จากความคิดริเริ่มของตนเอง มิได๎ทาซ้า หรือดัดแปลงงานอันมี ลขิ สทิ ธข์ิ องผ๎อู ื่น โดยมไิ ดล๎ อกเลยี นผลงานการประพนั ธ๑ของบคุ คลใด, ผลงานที่เปน็ รปู ราํ งสามารถจับ ต๎องสัมผัสได๎ หรือมองเห็นได๎ มิใชํเป็นเพียงความคิดแตํมิได๎ลงมือทา และผลงานประเภทตํางๆ ที่กฎหมายได๎กาหนดไว๎ในพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ รวม 9 ประเภท ได๎แกํ 1) งานวรรณกรรม ได๎แกํ งานแตงํ หนงั สือ ทาภาพประกอบ 2) งานนาฏกรรม ได๎แกํ การคิดทาํ เตน๎ ทาํ รา จิตลลี าประกอบเพลง การแสดงประกอบเป็นเร่ืองราว การแสดงละครใบ๎ ปาฐกถา เทศนา สุนทรพจน๑ 3) งานดนตรี ได๎แกํ ผลงานการแตงํ เพลง แตํงคารอ๎ ง ทานอง เรยี บเรียงเสยี งประสาน 4) งานศิลปกรรม ไดแ๎ กํ ผลงานด๎าน ศิลปะ การวาด การป๓้น การให๎สี แกะสลัก จิตรกรรม ภาพพิมพ๑ ภาพถําย ภาพกระกอบแผนท่ี โครงสรา๎ ง ภาพสามมิติ 5) งานโสตทศั นศกึ ษา ได๎แกํ ภาพแผนํ ใส ระบบแสง สี เสียง ภาพประกอบ เสียง 6) งานภาพยนตร๑ ได๎แกํ ผลงานการสร๎างภาพยนตร๑ 7) งานสํงบันทึกเสียง ได๎แกํ เทป บันทกึ เสียงรายการแสดงสด 8) งานแพรํเสียง แพรภํ าพ ได๎แกํ การกระจายเสียงในวทิ ยหุ รอื โทรทัศน๑ รายการท่ีออกอากาศ หรือกระจายเสยี ง ระบบสายเคเบิ้ล การสํงสัญญาณผํานระบบดาวเทียม และ 9) งานอ่ืนใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร๑หรือแผนกศิลปะ สาหรับนาออกจาหนํายเพื่อ ผลประโยชน๑เพ่อื หากาไรจานวนมาก และมีประสทิ ธภิ าพดีอยาํ งไมํเคยปรากฏมากํอน หลกั การและความจาเป็นของข้อควรระวงั งานการสอนตามพระราชบญั ญัติลิขสิทธ์ิ 2558 นกั วิชาการทางกฎหมายลิขสทิ ธ์ิของไทยหลายทําน (ไชยยศ เหมะรัชตะ, 2528, หน๎า 1) ได๎ยดึ ถือวาํ “ประกาศหอพระสมุดวชิรญาณ ร.ศ. 111 (พุทธศักราช 2435).” เป็นจุดเร่ิมต๎นของ กฎหมายลิขสทิ ธิข์ องประเทศไทย ตํอมาในปี พุทธศักราช 2444 เพื่อค๎ุมครองสิทธิ์ของผ๎ูแตํงหนังสือ เป็นการท่ัวไป รัฐจึงได๎ตรา “พระราชบัญญัติกรรมสทิ ธิผ์ แ๎ู ตํงหนังสือ ร.ศ. 120 (พุทธศักราช 2444)” ขึ้น และในปี พทุ ธศกั ราช 2457 ไดต๎ รา “พระราชบัญญตั ิแก๎ไขพระราชบญั ญตั กิ รรมสทิ ธผิ์ ู๎แตงํ หนงั สือ พทุ ธศกั ราช 2457” ออกมแกไ๎ ขปรับปรุง ซง่ึ ตอํ มาในปี พทุ ธศกั ราช 2477 ประเทศไทยซึ่งได๎เข๎าเป็น ภาคสี มาชกิ ของอนุสัญญาเบอร๑น (พระราชบัญญัติค๎ุมครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช 2470-2474, หน๎า 602-604) เห็นควรปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ให๎สอดคล๎องกับอนุสัญญา เบอร๑ ซ่ึงเป็นอนุสัญญาด๎านลิขสิทธ์ิระหวํางประเทศ รัฐจึงได๎ตรา “พระราชบัญญัติคุ๎มครอง วรรณกรรมและศิลปกรรม พทุ ธศักราช 2477” ออกบังคับใช๎ โดยให๎ยกเลกิ พระราชบญั ญตั ิกรรมสิทธิ์ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 455

ผู๎แตํงหนังหนังสือ ร.ศ. 120 และพระราชบัญญัติแก๎ไขพระราชบัญญัติกรรมสิทธิ์ผ๎ูแตํงหนังสือ พทุ ธศักราช 2457 ในปีพุทธศักราช 2521 รัฐเล็งเห็นวําพระราชบัญญัติค๎ุมครองวรรณกรรมและ ศิลปกรรม พุทธศักราช 2457 ได๎ใช๎บังคับมาเป็นเวลานานแล๎ว บทบัญญัติตํางๆ ที่เกี่ยวกับการ คุ๎มครองลขิ สทิ ธจิ์ งึ ลา๎ สมยั ไมํให๎ความค๎ุมครองกว๎างขวางเพยี งพอ อัตราโทษตา่ มาก ทาใหม๎ ีการละเมดิ กฎหมายอยูํเสมอ (Rothman Reprints, 1969, p. 439-445) จึงได๎มีการตรา “พระราชบัญญัติ ลิขสทิ ธ์ิ พุทธศักราช 2521” ข้ึน มาใชบ๎ งั คับแทนพระราชบัญญัติคุ๎มครองวรรณกรรมและศิลปกรรม พุทธศักราช 2477 ท้ังน้ีพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช 2521 บัญญัติกาหนดประเภทของงาน อันมีลิขสิทธิ์กว๎างขวางกวํากฎหมายเดิม โดยให๎ครอบคลุมงานประเภทวรรณกรรม นาฏกรรม ศลิ ปกรรม ดนตรกี รรม โสตทศั นวัสดุ ภาพยนตร๑ งานแพรเํ สียงแพรํภาพ หรอื งานอ่ืนอันเปน็ งานแผนก วรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร๑หรือแผนกศิลปะ รวมท้ังมบี ทบญั ญตั ิใหอ๎ อกพระรากฤษฎีกาเพ่ือค๎ุมครอง ลขิ สิทธ์ิระหวาํ งประเทศด๎วย ตอํ มาในปี พทุ ธศักราช 2537 บทบญั ญัติในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช 2521 ยังไมํสอดคล๎องกับสถานการณ๑ป๓จจุบันทั้งภายในและภายนอกประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกาพัฒนาการและการขยายตั วทางเศรษฐกิจการค๎าและอุตสาหกรมของประเทศและ ระหวํางประเทศ สมควรปรบั ปรุงมาตรการคุ๎มครองลิขสิทธ์ิให๎มีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน เพ่ือรองรับ การเปล่ียนแปลงดงั กลําว และเพอ่ื สงํ เสรมิ ให๎มีการสรา๎ งสรรคง๑ านในด๎านวรรณกรรม ศิลปกรรม และ งานด๎านอื่น ๆ ท่เี กย่ี วข๎องมากยิ่งข้ึน จึงได๎ตรากฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหมํขึ้นมาคือ “พระราชบัญญัติ ลิขสิทธ์ิ พุทธศักราช 2537” ออกมาบังคับใช๎แทนพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พุทธศักราช 2521 ท้ังนี้ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช 2537 ได๎บัญญัติรับรองให๎ “สิทธิ์ของนักแสดง” ซึ่งเป็นสิทธ์ิ ข๎างเคียงกับลิขสิทธ์ิได๎รับความคุ๎มครองตามกฎหมายวําด๎วยลิขสิทธิ์ฉบับใหมํ (อนุชาติ คงมาลัย, 2559, หนา๎ 4) ความรู้เบ้ืองตน้ เกยี่ วกับกฎหมายลขิ สิทธิ์ กฎหมายทรพั ย๑สินทางป๓ญญาคือ กฎหมายท่ีบัญญัติขึ้นเพ่ือให๎ความค๎ุมครองความคิด สร๎างสรรค๑ของมนุษย๑ ประกอบด๎วยกฎหมายหลายฉบับด๎วยกัน ได๎แกํ พระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พทุ ธศักราช 2537 พระราชบญั ญัตสิ ทิ ธบิ ัตร พุทธศักราช 2522 พระราชบญั ญตั คิ มุ๎ ครองแบผังภูมิของ วงจรรวม พทุ ธศักราช 2543 และพระราชบญั ญัติความลับทางการคา๎ พุทธศกั ราช 2545 เป็นต๎น ซึ่ง รวมเรยี กกฎหมายทรพั ยส๑ ินทางป๓ญญาดงั กลําววาํ “กฎหมายลขิ สิทธ์ิ” และเรียกสิ่งที่กฎหมายแตํละ ฉบบั ใหค๎ วามคม๎ุ ครองวาํ “ลิขสทิ ธิ์” เชํน ลิขสิทธ์ิกังหันน้าชัยพัฒนาลิขสิทธ์ิยา, ลิขสิทธ์ิวรรณกรรม, ลขิ สิทธิ์ในผงั ภูมวิ งจรรวม ซึ่งเปน็ เร่อื งท่ไี มถํ กู ตอ๎ ง การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 456

ลิขสิทธ์ิคือ กฎหมายที่ให๎ความค๎ุมครองแกํงานสร๎างสรรค๑ประเภทวรรณกรรม ศลิ ปกรรม ดนตรกี รรม นาฏกรรม ภาพยนตร๑ (พระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พุทธศักราช 2537 มาตรา 6) สวํ นสิ่งประดิษฐ๑ทีถ่ กู พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต๎องการของมนุษย๑ เชํน ยารักษาโรคเอดส๑ กังหัน นา้ ชัยพฒั นา การคดิ ค๎นพนั ธ๑ุข๎าว จะได๎รับการคุ๎มครองภายใต๎กฎหมายสิทธบิ ัตร สวํ นขนั้ ตอนหรือสูตร ลับในการผลิตน้าอัดลม เชํน โค๎ก เป็นความลับทางการค๎า อันได๎รับความค๎ุมครอง ภายใต๎กฎหมาย ความลับทางการคา๎ และการออกแบบวงจรที่ใชใ๎ นเคร่อื งคอมพิวเตอร๑ จะได๎รับความค๎ุมครองภายใต๎ กฎหมายแบบผังภมู ิของวงจรรวม (พนั ธส๑ุ ยาม ห๎วยแก๎ว, 2550) ในป๓จจุบนั เปน็ ท่ยี อมรับกนั โดยทวั่ ไปวํา ลิขสิทธเ์ิ ป็นทรพั ย๑สนิ ประเภทหนงึ่ ซึ่งเปน็ สงิ่ ทไ่ี มํ มีรูปราํ ง แตํเปน็ ส่งิ ที่ถือไดว๎ ําเป็นทรพั ย๑สนิ ทางป๓ญญาของผ๎ูสร๎างสรรค๑ผลงานทางศิลปวรรณคดีและ วทิ ยาการนน้ั ๆ แนวคิดทเี่ ป็นรากฐานของหลกั การคุ๎มครองลิขสิทธิ์โดยถอื วํา เปน็ ทรพั ย๑สนิ ทางป๓ญญา นีเ้ ทียบเคยี งมาจากหลัก “ใครทาใครได๎” ในกฎหมายแพํง โจเซฟ โคห๑เลอร๑ (Josef Kohler, 1849- 1919) ไดอ๎ ธิบายไวอ๎ ยาํ งชัดเจนและเปน็ ระบบวาํ “มนุษยต๑ ง้ั แตอํ ดตี ตราบจนป๓จจบุ นั มคี วามชอบธรรม ในการอา๎ งวาํ ตนมสี ิทธหิ์ วงกันทรพั ยส๑ ง่ิ ของท่ตี นได๎สร๎าง ได๎ทาขึ้นด๎วยน้าพักน้าแรงแตํเพียงผู๎เดียวได๎ ฉันใด ผู๎กํองานทางป๓ญญาก็ยํอมมีความชอบธรรมในการอ๎างวําตนมีสิทธิ์หวง กันแตํ ผูเ๎ ดยี วในผลงานอันตนไดใ๎ ชส๎ ตปิ ญ๓ ญาสรา๎ งสรรคข๑ ึ้นฉนั น้ัน” จากท่ีกลําวมา สามารถจาแนกความแตกตํางระหวํางการคุ๎มครองภายใต๎กฎหมาย ลิขสทิ ธิ์ และกฎหมายอ่ืนไดพ๎ อสมควร กลําวคอื หากเปน็ เรอื่ งงานวรรณกรรม ดนตรกี รรม ศิลปกรรม อนั เกี่ยวกับถํายทอดความคิด อารมณ๑ สุนทรียภาพ จะได๎รับความคุ๎มครองภายใต๎กฎหมายลิขสิทธิ์ สวํ นสง่ิ ประดิษฐ๑อ่นื ๆ ที่ใช๎เพอ่ื ตอบสนองความต๎องการของมนษุ ย๑ เชนํ ยารักษาโรคเอดส๑ กังหันน้าชัย พฒั นา ความลบั ในการผลติ สงิ่ ประดษิ ฐ๑ หรือการออกแบบผงั ภมู ิวงจรรวม จะไดร๎ ับการค๎ุมครองภายใต๎ กฎหมายอื่น พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พระราชบญั ญตั ลิ ิขสทิ ธ์ิ ซ่ึงคาวํา “ลิขสิทธ์ิ” หมายถึง สิทธิแตํเพียงผู๎เดียวท่ีจะกระทา การใดๆ เก่ียวกบั งานท่ีผ๎ูสร๎างสรรค๑ได๎ทาข้นึ กลาํ วอีกนยั หนงึ่ คือ ลิขสิทธิ์เป็นผลงานท่ีเกิดจากการใช๎ สติป๓ญญา ความรูค๎ วามสามารถ และความวิริยะอตุ สาหะในการสร๎างสรรค๑งานให๎เกดิ ข้นึ ซ่ึงถือวาํ เป็น ทรัพย๑สินทางป๓ญญาประเภทหนึ่ง พระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พุทธศักราช 2537 ไมํมีบทบัญญัติที่ คุ๎มครองการสอนของครู/อาจารย๑ที่ทาการสอน เว๎นแตํถ๎าครูหรืออาจารย๑ผลิตสื่อรูปแบบการสอน ลักษณะเปน็ โสตทัศนวัสดุ หรือภาพยนตร๑ ส่ิงบันทึกเสียง รวมท้ังโปรแกรมคอมพิวเตอร๑ จึงไมํอยูํใน ค ว า ม ค๎ุ ม ค ร อ ง ข อ ง ก ฎ ห ม า ย ลิ ข สิ ท ธิ์ แ ตํ ถ๎ า เ ป็ น \" นั ก แ ส ด ง \" ต า ม ค ว า ม ห ม า ย ในบทบญั ญตั ใิ นมาตรา 4 ของ พระราชบัญญตั ลิ ขิ สิทธิ์ พทุ ธศกั ราช 2537 หมายความวํา “ผู๎แสดงนัก ดนตรี นักร๎อง นกั เต๎น นกั รา และผ๎ูซง่ึ แสดงทาํ ทาง ร๎อง กลําว พากย๑ แสดงตามบทหรือในลกั ษณะอนื่ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 457

ใด” บคุ คลเหลํานี้ จะได๎รบั การค๎ุมครองในหมวด 2 วาํ ด๎วยสิทธิของนกั แสดง ในมาตรา 45 ได๎บัญญัติ ไวว๎ ํา “ผ๎ใู ดนาส่งิ บนั ทกึ เสียงการแสดงซ่ึงไดน๎ าออกเผยแพรํเพื่อวัตถุประสงค๑ทางการค๎าแล๎ว หรือนา สาเนาของงานนั้นไปแพรเํ สยี งหรือเผยแพรตํ ํอสาธารณชนโดยตรง ให๎ผู๎นนั้ จํายคาํ ตอบแทนทเ่ี ป็นธรรม แกํนักแสดง....” การสอนไมใํ ชํการแสดง ในเมอื่ การสอนไมใํ ชํการแสดง และผู๎สอนไมํเป็นผู๎แสดงตาม ความหมายของ พระราชบัญญัตลิ ขิ สิทธ์ิ พทุ ธศักราช 2537 ตอํ มาในปี พุทธศักราช 2558 ไดม๎ ีกฎหมายเพิ่มเตมิ พระราชบญั ญตั ิลิขสทิ ธิ์ พทุ ธศกั ราช 2537 คือพระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ (ฉบับท่ี 2) พุทธศักราช 2558 กฎหมายฉบับนี้บัญญัติให๎แก๎ไข เพมิ่ เตมิ มาตรา 4 โดยบญั ญตั ิให๎เพิม่ นิยามของคาวํา “ขอ๎ มูลการบริหารสิทธ์ิ” คาวํา “มาตรการทาง เทคโนโลยี” และคาวํา “การหลบเลี่ยงมาตรการทางเทคโนโลยี” สาระสาคัญของพระราชบัญญัติ ลิขสทิ ธิ์ (ฉบับท่ี 2) พุทธศักราช 2558 สามารถสรุปไดด๎ ังนี้ 1. ค๎ุมครองสทิ ธิใชข๎ อ๎ มูลของเจา๎ ของลขิ สิทธิไ์ มใํ ห๎คนอื่นลบหรอื เปลี่ยนแปลงโดยไมํชอบ เชนํ หากผู๎ใดลบหรือเปลยี่ นแปลงชื่อเจา๎ ของลขิ สิทธิ์ ชื่อผส๎ู รา๎ งสรรค๑ ช่ือนักแสดง เป็นต๎น ให๎ถือเป็น ความผิด 2. คุ๎มครองมาตรการทางเทคโนโลยที ่ีเจ๎าของลิขสิทธ์ินามาใช๎ปกปูองงานอันมีลิขสิทธิ์ เชํน พาสเวิรด๑ ท่เี จ๎าของลิขสิทธิ์ใช๎ควบคุมการเข๎าถึงงานอันมีลิขสิทธิ์บนอินเทอร๑เน็ต หากบุคคลใด ทาลายมาตรการดงั กลาํ วโดยเจา๎ ของลขิ สิทธ์ไิ มยํ นิ ยอมถือวาํ มีความผดิ 3. กาหนดข๎อยกเว๎นกาละเมิดลิขสิทธิ์การทาซ้าชั่วคราว คือ การทาซ้าช่ัวคราวโดย ความจาเปน็ ของเครือ่ งคอมพิวเตอร๑เพอ่ื เรียกดูงานอนั มีลขิ สทิ ธ์ิ ไมํถอื เป็นการละเมิด เน่ืองจากการดู ภาพยนตร๑หรือฟ๓งเพลงจากเคร่ืองคอมพิวเตอร๑ เครื่องต๎องทาซ้างานเพลงหรือภาพยนตร๑ใน หนํวยความจาทกุ ครัง้ 4. จากดั ความรบั ผิดชอบผู๎ให๎บริการอินเทอร๑เน็ต เชํน หากมีการเผยแพรํไฟล๑ละเมิน ลิขสิทธ์ผิ าํ นยูทบู เจา๎ ของลิขสทิ ธส์ิ ามารถรอ๎ งให๎ศาลสัง่ เวบ็ ไซตย๑ ูทูบถอดไฟล๑ละเมิดลิขสิทธ์ิออก หาก เจ๎าของยทู ูบถอดไฟล๑แล๎ว ก็จะไมํตอ๎ งรับผดิ กรณกี ารอาํ งวํามีการละเมดิ ลขิ สิทธน์ิ ั้น 5. เพ่ิมข๎อยกเว๎นการละเมิดลิขสิทธิ์กรณีการจาหนํายต๎นฉบับหรือสาเนางานอันมี ลขิ สทิ ธ์ิ โดยกาหนดให๎การขายงานอันมลี ขิ สิทธ์ิมือสองสามารถทาได๎โดยไมํถือเป็นการละเมิดลิขสิทธ์ิ เชํน การขายภาพเขียน หนังสือ ซีดีเพลง ซีดีภาพยนตร๑ แตํหากเป็นการขายซีดีภาพยนตร๑จะต๎อง ปฏิบัตติ ามกฎหมายวาํ ดว๎ ยภาพยนตรฯ๑ พระราชบญั ญัตลิ ิขสทิ ธคิ์ มุ้ ครองอะไร สิ่งท่กี ฎหมายลิขสทิ ธใิ์ หค๎ วามคุ๎มครอง สามารถจาแนกแบํงเป็น 2 ลักษณะคือ (ดุจแข ค้าช,ู 2550) 1. งานทีเ่ กิดจากความคิดสร๎างสรรค๑ของมนษุ ย๑ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 458

2. ส่ิงท่ชี ํวยใหง๎ านสร๎างสรรค๑ของมนษุ ยแ๑ พรหํ ลายไปสํูประชาชน 1. งานท่ีเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ส่ิงท่ีกฎหมายให๎ความค๎ุมครองได๎แกํ งานวรรณกรรม งานปฐกถา งานดนตรีกรรม ศิลปกรรม งานนาฏกรรม และงานภาพยนตร๑ เป็นต๎น ไมํใชํตัวหนังสือนวนิยาย เทปบันทึกเสียง งานปฐกถา หนังสือเพลง ภาพวาด รปู ปน้๓ หรอื แผนํ ซีดีภาพยนตร๑ อนั เป็นวัตถุท่ีมนุษย๑สามารถสัมผัส จับตอ๎ งได๎ แตํสง่ิ ทีก่ ฎหมายลขิ สิทธิ์ให๎ความค๎มุ ครองคือ “การแสดงออกซงึ่ ความคิดสรา้ งสรรค์ของผู้ สร้างสรรค์ (expression of idea)” ที่ปรากฏอยํูบนวัตถุดังกลําวเชํน ในงานวรรณกรรม การ แสดงออกซึง่ ความคิดสร๎างสรรค๑ของผปู๎ ระพนั ธห๑ รือส่ิงที่กฎหมายลิขสิทธใิ์ หค๎ วามคม๎ุ ครอง จะปรากฏ ในเนอ้ื หาอนั ประกอบด๎วยเรอ่ื งราว เหตุการณ๑ เวลา สถานที่ ตลอดจนบุคลกิ ภาพของตวั ละคร สาหรบั การปาฐกถา หรือการบรรยายทางวชิ าการ ไดแ๎ กํ เน้ือหาและรายละเอียดของเรื่องท่ีผ๎ูบรรยายได๎ทา การบรรยายนั้น สาหรับงานจิตรกรรมหรือประติมากรรม ความคิดสร๎างสรรค๑ของศิลปิน จะถูก แสดงออกในรูปของ เส๎น แสง สี เงา หรอื รปู รํางของวตั ถุ เป็นตน๎ ดงั มีข๎อสังเกตวาํ กฎหมายลขิ สิทธ์ิให๎ คุ๎มครองเฉพาะการแสดงออกซง่ึ ความคิดสร๎างสรรคข๑ องมนษุ ยเ๑ ทาํ นั้น ตวั ความคิด (Idea) อันเปน็ ฐาน ทมี่ าแหํงการแสดงออกซึ่งความคิดของผู๎สร๎างสรรค๑ ไมํได๎รับความค๎ุมครองภายใต๎กฎหมายลิขสิทธิ์ (พระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พุทธศักราช 2537 มาตรา 6) เพราะกฎหมายไมํประสงค๑จะให๎บุคคลใด ผกู ขาดความร๎ู อนั จะเปน็ อุปสรรค๑ตํอความเจริญก๎าวหน๎าของวิทยาการ ดังนั้น ความรู๎จึงเป็นสมบัติ ของมนุษย๑ชาติท่ีทุกคนสามารถนาไปใช๎ประโยชน๑ได๎ นอกจากความร๎ูดังกลําวจะได๎รับความค๎ุมรอง ภายใตก๎ ฎหมายสทิ ธิบัตรหรอื กฎหมายอ่ืน ในการทาวิทยานิพนธก๑ ็เชนํ กนั ความรู๎ทีน่ กั ศึกษาได๎จากการศกึ ษาหนงั สอื หรือบทความ ไมํใชสํ งิ่ ท่กี ฎหมายให๎ความคมุ๎ ครอง เมอ่ื นักศกึ ษาเขยี นวิทยานพิ นธ๑ถํายทอดความรทู ีไ่ ด๎จากการศึกษา จากความเข๎าใจของตนเอง ไมํได๎ลอกเลียนหรือดัดแปลงมาจากงานเดิมแล๎ว งานวิทยานิพนธ๑ท่ี นักศึกษาแตงํ ข้นึ จะได๎รบั ความคุม๎ ครองตามกฎหมายลขิ สิทธ์ิ แตํในทางตรงกันข๎าม หากนักศึกษาไมํได๎ แตํงหนังสือข้ึนเอง แตํคัดลอกหรือดัดแปลงข๎อความมาจากหนังสือหรือบทความอ่ืน ถือวําเป็นการ ละเมิดลิขสิทธ์ิผ๎ูประพันธ๑คนกํอน เพราะเป็นการทาซ้าดัดแปลงการแสดงออกซึ่งความคิดของ ผู๎ประพันธ๑คนกํอน แมว๎ าํ กฎหมายลิขสิทธจ์ิ ะใหค๎ วามคุ๎มครองการแสดงออกซงึ่ ความคดิ ของมนษุ ย๑ แตํ กฎหมายลขิ สิทธไ์ิ ดบ๎ ัญญัตไิ มไํ ด๎ความค๎มุ ครองแตงํ านดังตํอไปน้ี พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พุทธศักราช 2537 มาตรา 7) 1. ขําวประจาวัน และข๎อเท็จจริงตํางๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงขําวสาร อันมิใชํงานใน แผนกวรรณคดี แผนกวทิ ยาศาสตร๑ หรอื แผนกศิลปะ 2. รฐั ธรรมนูญและกฎหมาย 3. ระเบียบ ข๎อบงั คับ ประกาศ คาส่งั คาชี้แจง และหนังสอื โต๎ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรอื หนวํ ยงานอ่นื ใดของรัฐหรอื ของท๎องถ่นิ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 459

4. คาพพิ ากษา คาสง่ั คาวนิ จิ ฉัย และรายงานของทางราชการ 5. คาแปลและการรวบรวมสิ่งตํางๆ ตามข๎อ 1-4 ท่ีกระทรวง ทบวง กรม หรือ หนํวยงานอน่ื ใดของรัฐหรอื ของทอ๎ งถ่นิ จัดทาขนึ้ เม่อื กฎหมายบญั ญตั ไิ วโ๎ ดยชัดเจนวาํ งานดังกลําวไมํใชํงานอันมีลิขสิทธิ์ บุคคลทุกคนจึง สามารถใชป๎ ระโยชนจ๑ ากงานดงั กลําวได๎อยํางเสรี 2. สิ่งท่ีช่วยให้งานสร้างสรรค์ของมนุษย์แพร่หลายไปสู่ประชาชน สงิ่ ท่ชี ํวยให๎งานสร๎างสรรคข๑ องมนุษยแ๑ พรหํ ลายไปสํปู ระชาชนไดแ๎ กํ สง่ิ บันทึกเสียงและ งานแพรํภาพแพรเํ สียง ซง่ึ ได๎แกํ เทปเพลง แผํนซีดีเพลง เทปคาบรรยาย เปน็ ตน๎ งานเหลาํ นี้ ไมํได๎เกดิ จากความคิดสร๎างสรรค๑ของมนุษย๑ แตํเป็นสิ่งที่ชํวยให๎งานสร๎างสรรค๑ของมนุษย๑เป็นท่ีร๎ูจักและ แพรํหลายในหมปํู ระชาชนท่วั ไป เชนํ การทค่ี ํายเพลง ขออนญุ าตใช๎งานดนตรีกรรมจากครูเพลง จ๎าง นักดนตรีมาบรรเลงเพลง และนาออกจาหนําย ยํอมเป็นชํองทางให๎งานดนตรีกรรมเผยแพรํไปสํู ประชาชน หรอื การที่สถานีวิทยุนาแผํนซีดีเพลงมาเปิดออกอากาศตํอประชาชนหรือสถานีโทรทัศน๑ แพรํภาพภาพยนตร๑ หรือการเรียนการสอนทีเป็นการแสดงสดในช้ันเรียนในรูปแบบตํางๆ แกํ ประชาชนยํอมเป็นเหตุให๎ได๎โอกาสเข๎าถึงงานสร๎างสรรค๑มากยิ่งข้ึน ด๎วยบทบาทของคํายเทป และ สถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน๑ท่ีชํวยสํงเสริมให๎งานสร๎างสรรค๑ของมนุษย๑เป็นท่ีร๎ูจักอยํางแพรํหลาย กฎหมายจงึ ใหค๎ วามค๎ุมครองส่ิงบนั ทึกเสยี ง และงานแพรํภาพและเสียงดว๎ ย ความคุ้มครองตามกฎหมายในงานการสอน ตามพระราชบญั ญตั ิลขิ สิทธิ์ พทุ ธศกั ราช 2537 บัญญัตวิ ํา “ผส๎ู ร๎างสรรคเ๑ ป็นผ๎มู ีลิขสิทธ์ิ ในงานท่ีคนได๎สร๎างสรรค๑” (พระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พุทธศักราช 2537 มาตรา 8) ผ๎ูสร๎างสรรค๑คือ ผ๎ทู าหรอื ผ๎ูกอํ ใหเ๎ กิดงานสร๎างสรรค๑ ด๎วยการถาํ ยทอดความคิดสรา๎ งสรรคข๑ องตนให๎ปรากฏออกมาเชํน ผู๎แตํงหนงั สอื เป็นผ๎ูสร๎างสรรคง๑ านหนงั สือ จงึ เปน็ เจา๎ ของลิขสิทธ์ิ ในกรณีบุคคลหลายคนชํวยกันสร๎างสรรค๑งาน บุคคลเหลํานั้นจะเป็นเจ๎าของลิขสิทธ์ิ รวํ มกันหรอื ไมํ ต๎องพิจารณาวําบคุ คลดงั กลาํ วไดร๎ วํ มกันแสดงออกซ่ึงความคิดสร๎างสรรค๑หรือไมํ เชํน ในการเขียนวิทยานิพนธ๑ หากนักศึกษาแตํผู๎เดียวเป็นผ๎ูเขียนงานวิทยานิพนธ๑ทั้งหมด โดยอาจารย๑ท่ี ปรกึ ษาเพยี งแตตํ รวจและแนะนาใหน๎ กั ศึกษาไปคน๎ ควา๎ เพิ่มเตมิ เพ่อื แกไ๎ ขความบกพรํอง หรืออาจารย๑ เพยี งแตํให๎แนวคิดโดยไมํได๎มีสวํ นรํวมใดๆ ในการประพันธง๑ าน อาจารย๑ท่ีปรึกษาจึงไมํใชํผ๎ูสร๎างสรรค๑ งานรวํ มกบั นักศกึ ษา ดังความเห็นทว่ี ํา หากอาจารย๑ที่ปรึกษาและนักศึกษารํวมกันปรึกษาหารือเพื่อ กาหนดขอบเขตของเร่ืองและรายละเอยี ดแหํงเนื้อหา แม๎วํานักศึกษาจะเป็นผู๎นางานน้ันมาถํายทอด เพียงลาดบั นําจะถอื วําเปน็ การสร๎างสรรคง๑ านรวํ มกันได๎ โดยอาจารย๑ท่ีปรกึ ษามอบหมายให๎นักศึกษา เป็นตัวแทนในการถํายทอดความคิดแทนอาจารย๑ ดังน้ัน อาจารย๑ท่ีปรึกษาและนักศึกษาจึงเป็น เจ๎าของลขิ สทิ ธ์ริ วํ มกนั ได๎ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 460

ลักษณะการใชง้ านลิขสทิ ธใิ์ นงานการสอน กฎหมายกาหนดข๎อยกเวน๎ การละเมิดลิขสทิ ธิเ์ พอ่ื ประโยชนใ๑ นการเรียนการสอนได๎ตาม สมควร เชํน การทาซา้ ดัดแปลงบางสํวนของงาน หรอื ตัดทอน หรือทาบทสรุปโดยผสู๎ อน หรือสถาบัน ศกึ ษา เพือ่ ประโยชนใ๑ นการเรยี นการสอน หรือนางานนัน้ มาใชเ๎ ป็นสวํ นหนึง่ ในการถามและตอบในการ สอบ การใช๎งานลขิ สิทธิใ์ นการเรยี นการสอน มีข๎อยกเว๎นการละเมิดลิขสิทธ์ิเฉพาะผ๎ูสอนและผู๎ เรียน ตาม มาตรา 32 และ มาตรา 33 ไมํรวมถึงข๎อยกเว๎นการละเมิดลิขสิทธ์ิที่กฎหมายอนุญาตให๎ บรรณารกั ษ๑ห๎องสมุด กระทาการแกงํ านอันมลี ิขสทิ ธโิ์ ดยไมถํ ือวําเป็นการละเมดิ ลขิ สิทธิ์ตามมาตรา 34 การสอนของครู/อาจารย๑นั้น เป็นความสามารถสํวนตัวท่ีส่ังสมมาด๎วยความอุตสาหะ การสอนเปน็ ท้งั ศาสตรแ๑ ละศิลป์ ต๎องมกี ารศกึ ษาท้งั ภาคทฤษฎีการสอน การเรียนรู๎ และมีการฝึกฝน จนชานาญ ผทู๎ ท่ี าการสอนมานานยํอมมีประสบการณ๑ในการสอนสูง สามารถถํายทอดความรู๎ให๎กับ ผ๎ูเรียนได๎อยํางแยบคาย กลวิธีการสอนจึงเป็นความสามารถ เป็นการใช๎ศาสตร๑และศิลป์ หรือ สมรรถนะเฉพาะตัวของครู/อาจารย๑ท่ที าการสอนแตลํ ะทาํ น การสอนของครู/อาจารย๑ที่ทาหน๎าท่ีเป็น “ผู๎สอน” เหลํานั้นมีคุณคําและควรได๎รับการคุ๎มครองตามกฎหมายและให๎มีคําตอบแทนให๎กับ ” ผู๎สอน” ท่ีเปน็ ธรรม ซง่ึ สมควรได๎รับไมแํ ตกตํางจาก “นกั แสดง” ในโรงเรียนกวดวิชา หรือโรงเรียนท่ี ทาการสอนพิเศษ หรือติวเข๎มให๎กับผู๎เรียน จะมีครู/อาจารย๑ที่มีความสามารถในการสอนให๎ผู๎เรียน สามารถเรียนรู๎ไดอ๎ ยํางรวดเร็ว และสร๎างความประทับใจให๎กับผ๎ูเรียนอยํางมาก จึงมีผ๎ูนิยมมาเรียน และยนิ ดีจํายคําเรียนในราคาสูงเพอื่ เรยี นรู๎ในส่งิ ที่ตอ๎ งการ การสอนจึงมีราคาและไมไํ ดม๎ าฟรี ๆ ดังน้ัน การบนั ทกึ วีดทิ ัศน๑การสอนของคร/ู อาจารยใ๑ นห๎องเรียนเพ่อื เผยแพรํฟรที างอินเตอรเ๑ น็ต โดยหวังวาํ จะ ให๎เป็นวทิ ยาทานน้ัน จงึ ควรมกี ารทบทวนหลักการ กระบวนการ วธิ กี าร และผลกระทบอยํางละเอียด กํอนตดั สนิ ใจดาเนินการเพื่อไมใํ ห๎กระทบกับความร๎ูสึกและการละเมิดสิทธิ์ของครู/อาจารย๑เหลําน้ัน ตรงข๎ามกับครู/อาจารยใ๑ นสถานศกึ ษาบางทํานทีท่ าการสอนตามหนา๎ ที่ ไมํสามารถทาให๎ผเ๎ู รียนเรียนรู๎ ได๎อยํางรวดเร็ว และไมํสรา๎ งความประทบั ใจในการเรยี นให๎กบั ผู๎เรียน เพราะสิ่งท่ีเรียนไมตํ รงกับความ อยากรู๎ หรือความตอ๎ งการของผูเ๎ รียนในการสอบเพื่อแขํงขันกันเขา๎ เรยี นตํอ การสอนของครู/อาจารย๑ เหลําน้ันกไ็ มํมคี นสนใจจะนาไปเผยแพรเํ ชนํ กัน ลิขสทิ ธ๑ส่ือการสอนกวดวชิ า โรงเรียนกวดวชิ ามีการสอนทผี่ ๎ูเรียนต๎องการ เป็นการสอนมี ราคาและมีลิขสิทธ๑ส่ือการสอน ที่พระราชบัญญัติ ลิขสิทธิ์ พุทธศักราช 2558 ค๎ุมครอง รวมทั้งมี มาตรการปูองกนั ไมใํ ห๎มีการละเมดิ สิทธิอ์ ยาํ งดจี ากโรงเรียนหรอื สถาบนั กวดวิชาทกุ แหงํ เพราะคุณคํา ของสื่อการสอนและวธิ กี ารสอนในโรงเรียนกวดวชิ าน้นั เป็นเครือ่ งมอื สาหรับการดาเนินธุรกิจการกวด วิชา การกลําวอ๎างถึงการกวดวิชาวําเป็นสิ่งท่ีแสดงถึงความล๎มเหลวของการจัดการศึกษาทั้งระบบ และใช๎เป็นเหตผุ ลในการกลําวอ๎างเพื่อการปฏิรูปการศึกษาในคร้ังแรก แตํก็ยังไมํสามารถทาให๎การ กวดวิชาลดลงไปได๎ ในทางตรงข๎ามกลับทาให๎มีการกวดวิชาเพิ่มขึ้นมากกวําเดิม และในการปฏิรูป การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 461

การศึกษาครงั้ ท่ี 2 ที่กาลังจะดาเนินการน้ี ก็ยงั มีการนาความคิดการกาจัดการกวดวิชา หรือโรงเรียน กวดวิชามาใช๎เป็นเปูาหมายหรือเหตุผลของการปฏิรูปอีกครั้ง วิธีการที่เหมาะสมจึงควรสํงเสริม คณุ ภาพการสอนในระบบโรงเรยี นใหด๎ ี ให๎มกี ารพัฒนาส่ือการสอน วิธีการสอน หรือใช๎เทคโนโลยีมา ชํวยปรับปรุงคุณภาพการสอน โดยไมํต๎องหาทางลดจานวนหรือจากัดโรงเรียนกวดวิชา เพราะ ประโยชนจ๑ ากการพัฒนาคณุ ภาพของคนให๎มีความรู๎ไมํวําจะทาโดยระบบโรงเรียนหรือโรงเรียนกวด วิชากเ็ กดิ ประโยชนก๑ บั พลเมืองของชาตอิ ยูแํ ล๎ว นอกจากนี้ ยังมกี ารกลําวถงึ การจะดาเนินการให๎โรงเรียนกวดวิชานาสอื่ การสอนของตน เผยแพรํ หรอื นาออกจาหนาํ ยสํสู าธารณะด๎วย ซง่ึ แนํนอนวําจะสามารถทาให๎จานวนของโรงเรียนกวด วชิ าลดลงไดพ๎ อสมควร และลดการเดนิ ทางของผเ๎ู รียน ใหส๎ ามารถเรียนไดด๎ ๎วยตนเองทบี่ า๎ น แตํส่ือการ สอนตําง ๆ ท้ังในรูปของวีดิทัศน๑ท่ีมีการใช๎สอนในโรงเรียนกวดวิชาน้ันได๎รับการคุ๎ มครองตาม พระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พุทธศักราช 2558 ผ๎ูใดจะนาไปคัดลอก ทาซ้า หรือเผยแพรํโดยไมํได๎รับ อนญุ าตจากเจา๎ ของลิขสิทธ์ิตอ๎ งได๎รบั โทษตามบทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย การไปเรยี นรวมกันของผ๎ูเรียน เพ่ือกวดวิชานั้นยังเป็นความต๎องการทางสังคมของผ๎ูเรียนท่ีต๎องการปฏิสัมพันธ๑ กันในกลํุมผู๎มีความ สนใจ ความหวัง และวัยเดยี วกนั อกี ดว๎ ย การมีความคิดเชิงลบกับการกวดวิชาและมองโรงเรียนกวด วชิ าเป็นสง่ิ ไมดํ ี ต๎องมกี ารควบคุมอยํางเครํงครดั หรอื จากัดจานวนโรงเรียนกวดวิชา ถ๎าผูท๎ ม่ี บี ทบาทใน การปฏิรปู การศกึ ษามคี วามคิดลักษณะน้ี เป็นการคดิ ที่ไมํอยูํบนฐานของความเป็นจรงิ และอาจขัดกับ หลกั การใน พระราชบญั ญตั ิ การศึกษาแหงํ ชาติ อกี ด๎วย กิจกรรมการกวดวิชาหรือการสอนเสริม เรยี น พเิ ศษ หรือติวเข๎มนัน้ ใหผ๎ ลดกี ับผ๎เู รยี นมากกวาํ ผลเสยี และสามารถสรา๎ งกิจกรรมตําง ๆ เพื่อการกวด วิชาขนึ้ ไดเ๎ สมอตราบทีย่ ังมีผตู๎ อ๎ งการกวดวชิ าและตอ๎ งการเรยี นร๎ู การกวดวิชานอกจากจะสร๎างความ ม่นั ใจใหก๎ บั ผ๎เู รยี นเพอื่ การสอบแขํงขนั ผู๎เรียนสามารถเรยี นร๎ูได๎อยํางรวดเร็วในรายวิชาหรือเน้ือหาท่ี สถานศึกษาทผ่ี ส๎ู อนไมสํ ามารถให๎ความร๎ูความเข๎าใจไดด๎ ีเทาํ กบั ครู/อาจารยท๑ ี่สอนในโรงเรียนกวดวิชา นอกจากนั้นยงั สํงเสรมิ ให๎อาชีพการสอน หรอื ”อาชพี ครู” เป็นอาชีพท่ีสามารถสร๎างรายได๎ให๎กับผ๎ูมี ความสามารถในการสอนได๎ไมํน๎อยกวําอาชีพอื่น ๆ สมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูงที่ต๎องมีใบอนุญาต ประกอบวชิ าชพี ครู จึงจะทาการสอนหรือประกอบอาชพี นไี้ ด๎ งานท่ีกฎหมายลิขสทิ ธใ์ิ ห้การรับรองในงานการสอน 1. งานลขิ สิทธิ์ทว่ั ไป (Copyrights Works) ไดแ๎ กํ - งานดนตรกี รรม หมายความวํา งานเกี่ยวกบั เพลงท่ีแตํงข้ึนเพ่ือบรรเลง หรือขับ ร๎อง ไมํวําจะมีทานองและคาร๎องหรือมีทานองอยํางเดียว และให๎หมายความรวมถึงโน๎ตเพลงหรือ แผนภูมเิ พลงท่ไี ดแ๎ ยกและเรียบเรียงเสียง ประสานแลว๎ - งานโสตทัศนวัสดุ หมายความวํา งานอนั ประกอบด๎วยลาดบั ของภาพ โดยบันทึก ลงในวัสดุ ไมํวําจะมีลักษณะอยํางใด อันสามารถท่ีจะนามาเลํนซ้าได๎อีก โดยใช๎เคร่ืองมือท่ีจาเป็น สาหรับการใช๎วัสดุน้ัน และให๎หมายความรวมถงึ เสียงประกอบงานนนั้ ด๎วย (ถ๎าม)ี การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 462

- งานภาพยนตร๑ หมายความวาํ โสตทัศนวัสดุ อนั ประกอบด๎วย ลาดับของภาพ ซึง่ สามารถ นาออกฉายตํอเน่ืองได๎อยํางภาพยนตร๑ หรือสามารถบันทึกลงบนวัสดุอื่น เพื่อนาออกฉาย ตอํ เนื่องไดอ๎ ยาํ งภาพยนตร๑ และให๎หมายความรวมถงึ เสียงประกอบภาพยนตร๑น้นั ดว๎ ย ถ๎ามี - งานสิ่งบันทึกเสียง หมายความวํา งานอันประกอบด๎วยลาดับของเสียงดนตรี เสยี งการ แสดงหรือเสียงอน่ื ใด โดยบนั ทึกลงในวัสดไุ มํวําจะมลี ักษณะใด ๆ อนั สามารถท่ีจะนามาเลํน ซ้าได๎ อีก โดยใช๎เครื่องมอื ท่จี าเป็นสาหรบั การใชว๎ สั ดนุ ัน้ แตํทั้งนี้มิใหห๎ มายความรวมถงึ เสียงประกอบ ภาพยนตร๑หรอื เสียงประกอบโสตทัศนวัสดุ - งานแพรเํ สียงแพรํภาพ หมายความวํา งานที่นาออกสํูสาธารณชนโดยการแพรํ เสียงทางวิทยุกระจายเสียง การแพรํเสียงและหรือภาพทางวิทยุ โทรทัศน๑ หรือโดยวิธีอยํางอ่ืนอัน คลา๎ ยคลึง 2. งานลขิ สทิ ธิส์ บื เนอื่ ง (Derivative Works) ไดแ๎ กํ - งานดัดแปลง หมายถงึ งานทเ่ี กิดจากการทาซ้างานต๎นฉบัน โดยเปลี่ยนรูปใหมํ ปรบั ปรุงแก๎ไขเพ่มิ เตมิ หรอื จาลองงานต๎นฉบบั ในสวํ นอันเป็นสาระสาคญั โดยไมมํ ลี ักษณะเป็นการจัด ทางานข้นึ ใหมํ ทั้งน้ี การกระทาดังกลําวตอ๎ งไดร๎ บั อนุญาตจากเจ๎าของลิขสิทธิ์ เชํนการนาภาพวาดไป พิมพ๑ เป็นลวดลายบนกระเบ้อื งหรือเสือ้ ยดื นวนิยายแปล การทางานสองมิตเิ ปน็ งานสามมิติ หรอื การ ปรับปรุงโปรแกรมคอมพวิ เตอร๑ เปน็ ตน๎ - งานรวบรวม หมายถึง งานที่เป็นการนาเอางานอันมีลิขสิทธิ์มารวบรวม หรือ ประกอบเข๎ากัน โดยการคดั ลอกหรอื จดั ลาดบั ในลักษณะซงึ่ มไิ ดล๎ อก เลียนงานของบคุ คลอื่น ทง้ั นี้ การ กระทาดังกลาํ วต๎องได๎รับอนุญาตจาก เจ๎าของลิขสทิ ธ์ิ เชํน พจนานกุ รม ปาทานกุ รม หนังสือรวบรวม ข๎อเทจ็ จริง หรอื ฐานขอ๎ มลู เปน็ ต๎น ข้อยกเวน้ การละเมดิ ลิขสทิ ธใิ์ นงานการสอน มาตรา 32 การกระทาแกงํ านอันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่นตามพระราชบัญญัติน้ี หากไมํ ขัดตํอการแสวงหาประโยชน๑จากงานการสอน อันมีลิขสิทธิ์ตามปกติของเจ๎าของลิขสิทธิ์ และไมํ กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด๎วยกฎหมายของเจ๎าของลิขสิทธิ์เกินสมควร มิให๎ถือวํา เป็นการ ละเมิดลิขสทิ ธ์ิภายใต๎บังคบั บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง การกระทาอยาํ งหน่งึ อยํางใดแกงํ านการสอนอันมี ลิขสิทธิ์ตามวรรคหน่ึง มิให๎ถือวําเป็น การละเมิดลิขสิทธ์ิ ถ๎าได๎กระทาดังตํอไปนี้ (พระราชบัญญัติ ลิขสิทธ์ิ พทุ ธศักราช 2558) ได๎แกํ (1) วิจัยหรือศึกษางานนั้น อันมิใชํการกระทาเพ่ือหากาไร (2) ใช๎ เพอ่ื ประโยชนข๑ องตนเอง หรือเพื่อประโยชน๑ของตนเองและบุคคลอื่นในครอบครัวหรือญาติสนิท (3) ตชิ ม วจิ ารณ๑ หรอื แนะนาผลงานโดยมีการรับรู๎ถึงความเป็นเจ๎าของลิขสิทธิ์ในงาน (4) เสนอรายงาน ขาํ วทางสื่อสารมวลชนโดยมีการรับรู๎ถึงความเป็นเจ๎าของลิขสิทธิ์ในงานนั้น (5) ทาซ้า ดัดแปลง นา ออกแสดง หรอื ทาใหป๎ รากฏ เพ่ือประโยชน๑ในการพิจารณาของศาลหรือเจ๎าพนักงาน ซ่ึงมอี านาจตาม การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 463

กฎหมาย หรอื ในการรายงานผลการพิจารณาดังกลําว (6) ทาซ้า ดัดแปลง นาออกแสดง หรือทาให๎ ปรากฏ โดยผู๎สอนเพ่ือประโยชน๑ ในการสอนของตน อันมิใชํการกระทาเพื่อหากาไร (7) ทาซ้า ดัดแปลงบางสวํ นของงาน หรอื ตดั ทอน หรอื ทาบทสรุปโดยผส๎ู อน หรอื สถาบนั ศกึ ษา เพ่อื แจกจาํ ยหรอื จาหนาํ ยแกํผเู๎ รียนในช้นั เรียนหรือในสถาบนั ศกึ ษา ทั้งนี้ ต๎องไมเํ ป็นการกระทาเพอ่ื หากาไร (8) นางาน นั้นมาใชเ๎ ปน็ สํวนหนง่ึ ในการถามและตอบในการสอบ มาตรา 33 การกลําว คัดลอก เลียนแบบ หรืออ๎างอิงงานบางตอนตามสมควรจากงาน อนั มลี ขิ สทิ ธ์ิตามพระราชบัญญตั นิ ้ี โดยมีการรับรถู๎ ึงความเป็นเจา๎ ของลิขสิทธ์ิในงานนั้น มิให๎ถือวําเป็น การละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ิ ถา๎ ไดป๎ ฏิบตั ติ ามมาตรา ๓๒ วรรคหนงึ่ มาตรา 34 การทาซ้าโดยบรรณารักษ๑ของห๎องสมุดซึ่ งงานอันมีลิขสิทธิ์ตาม พระราชบัญญตั นิ ้ี มใิ หถ๎ อื วําเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ หากการทาซ้านั้นมิได๎มีวัตถุประสงค๑เพื่อหากาไร และไดป๎ ฏบิ ัติตามมาตรา ๓๒ วรรคหนึ่ง ในกรณีดังตํอไปนี้ (1) การทาซา้ เพอื่ ใช๎ในห๎องสมุดหรือให๎แกํ ห๎องสมุดอ่ืน (2) การทาซ้างานบางตอนตามสมควรให๎แกํบุคคลอื่น เพื่อประโยชน๑ในการ วิจัยหรือ การศึกษา มาตรา 35 การกระทาแกํโปรแกรมคอมพิวเตอร๑อนั มลี ขิ สิทธิ์ตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี มใิ ห๎ ถอื วาํ เป็นการละเมิดลขิ สิทธิ์ หากไมํมีวัตถุประสงค๑ เพ่ือหากาไรและได๎ปฏิบัติตามมาตรา ๓๒ วรรค หนึ่ง ในกรณีดังตํอไปนี้ (1) วิจัยหรือศึกษาโปรแกรมคอมพิวเตอร๑ (2) ใช๎เพ่ือประโยชน๑ของเจ๎าของ สาเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร๑น้ัน (3) ติชม วิจารณ๑ หรือแนะนาผลงานโดยมีการรับรู๎ถึงความเป็น เจา๎ ของลขิ สทิ ธ์ใิ นโปรแกรมคอมพิวเตอรน๑ ัน้ (4) เสนอรายงานขาํ วทางสือ่ สารมวลชนโดยมกี ารรับร๎ูถึง ความเป็นเจา๎ ของลขิ สทิ ธ์ใิ นโปรแกรมคอมพิวเตอรน๑ ั้น (5) ทาสาเนาโปรแกรมคอมพิวเตอร๑ในจานวนที่ สมควร โดยบุคคลผู๎ซึ่งได๎ซื้อหรือได๎รับโปรแกรมน้ันมาจาก บุคคลอื่นโดยถูกต๎อง เพ่ือเก็บไว๎ใช๎ ประโยชน๑ในการบารุงรักษา หรือปูองกันการสูญหาย (6) ทาซ้า ดัดแปลง นาออกแสดง หรือทาให๎ ปรากฏ เพื่อประโยชน๑ในการพจิ ารณาของศาลหรอื เจ๎าพนักงาน ซึ่งมีอานาจตามกฎหมาย หรือในการ รายงานผลการพิจารณาดงั กลาํ ว (7) นาโปรแกรมคอมพิวเตอร๑นั้นมาใช๎เป็นสํวนหนึ่งในการถามและ ตอบในการสอบ (8) ดัดแปลงโปรแกรมคอมพิวเตอร๑ในกรณีที่จาเป็นแกํการใช๎ (9) จัดทาสาเนา โปรแกรมคอมพิวเตอร๑เพอื่ เกบ็ รักษาไว๎สาหรับการอ๎างองิ หรอื ค๎นควา๎ เพ่อื ประโยชน๑ ของสาธารณชน มาตรา ๓๖ การนางานนาฏกรรม หรือดนตรีกรรม ออกแสดงเพื่อเผยแพรํตํอ สาธารณชนตามความเหมาะสมโดยมิไดจ๎ ัดทาข้ึน หรือดาเนินการ เพื่อหากาไรเน่ืองจากการ จัดให๎มี การเผยแพรํตํอ สาธารณชนน้ัน และมิได๎จัดเก็บคําเข๎าชมไมํวําโดยทางตรง หรือโดยทางอ๎อม และ นักแสดงไมํได๎ รับคําตอบแทนในการแสดงน้ัน มิให๎ถือวําเป็นการละเมิดลิขสิทธ์ิ หากเป็นการ ดาเนนิ การโดยสมาคม มลู นธิ ิ หรือองค๑การอื่นที่มีวตั ถปุ ระสงค๑ เพ่ือการสาธารณกุศล การศึกษา การ ศาสนา หรอื การสงั คมสงเคราะห๑ และได๎ปฏิบตั ติ ามมาตรา ๓๒ วรรคหนึ่ง การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 464

มาตรา 37 การวาดเขียน การเขียนระบายสี การกํอสร๎าง การแกะลายเส๎น การป๓้น การ แกะสลกั การพิมพ๑ภาพ การถํายภาพ การถํายภาพยนตร๑ การแพรํภาพ หรือการ กระทาใด ๆ ทานอง เดียวกันนซ้ี ่ึงศลิ ปกรรมใดอนั ตัง้ เปิดเผยประจาอยใํู นที่สาธารณะ นอกจากงานสถาป๓ตยกรรม มิใหถ๎ อื วํา เปน็ การละเมดิ ลิขสิทธใ์ิ นงานศลิ ปกรรมนน้ั มาตรา 38 การวาดเขียน การเขียนระบายสี การแกะลายเส๎น การป้๓น การแกะสลัก การ พิมพภ๑ าพ การถาํ ยภาพ การถํายภาพยนตรห๑ รือ การแพรภํ าพซึง่ งานสถาป๓ตยกรรมใด มิให๎ถือวํา เปน็ การละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสถาป๓ตยกรรมน้นั มาตรา 39 การถํายภาพหรือการถํายภาพยนตร๑หรือการแพรํภาพซึ่งงานใด ๆ อันมี ศิลปกรรมใด รวมอยูเํ ป็นสํวนประกอบดว๎ ย มิให๎ถอื วําเป็นการ ละเมดิ ลขิ สิทธ์ิในศิลปกรรมน้นั มาตรา 40 ในกรณีที่ลิขสิทธ์ิในศิลปกรรมใดมีบุคคลอ่ืนนอกจากผ๎ูสร๎างสรรค๑เป็น เจา๎ ของอยดํู ๎วยการท่ผี ๎ูสร๎างสรรคค๑ นเดยี วกนั ได๎ทา ศลิ ปกรรมนั้นอีกในภายหลังในลักษณะที่เป็นการ ทาซ้าบางสวํ นกบั ศิลปกรรมเดิม หรือใชแ๎ บบพมิ พ๑ ภาพราํ ง แผนผัง แบบจาลอง หรือข๎อมูล ท่ีได๎จาก การศกึ ษาทใ่ี ชใ๎ นการทาศลิ ปกรรมเดมิ ถา๎ ปรากฏวําผสู๎ รา๎ งสรรค๑มิได๎ทาซา้ หรอื ลอกแบบในสวํ นอนั เปน็ สาระสาคญั ของศลิ ปกรรมเดิม มใิ ห๎ถือวําเป็นการละเมดิ ลขิ สทิ ธ์ใิ นศลิ ปกรรมนั้น มาตรา 41 อาคารใดเป็นงานสถาป๓ตยกรรมอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติน้ี การ บรู ณะอาคารนัน้ ในรูปแบบเดมิ มิใหถ๎ อื วาํ เปน็ การละเมิดลขิ สทิ ธ์ิ มาตรา 42 ในกรณีทอ่ี ายแุ หํงการคุ๎มครองลขิ สทิ ธใ์ิ นภาพยนตรใ๑ ดส้นิ สดุ ลงแล๎ว มใิ ห๎ถอื วําการนาภาพยนตร๑น้ันเผยแพรํตํอ สาธารณชนเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในวรรณกรรม นาฏกรรม ศลิ ปกรรม ดนตรกี รรม โสตทศั นวสั ดุ ส่ิงบนั ทึกเสียงหรอื งานทีใ่ ชจ๎ ัดทา ภาพยนตร๑นนั้ มาตรา 43 การทาซ้า เพ่อื ประโยชนใ๑ นการปฏบิ ัติราชการโดยเจ๎าพนกั งาน ซึง่ มีอานาจ ตามกฎหมายหรือตามคาสัง่ ของเจ๎าพนักงาน ดงั กลําวซงึ่ งานอนั มลี ขิ สิทธิต์ ามพระราชบญั ญัตนิ ี้ และท่ี อยูํในความครอบครองของทางราชการ มิใหถ๎ ือวาํ เป็นการละเมิดลิขสทิ ธ์ิ ถ๎าได๎ปฏิบัติตาม มาตรา๓๒ วรรคหนงึ่ ลิขสทิ ธ์ทิ ่ีเปน็ ธรรมในการเรียนการสอน 1. ข้อยกเว้นการละเมิดลขิ สทิ ธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธ์ิ พุทธศักราช 2558 มาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 34 กาหนดข๎อยกเวน๎ การละเมดิ ลิขสิทธิ์ไว๎หลายประการ เชนํ (กรมทรพั ย๑สนิ ทางป๓ญญา, 2558) - การวิจัยหรือศกึ ษางาน อันมใิ ชกํ ารกระทาเพื่อหากาไร เชํน ผู๎เรียนนาบทความ มาทาสาเนาเพ่อื ทาแบบฝกึ หดั ในการศึกษา การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 465

- การทาซ้า ดดั แปลง นาออกแสดง หรือทาให๎ปรากฏโดยผ๎สู อน เพื่อประโยชน๑ใน การสอนของตน อนั มิใชํการกระทาเพื่อหากาไร เชํน ผ๎ูสอนทาสาเนาขยายภาพแผนภูมิและนาออก แสดงเพื่อประกอบการสอนหน๎าช้ันเรยี น - การทาซ้า ดัดแปลงบางสํวนของงาน หรือตัดทอน หรือทาบทสรุปโดย ผ๎สู อน หรอื สถาบนั ศึกษา เพอื่ แจกจํายหรือจาหนํายแกํผ๎ูเรียนในช้ันเรียนหรือในสถาบันศึกษา โดย ไมํใชกํ ารกระทาเพือ่ หากาไร เชนํ ผู๎สอนจัดทาสรุปสาระสาคญั ของบทเรยี นทีผ่ ํานมา และแจกจํายแกํ นักศึกษาจานวนจากัดเพอื่ ใช๎อาํ นเตรยี มการสอบ - การนางานลขิ สทิ ธ์ิมาใชเ๎ ปน็ สวํ นหนึง่ ในการถามและตอบในการสอบ เชนํ ผส๎ู อน ยกบทกวีนิพนธ๑หนึ่งบทมาเป็นข๎อสอบเพ่ือให๎นักศึกษาวิจารณ๑ หรือนักศึกษาทาข๎อสอบโดยอ๎าง ขอ๎ ความจากตาราท่ไี ดศ๎ กึ ษามาเป็นคาตอบ - การกลาํ ว คัด ลอก เลียน หรอื อ๎างองิ งานบางตอนจากงานลิขสิทธ์ิ โดยมีการรับรู๎ ถึงความเป็นเจ๎าของลิขสิทธิ์หรือกลําวถึงท่ีมาของงานลิขสิทธิ์ เชํน นักศึกษาจัดทาวิทยานิพนธ๑โดย คดั ลอกข๎อความจากงานวิจยั ของบคุ คลอนื่ โดยมกี ารอา๎ งทมี่ าในเชงิ อรรถและ/หรอื เอกสารอ๎างอิงการ กระทาตามตัวอยาํ งเหลาํ น้ีไมถํ อื วําเป็นการละเมดิ ลิขสิทธิ์ อยํางไรกต็ าม การกระทาดงั กลาํ วจะต๎องอยํูภายใต๎กฎเกณฑข๑ องการใชส๎ ทิ ธิทีเ่ ป็นธรรม 2 ประการ คือ ตอ๎ งไมขํ ัดตอํ การแสวงหาประโยชน๑จากงานอันมีลิขสิทธ์ิตามปกติของเจ๎าของลิขสิทธ์ิ และตอ๎ งไมกํ ระทบกระเทือนถึงสิทธอิ นั ชอบดว๎ ยกฎหมายของเจ๎าของลขิ สิทธิ์เกนิ สมควร 2. เกณฑก์ ารพิจารณา เกณฑ๑การใช๎ลิขสิทธิ์ท่ีเป็นธรรมในการเรียนการสอน ต๎องคานึงถึงวัตถุประสงค๑ใน การใช๎งานลิขสิทธ์ทิ ง้ั หมด 4 ประการประกอบกัน ดังน้ี 1) คานงึ ถึงวตั ถปุ ระสงคแ๑ ละความเหมาะสมในการใชง๎ านลขิ สทิ ธ์ิ 2) คานงึ ถึงลักษณะของงานลขิ สทิ ธ์ิ 3) คานึงถึงปริมาณการใช๎งาน สัดสํวนของงาน โดยอาจพิจารณาจากเกณฑ๑ท่ี กาหนดในข๎อ 4 4) คานงึ ถงึ ผลกระทบตอํ การตลาดหรอื มูลคําของงานลิขสทิ ธิ์ 3. ปรมิ าณการใชง้ านลิขสทิ ธ์ิ 3.1 ภาพยนตร๑และโสตทัศนวัสดุ เชํน วีดิทัศน๑ ดีวีดี เลเซอร๑ดิสก๑ ซีดีรอม สารานุกรม เปน็ ตน๎ 3.1.1 การนาออกฉายผู๎สอนนาออกให๎ผ๎ูเรียนในช้ันเรียนชมได๎ไมํจากัดความ ยาว และจานวนครงั้ ภายใต๎เง่ือนไขดังนี้ ก. สาเนางานท่ีนาออกฉายต๎องเปน็ สาเนาทมี่ ีลขิ สิทธถ์ิ ูกต๎อง ข. เปน็ การนาออกฉายในช้นั เรียน โดยไมแํ สวงหากาไร และ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 466

ค. เปน็ การนาออกฉายเพอื่ ประโยชน๑ในการเรียนการสอนโดยตรง 3.1.2 การทาสาเนา ก. ผส๎ู อนทาสาเนาทัง้ เรื่องทจี่ าเปน็ ตอ๎ งใช๎เพ่ือประโยชน๑ในการสอน ณ ขณะนัน้ ได๎ หากไดพ๎ ยายามใชว๎ ธิ กี ารและมรี ะยะเวลาอนั สมควรแลว๎ แตไํ มสํ ามารถจัดซื้อจัดหาสาเนา ภาพยนตร๑หรอื โสตทัศนวสั ดุทมี่ ลี ขิ สทิ ธถ์ิ ูกตอ๎ งตามกฎหมายได๎ ข. ผเ๎ู รียนทาสาเนาภาพยนตร๑หรอื โสตทัศนวัสดุเพื่อใช๎ในการศึกษา ได๎ ไมํเกินรอ๎ ยละ 10 หรอื 3 นาที ของแตํละผลงาน (แล๎วแตํวําจานวนใดน๎อยกวํากัน) ท้ังนี้ ภาพยนตร๑ หรอื โสตทศั นวสั ดทุ ใ่ี ชใ๎ นการจัดทาสาเนาน้นั ตอ๎ งมลี ิขสทิ ธิถ์ กู ต๎องตามกฎหมาย 3.2 งานแพรํเสียงแพรํภาพ เชํน รายการวิทยุ/โทรทัศน๑ เป็นต๎น ผู๎สอนทาสาเนา และฉายงานแพรํเสยี งแพรภํ าพหรอื เทปบนั ทึกภาพงานเพื่อการเรียน การสอนได๎ โดยสถาบันศึกษา ใชเ๎ ทปบนั ทึกภาพงานดงั กลําวได๎ในระยะเวลาหนึง่ ปีการศึกษาหรอื สามภาคเรยี น 3.3 ดนตรกี รรม 3.3.1 การทาสาเนา ก. ผูส๎ อนทาสาเนาในกรณีเรํงดํวน เน่อื งจากไมํสามารถซอื้ สาเนางานท่ี มลี ขิ สิทธิ์มาใช๎ได๎ทนั การแสดงท่ีจะมีขึน้ ท้ังนี้ จะตอ๎ งจัดซื้อสาเนางานท่มี ลี ขิ สทิ ธิม์ าใช๎ทันทที ่ีทาได๎ ข. ผู๎สอนทาสาเนาหนง่ึ ชดุ หรอื หลายชดุ จากทํอนใดทํอนหน่ึงของงาน (excerpts of works) เพ่ือการศกึ ษา ไมํใชํเพื่อนาออกแสดง ทั้งน้ี ต๎องไมํเกินร๎อยละ 10 ของแตํละ งาน และไมเํ กิน 1 สาเนา ตํอผูเ๎ รยี น 1 คน ค. ผ๎ูสอนทาสาเนาสง่ิ บันทกึ เสยี งงานเพลง เชํน แถบบันทึกเสียง หรือ ซดี ี จานวน 1 ชุด โดยสาเนาจากสิง่ บันทึกเสยี งทีม่ ีลิขสทิ ธ์ิถกู ต๎องตามกฎหมาย ซ่ึงผู๎สอนหรือสถาบัน ศึกษาน้นั เป็นเจ๎าของกรรมสทิ ธิง์ านส่ิงบันทกึ เสียงดงั กลําว เพื่อจัดทาเป็นแบบฝึกหัดสาหรับการร๎อง การฟ๓งเพ่อื ใชใ๎ นการเรียนการสอน 3.3.2 การดัดแปลงดดั แปลงสาเนางานเพือ่ ประโยชนใ๑ นการเรียนการสอนได๎ แตจํ ะดัดแปลงคณุ ลกั ษณะสาคัญของงาน รวมถึงเน้อื ร๎องไมไํ ด๎ 3.3.3 การบันทึกงานบันทกึ การแสดงของผเ๎ู รียน ซึ่งใช๎ดนตรีกรรมจานวน 1 ชดุ ได๎ เพือ่ การฝกึ ซอ๎ มหรือการประเมินผล โดยผู๎สอนหรอื สถาบันเก็บรกั ษาบันทึกการแสดงนนั้ ไว๎ได๎ 3.4 รปู ภาพและภาพถําย 3.4.1 ใช๎ได๎อยํางน๎อย 1 ภาพแตํไมํเกิน 5 ภาพ ตํอผ๎ูสร๎างสรรค๑ 1 ราย หรือ รอ๎ ยละ 10 ของจานวนภาพของผส๎ู ร๎างสรรค๑ 1 ราย (แล๎วแตวํ ําจานวนใดนอ๎ ยกวํากัน) 3.4.2 ผส๎ู อนและผ๎ูเรียนดาวนโ๑ หลดภาพจากอินเทอร๑เน็ต เพื่อใช๎ในการศึกษา ไดใ๎ นปรมิ าณเทํากับ (4.4.1) แตจํ ะอัพโหลดงานนน้ั กลบั ข้ึนบนอนิ เทอร๑เนต็ ไมไํ ด๎ หากไมํได๎รับอนุญาต จากเจ๎าของลิขสิทธิ์ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 467

3.5 วรรณกรรม/สง่ิ พมิ พ๑ 3.5.1 การทาสาเนา 1 ชดุ สาหรบั ผูส๎ อนเพอ่ื ใชใ๎ นการสอน หรอื เตรียมการสอน หรือเพื่อใชใ๎ นการวิจยั ก. 1 บท (chapter) จากหนังสือ 1 เลมํ ข. บทความ (article) 1 บท จากนิตยสาร/วารสาร หรอื หนังสือพิมพ๑ ค. เรื่องสั้น (short story) หรือเรียงความขนาดสั้น (short essay) 1 เรือ่ ง บทกวขี นาดสัน้ (short poem) 1 บท ไมํวําจะนามาจากงานรวบรวมหรอื ไมํก็ตาม ง. แผนภูมิ (chart) กราฟ (graph) แผนผัง (diagram) ภาพวาด (painting) ภาพลายเสน๎ (drawing) การ๑ตนู (cartoon) รปู ภาพ (picture) หรือภาพประกอบหนงั สือ (illustration) จากหนงั สือ นิตยสาร/วารสาร หรือหนังสือพิมพ๑ จานวน 1 ภาพ 3.5.2 การทาสาเนาจานวนมากเพ่ือใช๎ในห๎องเรียนทาได๎ไมํเกิน 1 ชุดตํอ นกั เรียน 1 คน โดยผู๎สอน เพื่อใชใ๎ นการสอนหรอื การอภิปรายในห๎องเรียน โดยสาเนาที่ทาขึ้นจะต๎อง ไมยํ าวจนเกนิ ไป และต๎องมีการระบุรับรค๎ู วามเปน็ เจ๎าของลขิ สทิ ธ์ไิ ว๎ในสาเนาทุกฉบบั ด๎วย ดงั น้ี ก. ร๎อยกรอง 1 (1) บทกวี (poem) ท่ีไมํเกิน 250 คา และเมื่อพิมพ๑แล๎วไมํเกิน 2 หนา๎ [หน๎าละ 2,000 ตวั อกั ษร(character) ตวั อกั ษรขนาด 16] หรอื (2) บทกวขี นาดยาว ตดั ตอนมาไดไ๎ มเํ กนิ 250 ค ข. ร๎อยแกว๎ 2 (1) บทความ (article) 1 บท เรือ่ ง (story) 1 เรอ่ื ง หรอื เรียงความ (essay) 1 เรอื่ ง หรอื ไมเํ กิน 2,500 คา (2) ตอนใดตอนหนึ่ง (excerpt) ของร๎อยแก๎วซ่ึงไมํเกิน 1,000 คา หรือร๎อยละ 10 ของงานนั้น (แลว๎ แตวํ าํ จานวนใดน๎อยกวํากัน) แตํได๎อยํางนอ๎ ย 500 คา อยํางไรก็ดี จานวนที่ระบุไว๎นี้ ยืดหยํุนได๎ตามความเหมาะสม เชนํ อาจมคี วามยาวเกนิ มาเพ่อื ใหข๎ อ๎ ความของบทกวจี บบทหรือรอ๎ ยแก๎วจบยํอหนา๎ เปน็ ตน๎ (3) แผนภูมิ (chart) กราฟ (graph) แผนผัง (diagram) ภาพวาด (painting) ภาพลายเสน๎ (drawing) การต๑ นู (cartoon) รูปภาพ (picture) หรอื ภาพประกอบหนงั สือ (illustration) จากหนงั สอื นติ ยสาร/วารสาร หรือหนังสือพมิ พ๑ จานวน 1 ภาพ (4) งานท่มี ีลกั ษณะเฉพาะ – งานที่อยํใู นรปู ของรอ๎ ยกรองหรือร๎อย แก๎ว หรือผสมผสานกันซึ่งมักจะมีภาพประกอบ อาทิ หนังสือเด็ก ทาทั้งฉบับไมํได๎ แตํใช๎ได๎ไมํเกิน 2,500 คา และทาสาเนาตอนใดตอนหนึ่ง (excerpt) ของงานได๎ไมํเกิน 2 หน๎าพิมพ๑ของงานน้ัน หรอื ไมเํ กนิ รอ๎ ยละ 10 ของคาท่ปี รากฏในงาน การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 468

หมายเหตุ 1. ร๎อยกรอง หมายถงึ คาประพันธ๑ ถ๎อยคาที่เรียบเรียง ในรูปแบบฉันทลักษณ๑ 2. ร๎อยแกว๎ หมายถึง ความเรยี งท่ีไมมํ ีลกั ษณะเปน็ รอ๎ ยกรอง (5) งานของผ๎ูสร๎างสรรค๑คนเดียวกันทาสาเนาบทกวี ( poem) บทความ (article) เร่อื ง (story) หรือเรียงความ (essay) ไดไ๎ มํเกิน 1 เร่อื ง หรือสามารถตัดตอนมา จากผลงานของผู๎สร๎างสรรค๑คนเดียวกนั ไดไ๎ มเํ กิน 2 ตอน (two excerpts) หรือทาสาเนาผลงานได๎ไมํ เกิน 3 เรื่อง จากงานรวบรวมเลํมเดียวกัน หรือจากนิตยสาร/วารสารรวมเลํม ในเวลา 1 ภาค การศึกษา 4. การรบั รู้ความเปน็ เจา้ ของลิขสิทธ์ิ การนางานลิขสทิ ธ์มิ าใช๎ในการเรยี นการสอนจะต๎องแสดงความรับรู๎ความเป็นเจ๎าของ ลขิ สทิ ธิ์ โดยต๎องแจง๎ ใหท๎ ราบชื่อเจ๎าของลขิ สทิ ธิ์ และ/หรือผู๎สร๎างสรรค๑ ช่ือผลงาน (ถ๎ามี) และ/หรือ แหลงํ ท่ีมาด๎วย (ถา๎ ม)ี สรุปได้ว่า ขอ๎ ควรระวังทางด๎านกฎหมายเก่ียวกับงานการสอนตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ 2558 หรอื ในการวจิ ยั หรอื การศกึ ษางาน อาจมกี ารทาซ้างานวรรณกรรม เชํน บทความ ข๎อความจากหนังสือ หรอื งานศิลปกรรม (เชนํ รปู ภาพ) อันมีลิขสิทธิ์ของบุคคลอ่ืนเพ่ือประโยชน๑ในการเรียนการสอน ซ่ึง กฎหมายลขิ สิทธกิ์ าหนดใหก๎ ารกระทาในลักษณะตําง ๆ ดังกลําว เป็นสทิ ธิแตํเพยี งผ๎ูเดียวของเจ๎าของ ลิขสิทธ์ิ และเพ่ือสํงเสริมความก๎าวหน๎าทางการศึกษา กฎหมายจึงกาหนดข๎อยกเว๎นการละเมิด ลขิ สทิ ธิ์เพ่อื ประโยชน๑ในการเรียนการสอนได๎ตามสมควร เชํน การทาซ้า ดัดแปลงบางสํวนของงาน หรือตดั ทอน หรอื ทาบทสรปุ โดยผส๎ู อน หรอื สถาบันศกึ ษา เพอ่ื ประโยชน๑ในการเรียนการสอน หรอื นา งานนั้นมาใช๎เป็นสวํ นหน่งึ ในการถามและตอบในการสอบอยํางไรกต็ าม รํางคํูมือดังกลําวมีข๎อยกเว๎น การละเมิดลิขสิทธิ์เฉพาะผ๎ูสอนและผู๎เรียนตามมาตรา 32 และ มาตรา 33 ไมํรวมถึงข๎อยกเว๎นการ ละเมดิ ลิขสิทธ์ิทีก่ ฎหมายอนุญาตใหบ๎ รรณารกั ษห๑ ๎องสมุดกระทาการแกํงานอันมีลิขสิทธิ์โดยไมํถือวํา เป็นการละเมิดลิขสิทธ์ิตามมาตรา 34 จะเห็นได๎วําการกระทาที่กฎหมายอนุญาตให๎ทาได๎ ต๎องเป็น เรอ่ื งท่เี กี่ยวกบั การแสวงหาประโยชนจ๑ ากงานเพอ่ื ความร๎ู โดยไมมํ วี ตั ถปุ ระสงค๑ทเ่ี กีย่ วกับการแสวงหา กาไรจากการใชป๎ ระโยชน๑จากงานดังกลําว หากมกี ารทาซา้ สาระสาคญั ของงานทัง้ หมดหรือในสํวนอัน เป็นสาระสาคัญ และนามาใช๎เป็นสํวนหน่ึงของง านท่ีสร๎างสรรค๑ขึ้นใหมํ จากนั้นนางานใหมํ ออกจาหนํายยํอมกระทบตํอการแสวงหาผลประโยชน๑ของเจ๎าของงานเดิม เพราะทาให๎งานเกําไมํ สามารถจาหนํายได๎ การพิจารณาปริมาณของการระทาที่กฎหมายอนุญาตวํา การกระทาดังกลําว กระทบตอํ สิทธเิ กิดสมควรหรือไมํ ตัวอยํางเชํน การทาซ้างานบางสํวนในปริมาณน๎อย เพ่ือการศึกษา วจิ ยั หรอื อ๎างองิ นาํ จะไมกํ ระทบตํอสทิ ธเิ ด็ดขาดในการทาซา้ ของเจา๎ ของลขิ สิทธ์ิเกนิ สมควร แตํถ๎าเปน็ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 469

การทาซ้างานท้ังหมด หรือสํวนสาระสาคัญของงานในประการท่ีทาให๎ไมํจาเป็นต๎องใช๎งานของผ๎ู สรา๎ งสรรค๑งานอกี ตอํ ไป ยอํ มเป็นการเกินสมควร จากหลักเกณฑ๑ที่กฎหมายกาหนดน้ี จะเห็นได๎วําเป็นเพียงหลักเกณฑ๑อยํางกว๎างๆ เทํานั้น สํวนการกระทาอยํางไร หรือในปริมาณเทําไร จึงจะถือวําไมํขัดตํอการแสวงหาประโยชน๑ ตามปกตขิ องเจา๎ ของลิขสิทธ์ิ แตํผูเ๎ ขียนมคี วามเห็นวําในการทาซา้ งานเพ่อื การศึกษาหรือเพ่ืองานวิจัย หรอื การอ๎างองิ งาน ควรกระทาทาเทําที่จาเปน็ และกระทาในปรมิ าณทน่ี อ๎ ยทส่ี ดุ เทําทจี่ ะเป็นไปได๎ เพ่อื หลเี ล่ยี งป๓ญหาเร่ืองการละเมิดลิขสทิ ธ์ิ เอกสารอา้ งอิง กรมทรพั ยส๑ ินทางปญ๓ ญา กระทรวงพาณชิ ย๑ (2558) ความรู๎เบ้ืองต๎นด๎านทรัพย๑สินทางป๓ญญา. กรุงเทพฯ : อัม รินทร๑พร้นิ ต้ิงแอนดพ๑ ัลลิชชิ้ง. กรมทรพั ยส๑ นิ ทางปญ๓ ญา. กฎหมายลิขสทิ ธ์ิชวํ ยขบั เคลอ่ื น “Digital Economy” คมุ๎ ครองผูส๎ รา๎ งสรรค๑งาน บน อินเตอรเ๑ น็ต กาหนดโทษการละเมิด 10,000 – 400,000 หรือท้ังจาทั้งปรับ. [ออนไลน๑]. (วันที่ ค๎นขอ๎ มลู : 28 กนั ยายน 2558) ไชยยศ เหมะรัชตะ (2528) กฎหมายลิขสิทธิ์. กรุงเทพฯ : นิติบรรณการ. ดจุ แข ค้าชู (2550) มาตรการบังคับสิทฺธทิ างแพํงเกย่ี วกบั สิทธใิ นทรพั ย๑สินทางปญ๓ ญาศึกษาการละเมิดลิขสิทธิ์ และเครื่องหมายการค๎า (วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบณั ฑิต) กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณม๑ หาวิทยาลยั . พันธุ๑สยาม ห๎วยแก๎ว (2550) ความรับผิดในการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู๎ให๎บริการอินเทอร๑เน็ต (วิทยานิพนธ๑ ปรญิ ญามหาบัณฑิต) กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลยั . ราชกิจจานุเบกษา. พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2558. [ออนไลน๑]. เข๎าถึงได๎จาก : http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/A/006/7.PDF. (วันที่คน๎ ข๎อมลู : 28 กนั ยายน 2558). การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 470

แนวทางการวเิ คราะห์องคป์ ระกอบในการสรา้ งสขุ ในสถานศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน Guidelines forFactor Analysis of IncreaseHappiness in Basic Schools ธนวุฒิ แก้วนชุ วทิ ยาลยั ครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บณั ฑิตย์ e-mail:[email protected] บทคัดยอ่ องคก๑ รแหงํ ความสขุ เปน็ กลยทุ ธก๑ ารบรหิ ารองคก๑ รท่ีหลายองค๑กรได๎นามาใช๎ เพ่ือสร๎างความ ผูกพันระหวํางบุคคลากรกับองค๑กรให๎มากย่ิงขึ้น ภายใต๎แนวความคิดที่วํา การที่บุคคลากรมีความสุขในการ ทางานจะชํวยให๎ประสิทธิภาพในการทางานดีข้ึนและสร๎างความแข็งแกรํงให๎กับองค๑กรอยํางยั่งยืน การ ประยุกต๑ใช๎กลยุทธ๑องค๑กรแหํงความสุขในการบริหารสถานศึกษานั้น ผู๎มีสํวนรํวมหลัก ได๎แกํ นักเรียน ครู ผู๎บรหิ ารสถานศกึ ษา บคุ คลากรสายสนบั สนุน และผ๎ูแทนจากคณะกรรมการในสถานศึกษาน้ัน องค๑ประกอบ สาคญั ทม่ี ผี ลตํอการเสรมิ สรา๎ งองค๑กรแหํงความสขุ ในสถานศึกษานัน้ ไดแ๎ กํ 1) สภาพแวดล๎อมและบรรยากาศที่ ดี 2) สัมพันธภาพท่ีดีของผ๎ูมีสํวนรํวม และ 3) ความพึงพอใจในสถานศึกษา การบริหารสถานศึกษาให๎เป็น องค๑กรแหํงความสุข จะทาให๎ผู๎มีสํวนรํวมทุกฝุายมีสุขในสถานศึกษา ในการทางาน มีความจงรักภักดีตํอ สถานศกึ ษา บคุ คลภายนอกสนใจอยากรวํ มงานด๎วย ผ๎ูบริหารมุงํ มน่ั พัฒนาสถานศึกษา สรา๎ งสภาพแวดล๎อมที่ดี ในการเรียนการสอน บุคคลากรมีสัมพันธภาพที่ดี มีความพึงพอใจในการทางาน ทาให๎การเรียนการสอนมี ประสิทธิภาพ สถานศึกษาเจริญก๎าวหน๎าอยํางย่ังยืนเป็นสถานศึกษาแหํงความสุขสาหรับทุกฝุายท่ีมีสํวน เกี่ยวข๎อง คาสาคัญ:การวิเคราะห๑องค๑ประกอบในการสร๎างสุข ความสุขในสถานศึกษา องค๑กรแหํงความสุข ผู๎ที่มีสํวน เกยี่ วข๎องของสถานศึกษา การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 471

ABSTRACT A happy workplace strategy has been adopted by many leading organizations to promote employee engagement. Having happy employee will help improve work efficiency and sustain organization’s strength. The strategy can be applied to the school as well. Major stakeholders in the school are students, teachers, management, supporting staff and representative from external parties. There are factors influencing development of a happy school consists of 1)good work environment and atmosphere 2) good relationship among stakeholders and 3) institutional satisfaction. Managing the school toward a happy workplace will leverage working happiness and loyalty to all relevant parties. External parties would like to be part of the institute. Management commits to the institutional developments and promotes good academic work environment. Employees have healthy relationship and satisfy with their work. Ultimately the academic quality will be efficient and the school will become a sustainable institution. KEYWORDS:Factor analysis of increasing happiness, Happiness in school,School as a Happy Workplace,School stakeholder บทนา ปจ๓ จุบนั ภาพของ “องคก๑ รแหงํ ความสขุ ” หรือ “Happy workplace”ชดั ขนึ้ องค๑กรชั้นนาใน ระดับโลกหันมาอานวยความสะดวกในสถานท่ีทางาน มีการสร๎างบรรยากาศ สภาพแวดล๎อมที่นําทางาน การ สํงเสรมิ คาํ นยิ มและปลกู ฝ๓งวัฒนธรรมองค๑กรเพื่อให๎เกิดความผูกพันและสร๎างความแตกตํางอยํางเหนือระดับ ทาให๎ทุกคนในองคก๑ รร๎ูสกึ วาํ “องคก๑ รนมี้ คี วามสขุ ”การสร๎างคํานิยมและวัฒนธรรมองค๑กรแหํงความสุข เป็น แนวโน๎มการบรหิ าร พัฒนาองคก๑ รและบุคลากรในอนาคต มีการนาคํานยิ มองค๑กรไปใช๎ในการบรหิ ารทรพั ยากร บคุ คล การแปลงคาํ นยิ มใหเ๎ ปน็ วฒั นธรรมองค๑กรแหงํ ความสขุ และการสรา๎ งความผูกพันของบคุ ลากรตอํ องค๑กร เหลํานี้เป็นเทรนด๑ของการบริหารองค๑กรที่ดึงดูดให๎บุคลากรอยากมาทางานและสามารถทางานได๎อยํางมี ความสขุ สถานศกึ ษาขั้นพื้นฐานเป็นองคก๑ รหน่งึ ท่ตี อ๎ งการความสุข องค๑ความร๎ูเกี่ยวกับการสร๎างสุขใน สถานศกึ ษายังไมํปรากฏแนํชดั โดยเฉพาะความสุขของผู๎ทมี่ สี ํวนเกี่ยวขอ๎ งในสถานศึกษาขนั้ พืน้ ฐานท่ีครอบคลุม ทกุ มิตทิ ัง้ องค๑กร องคป๑ ระกอบของความสุขในสถานศึกษาคืออะไรและการวัดความสุขในสถาน ศึกษาดูได๎จาก อะไร การศึกษาวิจัยเก่ียวกับการสร๎างสุขในสถานศึกษายังมีไมํมากและไมํครอบคลุมทุกมิติ จากการทบทวน วรรณกรรม พบวํา มงี านวิจัยเกยี่ วกับความสขุ ของผเู๎ รยี นและความสขุ ของครใู นสถานศึกษา ถ๎ามองถึงผ๎ูที่มีสํวน การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 472

เกยี่ วข๎องในสถานศึกษาจะพบวํา ยังมีบุคคลกลุํมอ่ืนๆ อีก เชํน ผู๎บริหารสถานศึกษา บุคลากรสายสนับสนุน และคณะกรรมการสถานศกึ ษา ซึง่ ยังไมํมงี านวจิ ัยเกยี่ วกับความสขุ ของกลุมํ คนเหลาํ น้ี ดงั น้นั การศึกษาเก่ียวกับความสุขในสถานศึกษาจึงควรครอบคลุมสาระและความชัดเจนใน เรอื่ งตอํ ไปน้ี ความหมายของความสุข องค๑กรแหํงความสขุ ป๓จจยั และองคป๑ ระกอบของความสขุ ในสถานศกึ ษา และการพัฒนาตัวช้ีวดั ความสขุ ในสถานศึกษาวิธีการศึกษาป๓จจัยและองค๑ประกอบของความสุขและเพ่ือให๎ สามารถเลือกนาป๓จจัยและองค๑ประกอบมาใช๎เป็นแนวทางในการเตรียมความพร๎อมและสร๎างความสุขใน สถานศกึ ษาสาหรบั ผ๎ูมีสวํ นเก่ยี วข๎องทุกกลํุมใหส๎ ถานศกึ ษาเปน็ สถานที่ทท่ี กุ คนมีความสุขอยาํ งเหมาะสมในการ อยูํรํวมกนั ความหมายของความสุขและแนวคดิ เก่ียวกับความสขุ “ความสุข” คือสิง่ ท่เี ปน็ ยอดปรารถนาของมนุษย๑ทกุ ผ๎ูทุกนาม คงจะไมมํ ีผู๎ใดปฏิเสธเมื่อได๎ยิน คากลําว แตํเมื่อถูกขอให๎ระบุวําความสขุ คอื อะไร จะร๎ไู ด๎อยาํ งไรวํามีความสุข จะรู๎ได๎อยํางวํามีความสุขหรือไมํ ดูได๎จากอะไร อะไรคือตัวช้วี ดั ถึง“ความสขุ ” กจ็ ะพบวาํ เรม่ิ ได๎คาตอบทีแ่ ตกตํางหลากหลาย จนหาขอ๎ ตกลงรวํ ม ไมไํ ดง๎ ํายนัก แตสํ าหรับคนไทยโดยทั่วไป เรามักจะได๎ยินคาวํา “สุขกายสุขใจ” เป็นตัวสะท๎อนถึงความหมาย ของความสุขแตํเมอื่ ถกู ถามดว๎ ยขอ๎ คาถามข๎างตน๎ ก็จะพบกับความสบั สน พระบาทสมเดจ็ พระเจา๎ อยหํู ัว พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดชฯ รัชกาลที่ 9 (โอภาส เสวิ กุล, 2544 :51-52) รบั ส่ังวํา ความสุข คือส่ิงท่ีทุกคนปรารถนา แตํการหาความสุขของแตํละคนไมํเหมือนกัน บางคนทาในสิง่ ท่ีไมถํ ูกตอ๎ ง ด๎วยเบยี ดเบยี นผอ๎ู น่ื คดิ วาํ เป็นความสขุ (พระบรมราโชวาทท่ีพระราชทานแกํ คณะ ผ๎ูแทนองค๑การศาสนา คณะครูและนักเรียน ณ ศาลาผกาภิรมย๑ สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต วันศุกร๑ที่ 4 ธันวาคม 2513)“…แต่ละคนต้องการอะไร ก็ต้องการความสุขความสุขนี้คืออะไร ความสุขนี้ โดยมากก็นึกถึง ความสุขในทางวตั ถุ คือ มีเงินมที องมากที่จะไปใชแ้ สวงหาสิง่ ทต่ี ้องการ สําหรับหนุ่มๆ สาวๆ ก็สําหรับไปเที่ยว ไนต์คลับหรืออะไรทํานองน้ัน ซึ่งบางทีก็เรียกว่าความสุขก็ต้องมีเงินก่อน เมื่อต้องมีเงินก็ต้องหาเงิน การทํา อาชพี เดยี๋ วนีย้ าก ก็ไปปลน้ เขาง่ายกวา่ นี่เป็นกลไกของเร่อื งท่วี า่ ทาํ ไมเด๋ียวนีม้ ีอาชญากรและอาชญากรรมมาก คือเพราะต่างแสวงหาความสุข...”“ความสุขทแี่ ท้จรงิ คือ ความสุขท่ีถกู ตอ้ งตามหลกั ธรรมะ ด้วยการทําจิตใจให้ สงบ ไมโ่ ลภ ไม่โกรธ ไมห่ ลง ไม่เบียดเบยี นผอู้ นื่ ให้ได้รับความทุกข์ยากเดือดร้อน ถ้าทุกคนทําได้อย่ างนี้จะพบ ความสุขที่แท้จริง ”พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยูํหัว พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ รชั กาลที่ 9 (โอภาส เสวิกลุ , 2544 :51-52) Tal Ben –Shaharให๎ความหมายทฤษฎคี วามสขุ ไวว๎ ํา “หากเราตอ้ งการทจี่ ะสมปรารถนาและ มีความสขุ เราจําเป็นตอ้ งตอบสนองต่อความต้องการท้งั สองอย่าง...ท้งั ความพอใจและความหมาย” กลําวคือ โดยพื้นฐานมนุษย๑แล๎ว มนุษย๑เราถูกขับเคลื่อนด๎วยความต๎องการความพอใจท่ีมาจากสัญชาตญาณ และการ พยายามค๎นหาความหมายในชีวิตของตนเอง ซ่ึงนับได๎วําเป็นแรงจูงใจหลักของมนุษย๑เรา ( Tal Ben- Shahar,2559 :72-73) ธรรมชาติของมนุษย๑ มักจะแสวงหาความสุขในการดาเนินชีวิต ความสุขมีทั้งเกิดขึ้น ภายใน เชํน ความสุขระดับจิตใจ ป๓ญญาหรือจิตวิญญาณ เป็นต๎น และความสุขท่ีเกิดขึ้นจากป๓จจัยภายนอก การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 473

เชนํ การมีหรือครอบครองปจ๓ จัยในการดารงชีวิต การมคี วามสัมพันธ๑ระหวํางมนุษยก๑ บั สงิ่ แวดลอ๎ ม เปน็ ตน๎ แม๎ ในยคุ ป๓จจบุ นั เป็นยคุ ทคี่ วามสัมพันธ๑มีความซับซ๎อนมากข้ึน มีการเชื่อมโยงถึงกันหมดในทุกภาคสํวนของสังคม โลก ทัง้ ในระดับป๓จเจกบุคคล ระดับครอบครัว ระดับชุมชน และระดบั ประเทศ ผลกระทบที่เกดิ ขน้ึ จากจุดหนึ่ง ยอํ มสงํ ผลไปยังอีกจดุ หนึง่ อยํางรวดเรว็ ยอํ มทาใหค๎ วามสุขของแตํละบคุ คลมีความแตกตาํ งกนั ลัทธิและความเชอ่ื ของความสขุ แบบการแสวงหาความสุขเพลิดเพลินหรือแบบสุขารมณ๑นิยม (Hedonism) ซึง่ หมายถึงความพยายามทกุ วถิ ที างเพือ่ ใหม๎ าซง่ึ ความสขุ สาราญ ทตี่ อบสนองความพึงพอใจ โดย ไมํคานึงวําสิ่งเหลําน้ันจะได๎มาอยํางถูกต๎องหรือไมํ เป็นไปตามศีลธรรมจรรยาอันดีงามหรือไมํ ขอให๎สุขสม อารมณ๑หมายกพ็ อ โดยไมํสนใจวาํ ใครจะเดือดรอ๎ นหรอื ขดั อกขดั ใจหรอื ไมํ (ประดษิ ฐ๑ เถกิงรังสฤษด์ิ,2559 :121) ความสุขตามแนวสุขนิยมนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะ ที่เป็นของใครของมัน สามารถแบํงป๓นได๎ แตํ แลกเปลย่ี นกันไมํได๎ เปน็ การมองเหน็ ความสขุ ทอ่ี ยรํู อบตวั โดยมิไดส๎ นใจใดใดกบั ส่ิงรอบขา๎ งเลย ไมใํ ชํความสขุ ทเี่ ห็นแกตํ ัว แตเํ ปน็ ความสุขแบบพร๎อมแบํงป๓น มีบุคคลจานวนมากเข๎าใจวาํ ความสุขนั้นเกิดจากการมีเงินทองทรพั ยส๑ นิ จานวนมากมาย หรือ มีวัตถุส่ิงของอานวยความสะดวกในชีวิตประจาวันอยํางครบถ๎วนและทันสมัย แตํจากการศึกษาพบวํา ใน ประเทศทรี่ า่ รวย มคี วามมงั่ ค่งั มีความสัมพันธ๑เพยี งเลก็ น๎อยกบั ระดบั ความสุข การเพ่มิ ขน้ึ ของรายไดแ๎ ละปจ๓ จัย ทางวัตถอุ น่ื ๆ กไ็ มไํ ด๎ทาใหค๎ วามสุขเพ่ิมข้ึนเสมอไป (รศรนิ ทร๑เกรย๑ และคณะ, 2550)ในทางตรงกนั ข๎ามความสุข เกิดจากความพึงพอใจในสง่ิ ท่ตี นมอี ยูํในปจ๓ จบุ นั หรือมคี วามเพียงพอในชีวิตมากกวําส่ิงของและสถานการณ๑ที่ เป็นอยํู ความสุขจากชีวิตจากงานวิจัยท่ีนานที่สุดในโลก \" Harvard Study of Adult Development\"ดาเนินมากวํา 75 ปี โดยผ๎ูถูกวิจัยทั้ง 724 คนน้ันเหลือชีวิตรอดแคํ 60 กวําคนเทํานั้น ซ่ึงผู๎ เหลอื รอดเกือบท้งั หมด อยใํู นวัย 90 ปขี นึ้ ไป บรรดานักวจิ ัยได๎เรียนร๎ูจากเรือ่ งราวกวาํ 70 ปี ของ 700 กวําชีวิต ผํานทางเอกสาร และข๎อมูลนับหมื่นๆหน๎า พวกเขาเรียนร๎ูวํา “ความร่ารวย” “ความโดํงดัง” หรือ “การ ทางานอยํางหนกั หนวํ ง” ไมใํ ชํคาตอบของ “การมีชีวิตท่ีดี” “มีความสุข”หรือ “สุขภาพที่ดี” เลยแม๎แตํนิด เดียว แตเํ ป็น “ความสัมพันธ๑ท่ีดี” ตํางหากท่ีนามาซึ่ง “การมีชีวิตที่ดี” ที่มีความสุข “Good relationships keep us happier and healthier”เป็นสิ่งที่สาคัญท่ีสุด และบทเรียนล้าคําท่ีเกี่ยวกับความสัมพันธ๑ (Relationship) ไดแ๎ กํ 1) Connection is really good for us, loneliness kills. คุณจาเป็นต้องมี ความสัมพันธท์ ่ีดกี ับคนรอบข้าง ไมํวาํ จะเป็นคํคู รอง เพอ่ื น ครอบครัว หรือสังคม ก็ตาม ความสัมพันธ๑เหลําน้ี จะทาให๎คุณมีความสขุ กวาํ แข็งแรงกวํา และมีอายุทย่ี นื ยาวกวํา ในทางกลบั กัน ความเหงาและโดดเดี่ยวน้นั เป็น ส่ิงอนั ตรายอยาํ งย่ิง เพราะมนั จะทาใหม๎ ีความสุขนอ๎ ยลง ทาใหร๎ ํางกายเรม่ิ แยลํ งต้ังแตํวัยกลางคน สมองเส่ือม เรว็ ข้ึน และมีชวี ติ สน้ั กวํา 2) Quality is not Quantity.มันไม่สาคญั ท่ปี ริมาณหรอื รูปแบบของความสัมพันธ์ เชํน “จะต๎องแตํงงานเทําน้ัน” แตํเป็น “คุณภาพของความสัมพันธ๑”ตํางหากที่จะเป็นตัวชี้วัดจากงานวิจัย ช้ีใหเ๎ ห็นวํา ความสมั พนั ธท๑ ่ไี มํดขี องสามภี รรยาจะสงํ ผลลบมากกวําการหยาํ ร๎างที่เข๎าใจกนั เสียอีก การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 474

3) Good relationships don’t just protect our bodies they protect our brains. ความสัมพันธ์ที่อบอุ่น มั่นคง ไว้ใจได้ พ่ึงพาได้ ชํวยให๎มีสุขภาพกายที่ดีแล๎ว ยัง “ดีตํอสมอง” ด๎วย ความสัมพันธ๑ที่ดี จะทาให๎มีความทรงจาที่ดีและสมองยังคงใช๎งานได๎ดีความสัมพันธ๑ที่ดีในท่ีน้ีไมํได๎หมายถึง ความสัมพันธท๑ ่ีราบรื่นสดุ ๆ ไมํทะเลาะกนั เลย แตํเปน็ ความสัมพันธท๑ ีร่ วู๎ ํา เมือ่ ถึงเวลาท่ีต๎องการจริงๆ เราจะมี คนท่ีพึ่งพาได๎ ROBERT J. WALDINGERจิตแพทย๑ชาวอเมริกันและทีมงานวิจัยของ มหาวิทยาลัยฮาวาร๑ด (Harvard University)พบวํา ผู๎ถูกวิจัยในชํวงวัยรุํนหรือชํวงเริ่มเป็นผ๎ูใหญํน้ัน มีความเช่ือเหมือนกับที่คนใน ป๓จจุบันวาํ สง่ิ ทจี่ ะทาให๎พวกเขาประสบความสาเร็จ มีชีวิตท่ีดีและมีความสุข คือ“ชื่อเสียง เงินทอง” แตํจาก การศกึ ษากวาํ 75 ปี กลับกลายเป็นวํา คนท่ีให๎ความสาคัญกับ “ความสัมพันธ์ท่ีดีกับคนรอบข้าง” ตํางหาก คือ คนทม่ี ชี วี ิตท่ดี ที ส่ี ดุ ส่ิงท่ีทาใหค๎ นเรามองข๎าม “ความสัมพันธ๑ที่ดี” แล๎วหันไปใสํใจกับ “ชื่อเสียง เงินทอง” หรอื “หน๎าที่การงาน” อาจเปน็ เพราะการมีความสมั พนั ธท์ ่ดี นี ้ันเป็นเร่ืองละเอียดอ่อน ยาก และไม่รู้จบแถม ยงั ตอ๎ งไดร๎ ับการใสใํ จตลอดเวลา จนหลายคนเลอื กจะ “ทางานหาเงิน” อยาํ งเดยี ว แตกํ ารเอาใจใสํ และการทา ความสมั พันธใ๑ หด๎ ไี มํไดย๎ ากอยาํ งท่ีคดิ กันแคํเงยหน๎าจากจอโทรศัพท๑มือถือ แล๎วสบตาคนรอบตัวให๎มากขึ้นหา อะไรใหมๆํ ทารวํ มกนั เพื่อให๎ความสัมพันธท๑ ีจ่ ดื จางกลับมามีสสี ัน มีอีกหลายๆ อยํางที่งําย และไมํต๎องเสียเงิน เชํน ชวนคนรกั ไปเดนิ เลํนหรือตดิ ตอํ ญาติทีไ่ มไํ ด๎เจอกนั มานานแล๎ว “มาร๑ก เทวน”(MARK TWAIN) นกั เขียนชอ่ื ดัง ชาวอเมริกนั เคยบอกวาํ ชีวิตคนเราน้นั “มนั ชาํ งสนั้ แล๎วก็ส้ันเหลอื เกินส้ันเกินกวาํ ทีจ่ ะมาโกรธกัน ทะเลาะกัน หรืออิจฉาริษยากัน ควรมีแตํเวลารักกันเทําน้ัน” ซึ่งแคํนี้เวลามันก็แทบจะไมํพออยํูแล๎วที่กลําวมาคือส่ิงท่ี ROBERT J. WALDINGER พดู ใน TED talk เดือนพฤศจกิ ายน ปี 2015 (ROBERT J. WALDINGER, 2015) องคก์ รแหง่ ความสขุ แนวคิดเกี่ยวกับ องค๑กรแหํงความสุข (Happy workplace) มีเปูาหมายหลักคือ ถือวํา คนทางานในองคก๑ รเปน็ บุคคลสาคัญและเปน็ กาลังหลกั การสร๎างองคค๑ วามร๎แู ละการขับเคล่ือนเครอื ขาํ ยในการ สร๎างเสริมคุณภาพชีวิตคนทางาน ด๎วยความสาคัญที่วํา เม่ือคนทางานในองค๑กรมีความสุข ยํอมสํงผลดีตํอ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลขององค๑กร ความผาสุกในครอบครัวและชุมชน ตลอดจนสํงผลตํอสังคมที่มี ความสขุ ทีย่ ่งั ยืน การสร๎างความสุขในท่ีทางาน ถือได๎วําเป็นป๓จจัยสาคัญในการบริหารองค๑กรที่มุํงเน๎นให๎ บุคลากรทกุ คนในองคก๑ รมคี วามสขุ ในการทางาน ความสขุ ทเ่ี กิดขน้ึ นน้ั กํอให๎เกดิ การสรา๎ งสรรคท๑ างความคดิ ทา ให๎งานทีไ่ ดร๎ ับมอบหมายมีประสทิ ธภิ าพมากข้ึน ลดความตงึ เครียดจากการทางาน และสภาพแวดล๎อมลดความ ขัดแย๎งในองคก๑ ร ความสุขที่เกดิ ขน้ึ จากการทางานเปรยี บเสมือนน้าหลํอเลี้ยงให๎พฤติกรรมคนปรับเปลี่ยนและ พัฒนาในแนวโน๎มท่ีดีข้ึน ตัวอยํางองค๑กรระดับโลกท่ีร๎ูจักเป็นอยํางดี คือ Google (กูเกิล) โดยนิตยสาร Fortune จดั อนั ดบั ให๎ Google เป็นบริษัททีน่ าํ ทางานท่ีสดุ ในโลกประจาปี 2014 และยังครองอันดับหน่ึงมา ตลอด 5 ปีและอยํูในอันดับต๎นๆ ของบริษัทที่นําทางานที่สุดในโลกมานานถึง 7 ปีแล๎ว เพราะGoogle ให๎ ความสาคญั กับพนกั งานของเขามาก Google พยายามจะสรา๎ งสวสั ดิการในรูปแบบใหมํๆ ให๎กับพนักงานของ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 475

ตวั เอง สรา๎ งโอกาสท่ีจะเติบโตในสายอาชีพท่ี Google มีไมํจากัด รวมไปถึงแหลํงความรู๎ในการพัฒนาตัวเอง สาหรับสาขาอาชพี ตาํ งๆ ด๎วย แมแ๎ ตพํ นักงานท่ีลาออกจาก Google ไปแล๎วก็ยงั สามารถใช๎ประโยชน๑จากการมี Google อยใูํ นประวตั ิการทางานของตัวเองได๎และพนักงาน Google รักงานของพวกเขา ในแตํละปีจะมีหนุํม สาวท่ัวโลกกวํา 2.5 ล๎านคนหรือเทํากับ 6,849 คน ตํอ 5 นาที ย่ืนใบสมัครงานมาท่ี Google (สมาคม เครอื ขํายบริการวศิ วการ กรมสงํ เสริมอตุ สาหกรรม, 2560) การได๎รับโอกาสในการพัฒนาอยํางตํอเน่ือง และการได๎รับการเอาใจใสํให๎ความสาคัญ มี เคร่อื งมอื ทส่ี ะดวกตํอการทางานกับฝุายตํางๆ ก็มีความสาคัญ สิ่งเหลําน้ีถือเป็น ความสุขของคนในองค๑กร ที่ นอกจากการไดร๎ บั เงินเดอื น สวสั ดิการ ท่ีเหมาะสมอยํูแล๎ว ในบริษัท บริการเช้ือเพลิง การบินกรุงเทพ จากัด (มหาชน) หรือ บาฟส๑ (BAFS) ซึ่งทาธุรกิจให๎บริการเช้ือเพลิงอากาศยาน ให๎ความสาคัญกับบรรยากาศการ ทางาน ทนี่ อกจากผู๎บริหารและพนักงานที่อยูํตํางสานักงานสามารถทางานประสานความรํวมมือกันได๎อยําง ราบร่นื และชํวยเหลือเกื้อกูลกันอยํางดีแล๎ว ยังพบวํา พนักงานอาวุโส คนเกําแกํท่ีมีอายุงานกวําย่ีสิบปีข้ึนไป สามารถทางานรวํ มกบั นอ๎ งใหมๆํ ไดอ๎ ยาํ งดีเยยี่ ม หัวใจสาคญั ประการหนึ่งทีเ่ ป็นพ้ืนฐานที่ทาให๎ ผ๎ูบริหาร และ พนักงานจานวนกวําสองร๎อยคนของบาฟส๑(BAFS) มีความเป็นเอกภาพเป็นหน่ึงเดียวก็คือ “การสื่อสาร” ที่ เขา้ ถงึ ทกุ คน ผู๎บริหารทาํ นหน่ึงบอกกลาํ ววํา “ทกุ คนที่เขา๎ มาทางานจะไดร๎ ับ Email Account ทใี่ ชเ๎ ชอ่ื มตํอกับ ระบบอนิ ทราเน็ตเพือ่ รับขาํ วสารตํางๆ กันทุกคน ชวํ ยให๎ไมํวําจะออกไปทางานที่สนามบิน ในสานักงานก็จะได๎ รับทราบข๎อมูล กจิ กรรมทจ่ี ะทา รวมถึงมีบอร๑ดข๎อมูล ที่มีการสํงเสริมให๎ใช๎ประโยชน๑ในการให๎ขําวสาร และ เพื่อการใช๎เทคโนโลยีอยํางถูกทางและเกิดประโยชน๑มีการจัดอบรมให๎ความรู๎แนะนาเทคนิคการใช๎ด๎วย ซึ่ง พนกั งานระดับลาํ งสามารถสงํ อีเมลถ๑ ึงผบ๎ู รหิ ารระดบั สงู ได๎โดยตรง ทาใหป๎ ญ๓ หาการทางานตํางๆ ได๎รบั การแกไ๎ ข อยาํ งรวดเรว็ โดยจากการประเมนิ พบวําทุกคนพอใจมาก” ชาญวิทย๑วสันต๑ธนารัตน๑และคณะ (2556)ผู๎จัดการแผนงานสุขภาวะองค๑กรรวมภาคเอกชน สานักงานกองทุนสนับสนุนการสร๎างเสริมสุขภาพ (สสส.) กลําววํา แนวคิดองค๑กรสุขภาวะ ( Happy Workplace) มีแนวคิดหลัก 3 ประการ คือ 1) ทาให๎คนทางานมีความสุข 2) ที่ทางานนําอยูํ และ 3) ชุมชน สมานฉันท๑ เน่ืองจากถ๎าท่ใี ดมคี วามสมานฉันท๑ คนทางานก็จะมีความสุข ที่ทางานก็จะนําอยํู และเม่ือท่ีทางาน นาํ อยูํ คนทางานก็จะมคี วามสขุ เชํนกนั ซึ่งท่ีทางานนาํ อยนํู น้ั ไมไํ ด๎หมายถึงทท่ี างานหรหู รา แตํหมายถึงทท่ี ่ีอยแูํ ล๎วสบายใจ ทั้งนี้ สสส. ไดพ๎ ยายามสนับสนนุ ใหส๎ ถานประกอบการนาแนวคิดการสร๎างองค๑กรสุขภาวะไปประยุกต๑ใช๎โดยการประเมิน ความเปน็ องค๑กรสขุ ภาวะ 8 ดา๎ น(อทุ ัยทพิ ย๑ เจี่ยววิ รรธนก๑ ลุ และคณะ, 2555) ได๎แกํ สุขภาพดี (Happy Body) นา้ ใจงาม(Happy Heart) ผอํ นคลาย (Happy Relax) หาความรู๎ (Happy Brain) คณุ ธรรม (Happy Soul) ใช๎ เงนิ เปน็ (Happy Money) ครอบครัวดี (Happy Family) สังคมดี (Happy Society) มรี ายงานวิจัยหลายฉบับ ได๎สรุปไว๎วํา ผู๎ทมี่ ีความสุขมักจะประสบความสาเร็จมากกวําบุคคลอื่นๆ ซึ่งจากผลการวิจัยนี้ทาให๎สานักงาน กองทุนสนับสนนุ การสร๎างเสริมสุข ภาพ (สสส.) (2554) จึงได๎ให๎หลักนิยามการมีสุขภาวะที่ดีโดยใช๎หลักการ องค๑กรสุขภาวะ (Happy Workplace) ในการสร๎างองค๑กรแหํงความสุข เพ่ือใช๎สํงเสริมคุณภาพชีวิตความ เป็นอยํูและคณุ ภาพชวี ติ ในการทางานของพนกั งานใหอ๎ งค๑กร ตลอดจนการสงํ เสริมพนักงานให๎มีความสขุ ในการ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 476

ทางาน ซึ่งประโยชน๑ของการสร๎างความสุขในที่ทางานจะทาให๎พนักงานมีความสุขในการดารงชีวิตอยําง เหมาะสม มคี วามมัน่ คงในอาชีพ เกิดความรู๎สึกวําตนเองเป็นทรัพยากรที่มีคุณคํา มีความสาคัญตํอองค๑กร มี ความสมั พันธท๑ ่ีดใี นหมํเู พ่อื นรวํ มงาน มีแรงจงู ใจในการทางานมากยงิ่ ข้นึ และรจู๎ ักบาเพญ็ ประโยชน๑ทงั้ ตํอตนเอง ครอบครัว องคก๑ รและชมุ ชน ทีก่ ลําวมาเป็นส่งิ ท่ีปรากฏใน “โครงการเสริมสร๎างความสุขมหาวิทยาลัยมหิดล” (มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล, 2560) ปัจจยั และองคป์ ระกอบของความสขุ ในสถานศึกษา ป๓ญหาเรอื่ งความสุขในระบบการศกึ ษา จากผลสารวจของ OECD ผู๎จดั การทดสอบ PISA ในปี 2012 พบวํา เซี่ยงไฮ๎ เป็นระบบการศึกษาอันดับ 1 ของโลก ทั้งผลการสอบและในแงํความเทําเทียมทาง คุณภาพของโรงเรียนที่มากท่ีสุด จึงถูกจัดอันดับวําเป็นระบบการศึกษาที่มีประสิทธิภาพในการลดชํองวําง ระหวาํ งคุณภาพของโรงเรียนได๎อยาํ งประสบผลสาเร็จ (สานักงานสงํ เสริมสังคมแหํงการเรียนรู๎และคุณภาพ เยาวชน (สสค.), 2557) นาย นมี นิ จงิ เลขาธกิ ารสานกั งานการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน นครเซ่ียงไฮ๎ สะท๎อนวาํ แม๎การ พฒั นาทเ่ี นน๎ การเรียนมากเกนิ ไปในชวํ งท่ผี าํ นมาจะทาให๎ผลการเรยี นของนกั เรียนในเซี่ยงไฮด๎ มี าก แตพํ บปญ๓ หา ใหมํเกิดขึ้น นั่นคือ นักเรียนใช๎เวลาไปกับการเรียนมากเกินไป สํงผลให๎ขาดโอกาสลงมือปฏิบัติและวิจัยด๎วย ตนเอง จึงเกิดป๓ญหาความคิดสร๎างสรรค๑ตามมา ท๎ายที่สุดการเรียนที่หนักเกินไป ทาให๎นักเรียนไมํสนใจการ เรยี น และยงั สํงผลให๎เกิดความเหล่ือมลา้ ระหวํางโรงเรยี นในเมอื งและโรงเรียนในชนบทตํอไปอีกด๎วย เซ่ียงไฮ๎จึง ได๎กาหนดกลยุทธเ๑ พอื่ ปรบั ปรงุ การศกึ ษาข้นึ พ้ืนฐาน ดว๎ ย โครงการหลกั ๆ ซ่งึ ประกอบดว๎ ย “โครงการโรงเรียนท่ี มีคุณภาพดี” “โครงการจับคูํโรงเรียนที่เข๎มแข็งกับโรงเรียนท่ีอํอนแอ เพ่ือสนับสนุนการบริหารจัดการ การศึกษา” และ “โครงการประเมินดัชนีสเี ขียว” โครงการประเมินดัชนสี เี ขียว หรอื “Green Indicators of Academic Quality of Primary and Secondary School Students” (Xiaoyan Liang, HumaKidwai and Minxuan Zhang, 2016: 53-54) ไดก๎ าหนดดชั นีชี้วัด 10 ตัว เพื่อบํงชี้ถึงการเรียนรู๎ของนักเรียนระดับประถมและมัธยมศึกษาตอนต๎น และมีการเปรยี บเทียบผลทกุ ปี ได๎แกํ 1)ดัชนีวัดการศึกษาของนักเรียน 2) ดัชนีวัดแรงจูงใจด๎านการเรียนของ นักเรียน 3) ดัชนีด๎านวิชาการของนักเรียน 4) ดัชนีความกดดันของนักเรียน 5) ดัชนีประเมินความสัมพันธ๑ ระหวาํ งครูกับนักเรียน 6) ดัชนีวัดรูปแบบและวิธีการสอน 7) ดัชนีวัดหลักสูตรการเป็นผู๎นาของผ๎ูบริหาร 8) ดัชนีวัดสภาพเศรษฐกิจและสังคมของนักเรียนท่ีมีผลกระทบตํอผลการศึกษา 9) ดัชนีวัดพฤติกรรมและ ศลี ธรรมของนกั เรยี น และ10) ดชั นวี ดั สขุ ภาพกายและใจ การเกิดขึ้นของโครงการนม้ี าจากการให๎ความสาคญั กับ “ความสขุ ” ของนักเรียนในการเรียน จึงมีการจัดทาดัชนีชี้วัดป๓จจัยท่ีมีอิทธิพลตํอการเรียนของนักเรียนทั้งหมดและมีการประเมินผลทุกปี เพ่ือ ผลกั ดันใหค๎ รปู รบั ปรงุ การสอน ทาให๎การสอนมีประสทิ ธิภาพมากขึน้ จากการสารวจความคิดเห็นประชาชนเร่ืองการศึกษาไทยกับความสุขประชา ชน โดย สานักวิจัยซูเปอร๑โพล (Super Poll) มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผ๎ูนา ระหวํางวันท่ี 1-16 ธ.ค.60 พบประเด็นที่นําเป็นหํวง คือ ผลการประเมินการบริหารจัดการศึกษาของไทยในกลุํมเด็กนักเรียน การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 477

ออกมาต่ากวําผลการประเมนิ ในกลุํมพํอ แมํ ผู๎ปกครองทุกตวั ช้ีวัด โดยกลมุํ ผป๎ู กครองให๎คะแนนผ๎บู ริหารจัดการ ระบบการศึกษาในระดับพอใช๎ คอื 5.86 ขณะทีก่ ารประเมนิ เรื่องผ๎บู ริหารจัดการระบบการศึกษา นักเรียน ให๎ คะแนน 4.96 จากคะแนนเตม็ 10 ซึ่งถือวํา ไมํผาํ น นอกจากนี้ สํวนใหญํ หรือร๎อยละ 90.0 ระบุวํา รัฐบาลควร สนับสนนุ การศึกษาข้ันพน้ื ฐานอยํางเป็นรูปธรรม ร๎อยละ 89.8 ระบวุ ําการเรยี นการสอนควรเปิดโอกาสให๎เด็ก นักเรียนได๎แสดงความเห็นมากกวํารับฟ๓งเพียงอยํางเดียว ร๎อยละ 89.1 ระบุวําครอบครัว ควรมีสํวนรํวม สนบั สนุนการเรียนรน๎ู อกโรงเรยี นมากขึ้น ร๎อยละ 89.0 ระบวุ าํ การเรียนการสอนควรเน๎นการนาไปใช๎จริงใน ชวี ิต และร๎อยละ 87.1 ระบวุ ํา ควรจดั สรรงบประมาณในสถานศกึ ษาอยํางเปน็ ธรรม ท่ีสาคญั คอื ความสขุ ของ ผป๎ู กครองและนักเรียนตอํ การศึกษาไทย พบวํา มีคําเฉล่ียอยํูท่ี 5.24 จากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งถือวําผํานเกณฑ๑ แบบเฉียดฉิว (สานกั วจิ ัย ซูเปอร๑โพล, 2560) UNESCO ริเร่ิมโรงเรียนแหํงความสุข (Happy school) เม่ือเดือนมิถุนายน ปี ด๎วย 2557 ความมุํงม่นั ท่ีจะสงํ เสรมิ ความสุขในโรงเรยี น โดยมนํุ เนน๎ ใหผ๎ เู๎ รียนมคี วามผาสุก และพฒั นาแบบองค๑รวม ซึ่งผล มีชอื่ วํา 2559 ทีไ่ ด๎รบั ตพี มิ พใ๑ นปี“Happy Schools: A Framework for learner Well-being in the Asia- Pacific” ในรายงานระบุคณุ ลกั ษณะ กรอบ ของ หลกั เกณฑส๑ าหรับการเปน็ โรงเรียนแหงํ ความสขุ 22(Happy school) ภายใต๎ 3 องค๑ประกอบหลกั อันได๎แกํ 1) คน (People) 2) กระบวนการ (Process) และ 3) สถานที่ (Place) กรอบแนวคดิ และเกณฑ๑ของโครงการโรงเรียนแหํงความสุขดาเนินงานสารวจในระดับผ๎ูมีสํวน เกยี่ วข๎องกับโรงเรียน ซึง่ รวมถึงนักเรยี น ครู ผ๎ูปกครอง และผ๎ูอานวยการโรงเรียน เพ่ือท่ีจะนิยามส่ิงท่ีจะเป็น องคป๑ ระกอบของโรงเรยี นแหงํ ความสุข การสารวจนีป้ ระกอบด๎วยทศั นะเหลาํ นี้จากคาถาม 4 คาถาม ได๎แกํ 1) ส่งิ ใดทีท่ าให๎โรงเรยี นเปน็ โรงเรียนแหํงความสุข 2) สิ่งใดท่ีทาให๎โรงเรียนเป็นโรงเรียนที่ไมํมีความสุข3)ส่ิงใดที่ สามารถทาให๎การเรียนและการสอนสนุกสนานเพลิดเพลิน และ 4) สิ่งใดท่ีสามารถทาได๎ที่ทาให๎ผ๎ูเรียนร๎ูสึก พิเศษและอบอุํน (UNECO, 2017) การพฒั นาตวั ช้วี ัดความสุขและความสุขในสถานศึกษา การพฒั นาโดยเน๎นความสุขมวลรวมของคนในชาติแทนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ถือเป็นการ เปลี่ยนแปลงทางกระบวนทศั นใ๑ นการพัฒนาประเทศ เน่อื งมาจากการบูรณาการทางแนวคดิ เกยี่ วกบั การพฒั นา ท่พี งึ ประสงค๑ โดยมีเปูาหมายในการพัฒนาคนและสงั คมให๎มีความสขุ ทแ่ี ทจ๎ รงิ สาระสาคัญของ “ความสุขมวล รวมประชาชาติ” (GNH) ท่ีใช๎ในภูฏาน หรือท่ีในประเทศไทยใช๎คาวํา “ความสุขมวลรวมภายในประเทศ” (GDH) ที่มีตํอแนวคิด ผลผลิตมวลรวมของประชาชาติ (GDP) อยํางท่ีเคยใช๎กันนั้น เป็นการเปลี่ยนกระบวน ทัศน๑การพัฒนา ทั้งในกรอบงานการพฒั นาและเปาู หมายการพัฒนา โดยมํงุ ให๎ประชาชนเป็นศูนย๑กลางของการ พฒั นา และทาให๎ประชาชนมีความสุข ซงึ่ ไมไํ ด๎วัดการพัฒนาจากความมง่ั คั่งทางเศรษฐกิจ ที่แสดงด๎วยผลผลิต มวลรวมประชาชาติ (GDP แตเํ ป็นการพิจารณาการพัฒนาอยาํ งเปน็ องค๑รวม ดว๎ ยวสิ ยั ทศั นท๑ ีก่ ารพฒั นาที่มดี ุลย การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 478

ภาพ เพราะได๎คานึงถงึ ต๎นทนุ หลายๆ ดา๎ น ทง้ั ทรพั ยากรธรรมชาติ สังคม วัฒนธรรม และทุนมนุษย๑ ส่ิงเหลําน้ี สะท๎อนถงึ การพฒั นาทยี่ ง่ั ยนื คุณภาพของการพฒั นาท่สี งํ ผลตํอรุํนตํอๆ ไปในระยะยาว ซึ่งก็รวมถึงสวัสดิภาพ และความอยูดํ กี นิ ดขี องประชาชน ตลอดจนเง่ือนไขท่ีจะทาใหป๎ ๓จเจกบคุ คลและสังคมมีความสุข เมือ่ วนั ท่ี20 มนี าคม 2560 ได๎มีการแถลงอันดับความสุขของประเทศตํางๆ ท่ัวโลกประจาปี 2017 รวม 155 ประเทศ ผลปรากฏวําแชมป์โลกแหํงความสุขหรือประเทศท่ีมีความสุขมากที่สุดในโลกปีนี้ (2017) ได๎แกํ นอร๑เวย๑ ตามมาด๎วยอันดับ 2 เดนมาร๑ก ซ่ึงเป็นแชมป์ความสุขเม่ือปี 2016 อันดับ 3 ได๎แกํ ไอซ๑แลนด๑ อนั ดับ 4 สวสิ เซอรแ๑ ลนด๑ และอันดับ 5 ฟินแลนด๑ ในขณะท่ีอันดับ 6 เป็นเนเธอร๑แลนด๑ อันดับ 7 แคนาดา อันดับ 8 นิวซีแลนด๑ อันดับ 9 สวีเดน และอันดับ 10 ได๎แกํ ออสเตรเลีย สาหรับอันดับ 155 หรือ ความสขุ นอ๎ ยที่สุดของโลกเป็นของ เซ็นทรัลแอฟริกันรีพับลิก ตามมาด๎วย บุรุนดี 153 แทนซาเนีย 152 ซีเรีย และ 151 รวนั ดา ประเทศไทยของเราอยูํในอันดบั ทค่ี อํ นขา๎ งมคี วามสขุ คืออยูํในอันดับที่ 32 ของโลก ในกลุํม อาเซยี น เราเป็นอันดบั 2 รองจากสงิ คโปร๑ ซ่งึ ติดอันดบั 26 ของโลก มาเลเซยี อนั ดบั 42 ฟิลิปปินส๑ อันดบั 72 อินโดนีเซีย 81 เวียดนาม 94 พมํา 114 กัมพูชา 129 ในระดับทวีปเอเชีย ไทยเป็นอันดับท่ี 3 เพราะท่ี 1 ของเอเชีย ได๎แกํ สหรัฐอาหรับเอมิเรตตส๑ ที่ 2 ได๎แกํ สิงคโปร๑ ไต๎หวัน ท่ี 4 เอเชีย และ การ๑ตา ท่ี 5 ตามลาดับ (World Happiness Report 2017 :18-22) สถาบนั วิจยั ประชากรและสงั คม มหาวทิ ยาลัยมหิดล ได๎ศึกษาและพัฒนาตัวช้ีวัดความสุขมา ตัง้ แตํปี 2551 โดยเริม่ ตน๎ จากการสร๎างตวั ช้วี ดั ความสขุ ของคนทางานในภาคอุตสาหกรรม ตํอมาในปี 2553 ได๎ สรา๎ งตัวช้ีวัดสาหรับวัดความสุขของข๎าราชการพลเรือน และได๎พัฒนาตัวช้ีวัดความสุขดังกลําวให๎เป็น “แบบ สารวจความสุขด๎วยตนเอง: SELF-ASSESSMENT” พร๎อมโปรแกรมเอ็กซ๑เซลที่เปน็ โปรแกรมสาเร็จรปู เพื่อใช๎ใน การวิเคราะหร๑ ะดบั ความสุข และไดเ๎ ครอ่ื งมือ HAPPINOMETER เพอ่ื ใชใ๎ นการวดั คณุ ภาพชีวติ และความสขุ ดว๎ ย ตนเองของคนทางานในองค๑กรท้ังภาครัฐและภาคเอกชนมีการนาเครื่องมือวัดคว ามสุขที่พัฒนาข้ึนมานี้ไปใช๎ อยํางแพรํหลาย โดย ตระหนักถึงประโยชน๑ขององค๑กร หรือหนํวยงานท่ีดาเนินตามแนวคิดของ “ความสุข 8 ประการ” และ “องค๑กรแหํงความสุข: Happy Workplace” ซึ่ง สานักสนับสนุนสุขภาวะองค๑กรสานักงาน กองทนุ สนบั สนุนการสรา๎ งเสริมสุขภาพ (สสส.) และเพอ่ื ให๎HAPPINOMETER เป็นเคร่ืองมือในการวัด ติดตาม และประเมินผลความสุขคนทางานตามแนวคิดของ “องค๑กรแหํงความสุข: Happy Workplace” ได๎อยําง ตํอเนือ่ ง เป็นระบบ นําเช่ือถือ รวมท้ังหนํวยงานหรือองค๑กรสามารถนาผลการวัด ติดตาม และประเมินด๎วย เครื่องมือ HAPPINOMETER ไปใช๎ได๎อยํางเต็มประสิทธิภาพและประสิทธิผล HAPPINOMETER จึงจัดมิติ ทง้ั หมดใหส๎ อดคลอ๎ งกับ “ความสุข 8 ประการ” ซ่งึ ประกอบด๎วย ความสุข 8 มิติ ได๎แกํ Happy Body,Happy Relax, Happy Heart, Happy Soul, Happy Family, HappySociety, Happy Brain, Happy Money และ HAPPINOMETERไดเ๎ พ่มิ อกี 1 มติ ิ เปน็ ความสุข 9 มิติ โดยมิติที่ 9 คือ Happy Work-life เป็นมิติที่เน๎น การวดั ผลความรู๎สกึ และประสบการณ๑ของคนทางานกับองค๑กร (คํูมือการวัดความสุขด๎วยตนเอง ,สถาบันวิจัย ประชากรและสังคม,มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล, 2555:25-30) วิธกี ารศกึ ษาปัจจัยและองค์ประกอบของความสุข การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 479

การศกึ ษาองคป๑ ระกอบของความสุขในสถานศึกษานั้น การวิเคราะห๑องค๑ประกอบ (Factor Analysis) หรือ การวเิ คราะห๑ป๓จจยั ผ๎ทู คี่ ๎นพบคอื Spearman (1904) ซึง่ เปน็ วธิ ที างสถิติท่ีพยายามจะจัดกลํุม ความสัมพันธ๑ โดยรวมกลุมํ หรือรวมตัวแปรทมี่ ีความสัมพันธก๑ ันไวใ๎ นกลํมุ หรอื องคป๑ ระกอบเดียวกนั สํวนตัวแปร ทไี่ มมํ คี วามสัมพนั ธก๑ นั จะอยกูํ นั ละองค๑ประกอบ สาหรบั รูปแบบการวเิ คราะห๑องค๑ประกอบ มี 2 แบบ คือ 1 ) เพื่อสารวจหรือคน๎ หาตวั แปรแฝง ท่ีซํอนอยูภํ ายใตต๎ ัวแปรทว่ี ดั ได๎ เรยี กวาํ การวเิ คราะหอ๑ งคป๑ ระกอบเชิงสารวจ (Exploratory Factor Analysis: EFA)และ 2) เพื่อยืนยันหรือตรวจสอบข๎อมูล ความรู๎ที่ค๎นพบ เรียกวํา การ วิเคราะห๑องค๑ประกอบเชงิ ยนื ยัน (Confirmatory Factor Analysis: CFA) ในครั้งนี้จะยกตัวอยาํ งวิธีการศึกษา ป๓จจัยและองค๑ประกอบของความสุขในสถานศึกษาเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (mixed method) โดยใช๎ โรงเรยี นในสังกดั สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐานเป็นแหลํงขอ๎ มูล ดาเนนิ การศึกษา รวบรวมและ วิเคราะห๑ขอ๎ มลู โดยมีข้นั ตอนการดาเนนิ การมี 3 ข้ันตอนดงั น้ี 1.ระบอุ งคป๑ ระกอบความสุขและตัวชว้ี ดั ของปจ๓ จยั ทีส่ ํงผลตอํ ความสขุ ในสถานศึกษา 2.ตรวจสอบความตรงขององค๑ประกอบของความสขุ และตวั ชีว้ ัดของปจ๓ จัยทส่ี ํงผลตอํ ความสขุ ในสถานศึกษา 3.นาเสนอแนวทางการสรา๎ งสขุ ในสถานศกึ ษา การดาเนนิ การ 1.ระบุองค๑ประกอบความสุขและตัวช้ีวัดของป๓จจัยท่ีสํงผลตํอความสุขในสถานศึกษามี 2 ขน้ั ตอน 1) ขัน้ การทบทวนวรรณกรรมเพื่อกาหนดองค๑ประกอบและตัวช้ีวัดของแตํละป๓จจัยที่สํงผล ตํอความสขุ ดาเนนิ การโดยการสังเคราะห๑เอกสาร แนวคิดทฤษฎี และงานวจิ ยั ท่ีเกีย่ วข๎อง และปจ๓ จยั ตาํ งๆ เพอ่ื ยกราํ งเป็นองค๑ประกอบความสขุ และตัวช้ีวดั ของปจ๓ จยั แตํละด๎าน 2) ขั้นตรวจสอบองค๑ประกอบความสุขและตัวช้ีวัดของป๓จจัยที่สํงผลตํอความสุขใน สถานศกึ ษา รูปแบบการวจิ ัย ใชว๎ ธิ ีการเชงิ คณุ ภาพด๎วยการสัมภาษณ๑เชิงลึก (In-depth Interview)จากผ๎ูแทน ศาสนาและผู๎ทรงคุณวุฒิ 2.1)เครื่องมอื ทใ่ี ช๎ในการศกึ ษาใชก๎ ารสมั ภาษณ๑เชงิ ลึก(In-depth Interview) โดยวาง กรอบประเดน็ สาคญั ในแตลํ ะหัวข๎อ ตามแนวทางทีใ่ ชใ๎ นการศกึ ษาองค๑ประกอบความสุข และตัวช้ีวัดของแตํละ ป๓จจยั ท่สี ํงผลตอํ ความสขุ ในสถานศึกษาผใู๎ หข๎ ๎อมลู ประกอบดว๎ ย ผ๎แู ทนศาสนาและผท๎ู รงคณุ วุฒิ 2.2)การเก็บรวบรวมขอ๎ มูล โดยการศกึ ษาวิเคราะห๑เอกสาร บันทกึ การสัมภาษณ๑ 2.3)การวิเคราะหข๑ อ๎ มลู โดยการวเิ คราะห๑เนื้อหา เพื่อการสังเคราะหอ๑ งค๑ประกอบ 2.ตรวจสอบความตรงขององคป๑ ระกอบของความสุขและตวั ชี้วัดของปจ๓ จยั ที่สงํ ผลตอํ ความสขุ ในสถานศึกษา 1)ขัน้ วิเคราะห๑องค๑ประกอบเชงิ ยนื ยนั ขององค๑ประกอบความสุขและตวั ช้ีวดั ของป๓จจัยท่ีสํงผล ตอํ ความสุขในสถานศกึ ษาโดยใช๎รูปแบบการวจิ ัยเชิงสารวจ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 480

1.1) ประชากรและกลุํมตัวอยําง ขอยกตัวอยํางการศึกษาจากแหลํงข๎อมูลใน โรงเรียนประถมศึกษาท่ีจัดการศึกษาตั้งแตํระดับช้ันประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนต๎น และโรงเรียน มัธยมศึกษาทจ่ี ัดการศกึ ษาตั้งแตรํ ะดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 ในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน พื้นฐาน ท่ีมีจานวนนักเรียนระหวําง 601 ถึง 1,500 คน ผู๎ให๎ข๎อมูล คือ 1) ผ๎ูบริหารสถานศึกษา หรือผ๎ูท่ีทา หนา๎ ทร่ี ักษาการ 2) ครทู ี่มีอายุราชการ 5 ปขี น้ึ ไป หรือ ครูวิทยฐานะชานาญการขึ้นไป 3) นักเรียนระดับชั้น มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 และ 6 ท่ไี ดม๎ าโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) 4) ผ๎ูแทนคณะกรรมการ สถานศกึ ษาซง่ึ เลอื กแบบจาเพาะเจาะจง ไดแ๎ กํ ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาและตวั แทนผ๎ูปกครอง และ 5) บคุ ลากรทางการศึกษา ทีม่ ตี าแหนงํ เปน็ เจ๎าหน๎าทธี่ รุ การของสถานศึกษา 1.2)เคร่อื งมือทใ่ี ช๎ในการศึกษา ได๎แกํ แบบสอบถามแบบมาตราสํวนประมาณคํา 5 ระดบั จานวน 2 ฉบับ ดงั น้ี ฉบบั ที่ 1 ความสุขของผู๎มสี วํ นเกย่ี วขอ๎ งในสถานศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน ฉบบั ท่ี 2 ปจ๓ จยั ท่สี งํ ผลตอํ ความสุขในสถานศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน วิธีการสรา๎ ง 1) ศกึ ษาหลักการ แนวคิด และทฤษฎเี ก่ยี วกับความสุขและปจ๓ จัยที่สงํ ผลตํอความสุข ในสถานศึกษา 2) สรา๎ งตารางวิเคราะห๑เนื้อหาและป๓จจัย (specification table) โดยนานิยามเชิง ปฏิบัติการท่ีกาหนดขึ้นมากาหนดรายละเอียดเก่ียวกับประเด็นป๓จจัยท่ีต๎องการวัด จานวนข๎อคาถาม เขียน คาถามท่จี ะพฒั นาเปน็ แบบสอบถาม และตรวจสอบความสอดคล๎องระหวํางขอ๎ คาถามกับปจ๓ จยั ทต่ี อ๎ งการวดั 3) กาหนดนิยามปฏิบัติการของเครื่องมือที่ใช๎ในการศึกษาทุกชุดโดยอาศัยฐาน ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั 4) ดาเนนิ การสรา๎ งเครื่องมือที่ใช๎ในกาศึกษาโดยคานึงถึงการสร๎างแบบสอบถามให๎ เป็นไปตามหลักวิชาการท่ีถูกต๎องและการได๎แบบสอบถามท่ีดีมีคุณภาพ มีความตรงทั้งในเชิงโครงสร๎าง (construct validity) และในเชิงเนอื้ หา (content validity) และมคี วามเช่ือมัน่ (reliability) 1.3) ตรวจสอบคุณภาพของเครอื่ งมือ 1.4) เกบ็ รวบรวมข๎อมลู นาแบบสอบถามท่ีได๎รับ มาลงข๎อมูล หาคําเฉลี่ยที่สะท๎อน ความสุขในสถานศึกษา และใช๎โปรแกรมคอมพิวเตอร๑สาเร็จรูปเพ่ือวิเคราะห๑หาคําทางสถิติ และทดสอบ สมมติฐานทต่ี ั้งไว๎ 1.5)วิเคราะหข๑ ๎อมลู โดยการวิเคราะห๑องคป๑ ระกอบของความสขุ และป๓จจัยทีส่ ํงผลตอํ ความสุขในสถานศึกษาโดยใช๎การวิเคราะห๑องค๑ประกอบเชิงยืนยัน(Confirmatory Factor Analysis) เพื่อ ตรวจสอบวาํ องคป๑ ระกอบทีพ่ ัฒนาขึ้นสอดคล๎องกบั ขอ๎ มลู เชิงประจักษห๑ รอื ไมํ 3.ข้ันนาเสนอแนวทางการสร๎างสุขในสถานศกึ ษามี 2 ข้นั ตอน 1) จัดทารํางแนวทางการสร๎างสขุ ในสถานศึกษามรี ายละเอียด ดงั นี้ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 481

1.1)ศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข๎องกับการจัดทาแนวทางความสุขใน สถานศึกษา 1.2)ตรวจสอบความเป็นไปได๎ของแนวทางการสร๎างสุขในสถานศึกษา รูปแบบการ วจิ ยั ใช๎วิธกี ารเชิงคุณภาพด๎วยการสัมมนาอ๎างอิงผ๎ูเช่ียวชาญ (Connoisseurship) ผ๎ูเช่ียวชาญ ได๎แกํ ผใ๎ู หข๎ ๎อมูล ประกอบด๎วย ผู๎เช่ียวชาญกลํุมนักเรียน ผู๎เช่ียวชาญกลุํมครูประจาการ ผู๎เชี่ยวชาญกลํุมผู๎บริหาร สถานศึกษา ผ๎ูเชี่ยวชาญกลํุมบุคลากรสายสนับสนุนสนับสนุนการศึกษา ผ๎ูเช่ียวชาญกลํุมคณะกรรม สถานศกึ ษา กลํมุ ผเู๎ ชยี่ วชาญด๎านความสุข และกลุมํ ผบู๎ ริหารทรัพยากรมนษุ ย๑ ตามลาดับ 2) นาเสนอแนวทางในการสร๎างสุขในของสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สังกัดสานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน ประกอบดว๎ ย วตั ถปุ ระสงค๑ เปูาหมาย แนวทางดาเนินงาน สรปุ ผล สรุปวําองค๑ประกอบของความสุขในสถานศึกษา เป็นความสุขที่วัดได๎จากทัศนะของผ๎ูที่ เกย่ี วขอ๎ งในสถานศกึ ษาซึง่ ประกอบด๎วย นักเรียน ครู ผู๎บริหารสถานศึกษา บุคลากรสายสนับสนุนการศึกษา เชํน เจา๎ หน๎าทีธ่ ุรการ และคณะกรรมการสถานศกึ ษา ซง่ึ สอดคล๎องกับกรอบแนวคิดการศึกษาพัฒนาค วามสุข แบบองค๑รวมของ UNESCO ที่สารวจทัศนะของนักเรียน ครู ผ๎ูปกครอง และผ๎ูบริหารสถานศึกษา โดยที่ การศึกษาของเซ่ียงไฮ๎นั้นให๎ความสาคัญท่ีนักเรียน โดยเช่ือมโยงกับครูและผ๎ูบริหารสถานศึกษาสาหรับ สถานศึกษาในประเทศไทยนน้ั กลํมุ ผ๎ูปกครองจะทาหนา๎ ท่ใี นคณะกรรมการสถานศกึ ษา ตามมาตรา 40 พ.ร.บ. การศึกษา 2542 สํวนอกี กลมุํ ท่ที างานใกล๎ชดิ ในสถานศึกษาแตไํ มคํ ํอยมีการสารวจความสุขก็คือ บุคลากรสาย สนบั สนุนการศกึ ษาซงึ่ สํวนใหญํจะเปน็ เจา๎ หน๎าที่ธรุ การ หากพจิ ารณาในองคป๑ ระกอบของความสุขของผ๎ูมีสํวน เกยี่ วข๎องทั้ง 5 กลมุํ น้ี โดยพจิ ารณาจากองค๑ประกอบที่สํงผลทัง้ ทางตรงและทางอ๎อม ได๎แกํ 1) สภาพแวดล๎อม และบรรยากาศ 2) สัมพันธภาพท่ีดีระหวํางผู๎มีสํวนเกี่ยวข๎องในสถานศึกษา และ 3)ความร๎ูสึกพึงพอใจใน สถานศึกษาโดยความสุขของผ๎มู สี ํวนเกี่ยวข๎องในสถานศึกษาในแตํละกลํุมนนั้ จะพจิ ารณาจากส่ิงตอํ ไปน้ี ความสุขของนักเรียน หมายถึง ความร๎ูสึกถึงความพึงพอใจกับบรรยากาศของโรงเรียนและ การได๎เรียนร๎ูอยํางมีความสุข ประกอบด๎วย ความรู๎สึกของนักเรียนท่ีแสดงออกถึงความพึงพอใจโดยรวมใน บรรยากาศของโรงเรียน ความตงั้ ใจ ความสนใจ และความกระตือรือร๎นขณะที่มีสวํ นรวํ มในการเรยี นการสอน มี กาลังใจแสวงหาความร๎ู เกิดความรู๎สึกท่ีดีตํอส่ิงที่เรียน ตํอเพื่อน ตํอครู และโรงเรียน เห็นประโยชน๑ของการ เรียนรู๎ และสามารถนาความร๎ไู ปใชป๎ ระโยชน๑ในชวี ิตประจาวนั ได๎ วัดไดจ๎ ากแบบวัดการเรียนร๎อู ยํางมคี วามสุข ความสุขของครู หมายถึง ความรู๎สึกในทางบวก ความพอใจ ความช่ืนชอบของครู ท่ีมีตํอ โรงเรยี นและการทางานการตอบสนองตอํ สถานการณ๑ในการทางานหรอื ประสบการณ๑การทางานในโรงเรียนอนั เป็นผลมาจากการทางาน สภาพแวดล๎อมที่เก่ียวข๎องกับการทางานประกอบด๎วย 1) ความพึงพอใจในงาน 2) ความพงึ พอใจในชีวิต และ 3) เจตคติตอํ วิชาชพี ครู การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 482

ความสุขของผู้บรหิ าร หมายถึง สภาพชวี ติ ทีเ่ ป็นสขุ ของผบ๎ู ริหารสถานศึกษาที่มีสมดุลในชีวิต กับการทางานและชีวติ ด๎านอ่ืนๆ อนั เปน็ ผลมาจากการมีความสามารถในการจัดการป๓ญหาในการดาเนินชีวิต ของผู๎บรหิ าร มีศกั ยภาพที่จะพฒั นาเพอ่ื คณุ ภาพของสถานศึกษาและของชวี ิตทดี่ ขี องตน ความสุขของบคุ ลากรสายสนับสนุน หมายถึง การรับร๎ูของบุคลากรที่มีตํอโรงเรียนและการ ทางานในโรงเรียนหรือความร๎ูสึกพึงพอใจในการทางาน รวมถึงอารมณ๑ที่แสดงออกจากการใช๎ชีวิตอยูํใน สภาพแวดล๎อมท่ีทางาน ความร๎ูสึกพอใจในงานท่ีตนรับผิดชอบ และส่ิงแวดล๎อมในการทางาน ร๎ูสึกตนเองมี คุณคํา สนกุ สนานกบั การทางาน พยายามท่จี ะทาให๎งานสาเรจ็ ตามเปูาหมาย ความสุขในทัศนะของผู้แทนในคณะกรรมการสถานศึกษา หมายถึง ความคาดหวังตํอการ บริหารจัดการของสถานศึกษา การรับรู๎ท่ีมีตํอสถานศึกษาหรือความร๎ูสึกพึงพอใจในการบริหารจัดการ สภาพแวดล๎อม บรรยากาศในสถานศึกษา ที่เอื้อตํอการตอบสนองความต๎องการของนักเรียนให๎เกิดการเรียนรู๎ อยาํ งมคี วามสขุ ประโยชน๑ของการเรียนร๎ู และสามารถนาความรูไ๎ ปใช๎ประโยชน๑ในชีวิตประจาวันได๎ ดงั ภาพประกอบ มติ คิ วามสุขในสถานศึกษาข้นั พืน้ ฐานทแี่ สดงถึงองคป๑ ระกอบของความสุขทม่ี ี รํวมกันของผท๎ู ม่ี สี วํ นเกีย่ วขอ๎ งในสถานศกึ ษา มติ ขิ องความสุขในสถานศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน นกั เรยี น ครู ผูบ้ ริหารสถานศึกษา บุคลากรสายสนับสนุน ผแู้ ทนในคณะกรรมการสถานศึกษา สถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานเป็นองค๑กรที่ต๎องการประสบความสาเร็จ สิ่งสาคัญที่เป็นตัวผลักดัน และไมํควรมองข๎าม ก็คอื องคป๑ ระกอบแหํงความสุข ซงึ่ จะชวํ ยใหเ๎ ข๎าใจการบริหารจัดการองค๑กรในทุกๆ ด๎าน ให๎สามารถดาเนินไปได๎ด๎วยดีและสํงเสริมป๓จจัยท่ีทาให๎เกิดความสุขในสถานศึกษาสาหรับทุกฝุายที่เกี่ยวข๎อง การทางานของคนในองคก๑ รถา๎ บุคลากรในองคก๑ รมคี วามสุขในการทางาน จะสํงผลดีตํอทั้งตนเอง ตํองานและ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 483

ตอํ องคก๑ ร กลําวคอื บุคลากรทมี่ คี วามสุข มีสขุ ภาพกายและใจที่ดี สงํ ผลให๎มคี วามพร๎อมและมีประสิทธิภาพใน การทางาน นาไปสกูํ ารพฒั นาขององค๑กรสูํการเป็นองคก๑ รแหํงความสขุ ได๎ ขอ้ เสนอแนะ ควรมกี ารศกึ ษาตอํ ในดา๎ นการวเิ คราะห๑องค๑ประกอบที่สํงเสริมความสุขให๎กับสถานศึกษาให๎ ครบทุกมิติและขยายการศึกษาวิจัยให๎ครอบคลุมไปถึงสถานศึกษาประเภทอ่ืนๆ เพ่ิมเติมในโอกาสตํอไป เชํน อาชีวศึกษาเป็นต๎น และควรมีการศึกษาเปรียบเทียบองค๑ประกอบแหํงความสุขในสถานศึกษาเอกชนกั บ สถานศึกษาของรัฐเพ่ือพัฒนาองค๑ความรู๎ทางด๎านการจัดการท่ีเป็นแนวทางท่ีเหมาะสมสาหรับการบริหาร จดั การสถานศกึ ษาสํูการเปน็ องค๑กรแหงํ ความสขุ ทช่ี ัดเจนและครอบคลุมบุคลากรทุกฝุายที่เกี่ยวข๎อง สํวนการ นาไปใช๎นนั้ ผ๎ูบรหิ ารสถานศกึ ษาแตลํ ะระดับแตลํ ะประเภทจะทราบถงึ องค๑ประกอบสาหรบั การสรา๎ งสขุ สาหรบั ทุกฝุายหรือสาหรับแตํละฝุายที่เก่ียวข๎องในสถานศึกษา ทั้งนักเรียน ครู บุคลากร ผ๎ูแทนจากคณะกรรมการ สถานศึกษา และสาหรับตัวผู๎บริหารเอง และมีแนวปฏิบัติ หรือรูปแบบการปฏิบัติในการบริหารจัดการ เพ่ือ ประโยชนใ๑ นการสร๎างสขุ สาหรบั ผ๎ูมีสํวนเก่ียวขอ๎ งทกุ ฝาุ ยในสถานศึกษา เอกสารอา้ งองิ ชาญวิทย๑วสนั ตธ๑ นารัตนแ๑ ละคณะ(2556).มาสร้างองค์กรแห่งความสุขกันเถอะ.ศูนย๑องค๑กรสุขภาวะ (Happy Workplace Center)สานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การสร๎างเสรมิ สขุ ภาพ (สสส.).กรุงเทพฯ บริการเชื้อเพลงิ การบินกรงุ เทพ,บมจ.(2553). BAFS filling up our society รายงานความ รบั ผดิ ชอบต่อสังคม.กรุงเทพมหานคร ประดิษฐ๑ เถกงิ รังสฤษด์ิ. (2559). จดุ ประกายให้คดิ ชีวติ คมชดั .เชียงใหมํ: โรงพิมพ๑จตพุ ร มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล (2560). โครงการเสริมสรา้ งความสขุ มหาวิทยาลยั มหดิ ล. (ออนไลน)๑ เขา๎ ถงึ ไดจ๎ าก http://www.op.mahidol.ac.th/orpr/AboutHR/Welfare/about/HappyWorkPlace/ind exHWP.htmlเข๎าถงึ เม่ือวันที่ 11 พฤศจกิ ายน 2560 รศรินทรเ๑ กรย๑ และคณะ, 2550. ความสันโดษและความอยู่ดีมีสุขของคนไทย:กรณีศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี และชยั นาทใน “หลากหลายมิติแห่งความอยู่ดีมีสุขของคนไทย” นครปฐม: สถาบันวิจัยประชากร และสังคม สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล(2554) .คู่มือการวัดความสุขด้วยตนเอง.สถาบันวิจัย ประชากรและสังคม,มหาวิทยาลยั มหิดล การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 484

สมาคมเครือขํายบรกิ ารวิศวการ กรมสงํ เสรมิ อตุ สาหกรรม(2560).แอบดู Googleบริษทั ท่ีพนกั งานมี ความสุขทสี่ ดุ ในโลก. (ออนไลน)๑ http://www.hehaworkplace.comเขา๎ ถงึ เม่อื วันที่ 20 กรกฎาคม 2560 สานกั งานสงํ เสริมสังคมแหํงการเรยี นร๎แู ละคุณภาพเยาวชน.(2557).การปฏิรูปการศกึ ษาเซีย่ งไฮ้: ยุทธศาสตร์ การพัฒนาโรงเรียน.(ออนไลน)๑ เขา๎ ถงึ ไดจ๎ ากhttp://www.qlf.or.th/Home/Contents/870เขา๎ ถงึ เม่ือวนั ท่ี 9 มกราคม2559 สานกั วจิ ัย ซเู ปอรโ๑ พลมลู นธิ ิ สถาบันวจิ ัย ความสุขชุมชนและความเป็นผ๎นู า(2560).ผลโพลเรอื่ งการศกึ ษาไทย กบั ความสุขประชาชน.(ออนไลน)๑ เขา๎ ถึงได๎จากwww.superpollthailand.netเข๎าถึงเม่อื วนั ท่ี 20 ธนั วาคม2560 อทุ ัยทพิ ยเ๑ จ่ียววิ รรธน๑กลุ และคณะ. (2555). เรอ่ื งสรรค์สานฝนั สู่องคก์ รสุขภาวะ:มองผา่ น Happy 8 Menu. กรุงเทพฯ: พ.ี เอ.ลีฟวิ่งจากดั โอภาส เสวกิ ลุ .(2544). เนื่องในพระราชดาริ.องคก๑ ารค๎าคุรุสภา: กรงุ เทพฯ Tal Ben-Shaharและพรเลิศ อฐิ ฐ๑.(2559).วิชาความสุขท่ีมีสอนแค่ในฮารว์ ารด์ .วเี ลิร๑น Helliwell, J., Layard, R., & Sachs, J. (2017).World Happiness Report 2017, New York: Sustainable Development Solutions Xiaoyan Liang, HumaKidwai and Minxuan Zhang. (2016). How Shanghai does it. The world bank group UNESCO.(2017).Promoting Learner Happiness and Well-being. UNESCO ASIA-PACIFIC EDUCATION THEMATIC BRIEF ROBERT J. WALDINGER.(2015).What makes a good life? Lessons from the longest study on happiness.https://www.ted.com/speakers/robert_waldingerTED’s Talk การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 485

กลยทุ ธข์ องผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนในสังกดั เมอื งพัทยา ACADEMIC ADMINISTRATION STRATEGIES OF SCHOOL ADMINISTRATORS ON PATTAYA CITY’S SCHOOLS ถริ พชิ ญ์ พิจติ รนรการ นกั ศกึ ษาหลกั สูตรศกึ ษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา วทิ ยาลยั บัณฑติ ศกึ ษาด้านการจดั การ มหาวิทยาลยั ศรปี ทมุ E-mail: [email protected] เกรียงไกร สจั จะหฤทัย อาจารยป์ ระจาหลกั สตู รปรัชญาดุษฎีบัณฑติ สาขาวิชาการบรหิ ารการศกึ ษา วทิ ยาลยั บณั ฑติ ศึกษาดา้ นการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทมุ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งน้ีมีวัตถุประสงค๑เพ่ือ 1) ศึกษากลยุทธ๑และสภาพป๓ญหาและความต๎องการเก่ียวกับการ บรหิ ารงานวิชาการของผ๎บู ริหารสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดเมืองพัทยา และ2)พัฒนากลยุทธ๑ของผ๎ูบริหาร สถานศกึ ษาในการบรหิ ารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดเมืองพัทยาใช๎ระเบียบวิธีก ารวิจัยเชิงพรรณนา กลํุม ตวั อยํางไดแ๎ กํ ผ๎อู านวยการสถานศกึ ษารองผู๎อานวยการสถานศึกษาฝุายวชิ าการ หวั หนา๎ กลุมํ สาระการเรียนรู๎ 8 กลุํมรวมจานวน 110 คนเครื่องมือที่ใช๎ในการวิจยั คอื แบบสอบถาม สถิติที่ใช๎ในการวิเคราะห๑ ข๎อมูล ได๎แกํ คาํ รอ๎ ยละ คําเฉล่ยี และคําเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบวํา 1) สภาพป๓ญหาการบริหารงานวิชาการ ในภาพรวมมีระดับความคิดเห็นอยํูใน ระดับปานกลาง คําเฉลี่ยสูงสุด ได๎แกํ ด๎านการวางแผนงานด๎านวิชาการ และความต๎องการเกี่ยวกับการ บรหิ ารงานวิชาการ ในภาพรวมมรี ะดับความคิดเห็นอยํใู นระดับมากทุกด๎าน คําเฉลี่ยสูงสุด ได๎แกํ ด๎านการ วางแผนงานด๎านวิชาการ สํวนการพัฒนากลยุทธ๑การบริหารงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยา พบวาํ ในภาพรวมมีการปฏิบัติในระดับมาก ได๎กลยุทธ๑การบริหารงานวิชาการ 10 กลยุทธ๑ ได๎แกํ 1) ผ๎ูบริหาร สถานศึกษาสํงเสริมให๎ครูได๎พัฒนาเปูาหมายและวัตถุประสงค๑ทางวิชาการของสถานศึกษา 2)ผู๎บริหาร สถานศึกษาสร๎างความเชื่อมั่นวํากิจกรรมของสถานศึกษาและของห๎องเรียนสอดคล๎องกับวัตถุประสงค๑ของ สถานศึกษา 3) ผ๎ูบริหารสถานศึกษามีการวางแผนรํวมกันกับคณะครูเก่ียวกับโครงการตํางๆ ทางวิชาการ เพ่ือใหบ๎ รรลุความต๎องการของนกั เรียน 4) ผบู๎ รหิ ารสถานศึกษาสํงเสริมให๎ครูนาโครงการทางวชิ าการไปปฏิบตั ิ 5) ผู๎บริหารสถานศึกษาปฏิบัติงานรํวมกับคณะครูในการประเมินผลโครงการทางวิชาการของโรงเรียน 6) ผ๎บู ริหารสถานศึกษาให๎การสนับสนุนในการจดั กิจกรรมทางสงั คมของนักเรียน 7) ผู๎บริหารสถานศึกษาให๎การ สนับสนนุ ในการจัดกิจกรรมเพอ่ื เสรมิ สร๎างเชาวนป๑ ญ๓ ญาของนกั เรยี น 8) ผูบ๎ ริหารสถานศึกษามกี ารจัดสรรเวลา เพ่ืองานวิชาการรํวมกับครูไว๎อยํางชัดเจน 9) ผ๎ูบริหารสถานศึกษารํวมมือกับคณะครูให๎มีการนาระเบียบ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 486

กฎเกณฑท๑ ่สี ร๎างขึ้นมาใช๎ในการแก๎ปญ๓ หาด๎านวนิ ยั ของนกั เรียน และ 10) ผบู๎ ริหารสถานศกึ ษามกี ารประเมินผล การปฏิบัตงิ านของครูอยาํ งยตุ ธิ รรม คาสาคัญ: กลยุทธก๑ ารบริหาร, งานวิชาการ, สถานศึกษาในโรงเรยี นสงั กดั เมอื งพัทยา ABSTRACT The purposes of this study were to investigate 1) Strategies, demands and problems in academic administration of the educational management team of Pattaya City’s schools. 2) Developing strategies of educational management in academic administration of Pattaya City’s schools. The population comprised of schools directors, deputy director in academic affair and head of learning groups, 110 respondents in total. The tools was the five-rating scale questionnaire. Statistic used to analyzed data were Percentage, Frequency and Standard Deviation. The research results were 1) State of administration of academic matter by overall perspective reflected the views in average level in which Planning has the highest ranking. Demand of academic administrative management in overall perspective reflected the views in high level in which Planning has the highest ranking. Developing the strategies of management academic administration in overall perspective reflected the performance in high level with 10 strategies of management academic administration 1. Management team encourages its teachers to develop academic goals and objective of the school. 2. Management team has the conviction on the school and classroom activities in which related to the objectives of school. 3. Academic collaborative planning between Management team and teachers in order to achieve the needs of students for various projects. 4. Management team encourages its teachers to implement the academic projects. 5. Academic projects evaluation by the management team together with its teachers. 6. Supportive from management team in social activities of students. 7. Supportive from management team in student intelligence. 8. Well planned for working timeline between management team and its teachers. 9. Rules and regulations of student discipline issue- implemented by management team and its teachers 10. Management team must give fire performance appraisal to its teachers. KEYWORDS: Management Strategic, Academic Administration, Pattaya City’s schools การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 487

บทนา ในการจัดทาแผนการศกึ ษาแหงํ ชาติ (พ.ศ. 2545–2559) ซึง่ เป็นแผนยทุ ธศาสตร๑ ระยะยาว 15 ปี โดยมีความสมั พันธส๑ อดคลอ๎ งกบั แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติ ฉบบั ท่ี 11 (พ.ศ.2555 – 2559) ที่ กลําววํา “การพัฒนาประเทศสคํู วามสมดุลและยัง่ ยืนจะตอ๎ งใหค๎ วามสาคญั กับการเสรมิ สรา๎ งทนุ ของประเทศ ที่มอี ยํูใหเ๎ ขม๎ แขง็ และมพี ลังเพียงพอในการขบั เคลอื่ นกระบวนการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาคน หรือทุนมนุษย๑ให๎เข๎มแข็ง พร๎อมรับการเปลี่ยนแปลงโลกในยุคศตวรรษท่ี 21 และการเสริมสร๎างป๓จจัย แวดลอ๎ มท่ีเอื้อตอํ การพัฒนาคณุ ภาพของคนท้ังในเชงิ สถาบนั ระบบ โครงสรา๎ งของสงั คมให๎เข๎มแข็ง สามารถ เปน็ ภูมิคมุ๎ กนั การเปลยี่ นแปลงตาํ งๆ ทจ่ี ะเกดิ ข้นึ ในอนาคต” (สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกจิ และ สังคมแหํงชาติ, 2555) การศึกษาจึงเป็นเครื่องมือที่สาคัญในการพัฒนาคนให๎มีคุณภาพใน การพัฒนา ประเทศในทกุ ดา๎ น ท้ังดา๎ นเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมืองและสิ่งแวดล๎อม เพราะการศึกษาเป็น กระบวนการสรา๎ งความเจรญิ งอกงามให๎แกบํ คุ คลและสังคม ทาให๎เป็นคนรจ๎ู ักคดิ วเิ คราะห๑ รูจ๎ ักแก๎ป๓ญหา มี ความคดิ ริเริ่มสร๎างสรรค๑ ร๎ูจักเรียนรู๎ด๎วยตนเองสามารถปรับตัวให๎ทันตํอการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนอยําง รวดเร็ว มีคณุ ธรรมจริยธรรม รูจ๎ กั พึ่งตนเอง และสามารถดารงชวี ติ อยํใู นสังคมได๎อยํางเป็นสุข (สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาแหํงชาติ, 2545) โดยมีนโยบายการกระจายอานาจไปยังสถานศึกษา ประกอบด๎วย งาน วิชาการงานงบประมาณ งานบุคคล และงานบริหารท่ัวไป โดยให๎ความสาคัญกับงานวิชาการเป็นอันดับ แรก เพราะงานวิชาการมีความสาคัญและถือวําเป็นหัวใจของการบริหารการศึกษา โดยจุดมุํงหมายของ สถานศกึ ษาก็คอื การจดั การศึกษาใหม๎ คี ณุ ภาพซงึ่ ขึ้นอยูํกับงานวิชาการทง้ั สิ้น เมืองพทั ยาเป็นเขตการปกครองอิสระมปี ระชากรจานวนมาก จึงจาเป็นต๎องมีการจัดการศึกษาในเขต พน้ื ท่ีของเมืองพทั ยาโดยการจดั การศกึ ษาของเมอื งพัทยาอยํภู ายใตก๎ ารกากับดูแลของกระทรวงมหาดไทย ซึ่ง ทาหน๎าที่ในการสํงเสรมิ และสนับสนนุ การศึกษาของเทศบาลและเมอื งพัทยา และใหส๎ อดคล๎องกับแผนพัฒนา การศึกษาแหํงชาติ และหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเป็นหลักด๎วย จากการท่ีผ๎ูวิจัยได๎สัมภาษณ๑กับ ผ๎ูบริหารและครูผู๎สอนในเมืองพัทยา พบวําในสถานศึกษาในโรงเรียนสังกัดเมืองพัทยาในภาพรวมนั้น มี ป๓ญหาหลายประการ ดังเชํน มีการวางแผนงานไมํชัดเจน ขาดการวางแผนระยะยาวครูผู๎สอนขาดความ เขา๎ ใจและนาเทคนิคการสอนใหมํๆ มาใช๎พัฒนาผู๎เรียน สํวนด๎านบุคลากร ด๎านงบประมาณ และการขาด แคลนสอื่ อปุ กรณ๑เทคโนโลยีครูขาดการพัฒนาดา๎ นการบรหิ ารหลกั สูตรสถานศึกษาและแผนการเรียนร๎ูท่ีอิง มาตรฐานด๎านส่ือเทคโนโลยีและไอซีที (ICT) เพ่ือการเรียนร๎ูด๎านการบริหารจัดการระบบดูแลชํวยเหลือ นกั เรยี น และด๎านการระดมทรพั ยากรเพ่ือพัฒนาการเรียนร๎ู ดังนั้น ผ๎ูบริหารสถานศึกษาควรมีกลยุทธ๑ใน ด๎านการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาให๎มีประสิทธิภาพ โดยใช๎กระบวนการที่มีความนําเช่ือถือ ใน ขณะเดยี วกนั โรงเรยี นเป็นสถาบันทางสงั คมท่ีทรงพลงั ในการสรา๎ งและพฒั นาทรพั ยากรมนุษยใ๑ นสังคมให๎เป็น บุคลากรท่ีมีคุณภาพ จึงมีภารกิจท่ีสาคัญย่ิงในการดาเนินงานดังกลําว และมีความเหมาะสมท่ีจะพัฒนา สถานศึกษาและมกี ารปรบั กระบวนทัศน๑ เพ่อื ให๎เป็นโรงเรยี นทส่ี ามารถก๎าวไปสํูศตวรรษใหมํ และสอดรับ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 488

กับการจดั ทาแมบํ ทพฒั นาการเรียน การสอน สอ่ื และเทคโนโลยที างการศกึ ษาในโรงเรยี นสังกัดเมืองพัทยา ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2558-2562) และแผนกลยทุ ธ๑ ระยะ 3 ปี (พ.ศ.2558-2560) ถือเปน็ คาภีรพ๑ ัฒนาการศึกษาเพ่ือ ขับเคลื่อนคณุ ภาพการศกึ ษาแบบรวํ มคดิ รวํ มทาอยํางเป็น จัดขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนการ สอนและการจดั การด๎วยระบบคุณภาพเพื่อให๎การจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดเมืองพัทยา ให๎มีคุณภาพ เทียบเคียงมาตรฐานสากล (World-Class Standard School) และเปน็ การวางกรอบแนวทางจัดการเรยี นร๎ู โดยมุงํ การพฒั นาครสู ํูการพัฒนาเด็ก ตลอดจนเสรมิ สร๎างการมีสํวนรวํ มและการประชาสมั พันธ๑แกํผ๎เู กย่ี วขอ๎ ง ทุกภาคสํวนในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนสังกัดเมืองพัทยาจากสภาพป๓ญหาและข๎อเท็จจริง ดังกลาํ วข๎างตน๎ ผวู๎ จิ ยั เห็นความสาคัญในการพฒั นาสถานศกึ ษาโรงเรยี นสังกัดเมืองพทั ยา และจากการศึกษา ยังไมมํ ีผู๎ใดศกึ ษาวจิ ัยเรอื่ งน้ีมากอํ น ผูว๎ จิ ัยจึงสนใจทีจ่ ะศึกษากลยุทธ๑ของผบ๎ู ริหารสถานศกึ ษาในการบรหิ ารงาน วิชาการของโรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยาเพื่อผ๎ูบริหารสถานศึกษา ผ๎ูชํวยฝุายวิชาการและผ๎ูท่ีเก่ียวข๎อง สามารถนาผลการวิจัยไปประยุกต๑ใชใ๎ นการพัฒนาการบริหารงานวิชาการในสถานศึกษาให๎มีปร ะสิทธิภาพ มากยิ่งข้ึน วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 1. เพื่อศึกษากลยุทธ๑และสภาพป๓ญหาและความต๎องการเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการของ ผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษาในโรงเรียนสงั กดั เมืองพัทยา 2. เพ่ือพัฒนากลยุทธ๑ของผู๎บริหารสถานศึกษาในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัด เมือง พัทยา วธิ ีดาเนินการวิจัย ประชากรและตัวอยา่ ง กลุมํ เปาู หมายท่ใี ช๎ในการวจิ ยั ครั้งน้ีเปน็ ผ๎อู านวยการสถานศึกษา รองผู๎อานวยการสถานศึกษาฝุาย วชิ าการ หัวหนา๎ กลุมํ สาระการเรยี นรู๎ทงั้ 8 กลํมุ ของโรงเรียนในสังกัดเมืองพัทยาทั้ง 11 แหํง รวมทั้งส้ิน 110 คน (แผนแมํบทพฒั นาการเรยี นการสอน สอื่ และเทคโนโลยีทางการศึกษาในโรงเรยี นสงั กดั เมืองพัทยา 5 ปี [2558-2562]) โดยสุมํ ตัวอยํางแบบงาํ ย (Simple Random Sampling) เคร่ืองมือ แบบสอบถามท่ีผู๎ศึกษาสร๎างขึ้นจากการศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เก่ียวข๎อง โดยแบํง แบบสอบถามออกเป็น 4 ตอน ดงั นี้ ตอนที่ 1 ป๓จจยั สวํ นบคุ คล ได๎แกํ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ๑ทางาน ขนาด โรงเรยี น การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 489

ตอนท่ี 2 สภาพป๓ญหา ความตอ๎ งการเกย่ี วกับการบรหิ ารงานวชิ าการ ตอนที่ 3 การพฒั นากลยทุ ธข๑ องผบ๎ู ริหารสถานศึกษาในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน สังกดั เมอื งพัทยา ตอนที่ 4 ขอ๎ เสนอแนะแบบปลายเปดิ ขนั้ ตอนการเก็บรวบรวมขอ้ มูล 1. ขอหนังสือจากวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาด๎านการจัดการ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เพื่อขอความ อนเุ คราะห๑ในการลงพื้นท่เี กบ็ ข๎อมลู 2. ลงพน้ื ท่ีเพื่อแจกและเกบ็ แบบสอบถามจากกลํมุ เปาู หมายคือผ๎ูอานวยการสถานศึกษา รอง ผ๎ูอานวยการสถานศึกษาฝุายวิชาการ หัวหน๎ากลํุมสาระการเรียนร๎ูท้ัง 8 กลํุม ของโรงเรียนในสังกัดเมือง พทั ยาท้ัง 11 แหํง รวมทั้งส้ิน 110 คน 3. นาข๎อมูลที่ได๎จากการตอบแบบสอบถาม มาวิเคราะห๑สถิติ โดยหาคําความถี่ ร๎อยละ คําเฉลี่ย (Mean) และ สํวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) เพื่อวิเคราะห๑และหาผลสรุปของ แบบสอบถามตอํ ไป การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผ๎ูวจิ ยั ดาเนนิ การวเิ คราะหข๑ อ๎ มูล โดยนาข๎อมูลจากแบบสอบถามเร่ืองกลยุทธ๑และสภาพป๓ญหาและ ความต๎องการเก่ียวกับการบริหารงานวิชาการ และการพัฒนากลยุทธ๑ของผ๎ูบริหารสถานศึกษาในการ บริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดเมืองพัทยา มาวิเคราะห๑ความถ่ี ร๎อยละ คําเฉล่ีย(Mean) และ สํวน เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สรุปผลการวิจยั และอภิปรายผล ผลการวิจัยกลยุทธ๑และสภาพป๓ญหาและความต๎องการเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการ และการ พัฒนากลยุทธ๑ของผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษาในการบริหารงานวชิ าการของโรงเรยี นสังกดั เมอื งพทั ยา ดังตอํ ไปนี้ ตารางท่ี 1 คาํ เฉล่ียและคาํ เบ่ยี งเบนมาตรฐานของปญ๓ หาเก่ียวกบั การบริหารงานวชิ าการ ปญ๓ หาการบริหารงานวชิ าการ  S.D. ระดบั ป๓ญหา 1 ด๎านการพฒั นาหรือการดาเนนิ การเก่ยี วกบั การใหค๎ วามเห็นการพัฒนา 2.91 0.40 ปานกลาง สาระหลักสูตรท๎องถิน่ 2 ดา๎ นการวางแผนงานดา๎ นวิชาการ 3.64 0.52 มาก 3 ด๎านการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา 2.98 0.66 ปานกลาง 4 ด๎านการพัฒนาหลักสตู รของสถานศกึ ษา 3.47 0.81 ปานกลาง การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 490

5 ดา๎ นการพฒั นากระบวนการเรียนร๎ู 3.36 0.62 ปานกลาง 0.78 ปานกลาง 6 ดา๎ นการวดั ผล ประเมนิ ผล และดาเนนิ การเทียบโอนผลการเรียน 2.98 0.65 ปานกลาง 0.51 ปานกลาง 7 ด๎านการวิจยั เพื่อพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาในสถานศกึ ษา 2.94 0.80 ปานกลาง 0.81 ปานกลาง 8 ด๎านการพฒั นาและสงํ เสรมิ ให๎มีแหลงํ เรียนร๎ู 3.25 0.56 ปานกลาง 0.85 ปานกลาง 9 ดา๎ นการนเิ ทศการศกึ ษา 2.97 0.65 ปานกลาง 10 ดา๎ นการแนะแนว 2.88 0.62 ปานกลาง 11 ดา๎ นการพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา 2.95 0.78 ปานกลาง 12 ด๎านการสงํ เสริมชมุ ชนใหม๎ คี วามเขม๎ แข็งทางวิชาการ 3.32 0.65 ปานกลาง 0.51 ปานกลาง 13 ด๎านการประสานความรํวมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษา 3.38 และองคก๑ รอ่ืน 14 ด๎านการสํงเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแกํบุคคล ครอบครัว 2.87 องคก๑ ร หนวํ ยงาน สถานประกอบการและสถาบนั อื่นท่จี ัดการศกึ ษา 15 ด๎านการจัดทาระเบียบและแนวปฏิบัติเก่ียวกับงานด๎านวิชาการของ 3.22 สถานศกึ ษา 16 ดา๎ นการคดั เลอื กหนงั สอื แบบเรียนเพ่อื ใช๎ในสถานศึกษา 3.18 17 ดา๎ นการพัฒนาและใช๎สอ่ื เทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา 3.20 รวม 3.15 0.65 ปานกลาง จากตารางท่ี 1กลยทุ ธ๑และสภาพปญ๓ หาและความต๎องการเก่ยี วกับการบริหารงานวิชาการ และ การพัฒนากลยทุ ธข๑ องผ๎บู ริหารสถานศึกษาในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนสังกัดเมืองพัทยา สภาพ ปญ๓ หาการบริหารงานวชิ าการในภาพรวมมีระดับความคิดเห็นอยํูในระดับปานกลาง คําเฉลี่ยสูงสุด ได๎แกํ ด๎านการวางแผนงานดา๎ นวชิ าการ รองลงมา ไดแ๎ กํ ด๎านการพัฒนาหลกั สูตรของสถานศึกษา และในสํวนของความตอ๎ งการเก่ียวกบั การบริหารงานวิชาการ ในภาพรวมมีระดับความคิดเห็น อยูํในระดับ มากทกุ ดา๎ นคําเฉลย่ี สงู สดุ ได๎แกํ ด๎านการวางแผนงานด๎านวิชาการ รองลงมา ได๎แกํ ด๎านการวิจัยเพ่ือ พัฒนาคุณภาพการศกึ ษาในสถานศึกษา สํวนการพฒั นากลยุทธ๑การบรหิ ารงานวิชาการของโรงเรียนในสังกัด เมอื งพทั ยา พบวํา ในภาพรวมมีการปฏิบตั ิในระดบั มากได๎กลยุทธ๑การบรหิ ารงานวชิ าการ 10 กลยทุ ธ๑ ได๎แกํ (1ผบู๎ ริหารสถานศึกษาสํงเสริมให๎ครูได๎พัฒนาเปูาหมายและวัตถุประสงค๑ทางวิชาการของสถานศึกษา (2 ผู๎บริหารสถานศึกษาสร๎างความเชื่อมั่นวํากิจกรรมของสถานศึกษาและของห๎องเรียนสอดคล๎องกับ วตั ถุประสงค๑ของสถานศึกษา (3ผู๎บริหารสถานศึกษามีการวางแผนรํวมกันกับคณะครูเก่ียวกับโครงการ ตาํ งๆ ทางวิชาการเพ่ือใหบ๎ รรลคุ วามตอ๎ งการของนักเรยี น (4ผู๎บรหิ ารสถานศกึ ษาสงํ เสรมิ ใหค๎ รนู าโครงการ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 491

ทางวิชาการไปปฏิบัติ (5ผู๎บริหารสถานศึกษาปฏิบัติงานรํวมกับคณะครูในการประเมินผลโครงการทาง วชิ าการของโรงเรยี น (6ผบู๎ รหิ ารสถานศกึ ษาให๎การสนับสนุนในการจดั กิจกรรมทางสงั คมของนกั เรียน (7 ผู๎บริหารสถานศึกษาให๎การสนับสนุนในการจัดกิจกรรมเพ่ือเสริมสร๎างเชาวน๑ป๓ญญาของนักเรียน (8 ผ๎ูบรหิ ารสถานศกึ ษามีการจัดสรรเวลาเพื่องานวิชาการรํวมกับครูไว๎อยํางชัดเจน (9ผู๎บริหารสถานศึกษา รํวมมือกบั คณะครใู ห๎มีการนาระเบียบ กฎเกณฑท๑ สี่ ร๎างข้นึ มาใช๎ในการแกป๎ ญ๓ หาดา๎ นวนิ ัยของนักเรียน และ (10ผบู๎ รหิ ารสถานศกึ ษามีการประเมนิ ผลการปฏิบัติงานของครูอยาํ งยุตธิ รรม การอภปิ รายผล จากผลการวจิ ยั มีประเดน็ สาคัญที่นามาอภปิ รายผล ดงั นี้ 1. สภาพปญ๓ หาการบรหิ ารงานวิชาการในภาพรวมมีความคิดเห็นอยํูในระดับปานกลางคําเฉล่ียมาก ที่สุด ได๎แกํ ดา๎ นการวางแผนงานดา๎ นวชิ าการ แสดงให๎เห็นวํา อาจมีอปุ สรรคในการบริหารงานวิชาการใน โรงเรียน เชํน ขาดผ๎ูเชี่ยวชาญให๎คาแนะนา ไมํมีการรํวมมือกับหนํวยงานราชการ ขาดบุคลากรที่มี ความสามารถในการจัดกิจกรรม งบประมาณในการจัดซื้ออุปกรณ๑หรือไมํมีการติดตามผลการเรียนของ ผ๎ูเรยี น 2. ความตอ๎ งการเก่ียวกบั การบริหารงานวิชาการ ในภาพรวมมรี ะดับความคิดเห็นอยูํในระดับมากทุก ดา๎ น คาํ เฉลี่ยมากที่สดุ ได๎แกํ ด๎านการวางแผนงานดา๎ นวชิ าการ รองลงมา ได๎แกํ ด๎านการวิจัยเพื่อพัฒนา คุณภาพการศกึ ษาในสถานศกึ ษาแสดงให๎เห็นวาํ การบริหารงานวิชาการถือเป็นหัวใจสาคัญของการบริหาร โรงเรยี น เนื่องจากเก่ยี วข๎องกับการจัดการเรียนการสอนโดยตรง ทั้งน้ีเพื่อพัฒนาผู๎เรียนให๎เป็นเยาวชนที่มี คณุ ภาพตามเปูาหมายทต่ี ง้ั ไว๎ สอดคลอ๎ งกบั งานวจิ ยั ของออํ นตา พรมมะจติ ไดศ๎ ึกษาเร่ือง การศึกษา (2551) การบริหารงานวชิ าการเชิงกลยุทธข๑ องผูบ๎ รหิ ารการศกึ ษากบั ประสิทธผิ ลของโรงเรียน สงั กัดแผนกศึกษาธิการ แขวงไชยะบูรี สาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ผลการวจิ ัยพบวํา (1การบรหิ ารงานวชิ าการเชิงกล ยุทธข๑ องผบ๎ู ริหารโรงเรียนสงั กัดแผนกศกึ ษาธกิ าร แขวงไชยะบุรี โดยรวมอยูํในระดับมาก สํวนด๎านการวิจัย เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษาแสดงให๎เห็นวํา ทาวิจัยในชั้นเรียนอยํางตํอเนื่องจะชํวยให๎ ครผู สู๎ อนพัฒนาระบบการเรียนการสอนให๎เป็นไปอยํางมีคุณภาพและบรรลุตามเปูาหมายท่ีต้ังไว๎ การวิจัยจะ ชวํ ยปรับปรุงดา๎ นวิชาชพี ครู และครูผ๎ูสอนที่ทาการศึกษาและทดลองงานวิจัยกันอยํางจริงจังแล๎วจะทาให๎เกิด ความก๎าวหน๎าในการสอนท้ังภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติรวมทั้งเกิดความรู๎และความคิดสร๎างสรรค๑ใหมํๆ อยําง ตอํ เนือ่ ง 3. การพัฒนากลยทุ ธก๑ ารบริหารงานวชิ าการของโรงเรียนในสังกัดเมอื งพัทยา พบวํา ในภาพรวมมี การปฏิบัติในระดับมาก ได๎กลยุทธ๑การบริหารงานวิชาการ 10 กลยุทธ๑ ได๎แกํ 1) ผู๎บริหารสถานศึกษา สํงเสริมให๎ครูได๎พัฒนาเปูาหมายและวัตถุประสงค๑ทางวิชาการของสถานศึกษา 2)ผู๎บริหารสถานศึกษาสร๎าง การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 492

ความเช่ือม่ันวํากิจกรรมของสถานศึกษาและของห๎องเรียนสอดคล๎องกับวัตถุประสงค๑ ของสถานศึกษา 3) ผ๎ูบริหารสถานศึกษามีการวางแผนรํวมกนั กับคณะครเู กี่ยวกับโครงการตํางๆ ทางวิชาการเพ่ือให๎บรรลุความ ต๎องการของนักเรียน 4) ผู๎บริหารสถานศึกษาสํงเสริมให๎ครูนาโครงการทางวิชาการไปปฏิบัติ 5) ผู๎บริหาร สถานศกึ ษาปฏิบัติงานรํวมกับคณะครูในการประเมินผลโครงการทางวิชาการของโรงเรียน 6) ผ๎ูบริหาร สถานศึกษาให๎การสนับสนุนในการจัดกิจกรรมทางสังคมของนักเรียน 7) ผู๎บริหารสถานศึกษาให๎การ สนับสนุนในการจัดกจิ กรรมเพอ่ื เสรมิ สร๎างเชาวน๑ปญ๓ ญาของนักเรียน 8) ผู๎บริหารสถานศึกษามีการจัดสรร เวลาเพื่องานวิชาการรํวมกับครูไว๎อยํางชัดเจน 9) ผ๎ูบริหารสถานศึกษารํวมมือกับคณะครูให๎มีการนา ระเบียบ กฎเกณฑ๑ทสี่ รา๎ งขน้ึ มาใช๎ในการแก๎ป๓ญหาด๎านวินัยของนักเรียน และ 10) ผ๎ูบริหารสถานศึกษามี การประเมินผลการปฏิบัติงานของครูอยํางยุติธรรม แสดงให๎เห็นวํา การพัฒนากลยุทธ๑การบริหารงาน วชิ าการของโรงเรยี นมีความสาคัญอยาํ งย่งิ ในการยกระดบั ศักยภาพของผ๎ูบริหาร ครูผู๎สอน และผู๎เรียน ให๎ ประสบความ สาเร็จตามเปูาหมายท่วี างไว๎ สอดคล๎องกบั งานวิจยั ของบญุ สงํ รดั สีสม (2553) ไดศ๎ กึ ษาเรอ่ื ง การศึกษาการจดั ทาแผนกลยุทธข๑ องบรหิ ารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาสุรินทร๑ เขต 3 ผลการวิจัย พบวํา 1) ผ๎ูบริหารสถานศึกษาในสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สังกัดสานักงาน เขตพ้ืนที่ การศึกษาสุรนิ ทร๑ เขต 3 ดาเนินงานการจัดทาแผนกลยุทธโ๑ ดยรวมอยูใํ นระดับมาก ข้อเสนอแนะ ข๎อเสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใชป๎ ระโยชน๑ 1. การวางแผนงานด๎านวิชาการสถานศึกษาควรมีการวางแผนการนาหลักสูตรไปใช๎ทุกกลํุมสาระ และเตรยี มความพรอ๎ มใหค๎ รูในการจัดกิจกรรมการเรยี นรูม๎ กี ารประเมนิ เป็นระยะ จัดหาเคร่ืองมือตําง ๆ ใน การจดั การเรียนร๎ูให๎ครบ 2. การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา การจัดหาครูผู๎สอนประจาชั้ น ควรคานึง ถึง ความสามารถ ประสบการณ๑ และความถนดั ควรกระตนุ๎ ใหค๎ รผู ส๎ู อนเตรยี มการสอนกํอนสอน สํงเสริมให๎ ครูผ๎ูสอนพัฒนาแผนการสอนให๎มีคณุ ภาพใชว๎ ิธีสอนให๎เหมาะสมกับเนอื้ หาและกิจกรรม 3. การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษาควรมีการศึกษาวิเคราะห๑หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้ นฐาน กาหนดวิสัยทัศน๑ ภารกิจ เปาู หมาย คณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค๑ เพ่ือที่จะจัดทาโครงสร๎างหลักสูตรสาระการ เรียนรู๎ใหส๎ อดคลอ๎ งกบั เปาู หมายและคณุ ลักษณะท่ีพึงประสงค๑ แลว๎ จงึ นาหลกั สตู รไปใช๎ 4. การพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา ควรมกี ารกาหนดเกณฑ๑ประเมนิ เปาู หมาย การวางแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา ตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาให๎บรรลุผลตาม เปาู หมาย มกี ารนเิ ทศ กากบั ติดตาม ดาเนนิ การตามแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อการพัฒนาและนา ผลไปใช๎ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 493

5. การพัฒนาส่ือและใชเ๎ ทคโนโลยเี พื่อการศึกษา ควรจดั หาส่ือ และเทคโนโลยีเพื่อใชใ๎ นการจัดการ เรียนการสอนใหเ๎ หมาะสมกับระดับชัน้ และตดิ ตามประเมินผลการพัฒนาส่ือ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อ การศึกษาอยาํ งตอํ เน่ือง เอกสารอา้ งอิง กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2552). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พช๑ ุมนุมสหกรณก๑ ารเกษตรแหํงประเทศไทย. สานักการศึกษา เมอื งพัทยา, แผนแมบ่ ทพัฒนาการสอน ส่ือและเทคโนโลยีทางการศึกษา ในโรงเรียน สังกัด เมืองพทั ยา 5 ปี (2558-2562) สานกั การศึกษา เมอื งพัทยา, แผนกลยทุ ธก์ ารพัฒนาการสอน สอ่ื และเทคโนโลยที างการศกึ ษา ใน โรงเรียน สังกดั เมืองพัทยา 3 ปี (2558-2560) สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสงั คมแหํงชาติ, รา่ งแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคม แห่งชาติ ฉบบั ที่ 11 (พ.ศ.2555-2559) การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 494

การวเิ คราะห์คุณภาพของศูนย์พฒั นาเดก็ สังกัดสานักงานการศึกษาส่วนทอ้ งถนิ่ จังหวัดนนทบรุ ี Quality Analysis of Child Development Centers under Local Administrative Organizations in Nonthaburi Province สมถวิล วิจิตรวรรณา มหาวทิ ยาลัยราชพฤกษ์ [email protected] สทุ ธิวรรณ ตนั ติรจนาวงศ์ มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช [email protected] บทคดั ยอ่ วัตถุประสงค๑ของการวิจัย คือเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบคุณภาพของศูนย๑พัฒนาเด็กสังกัดองค๑การ บริหารสวํ นท๎องถิน่ จงั หวดั นนทบรุ ี จาแนกตามสังกัด อาเภอท่ีตงั้ และขนาดของศนู ย๑พฒั นาเด็ก กลํุมตัวอยํางใน การวิจัย คือ ศูนย๑พัฒนาเด็กสังกัดองค๑การบริหารสํวนท๎องถ่ินในจังหวัดนนทบุรี ท่ีได๎รับการประเมินคุณภาพ ภายนอกจาก สมศ. รอบแรกจานวน 122 แหํง ระหวาํ งปี พ.ศ. 2556-2558 ผ๎ูวจิ ัยรวบรวมข๎อมลู ทุติยภูมจิ ากผลการ ประเมนิ คุณภาพภายนอกศูนย๑พัฒนาเดก็ เครอ่ื งมอื ที่ใชใ๎ นการวจิ ัย แบบบนั ทกึ ผลการประเมินคุณภาพภายนอกท่ีของ ศูนยพ๑ ัฒนาเดก็ สงั กดั องคก๑ ารบรหิ ารสํวนท๎องถิ่น จงั หวดั นนทบรุ ี การวิเคราะหข๑ ๎อมลู และสถิติคอื ร๎อยละ คําเฉล่ยี และสวํ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน การวิเคราะหค๑ วามแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) หากพบวํามีนัยสาคัญ ทางสถติ จิ ะทดสอบความแตกตํางรายคํดู ว๎ ยวธิ ี LSD ผลการวิจัยพบวาํ 1. คุณภาพของศนู ย๑พัฒนาเด็กเลก็ สังกัดองค๑การบริหารสํวนท๎องถ่ิน จังหวัดนนทบุรีจานวน 122 แหํง จากการประเมนิ คุณภาพภายนอกในภาพรวมอยูํในระดับพอใช๎ (คะแนนเฉล่ีย 73.12 คําสํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 9.83) ผลวิเคราะห๑เป็นรายตวั บํงช้ี พบวํา ตัวบงํ ชที้ ี่ 1-6 เก่ยี วกบั คณุ ภาพเดก็ อยํูในระดับดีคอื คะแนนเฉลย่ี มากกวาํ ร๎อยละ 75 ตัวบํงช้ีที่ 9, 10, 11 และ 7 ท่ีเก่ียวกับผลการบริหารงานของศูนย๑พัฒนาเด็กอยํูในระดับพอใช๎คือ คะแนนเฉลี่ยระหวาํ งร๎อยละ 50-74 สํวนตัวบํงช้ที ่ี 8 และ 12 มคี ุณภาพอยใูํ นระดบั ตอ๎ งปรบั ปรงุ อยาํ งเรํงดํวน คือ มีคะแนนเฉล่ียเทยี บร๎อย 33.40 และ 42.80 ตามลาดบั 2. ผลปรียบเทยี บคณุ ภาพของศนู ยพ๑ ัฒนาเดก็ เล็ก สงั กดั องค๑การบรหิ ารสํวนท๎องถ่ินในจังหวัดนนทบุรี ในอาเภอทีต่ ัง้ ตาํ งกนั และขนาดศูนย๑พัฒนาเดก็ เลก็ ตาํ งกัน พบวาํ คุณภาพของศูนยพ๑ ฒั นาเดก็ แตกตํางกันอยําง มี นยั สาคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .01 เป็นไปตามสมมตฐิ านท่ตี ั้งไว๎ แตศํ นู ยพ๑ ัฒนาเด็กท่ีสังกดั ตํางกนั พบวํามีคะแนนเฉลยี่ ไมแํ ตกตํางกนั คาสาคญั : ศูนย๑พฒั นาเดก็ องคก๑ ารบรหิ ารสํวนทอ๎ งถิน่ จงั หวดั นนทบรุ ี. การประเมินคณุ ภาพภายนอก การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 495

ABSTRACT The purposes of this research were : studied and compared quality of child development centers under the office of local administrative organization in Nonthaburi province with categorized according to sector, district and the size of child development centers. The sample consisted of 122 centers which assessed the first round of external quality from 2556 to 2558. The researcher collected secondary data from the external quality assessment results of the Child Development Centers, so the research tool was a record of the external quality assessment results. Using techniques of descriptive statistics, the researcher analyzed the data collected in terms of frequency, percentage, mean and standard deviation. In addition, applying techniques of inferential statistics, the researcher analyzed the data collected in terms of a t test technique and the one-way analysis of variance (ANOVA) technique. and SLD The results showed that, 1) the quality of children development centers under local administrative organizations in Nonthaburi province in overall was at the moderate level, (mean score 73.12. standard deviation 9.83) The indicators analysis showed that indicators 1 to 6 on the quality of children were at a good level, with mean score of more than 75%. Indicators 9, 10, 11 and 7 concerning the administration of the child development center were at the moderate level, the mean scores between 50-74%., Indicators 8 and 12 were in need of urgent improvement, with mean average score of 33.40 and 42.80, respectively. 2) The child development centers under local administrative organizations in Nonthaburi province according to districts and centers size. The quality of child development centers were difference at the significant level of 0.01. However, There was not difference quality in sector. Keywords : The child development centers , local administrative organizations, external quality assessment การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 496

บทนา ศูนยพ๑ ฒั นาเด็กเป็นสถานศึกษาที่ให๎การอบรมเลยี้ งดจู ดั ประสบการณแ๑ ละสงํ เสริมพัฒนาการเรียนรู๎ ให๎เด็กเล็กได๎รับการพัฒนาทั้งด๎านรํางกาย อารมณ๑-จิตใจ สังคม และสติป๓ญญาที่เหมาะสมตามวัยตาม ศักยภาพของเด็กแตํละคน ดังน้ัน ระยะเวลาการจัดการเรียนร๎ูและแนวทางการจัดการเรีย นร๎ูของศูนย๑ พัฒนาเดก็ จงึ ตอ๎ งดาเนินการอยาํ งตํอเนอื่ งและเหมาะสม เพอื่ ใหเ๎ ด็กเลก็ ไดร๎ บั การพัฒนาเปน็ ไปตามวยั แตลํ ะ ชวํ งอายุ สอดคลอ๎ งกบั สังคม วฒั นธรรม ภมู ปิ ญ๓ ญาทอ๎ งถ่ิน และหลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั ให๎เด็กเล็กพร๎อม ทีจ่ ะเข๎ารับการศึกษาในระดบั ท่ีสูงขึ้นตํอไป พระราชบัญญัติกาหนดแผนและขั้นตอนกระจายอานาจให๎แกํองค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น พ.ศ. 2542 และทแ่ี กไ๎ ขเพม่ิ เติม (ฉบับที่2) พ.ศ.2549 ไดบ๎ ัญญัตใิ ห๎องคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถน่ิ ทุกรูปแบบ ได๎แกํ เทศบาลเมืองพัทยา องค๑การบริหารสํวนตาบล (อบต.) องค๑การบริหารสํวนจังหวัด (อบจ.) และ กรุงเทพมหานคร มอี านาจหนา๎ ที่รบั ผิดชอบการจัดบริการสาธารณะให๎แกํประชาชนในพ้ืนท่ซี ึ่งรวมถงึ การจดั การศึกษาด๎วย โดยองค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่ินกระจายโอกาสทางการศึกษาให๎กับเด็กทุกคนในพ้ืนท่ี รวมถงึ การศึกษาปฐมวยั เปน็ การสํงเสรมิ พัฒนาเด็กให๎ไดร๎ บั การเตรียมความพรอ๎ มอยํางถูกต๎องเหมาะสมกบั วยั ปจจุบนั องคกรปกครองสวนทองถน่ิ รบั ผดิ ชอบการดาเนนิ งานศนู ยพัฒนาเดก็ เลก็ ทไ่ี ดรบั การถายโอน จากสวนราชการตางๆ และทอี่ งคกรปกครองสวนทองถ่นิ จัดตง้ั เอง ศนู ยเ๑ ด็กเลก็ ทีส่ ังกัดองคกรปกครองสวน ท๎องถ่ินจะต๎องบริหารจัดการตามมาตรฐานการดาเนินงานศูนย๑พัฒนาเด็ก โดยกาหนดหลักการดังน้ี 1) สํงเสรมิ กระบวนการเรียนร๎ู และพฒั นาการทคี่ รอบคลุมเด็กปฐมวยั ทุกประเภท 2) ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดู และให๎การศึกษาท่ีเน๎นเด็กเป็นสาคัญ โดยคานึงถึงความแตกตํางระหวํางบุคคล และวิถีชีวิตของเด็กตาม บริบทของชมุ ชน สังคม และวฒั นธรรมไทย 3) พัฒนาเด็กโดยองคร๑ วมผาํ นการเลํนและกิจกรรมที่เหมาะสม กับวัย 4) จัดประสบการณ๑การเรียนรู๎ให๎สามารถดารงชีวิตประจาวันได๎อยํางมีคุณภาพและมีความสุข 5) ประสานความรํวมมอื ระหวาํ งครอบครวั ชุมชน และสถานศึกษาในการพฒั นาเด็ก (กรมสํงเสริมการปกครอง ท๎องถ่นิ , 2550) การติดตามตรวจสอบคุณภาพการจดั การศกึ ษานอกจากเปน็ หนา๎ ทข่ี องหนํวยงานราชการผ๎ูทาหนา๎ ที่ ให๎บรกิ ารจัดการศึกษาแลว๎ ในพระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแหงํ ชาติ พ.ศ. 2542 และฉบับที่มกี ารแกไ๎ ขเพิ่มเตมิ พ.ศ. 2545 กาหนดให๎มีการจดั ตง้ั สานกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาหรือ สมศ. ซ่ึง มีฐานะเป็นองค๑การมหาชน ทาหน๎าที่ในทาการประเมินผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษาทุกแหํงอยําง นอ๎ ยหนึง่ ครง้ั ในทุกห๎าปีนบั ตั้งแตกํ ารประเมินครั้งสุดท๎าย รวมถึงการเสนอผลการประเมินตํอหนํวยงานท่ี เกย่ี วข๎องและสาธารณชน สาหรับการจัดการศึกษาในระดับศูนย๑พัฒนาเด็กนี้ สานักงานรับรองมาตรฐาน การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 497

และประเมินคุณภาพการศกึ ษา ไดด๎ าเนินการการประเมินคุณภาพภายนอกรอบแรกระหวํางปีพุทธศักราช 2556-2558 เป็นการประเมินเพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพการศึกษา โดยผลการประเมินคุณภาพ ภายนอกรอบแรกนี้ยังไมํมีการตัดสินผลได๎ตก แตํเป็นเพียงการยืนยันสภาพจริง ให๎ข๎อเสนอแนะเพื่อ สถานศกึ ษาได๎นาไปจดั ทาแนวทางพัฒนา และรวบรวมผลการประเมินเสนอตํอหนํวยงานที่เก่ียวข๎องในการ ใช๎ผลการประเมนิ ไปวางแผนการพัฒนาในระดบั นโยบายตอํ ไป ผ๎ูวิจัยจึงสนใจที่จะทาการวิเคราะห๑คุณภาพของศูนย๑พัฒนาเด็กท่ีสังกัดสานักงานการศึกษาสํวน ทอ๎ งถน่ิ ในจังหวดั นนทบรุ ี เพ่อื ให๎ศนู ย๑พฒั นาเด็กในสงั กัดสานกั งานการศกึ ษาสวํ นท๎องถ่นิ ในจังหวัดนนทบรุ ไี ด๎ ทราบจดุ เดํนและขอ๎ จากดั จากผลการประเมินในภาพรวมของจงั หวัด อันเปน็ แนวทางให๎สานักงานการศกึ ษา สํวนท๎องถิ่นใช๎ในการวางแผนพัฒนาคุณภาพการให๎ประสบการณ๑การเรียนร๎ูสาหรับเด็กเล็ก และใช๎เป็น แนวทางในการบริหารจดั การปรับปรุงพัฒนาศูนย๑พัฒนาเด็กให๎มีคุณภาพตามหลักเกณฑ๑การจัดการศึกษา และเตรยี มตวั ในการประเมนิ คณุ ภาพภายนอกในรอบตํอไป วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 1. เพื่อศึกษาคุณภาพของศูนย๑พัฒนาเด็กสังกัดองค๑การบริหารสํวนท๎องถ่ิน จังหวัดนนทบุรีจาก การประเมนิ คุณภาพภายนอก 2. เพือ่ เปรียบเทียบคุณภาพของศนู ยพ๑ ฒั นาเดก็ สงั กดั องค๑การบรหิ ารสํวนทอ๎ งถิ่นในจงั หวัดนนทบรุ ี ตามการประเมินผลภายนอกจาแนกตามสงั กดั อาเภอที่ต้ัง และขนาดของศูนยพ๑ ฒั นาเด็ก สมมตฐิ านการวจิ ัย ศนู ย๑พัฒนาเดก็ สังกัดสานักงานการศึกษาสํวนท๎องถ่ินในจงั หวัดนนทบรุ ี ทม่ี ีประเภทสังกัด อาเภอ ท่ตี งั้ และขนาดของศูนย๑พฒั นาเด็กทตี่ าํ งกัน คุณภาพของศูนยพ๑ ฒั นาเด็กมีความแตกตํางกัน ประโยชนข์ องงานวจิ ยั เมอ่ื งานวิจัยนี้สาเรจ็ จะเกดิ ประโยชนใ๑ นวงการศึกษา ดังน้ี 1. ผลการวเิ คราะห๑คณุ ภาพของศูนย๑พัฒนาเด็กเป็นข๎อมูลในแนวทางการพัฒนาศูนย๑พัฒนาเด็กใน สงั กดั องค๑การบรหิ ารสํวนทอ๎ งถนิ่ ในจงั หวัดนนทบุรี 2. หนํวยงานต๎นสังกัด และหนํวยงานที่เก่ยี วข๎องทุกระดบั สามารถนาข๎อเสนอแนะมากาหนดเป็น แผน นโยบายในการสงํ เสรมิ สนบั สนุนศนู ย๑พฒั นาเดก็ ให๎มีประสทิ ธิภาพและประสิทธผิ ลมากยงิ่ ข้ึน การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 498

กรอบแนวคดิ การวิจยั ตัวแปรตาม ตวั แปรอิสระ คณุ ภาพการจดั การศกึ ษาใน - สงั กดั ของศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ ภาพรวมทุกตัวบง่ ชี้ และรายตัวบ่งช้ี - อาเภอท่ีตงั้ ศนู ย์พฒั นาเด็ก - ขนาดของศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดการวิจัย วิธดี าเนนิ การวจิ ัย ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ประชากรในการวิจัย คอื ศูนย๑พัฒนาเด็กสังกดั องคก๑ ารบรหิ ารสํวนท๎องถน่ิ ในจังหวัดนนทบรุ ี ระหวําง ปี พ.ศ. 2556-2558 กลํุมตวั อยาํ งในการวิจัย คอื ศูนยพ๑ ัฒนาเดก็ สังกัดองคก๑ ารบรหิ ารสํวนทอ๎ งถิน่ ในจังหวัดนนทบรุ ี ที่ได๎รับการประเมินคณุ ภาพภายนอกจาก สมศ. รอบแรกจานวน 122 แหงํ ระหวํางปี พ.ศ. 2556-2558 เครื่องมือที่ใช้ในการวจิ ัย แบบบันทึกผลการประเมินคณุ ภาพภายนอกของศูนย๑พัฒนาเดก็ สงั กัดองคก๑ ารบริหารสํวนท๎องถ่ิน จงั หวดั นนทบรุ ี การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ผ๎ูวิจยั รวบรวมขอ๎ มูลทุตยิ ภูมิจากผลการประเมนิ คณุ ภาพภายนอกที่มกี ารประเมินศูนย๑พัฒนาเด็กเป็น ครัง้ แรกในระหวาํ งปี พ.ศ. 2556-2558 การวิเคราะห์ขอ้ มลู และสถิตทิ ีใ่ ช้ 1) การศึกษาคณุ ภาพของศนู ย๑พฒั นาเด็กสงั กัดองคก๑ ารบรหิ ารสวํ นท๎องถน่ิ จงั หวดั นนทบรุ ีจาก การประเมินคุณภาพภายนอก วิเคราะห๑ด๎วยสถิติพรรณนาคือ ร๎อยละ คําเฉลี่ย และสํวนเบ่ียงเบน มาตรฐาน 2) การเปรียบเทียบคุณภาพของศูนย๑พัฒนาเด็กสังกัดองค๑การบริหารสํวนท๎องถ่ินในจังหวัด นนทบุรี จาแนกตามสังกัด อาเภอ และขนาดของศูนย๑พัฒนาเด็ก วิเคราะห๑ด๎วยการวิเคราะห๑ความ แปรปรวนทางเดียว (Oneway ANOVA) หากพบวาํ มีนัยสาคัญทางสถติ ิจะทดสอบความแตกตํางรายคํูด๎วย วิธี LSD การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 499


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook