4. สวํ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 5. ใชก๎ ารทดสอบแบบกลุํมตัวอยํางท่เี ปน็ อสิ ระ (t-test; Independent Sample) สรปุ ผลการวจิ ัยและอภปิ รายผล ผลการสรุปขอ๎ มลู การบริหารความเสย่ี งของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา จงั หวดั ปทมุ ธานี จานวน 41 โรงเรียน แบํงเป็นผ๎ูบริหารสถานศึกษา จานวน 41 คน และครูจานวน 295 คน รวมทง้ั ส้ิน 336 ฉบับ และได๎รับกลับคืนมา 336 ฉบับ คิดเป็นร๎อยละ 100 ซึ่งจากการวิเคราะห๑ข๎อมูล การบริหารความเสย่ี งของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาจังหวัดปทุมธานี สรุปได๎ดังน้ี 1. การวเิ คราะห๑ข๎อมลู เกีย่ วกบั สถานภาพของผตู๎ อบแบบสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหาร ความเสีย่ งของโรงเรยี นขนาดเลก็ สงั กดั สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษาจงั หวัดปทุมธานี สํวนใหญํเป็นเพศหญิง จานวน 241 คน คิดเปน็ ร๎อยละ 71.73 อายุสํวนใหญํ 31-39 ปี จานวน 98 คน คิดเป็นร๎อยละ 29.20 และอายุ 50 ปี ขึ้นไป จานวน 91 คน คิดเป็นร๎อยละ 27.10 ระดับการศึกษาสํวนใหญํ ปริญญาโท จานวน 158 คน คิดเปน็ รอ๎ ยละ 47.00 รองลงมาคือปรญิ ญาตรี จานวน 149 คน คิดเป็นร๎อยละ 44.30 ตาแหนงํ ผูบ๎ ริหารสถานศกึ ษา จานวน 41 คน คิดเป็นร๎อยละ 12.20 และตาแหนํงครู จานวน 295 คน คดิ เปน็ ร๎อยละ 87.80 ประสบการณใ๑ นการสอนสํวนใหญํมากกวํา 15 ปี จานวน 137 คน คิดเป็นร๎อยละ 40.80 ประสบการณ๑ด๎านการบริหารสถานศึกษา สํวนใหญํเป็นผู๎ท่ีเคยได๎รับการฝึกอบรม 1 คร้ัง จานวน 108 คน คิดเปน็ ร๎อยละ 32.10 รองลงมาเป็นผ๎ูทเ่ี คยได๎รับการฝึกอบรมมากกวาํ 3 ครั้ง จานวน 103 คน คิดเป็นร๎อยละ 30.70 ประสบการณด๑ ๎านการบริหารความเสี่ยง สํวนใหญํเป็นผู๎ท่ีไมํเคยอบรมเลย จานวน 150 คน คิดเป็นร๎อยละ 44.60 2. การวิเคราะห๑ข๎อมูลเก่ียวกับการบริหารความเสี่ยงของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขต พนื้ ที่การศึกษาจงั หวัดปทมุ ธานี โดยรวมอยูํในระดบั มาก ( µ= 3.57) และเม่ือพจิ ารณาเปน็ รายด๎านพบวําอยํู ในระดบั มาก โดยมคี ําเฉล่ียจากมากไปน๎อยดังนี้ ความเสีย่ งด๎านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ ความ เส่ียงดา๎ นกลยุทธ๑ ความเสย่ี งด๎านการดาเนนิ งาน และความเสี่ยงด๎านการเงนิ 2.1 ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์ พบวํา การบริหารความเสี่ยงของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัด สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาจังหวดั ปทุมธานี มกี ารปฏบิ ตั งิ านดา๎ นกลยทุ ธ๑โดยรวมอยใํู นระดับมาก (µ= 3.79) โดยพบประเด็นท่ีสูงสุดคือ สถานศึกษามีการจัดทาปฏิทินงานในสถานศึกษาเพื่อกาหนดระยะเวลาการ ดาเนนิ งานตามกลยุทธ๑ (µ= 4.03) รองลงมา คือ สถานศึกษามีการจัดทารายละเอียดแผนงาน โครงการ กิจกรรม ให๎เชื่อมโยงกับกลยุทธ๑ของสถานศึกษา (µ= 3.99) และประเด็นที่มีคําเฉลี่ยต่าสุดคือ ผู๎บริหาร สถานศกึ ษามคี วามรคู๎ วามสามารถในการบริหารนโยบาย วิสยั ทศั น๑ / พนั ธกิจ แผนกลยทุ ธ๑ (µ= 3.50) การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 600
2.2 ความเสย่ี งดา้ นการดาเนินงาน พบวาํ การบรหิ ารความเสี่ยงของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัด สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดปทุมธานี มีการปฏิบัติงานด๎านการดาเนินงาน โดยรวมอยูํในระดับมาก (µ= 3.62) โดยพบประเด็นที่สูงสุดคือ สถานศึกษาสนับสนุนให๎ครูเข๎ารับการอบรมเกี่ยวกับการพัฒนา กระบวนการเรียนร๎ูเพื่อนามาพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน (µ= 3.81) รองลงมา คือ สถานศึกษา สนบั สนนุ ให๎มีการพฒั นาสํงเสรมิ ใหค๎ รแู ละบุคลากรมีการอบรมเพ่ือพัฒนาความรู๎ ทักษะ การปฏิบัติงาน ( µ= 3.71) และประเด็นทมี่ คี ําเฉล่ียต่าสดุ คอื ครูและบคุ ลากรจดั ทาการวจิ ัยในชนั้ เรยี นเพื่อพัฒนาการจดั เรยี น การ สอน (µ = 3.41) 2.3 ความเสี่ยงดา้ นการเงนิ พบวาํ การบรหิ ารความเสย่ี งของโรงเรียนขนาดเลก็ สงั กัดสานักงาน เขตพน้ื ท่กี ารศึกษาจังหวดั ปทมุ ธานี มีการปฏิบตั ิงานความเสีย่ งด๎านการเงนิ โดยรวมอยใํู นระดบั ปานกลาง (µ= 3.37) โดยพบประเด็นที่สูงสุดคือ สถานศึกษาของทํานมีการบริหารงานด๎านพัสดุและสินทรัพย๑ เชํน การ ลงทะเบยี น การซํอมแซม การจาหนาํ ย ฯลฯ (µ= 3.48) รองลงมา สถานศกึ ษามกี ารจัดทาแผนงบประมาณ ในแตํละแผนงาน โครงการตาํ งๆ อยํางครอบคลุม โดยมีเจา๎ หน๎าทท่ี ่ีมคี วามเชีย่ วชาญดา๎ นการเงิน งบประมาณ รวมทัง้ ผบ๎ู ริหารสถานศึกษาทม่ี คี วามรแู๎ ละประสบการณ๑เพียงพอในการบริหารงบประมาณ (µ= 3.45) และ ประเด็นที่มีคําเฉลี่ยต่าสุดคือ สถานศึกษาจัดทารายละเอียดทางการเงิน แผนงานโครงการ สอดคล๎องกับ กิจกรรมหลกั ของสถานศกึ ษา (µ= 3.25) 2.4 ความเส่ยี งดา้ นการปฏิบัติตามกฎหมาย/ กฎระเบียบ พบวําการบริหารความเสี่ยงโรงเรียน ขนาดเล็ก สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาจงั หวดั ปทมุ ธานี มกี ารปฏิบัติงานความเส่ยี งดา๎ นการปฏิบัติตาม กฎหมาย/ กฎระเบยี บ โดยรวมอยูํในระดับระดับมาก (µ= 4.01) โดยพบประเด็นที่สูงสุดคือ สถานศึกษา จดั การประเมินคณุ ภาพภายในโรงเรียน (µ = 4.19) รองลงมา คือ บคุ ลากรในสถานศึกษามีความร๎ู ความเข๎าใจ วิธีการและกฎ ระเบียบในการตรวจสอบภายใน (µ= 4.16) และข๎อท่ีมีคําเฉล่ยี ตา่ สุดคอื สถานศึกษาสํงเสริม ใหค๎ รูและบุคลากรทางการศกึ ษามีความรู๎ความข๎าใจเก่ียวกับกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ ท่ีเกี่ยวข๎องในด๎าน การรกั ษาวินยั เพ่ือสร๎างเจตคตทิ ี่ดใี นการปฏิบัตงิ านและการปฏิบัตติ น (µ= 3.89) 3. การวเิ คราะห๑เปรียบเทียบระดบั การบริหารความเส่ยี งของโรงเรยี นขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขต พ้นื ทก่ี ารศึกษา จงั หวดั ปทมุ ธานี จาแนกตามตาแหนงํ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 601
ระดับการบริหารความเสี่ยง ผบู๎ รหิ ารสถานศึกษา ครู 1. ความเสย่ี งด๎านกลยทุ ธ๑ N = 41 N = 295 2. ความเส่ียงดา๎ นการดาเนินงาน µ µ 3. ความเสี่ยงด๎านการเงนิ 3.64 0.78 3.94 0.82 4. ความเสี่ยงด๎านการปฏิบัติตามกฎหมาย / 3.51 0.68 3.72 0.72 กฎระเบียบ 3.30 0.61 3.44 0.79 รวม 3.87 0.92 4.15 0.88 3.58 0.75 3.81 0.80 ผลการวิจัยพบวําผ๎ูบริหารสถานศึกษาและครูของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษา จังหวัดปทุมธานี มรี ะดับการปฏิบตั ิการบริหารความเสี่ยงโดยรวมอยํูในระดับมากโดยโดยผู๎บริหาร สถานศึกษามคี าํ เฉลี่ยโดยรวมเทาํ กับ 3.58 (µ= 3.58) ครมู คี ําเฉล่ียเทาํ กบั 3.81 (µ= 3.81) เมือ่ พิจารณาเปน็ รายด๎าน พบวาํ การบรหิ ารความเสี่ยงด๎านการเงนิ มีความแตกตํางกนั มากท่สี ดุ โดย ผู๎บรหิ ารสถานศึกษามีคําเฉล่ยี เทาํ กับ 3.30 (µ= 3.30) ครมู คี าํ เฉล่ยี เทาํ กบั 3.44 (µ= 3.44) และด๎านอ่นื ๆ มี ความคดิ เหน็ ดา๎ นการบริหารความเสยี่ งไมํแตกตาํ งกัน การบรหิ ารความเสย่ี งดา๎ นกลยุทธ๑ ผ๎บู ริหารสถานศกึ ษามี คําเฉล่ียเทํากับ 3.64 (µ= 3.64) ครูมีคําเฉลี่ยเทํากับ 3.94 (µ= 3.94) การบริหารความเสี่ยงด๎านการ ดาเนนิ งาน ผู๎บรหิ ารสถานศกึ ษามีคาํ เฉลี่ยเทํากับ 3.51 (µ= 3.51) ครูมีคําเฉลี่ยเทํากับ 3.72 (µ= 3.72) การ บริหารความเสย่ี งด๎านการปฏิบัติตามกฎหมาย/กฎระเบียบ ผู๎บริหารสถานศึกษามีคําเฉลี่ยเทํากับ 3.87 (µ= 3.87) ครูมีคําเฉลย่ี เทํากับ 4.15 (µ= 4.15) 1. การบริหารความส่ียงด้านกลยุทธ์ การบรหิ ารความเสยี่ งของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกดั สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดปทุมธานี มี ระดับปฏบิ ตั กิ ารบริการความเส่ยี งอยูใํ นระดับมากท่เี ปน็ เชํนนี้ เน่ืองจากผ๎ูบริหารสถานศึกษาและครูมีความร๎ู ความเข๎าใจหลักการบริหารมากข้ึน การบริหารความเส่ียงมีความสาคัญตํอการบริหารราชการแบบมํุง ผลสัมฤทธ์ิตามพระราชกฤษฎีกาวําด๎วยการบริหารกิจการบ๎ านเมืองท่ีดี พ.ศ. 2546 ซ่ึงเป็นสํวนหน่ึงของ กระบวนการบรหิ ารเชิงยุทธม๑ ากขึ้น 2. การบรหิ ารความสี่ยงดา้ นการดาเนินงาน การบริหารความเส่ียงของโรงเรียนขนาดเลก็ สังกดั สานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาจังหวัดปทุมธานี มี ระดับปฏิบัติการบริการความเส่ียงด๎านการดาเนินงาน โดยรวมและรายด๎านอยูํในระดับมาก จากการวิจัย พบวํา สถานศึกษาสนับสนนุ ใหค๎ รูเข๎ารับการฝกึ อบรมเกี่ยวกบั การพฒั นาการทางาน การจดั กระบวนการเรียนรู๎ เพ่ือนามาพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน การปฏิบัติงานอยํางเช่ียวชาญ เน่ืองจากโรงเรียนขนาดเล็กใน จังหวดั ปทุมธานี มีบุคลากรจานวนน๎อยดงั นั้นการสถานศกึ ษาจงึ ตอ๎ งมกี ารวางแผนทรัพยากรบุคคลอยํางคุ๎มคํา การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 602
3. ความเสี่ยงดา้ นการเงิน การบรหิ ารความเสี่ยงของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษาจงั หวดั ปทุมธานี มี ระดบั ปฏิบัติการบรกิ ารความเสย่ี งด๎านการเงิน โดยรวมและรายดา๎ นอยํูในระดับปานกลาง จากการวิจัยพบวํา สาเหตุท่ีผู๎บริหารสถานศึกษาและครูมีความคิดเห็นด๎านการเงินแตกตํางกันเน่ืองจาก ผู๎บริหารสถานศึกษา ปจ๓ จบุ นั มคี วามร๎คู วามสามารถในการบริหารมากขึ้น และป๓จจุบันผู๎บริหารสถานศึกษามีอิสระในการบริหาร จัดการและรับผิดชอบตํอความสาเร็จของงาน มีอานาจในการตัดสินใจ มีสามารถยืดหยุํนในการใช๎ งบประมาณของโรงเรียนได๎เอง ภายใต๎ความชอบธรรมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียน สานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาจังหวัดปทุมธานี และยังพบวําสาเหตุที่ครูมีความคิดเห็นแตกตํางกัน เน่ืองจาก ป๓จจุบนั ครูมคี วามรค๎ู วามสามารถในการบริหารความเส่ยี งด๎านการเงินเพ่ิมมากข้ึน สถานศึกษาสนับสนุนให๎ครู เขา๎ รับการฝกึ อบรมเพอ่ื นาความร๎ูมาใช๎ในการพัฒนาสถานศึกษาอยํางตํอเน่ือง ครูจึงมีความเช่ียวชาญในการ ปฏบิ ัติงานมากขึ้น และเน่ืองจากครูเป็นผู๎ปฏิบัติงานจึงสามารถเข๎าใจป๓ญหาพร๎อมทั้งมีความร๎ูความสามารถ ปูองกนั แก๎ไขป๓ญหาทอี่ าจเกิดขน้ึ จากการปฏิบตั งิ านได๎ ซงึ่ แตกตาํ งจากผูบ๎ ริหารสถานศกึ ษาในปจ๓ จุบนั ที่พบวํามี การประชุมนอกสถานที่บํอยคร้ัง การรับทราบป๓ญหาและแนวทางแก๎ไขป๓ญหาข องผ๎ูบริหารสถานศึกษาจึง แตกตํางจากครู 4. ความเสีย่ งด้านการปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย/กฎระเบียบ การบริหารความเส่ียงของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาจังหวัดปทุมธานี มี ระดบั ปฏบิ ัตกิ ารบรกิ ารความเสย่ี งด๎านการปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย/กฎระเบียบ โดยรวมอยูํในระดับมาก เนือ่ งจาก ผบ๎ู ริหารสถานศกึ ษาให๎การสนับสนุนให๎ครูและบุคลากรเข๎ารับการอบรมเก่ียวกับกฎระเบียบ/ กฎหมายและ ระเบียบวนิ ยั สํงผลใหค๎ รูและบุคลากรรับร๎ขู ๎อกาหนดจากตน๎ สงั กดั นอกจากนี้สถานศึกษายังให๎การสนับสนุน การฝึกอบรมหลักสูตรการปฏิบัติงาน จัดการและจัดทาเอก สารเก่ียวกับระเบียบการบัญชี เพื่อให๎การ ปฏิบัติงานเป็นไปในแนวทางเดียวกันภายใต๎กฎระเบียบ ข๎อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และคาสั่งตําง ๆ ที่ เกี่ยวข๎องให๎บุคลากรท้ังผ๎ูบริหารและครูปฏิบัติงานการเงินและพัสดุ อันจะเป็นการเพิ่มพูนความร๎ูและ ประสบการณ๑ ความเข๎าใจใหถ๎ กู ต๎อง และเกิดผลดีตํอการปฏิบัติงานได๎อยํางถูกต๎อง (กลุํมบริหารงานการเงิน และสินทรพั ย๑ สานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษาปทมุ ธานี เขต 2 ประจาปงี บประมาณ 2560) ขอ้ เสนอแนะ 1. การบรหิ ารความเสย่ี งด้านกลยุทธ์ สถานศกึ ษาควรจัดอบรมเรอ่ื งการบรหิ ารสถานศึกษา ทักษะ ในการบรหิ ารความเส่ียง การดาเนินงานตามแผนกลยุทธ๑รํวมกัน เพื่อให๎ตระหนักถึงความสาคัญ การเพิ่มพูน ความร๎ู ให๎กบั ผบ๎ู รหิ ารสถานศกึ ษาและครู และเปน็ แนวทางปฏบิ ัติงานให๎ประสบความสาเร็จ 2. การบริหารความเส่ียงด้านการดาเนินงาน สถานศึกษาควรมีความเข๎มงวดให๎ครูและบุคลากร จดั ทาการวจิ ัยในช้นั เรยี นเพือ่ พฒั นาการจัดเรยี น การสอนอยาํ งนอ๎ ย 1 เลมํ ตํอภาคเรยี น 3. การบริหารความเสีย่ งดา้ นเงิน การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 603
3.1 สถานศึกษาควรทาเอกสารการเบิกจําย การใช๎จํายเงินยืม การจัดซ้ือ จัดจ๎าง พัสดุ ครุภัณฑ๑ การทาทะเบียน จดทะเบียน เพื่อเป็นหลักฐานอยํางถูกต๎องครบถ๎วน และความสะดวก รวดเรว็ ตํอการเบิกจําย 3.2 สถานศกึ ษาควรมีการจดั ทารายงานการเงนิ ทุกเดือนและเมือ่ ส้นิ ปงี บประมาณ 3.3 สถานศึกษาควรพัฒนาระบบฐานข๎อมูล เพ่ือประสิทธิภาพการบริหารงานการเงิน ตลอดเวลา เพอ่ื ลดภาระงานของบุคลากรในโรงเรยี นทีไ่ มํเกย่ี วขอ๎ งกับกจิ กรรมการเรียนรู๎ 3.4 การอนุมัติและเบิกจาํ ยเงินตาํ ง ๆ รายละเอยี ดทางการเงิน ควรสอดคล๎องกบั กิจกรรมหลกั ของสถานศึกษาและแผนปฏิบัติการของสถานศึกษา เพ่ือความค๎ุมคําและเกิดประโยชน๑สูงสุดตํอ สถานศกึ ษา 3.5 สถานศึกษาควรมีการจัดทาแผนงบประมาณในแตํละแผนงาน โครงการตําง ๆ อยําง ครอบคลุม และควรมเี จ๎าหนา๎ ทีท่ ่มี คี วามเชย่ี วชาญด๎านการเงนิ งบประมาณ รวมท้งั ผบ๎ู ริหารทมี่ คี วามร๎ู และประสบการณ๑เพยี งพอในการบรหิ ารงบประมาณ 4. การบริหารความเสีย่ งด้านการปฏิบตั ติ ามกฎหมาย/ กฎระเบียบ สถานศึกษาควรสํงเสริมให๎ครู และบุคลากรทางการศึกษามีความร๎ูความเข๎าใจเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ ท่ีเกี่ยวข๎องในด๎านการ รกั ษาวนิ ยั เพือ่ สร๎างเจตคตทิ ี่ดใี นการปฏิบตั ิงานและการปฏิบัติตน เอกสารอ้างองิ กิตติพันธ๑ คงสวัสดิ์เกียรติ. (2554). การจัดการความเส่ียงและตราสารอนุพันธ์เบ้ืองต้น. พิมพ๑คร้ังท่ี 4 กรงุ เทพมหานคร : เพียร๑สนั เอ็ดดูเคชน่ั อนิ โดไชนาํ . กรรณิการ๑ พงศก๑ ติ ติธชั (2553). สภาพและปัญหาการบรหิ ารความเสี่ยงในโรงเรียนมัธยมศึกษา สานักงาน เขตพืน้ ท่ี การศึกษาหนองคาย. (วทิ ยานพิ นธ๑ศกึ ษาศาสตรมาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา มหาวิ ยาลัยราชภัฏอดุ รธานี). ฉลอง ฉิมสุข. (2540). ความพอใจของครู ต่อการปูองกันการกระทาผิดวินัย ข้าราชการครูของผู้บริหาร โรงเรียนมัธยมศึกษา สังกัด กรมสามัญศึกษา จังหวัดนครสวรรค์. (วิทยานิพนธ๑ปริญญาศึกษา ศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒประสานมติ ร). ชํอผกา บรรทะโก. (2558). การบริหารความเส่ียงด้านการเงินของสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ในเขตอาเภอธาตุพนมจังหวัดนครพนม. (วิทยานิพนธ๑ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการ บรหิ าร มหาวิทยาลัยนครพนม). ณัฐตะวนั ลิม้ ประสงค๑1. (2560). ปจั จัยท่มี ผี ลตอ่ การกระทาผิดวินัยของขา้ ราชการครู สงั กัดสานกั งาน เขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษา จังหวดั เพชรบรู ณ์.(วทิ ยานิพนธค๑ รุศาสตรมหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั ราชภฏั เพชรบรู ณ๑). การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 604
ทรงศักด์ิ ศรีวงษา. (2550). การบริหารเชิงกลยุทธ์ในโรงเรียนประถมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาจังหวัดอุดรธานี. (วิทยานิพนธ๑ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎอุดรธานี). บญุ ชม ศรีสะอาด. (2556). วธิ กี ารทางสถติ ิสาหรับการวิจยั เล่ม 1 (พมิ พค๑ รั้งที่ 5). กรุงทพฯ: สวุ รี ยิ าสาส๑น เมทนี แก๎วอาษา. (2556). สภาพการปฏิบัติงานของครูในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 2. (วิทยานิพนธ๑ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหาร การศกึ ษา มหาวิทยาลัยราชภฎั อบุ ลราชธานี). มยรุ ฉัตร เงินทอง. (2557). การศึกษาปญั หาการบรหิ ารจัดการโรงเรยี นขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาพิษณุโลก เขต 3. (วิทยานิพนธ๑ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหาร การศึกษา มหาวทิ ยาลัยราชภฎั พิบูลสงคราม). ลดารตั น๑ ศศิธร. (2558). ศกึ ษาการบริหารจดั การโรงเรยี นขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วม สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่. (วิทยานิพนธ๑ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขา บรหิ ารการศึกษา มหาวทิ ยาลัยหาดใหญํ). สทุ ศั น๑ ลาหนองแค. (2550). การปฏิบัติตามแผนกลยทุ ธข์ องสถานศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน สังกัดสานกั งานเขต พ้นื ที่การศกึ ษามหาสารคาม เขต 2. (วทิ ยานพิ นธป๑ รญิ ญาครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการ บรหิ ารการศกึ ษา มหาวิทยาลัยราชภฎั มหาสารคาม). สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข๎าราชการ (สานักงาน ก.พ.ร.) . (2552). คู่มือคาอธิบายตัวช้ีวัดการ พัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 สาหรับส่วนราชการ ระดับกรม. กรงุ เทพมหานคร. สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. (2559). แผนบริหารความเส่ียงของสานักงานปลัดกระทรวง ศึกษาธิการ. ถํายเอกสาร. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 605
การบริหารตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผบู้ ริหารสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน กลุม่ โรงเรยี น นางวิ้ โนนสมบูรณ์สังกดั สานักงานเขตพนื้ ท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาขอนแก่น เขต 4 Principles of Good Governance of School Administrators. Na-ngiew Non Somboon School Under the Office of KhonKaen Primary Education Area Region 4 EDuRe006 เพญ็ สุดา ฤทธม์ิ นตรี,ศรวษิ ฐ๑ ฤทธ์ิมนตรี, วไิ ลพร ศรจี นั ทรห๑ ล๎าและดร.พา อักษรเสอื อาจารย๑และนักศึกษาปริญญาเอก สาขาบรหิ ารการศึกษามหาวทิ ยาลัยภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื E-mail: [email protected] บทคดั ย่อ การวจิ ัยครงั้ นี้มีวัตถปุ ระสงค๑ 1) เพอ่ื ศกึ ษาการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษา ขนั้ พืน้ ฐาน กลุมํ โรงเรยี นนางว้ิ โนนสมบรู ณ๑ สงั กัดสานักงานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาขอนแกํน เขต 4 2) เพือ่ เปรยี บเทียบสภาพการบรหิ ารตามหลักธรรมาภิบาลของผ๎ูบริหารสถานศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน กลุํมโรงเรยี นนา ง้ิวโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาขอนแกํนเขต 4 จาแนกตาม เพศ วฒุ ิการศกึ ษา และประสบการณ๑ ประชากรในการศกึ ษาครั้งน้ีได๎แกํ ครูในกลมุํ โรงเรียนนางิ้วโนนสมบูรณ๑ จานวน 130 คน และผศ๎ู ึกษากาหนดขนาดกลุํมตวั อยํางตามตารางของ เครจซแ่ี ละมอรแ๑ กน ไดจ๎ านวน 97 คน เคร่อื งมือที่ใชเ๎ ป็น แบบสอบถามมาตราสวํ นประมาณคํา (Rating Scale) ตามวธิ ขี องลิเคอร๑ท (Likert) มี 5 ระดับ เกี่ยวกับ การบริหารตามหลักธรรมาภิบาล 6 หลัก ประกอบด๎วย หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปรํงใส หลักการมีสํวนรํวม หลักความรับผิดชอบ หลักความคุ๎มคํา สถิติท่ีใช๎ในการวิเคราะห๑ข๎อมูล ได๎แกํ ความถี่ (frequency) รอ๎ ยละ (Percentage) คําเฉลย่ี ( X ) คําเบย่ี งเบนมาตรฐาน(S.D.) การทดสอบสมมติฐานโดยใช๎ คาํ สถติ ิ(F-test) และการทดสอบคาํ ที (T-test) ผลการวิจัย พบวําการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน กลํุม โรงเรยี นนาง้ิวโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษาขอนแกนํ เขต 4 โดยรวมและราย ด๎านอยูํในระดับมากทุกด๎าน โดยเรียงลาดับจากมากไปหาน๎อย ได๎แกํด๎านหลักความรับผิดชอบ ด๎านหลัก คณุ ธรรม ด๎านความโปรํงใส ด๎านหลักการมีสํวนรํวม ด๎านหลักนิติธรรมและหลักความค๎ุมคําตามลาดับครูที่มี เพศตาํ งกนั มคี วามคดิ เหน็ เกย่ี วกับสภาพการบรหิ ารตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผู๎บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ไมํแตกตาํ งกนั แตํครทู ่ีมีวฒุ กิ ารศึกษาและประสบการณต๑ ํางกนั มคี วามคิดเห็นตํอบริหารตามหลักธรรมาภิบาล แตกตํางกนั อยาํ งมีนยั สาคัญทางสถิติทรี่ ะดบั .05 คาสาคัญ:การบรหิ ารตามหลักธรรมาภิบาล, กลมุํ โรงเรียนนางิว้ โนนสมบรู ณ๑ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 606
ABSTRACT The purpose of this study was 1) to study the administration according to the principles of good governance of basic school administrators. Na-ngiew Non Somboon School 2) To compare the state of administration according to the principles of good governance of basic school administrators. Na-ngiew Non Somboon School under the Office of KhonKaen Primary Education Area Region 4 by Gender, Education and Experience Population in this study include: There were 130 teachers in the Na-ngiew Non Somboon school group. The tools used are the Rating Scale (Likert). There are 5 levelsof governance based on the principles of good governance. Principles of law, ethics, principles, transparency Principles of participation Accountability Principles of Value Statistics used for data analysis are frequency, percentage, mean, standard deviation (S.D.), F-test and T-test. The results of the study showed that the administration of good governance by basic school administrators. Na-ngiew Non Somboon School under the Office of KhonKaen Primary Education Area 4, the overall and individual aspects were at a high level in all aspects. In order of priority, the moral Transparency The principle of participation. The rule of law and Principles of cost-effectiveness. There were opinions on the state of administration under the principles of good governance of basic school administrators are not different But teachers with different qualifications and experience have a good opinion on governance. There were statistically significant differences at the .05 level. KEYWORDS:Principles of Good Governance, Na-ngiew Non Somboon School บทนา การพัฒนาประเทศชาติจาเป็นต๎องเร่ิมต๎นที่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย๑กํอน และในการพัฒนาน้ัน จาเป็นต๎องอาศัยการศกึ ษาเป็นเคร่ืองมือ เป็นเครื่องชนี้ าสังคม ผ๎ูท่ไี ดร๎ ับการศึกษาท่ีดีหรอื ระบบการศกึ ษาทด่ี ี มี มาตรฐานทาให๎บุคลากรมีคุณภาพเป็นกาลังสาคัญในการพัฒนาประเทศ สถานศึกษาจึงเป็นองค๑การจัด การศึกษา ผู๎มีหน๎าที่รับผิดชอบคือผ๎ูบริหารสถานศึกษา ที่ต๎องบริหารการศึกษาให๎ได๎คุณภาพ ซ่ึงการจัด การศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐนั้นกระทรวงศึกษาธิการได๎กระจายอานาจการบริหารและการจัด การศึกษาท้งั ดา๎ นวชิ าการ งบประมาณ การบริหารงานบคุ คล และการบริหารทั่วไปมายังสถานศึกษามีความ เปน็ อสิ ระและคลอํ งตัวสามารถบรหิ ารจัดการอยาํ งมปี ระสิทธิภาพ ตามหลกั การกระจายอานาจและการบรหิ าร โดยใชโ๎ รงเรียนเป็นฐาน มํุงใหก๎ ารบริหารจดั การศึกษาเบ็ดเสรจ็ ทส่ี ถานศกึ ษา ดงั นัน้ ผ๎ูบรหิ ารสถานศกึ ษาจึงเปน็ ผู๎นาความเป็นเลิศมาสํูสถานศึกษา การเป็นผ๎ูบริหารท่ีดีต๎องมีวิสัยทัศน๑ ความร๎ู ความสามารถ คุณธรรม การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 607
จริยธรรม และทกั ษะเฉพาะดา๎ นในการบรหิ ารที่จะพาองค๑กรไปสูํเปูาหมาย ซ่ึงคุณภาพการศึกษาผ๎ูบริหารยุค ใหมํจะต๎องใชค๎ วามรูค๎ วามสามารถทาใหก๎ ารปฏริ ูปการศกึ ษาประสบความสาเรจ็ ได๎ พระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พุทธศักราช 2542 และฉบับแก๎ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2545 มาตรา 6 การจัดการศึกษาต๎องเป็นไปเพ่ือพัฒนาคนไทยให๎เป็นมนุษย๑ท่ีสมบูรณ๑ทั้งรํางกายจิตใจ สติป๓ญญา ความร๎ู และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยํูรํวมกับผ๎ูอื่นได๎อยํางมีความสุข (พระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ, 2542) ซึ่งจากการปฏิรูปการศึกษาท่ีผํานมา กระทรวงศึกษาธิการโดย สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน ไดศ๎ ึกษาวจิ ัยและประเมินโครงการตํางๆ สรุปได๎ ประเด็นใหญํๆ ดงั นี้ 1)โรงเรียนทจ่ี ะพัฒนาครูและบุคลากรให๎มีความพร๎อมในทุกด๎านผ๎ูบริหารเป็นผู๎มีบทบาทสาคัญท่ีสุด 2) ผ๎บู ริหารเป็นองค๑ประกอบทสี่ าคัญที่สดุ ที่จะทาให๎การบรหิ ารโรงเรียนประสบความสาเร็จ ผ๎ูบริหารต๎องมีภาวะ ผน๎ู า มีวสิ ัยทัศน๑ ทันตอํ การเปล่ยี นแปลงของสงั คมโลก มีมนุษยสัมพนั ธ๑ มีความสามารถในการบริหารจัดการ มี ความตระหนักในการสํงเสริม สนับสนุนรํวมคิดรํวมทา นิเทศงาน ติดตาม กากับดูแลให๎ขวัญและกาลังใจ กระต๎ุนใหเ๎ กิดความรํวมมือในการทางาน กระจายการทางานอยาํ งทวั่ ถงึ เปน็ ที่ปรึกษาให๎คาแนะนาใหท๎ ุกคนเกิด ความรํวมมอื ทางานเป็นทีมอยาํ งตํอเนอื่ ง สามารถรวํ มงานกับบคุ ลากรตํางๆทเ่ี ก่ยี วข๎องไดอ๎ ยํางมปี ระสทิ ธิภาพ (สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา,2555) การบริหารงานทั่วไปหากมํุงหวังท่จี ะใหเ๎ กิดประสทิ ธภิ าพ และความสาเร็จตอํ องค๑กรผ๎ูบริหารในระดับ ตํางๆ ยอํ มทีจ่ ะต๎องอาศัยหลักการ แนวคิด ทฤษฎีทางการบริหารมาประยุกต๑ใช๎เป็นแนวทางในการบริหารให๎ เหมาะสมกับสถานการณ๑ หลกั ธรรมาภิบาลหรือหลักการบริหารกิจการบ๎านเมืองและสังคมที่ดี เป็นหลักการ บริหารทีไ่ ด๎รับการยอมรับวําสามารถแก๎ป๓ญหาและพัฒนาการดาเนินงานได๎อยํางมีประสิทธิภาพและมีความ ย่ังยืน(ประพัฒน๑ โพธิวรคุณ, 2544, หน๎า 1-5 และวรภัทธโตธนเกษม, 2541, หน๎า 51-54) ซ่ึงองค๑ประกอบ ของหลักธรรมาภบิ าลในระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีวําด๎วยการบริหารกิจการบ๎านเมือ งท่ีดี พ.ศ. 2542 และ พระราชกฤษฎีกาวาํ ด๎วยหลกั เกณฑแ๑ ละวธิ ีการบริหารกิจการบ๎านเมืองท่ีดี พ.ศ. 2546 ที่ต๎องการปฏิรูประบบ ราชการ เพื่อใหก๎ ารปฏิบตั ิงานของสํวนราชการเกิดผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพ เกิดความคุ๎มคํา และประชาชน ไดร๎ ับการบริการที่ตอบสนองความต๎องการประกอบด๎วยหลักตํางๆ ดังนี้ 1) หลักนิติธรรม 2)หลักคุณธรรม 3)หลักความโปรงํ ใส 4)หลกั การมสี ํวนรวํ ม 5)หลักความรบั ผดิ ชอบและ 6)หลกั ความค๎มุ คํา ผ๎ูบรหิ ารสถานศกึ ษาเปน็ ผ๎ูรบั ผิดชอบ ควบคมุ กากับดูแลการจัดการศึกษาภายในสถานศึกษาของตน เป็นไปด๎วยความเรียบรอ๎ ย บรรลุจดุ มํงุ หมายที่กาหนดไว๎อยาํ งมปี ระสิทธิภาพ ผ๎บู รหิ ารมีหนา๎ ท่ีท่ีตอ๎ งปฏบิ ัติงาน ใกล๎ชิดกับครูผ๎ูสอนและนักเรียนมากท่ีสุด “งานบริหารมีเปูาหมายสาคัญอยํูท่ีคุณภาพของนักเรียน ซ่ึงเป็น ผลผลติ ของการจดั การศกึ ษา” (สงัด อทุ รานนั ท๑, 2530, หนา๎ 34)คุณภาพของนกั เรียน และผลสัมฤทธ์ิทางการ เรยี นของนักเรียนข้ึนอยูํกับ พฤติกรรมและความสามารถในการบริหารงานของผู๎บริหารโรงเรียนเป็นสาคัญ นอกจากนรี้ ุํง แก๎ว แดง(อา๎ งถึงในสมศกั ดิ์ เจริญพานิชเสรี, 2545,หน๎า 8) ยงั กลาํ วถงึ ความสัมพนั ธ๑ของผู๎บริหาร สถานศึกษากับ ความสาเร็จ สรุปได๎วํา ผู๎บริหารสถานศึกษาเป็นผ๎ูที่มีบทบาทสาคัญในการปฏิรูปการศึกษา ระดับสถานศกึ ษา ดงั ทไ่ี ด๎มีผูศ๎ ึกษาค๎นคว๎า วิจัยและสํวนใหญํพบวํา ผู๎บริหารที่เอาใจใสํตํองานวิชาการ ทุํมเท การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 608
ให๎กับงานพัฒนาการเรียนการสอน มีคุณธรรม และมีภาวะผ๎ูนาเป็นป๓จจัยสาคัญที่สํงผลตํอความสาเร็จของ สถานศกึ ษา ทาให๎ผู๎เรียนมผี ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นท่ีดี อกี ทัง้ บุคลากรยงั ได๎รับการพัฒนาและมีขวัญกาลังใจใน การทางาน และในการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลส่ิงที่สาคัญ คือทรัพยากร และทรัพยากรคือ ป๓จจัยพ้ืนฐานที่ใช๎ในการบริหารได๎แกํคน(man) วัสดุส่ิงของ(material) วิธีจัดการ(management) และ งบประมาณ(money) หรอื ที่เรยี กยํอวาํ 4 M’s การทจี่ ดั วําปจ๓ จยั ท้ังสเี่ ป็นป๓จจยั พืน้ ฐานท่ีจาเป็นในการบริหาร เนือ่ งจากการบรหิ ารทุกประเภทตอ๎ งอาศยั คน วัสดุสง่ิ ของ วิธีจดั การ และงบประมาณเป็นองค๑ประกอบที่สาคัญ (สมพงษ๑ เกษมสิน, 2524, หนา๎ 7) ในประเทศท่ีกาลังพัฒนาเชํนประเทศไทยซ่ึงมีทรัพยากรที่มีอยํูอยํางจากัด ความจาเป็นทีต่ ๎องบริหารอยํางมีประสิทธิภาพ โดยพยายามใช๎ทรัพยากรที่มีอยูํอยํางจากัด ให๎เกิดประโยชน๑ สงู สุด จงึ เปน็ ส่งิ ท่ีท๎าทายความสามารถของผ๎บู ริหารการศึกษาไทยเปน็ อยํางย่งิ กลมํุ โรงเรยี นนางิว้ โนนสมบูรณ๑ มที ัง้ หมด 12 โรงเรียนซ่ึงสํวนมากเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก มีขอ๎ จากัดใน การบริหารจัดการภายใต๎ทรัพยากรท่ีจากัด ด๎วยเหตุผลดังกลําวข๎างต๎น ผู๎วิจัยในฐานะบุคลากรผู๎มีความ เกี่ยวข๎อง จึงมคี วามสนใจที่จะศึกษาวําการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐา น กลํุมโรงเรียนนาง้ิวโนนสมบูรณ๑วํามีสภาพเป็นอยํางไร สภาพการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผ๎ูบริหาร สถานศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน ตามความคิดเหน็ ของครู จาแนกตาม เพศ วุฒิการศกึ ษา และประสบการณ๑ แตกตาํ งกัน หรือไมํและแนวทางการบริหารตามหลกั ธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษาขัน้ พื้นฐาน ควรเป็นอยํางไร เพ่ือ จะได๎นาผลการศกึ ษาไปใช๎เปน็ สารสนเทศใหเ๎ กิดประโยชนแ๑ ละมีประสทิ ธภิ าพของผู๎บรหิ ารสถานศึกษาในสังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาขอนแกนํ เขต 4 ตํอไป วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั 1. เพื่อศกึ ษาสภาพการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผบู๎ รหิ ารสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน กลุํมโรงเรียน นางวิ้ โนนสมบูรณ๑ สังกดั สานกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษาขอนแกนํ เขต 4 2. เพ่อื เปรียบเทียบสภาพการบริหารตามหลกั ธรรมาภิบาลของผ๎ูบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กลํุม โรงเรยี นนาง้ิวโนนสมบูรณ๑ สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแกํนเขต 4 จาแนกตาม เพศ วุฒิการศึกษา และประสบการณ๑ วิธดี าเนนิ การวจิ ัย รูปแบบของการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงสารวจ (Survey Research) โดยมีวิธีดาเนินการวิจัยซ่ึง ประกอบดว๎ ยประชากรกลํมุ ตวั อยําง การสรา๎ งเคร่ืองมอื ในการวิจัย การเก็บรวบรวมขอ๎ มลู การวเิ คราะห๑ข๎อมูล สถิติทใี่ ช๎ในการวจิ ยั และสถิตทิ ีใ่ ชใ๎ นการวเิ คราะหข๑ อ๎ มูล ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 609
1. ประชากรท่ีใช๎ในการวิเคราะห๑ข๎อมูลครั้งนี้ คือ ครูท่ีปฏิบัติงานในกลํุมโรงเรียนนางิ้วโนนสมบูรณ๑ สงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาขอนแกํนเขต 4 ปีการศึกษา 2560ใน 12 โรงเรียนคือโรงเรียน บ๎านนาง๎อง, โรงเรียนบ๎านนางิ้วนาโพธ์ิ, โรงเรียนบ๎านโนนสวรรค๑ประชารั ฐรังสรรค๑,โรงเรียนบ๎านแสงสวําง, โรงเรียนบ๎านขามปอู มดงเย็น, โรงเรียนบ๎านหวั ฝายประชานุกูล, โรงเรียนบ๎านทุํงโพธ์ิชัย, โรงเรียนบ๎านโนนหัว ช๎าง, โรงเรยี นบา๎ นคาปุากอํ , โรงเรียนบ๎านโคกกลางนาล๎อม, โรงเรยี นชุมชนโนนสมบูรณ๑ และโรงเรียนปุาเปือย เทพอานวยจานวนทั้งส้ิน 130 คน (ขอ๎ มูลจากกลํุมงานบคุ คล สพป.ขก 4 ณ 10 มถิ นุ ายน 2560) 2. กลุํมตวั อยําง ผวู๎ จิ ัยเลือกกลํุมตัวอยํางโดยใช๎ตารางของเครจซีและมอร๑แกน ( Krejcie & Morgan, 1970 : 608) ใช๎วิธสี ุมํ อยํางงําย (Simple Random Sampling) ได๎กลุํมตัวอยาํ งจานวน 97 คน เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เครอ่ื งมือท่ใี ชใ๎ นการวจิ ยั เปน็ แบบสอบถามเกีย่ วกบั การใช๎หลักธรรมาภิบาลของผ๎บู รหิ ารสถานศกึ ษาใน กลุํมโรงเรยี นนาง้วิ โนนสมบรู ณ๑ สังกัดสานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาขอนแกนํ เขต 4 ประกอบด๎วย 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 สถานภาพของผูต๎ อบแบบสอบถาม ซึ่งลักษณะของแบบสอบถามเปน็ แบบเลือกตอบ (Check List) ตามรายการท่ีกาหนด ตอนท่ี 2 แบบสอบถามเกีย่ วกบั การบรหิ ารตามหลกั ธรรมาภิบาลของผบู๎ รหิ ารสถานศกึ ษากลมุํ โรงเรียน นาง้ิวโนนสมบรู ณ๑ สงั กดั สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแกํน เขต 4 ใน 6 หลัก ประกอบด๎วย หลักนิติธรรม หลกั คุณธรรม หลักความโปรํงใส หลกั การมีสํวนรํวม หลักความรับผิดชอบ หลักความค๎ุมคํา มี ลกั ษณะเป็นแบบมาตราสํวนประมาณคํา (Rating Scale) ตามวิธีของลเิ คอร๑ท (Likert) มี 5 ระดับ การสร้างและทดสอบเครือ่ งมอื ผ๎วู จิ ยั ไดท๎ าการสรา๎ งเครอ่ื งมอื สาหรบั การศึกษาเปน็ แบบสอบถามเกย่ี วกบั ความคิดเห็นตํอการบริหาร ตามหลักธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษา ในกลํุมโรงเรียนนางิ้วโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาขอนแกํน เขต 4 โดยผู๎ศึกษาได๎ศึกษาค๎นคว๎าและดาเนินการส ร๎างแบบสอบถามตาม ขั้นตอนดงั น้ี 1. ศกึ ษาเอกสารแนวคิด ทฤษฎี ตารางส่ิงพิมพ๑ บทความ และงานวิจัยเกี่ยวข๎อง เพื่อเป็นแนวทางใน การสรา๎ งแบบสอบถามและพฒั นาปรับปรงุ แบบสอบถามให๎ครอบคลุมตรงตามเนอ้ื หาของเร่ืองที่ทาการศกึ ษา 2. ศึกษาวิธีสร๎างเคร่อื งมือแบบมาตราสํวนประมาณคํา(Rating Scale) ตามวิธีของลิเคอร๑ท(Likert)5 ระดับ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 610
3. ในการวิจัยคร้ังน้ีผู๎ศึกษานาแบบสอบถามของ (ทรรศนีย๑ คลองร้ัว, 2556 : 94-102 )มาปรับปรุง และหาคณุ ภาพของเครอ่ื งมือใหมํ เพื่อใช๎ในการศกึ ษาในครง้ั น้ี 4. นาแบบสอบถามเสนอผู๎เช่ียวชาญ จานวน 3 ทํานเพ่ือตรวจสอบความถูกต๎อง และพิจารณาให๎ ขอ๎ เสนอแนะ 5. เสนอแบบสอบถามฉบับราํ งตอํ ผ๎เู ช่ยี วชาญ เพื่อตรวจสอบความถูกต๎อง ความเหมาะสมของเนื้อหา และสานวนภาษาทีใ่ ช๎ แลว๎ นามาปรับปรงุ แกไ๎ ข 6. นาแบบสอบถามมาปรับปรงุ และตรวจแก๎ไขตามข๎อเสนอแนะ 7. นาแบบสอบถามที่ปรับปรุงแก๎ไขแล๎วไปทดลองใช๎ (Try-out) กับครูไมํใชํกลุํมตัวอยํางจานวน 30 คนแล๎วนาผลมาวิเคราะหห๑ าคําความเช่อื มนั่ ของแบบสอบถามโดยการหาคําสัมประสิทธิ์อัลฟาของครอนบาค (Cronbach, 1997 : 202 - 204) 8. นาแบบสอบถามแตํละข๎อทม่ี ีคําอานาจจาแนกเขา๎ เกณฑ๑ตามต๎องการมาวิเคราะหห๑ าคําความเช่อื ม่ัน ของแบบสอบถามท้ังฉบบั โดยวิธกี ารหาคําสัมประสิทธิ์แอลฟา(Alpha coefficient) ตามวิธีของครอนบาค (Cronbach) พบวํา มคี ําความเชอื่ ม่นั ทง้ั ฉบบั เทาํ กบั 0.99 9. จัดพิมพแ๑ บบสอบถามฉบบั สมบูรณ๑ เพื่อนาไปเก็บรวบรวมขอ๎ มลู กับกลํมุ ตัวอยํางทศ่ี กึ ษาตํอไป การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผว๎ู จิ ยั ดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมข๎อมลู ตามลาดับ ดังน้ี 1. ผว๎ู จิ ยั ทาหนงั สอื นาสงํ แบบสอบถาม โดยผศู๎ กึ ษานาสํงด๎วยตนเอง เพอื่ ชีแ้ จงวัตถุประสงค๑และวิธีการ เก็บข๎อมูลของการศึกษา โดยขอความรํวมมือในการตอบแบบสอบถามด๎วยตนเองอีกครั้งหน่ึง ตลอดจนขอ ความอนุเคราะหใ๑ หช๎ ํวยตอบแบบสอบถามและรบั คืนด๎วยตนเอง 2. นาแบบสอบถามท่ไี ด๎รบั คนื มาตรวจสอบความสมบูรณ๑ แลว๎ กาหนดรหสั แบบสอบถาม เพ่ือนาไปใช๎ วิเคราะหแ๑ ละแปลผลข๎อมลู ตํอไป การวเิ คราะห์ข้อมลู ในการวเิ คราะห๑ขอ๎ มลู ผ๎ศู ึกษาไดว๎ ิเคราะหข๑ ๎อมลู โดยใช๎คอมพวิ เตอร๑ โปรแกรมสาเรจ็ รปู โดยทาการวเิ คราะห๑ขอ๎ มูลตามข้นั ตอน ดังน้ี 1.วิเคราะห๑ข๎อมูลตอนที่ 1 สถานภาพของผู๎ตอบแบบสอบถาม จาแนกเป็น เพศ วุฒิ การศกึ ษา และประสบการณ๑ของกลํมุ ตวั อยํางทตี่ อบแบบสอบถามโดยหาความถี่ (frequency) และร๎อยละ (Percentage) การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 611
2. วิเคราะห๑ข๎อมูลตอนท่ี 2 ความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของ ผ๎ูบริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กลํุมนางิ้วโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา ขอนแกํน เขต 4 ทง้ั โดยภาพรวม รายด๎านและรายข๎อ โดยหาคําเฉลี่ย ( X ) และสํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) แลว๎ นาไปเปรยี บเทียบกบั เกณฑ๑คาํ เฉลย่ี แล๎วแปลความหมาย 3. วิเคราะหเ๑ ปรียบเทียบระดบั การบรหิ ารตามหลักธรรมาภบิ าลของผู๎บริหารสถานศึกษาข้ัน พื้นฐาน กลุํมโรงเรียนนาง้ิวโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแกํน เขต 4 จาแนกตามเพศและวฒุ กิ ารศกึ ษา โดยการทดสอบที (t – test แบบ Independent samples) 4. วิเคราะห๑เปรยี บเทยี บระดับการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษาขั้น พ้ืนฐาน กลํุมโรงเรียนนาง้ิวโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแกํน เขต 4 จาแนกตามประสบการณ๑ โดยการวเิ คราะห๑ความแปรปรวนทางเดียว (F-test แบบ One way ANOVA) สถิติทใี่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมลู ผู๎วจิ ยั ใชส๎ ถิติในการวเิ คราะห๑ข๎อมูลคือ สถิตเิ ชิงพรรณนา ได๎แกํคําความถี่ (Frequency),คําร๎อยละ (Percentage),คําเฉลย่ี (Mean : X ),สํวนเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard deviation : S.D.) ผลการวิเคราะห์ข้อมลู ตอนท่ี 1ผลการวเิ คราะห๑ขอ๎ มูลเกย่ี วกบั สถานภาพของผ๎ูตอบแบบสอบถาม กลํุมตวั อยํางท่ใี ช๎ในการศึกษาในครงั้ น้ี ไดแ๎ กํ ครูในสถานศึกษาข้นั พน้ื ฐาน กลํมุ โรงเรยี นนาง้วิ โนน สมบรู ณ๑ อาเภอนา้ เขาสวนกวาง สงั กัดสานกั งานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาขอนแกนํ เขต 4 ในปี การศกึ ษา 2560ผลการวิเคราะหข๑ ๎อมลู จากแบบสอบถาม จานวน 97 ฉบบั พบวาํ สภาพผ๎ตู อบแบบสอบถามโดยจาแนกตามเพศสวํ นใหญํเปน็ เพศหญิง คิดเป็นร๎อยละ 64.90 และรองลงมาเป็นเพศชาย คดิ เป็นร๎อยละ 35.10 จาแนกตามวฒุ กิ ารศึกษาสํวนใหญรํ ะดับสูงกวําปริญญาตรี คิดเป็นร๎อยละ 59.80 และรองลงมาเป็นระดับปริญญาตรี คิดเป็นร๎อยละ 40.20 และเมื่อจาแนกตาม ประสบการณ๑ พบวํา ผ๎ูตอบแบบสอบถามสํวนใหญํมีประสบการณ๑ 11 ปีข้ึนไป คิดเป็นร๎อยละ 74.20 ประสบการณ๑ 0-5 ปี คดิ เป็นร๎อยละ 13.40 และ ประสบการณ๑ 6-10 ปี คิดเปน็ ร๎อยละ 12.40 ตามลาดบั ตอนท่ี 2 วิเคราะห๑การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผ๎ูบริหารสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กลุํม โรงเรียนนางิว้ โนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแกํน เขต 4 โดยภาพรวม และรายด๎าน การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 612
ตารางที่ 1 การบริหารตามหลกั ธรรมาภบิ าล ระดบั ความคิดเห็น ด้านที่ ของผบู้ รหิ ารสถานศึกษาขน้ั พื้นฐาน หลกั นิติธรรม X S.D. แปลผล อนั ดบั ท่ี 1. หลกั คุณธรรม 4.38 0.459 มาก 5 2. หลกั ความโปรงํ ใส 3. หลกั ความมสี ํวนรวํ ม 4.47 0.455 มาก 2 4. หลกั ความรับผดิ ชอบ 5. หลกั ความค๎มุ คาํ 4.44 0.343 มาก 3 6. โดยภาพรวม 4.42 0.316 มาก 4 4.49 0.335 มาก 1 4.32 0.350 มาก 6 4.42 0.274 มาก จากตารางท่ี 1พบวาํ การบรหิ ารตามหลกั ธรรมาภิบาลของผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน กลํมุ โรงเรียนนาง้ิว โนนสมบรู ณ๑ สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาขอนแกํน เขต 4 โดยภาพรวมอยํูในระดับมาก ( X = 4.42 ) และเมอื่ พิจารณาเป็นรายด๎าน พบวําการบรหิ ารตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผบ๎ู รหิ ารสถานศกึ ษาข้ัน พ้ืนฐาน สังกดั สานักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษาขอนแกนํ เขต 4 อยํูในระดับมาก ทุกดา๎ นเรียงลาดับ จากมากไปน๎อย คอื หลกั ความรับผดิ ชอบ ( X = 4.49) หลักคุณธรรม ( X = 4.47) และหลักความโปรํงใส( X = 4.44) หลักความมีสํวนรํวม ( X = 4.42) หลักนิติธรรม ( X = 4.38) และหลักความคุ๎มคํา ( X = 4.32) ตามลาดับ ตอนท่ี 3ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นตํอการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู๎บริหาร สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุํมโรงเรียนนางิ้วโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา ขอนแกนํ เขต 4จาแนกตามเพศ วฒุ ิการศึกษา และประสบการณ๑ ตารางท่ี 2จาแนกตามเพศโดยภาพรวม เพศ จานวน Mean S.D. t Sig. ชาย 34 4.46 0.236 0.942 0.175 หญงิ 63 4.40 0.293 รวม 97 4.43 0.265 จากตารางที่ 2 พบวํา ครูที่มีเพศตํางกันมีความคิดเห็นตํอการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของ ผู๎บริหารสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานกลํุมโรงเรียนนางิ้วโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศกึ ษาขอนแกนํ เขต 4 โดยภาพรวม ไมแํ ตกตํางกัน การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 613
ตารางที่ 3 จาแนกตามวฒุ ิการศึกษา โดยภาพรวม วุฒกิ ารศกึ ษา จานวน Mean S.D. t Sig. ปริญญาตรี 39 4.19 0.145 10.072 0.000 สงู กวาํ ปรญิ ญาตรี 58 4.59 0.217 รวม 97 4.39 0.181 * ระดบั นัยสาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั 0.05 จากตารางท่ี 3 จาแนกตามวุฒิการศึกษา พบวํา ครูท่ีมีวุฒิการศึกษาตํางกันมีความคิดเห็นตํอการ บริหารตามหลัก ธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน กลํุมโรงเรียนนางิ้วโนนสมบูรณ๑ สังกัด สานักงานเขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาขอนแกนํ เขต 4โดยภาพรวม แตกตํางกันอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ ท่ี ระดบั 0.05 ตารางที่ 4 จาแนกตามประสบการณ๑ โดยภาพรวม แหล่งความแปรปรวน df SS MS F Sig. 36.376* 0.000 ระหวํางกลํมุ 2 3.150 1.575 ภายในกลุํม 94 4.070 0.043 รวม 96 7.221 * ระดบั นยั สาคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั 0.05 จากตารางท่ี 4 จาแนกตามประสบการณ๑ โดยภาพรวมพบวาํ ครูท่ีมปี ระสบการณ๑ 11 ปี ขึ้นไป มี ความคิดเห็นตํอบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษาประถมศกึ ษาขอนแกนํ เขต 4 สูงกวาํ ครทู ีม่ ปี ระสบการณ๑ 0 – 5 ปี และ 6 - 10 ปีข้ึนไป อยํางมี นยั สาคัญทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .05 สรปุ ผลการวจิ ยั และอภปิ รายผล จากการศกึ ษาการบรหิ ารตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผบ๎ู รหิ ารสถานศกึ ษากลุมํ โรงเรียนนาง้วิ โนน สมบรู ณ๑ สงั กัดสานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษา ขอนแกํนเขต 4 สามารถสรปุ ผลการศกึ ษาไดด๎ งั นี้ 1. สภาพผู๎ตอบแบบสอบถามโดยจาแนกตามเพศสวํ นใหญํเปน็ เพศหญิง คดิ เป็นร๎อยละ 64.90 และ รองลงมาเป็นเพศชาย คดิ เปน็ รอ๎ ยละ 35.10 จาแนกตามวุฒกิ ารศึกษาสวํ นใหญรํ ะดับปรญิ ญาตรี คดิ เป็นรอ๎ ย ละ 39.20 และรองลงมาเป็นระดับสูงกวําปริญญาตรี คิดเป็นร๎อยละ 60.80 และเม่ือจาแนกตาม ประสบการณ๑ พบวําผ๎ูตอบแบบสอบถามสํวนใหญํมีประสบการณ๑ 11 ปีข้ึนไป คิดเป็นร๎อยละ 66.00 ประสบการณ๑ 6-7 ปีคิดเปน็ ร๎อยละ 22.70 และประสบการณ๑ 0-5 ปี คิดเปน็ รอ๎ ยละ 11.30 ตามลาดับ 2. การบริหารตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผบู๎ ริหารสถานศึกษากลุํมโรงเรียนนางิ้วโนนสมบูรณ๑ สังกัด สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษา ขอนแกํนเขต 4 โดยภาพรวม อยูํในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็น การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 614
รายด๎าน พบวํา อยูํในระดับมากทุกด๎าน เรียงลาดับจากมากไปน๎อย คือ 1) หลักความรับผิดชอบ2)หลัก คุณธรรม 3) หลกั ความโปรํงใส 4) หลักความมีสํวนรวํ ม 5) หลักนติ ธิ รรม 6) หลกั ความค๎มุ คาํ ตามลาดับ 3.การเปรียบเทียบความคิดเห็นตํอการบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผ๎ูบริหารสถานศึกษาข้ัน พ้ืนฐาน กลํุมโรงเรียนนาง้ิวโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแกํน เขต 4 จาแนกตามเพศ พบวาํ ครทู ี่มีเพศตาํ งกัน มีความคดิ เหน็ โดยภาพรวมไมแํ ตกตํางกนั 4.การเปรียบเทียบความคิดเห็นตํอการบริหารตามหลักธรรมมาภิบาลของผ๎ูบริหารสถานศึกษาข้ัน พน้ื ฐาน สงั กัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาขอนแกํน เขต 4 จาแนกตามวุฒิการศึกษา พบวํา ครูท่ีมวี ุฒิการศกึ ษาตาํ งกันมีความคดิ เห็นโดยภาพรวม แตกตาํ งกัน อยํางมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ี่ ระดบั 0.05 5. การเปรยี บเทยี บความคิดเหน็ ตํอบรหิ ารตามหลักธรรมาภิบาลของผบู๎ ริหารสถานศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน กลุํมโรงเรยี นนางวิ้ โนนสมบูรณ๑ สังกัดสานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศกึ ษาขอนแกํน เขต 4 จาแนกตาม ประสบการณ๑ โดยภาพรวมพบวํา ครทู ่ีมปี ระสบการณ๑ 11 ปี มคี วามคิดเหน็ สูงกวาํ ครูทีม่ ีประสบการณ๑ 0 – 5 ปี และ 6-10 ปี อยาํ งมนี ัยสาคัญทางสถิติท่ีระดบั .05 อภิปรายผล 1. การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน กลํุมโรงเรียนนาง้ิวโนน สมบรู ณ๑สงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษา ขอนแกนํ เขต 4 โดยภาพรวมอยูํใน ระดบั มากทกุ ด๎าน ทั้งน้เี ป็นเพราะผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษาในป๓จจบุ นั มีลกั ษณะเปน็ นักบรหิ ารมอื อาชีพเปน็ ผูน๎ าแหํงการเปลยี่ นแปลงมี ความรับผิดชอบสูงสามารถกาหนดกรอบการวางแผนในการปฏิบตั ิงานอยาํ งชดั เจนมคี วามรู๎ความเข๎าใจเก่ยี วกบั กฎเกณฑก๑ ติการะเบียบวนิ ยั หรือข๎อบังคับตาํ งๆในการปฏิบตั ิงานตลอดจนผ๎บู ริหารควรมเี หตผุ ลมีความยุติธรรม และเป็นที่ยอมรับของประชาชนสร๎างจิตสานกึ ในการใช๎ทรัพยากรโดยเน๎นให๎ชุมชนประชาชนเข๎ามามีสํวนรํวม ในการบรหิ ารมีการตดิ ตามประเมินผลในการปฏบิ ัตงิ านซ่ึงผลสอดคลอ๎ งกับงานวิจัยของดุจดาว จิตใส (2554 : 98) ศึกษาการใช๎หลักธรรมาภิบาลของผ๎ูบริหารกับการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลกลํุม การศึกษาทอ๎ งถิ่นท่ี 5 ซึ่งพบวํามกี ารใชห๎ ลกั ธรรมาภบิ าล โดยภาพรวมอยํูในระดับมาก เชํนเดียวกับสมคิดมา วงศ๑ (2554 : 75) เมอื่ พิจารณาโดยภาพรวมพบวําทุกดา๎ นอยูํในระดับมาก และเมื่อพิจารณาเป็นรายด๎านพบวําด๎านท่ีปฏิบัติงานเกี่ยวกับการใช๎หลักธรรมาภิบาลของ ผ๎ูบริหาร สถานศกึ ษา กลุํมโรงเรยี นนาง้วิ โนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา ขอนแกํนเขต 4 สงู สุดได๎แกํด๎านหลักความรับผิดชอบรองลงมาคือด๎านหลกั คณุ ธรรมดา๎ นความคม๎ุ คาํ ดา๎ นหลักความโปรํงใสด๎าน หลกั การมสี วํ นรํวมและด๎านหลกั นิตธิ รรมตามลาดับซง่ึ สอดคลอ๎ งกบั งานวิจัยของเสริมเกื้อสังข๑ (2551 : 70) ได๎ ศกึ ษาการใชห๎ ลักธรรมาภบิ าลของผู๎บริหารสถานศกึ ษาสงั กัดเทศบาลนครตรงั พบวําผ๎ูบริหารสถานศึกษามีการ ใชห๎ ลกั ธรรมาภบิ าลอยํูในระดับมากในทุกหลัก โดยเรียงลาดับจากมากไปหาน๎อยได๎แกํหลักความรับผิดชอบ หลกั นิติธรรมหลกั คุณธรรมหลกั ความคุม๎ คําหลกั ความโปรงํ ใสหลกั การมสี ํวนรํวมและเชนํ เดยี วกับสุจิตรามจี ารัส การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 615
(2550 : 88) ไดศ๎ ึกษาการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษาอาเภอทํามะกาสังกัดเขต พนื้ ทก่ี ารศกึ ษากาญจนบรุ ีเขต 2 พบวําการบริหารงานตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษาทงั้ 6 ด๎าน คอื หลกั ความรับผิดชอบหลกั คุณธรรมหลักความโปรงํ ใสหลักการมีสํวนรํวมหลักความค๎ุมคําและหลักนิติธรรม โดยด๎านท่มี ีการปฏบิ ัติมากทสี่ ุดคือหลกั ความรับผิดชอบเพราะวําผู๎บริหารมีความตระหนักในหน๎าที่และความ รับผิดชอบมีการกาหนดความรับผิดชอบอยํางชัดเจนเพ่ือให๎เกิดผลสัมฤทธ์ิตํอภารกิจของรัฐบุคคลมีความ กระตือรือร๎นในการทางานใหค๎ วามรํวมมอื ในการทางานทดี่ ที างานเปน็ ทมี สงํ เสรมิ การปลกู จติ สานกึ ในการเอาใจ ใสํตํองานท้ังบุคลากรและนักเรียนโดยเน๎นให๎สานึกถึงประโยชน๑ของสํวนรํวมเป็นหลักและมีจิตใจเสียสละ ตลอดจนให๎ความรํวมมือกับทางโรงเรียนปฏิบัติตามกฎระเบียบการทางานตามที่ได๎รับมอบหมายหรือ จรรยาบรรณเพราะเป็นส่ิงท่ีต๎องปฏิบัติจึงสํงผลให๎การบริหารงา นตามหลักธรรมาภิบาลด๎านหลักความ รับผดิ ชอบของผ๎บู ริหารสถานศึกษาอยูํในระดับมาก การใชห๎ ลักธรรมาภิบาลของผบู๎ รหิ ารสถานศึกษากลุํมโรงเรียนนาง้ิวโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขต พืน้ ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาขอนแกํนเขต 4 เปน็ รายด๎านอาจเปน็ ด๎วยเหตผุ ลดังน้ี 1.1 ดา๎ นหลกั นิติธรรมเม่ือพิจารณาเป็นรายด๎านพบวําอยูํในระดับมาก ท้ังน้ีอาจเป็นเพราะวํา ผ๎ูบริหารคานึงถงึ กฎเกณฑ๑กตกิ าระเบียบวินัยหรือข๎อบงั คับตาํ งๆโดยยดึ หลักใช๎กฎเกณฑ๑หรืออานาจอยํางชอบ ธรรมตลอดจนมีความยุติธรรมความเสมอภาคให๎ความเป็นธรรมกับทุกคนและเป็นท่ียอมรับของผู๎ปกครอง ชุมชนซ่ึงสอดคล๎องกับบุษบงชัยเจริญวัฒนะและบุญมีลี้ (2544 : 18) กลําวถึงหลักนิติธรรมประกอบด๎วย กฎหมายและกฎเกณฑ๑ตาํ งๆมคี วามเป็นธรรมสามารถปกปอู งคนดแี ละลงโทษคนไมํดีไดจ๎ งึ มีการปฏิรูประเบียบ กฎหมายอยํางสม่าเสมอเหมาะสมกบั สถานการณ๑ท่ีเปล่ยี นแปลงไปป๓จจบุ ันและการดาเนนิ งานของกระบวนการ ยุติธรรมเป็นไปอยํางรวดเร็วมีความโปรํงใสสามารถตรวจสอบได๎และได๎รับการยอมรับจากประชาชนและ เชํนเดียวกบั สานักงานขา๎ ราชการพลเรือน (2542 : 9) ให๎ความหมายวาํ การตรากฎหมายที่ถูกต๎องเป็นธรรมการ บงั คบั การให๎เปน็ ไปตามกฎหมายการกาหนดกฎหมายการกาหนดกฎกติกาและการปฏบิ ตั ติ ามกฎกติกาที่ตกลง กันไว๎อยํางเครํงครัดโดยคานึงถึงสิทธิเสรีภาพความยุติธรรมของสมาชิกกระบวนการเสนอรํางกฎหมายกฎ ขอ๎ บังคบั ตํางๆเปน็ ไปดว๎ ยความชอบธรรมเนื้อหาของกฎหมายมีความทันสมัยเปน็ ธรรมเป็นที่ยอมรับของสังคม และสงั คมยินยอมพรอ๎ มใจปฏบิ ัติตามกฎหมายกฎข๎อบงั คับเหลําน้นั ตอ๎ งไมขํ ดั กบั รฐั ธรรมนญู บงั คับใช๎กับทุกคน อยํางเสมอภาคไมเํ ลือกปฏิบตั แิ ละไมขํ ัดแยง๎ กบั เจตนารมยข๑ องกฎหมายการปฏิบตั ิตามกฎหมายกฎระเบยี บท่ใี ช๎ ในการบริหารงานรํวมกันภายในภาครัฐเชํนกฎหมายกฎระเบียบที่ใช๎ในการบริหารงานงบประมาณพัสดุและ บรหิ ารงานบุคคลเอ้ือตํอการบรหิ ารที่คลอํ งตัวและรบั ผดิ ชอบตํอผลงานและประชาชนแตลํ ะองคก๑ รกติกาทใ่ี ช๎ใน การบริหารงานภายในเชํนการมาทางานหรือเข๎าประชุมให๎ตรงเวลาการให๎บริการประชาชนอยํางเสมอภาคกัน รวมถงึ ขอ๎ ตกลงในการสบั เปล่ียนหนา๎ ทภี่ ายในองค๑กร 1.2 ดา๎ นหลกั คณุ ธรรมเมือ่ พจิ ารณาเปน็ รายด๎านพบวาํ อยูํในระดบั มากทั้งน้ีอาจเป็นเพราะวํา ผู๎บรหิ ารยดึ ม่นั ในความถูกต๎องดงี ามสงํ เสรมิ สนบั สนุนให๎ประชาชนพัฒนาตนเองไปๆพร๎อมกันเพื่อให๎คนไทยมี ความซ่อื สตั ยจ๑ ริงใจขยันอดทนมรี ะเบยี บวินัยประกอบอาชีพสจุ รติ จนเป็นนิสยั ประชาชนแตลํ ะคนทาหนา๎ ท่อี ยาํ ง การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 616
ถกู ตอ๎ งเลือกทางานท่ีสุจริตและเป็นประโยชน๑ตํอสังคมตํอสํวนรวมปฏิบัติตามกฎหมายและเป็นพลเมืองดีซึ่ง สอดคล๎องกับพระธรรมปิฏก (2542 : 18) กลําววําคุณธรรมคือคณุ สมบัตทิ ีเ่ สริมสรา๎ งจิตใจให๎ดงี ามให๎เป็นจิตใจ ท่ีสูงประณตี และประเสรฐิ เชํนความรกั ความเมตตาความสงสารอยากให๎ผ๎ูอ่นื พ๎นทุกข๑ความยินดีการวางตัวเป็น กลางความมีนา้ ใจความเสียสละความกตัญ๒ูกตเวทีความละอายและกลัวบาปความเคารพนบนอบและความ สุภาพอํอนโยนและเชํนเดียวกับพระมหาอดิศรถิรสีโล (2540 : 57) 81 ให๎ความหมายคุณธรรมวํา หมายถึง ความดีสูงสดุ ปลกู ฝง๓ อยูํในนิสัยอันดีงาม อยูํในจิตสานึก ความรู๎สึกผิดชอบช่ัวดี อันเป็นเครื่องหมายเหน่ียวร้ัง ควบคุมพฤตกิ รรมท่ีแสดงออกเพือ่ สนองความปรารถนาของตน 1.3 ดา๎ นหลักความโปรํงใสเมือ่ พิจารณาเป็นรายด๎านพบวําอยํูในระดับมากท้ังนี้อาจเป็นเพราะ ผู๎บริหารมีการเปดิ เผยข๎อมูลขาํ วสารอยํางตรงไปตรงมาและสามารถตรวจสอบได๎แนวทางการปฏิบัติตามหลัก ความโปรํงใสคอื ผู๎ปฏบิ ตั จิ ะตอ๎ งเปดิ เผยขอ๎ มลู ขําวสารและใหส๎ งั คมมีสวํ นรวํ มในการตรวจสอบจะต๎องดาเนนิ งาน ตํางๆอยํางตรงไปตรงมาอยํางเปิดเผยและเป็นประโยชน๑ตํอประเทศชาติมีความสุจริตใจในการบริหารงาน ดาเนินงานตํางๆด๎วยความโปรํงใสไมํปิดบังอาพรางและเปิดโ อกาสให๎ผ๎ูมีสํวนเก่ียวข๎องได๎รํวมตัดสินใจซึ่ง สอดคลอ๎ งกับโสมนัสณบางช๎าง (2544 : 48 - 50) กลําวผ๎ูบริหารต๎องมีความโปรํงใสในการทางานไมํซํอนเร๎น หรือปิดบังและต๎องเต็มใจให๎มีกลไกในการตรวจสอบการปฏิบัติงานของทุกสํวนและเชํนเดียวกับสมานรังสิ โยกฤษณฎ๑ (2543 : 10) กลําววาํ ความสจุ ริตและความโปรํงใสหมายถงึ การบริหารราชการทม่ี ีความสุจริตความ โปรํงใสเปิดเผยตรงไปตรงมาประชาชนได๎รับขําวสารอยํางเสรีเป็นธรรมถูกต๎องและมีประสิทธิภาพสามารถ ติดตามผลและตรวจสอบได๎ 1.4 ด๎านหลักการมีสํวนรํวมเมื่อพิจารณาเป็นรายด๎านพบวําอยูํในระดับมา กท้ังน้ีอาจเป็น เพราะวาํ ผบ๎ู รหิ ารเปิดโอกาสให๎ผ๎ทู ่ีเกย่ี วข๎องในหนวํ ยงานได๎รํวมรบั รูส๎ ามารถแสดงความคิดเห็นรํวมตัดสินใจใน การปฏิบัติงานตลอดจนมีสํวนรํวมในกระบวนการตรวจสอบการทางานตํางๆทาให๎เกิดความสามัคคีมีความ ผกู พันกบั องคก๑ รซึง่ เป็นพลังใหก๎ ารดาเนนิ งานบรรลวุ ตั ถุประสงค๑เปูาหมายอยํางมปี ระสทิ ธภิ าพซ่งึ สอดคล๎องกบั วนิดาแสงสารพนั ธ๑ (2544 : 42) เหน็ วําหลักการมีสํวนรวํ มหมายถงึ กระบวนการทปี่ ระชาชนสามารถทจ่ี ะมีสํวน รวํ มในการตดั สนิ ใจอยาํ งเทําเทียมกนั ในการบริหารจดั การทางสังคมไมวํ าํ โดยทางตรงหรอื ทางอ๎อมเชนํ เดียวกับ สรุ พลพุฒคา (2544 : 56) เหน็ วาํ การมสี วํ นรํวมหมายถงึ การที่ผูบ๎ ังคับบญั ชาเปิดโอกาสให๎ผู๎ใต๎บังคับบัญชาเข๎า มาเก่ียวข๎องผูกพันกับงานท่ีตนรับผิดชอบทั้งด๎านกายและจิตใจเพ่ือให๎คนงานเกิดความพึงพอใจในงานที่ตน รับผดิ ชอบและพร๎อมทด่ี าเนินงานใหบ๎ รรลวุ ตั ถุประสงค๑อยํางมคี ุณภาพ 1.5 ด๎านหลักความรับผิดชอบเพ่ือพิจารณาเป็นรายข๎อพบวําอยูํในระดับมากทั้งน้ีอาจเป็น เพราะวําผบ๎ู รหิ ารมีความตระหนักในสทิ ธหิ นา๎ ทค่ี วามรบั ผิดชอบตํอสังคมการใสํใจป๓ญหาของสถานศึกษาและ กระตอื รอื ร๎นในการแก๎ป๓ญหาตลอดจนการเคารพในความคิดเห็นท่ีแตกตํางและกล๎าท่ีจะยอมรับผลดี และเสีย จากการกระทาของตนซ่ึงประชาชนร๎ูเข๎าใจใช๎สิทธิเสรีภาพและปฏิบัติหน๎าท่ีตามท่ีรัฐธรรมนูญกาหนดไว๎ โดยเฉพาะอยาํ งย่ิงบุคลากรจะต๎องปฏิบัติหน๎าท่ีได๎รับมอบหมายอยํางเต็มท่ีและเต็มความสามารถของแตํละ บุคคลโดยคานึงถึงสํวนรํวมเป็นหลักซึ่งสอดคล๎องกับโสมนัสณบางช๎าง (2544 : 50) กลําววํา ผ๎ูบริหารต๎อง การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 617
ปฏิบัติหน๎าที่ให๎เป็นไปตามกฎหมายและข๎อกาหนดอยํางเครํงครัดการละเลยไมํวําจะเกิดจากการจงใจหรือ ประเมินเลินเลํอที่นามาซ่งึ ความเสียหายอยํางรนุ แรงผูบ๎ ริหารต๎องรับผิดชอบอยํางเต็มท่ีเชํนเดียวกับบุษบงชัย เจริญวัฒนะและบุญมีล้ี (2544 : 54) เห็นวําการตัดสินใจใดๆของภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาชนต๎อง กระทาโดยมีพันธะความรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทากับสาธารณชนหรือผ๎ูมีสํวนได๎สํวนเสียโดยคานึงถึง ผลประโยชนท๑ ่ีเกิดแกํสํวนรวมเปน็ หลักในสง่ิ ทต่ี นเองกระทากับสาธารณชนหรือผูม๎ ีสํวนได๎สํวนเสียโดยคานึงถึง ผลประโยชนท๑ ่ีเกิดแกํสวํ นรวมเป็นหลักในสง่ิ ที่ตนเองกระทากบั สาธารณชนหรือผ๎มู สี ํวนไดส๎ วํ นเสยี โดยคานงึ ถึง ผลประโยชน๑ทเ่ี กิดข้นึ แกสํ วํ นรวมเปน็ หลัก 1.6 ดา๎ นหลกั ความคมุ๎ คําเมือ่ พิจารณาเปน็ รายข๎อพบวาํ อยูํในระดบั มากท้งั นเ้ี ปน็ เพราะผบ๎ู ริหาร รณรงคใ๑ หม๎ ีการใชท๎ รพั ยากรทมี่ อี ยํอู ยาํ งประหยัดและค๎ุมคําเพื่อใหเ๎ กดิ ประโยชน๑สูงสดุ แกํสํวนรํวมรวมท้ังรักษา ทรัพยากรธรรมชาติให๎ย่ังยืนมีการรายงานผลการทางานและแสดงประสิทธิภาพในการใช๎ทรัพยากรตํอ สาธารณะโดยต๎องคานงึ ถึงประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลระยะยาวตลอดจนความคุ๎มคําของการดาเนินงานและ สํงเสริมพฒั นาความสามารถของบคุ ลากรอยาํ งเปน็ ระบบและตํอเนื่องซง่ึ สอดคลอ๎ งกบั ทิพาวดีเมฆสวรรค๑ (2543 : 11) กลําววําหลักการคุ๎มคําคือการใช๎ทรัพยากรต้ังแตํเวลาวัสดุสิ่งของตํางๆเง่ือนไขการใช๎สมองอยํางค๎ุมคํา เพอื่ ใหง๎ านของเรามปี ระสิทธิภาพรวดเร็วและไมํทุจริตเชํนเดียวกับเกษมวัฒนชัย (2543 : 4) เสนอหลักความ คม๎ุ คําวาํ การทากิจการใดตอ๎ งสร๎างระบบคณุ ภาพมาตรฐานควบคํกู ันไปใหม๎ กี าหนดมาตรฐานท่ีจะไปถึงกาหนด วิธีปฏบิ ัตแิ ละสรา๎ งคมูํ อื ปฏิบัติแล๎วประเมนิ ผลเป็นระยะการบรหิ ารจัดการทกุ ดา๎ นตอ๎ งยดึ หลกั ประหยัดและหลัก ประสทิ ธภิ าพเพอ่ื ให๎เกิดการใช๎ทรัพยากรขององค๑การอยาํ งคุ๎มคาํ ทีส่ ุด 2. ผลการเปรยี บเทียบการบรหิ ารตามหลักธรรมาภบิ าลของผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษากลํุมโรงเรียนนางิ้ว โนนสมบูรณ๑ สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาขอนแกนํ เขต 4 จาแนกตามเพศ พบวํา ภาพรวม ไมํแตกตํางกนั ซ่งึ สอดคลอ๎ งกบั ผลการศึกษาของรอซีด๏ะ เฮง็ (2555 :บทคัดยอํ ) ศึกษาการบริหารสถานศึกษา โดยใช๎หลกั ธรรมาภิบาลของผ๎ูบริหาร ตามความคิดเห็นของข๎าราชการครูสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศกึ ษาในจังหวัดนราธวิ าส ผลการวิจยั พบวาํ การเปรยี บเทยี บการบรหิ ารสถานศึกษาโดยใช๎หลักธรรมาภิ บาลของผูบ๎ ริหาร จาแนกตามตัวแปรเพศ ภาพรวมไมํแตกตํางกัน 3. ผลการเปรียบเทยี บการบรหิ ารตามหลกั ธรรมาภบิ าลของผบู๎ รหิ ารสถานศึกษากลํุมโรงเรียนนาง้ิว โนนสมบูรณ๑ สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาขอนแกนํ เขต 4 จาแนกตามวฒุ ิการศึกษา พบวํา ภาพรวมแตกตํางกัน ซง่ึ สอดคลอ๎ งกับ สพุ ิชฌาย๑ พบดี (2555 : บทคัดยํอ)ศึกษาการบริหารตามหลักธรรมาภิ บาลของผู๎บรหิ ารสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 พบวาํ การเปรยี บเทียบการบรหิ ารสถานศกึ ษาโดยใช๎หลักธรรมาภิบาลของผ๎ูบริหาร จาแนกตามวุฒิการศึกษา โดยรวมแตกตํางกันอยาํ งมนี ัยสาคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 4.ผลการเปรยี บเทยี บการบรหิ ารตามหลักธรรมาภิบาลของผู๎บริหารสถานศึกษากลุํมโรงเรียนนาง้ิว โนนสมบรู ณ๑ สงั กัดสานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาขอนแกํนเขต 4 จาแนกตามประสบการณ๑พบวํา ภาพรวมแตกตาํ งกนั ซ่ึงสอดคลอ๎ งกับจําเอกณรงค๑ สรุ ิยะ (บทคัดยํอ:2554) ผลการเปรียบเทียบความคิดเห็น การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 618
ของคณะกรรมการชุมชนตํอการนาหลักธรรมาภิบาลใช๎ในการปฎิบัติของงานเทศบาลตาบลพยัคฆภูมิพิสัย จงั หวัดมหาสารคาม จาแนกตามประสบการณด๑ ารงตาแหนงํ และระดับการศกึ ษาท่แี ตกตาํ งกัน มีความคิดเห็น แตกตาํ งกนั อยาํ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ิ ท่ีระดับ .05 5. ผลการประมวลขอ๎ เสนอแนะเกยี่ วกับการบรหิ ารสถานศึกษาโดยใช๎หลกั ธรรมาภบิ าลของผู๎บริหาร โดยเรียงจากความถ่ีสงู สดุ ในแตลํ ะหลกั ดังนี้ หลักนติ ธิ รรม ควรให๎บคุ ลากรมีสํวนรํวมในการกาหนด กฎ ระเบยี บ ข๎อบังคับ ข๎อตกลง หรือแนวบริหารงานในโรงเรียน หลักคุณธรรม การลงโทษทางวินัยต๎องเหมาะสมกับ ความผิดของคณะครแู ตลํ ะกรณี หลักความโปรงํ ใส ควรเสนอผลการประเมิน เผยแพรํและประชาสัมพันธ๑การ ดาเนินงานใหผ๎ ๎ูปกครองชุมชนและผ๎เู กี่ยวข๎องทราบอยํางตอํ เนื่องหลักความรบั ผิดชอบ ควรยอมรับผลท่เี กิดจาก การกระทาทง้ั ผลดีผลเสีย และสามารถอธบิ ายเหตุผลในการกระทาน้นั ได๎หลกั การมสี ํวนรวํ ม ควรเปิดโอกาสให๎ ครู นกั เรียน ผ๎ูปกครอง และ มสี วํ นรวํ มใน การวัดผลและประเมนิ ผลในการบริหารงานของโรงเรียน และหลัก ความคุ๎มคาํ ผูบ๎ ริหารเปิดโอกาสใหช๎ มุ ชนใช๎สถานท่แี ละอุปกรณข๑ องสถานศกึ ษา ขอ้ เสนอแนะ จากผลการศกึ ษาความคิดเห็นเกยี่ วกับการบรหิ ารตามหลักธรรมาภิบาลของผบู๎ ริหารสถานศึกษากลุมํ โรงเรียนนาง้ิวโนนสมบูรณ๑ สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา ขอนแกํนเขต 4 ผู๎ศึกษามี ขอ๎ เสนอแนะ ดังนี้ 1. ขอ้ เสนอแนะจากผลการศึกษา 1)หลกั นิติธรรม ผ๎ูบรหิ ารควรเปดิ โอกาสใหบ๎ ุคลากรมสี ํวนรํวมในการกาหนด กฎ ระเบยี บ ขอ๎ บังคับ ขอ๎ ตกลง หรอื แนวบรหิ ารงานในโรงเรยี น 2)หลกั คุณธรรม ผ๎ูบริหารสถานศึกษาควรลงโทษทางวนิ ยั ใหเ๎ หมาะสมกับความผิดของคณะครูแตํ ละกรณี 3) หลักความโปรํงใสผบ๎ู รหิ ารควรเสนอผลการประเมินเผยแพรํและประชาสมั พนั ธก๑ ารดาเนินงาน ใหผ๎ ูป๎ กครองชุมชนและผ๎ูเกี่ยวขอ๎ งทราบอยํางตอํ เนอ่ื ง 4)หลกั การมสี ํวนรํวม ผบู๎ รหิ ารสถานศึกษาควรเปิดโอกาสให๎ครู นกั เรียน ผูป๎ กครองมีสวํ นรวํ มใน การวดั ผลและประเมนิ ผลในการบรหิ ารงานของโรงเรยี น 5)หลักความรับผิดชอบ ผ๎ูบริหารควรยอมรับผลที่เกิดจากการกระทาท้ังผลดีผลเสีย และสามารถ อธิบายเหตผุ ลในการกระทาน้ันได๎ 6)หลักความค๎ุมคํา ผู๎บริหารควรเปิดโอกาสให๎ชุมชนได๎ใช๎สถานท่ีและอุปกรณ๑ของสถานศึกษา เพื่อใหเ๎ กดิ ความค๎มุ คาํ และประโยชนส๑ ูงสุด 2. ข้อเสนอแนะในการศกึ ษาครั้งต่อไป การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 619
1)ควรศกึ ษากลยทุ ธ๑ในการบริหารงานตามหลักธรรมาภบิ าลเพื่อพัฒนาโรงเรียนใหม๎ ปี ระสิทธิภาพยิ่งข้ึน 2)ควรศึกษาป๓จจัยที่สํงผลตํอความสาเร็จในการบรหิ ารงานตามหลกั ธรรมาภิบาลในด๎านคณุ ธรรม 3) ควรศกึ ษาเกย่ี วกบั ปจ๓ จัยที่จะสงํ เสรมิ การใช๎หลกั ธรรมาภบิ าลที่มีประสทิ ธิภาพในการบรหิ ารงานของ ผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษา เอกสารอ้างอิง กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2542). เอกสารคาชแ้ี จงประกอบพระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติพ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธกิ าร. _______. (2546 ข). พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และทแี่ ก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545.กรงุ เทพฯ : กระทรวงศึกษาการ. กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2550). กฎกระทรวงกาหนดหลกั เกณฑ์และวิธีการกระจายอานาจการบริหารและจดั การศึกษา พ.ศ.2550 :กระทรวงศึกษาธกิ าร เกษมวฒั นชัย. (2543). สถาบนั ทเี่ ขม๎ แขง็ มนั่ คง. วารสารมฉก. วิชาการ.4(7) : 3-4. _______. (2546). ธรรมาภบิ าลบทบาทสาคญั กรรมการสถานศกึ ษา. รายงานการปฏิรูปการศึกษาไทย. กรงุ เทพฯ : สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหงํ ชาติ. จาํ เอกณรงค๑ สรุ ิยะ (บทคดั ยํอ:2554)การศกึ ษาครัง้ นี้มีวตั ถปุ ระสงคเ์ พือ่ ศกึ ษาความคิดเหน็ ของ คณะกรรมการชมุ ชนตอ่ การนาหลกั ธรรมาภบิ าลใชใ้ นการปฎิบัตขิ องงานเทศบาลตาบลพยัคฆภมู ิ พิสยั จังหวดั มหาสารคาม ดจุ ดาวจิตใส. (2554). การใช้หลักธรรมาภิบาลของผบู้ รหิ ารงานบุคคลในสถานศึกษาสงั กดั เทศบาลกลุ่มการศึกษาท้องถ่ินที่ 5. วทิ ยานพิ นธ๑ศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวิชา การบรหิ ารการศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร. บุษบง ชัยเจรญิ วฒั นะ และบุญมี ลี.้ (2544). รายงานการวิจยั เรือ่ งตัวช้วี ดั ธรรมาภิบาล. กรุงเทพฯ : ครุ สุ ภาลาดพรา๎ ว. บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2545). การวจิ ยั เบอ้ื งต้น (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรงุ เทพฯ : สวุ ีริยาสาส๑น. ประพฒั น๑ โพธิวรคณุ . (2544). หลกั การบรหิ ารกจิ การบา้ นเมอื งและสงั คมทีด่ ี สง่ เสริมการปฏิรปู การศึกษา. สรปุ คาอภิปราย. นครปฐม : สถาบนั พฒั นาผบ๎ู รหิ ารการศกึ ษา. พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการแผํนดนิ (ฉบบั ท่ี5) พ.ศ.2545(2545:1-2)และมาตรา 3 วรรคแรก พระราชกฤษฎกี าวําด๎วยหลกั เกณฑ๑และวธิ กี ารบรหิ ารกจิ การบา๎ นเมอื งท่ดี ี พ.ศ. 2546:สานักนายกรัฐมนตรี พระธรรมปฎิ ก. (ป.อ.ปยุตโต) (2542). พระพทุ ธศาสนาพฒั นาคนและสงั คม.กรุงเทพฯ :กรมศาสนา. พระมหาอดศิ ร ถริ สีโล.(2540)81 คณุ ธรรมสาหรับคร.ู กรงุ เทพฯ:โอเอสพร้นิ ติ้งเฮ๎าส๑.88 รํงุ แกว๎ แดง.(2545). ความสัมพนั ธข์ องผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษากับ ความสาเร็จ (อ๎างถงึ ในสมศักด์ิ เจรญิ พานิช เสร,ี 2545,8) การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 620
วรภัทธ โตธนเกษม.(2541), หลกั การบรหิ ารกจิ การบ้านเมอื งและสังคมที่ดี สง่ เสรมิ การปฏิรปู การศกึ ษา. หน๎า 51-54 สมพงศ๑ เกษมสนิ . (2526). การบรหิ าร. (พมิ พค๑ รง้ั ที่ 8). กรุงเทพ ฯ:ไทยวัฒนาพาณชิ ย.๑ สมคิดมาวงศ.๑ (2554) การศึกษาการบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภบิ าลของผู้บรหิ ารโรงเรียนตาม ความคิดเห็นของครูสังกัดโรงเรยี นเทศบาลนจงั หวดั ระยอง สงดั อทุ รานันท.๑ (2530). งานบรหิ ารมเี ปาู หมายสาคัญอยทู่ ี่คุณภาพของนักเรยี น ซ่ึงเป็นผลผลติ ของการจัด การศกึ ษา สมาน รังสโิ ยกฤษฎ๑.(2543).การบริหารราชการไทย อดตี ปจั จบุ ัน และอนาคต.กรงุ เทพฯ:บรรณกจิ (1991). สุจิตรา มีจารสั .(2550).การบรหิ ารงานตามหลักธรรมาภบิ าลของผู้บริหารสถานศึกษาอาเภอทา่ มะกา สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษากาญจนบุรี เขต 2.ค๎นคว๎าอิสระครศุ าสตรมหาบัณฑิตสาขาวชิ า การ บรหิ ารการศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยศิลปากร. สพุ ิชฌาย๑ พบดี (2555 : บทคดั ยํอ) ได้ศึกษาการบรหิ ารตามหลกั ธรรมาภิบาลของผ้บู ริหารสถานศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทรา เขต 1 สรุ พลพฒุ คา. (2544). การจดั การในสถานศึกษา. เอกสารประกอบการสอน 1065113 หลกั ทฤษฎี และการปฏิบัติการบริหารการศกึ ษา. ลพบรุ ี : สถาบันราชภัฏเทพสตรี. ทพิ าวดี เมฆสวรรค.๑ (2543). สามประสานในการบรหิ ารกจิ การบ้านเมอื งทีด่ ี. นานาสาระจากรวม พลังเพือ่ การสรา๎ งระบบบรหิ ารกจิ การบ๎านเมอื งและสงั คมทด่ี .ี นนทบุร:ี สถาบันพัฒนา ข๎าราชการพลเรอื นสานกั งานคณะกรรมการขา๎ ราชการพลเรอื น. เสริม เกือ้ สงั ข๑. (2551). การศึกษาการใช้หลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาสังกดั เทศบาลนครตรงั . วิทยานิพนธ๑ครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาการบริหารการศกึ ษามหาวทิ ยาลัยราชภัชภเู ก็ต. โสมนสั ณ บางช๎าง. (2544).Good Governance:การกากบั ดแู ลทดี่ ี.วารสารนกั บรหิ าร. 21 : 48–50. 91 ความคิดเห็น ของครสู งั กัดโรงเรียนเทศบาล ในจังหวัดระยอง จันทบรุ ี และตราด. วิทยานิพนธค๑ รศุ าสต รมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏราไพพรรณี. 90 สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา,การบริหารสถานศกึ ษาตามหลักธรรมาภบิ าล(2555) รอซีด๏ะ เฮง็ .(2555).การบรหิ ารสถานศกึ ษาโดยใช้หลกั ธรรมาภบิ าลของผู้บรหิ าร ตามความคดิ เหน็ ของ ข้าราชการครูสังกัดสานักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาในจงั หวัดนราธวิ าส.วทิ ยานพิ นธ๑ หลกั สตู รครศุ าสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา บณั ฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ ยะลา Cronbach, L, J. (1997). School, Family, Community Partnership. New York : Mcgraw –Hill. Krejcie, R. V. & Morgan, D. W. (1970). Determining Sample Size for Research. Journal of Educational and Psychological Measurement. 30(3) : 607 - 610. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 621
การวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบเชิงสารวจปัจจัยทีส่ ่งผลตอ่ การเรียนการสอน วชิ าฟิสกิ ส์พน้ื ฐานระดับอดุ มศึกษา An Exploratory Factor Analysis of Factors Affecting the Teaching and Learning of Fundamental Physics in Higher Education. ฉลองชัย ธวี สุทรสกุล1* และ ณมน ศรหริ ญั 2 1,2คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา วทิ ยาเขตจนั ทบรุ ี *[email protected] บทคดั ยอ่ วัตถปุ ระสงค๑การวจิ ัยเพอ่ื ศกึ ษาองค๑ประกอบเชงิ สารวจทีส่ งํ ผลตํอการเรยี นการสอนวิชาฟิสิกส๑พื้นฐาน ระดับอดุ มศกึ ษา กลุมํ ตวั อยาํ งของการวิจยั ครัง้ น้ี คอื ผ๎ูทีผ่ ํานการเรียนวชิ าฟิสิกส๑พ้ืนฐานระดับอุดมศึกษา ของ มหาวิทยาลัยบรู พาวิทยาเขตจันทบรุ ี มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ราไพพรรณี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตะวนั ออกวทิ ยาเขตจนั ทบรุ ี รวม 307 คน ได๎จากการเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เคร่ืองที่ใช๎ เกบ็ รวบรวมข๎อมลู คือ แบบสอบถามป๓จจยั ที่สงํ ผลตอํ การเรยี นการสอนวชิ าฟสิ กิ ส๑พ้ืนฐานระดับอุดมศึกษา ท่ี ผาํ นการตรวจสอบความตรงจากผท๎ู รงคณุ วฒุ ิ 3 ทําน และมีความเชือ่ มน่ั ตามสตู รสัมประสทิ ธแิ์ อลฟาครอนบาค 0.88 วิเคราะห๑ข๎อมูลโดยวิเคราะห๑องค๑ประกอบด๎วยวิธีการสกัดองค๑ประกอบหลัก และใช๎การหมุนแกน องคป๑ ระกอบแบบออโธโกนอลดว๎ ยวธิ ีแวรแิ มกซ๑ ผลการวิจัยพบวาํ องค๑ประกอบที่สํงผลตํอการเรียนวิชาฟิสิกส๑ พ้นื ฐานระดับอุดมศกึ ษา มีทง้ั หมด 6 องค๑ประกอบ บรรยายด๎วย 30 ตัวแปร มีคําความแปรปรวนรวมคิดเป็น ร๎อยละ 58.96 โดยแตํละองค๑ประกอบอธิบายความแปรปรวนได๎ร๎อยละ 30.793, 7.742, 6.588, 5.154, 4.596 และ 4.083 ตามลาดบั คาสาคญั :การวเิ คราะห๑องคป๑ ระกอบ, ฟสิ กิ สพ๑ นื้ ฐาน, ฟิสกิ สท๑ ่วั ไป, ฟสิ กิ สเ๑ บื้องต๎น การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 622
ABSTRACT The objective of this research was to analyze factors that affect the teaching and learning of fundamental Physic in Higher education courses. Relied on purposive sampling technique, the samples used in this research were 307 students who enrolled in fundamental physics courses in Burapha University Chanthaburi Campus, RambhaiBarniRajabhat University, Rajamangala University of Technology Tawan-ok Chanthaburi Campus. Questionnaire was used as research tool in order to collect data about factors that affect learning of the fundamental physics, approved in terms of accurate content by three experts and of reliability by using Cronbach's alpha coefficient 0.88. The data analysis was conducted via principal components analysis (PCA) as factor extraction method and Varimax orthogonal rotation method. The results revealed that there were overall 6 factors that affect the teaching and learning fundamental Physics courses which were described by 30 variances accounted for of 58.96%. Each component describes the variance 30.793%, 7.742%, 6.588%, 5.154%, 4.596% and 4.083% accordingly. KEYWORDS:Exploratory Factor Analysis, fundamental physic, general physic บทนา พระราชบัญญัติการศึกษาชาติฉบับ 2542 มาตรา 7 กระบวนการเรียนรู๎ต๎องมํุงปลูกฝ๓งจิตสานึกท่ี ถูกต๎อง เกีย่ วกบั การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อนั มีพระมหากษตั ริย๑ทรงเปน็ ประมุข ร๎จู ักรกั ษา และสํงเสรมิ สิทธิ หนา๎ ที่ เสรีภาพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาคและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย๑ มีความ ภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู๎จักรักษาผลประโยชน๑สํวนรวมและของประเทศชาติ รวมทั้งสํงเสริมศาสนา ศลิ ปวัฒนธรรมของชาติ การกฬี า ภมู ิป๓ญญาท๎องถิ่น ภมู ปิ ญ๓ ญาไทย และความร๎ูอนั เป็นสากล ตลอดจนอนุรักษ๑ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล๎อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ ร๎ูจักพึ่งตนเอง มีความริเร่ิม สร๎างสรรค๑ ใฝุร๎ู และเรียนรู๎ด๎วยตนเองอยํางตํอเน่ือง โดยยึดหลักวําผ๎ูเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู๎และ พัฒนาตนเองได๎ และถือวาํ ผเู๎ รยี นสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต๎องสํงเสริมให๎ผู๎เรียนสามารถพัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพอยํางสอดคล๎องและเหมาะสม ( สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2524) การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 623
ฟสิ ิกสเ๑ ป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร๑ท่ีมีความสาคัญ พ้นื ฐานฟิสิกส๑ที่ดจี ะเป็นรากฐานท่ีดีตํอการศึกษา ทางวทิ ยาศาสตรแ๑ ละวทิ ยาศาสตร๑ประยกุ ต๑ สามารถประยุกต๑ทาความเข๎าใจแก๎ป๓ญหาสถานการณ๑และอธิบาย สิง่ ตํางๆ ทั้งท่ีเกิดในธรรมชาติและสถานการณ๑ที่มนุษย๑สร๎างได๎อยํางดี ฟิสิกส๑จึงสาคัญในการสร๎างรากฐาน ความเจริญด๎านวิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยีของประเทศ หลักสูตรระดั บอุดมศึกษาด๎านวิทยาศาสตร๑และ วิทยาศาสตรป๑ ระยกุ ตจ๑ ึงกาหนดให๎ต๎องเรยี นฟิสกิ ส๑ แตํด๎วยเน่อื งจากฟิสิกส๑มเี นือ้ หาซบั ซอ๎ น ผู๎เรยี นท่ไี มํมีความ ถนดั หรอื มีพ้นื ฐานฟสิ กิ สไ๑ มํดจี งึ ต๎องใช๎ระยะเวลาเรยี นรูท๎ าความเขา๎ ใจมากกวาํ วทิ ยาศาสตรส๑ าขาอ่นื และต๎องใช๎ เทคนิคการเรียนการสอนตาํ งๆ เข๎าชํวย ผ๎เู รยี นระดบั อุดมศกึ ษาที่เรยี นฟิสิกส๑ไมํเข๎าใจจึงมีสัดสํวนจานวนมาก เกดิ ความเบือ่ หนาํ ย หลายคนมองไมํเห็นประโยชน๑และความสาคัญ ทาให๎เกิดทัศนคติทางลบ (ฉลอง ทับศรี, 2549; ฉลองชัย ธีวสุทรสกุล, 2560)หากไมํหาทางลดป๓ญหาเก่ียวกับการเรียนการสอนฟิสิกส๑พื้นฐาน ระดับอุดมศึกษาของประเทศไทยให๎น๎อยลง จะสํงผลตํอการเรียนร๎ูสาขาอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวข๎อง และสํงผลตํอการ พัฒนาทางด๎านวิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยี เพราะจะทาให๎บุคลากรด๎านตํางๆ ตามท่ีกลําวมาของประเทศ ลดลง จนไมสํ ามารถพัฒนาสร๎างสรรค๑นวัตกรรมใหมํได๎ สงํ ผลกระทบตอํ การพฒั นาสํูไทยแลนด๑ 4.0 การวิเคราะห๑องค๑ประกอบหรือการวิเคราะห๑ป๓จจัยเชิงสารวจ(ExploratoryFactor analysis; EFA) เปน็ เทคนิคการวเิ คราะหส๑ ถิตขิ องการวจิ ัยมีวัตถุประสงค๑เพ่ือลดจานวนตัวแปรท่ีมีจานวนมากให๎ น๎อยลง ทั้งนี้ ด๎วยเหตุผลวําบางตัวแปรอาจมคี วามสมั พนั ธก๑ ัน สามารถจัดอยกูํ ลมุํ เดยี วกนั ได๎ และมบี างตัวแปรไมสํ ามารถจดั เขา๎ กลมํุ กับตวั แปรใดได๎จึงต๎องตดั ตัวแปรลักษณะนี้ออก ตัวแปรที่มีความสัมพันธ๑กันจะถูกจัดให๎รวมเข๎ากลุํม เดียวกนั และเรยี กกลมํุ ตวั แปรนี้วาํ “องค๑ประกอบหรือปจ๓ จัย(Factor)”โดยจะจดั เปน็ กีก่ ลํมุ องคป๑ ระกอบกไ็ ด๎ ซง่ึ โดยทั่วไปองค๑ประกอบท่วี เิ คราะหไ๑ ดล๎ าดบั ท่ี 1 จะมคี วามสาคญั มากสดุ หรอื สํงผลมากสดุ สวํ นองค๑ประกอบ ลาดบั ที่ 2 3 4 จะมีความสาคัญรองๆลงมา (กลั ยา วานชิ บญั ชา, 2554หน๎า 4-6.) จากการตรวจสอบไมํพบงานวิจัยการนาเทคนิคFactor analysis)มาใช๎วิเคราะห๑หาองค๑ประกอบท่ี สํงผลตอํ การเรยี นการสอนวชิ าฟิสิกสร๑ ะดบั อดุ มศึกษาของไทย แตํพบการนาการวิเคราะห๑องค๑ประกอบไปใช๎ กับบริบทการเรียนการสอนท่ีใกล๎เคียง เชํน มณีรัตน๑ ม่ันยืน (2551) ใช๎วิเคราะห๑องค๑ประกอบที่มีผลตํอการ เรียนรู๎ผํานส่ืออิเล็กทรอนิกส๑(e-learning) กรณีศึกษาโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร๑ไทย สานักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษางานวิจัยของ ลักษณา วาทิน. (2551). ใช๎การวิเคราะห๑องค๑ประกอบ ที่มีตํอ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นวิชาคอมพิวเตอร๑ ของนกั เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ สาขาคอมพิวเตอร๑ธุรกิจ โรงเรยี นในเครอื ตั้งตรงจติ ร งานวิจยั ของ นภาพร เจยี พงษ๑. (2549). ใช๎การวิเคราะห๑องค๑ประกอบทม่ี ีผลกระทบ ตํอการจัดการเรียนการสอน e-Learning ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ เขตกรุงเทพมหานคร.น้าอ๎อย ใจตรง. (2548). ใช๎การวิเคราะหอ๑ งค๑ประกอบท่มี ีอิทธิพลตํอความพึงพอใจของนักศึกษา เก่ียวกับบรรยากาศของการ เรยี นการสอน ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล๎าธนบุรีงานวิจัยของ หทัยชนก ผลาวรรณ๑. (2547). ใช๎ การวิเคราะหอ๑ งคป๑ ระกอบทีม่ ีอทิ ธพิ ลตํอการจดั การเรียนการสอนในหอ๎ งเรยี นเสมือนจริง งานวิจยั ของ ฉัตรชัย รํุงอรุณสุวรรณ. (2545). ใช๎การวิเคราะห๑องค๑ประกอบที่มีอิทธิพลตํอการเรียนการสอนแบบเน๎นผ๎ูเรียนเป็น สาคัญ: กรณีศึกษา คณะวิชาชํางกลโลหะ วิทยาลัยเทคนิค สังกัดกรมอาชีวศึกษา สํวนงานวิจัยเกี่ยวกับ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 624
การศึกษาสภาพป๓ญหาและแนวทางการเรียนการสอนฟิสิกส๑ระดับอุดมศึกษา เชํน อมรรัตน๑ คาบุญ. (2553). ศกึ ษาป๓ญหาและแนวทางการแก๎ปญ๓ หาการเรยี นการสอนวิชาฟสิ ิกส๑เร่ืองระบบอนุภาคระดับอดุ มศกึ ษา ของวิทยาลยั ราชพฤกษ๑งานวจิ ยั ของมนัส อินทร๑รุํง (2531) ท่ีสารวจความคิดเห็นเก่ียวกับป๓ญหาการเรียนการ สอนวิชาฟิสิกส๑ประยุกต๑ สาหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยเทคโนโลยีและ อาชีวศกึ ษา และงานวจิ ัยของ วชิ ติ สุรตั น๑เร่ืองชัย และคณะ (2549) ท่ีได๎ศึกษาสภาพและป๓ญหาการจัดการ เรยี นการสอนของคณาจารย๑มหาวทิ ยาลัยบูรพา ด๎วยข๎อมูลและเหตุผลตามท่ีกลําวมาแตํต๎น ทาให๎ผ๎ูวิจัยสนใจศึกษาวิเคราะห๑ หาองค๑ประกอบเชิง สารวจปจ๓ จยั ท่สี ํงผลตํอการเรียนการสอนวชิ าฟสิ กิ ส๑พ้ืนฐานระดับอุดมศึกษา โดยหวังวําองค๑ประกอบป๓จจัยท่ี วิเคราะห๑ไดเ๎ หลํานี้ จะเป็นข๎อมูลท่ีมีประโยชน๑อยํางยิ่งตํอการนาไปประยุกต๑ใช๎พัฒนาการเรียนการสอนวิชา ฟิสิกส๑พื้นฐานทั้งระดับอุดมศึกษาและระดับอ่ืนๆ ซ่ึงผลท่ีได๎รับก็คือ การพัฒนาความร๎ูและนวัตกรรมของ ประเทศ รองรับการพัฒนาประเทศ 4.0 วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั 1.ศึกษาตัวแปรทส่ี งํ ผลตํอการเรยี นการสอนวิชาฟิสกิ สพ๑ นื้ ฐานระดับอุดมศึกษา 2. วิเคราะห๑องคป๑ ระกอบเชิงสารวจ (Exploratory Factor Analysis) ทส่ี งํ ผลตอํ การเรยี นการสอน วชิ าฟิสิกส๑พ้ืนฐานระดบั อดุ มศกึ ษา วธิ ดี าเนินการวจิ ัย ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ประชากร คือ ผเ๎ู รียน(นิสิต/นักศกึ ษา) วชิ าฟสิ กิ สพ๑ ้นื ฐานระดบั อดุ มศกึ ษา ของสถาบันอุดมศกึ ษาตํางๆ กลํุมตัวอยําง คือ ผู๎ที่ผํานเรียนวิชาฟิสิกส๑พ้ืนฐาน จานวน 307 คน ท้ังหมดได๎จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยเป็นผ๎ูเรียนจากมหาวิทยาลัยบูรพาวิทยาเขตจันทบุรี 163 คน ประกอบด๎วย สาขาอัญมณแี ละเครอ่ื งประดับ สาขาเทคโนโลยีการเกษตร และสาขาเทคโนโลยีทางทะเล เป็นผู๎เรียนจาก มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏราไพพรรณีจานวน 88 คน ประกอบด๎วยสาขาครุศาสตร๑ฟิสิกส๑ สาขาวิทยาศาสตร๑ทั่วไป สาขาวิศวกรรมโลจิสติกส๑ และสาขาวิศวกรรมโยธา และเป็นผู๎เรียนจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตะวันออกวิทยาเขตจันทบุรี จานวน 56 คน ประกอบด๎วยสาขาวิทยาศาสตร๑และเทคโนโลยีอาหาร สาขา เทคโนโลยีเคร่ืองกล สาขาการผลิตพืชและภูมิทัศน๑ สาขาพืชศาสตร๑ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร๑ สาขา เทคโนโลยีการผลติ สตั ว๑ และสาขาเทคโนโลยีการประมงโดย เคร่อื งมอื เก็บรวบรวมขอ้ มูล เครือ่ งมือเกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู คือ แบบสอบถามความเห็นของผ๎ูเรียน ตํอตัวแปรตํางๆ ที่สํงผลตํอการ เรียนวิชาฟสิ ิกส๑พน้ื ฐานระดบั อดุ มศึกษา ซ่ึงมขี น้ั ตอนการพัฒนาแบบสอบถาม ดงั ตอํ ไปน้ี การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 625
1. ศึกษาเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ียวขอ๎ ง สัมภาษณ๑ผู๎สอนและทรงคณุ วฒุ ิดา๎ นการเรียนการสอนฟิสิกส๑ อุดมศึกษา 5 ทําน และสํุมสัมภาษณ๑ผ๎ูที่เคยเรียนวิชาฟิสิกส๑พ้ืนฐานจากมหาวิทยาลัยบูรพาวิทยาเขตจันทบุรี มหาวิทยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี และมหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกวิทยาเขตจันทบุรี สถาบัน ละ 5 คน รวม 15 คน 2. วเิ คราะห๑ข๎อมูลและราํ งแบบสอบถามป๓จจัยที่สงํ ผลตํอการเรียนวิชาฟิสิกส๑พื้นฐานระดับอุดมศึกษา จานวน 63 ตัวแปร แล๎วนาไปให๎ผ๎ูทรงคุณวุฒิ 3 ทําน ตรวจสอบหาคําความตรงเชิงเนื้อหา ( Content Validity) โดยพิจารณาความสอดคล๎องของข๎อคาถามกับจุดประสงค๑ แล๎วหาดัชนีความสอดคล๎อง (Index of Consistency ; IOC) และคดั เลือกคาถามที่มีคาํ IOC ตงั้ แตํ 0.6 ข้นึ ไป เหลือจานวน 50 ตวั แปร 3. นาแบบสอบถาม ไปทดลองใช๎กับนิสติ นกั ศกึ ษาทงั้ 3 สถาบนั รวม 39 คน แล๎ววิเคราะห๑คัดเลือก ตัวแปรท่ีมีคําเฉลี่ยมากกวํา 3.5 และหาคําความเช่ือมั่น(Reliability) คําสัมประสิทธ์ิแอลฟา(Coefficient Alpla) ตามสูตรของครอนบาค ท่ีมคี าํ ความเช่ือมั่นรวมท้งั ฉบับ 0.88 ประกอบด๎วยตวั แปรทัง้ หมด 30 ตัวแปร วธิ ีเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล คณะวิจัยขอความอนเุ คราะห๑ไปยงั ผสู๎ อนของมหาวทิ ยาลยั บรู พาวทิ ยาเขตจันทบุรี มหาวิทยาลัยราช ภัฏราไพพรรณี และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกวิทยาเขตจันทบุรี ให๎ดาเนินการนา แบบสอบถามไปให๎นิสิตนกั ศกึ ษาทผี่ าํ นการเรยี นวิชาฟสิ กิ สพ๑ ืน้ ฐานมาแลว๎ ในลักษณะสุมํ ตามสะดวก การวิเคราะหข์ ้อมูล 1. ตรวจสอบวําตวั แปรตาํ งๆ มีความสมั พันธก๑ ันมากเพียงพอที่จะใช๎เทคนิคการวิเคราะหอ๑ งค๑ประกอบ หรอื ไมํ โดยพจิ ารณาคาํ สถติ ิ KMO (Kaiser-Meyer-Olkin) ซงึ่ ควรมีคําเข๎าสํู 1 และใชค๎ าํ Bartlett’s test of Sphericityทดสอบสมมติฐานวําตัวแปรมคี วามสัมพนั ธ๑กนั หรือไมซํ ง่ึ ผลทดสอบตวั แปรควรสมั พนั ธ๑กัน 2. สกัดปจ๓ จยั เพ่ือหาจานวนองค๑ประกอบ(Factor) ท่สี ามารถใชแ๎ ทนตวั แปรทง้ั หมดทกุ ตวั ได๎ โดยใช๎วิธี สกัดป๓จจัยแบบPrincipal Component Analysis หรือ PCAโดยแตํละองค๑ประกอบจะตั้งฉากกันหรือเป็น อิสระจากกันและองค๑ประกอบลาดับท่ี 1 มีจานวนตัวแปรมากสุดและมีคําแปรปรวนรวมสูงสุด ขั้นตอนนี้จะ สามารถประมาณคํา Factor loading ซึ่งเป็นคําใช๎พิจารณาวําตัวแปรใดบ๎างท่ีควรจะอยูํใน Factor เดียวกัน โดยถ๎า factor loading ของตวั แปรใดมีคาํ มาก(เข๎าสูํ +1 หรอื เขา๎ สํู -1) ควรจดั อยูใํ นองคป๑ ระกอบน้ัน แตํจะ มบี างตวั แปรที่มีคํา factor loading กลางๆ ทาให๎ไมํวําแนํใจวําควรจะจัดอยูํในองค๑ประกอบใด เชํน ตัวแปร X3 ถา๎ อยูใํ นองคป๑ ระกอบที่ 1 จะมคี ํา factor loading เป็น 0.41 แตถํ า๎ อยใูํ นองค๑ประกอบท่ี 2 จะมคี าํ factor loading เป็น 0.52 ยากทจ่ี ะตดั สินใจวาํ ควรจัดอยใํู นองคป๑ ระกอบใด 3. การหมุนแกนป๓จจัย(Factor Rotation)เพ่ือให๎คํา factor loading ของตัวแปร มีคํามากข้ึนหรือ ลดลงจนสามารถตัดสนิ ใจได๎วํา ควรจัดตัวแปรน้ันอยูํในองค๑ประกอบใด การหมุนแกนมี 2 วิธีใหญํๆ คือ การ หมนุ แกนแบบ Orthogonal Rotation ซ่งึ ยงั คงทาให๎ Factor ตงั้ ฉากกันหรือเป็นอิสระจากกนั เหมือนเดิมและ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 626
การหมุนแกนแบบ Oblique Rotation ซ่ึงองค๑ประกอบไมํตั้งฉากกันหรือไมํเป็นอิสระจากกัน แตํทาให๎คํา factor loading มากข้นึ หรือลดลง 4.สรุปจานวนองคป๑ ระกอบและตัวแปรแตลํ ะองค๑ประกอบ พร๎อมจัดลาดับความสาคัญ และถือวําแตํ ละองคป๑ ระกอบเปน็ ตัวแปรใหมํ ทสี่ ามารถนาไปวเิ คราะหท๑ างสถิตติ ํอไปได๎ หรอื ประยุกตเ๑ พอื่ นาไปประโยชน๑ สรปุ ผลการวิจัยและอภปิ รายผล ผลการวิเคราะห๑องค๑ประกอบหรือการวิเคราะห๑ป๓จจัย ของตัวแปรที่สํงผลตํอการเรียน การสอนวิชา ฟิสิกสพ๑ ืน้ ฐานระดับอุดมศึกษา จากกลุํมตวั อยําง 307 คน ซ่ึงมากกวําจานวนตวั แปรประมาณ 10 เทาํ แสดงวํา มจี านวนข๎อมูลมมี ากพอท่จี ะวิเคราะหอ๑ งค๑ประกอบเชงิ สารวจ (ยทุ ธไกยวรรณ๑, 2556) ผลการวเิ คราะห๑มีดงั น้ี 1. คําสถิติพื้นฐาน คือ คําเฉลีย่ (Mean; ̅ ) คําเบ่ยี งเบนมาตรฐาน(Standard Deviation ; sd. ) ของทุก ตวั แปรมีคาํ เฉลี่ยมากกวํา 3.50 เรียงลาดบั มากไปน๎อยแสดงในตารางที่ 1 (แสดงเพยี ง 10 ตัวแปร) ตารางท่ี 1 คําเฉลีย่ และคาํ เบยี่ งเบนมาตรฐานของตัวแปร (แสดงเพียง 10 ตวั แปร เรียงลาดบั มากไปนอ๎ ย ) ลาดบั ตวั แปร ̅ SD. ระดับ 1 บุคลกิ ภาพและการแตงํ กายของผสู๎ อน 3.96 0.90 มาก 2 วนิ ยั การเรียนของผเ๎ู รยี น เชํน ไมํขาดเรยี น ไมสํ าย สงํ งานตามกาหนด 3.94 0.83 มาก 3 ผสู๎ อนมีความยตุ ิธรรมดแู ลเอาใจใสํผเู๎ รียนแตํละคนเทําเทยี มกัน 3.94 0.78 มาก 4 บอกวัตถุประสงค๑และประโยชน๑เรื่องท่ีจะเรยี นกํอนเรยี น 3.88 0.72 มาก 5 บอกรายละเอียดการวัดและประเมินผล กอํ นเรยี น 3.86 0.76 มาก 6 วุฒกิ ารศกึ ษาและผลวิชาการของผสู๎ อน 3.86 0.96 มาก 7 ผส๎ู อนเขม๎ งวดการสอบและให๎ผูเ๎ รยี นสํงงานตรงเวลา 3.86 0.76 มาก 8 บอกประโยชน๑ของการเรยี นฟิสกิ ส๑ ตอํ การเรยี นวิชาเอกในปี 2-3-4 3.85 0.89 มาก 9 ผู๎สอนมีความเป็นกันเอง พบงําย ปรกึ ษางําย ไมํเครยี ด ไมหํ งุดหงิด 3.84 0.85 มาก 10 เทคนคิ วิธกี าร และความสามารถในการสอนของผูส๎ อน 3.83 0.79 มาก 2. ผลการตรวจสอบความเหมาะสมของข๎อมูลกับการวิเคราะห๑องค๑ประกอบ แสดงในตารางท่ี 2 ซ่ึง พบวาํ คาํ KMO (Kaiser-Meyer-Olkin)= .893 ซง่ึ มากกวํา 0.50 และเข๎าสํู 1 แสดงวาํ ข๎อมูลเหมาะสมกับการ ใช๎การวิเคราะหอ๑ งคป๑ ระกอบสวํ นคาํ Bartlett’s Test of Sphericity ใช๎ทดสอบสมมติฐาน H0: ตัวแปรตํางๆ ไมมํ ีความสมั พนั ธก๑ นั และ H1: ตัวแปรตํางๆ มีความสัมพันธ๑กัน พบวํามีการแจกแจงโดยประมาณแบบ Chi- Square = 4069.793 ได๎คํา Significance = .000 ซึ่งน๎อยกวํา .05 จึงปฏิเสธ H0 ยอมรับ H1แสดงวําตัว แปรตาํ งๆ ในแบบสอบถามทงั้ 30 ตัวแปร มีความสมั พันธ๑กันเหมาะสมที่จะนามาวเิ คราะห๑องค๑ประกอบ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 627
ตารางที่ 2 แสดงคาํ KMO and nsrtlett’s Test .893 Kaiser-Meyer-Olkin Measure of Sampling Adequacy. 4069.793 Bartlett's Test of SphericityApprox. Chi-Square 435 df .000 Sig 3. สกัดป๓จจัยเพ่ือหาจานวนองคป๑ ระกอบ(Factor)ดงั รายละเอียดตํอไปนี้ 3.1 พิจารณาคําความรํวมกัน(Communalities) เม่ือคํา Communalities เป็นสัดสํวนของคํา แปรปรวนของตัวแปรที่สามารถอธิบายได๎โดย Common Factor หรือคือคํากาลังสองของคํา Multiple Correlation ของตัวแปรกับองคป๑ ระกอบ (กัลยา วานิชย๑บัญชา, 2554) โดยที่ 0≤ Communalities ≤1 ถ๎า คํา Communalities=0 แสดงวํา Common Factor ไมํสามารถอธิบายความผันแปร(คําแปรปรวน)ของตัว แปรแตถํ ๎าคาํ Communality=1 แสดงวํา Common Factor สามารถอธบิ ายความผนั แปรไดท๎ ัง้ หมด 3.2 พิจารณาคาํ Initial communality โดยจากวิธี Principal component จะกาหนดให๎คํา Initial communality ของตัวแปรทุกตัวเป็น 1 ซึ่งหมายถึงในตอนเริ่มต๎นยังไมํได๎ทาการรวมตัวแปรตํางๆ ไว๎ใน องคป๑ ระกอบ (factor) 3.3 เม่ือพจิ ารณาคํา Extraction Communality ของแตํละตัวแปรหลังสกัดป๓จจัยแล๎ว พบวําคํา Extraction Communality ของทุกตัวแปรแตํละตัวทั้ง 30 ตัวแปร มีคํามากกวํา 0.50 โดยตัวแปรท่ีมีคํา Extraction Communality น๎อยสุด มี 2 ตัวแปร คือ วัยวุฒิของผ๎ูสอน( ̅=3.61; sd.=0.86) และการสรุป ประเด็นสาคญั หลงั สิ้นสุดการเรียนแตลํ ะเรื่อง ( ̅=3.61; sd.=0.78) 3.4พิจารณาTotal Variance Explained ตามตารางท่ี 3ซึง่ แสดงสถติ ิทั้งกํอนและหลังการสกัดป๓จจัย โดย วิธี Principal Component ซ่งึ จะกลําวเฉพาะรายละเอยี ดท่ีสาคญั ดงั น้ี 3.4.1 คํา Component คือ องคป๑ ระกอบหรือปจ๓ จยั (Factor) โดยทัว่ ไปจะสกัดให๎มีจานวน องคป๑ ระกอบเทํากับจานวนตัวแปร ในทน่ี ้ีจึงมี 30 องคป๑ ระกอบ(แสดงในตารางเพยี ง 10 องค๑ประกอบ) 3.4.2 คาํ Eigenvaluesคือ คาํ ความผันแปร หรือแปรปรวนทั้งหมดในตัวแปรเดิม ท่ีสามารถ อธิบายได๎โดยองค๑ประกอบ หรือ เทํากับผลบวกคําของ factor loading ยกกาลังสองของแตํละตัวแปรใน องค๑ประกอบหนึ่ง โดยมีคําต่าสุด=0 และสูงสุดเทํากับจานวนตัวแปร=30 ท้ังน้ีจะพิจารณาเฉพาะ องค๑ประกอบท่ีมคี ํา Eigenvalue มากกวาํ 1 ดงั นน้ั กรณนี ี้จึงไดเ๎ พยี ง 6 องคป๑ ระกอบ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 628
ตารางท่ี 3 Total Variance Explained (แสดงเพยี ง 6 องค๑ประกอบจากทงั้ หมด 30 องค๑ประกอบ) Initial Eigenvalue Extraction Sums of Rotation Sums of Squared Loadings Squared Loading Component Total % of Cumulativ Total % of Cumulativ Total % of Cumulativ Variance e Variance e Variance e % %% 1 9.238 30.793 30.793 9.238 30.793 30.793 3.619 12.062 12.062 2 2.322 7.742 38.534 2.322 7.742 38.534 3.610 12.034 24.097 3 1.976 6.588 45.122 1.976 6.588 45.122 3.338 11.126 35.223 4 1.546 5.154 50.277 1.546 5.154 50.277 2.800 9.335 44.558 5 1.379 4.596 54.872 1.379 4.596 54.872 2.175 7.251 51.809 6 1.225 4.083 58.955 1.225 4.083 58.955 2.144 7.147 58.955 3.4.3คําTotal เป็นคําความแปรปรวนของแตลํ ะองคป๑ ระกอบ ซึ่งตามตารางที่ 3 องค๑ประกอบท่ี 1 มี ความแปรปรวนมากสุด=9.238 องค๑ประกอบท่ี 2 มีความแปรปรวน=2.322 องค๑ประกอบท่ี 3 มีความ แปรปรวน=1.976 องคป๑ ระกอบที่ 4 มีความแปรปรวน=1.546 องค๑ประกอบท่ี 5 มีความแปรปรวน=1.379 และองค๑ประกอบที่ 6 มคี วามแปรปรวน=1.225 ตามลาดบั 3.4.4 คํา % of Variance หมายถึง เปอร๑เซ็นต๑ท่ีแตํละองค๑ประกอบสามารถอธิบายความผันแปรได๎ เปน็ ร๎อยละของแตลํ ะองค๑ประกอบ เมอ่ื เทยี บกับจานวนองคป๑ ระกอบทั้งหมด ซงึ่ หาไดจ๎ าก…… % of Variance = ( Total / จานวนองค๑ประกอบ ) x 100 ตัวอยําง องค๑ประกอบท่ี 1 จะมีคํา % of Variance = ( 9.238/30 ) x 100 = 30.793% หมายความวํา องค๑ประกอบ ท่ี 1 สามารถอธิบายความผันแปรทั้งหมดได๎ร๎อยละ 30.793 ทานองเดียวกัน องคป๑ ระกอบที่ 2,3,4,5,6 จะมคี าํ % of Variance = 7.742, 46.588, 5.154, 4.596, 4.083 ตามลาดบั 3.4.5 คํา Cumulative% หมายถึงผลบวกสะสมของ % of Variance เชนํ คาํ cumulative% ของ 2 องค๑ประกอบแรก=30.793+7.742=38.534ซง่ึ หมายถึงองคป๑ ระกอบท่ี 1-2 อธิบายคาํ แปรปรวนของทงั้ 30 ตวั แปรได๎=38.534% และทานองเดยี วกนั คาํ cumulative% ของ 3 องค๑ประกอบ แรก=45.122และของทงั้ 6 องค๑ประกอบ=58.955 3.4.6 คาํ Extraction Sums of Variance Loadings เป็นคาํ น้าหนักแตํละองค๑ประกอบยกกาลงั สอง เมอ่ื มกี ารสกดั องคป๑ ระกอบจะให๎ Total,% of Variance, Cumulative % ซงึ่ มีวธิ ีคานวณเชํนเดยี วกับคํา การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 629
Initial Eigenvalues แตจํ ะแสดงเฉพาะองค๑ประกอบท่มี ีคาํ Eigenvalue มากกวํา 1 เทาํ นัน้ จงึ แสดงเฉพาะ 6 องค๑ประกอบ 3.4.7คาํ Rotation Sums of Squared Loading จะให๎คาํ Total, % of Variance และ Cumulative % ขององค๑ประกอบตํางๆ เมอื่ ทาการหมุนแกนปจ๓ จยั ไปในลกั ษณะทปี่ จ๓ จัยตาํ งๆ ยงั คงต้ังฉากกัน หรอื เป็นอสิ ระกนั ในท่ีนเ้ี ลอื กใช๎วิธกี ารหมนุ แบบวาริแมกซ๑ (Varimax) ซงึ่ เปน็ วธิ ีการหมนุ แกนปจ๓ จยั และจะ แสดงเฉพาะองค๑ประกอบทมี่ คี าํ Eigen Value >1 เทํานนั้ ซง่ึ เมือ่ หมนุ แกนแลว๎ จะพบวํา Eigenvalues, % of Variance ขององค๑ประกอบท่ี 1 มคี าํ น๎อยกวําเมอ่ื ยงั ไมหํ มุนแกนในขณะที่คาํ Eigenvalues, % of Variance ขององคป๑ ระกอบท่ี 2 มคี ํามากกวาํ เม่อื ยงั ไมหํ มนุ แกน ทานองเดยี วกันองคป๑ ระกอบที่ 3 4 5 และ 6 จะมีคํา มากกวําองค๑ประกอบท่ี 1 3.4.8 ภาพ Scree Plot เปน็ กราฟทพ่ี ลอ็ ตคาํ Eigenvalue ของแตํละองค๑ประกอบ เรยี งจากมากไป น๎อยซึ่งเมอื่ นามาพลอ็ ตกราฟ ซง่ึ ในทน่ี ี้จะพิจารณาวาํ มี 6 องค๑ประกอบ เนื่องจากคาํ Eigenvalue ของ องค๑ประกอบท่ี 6 ลดลงจากองคป๑ ระกอบท่ี 5 ไมมํ ากและมคี ํา Eigenvalue มากกวาํ 1ดงั ภาพที่ 1 ภาพที่ 1Scree Plot 4.ผลการหมุนแกนองค๑ประกอบ โดยเลอื กวธิ กี ารหมนุ องคป๑ ระกอบแบบออโธโกนอล ด๎วยวิธวี ารแิ มกซ๑ และพบวําคํา Factor Loading เปลีย่ นแปลงไปเมื่อเทยี บกบั กํอนการหมุนแกน ดังแสดงในตารางท่ี 4 ตารางที่ 4Rotational Component Matrix ตวั แปร 12 Component 5 6 .771 .178 34 .091 .048 การทดสอบวดั ความรกู๎ ํอนเรยี น (Pretest) .745 .099 .141 .267 บอกรายละเอยี ดการวดั และประเมนิ ผลกํอนเรียน .124 .108 .148 .163 การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 630
ตวั แปร 12 Component .720 .285 345 6 การทบทวนความรเู๎ ดิมหรือเน้ือหาทเี่ กย่ี วขอ๎ ง .705 .168 บอกเรอื่ งทจี่ ะเรยี น วัตถปุ ระสงค๑ และประโยชน๑ กํอนเรียน .640 .434 .157 .082 .060 .107 มีเอกสาร ตารา แบบฝึกหัด ให๎ผ๎ูเรยี นศกึ ษาลํวงหนา๎ .421 .357 .214 .140 .109 .203 ปรมิ าณ/ยากงํายของเน้ือหาในการสอนแตลํ ะคร้ังเหมาะสม .332 .717 .021 .120 .044 .010 บรรยากาศการเรียนการสอนสนกุ สนาน ไมเํ ครยี ด ไมนํ าํ เบ่ือ .137 .673 .302 .144 .098 .322 มีชํวงเวลาพักให๎ผู๎เรยี นผํอนคลาย .240 .661 .097 .075 -.032 .108 ใช๎ศัพทภ๑ าษา/สานวน ที่เขา๎ ใจงาํ ย ( ไมํใชศ๎ ัพทว๑ ิชาการ) .131 .661 .190 .069 .104 .105 การสรุปประเดน็ สาคัญหลังสิ้นสดุ การเรยี นแตลํ ะเรื่อง .331 .634 .202 .144 .066 .142 ทาใหฟ๎ ิสิกสเ๑ ปน็ เรอื่ งงาํ ย สนุก สามารถเรยี นรูไ๎ ด๎ .108 .089 .116 .104 .159 .203 ความเขม๎ งวดในการคุมสอบ และการสงํ งานตรงเวลา .059 -.016 .350 .093 .060 -.081 บคุ ลิกภาพ และการแตงํ กาย ของผ๎ูสอน .171 .308 .733 .101 .075 .075 ความสามารถในการควบคุมชนั้ เรยี นให๎มีระเบยี บ .189 .379 .726 .029 .271 .236 เป็นกนั เอง พบงําย ปรกึ ษางําย ไมดํ ุ ไมเํ ครียด ไมํหงุดหงดิ .044 .057 .725 -.002 .075 -.010 ผูส๎ อนเพียงคนเดียว ตลอดทงั้ ภาคเรยี น .260 .305 .664 .151 .041 .103 ความยตุ ิธรรม การดแู ลเอาใจใสํผ๎ูเรยี นแตลํ ะคนเทาํ เทยี มกนั .095 .130 .581 .191 .189 .205 ทราบประโยชนก๑ ารเรยี นฟิสิกส๑ ตํอการเรยี นวิชาเอก .130 .109 .568 .070 .106 .138 ทราบประโยชนก๑ ารเรยี นฟิสกิ ส๑ ตอํ การทางานและชวี ิตอนาคต .179 .078 .079 .868 .024 .104 อยากทราบเหตุผลทาไมทาํ นตอ๎ งเรยี นฟสิ ิกส๑ .102 .147 .096 .847 .000 .077 เง่ือนไขการเรยี น ทีต่ อ๎ งเรยี นฟิสกิ ส๑ให๎ผาํ น ไมผํ าํ นไมจํ บ -.102 .024 .115 .785 .029 -.034 วัยวุฒขิ องผสู๎ อน ( อายุมาก /อายุนอ๎ ย ) .247 .256 .127 .501 .076 .339 ประสบการณ๑การสอน(จานวนปีทีส่ อน) ของผูส๎ อน .153 -.010 .254 -.002 .775 .136 วุฒิการศกึ ษาและวชิ าการของผู๎สอน ( ดร. ผศ. รศ. ) .403 .351 .099 .068 .751 .013 เทคนคิ วธิ ีการ ความสามารถในการสอน ของผ๎ูสอน .058 -.011 .148 -.019 .727 .047 การเลือกคบเพื่อน(เพือ่ นขยันเรียน เพื่อนไมํขยนั เรยี น ฯลฯ) .199 .026 .095 .226 .470 .005 วินยั การเรยี น เชนํ ไมขํ าดเรียน สงํ งานตามกาหนด ฯลฯ .153 .228 .149 -.116 .072 .682 ถ๎าไมเํ ขา๎ ใจเรอื่ งผํานมา จะไมํเขา๎ ใจเรอื่ งถดั ไป .029 .374 .212 .053 .055 .599 พฤติกรรมของผเ๎ู รียนไทยสํวนใหญํ ที่ไมํชอบชกั ถาม .113 .345 .043 .305 -.010 .563 ห๎องเรยี นที่เยน็ สบาย ไมรํ อ๎ นอบอ๎าว .036 .187 .006 .464 .084 .190 .106 .426 5. สรปุ จานวนองคป๑ ระกอบปจ๓ จยั ทสี่ ํงผลตํอการเรยี นการสอนวิชาฟิสกิ สพ๑ ้ืนฐานระดบั อดุ มศกึ ษา โดย กาหนดวําตอ๎ งมคี ํา Factor Loading มากกวํา 0.3 จะสกัดได๎ 6องค๑ประกอบ รวมทง้ั หมด 30 ตัวแปร โดย การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 631
อธิบายความแปรปรวนของตวั แปรได๎ รอ๎ ยละ 58.96โดยการวจิ ัยครั้งนจี้ ะไมํตงั้ ชอื่ เฉพาะแตลํ ะองคป๑ ระกอบ แตํ จะใช๎ชอ่ื ทวั่ ไป เป็น Factor 1 , 2 , 3 , 4 , 5 และ 6 ตามลาดบั เพราะการตง้ั ช่อื เฉพาะหากใช๎คาศัพท๑ทส่ี อื่ ความหมายไมํครอบคลุมตวั แปรทงั้ หมดในองคป๑ ระกอบไมดํ พี อ ผ๎ูทน่ี าผลการวจิ ัยไปใช๎อาจเกดิ ความเขา๎ ใจ ผิดพลาดซึง่ แตํละองคป๑ ระกอบมีตัวแปรตาํ งๆ ดงั นี้ องค๑ประกอบที่ 1 (Factor 1) ประกอบดว๎ ย 6 ตวั แปร เรยี งลาดับตามคาํ Factor Loading ดงั น้ี คอื การทดสอบวดั ความรก๎ู อํ นเรียน(0.771) การบอกรายละเอยี ดการวดั และประเมินผลกอํ นเรียน(0.745) การ ทบทวนความรเู๎ ดมิ หรือเน้อื หาทีเ่ ก่ยี วข๎อง(0.720) การบอกเรือ่ งทจี่ ะเรียน/วัตถุประสงค๑/ประโยชนก๑ อํ นเรียน (0.705) การมเี อกสาร/ตารา/แบบฝกึ หดั ให๎ผเ๎ู รียนศึกษาลํวงหนา๎ (0.640) และการจดั ปริมาณและยากงําย เนอ้ื หาการสอนแตํละครั้งเหมาะสม(0.421)โดยท้งั 6 ตัวแปร รวํ มกนั อธบิ ายความแปรปรวนไดร๎ อ๎ ยละ 30.793 องค๑ประกอบที่ 2(Factor 2) ประกอบด๎วย 5 ตัวแปร เรียงลาดับตามคํา Factor Loading ดังน้ี คือ บรรยากาศการเรยี นการสอนสนุกสนาน(0.717) มชี ํวงเวลาพักให๎ผอํ นคลาย(0.673) ผ๎ูสอนใช๎ภาษาพูดทเี่ ข๎าใจ งํายไมํใช๎ศพั ทว๑ ชิ าการท่ีเข๎าใจยาก(0.661) การสรุปประเด็นสาคญั สนิ้ สดุ การเรยี นแตลํ ะเรือ่ ง(0.661) การทาให๎ ฟิสกิ สเ๑ ป็นเรอ่ื งงาํ ยสามารถเรยี นร๎ูได(๎ 0.634) โดยทั้ง 5 ตวั แปร รวํ มกันอธบิ ายความแปรปรวนไดร๎ อ๎ ยละ 7.742 องค๑ประกอบท่ี 3 (Factor 3) ประกอบด๎วย 6 ตัวแปร เรียงลาดับตามคํา Factor Loading ดังน้ี ความเข๎มงวดการสอบและการสํงงานตรงเวลา(0.733) บุคลิกภาพและการแตํงกายของผู๎สอน(0.726) ความสามารถผ๎สู อนในการควบคมุ ช้นั เรยี นให๎มีระเบยี บ(0.725) ผส๎ู อนมคี วามเปน็ กนั เอง/พบงาํ ย/ปรกึ ษางาํ ย/ (ไมํหงุดหงิด(0.664) ไมํมีผูส๎ อนหลายคนสลบั กนั (0.581) ผู๎สอนมีความยุติธรรม/มีการดูแลเอาใจใสํผ๎ูเรียนแตํ ละคนเทาํ เทียมกัน(0.568) โดยทั้ง 6 ตัวแปร รวํ มกนั อธบิ ายความแปรปรวนได๎ร๎อยละ 6.588 องค๑ประกอบท่ี 4 (Factor 4) ประกอบด๎วย 4 ตัวแปร เรยี งลาดับตามคํา Factor Loading คือ การ ทาให๎ผเ๎ู รยี นเห็นประโยชนว๑ ิชาฟิสกิ สต๑ อํ การเรยี นวชิ าเอก(0.868) การทาใหผ๎ เู๎ รียนเห็นประโยชน๑วิชาฟิสิกส๑ตํอ การทางานและดารงชีวติ ในอนาคต(0.847) การทาให๎ผ๎เู รยี นทราบเหตผุ ลท่ีต๎องให๎เรยี นฟสิ ิกส๑(0.758) การทา ใหผ๎ ๎ูเรยี นทราบเง่อื นไขท่ีตอ๎ งเรียนฟิสิกส๑ใหผ๎ ํานจึงจะจบการศึกษา(0.501) โดยท้ัง 4 ตัวแปร รํวมกันอธิบาย ความแปรปรวนไดร๎ ๎อยละ 5.154 องค๑ประกอบท่ี 5 (Factor 5) ประกอบด๎วย 4 ตัวแปร เรียงลาดับตามคํา Factor Loading คือ วยั วุฒิผส๎ู อน (0.775) ประสบการณก๑ ารสอนผ๎ูสอน(0.751) คณุ วุฒิผ๎สู อน(0.727) และ ความสามารถในการ สอนของผู๎สอน(0.470) โดยทัง้ 4 ตวั แปรรวํ มกันอธบิ ายความแปรปรวนไดร๎ ๎อยละ 4.596 องคป๑ ระกอบที่ 6 (Factor 6) ประกอบดว๎ ย 5 ตัวแปร เรียงลาดับตามคํา Factor Loading คือ การ เลอื กคบเพอื่ น(0.682) ความมีวนิ ัยในการเรยี นของผู๎เรยี น เชนํ ไมํขาดเรียน สงํ งานตามกาหนด ฯลฯ (0.599) การที่ถา๎ เรยี นไมเํ ขา๎ ใจเรือ่ งฟิสิกสท๑ ่ีผาํ นมาจะไมํเข๎าใจเรอื่ งฟิสกิ สท๑ จี่ ะเรียนถดั ไป(0.563) พฤตกิ รรมของผเู๎ รยี น ท่ีไมชํ อบชักถาม(0.464) และ สภาพหอ๎ งเรียนที่เย็นสบายไมํร๎อนอบอ๎าว(0.426) โดยท้ัง 5 ตัวแปร รํวมกัน อธิบายความแปรปรวนได๎ร๎อยละ 4.083 การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 632
6. วเิ คราะหผ๑ ลการวจิ ัยและอภิปรายผลดงั ตํอไปนี้ 6.1 เน่ืองจากเทคนคิ Exploratory Factor analysis ใช๎การจัดกลุํมหรือรวมกลมํุ ตัวแปรเป็น แตํละองคป๑ ระกอบ(Factor) โดยนาตวั แปรท่มี คี วามสัมพันธ๑กันไว๎ในกลุํมเดียวกัน ตัวแปรท่ีมีอยูํองค๑ประกอบ เดยี วกนั จะมคี วามสมั พันธก๑ นั มาก โดยความสัมพนั ธ๑นนั้ อาจจะเป็นในทิศทางบวก(ทางเดยี วกนั ) หรือทศิ ทางลบ (ตรงข๎ามกัน) ก็ได๎ สํวนตัวแปรท่ีอยํูตํางองค๑ประกอบกันจะไมํมีความสัมพันธ๑กันหรือสัมพันธ๑กันน๎อยมาก นอกจากน้ีเทคนิค Exploratory Factor analysis ใช๎คําความแปรปรวนอธิบายระดับการสํงผลหรือระดับ ความสาคัญ (กลั ยา วานชิ บัญชา, 2554หน๎า 4-6.) ดังน้ันตัวแปรที่แมจ๎ ะมีคาํ เฉล่ียระดับมากอาจถูกจัดอยํูใน องค๑ประกอบทม่ี คี วามแปรปรวนต่าหรอื ความสาคัญต่ากเ็ ป็นได๎ เชนํ ตัวแปรวินัยการเรียน ไมขํ าดเรียน ไมํสาย สํงงานตามกาหนด ( ̅=3.94; sd.=0.83; ระดับมาก) หรอื ตัวแปรความยุติธรรม การดูแลเอาใจใสํผ๎ูเรียนเทํา เทียมกนั ( ̅=3.94; sd.=0.78; ระดับมาก) เมอื่ วิเคราะห๑แลว๎ จัดอยใูํ นองค๑ประกอบทม่ี คี วามสาคญั น๎อยเพราะมี ความแปรปรวนตา่ กเ็ ป็นไปได๎ 6.2 โดยอาศยั ร๎อยละความแปรปรวนของแตํละองคป๑ ระกอบ จะสรุปได๎วาํ องค๑ประกอบท่ี 1 ซึ่งมีร๎อย ละความแปรปรวนมากทสี่ ดุ คอื ร๎อยละ 30.793 ดังน้ันผู๎สอนจึงควรให๎ความสาคัญมาก โดยควรทดสอบวัด ความรผู๎ ๎ูเรยี นกํอนเรยี นการสอนเนือ้ หาใหมเํ พอ่ื ให๎ผู๎เรียนทราบความสามารถและความรพ๎ู ้ืนฐานของตนเอง อีก ทัง้ ให๎ผส๎ู อนทราบพ้นื ฐานความรูเ๎ ดมิ ของผูเ๎ รยี น นอกจากนี้ผ๎ูสอนควรบอกการวัดประเมนิ ผลใหช๎ ัดเจน เนือ้ หา ที่สอนควรเหมาะสมกับเวลาเรียน ควรบอกวัตถุประสงค๑และประโยชน๑ของเนื้อหาท่ีจะเรียน และควรมี เอกสารตาราทอี่ ํานงาํ ยและสอดคล๎องกบั เน้ือหาทีส่ อนจรงิ ซึง่ หากผ๎ูสอนดาเนินการตามท่ีกลําวมาได๎จะสํงผล ตอํ การเรียนการสอนมาก สํวนองคป๑ ระกอบที่ 2, 3, 4,5 และ 6 ซึ่งแม๎วาํ แตลํ ะองค๑ประกอบจะมีร๎อยละความแปรปรวนไมํมาก แตเํ มอ่ื รวมกันแลว๎ จะมีความแปรปรวนถงึ 28.163 ผสู๎ อนจงึ ควรจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนให๎ครอบคลุมตัว แปรตาํ งๆ ในองค๑ประกอบเหลํานีใ้ ห๎มากสุดเทาํ ท่ีดาเนินการได๎ เชํน พยายามทาให๎ฟิสิกส๑เป็นเร่ืองงํายใกล๎ตัว ควรสร๎างบรรยากาศการเรยี นการสอนสนุกสนานไมเํ ครยี ดไมํนําเบ่ือ มีชวํ งเวลาพักให๎ผ๎ูเรียนผํอนคลาย ผ๎ูสอน ควรใชภ๎ าษาและสานวนทเี่ ข๎าใจงําย หลีกเล่ียงการใช๎ศัพท๑วิชาการมากไปโดยไมํจาเป็น เม่ือเสร็จสิ้นการสอน ควรมีการสรุปประเดน็ สาคญั หลงั สนิ้ สุดการเรียนแตํละเรื่อง ผู๎สอนควรมีบุคลิกภาพและการแตํงกายดูดีและ เหมาะสม ควรใช๎สอนเหมาะสมกบั ฟิสกิ ส๑แตลํ ะเร่ือง ควรนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต๑กับการเรียนการ สอนควรหาวิธีสอนแบบใหมํๆ และใช๎วธิ ีสอนหลากหลาย ไมํช้าจาเจกับวิธีสอนวิธีเดียว ผ๎ูสอนควรเป็นกันเอง/ พบงําย//ไมดํ /ุ ไมหํ งดุ หงิด และแตํละกลุมํ เรยี นหรอื ช้ันเรยี น(class)ไมคํ วรมผี สู๎ อนสลับกนั หลายคน ผู๎สอนควรมี ความยุตธิ รรม/ดแู ลเอาใจใสํผ๎ูเรียนแตํละคนเทําเทียมกัน ควรเข๎มงวดการสอบและสํงงานตรงเวลา ควรดูแล และควบคุมชน้ั เรียนให๎มีระเบยี บ ควรแจ๎งใหผ๎ ๎ูเรยี นทราบวาํ วชิ าฟสิ กิ สเ๑ ป็นวิชาบังคับท่ีตอ๎ งเรยี นใหผ๎ ํานจึงจะจบ การศึกษา ผู๎สอนควรหาวธิ กี ารทาให๎ผ๎ูเรียนมองเห็นประโยชน๑การเรียนฟิสิกส๑ ท้ังตํอการเรียนวิชาในสาขา (เอก)ของผ๎เู รียนและชีวิตอนาคต ผ๎ูสอนควรสอดแทรกการครองตนและคุณธรรมจริยธรรมเชํน การคบเพื่อน การตรงเวลาไมทํ จุ รติ การสอบ ผส๎ู อนควรสารวจสภาพแวดลอ๎ มและอุปกรณก๑ อํ นดาเนนิ การสอนแตลํ ะครงั้ เชํน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 633
สารวจตรวจสอบห๎องเรียนใหม๎ ีสภาพนาํ เรยี น สะอาด เรียบร๎อย สวยงาม มีความพร๎อมด๎านระบบเสียงระบบ ภาพท่ีฟ๓งได๎ชัดเจน รวมทั้งทาใหอ๎ ากาศเย็นสบายไมํอบอา๎ ว เป็นต๎น 6.3 แม๎วําขณะทาวิจัยเรื่องนี้ไมํพบงานวิจัยการใช๎เทคนิควิเคราะห๑องค๑ประกอบ (Factor analysis) หาองค๑ประกอบด๎านการเรียนการสอนฟสิ กิ ส๑ระดับอดุ มศึกษา แตผํ ลการวจิ ยั เรือ่ งน้สี อดคล๎องกับข๎อ ค๎นพบจากงานวิจัยอ่ืนๆ เชํน งานวิจัยของ อมรรัตน๑ คาบุญ (2552) ที่ได๎ศึกษาป๓ญหาและแนวทางการ แกป๎ ญ๓ หาการเรียนการสอนวิชาฟิสิกส๑ เร่ืองระบบอนุภาคระดับอุดมศึกษาของวิทยาลัยรา ชพฤกษ๑ ท่ีสรุปวํา อยากให๎ผสู๎ อนอธบิ ายช๎าๆ ยกตวั อยาํ งมากๆ อยากใหจ๎ ดั ระบบใหผ๎ เ๎ู รยี นมคี วามพร๎อมในการเรียน อยากให๎มี หนงั สือเรยี น เนอื้ หามากไป อยากให๎หาเทคนิคที่ดมี าใช๎ในการสือ่ การสอน ไมํกล๎าถาม มีนักศึกษาจานวนมาก สอดคล๎องกับงานวจิ ยั ของ วิชติ สรุ ัตน๑เรอื่ งชัย และคณะ (2549) ทศี่ ึกษาสภาพและป๓ญหาการจัดการเรียนการ สอนของคณาจารยม๑ หาวทิ ยาลยั บูรพา พบวํา ป๓ญหาการจัดการเรียนการสอนที่พบมากท่ีสุด ได๎แกํ ไมํมีเวลา เตรยี มการสอนเนื่องจากภาระงานสอนและงานอนื่ ๆ มากเกนิ ไป นิสิตไมํมีความพร๎อม ขาดความมุํงมั่นในการ เรยี น ขาดความรับผิดชอบ ขาดความอดทน ขาดระเบียบวินัย ไมํกล๎าแสดงออก ไมํตรงตํอเวลา พ้ืนฐานไมํดี อุปกรณ๑การสอนประจาห๎องเรยี นไมํเพียงพอ จานวนนสิ ติ ในช้ันเรยี นมากเกินไป ทาให๎การวดั และประเมินผลทา ได๎ยาก และไมํมีเวลาปรับปรุงการสอนเน่ืองจากภาระงานสอนมากสํวนนิสิตมีความคิดเห็นวําป๓ญ หาการ ดาเนินการสอนทีพ่ บมากทสี่ ดุ ได๎แกํ อาจารยข๑ าดเทคนคิ การสอน ขาดกจิ กรรมการปฏบิ ตั ิ เน๎นการบรรยายมาก เกนิ ไป อธิบายไมํชดั เจน การใช๎แผํนโปรํงใสของอาจารย๑ตัวหนงั สอื เลก็ มองไมํคํอยเห็น เปลี่ยนแผํนโปรํงใสเร็ว เกินไป เครอื่ งฉายไมํมคี ุณภาพ ไมํมีการวัดและประเมินผลเป็นระยะ วัดและประเมินผลความจามากกวําการ นาไปใช๎และขอ๎ สอบยากเกินไป และสอดคล๎องกบั งานวิจัยของ นภาพร เจียพงษ๑ที่พบวําองค๑ประกอบที่สํงผล ตอํ การเรยี นรูผ๎ าํ นสื่ออิเล็กทรอนิกส๑(e-learning) โครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร๑ไทย 5 ตัวแปร คือ การสอบ วดั ผล เนอ้ื หาบทเรียน ระบบบรหิ ารหารเรียน การตดิ ตอํ สือ่ สาร และการใช๎บทเรยี น การนาผลงานไปใช้ประโยชน์ ใช๎เปน็ ขอ๎ มลู ในการหาแนวทางและการพฒั นานวัตกรรมการเรียนการสอน วิชาฟิสกิ ส๑พ้นื ฐาน ฟสิ ิกสเ๑ บ้ืองตน๎ ฟิสกิ ส๑ทว่ั ไป และฟสิ ิกสร๑ ะดับสูง ในระดบั อุดมศึกษา ขอ้ เสนอแนะ 1. วเิ คราะหห๑ าโมเดลความสมั พันธ๑เชงิ สาเหตปุ ๓จจยั (Casual Model) ทสี่ ํงผลตอํ การเรียนการสอน วิชาฟสิ ิกสพ๑ ้ืนฐานระดบั อดุ มศกึ ษา 2. นาขอ๎ มูลทไี่ ด๎จากวเิ คราะหอ๑ งค๑ประกอบปจ๓ จยั สงํ ผลตํอการเรยี นการสอนวิชาฟิสกิ สพ๑ น้ื ฐานระดับอุดมศึกษา ไปวเิ คราะห๑หาแนวทางการจัดการเรียนการสอนวชิ าฟิสิกสพ๑ น้ื ฐานระดบั อุดมศกึ ษา 3. พัฒนารปู แบบการจดั การเรียนร๎ูวชิ าฟิสิกส๑พื้นฐานระดับอดุ มศึกษา การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 634
กติ ติกรรมประกาศ บทความวิจัยเรื่องน้ีเป็นสํวนหน่ึงของโครงการวิจัย ได๎รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากงบประมาณเงิน รายได๎ จากเงินอดุ หนนุ รฐั บาล(งบประมาณแผํนดิน) ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2559มหาวิทยาลัยบูรพา ผําน สานักงานคณะกรรมการการวจิ ัยแหงํ ชาติ เลขทส่ี ญั ญา 116/2559 เอกสารอา้ งองิ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2524). พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพม่ิ เติม(ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545. สบื คน๎ จาก http:// www.onec.go.th/ index.php/book/BookView/10 กัลยา วานชิ ย๑บญั ชา. (2554). การใช้ SPSS for windows ในการวเิ คราะห์ขอ้ มลู . กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ๑ แหงํ จฬุ าลงกรณ๑มหาวทิ ยาลยั . ยทุ ธ๑ ไกรวรรณ๑. (2556). วเิ คราะหข์ ้อมลู วิจยั 4. กรุงเทพฯ: ศนู ยส๑ ่ือเสรมิ กรงุ เทพ. วันเพญ็ วิโรจนเ๑ สริญวงศ๑ มณเฑียร รนั ตนวงศว๑ ฒุ ิ และ มนตช๑ ยั เทียบทอง. ( มปป.). การวเิ คราะห์ องค์ประกอบเชิงสารวจการรับร้คู วามสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์. วารสารวชิ าการและวิจัย มทร.พระนคร ฉบบั พเิ ศษ การประชุมวิชาการมหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล ครง้ั ท่ี 5. ฉลองชยั ธวี สทุ รสกลุ . (2560). การพฒั นาระบบการเรียนการสอนฟสิ กิ ส์พื้นฐานระดบั อุดมศึกษา โดยการศกึ ษาบทเรียน. เอกสารประชุมวชิ าการ The 13th Conference Materials National Conference on Education ICE2017. วันทนา กิตทิ รัพย๑กาญจนา (2546).ปจั จัยทมี่ ีอทิ ธิพลต่อแรงจูงใจใฝุสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาฟสิ กิ สข์ อง นกั เรยี นช้ันมัธยมศึกษาปลาย กรุงเทพมหานคร. ปรญิ ญานิพนธ๑วิทยาศาสตร๑มหาบณั ฑิต การศึกษาวิทยาศาสตร.๑ มนสั อนิ ทรร๑ งุํ (2531).การสารวจความคิดเหน็ เกี่ยวกับปัญหาการเรยี นการสอนวชิ าฟสิ กิ ส์ประยุกต์ สาหรบั นักศึกษาระดบั ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชัน้ สูง วิทยาลยั เทคโนโลยแี ละอาชวี ะศึกษา: มหาวิทยาลยั เชยี งใหมํ วิชติ สุรัตน๑เรืองชัย และคณะ. (2014).การศกึ ษาสภาพและปญั หาการจดั การเรียนการสอนของคณาจารย์ มหาวิทยาลยั บรู พา. วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบรู พา ปที ่ี 17 ฉบับท่ี 2: ชลบุรี มหาวทิ ยาลยั บรู พา. มณีรัตน๑ มนั่ ยนื . (2551). การวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบทม่ี ผี ลตอ่ การเรยี นร้ผู า่ นส่อื อิเล็กทรอนกิ ส์ [e-Learning] กรณีศึกษา โครงการมหาวิทยาลัยไซเบอรไ์ ทย สานกั งานคณะกรรมการ การอดุ มศึกษา. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล๎าธนบรุ .ี การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 635
ลักษณา วาทนิ . (2551). การวเิ คราะหอ์ งค์ประกอบ ที่มตี ่อผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาคอมพวิ เตอร์ ของนักเรียนระดับประกาศนยี บตั รวชิ าชพี สาขาคอมพิวเตอรธ์ รุ กจิ โรงเรยี นในเครอื ต้ังตรงจติ ร กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล๎าธนบรุ .ี นภาพร เจียพงษ๑. (2549). การวิเคราะหอ์ งค์ประกอบ ท่มี ีผลกระทบตอ่ การจดั การเรยี นการสอน e-Learning ของมหาวทิ ยาลยั ราชภัฏ เขตกรุงเทพมหานคร.กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล๎าธนบรุ .ี นา้ อ๎อย ใจตรง. (2548). การวเิ คราะห์องค์ประกอบทีม่ ีอิทธิพลตอ่ ความพงึ พอใจของนกั ศึกษา เก่ียวกบั บรรยากาศของการเรียนการสอน ในมหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี.กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล๎าธนบรุ .ี หทยั ชนก ผลาวรรณ.๑ (2547). การวเิ คราะห์องค์ประกอบท่ีมีอทิ ธิพลต่อการจัดการเรยี นการสอน ในห้องเรยี นเสมอื นจริง.กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล๎าธนบรุ ี. ฉตั รชัย รงํุ อรุณสุวรรณ. (2545). การวิเคราะหอ์ งค์ประกอบ ทม่ี อี ิทธิพลตอ่ การเรยี นการสอนแบบเน้นผู้เรียน เป็นสาคัญ: กรณีศกึ ษา คณะวิชาช่างกลโลหะ วิทยาลยั เทคนิค สังกดั กรมอาชวี ศึกษา.กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล๎าธนบรุ .ี อมรรตั น๑ คาบญุ . (2553). การศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหา การเรียนการสอนวิชาฟิสิกส์ เรอ่ื งระบบอนุภาคระดับอุดมศกึ ษาของวทิ ยาลัยราชพฤกษ์.นนทบุรี: วิทยาลัยราชพฤกษ.๑ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 636
การมสี ว่ นร่วมในการจดั การศกึ ษาของภาคเี ครือข่ายระหว่างศูนย์การศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอัธยาศัยกับการศึกษาระดบั ปฐมวัย Participation in education management of alliance among Non-formal and informal education centers and Childhood education programs. กนกชาติ พรหมบุบผา1 ศริ ิพรสวุ รรณรังษี2 ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอสีคิว้ 1 ศูนย์พฒั นาเด็กเล็กเทศบาลตาบลหนองหวั แรต2 e-mail :[email protected][email protected] บทคัดยอ่ การมีสวํ นรํวมในการจดั การศกึ ษาของภาคีเครือขํายระหวํางศูนย๑การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอธั ยาศยั กับการศึกษาระดบั ปฐมวยั มโี ครงสร๎างในการสร๎างและพัฒนาภาคีเครือขํายในการจัดการศึกษา โดยยึดถอื อุดมการณ๑ หรือเปูาหมายรวํ มกัน เป็นอิสระตํอกัน ให๎เกียรติซึ่งกันและกัน โดยการใช๎พื้นที่เป็นฐาน การบรู ณาการทุกภาคสํวน คอื 1. การประสานงาน 2. ความรํวมมือ 3. การทางานรํวมกัน 4. การมีสํวนรํวม พรอ๎ มกบั สํวนเสริมให๎ภาคีเครอื ขาํ ยเข๎ามามสี วํ นรํวมในการจัดการศกึ ษาโดยการที่สมาชิกทุกคนของหนํวยงาน หรือองค๑กร มารํวมกันดาเนินการอยํางใดอยํางหนึ่ง โดยในการดาเนินการนั้นมีลักษณะของกระบวนการมี ขัน้ ตอนท่ีมงุํ หมายจะทาให๎เกิดการเรียนรู๎อยํางตํอเนื่อง มีพลวัต กํอให๎เกิดผลดีตํอการขับเคล่ือนองค๑กรหรือ เครือขําย ไมํวาํ จะเป็นศูนย๑การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่เน๎นให๎จัดการศึกษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอัธยาศยั ให๎กบั ประชาชน จงึ ต๎องอาศยั ความรํวมมือจากหลายฝุายรํวมเป็นภาคีเครือขํายใน การทางาน กศน. ทั้งน้ี เพื่อต๎องการให๎เกิดการผลักดันกระบวนการเรียนรู๎รํวมกันทางสังคม และการศึกษา ระดบั ปฐมวยั ทเี่ น๎นให๎มีการพฒั นาระบบภาคเี ครอื ขําย ถงึ ความสาคญั ของการจัดการศกึ ษา โดยเน๎นการพัฒนา และยกระดบั คณุ ภาพการศึกษา รวมทงั้ สงํ เสริมสนับสนุนให๎มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ระดับตํางๆ ตามแนวคิด พื้นฐานการพัฒนาแบบเครือขํายมีสํวนรํวมจึงได๎มีนโยบายจัดตั้งกลํุมเครือขํายเชํน กลํุมเครือขํายสํงเสริม ประสิทธภิ าพ การจัดการศึกษาปฐมวัย ดังนั้น การมีสํวนรํวมในการจัดการศึกษาของภาคีเครือขํายจึงมีสํวน สาคญั ตํอการพัฒนาการศกึ ษาใหม๎ ีคณุ ภาพ และสํงผลให๎ประเทศก๎าวไปข๎างหน๎า อยํางมั่นคงผํานกระบวนการ คอื 1.การประสานงาน 2.ความรวํ มมือ 3.การทางานรวํ มกัน 4.การมีสํวนรวํ มเพอ่ื สร๎างและพฒั นาภาคีเครือขาํ ย คาสาคัญ:การมีสวํ นรํวม,ภาคเี ครือขาํ ย,การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ,การศกึ ษาระดบั ปฐมวัย ABSTRACT การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 637
Participation in education management of alliance among Non-formal and informal education centers and Childhood education programs have the structure that aims to creating and developing alliance in Educational Management. By abide ideologically Or goals together, Be free to each other and Honor each other by using the space as the integration of all sectors. 1. Coordinate 2. Cooperation 3. Collaborate 4. Engage. With an addition of alliance to participate in educational management by all members of a department or an organization that comes together to share the common goal. By doing so, the strategy is characterized by a process that aims to achieve continuous learning, dynamics, and a positive effect on the organization or network. The Center for Non-Formal and informal Education and focuses on providing Non-Formal and informal education to the public which is the responsibility of the network parties to engage in the network. This is to promote social learning and Early childhood education that focuses on the development of the alliance with the importance of education by emphasizing on developing and raising the quality of education. It also promotes the exchange and interaction of learning levels. Based on the basic concept of network development, the participants have established to form a group of network. Such as Performance Networking Group, Early Childhood Education Management. Therefore, by participating in the alliance of education management, it is important in the process of developing education quality that will drive the country forward steadily.In process is create and development of participation by 1. Coordinate 2. Cooperation 3. Collaborate 4. Engage. KEYWORDS:Participation, alliance, Non-formal and Informal education, Childhood education program การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 638
บทนา การมีสวํ นรํวมในการจัดการศึกษาของภาคเี ครือขํายระหวํางศูนย๑การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยกบั การศึกษาระดับปฐมวยั เป็นการศึกษาการมีสํวนรํวมของภาคีเครือขํายในการจัดการศึกษาใน รูปแบบตาํ งๆ โดยยดึ หลักตาม พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 แก๎ไขเพิม่ เติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 หมวด 3 ระบบการศึกษา มาตรา 15 การจัดการศึกษามีสามรูปแบบ คือการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย มาตรา 29 ให๎สถานศึกษารํวมกับ บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค๑กรชุมชน องค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่ิน เอกชน องค๑กรเอกชน สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอ่ืนสํงเสริมความเข็มแข็งของชุมชนโดยจัดกระบวนการเรียนรู๎ภายใน ชุมชน เพ่ือให๎ชุมชนมีการจัดการศกึ ษาอบรม มกี ารแสวงหาความรู๎ ข๎อมลู ขาํ วสาร และรจู๎ กั เลือกสรรภูมิปญ๓ ญา และวิทยาการตํางๆ เพ่ือพัฒนาชุมชนให๎สอดคล๎องกับสภาพป๓ญหาและความต๎องการ รวมท้ังหาวิธีการ สนบั สนุนให๎มีการแลกเปลย่ี นประสบการณก๑ ารพัฒนาระหวํางชุมชน ดร.ถวิลวดี บุรีกลุ (2551) ไดร๎ ะบวุ ํา การมสี วํ นรํวมของประชาชนเป็นเจตนารมณ๑หลักของรัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และมีบัญญัตอิ ยูใํ นกฎหมายอีกมากมายและไดใ๎ ห๎ความสาคญั ของการให๎ประชาชนเป็นศนู ย๑กลางให๎มกี ารปฏิรปู ระบบราชการท่ีเปดิ โอกาสใหป๎ ระชาชนมสี ํวนรํวมในการบริหารราชการแผํนดนิ ซึ่งสานักงานสงํ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย(กศน.) ไดร๎ ะบใุ น คัมภรี ๑ กศน. วาํ การมีสวํ นรวํ ม หมายถึง การทส่ี มาชิกทกุ คนของหนํวยงานหรือองค๑กร มารํวมกันดาเนินการอยํางใดอยําง หน่ึง โดยในการดาเนินการน้ันมีลักษณะของกระบวนการมีขั้นตอนท่ีมํุงหมายจะทาให๎เกิดการเรียนรู๎อยําง ตํอเนือ่ ง มพี ลวตั กอํ ใหเ๎ กิดผลดตี อํ การขับเคล่อื นองค๑กรหรือเครือขําย เพราะมีผลในทางจิตวิทยาเป็นอยํางยิ่ง กลาํ วคือ ผทู๎ ีเ่ ข๎ามามีสวํ นรวํ มยอํ มเกิดความภาคภูมใิ จท่ไี ดเ๎ ปน็ สํวนหน่ึงของการบริหาร ความคิดเหน็ ถูกรับฟูงและนาไปปฏิบัติเพื่อการพัฒนาเครือขําย และที่สาคัญผู๎ท่ีมีสํวนรํวมจะมีความรู๎สึกเป็นเจ๎าของ เครอื ขําย ความรูส๎ ึกเป็นเจา๎ ของเครอื ขํายจะเป็นพลังในการขับเคล่ือนเครือขํายท่ีดีที่สุดและได๎ให๎ความหมาย ของ ภาคีเครือขําย คือ บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค๑กรชุมชน องค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่ิ น องค๑กรเอกชน องคก๑ รวชิ าชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และองค๑กรอื่น รวมทั้งสถานศึกษาอื่น ที่มีสํวนรํวมหรือมี วัตถุประสงค๑ในการดาเนินงาน นอกจากนี้ ในการทางานรํวมกับหนวํ ยงานหรืองค๑กรอน่ื ในลกั ษณะของเครือขาํ ย หรือ พันธมิตร หรือ ห๎นุ สวํ นขึน้ อยูํกบั ระดับของความรํวมมือ ดงั น้ี 1. การประสานงาน 2. ความรํวมมือ 3. การทางานรํวมกนั 4. การมสี วํ นรํวมและสานกั งาน กศน. ได๎ระบุบทบาทและหน๎าท่ีของหนํวยงานในสังกัด สานักงาน กศน. ตามยุทธศาสตรฯ๑ (โดยมแี ผนบูรณาการรวํ มกันทัง้ สวํ นกลางและภูมิภาค) วําศนู ยก๑ ารศกึ ษานอ รกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยมีบทบาท ในการแสวงหาความรํวมมือภาคีเครือขํายในกลํุมประเทศ อาเซยี น โดยมีบนั ทึกข๎อตกลงรํวมกันเพือ่ สํงเสรมิ และพฒั นาการจดั การศึกษาตลอดชวี ติ ในสํวนของการศึกษา ระดบั ปฐมวยั สอดคลอ๎ งกับ อุไรรตั น๑ ชนะบารุง (2555) ได๎ระบุใน กศน.กับการทางานรวํ มกบั เครอื ขํายไว๎ ในการจดั การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยใหก๎ ับประชาชนจงึ ต๎องอาศัยความรํวมมือจากหลาย ฝุายรํวมเป็นภาคีเครอื ขาํ ยในการทางาน กศน. ท้งั น้ี เพ่อื ตอ๎ งการใหเ๎ กิดการผลักดนั กระบวนการเรยี นร๎ูรํวมกัน การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 639
ทางสังคม ป๓จจุบันหนํวยงานและสถานศึกษา กศน. จะต๎องมีการประสานความรํวม มือกันจัดการเรียนรู๎กับ ภาคีเครอื ขํายมาอยาํ งตอํ เน่อื งการสร๎างภาคีเครอื ขํายในทกุ ระดบั ของหนํวยงานและสถานศึกษา กศน. สะท๎อน ถึงความสัมพันธ๑และความรํวมมือในกระบวนการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย รวํ มกนั การรวํ มคดิ รวํ มวางแผนรวํ มปฏบิ ัติ รํวมประเมินผล ซึ่งในแตํละหนวํ ยงานและสถานศึกษา กศน. มีเทคนิควิธีหลากหลายในการสร๎างภาคีเครือขําย สร๎างความสัมพันธ๑กับเครือขําย และเครือขํายให๎ความ รํวมมือในการสํงเสริมการจัดการเรียนร๎ูให๎กับประชาชน รวมทั้งการพัฒนาศักยภาพการทางานรํวมกับภาคี เครือขาํ ย ซงึ่ แตลํ ะวิธหี รอื เทคนคิ จะสงํ ผลใหเ๎ กิดผลสาเรจ็ ในการสร๎างภาคเี ครอื ขํายในระดับทแ่ี ตกตํางกนั ดว๎ ย โดยสานกั งานกองทุนสนับสนุนการสรา๎ งเสรมิ สุขภาพ(สสส.) ได๎ใหค๎ วามสาคญั กบั กบั การสรา๎ งสุขภาวะ เดก็ ปฐมวยั ดว๎ ยการพัฒนาเครือขาํ ยกลไกพัฒนาเดก็ ปฐมวยั โดยการผลกั ดนั ให๎เกิดการขับเคลือ่ นระบบกลไกการ ทางานเพื่อเด็กปฐมวัยระดับจังหวัดที่เป็นรูปธรรม ดร.สุปรีดา อดุลยานนท๑ ผ๎ูจัดการ สสส. กลําวอีกวํา การ พัฒนาเดก็ ปฐมวัยตง้ั แตํแรกเกดิ ถึง 6 ปี เป็นโอกาสทองของการพัฒนาเพราะเปน็ ชวํ งทส่ี มองพฒั นาถงึ 80% จงึ เป็นโอกาสสาคัญในการจัดการเรียนร๎ูและเสริมสร๎างพัฒนาการให๎เหมาะสมกับวัย อยํางไรก็ตามยังมีเด็ก ปฐมวัยอีก 12% ทขี่ าดโอกาสในการเตรยี มความพร๎อม จากข๎อมลู ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ปี 2555 พบวํา มีเด็กจานวน 365,506 คน จากจานวนเด็กชํวงอายุ 0-5 ปี 4,585,759 คน หรือ คิดเป็น 12% ของเดก็ ในชํวงอายุ 2-5 ปี ท่ีไมํได๎รบั โอกาสในการเข๎าเรียนในศนู ย๑เดก็ เล็กหรอื โรงเรยี นอนบุ าลเพือ่ เตรียมความ พร๎อมในชํวงปฐมวัย นอกจากนี้ยังพบ 1 ใน 5 ของเด็กปฐมวัย มีพัฒนาการลําช๎า จากการตรวจคัดกรอง พัฒนาการเด็กอายุ 3.5 ปีท่ัวประเทศซึ่งรัฐบาลเล็งเห็นความสาคัญของการพัฒนาคนตลอดชํวงชีวิตเป็น นโยบายทรี่ ัฐบาลให๎ความสาคัญ โดยคณะกรรมการพัฒนาเดก็ ปฐมวยั แหํงชาติ ได๎มมี ติให๎คณะกรรมการสงํ เสริม การพัฒนาเด็กและเยาวชนแหํงชาติ โดยมีนโยบายเพื่อสร๎างภาคีเครือขํายให๎มีการ แตํงตั้งคณะอนุกรรมการ สงํ เสรมิ การพัฒนาเดก็ ปฐมวัยระดบั จังหวดั เพ่ือกาหนดนโยบาย ติดตามผลการทางาน สนับสนุนความร๎ูและ ทรพั ยากรในการพัฒนาเด็กปฐมวยั พร๎อมกาหนดกลไกของจังหวัดควรมีองค๑ประกอบสาคัญใน 6 ระบบ โดย แบํงเป็น ระบบสนับสนุน 3 ระบบ ได๎แกํ 1)การบริหารจัดการ 2)สารสนเทศ 3)การมีสํวนรํวมของภาคีและ เครอื ขําย ระบบหลัก 3 ระบบ ได๎แกํ 1)การจัดทาแผนการพัฒนาเด็กปฐมวัย 2)ฐานข๎อมูล 3)การพัฒนาเด็ก ปฐมวัยในระดบั พนื้ ท่ี การจดั การศึกษาโดยการมีสวํ นรํวมของภาคเี ครือขําย ต๎องมกี ารทาความเขา๎ ใจ และมีการ พัฒนาระบบภาคีเครือขํายโดยสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน ตระหนัก ตามท่ี จีรวิทย๑ ม่ันคง วัฒนะ (2553) ระบวุ าํ การพัฒนาระบบภาคเี ครือขําย ถึงความสาคัญของการจัดการศึกษาโดยเน๎นการพัฒนา และยกระดับคุณภาพการศึกษารวมท้ังสํงเสริมสนับสนุนให๎มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนร๎ูระดับตํางๆ ตามแนวคิด พื้นฐานการพัฒนาแบบเครือขํายมีสํวนรํวมจึงได๎มีนโยบายจัดต้ังกลุํมเครือขํายเชํน กลํุมเครือขํายสํงเสริม ประสิทธภิ าพ การจดั การศึกษาปฐมวัย โดยกาหนด ตวั ชว้ี ัดความเขม๎ แข็งของภาคเี ครือขํายไวด๎ ังน้ี 1.มเี ปูาหมายรวํ มกนั ชดั เจน 2.มีระบบบริหารจัดการท่ดี ี 3.มีกจิ กรรมรํวมกันอยํางตํอเน่อื ง 4.มกี ารแลกเปลย่ี น เรียนร๎ูรวํ มกนั 5.มกี ารไหลเวยี นขอ๎ มูลขําวสารอยํางตอํ เนอ่ื ง 6.มีนวัตกรรมที่เกิดจากการทางานเครือขํายและ 7. การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 640
มีการสรุปบทเรียนรวํ มกนั นอกจากนี้ในการทางานรํวมกันกับหนํวยงานหรือองคก๑ รอนื่ ในลักษณะของเครือขําย ยํอมขน้ึ อยํกู บั ระดับของความรํวมมือคือ 1. การประสานงาน (Coordination) หมายถึง วิธีซ่ึงคนจานวนมาก มารํวมกันทางานเพ่ือให๎บรรลุ วัตถุประสงคต๑ ามทไ่ี ดต๎ กลงกนั ไว๎ โดยกาหนดกิจกรรมตํางๆ ออกเป็นหมวดหมํู เพื่อมอบหมายให๎ผู๎รับผิดชอบ ปฏบิ ัติด๎วยความสามัคคี สมานฉนั ท๑ และมีประสทิ ธภิ าพท่สี ดุ หรืออาจกลาํ วได๎วํา การประสานงาน หมายถึง การจัดระเบยี บวิธกี ารทางาน เพอื่ ให๎เจา๎ หน๎าท่ีฝาุ ยตาํ งๆ รํวมมือปฏิบัติงานเป็นน้าหน่ึงใจเดียวกัน เพ่ือให๎งาน หรือกิจกรรมดาเนนิ ไปอยาํ งราบรืน่ สอดคล๎องกับวตั ถปุ ระสงค๑ และนโยบายขององคก๑ รนนั้ อยาํ งสมานฉนั ท๑และ 2. ความรํวมมือ (Cooperatoin) หมายถึง ความเต็มใจของแตํละคนในการชํวยเหลือซ่ึงกันและกัน เพ่อื ไปสํเู ปาู หมายใดเปาู หมายหน่ึง ตามเปูาหมายขององคก๑ ารหรือหนํวยงานความรวํ มมอื จะเป็นการท่ีฝุายใด ฝุายหนึ่งเปน็ “เจา๎ ของหรือเจา๎ ภาพ” งานหรือกจิ กรรมนนั้ ๆ แล๎วขอให๎ฝาุ ยอื่นเข๎ามารํวม มลี ักษณะเกิดข้ึนเป็น ครัง้ ๆไป ไมํมํุงความตอํ เน่ืองและการแลกเปล่ียนเรียนรรู๎ ะหวาํ งผเู๎ ข๎ารํวมกจิ กรรม แตํมํงุ จะให๎กจิ กรรมน้นั ๆ แล๎ว เสร็จตามความตอ๎ งการของฝุายเจ๎าของงาน ความรวํ มมอื เป็นการชวํ ยเหลือด๎วยความสมัครใจ แม๎จะไมํมีหน๎าท่ี โดยตรง อาจจะทาเรือ่ งเดยี วกันในเวลาเดียวกันหรือตํางเวลาก็ได๎ แม๎กระทัง่ อาจใหค๎ วามรวํ มมอื ทาบางเรอ่ื งบาง เวลา 3. การทางานรวํ มกนั (Collaboration) หมายถงึ การทีบ่ คุ คล ตั้งแตํ 2 คนขนึ้ ไป หรอื องคก๑ รต้ังแตํ 2 องค๑กรขน้ึ ไป มาทางานรวํ มกัน มกี ารชวํ ยเหลือซึ่งกนั และกันในกลุํม และรบั รวู๎ ําตนเป็นสวํ นหนง่ึ ของกลมํุ ตาม โครงสร๎างที่มอี ยํูในองค๑กร รวมทั้งเขา๎ ใจวัตถุประสงคข๑ องการทางานรํวมกัน เพ่ือให๎บรรลุจุดมํุงหมายเดียวกัน อยํางมีประสิทธภิ าพ และผปู๎ ฏิบัติงาน ตาํ งกเ็ กดิ ความพอใจในการทางานนนั้ 4. การมีสํวนรํวม (Participation) หมายถึง การที่สมาชิก ทุกคนของหนํวยงานหรือองค๑กร รํวมกัน ดาเนินการอยํางใดอยํางหนึ่ง โดยมีลักษณะของกระบวนการ (Process) มีขั้นตอนที่มุํงหมายจะให๎เกิดการ เรียนร(๎ู Learning) อยาํ งตอํ เน่ือง มีพลวตั (Dynamic) กลําวคอื มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยํางตํอเนื่องสม่าเสมอ มีการแก๎ป๓ญหา การรํวมกันกาหนด แผนงานใหมํๆ เพ่ือสร๎างความย่ังยืนในความสัมพันธ๑ของทุกฝุายท่ีเข๎ารํวมดาเนินการ การมีสํวนรํวมกํอให๎เกิด ผลดีตํอการขับเคลือ่ นองคก๑ รหรือเครอื ขาํ ย ผู๎ที่เข๎ามามสี ํวนรํวมยํอมเกิดความภาคภูมิใจท่ีได๎เป็นสํวนหน่ึงของ การบรหิ ารและทส่ี าคัญผูท๎ ี่มสี ํวนรวํ มจะมีความรู๎สึกเป็นเจ๎าของเครือขาํ ย ความรู๎สึกเป็นเจ๎าของจะเป็นพลั งใน การขบั เคล่อื นเครอื ขํายท่ดี ที ีส่ ดุ (จีรวิทย๑ มั่นคงวฒั นะ,2553)การสร๎างเครอื ขํายองค๑กรชุมชนเพอ่ื การมสี วํ นรํวม ในการจัดการศึกษา ควรให๎องค๑กรชุมชนท่ีจะมาเป็นเครือขํายกันเป็นผู๎ตัดสินใจ และรํวมกันออกแบบ เพื่อ เอื้ออานวยกระบวนการเรยี นร๎แู ละตัดสนิ ใจรํวมกันของคน กลุํม/องค๑กรท่ีจะมาเป็นเครือขํายกัน โดยเร่ิมจาก การวเิ คราะหส๑ ถานการณ๑องค๑กรและชมุ ชน วเิ คราะหค๑ วามจาเป็นในการเปน็ เครือขาํ ย ออกแบบเครอื ขําย และการจดั การเครอื ขาํ ยใน 3 เรอื่ ง คือ สมาชกิ เครอื ขํายเป็นใคร เรอ่ื งอะไรทจ่ี ะเอามาชวํ ยกัน และทรพั ยากรที่ จะตอ๎ งจัดการรํวมกันในเครอื ขาํ ย หลงั จากนั้นก็เปน็ การออกแบบกจิ กรรมเครอื ขําย และวางแผนปฏิบตั ิการ สรุปผล การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 641
การมีสํวนรํวมในการจดั การศกึ ษาของภาคีเครือขํายระหวํางศูนย๑การศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัยกับการศึกษาระดับปฐมวัย สอดคล๎องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 แก๎ไข เพ่มิ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2553 หมวด 3 ระบบการศึกษา มาตรา 15 การจัดการ ศึกษามสี ามรปู แบบ คอื การศกึ ษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศัย มาตรา 29 ให๎สถานศึกษารํวมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค๑กรชุมชน องค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่ิ น เอกชน องค๑กร เอกชน สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอ่ืนสํงเสริมความเข็มแข็งของชุมชนโดยจัด กระบวนการเรียนรภู๎ ายในชมุ ชน เพ่อื ให๎ชุมชนมกี ารจัดการศึกษาอบรม มีการแสวงหาความรู๎ ข๎อมูล ขําวสาร และรูจ๎ กั เลอื กสรรภูมปิ ๓ญญาและวิทยาการตํางๆ เพอ่ื พัฒนาชมุ ชนให๎สอดคล๎องกับสภาพป๓ญหาและ ความตอ๎ งการ รวมทง้ั หาวธิ ีการสนบั สนนุ ใหม๎ กี ารแลกเปลย่ี นประสบการณก๑ ารพฒั นาระหวาํ งชุมชน มีโครงสร๎างในการสร๎างและพัฒนาภาคีเครือขํายในการจัดการศึกษา โดยยึดถืออุดมการณ๑ หรือเปูาหมาย รวํ มกัน เปน็ อสิ ระตอํ กัน ให๎เกียรตซิ ึ่งกันและกัน โดยการใชพ๎ ืน้ ท่ีเปน็ ฐานการบรู ณาการทุกภาคสํวน คือ 1. การประสานงาน 2. ความรํวมมือ 3. การทางานรํวมกัน 4. การมีสํวนรํวม พ ร๎อมกับสํวนเสริมให๎ภาคี เครือขํายเข๎ามามีสํวนรํวมในการจัดการศึกษาโดยการที่สมาชิกทุกคนของหนํวยงานหรือองค๑กร มารํวมกัน ดาเนินการอยาํ งใดอยํางหนึ่ง โดยในการดาเนนิ การนน้ั มลี ักษณะของกระบวนการมีข้ันตอนท่ีมํุงหมายจะทาให๎ เกดิ การเรยี นรูอ๎ ยาํ งตอเน่ือง มีพลวัต กํอให๎เกิดผลดีตํอการขับเคลื่อนองค๑กรหรือเครือขําย ไมํวําจะเป็นศูนย๑ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่เน๎นให๎จัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย ให๎กับประชาชน จงึ ต๎องอาศยั ความรํวมมือจากหลายฝุายรวํ มเปน็ ภาคีเครอื ขํายในการทางาน กศน. ทัง้ นี้ เพอื่ ตอ๎ งการใหเ๎ กิดการผลักดันกระบวนการเรยี นรูร๎ วํ มกนั ทางสงั คมและการศึกษาระดับปฐมวัยท่ีเน๎นให๎มีการ พัฒนาระบบภาคีเครือขําย ถึงความสาคัญของการจัดการศึกษาโดยเน๎นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพ การศึกษารวมทง้ั สงํ เสรมิ สนับสนุนใหม๎ ีเวทแี ลกเปลี่ยนเรียนร๎ูระดับตํางๆ ตามแนวคิดพ้ืนฐานการพัฒนา แบบ เครือขาํ ยมสี ํวนรํวมจึงไดม๎ นี โยบายจัดต้งั กลุมํ เครือขํายเชนํ กลมํุ เครือขาํ ยสํงเสริมประสทิ ธภิ าพการจดั การศึกษา ปฐมวยั ดังน้ัน การมีสํวนรํวมในการจัดการศึกษาของภาคเี ครอื ขํายจงึ มสี วํ นสาคัญตอํ การพัฒนาการศึกษาให๎มี คณุ ภาพ และสํงผลให๎ประเทศก๎าวไปขา๎ งหนา๎ อยํางม่ันคง การอภิปราย จากการศกึ ษาการมสี ํวนรวํ มในการจดั การศึกษาของภาคีเครือขํายระหวํางศูนย๑การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยกับการศึกษาระดับปฐมวัย พบวํา การมีสํวนรํวมในการจัดการศึกษาของภาคี เครอื ขาํ ย ดาเนินการภายใต๎สวํ นประกอบดงั นี้ 1. การประสานงาน 2. ความรวํ มมือ 3. การทางานรวํ มกนั 4. การมสี วํ นรวํ มซึง่ สานักงานสํงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั (กศน.) ได๎ระบุใน คัมภีร๑ กศน.และการให๎ให๎ความสาคัญกับกับการสร๎างสุขภาวะเด็กปฐมวัยด๎วยการพัฒนาเครือขํายกลไกพัฒนาเด็ก ปฐมวัยโดยการผลกั ดันใหเ๎ กิดการขบั เคลอื่ นระบบกลไกการทางานเพอ่ื เดก็ ปฐมวยั กม็ ีสวํ นสาคญั ท่จี ะสํงเสรมิ ให๎ ภาคีเครอื ขาํ ยเขา๎ มามีบทบาทในการจดั การศกึ ษาเพื่อพัฒนาประเทศใหเ๎ จรญิ ก๎าวหน๎า สอดคล๎องกับสานักงาน กองทุนสนับสนนุ การสร๎างเสริมสขุ ภาพ(สสส.) ได๎ผลกั ดันให๎เกิดการขับเคล่ือนระบบกลไกก ารทางานเพ่ือเด็ก การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 642
ปฐมวยั ระดบั จงั หวัดทีเ่ ป็นรูปธรรม เพราะการพฒั นาเดก็ ปฐมวยั ต้งั แตแํ รกเกดิ ถึง 6 ปี เป็นโอกาสทองของการ พัฒนาเพราะเปน็ ชํวงทส่ี มองพัฒนาถงึ 80% จงึ เปน็ โอกาสสาคญั ในการจดั การเรยี นรแู๎ ละเสริมสร๎างพฒั นาการ ให๎เหมาะสมกับวัย ขอ้ เสนอแนะ การสํงเสรมิ ภาคีเครอื ขาํ ยให๎เขา๎ มามสี วํ นรวํ มในการจดั การศกึ ษาดา๎ นตํางๆในทกุ ระดับ เพื่อจะสงํ ผลให๎ การจดั การศกึ ษาเปน็ ไปอยํางมปี ระสทิ ธผิ ลและเกดิ ประสทิ ธิภาพสงู สดุ สงํ ผลให๎การศกึ ษาได๎รับการพฒั นาในยุค ประเทศไทย 4.0 ไดอ๎ ยํางแทจ๎ รงิ เอกสารอา้ งองิ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2553). พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ๑คุรสุ ภาลาดพร๎าว. กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย. (2555).รายงานจานวนประชากรแยกรายอายุ ท่ัวประเทศ. กรุงเทพฯ : กระทรวงมหาดไทย จีรวิทย๑ มน่ั คงวัฒนะ. (2553). การบริหารงานวชิ าการในสถานศึกษา. www.gotoknow.org. (วันท่สี ืบคน๎ ขอ๎ มูล 14 มกราคม 2561). ถวิลวดี บุรีกลุ . (2551). การมีส่วนร่วม : แนวคิด ทฤษฏี และกระบวนการ. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล๎า. สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการสรา๎ งเสรมิ สขุ ภาพ. (2560). “การสรา๎ งสุขภาวะเดก็ ปฐมวยั ด๎วยการพัฒนา เครือขํายกลไกพฒั นาเดก็ ปฐมวยั .” การประชุมวชิ าการ “สานพลงั ร่วมสรา้ งสขุ ภาวะเดก็ ปฐมวยั ” ขยายผลส่กู ารขบั เคลื่อนระบบและกลไกระดบั จงั หวดั . กรุงเทพฯ : โรงแรมมิราเคลิ แกรนด๑ คอนเวนชน่ั . สานักงานสงํ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย. (มปป.). คมั ภีร์ กศน. กรุงเทพฯ : หา๎ งห๎นุ สวํ นจากดั เอน็ .เอ.รัตนะเทรดด้งิ . สานักงานเลขาธกิ ารวฒุ ิสภา. (2560). รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศักราช 2560. กรงุ เทพฯ : สานกั การพิมพ๑ สานักงานเลขาธกิ ารวฒุ สิ ภา. อไุ รรัตน๑ ชนะบารุง. (2555). กศน. กับการทางานร่วมกบั เครือขา่ ย.www.gotoknow.org. 1. Coordinate 2. Cooperation 3. Collaborate 4. Engage. (วนั ท่ีสืบคน๎ ข๎อมูล 14 มกราคม 2561). การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 643
เจตคติของนักศกึ ษาท่ีมตี ่อการเรยี นรู้เชิงกรณีศึกษา Students’ Attitudes toward Case-Based Instruction ช่ือผู้แต่ง จันทรพ์ า ทัดภธู ร หน่วยงานทสี่ งั กดั สาขาการจดั การการศึกษา วทิ ยาลยั ครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรุ กิจบัณฑติ ย์ e-mail: [email protected] บทคดั ยอ่ การศึกษาเร่ือง เจตคติของนักศึกษาท่มี ีตอํ การเรยี นรเู๎ ชิงกรณีศกึ ษา นี้มีวัตถุประสงค๑ เพ่ือศึกษาความ คดิ เห็นของนักศึกษาระดับปริญญาตรีท่ีมีตํอการเรียนรู๎จากกรณีศึกษา การศึกษาครั้งน้ีจัดเป็นการวิจัยในชั้น เรียน โดยนกั ศกึ ษาจานวน 35 คนทลี่ งทะเบยี นเรยี นวิชาการส่อื สารขา๎ มวัฒนธรรม (EN 381) ในภาคการศึกษา ท่ี 1/2560 ได๎ศึกษาอภิปราย Cases ตําง ๆ และทาการวิเคราะห๑ และอภิปรายในชั้นเรียน หลังการเรียนร๎ู นักศึกษาสํวนหน่ึงตอบ (จานวน 17 คน) แบบสอบถามแสดงความคิดเห็น การศึกษาพบวํานักศึกษาที่ตอบ แบบสอบถามสวํ นใหญํมเี จตคติในทางบวกตํอการเรียนรู๎จากกรณีศึกษา โดยมองวําเป็นแนวทางการเรียนร๎ูที่ สงํ เสรมิ การคดิ เชงิ วิเคราะห๑ คาสาคญั การเรยี นรู๎เชิงกรณศี ึกษา การสอื่ สารขา๎ มวัฒนธรรม การคิดเชงิ วิเคราะห๑ 1. ความนา การจดั การเรียนการสอนโดยใช๎กรณีศึกษาหรือท่ีเรียกวํา case-based learning นั้นโดยพื้นฐานแล๎ว ไมํใชํเรื่องใหมํแตํอยํางใด จดั เป็นรูปแบบการสอนที่มีมาต้ังแตํสมัยโบราณ บูรพาจารย๑นิยมยกเอาตัวอยํางมา สอนลกู ศิษย๑ลูกหาเพ่ือเปน็ อทุ าหรณส๑ อนใจ เรารู๎จักกนั ดวี าํ คอื “สาธกโวหาร” จุดมงํุ หมายของการยกตวั อยํางก็ เพื่อใหผ๎ เ๎ู รียนเกดิ ความเขา๎ ใจหรือเห็นภาพที่ชัดเจนย่ิงขึ้น การยกตัวอยํางประกอบเรื่องราวท่ีกลําวข้ึนจึงเป็น รูปแบบการสอนทม่ี ีมาต้ังแตโํ บรา่ โบราณ รวมถงึ การเลํานทิ านตําง ๆ อาจมกี ารแตงํ เพิม่ เติมในภายหลังหรอื เลํา เรือ่ งราวเพ่มิ เติมทาใหต๎ ัวบทนาํ สนใจย่งิ ข้นึ ป๓ญหาของการนาสานระแบบเรื่องเลํามาเป็นกรณีศึกษาคือความ เช่ือมโยงกับโลกแหงํ ความเปน็ จรงิ และการมสี วํ นรวํ มของผู๎เรยี น ในระยะแรกของยุคอุตสาหกรรมเร่ิมมีการมุํงเรียนรู๎จาก “ของจริง” เริ่มทดลองจากกรณีที่เกิดขึ้น จริง ๆ โดยเรมิ่ ใช๎ในการศกึ ษาของวงการแพทย๑และกฎหมาย ตํอมาได๎มกี ารนากรณีศกึ ษามาใชอ๎ ยํางแพรหํ ลาย ในสาขาวิชาบรหิ ารธุรกจิ รวมทัง้ ในการฝกึ หดั ครแู ละสาขาวชิ าชพี ทัว่ ๆ ไป ในสหรัฐอเมริกาน้ันนักวิชาการท่ีนา การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 644
กรณีศึกษามาใช๎ในการสอนคนแรกคือศาสตราจารย๑ด๎านกฎหมายนามอุโฆตที่ช่ือ คริสโตเฟอร๑ ซี. แลงเดลล๑ (Christopher C. Langdell) แหํงมหาวิทยาลัยฮาวาร๑ด ระหวํางปี ค.ศ. 1869 -1870 (Corey, 1998) ศาสตราจารยแ๑ ลงเดลลส๑ งํ เสรมิ ให๎นักศึกษาวชิ ากฎหมายใช๎เหตุผลและวจิ ารณญาณในการพิจารณาป๓ญหาทาง กฎหมาย ไมํใชํให๎จาเฉพาะข๎อกฎหมายแตํเพียงอยํางเดียวแตํต๎องแก๎ป๓ญหาได๎ด๎วย เดวิง (Dewing, 1954) อธบิ ายวําการสอนแบบ Case Method สะทอ๎ นแนวคิดทางการศกึ ษาแนวกา๎ วหนา๎ (progressive education) ที่เปิดโอกาสให๎ผูเ๎ รยี นได๎เผชิญกบั ป๓ญหาจริงและส่ิงใหมํ ๆ ท่ีตอ๎ งอาศัยความสามารถในการคิดวิเคราะห๑ ไมํใชํ การจดจาหลกั การหรอื ทฤษฎที มี่ ีอยแูํ ลว๎ แตํเพยี งอยาํ งเดยี ว ป๓จจุบนั น้มี ีเหตุการณ๑และขําวสารมากมายภายในสังคมโดยเฉพาะสังคมออนไลน๑ที่เราสามารถนามา เป็น case หรอื กรณศี ึกษาได๎ โดยเฉพาะอยํางยิ่งในการสอนวิชาการสื่อสารข๎ามวัฒนธรรม (Cross-cultural Communication) ท่ีพบเหน็ ขําวสารท่เี ปน็ ประเด็นทาใหเ๎ กดิ ความเขา๎ ใจผิดทางการสือ่ สารอยูบํ อํ ย ๆ การเรยี น การสอนโดยใช๎กรณีศึกษาจึงถือเป็นวิธีการสอนอีกแนวทางหน่ึงที่สามารถนามาประยุกต๑ใช๎เพ่ือพัฒนาและ ปรบั ปรงุ คณุ ภาพการศกึ ษาไทยให๎ไดผ๎ ลยงิ่ ขน้ึ การศึกษาคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค๑เพ่ือสารวจการรับรู๎และเจตคติของนักศึกษาท่ีผํานการเรียนรู๎จาก กรณีศกึ ษาในการเรยี นรใ๎ู นวิชาการสอื่ สารข๎ามวฒั นธรรม (EN 381) ในภาคการศึกษาท่ี 1 / 2560 2. วรรณกรรมทเ่ี ก่ียวขอ้ ง 2.1 ความหมาย การสอนแบบกรณีศึกษา มผี ใู๎ หค๎ วามหมายหลายทาํ น ดังนี้ เดวิง (Dewing, 1954: 3) กลาํ ววําการนากรณตี าํ ง ๆ มาใชเ๎ พ่ือการศกึ ษานัน้ ควรเป็นไปเพื่อให๎ผู๎เรียน ได๎ใชค๎ วามสามารถในการคิดวเิ คราะห๑ ไมํใชํการสอนวํา ความจริงคืออะไร แตํเป็นการฝึกให๎ผู๎เรียนจัดการกับ ป๓ญหาทไ่ี มํเคยมีประสบการณม๑ ากอํ น ใหผ๎ ู๎เรียนหาคตาตอบด๎วยตัวเอง ชูลแมน (Shulman 1992: 21) กลําว วํา กรณีศึกษาเป็นเร่ืองราว เรื่องเลํา หรือชุดของเหตุการณ๑ที่เกิดขึ้นอยํูตลอดในสถานที่ท่ีเฉพาะเจาะจง นอกจากนแ้ี ล๎วกรณีศึกษาเป็นได๎ทั้งลักษณะของเอกสารท่ีบันทึกเหตุการณ๑ที่เกิดขึ้นจริง หรือในลักษณะของ เรอื่ งทีแ่ ตํงข้นึ เพ่อื จุดมุํงหมายทางการศึกษา เฮอเรด (Herreid 1999, อ๎างถึงใน วศศิธร โสภารัตน) ได๎นิยาม กรณศี ึกษาเอาไว๎วํา คอื “เรือ่ งเลาํ ทม่ี ีขอ๎ ความบรรยาย” หรอื “เรื่องเลําทีใ่ ช๎สาหรับการศกึ ษา” ตามความหมาย น้ี กรณีศกึ ษา คือ story ท่ีเรยี บเรยี งข้นึ อยํางเป็นระบบมวี ัตถปุ ระสงคเ๑ พ่อื การศึกษา Academic Advancement Network แหงํ มหาวทิ ยาลัยมิชิแกน ได๎นิยามเอาไว๎วํา “Case-based teaching is an active learning strategy in which students read and discuss complex, real-life scenarios that call on their analytical thinking skills and decision-making.” – การสอนโดยใช๎กรณีศึกษาเป็น กลวธิ ใี นการเรียนรู๎แบบ active โดยท่ีผู๎เรียนอํานกรณีศึกษา อภิปรายเหตุการณ๑จริงท่ีมีความซับซ๎อน ที่ต๎อง อาศยั ทักษะการคิดเชงิ วิเคราะห๑และการตดั สนิ ใจ\" (Academic Advancement Network, 2018). การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 645
ภัทราทพิ ย๑ ทรงบุญญา (2556) กลําววํา “การสอนโดยใช๎กรณีศึกษา หมายถงึ กระบวนการทผ่ี สู๎ อนใช๎ ในการชวํ ยใหผ๎ เู๎ รยี นเกดิ การเรยี นร๎ูตามวัตถุประสงค๑ท่ีกาหนด โดยให๎ผู๎เรียนศึกษาเรื่องที่สมมติข้ึน จากความ เปน็ จริง และตอบประเด็นคาถาม เกีย่ วกบั เรอ่ื งนัน้ แล๎วนาคาตอบ และเหตผุ ลท่มี าของคาตอบน้นั มาใช๎เป็ นข๎อ มลู ในการอภปิ ราย เพ่อื ให๎ผ๎เู รยี นเกดิ การเรยี นร๎ตู ามวตั ถปุ ระสงค๑ (น.4) ” ทิศนา แขมมณี (2552 : 362) กลําววาํ การสอนแบบกรณีศึกษา หมายถึง กระบวนการท่ีผู๎สอนใช๎ใน การชํวยให๎ผ๎ูเรียนเกิดการเรียนร๎ูตามวตั ถปุ ระสงคท๑ ่กี าหนด โดยผ๎ูเรียนศึกษาเร่ืองท่ีมีพ้ืนฐานมาจากความเป็น จริงและตอบประเด็นคาถามเกย่ี วกบั เรื่องนนั้ แล๎วนาคาตอบและเหตุผลท่ีมาของคาตอบน้ันมาใช๎เป็นข๎อมูลใน การอภิปราย เพอ่ื ให๎ผ๎ูเรยี นเกดิ การเรยี นร๎ตู ามวัตถุประสงค๑ จากความหมายของกรณีศึกษาและการสอนแบบกรณีศึกษา สรุปได๎วํา การสอนแบบกรณีศึกษา หมายถึง กระบวนการสอนที่ผ๎ูสอนนาเสนอกรณีศึกษา หรือตัวอยําง (Cases) หรือเรื่องราวท่ีเกิดจาก สถานการณ๑ใด ๆ ซ่ึงมีป๓ญหาความขัดแย๎งอยูํ โดนนาเสนอในรูปแบบตําง ๆ เพ่ือให๎ผู๎เรียนได๎ศึกษาวิเคราะห๑ อภปิ ราย แลกเปลย่ี นข๎อมลู ซง่ึ กันและกันในการหาแนวทางแก๎ป๓ญหา จะชํวยให๎ผ๎ูเรียนร๎ูมีความเข๎าใจพื้นฐาน ของป๓ญหาและตัดสินใจแก๎ป๓ญหาได๎ด๎วยตัวเอง การได๎มาซึ่งกรณีหรือ case น้ันอาจเป็นการสรุปจากแหลํง ความรท๎ู ่ีมผี ูส๎ รุปเรียบเรยี งเอาไวแ๎ ล๎วหรือการลงมือศึกษาดว๎ ยตวั เอง 2.2 ประเภทของกรณศี กึ ษา ประเภทของกรณีศกึ ษาสามารถแบงํ ออกเป็น 3 ประเภทคอื 1) กรณีศึกษาท่ีผู๎เรียนต๎องออกไปศึกษา ด๎วยตัวเอง เชํน การศึกษาป๓ญหาการใช๎ภาษาอังกฤษของคนขับแท็กซ่ี ในสาขาแพทยศาสตร๑ และพยาบาล ศาสตร๑ เรียกวาํ กรณศี กึ ษาสถานการณ๑จริง 2) กรณีศึกษาจากเหตุการณ๑ท่ีเกิดข้ึนจริง เชํน ขําวความขัดแย๎ง ป๓ญหาอันเกิดจากความไมํเขา๎ ใจกันของคนตาํ งวฒั นธรรม และ 3) กรณีศึกษาท่ีได๎มีการดัดแปลง ปรับแตํงเพ่ือ วัตถุประสงค๑ทางการศึกษาเชํน กรณศี กึ ษาตามตาราเรยี น ท่ีตัง้ คาถามเอาไวแ๎ ล๎ว 2.3 การสอนโดยใช้กรณศี กึ ษาแตกต่างจากการสอนแบบปกติอย่างไร การสอนแบบปกติ การสอนดว๎ ยกรณีศกึ ษา ข้ึนอยูํกับวิธีการถํายทอดความร๎ูของอาจารย๑ให๎ ขึ้นอยูํกับวิธีการจัดการและเช่ือมตํอองค๑ความรู๎ที่ ชัดเจนและนาํ สนใจ ครบถ๎วนเปน็ ระบบและมปี ระสิทธิภาพ ผู๎สอนเป็นจุดศูนย๑กลางในการเรียนร๎ูโดยเป็น ผู๎เรียนเปน็ จุดศนู ยก๑ ลางในการเรยี นรู๎โดยมีผู๎สอนเป็น ผูบ๎ รรยายหลัก และเป็นผู๎นาเสนอข๎อมูลและการ ผู๎ควบคุมทิศทางการเรียนร๎ู วิเคราะห๑ ผู๎เรียนเป็นผ๎ูมีหน๎าที่จดบันทึกอยํางรวดเร็ว เพื่อ ผู๎เรียนมีหน๎าที่ตั้งคาถาม โต๎ตอบ คิด วิเคราะห๑ตาม ตามใหท๎ นั ผส๎ู อนบรรยาย และตํอยอดในแนวความคดิ จากเพ่ือนรํวมช้ัน ผ๎ูเรียนได๎รับองค๑ความร๎ูจากการสื่อสารและบอก ผู๎เรียนจะไดร๎ บั การฝกึ ทักษะครบถว๎ น ท้ังการฟ๓ง การ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 646
การสอนแบบปกติ การสอนด๎วยกรณศี กึ ษา เลําจากผู๎สอนเพียงดา๎ นเดยี ว คดิ เชิงวิเคราะห๑ การวิเคราะหส๑ ถานการณ๑ ทักษะการ สือ่ สาร การใช๎ความคิดสรา๎ งสรรคใ๑ นการแกป๎ ญ๓ หา เนื้อหาในการเรียนมีความเจาะจงในรายวชิ า องค๑ความรู๎ที่ผ๎ูเรียนได๎รับครอบคลุมองค๑ความรู๎จาก รายวชิ าท่หี ลากหลายรวมถงึ ประสบการณท๑ แี่ ตกตําง ท่มี า : สานกั งานคณะกรรมการการอุดมศึกษา. (2553).Case Method 101 จะเหน็ ไดว๎ าํ การเรยี นรเ๎ู ชิงกรณีศึกษานั้นเกยี่ วข๎องกับองค๑ประกอบทางการศึกษา 4 ประการ คือด๎าน เนื้อหา หรือ contents ด๎านการสอนหรือ deliveries ซ่ึงเราจะพบวําการสอนแนวทางน้ีมาใชํการสอบแบบ บรรยายแตํเป็นการเน๎นการมีสํวนรํวมของผ๎ูเรียน องค๑ประกอบท่ีสามคือการจัดการหรือ management เก่ียวขอ๎ งกบั การบรหิ ารการวิชาสอนและหลักสตู ร ท่ีต๎องสนับสนุนและ สํงเสริมการเรียนร๎ูแนวก๎าวหน๎า และ องค๑ประกอบสดุ ทา๎ ยคอื สง่ิ แวดล๎อม (environment) กลาํ วคือการติดตํอเช่ือมโยงกับชุมชน การให๎สังคมหรือ ชมุ ชนเขา๎ มารวํ มสรา๎ งเนื้อหา เป็นตน๎ 2.4 การสรา้ งกรณศี ึกษา นักวิชาการได๎เสนอแนวคดิ ในการสร๎างกรณศี กึ ษาใหส๎ มบูรณ๑และมีความเหมาะสมกับการนาไปใชใ๎ นการจัดการ เรียนการสอนดังเชํน เฮอเรด (Herreid 1999, อ๎างถึงใน นิตยา โสรีกุล 2547 : 62) กลําววําการสร๎าง กรณีศกึ ษาท่ีดคี วรประกอบด๎วย 1. การเลาํ เรื่องราวในกรณีศึกษาท่ีมคี วามสมั พันธ๑กบั เรอ่ื งท่ีผ๎เู รียนเรยี นตั้งแตํตน๎ จนจบ 2. มจี ุดเนน๎ และประเด็นในเร่อื งท่ีสนใจ มีความสาคญั มีปญ๓ หา และมแี นวคดิ 3. มคี วามนาํ สนใจ และประเดน็ ทีท่ ันสมยั 4. ตวั ละคร หรอื ตัวเน้ือเร่ืองในกรณีศึกษาสามารถกระต๎ุนให๎ผ๎ูเรียนมีความรู๎สึกเก่ียวข๎องท่ีจะต๎อง รํวมในการแก๎ปญ๓ หา หรือตอบประเดน็ ปญ๓ หาในกรณศี ึกษา 5. ในกรณีศึกษามีการเรียงลาดับ มีเปูาหมายให๎ผู๎เรียนได๎คิดและรู๎สึกอะไร กรณีศึกษาสามารถ นาไปสํูเปูาหมายน้ันได๎ 6. เน้ือเร่อื งตอ๎ งมีความเชอ่ื มโยงใหผ๎ ๎เู รยี นสามารถคดิ และแกป๎ ๓ญหาในกรณศี กึ ษาได๎ 7. กรณศี ึกษามีจุดเดนํ ในการนามาเป็นบทบาทให๎ผ๎ูเรียนได๎นามาใชใ๎ นการประยุกต๑การเรียนเนื้อหา หัวข๎อน้ัน ๆ เพอื่ เอือ้ อานวยประโยชนใ๑ นการเรยี นได๎งาํ ยขนึ้ 8. ในกรณศี ึกษา มีประเด็นอภปิ รายและเกดิ การกระต๎ุนให๎ผ๎เู รียนมีการอภปิ ราย 9. มีการผลกั ดนั ใหเ๎ กิดการตัดสินใจ 10. ในกรณศี ึกษามกี ารแสดงออกถงึ หลักการท่ีอยบูํ นความเปน็ จริง การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 647
11. ต๎องถูกจัดการภายใต๎ในชวํ งเวลาท่มี ีเหตุผล กรณีศกึ ษาท่ีดีจะมกี ารสรุปและจบั ประเด็น มีความ ยาวของกรณีศึกษาท่ีมีความยาวพอเพยี ง สรปุ ยํอสวํ นสาคญั ใหผ๎ ๎ูเรียนมีการกระต๎ุนความสนใจ และ ใช๎กรณศี กึ ษาทซ่ี ับซ๎อนในผ๎ูเรยี นทีม่ คี วามพรอ๎ ม 2.5 การจดั การเรียนรโู้ ดยใชก้ รณีศกึ ษา (Case Based Learning) ความหมายของการจัดการเรยี นรูโ๎ ดยใชก๎ รณศี กึ ษา คลิฟ (Cliff 1999, อ๎างถึงในนิตยา โสรีกุล 2547 : 53) กลําววํา การเรียนร๎ูด๎วยกรณีศึกษา (Case- based Learning) หมายถึง การเรียนการสอนโดยใช๎กลวิธีในการแสดงออกถึงหลักการ เน้ือหา ท่ีมี ความสัมพันธ๑กันออกมาในรูปของเรื่องราว (Story) การวาดรูป (Drawing) เอกสารรายงาน (Documents) ขําว (News) โทรทัศน๑และละคร (TV and Drama) บทประพันธ๑ (Poems) เสียงเพลง (Songs) รูปภาพ (Paintings) เสียง (Sounds) การต๑ ูน (Cartoons) ปญ๓ หา (Problem) สถานการณ๑ตํางๆ (Situations) เป็นต๎น ซง่ึ วธิ ที ี่ใช๎ในการแสดงออกของการสอนประกอบด๎วย การบรรยาย การอภิปรายกลุํมยํอยโดยเน๎นทักษะการ ทางานเป็นทีม (Collaborative Skills) และการเรียนท่ีเน๎นป๓ญหาเป็นหลัก (Problem-Based Learning : PBL) เมื่อรํวมกับกรณีศึกษาแล๎ว กรณีศึกษาจะทาให๎ผ๎ูเรียนสามารถเกิดการเรียนร๎ูและเกิดกระบวนการคิด แก๎ปญ๓ หา และการตดั สินใจได๎ดี นอกจากน้ีแล๎ว สมิธ และเรแกน (Smith and Ragan 1999, อ๎างถึงใน วัชรา เลําเรียนดี 2552) กลําวถงึ การเรยี นรูด๎ ๎วยกรณีศึกษาด๎วยกรณศี ึกษาวําเป็นการเรียนรู๎ด๎วยการศึกษากรณีป๓ญหา ผ๎ูเรียนจะได๎รับ การนาเสนอสถานการณ๑ป๓ญหาท่ีเป็นสถานการณ๑จริง และผ๎ูเรียนจะต๎องดาเนินการแก๎ป๓ญหาน้ัน ซึ่งในการ แกป๎ ญ๓ หาผเ๎ู รียนจะเลอื กจดั การกบั หลกั การตําง ๆ การศึกษาเป็นรายกรณีเหมาะสมกับการเรยี นรเู๎ พือ่ แกป๎ ๓ญหา ทม่ี ํมคี าตอบถูกต๎องเพียงคาตอบเดียว โดยเฉพาะป๓ญหานั้นต๎องเป็นป๓ญหาท่ีซับซ๎อนมองได๎หลาย ๆ มุมมอง การศึกษาเป็นรายกรณีสามารถพัฒนาทักษะการตัดสินใจได๎ด๎วยการพิจารณาหาทางแก๎ป๓ญหาและนาเสนอ แนวทางแก๎ป๓ญหา ซึ่งตอ๎ งเปน็ กรณีศึกษาทเี่ ขยี นข้นึ มาเพื่อให๎ศึกษาและหาทางแก๎ป๓ญหาโดยเฉพาะและต๎องมี การเขยี นตอบ ทศิ นา แขมมณี (2549) กลําวถงึ การจัดการเรียนรโู๎ ดยใช๎กรณศี กึ ษาวําคอื กระบวนการที่ผ๎ูสอนใชใ๎ นการชํวยให๎ ผเู๎ รียนเกดิ การเรียนรต๎ู ามวตั ถุประสงคท๑ ก่ี าหนด โดยให๎ผเ๎ู รยี นศกึ ษาเร่ืองทส่ี มมติขนึ้ จากความเปน็ จรงิ และตอบ ประเด็นคาถามเกี่ยวกบั เร่ืองนั้น แลว๎ นาคาตอบและเหตผุ ลทม่ี าของคาตอบนั้นมาใช๎เป็นข๎อมูลในการอภิปราย เพือ่ ใหผ๎ เู๎ รยี นเกิดการเรียนร๎ูตามวัตถปุ ระสงค๑ จากความหมายที่กลําวมาสามารถสรปุ ความหมายของการจดั การเรยี นรโ๎ู ดยใช๎กรณีศึกษาไดว๎ ําเปน็ การ นากรณีศึกษาท่ีสร๎างข้ึนอยํางสอดคล๎องกับวัตถุประสงค๑ของการจัดการเรียนร๎ู มาให๎ผู๎เรียนศึกษา วิเคราะห๑ อภปิ ราย และตดั สนิ ใจหาทางแก๎ปญ๓ หาหรอื หาคาตอบ ท้งั เป็นรายบุคคล และเป็นรายกลมํุ ซง่ึ แตลํ ะกรณอี าจมี วิธีแก๎ป๓ญหา หรือคาตอบทางเดียว หรือหลายแนวทางได๎ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 648
2.6 วตั ถปุ ระสงคข์ องการจดั การเรียนรู้โดยใชก้ รณีศึกษา ศูนยก๑ ารเรียนการสอน แหงํ มหาวิทยาลยั ควนี ไดก๎ ลําวถึงวัตถปุ ระสงค๑ในการสอนโดยใช๎กรณีศึกษาวํา เพ่ือให๎ผเ๎ู รยี นไดเ๎ รียนร๎รู วํ มกบั ผูอ๎ ่ืน ถกอภิปรายปญ๓ หาประเด็นตําง ๆ ด๎วยจิตใจท่ีเปิดกว๎าง นามาซึ่งเกิดค วาม เขา๎ ใจมุมมองตําง ๆ ท่ีหลากหลาย (Center for Teaching and Learning, 2018). ทิศนา แขมมณี (2549) กลาํ วถงึ วัตถุประสงค๑ของการจัดการเรียนรู๎โดยใช๎กรณีศึกษาวําเป็นวิธีการท่ี มุํงชวํ ยใหผ๎ ๎ูเรียนฝกึ ฝนการเผชญิ และแกป๎ ญ๓ หาโดยไมํต๎องรอใหเ๎ กิดปญ๓ หาจริง เปน็ วิธีการที่เปดิ โอกาสผ๎เู รยี นคิด วเิ คราะห๑ และเรียนรคู๎ วามคิดของผ๎อู นื่ ชวํ ยใหผ๎ เ๎ู รยี นรูม๎ มี ุมมองท่ีกวา๎ งขึ้น จากแนวคดิ ของนกั วิชาการดังกลําวเราสามารถสรุปได๎วําวัตถุประสงค๑ที่สาคัญของการจัดการเรียนรู๎ โดยใช๎กรณีศกึ ษาคือ การฝึกให๎ผ๎เู รียนได๎เผชิญป๓ญหาหรือสถานการณ๑ตําง ๆ ได๎สืบค๎นความรู๎และประยุกต๑ใช๎ ความร๎ู แลกเปลี่ยนประสบการณ๑จากกระบวนการกลุํม ทาให๎เกิดความสามารถวิเคราะห๑ และตัดสินใจ แกป๎ ๓ญหาหรือหาคาตอบได๎อยํางเหมาะสม นาสํูความสามารถในการเผชญิ กับสถานการณจ๑ รงิ ในอนาคตได๎ตอํ ไป 2.7 กระบวนการจัดการเรียนรูโ้ ดยใช้กรณีศกึ ษา เอสตัน (Easton 1992 : 12-14) กลาํ วถึง ลาดบั ข้ันตอนของการจดั การเรยี นร๎ูโดยใชก๎ รณีศกึ ษาวาํ ประกอบดว๎ ย ขัน้ ตอน 7 ข้ันตอนตามลาดบั ดงั นี้ 1.การทาความเขา๎ ใจสถานการณ๑ 2.การวินิจฉยั ขอบเขตของปญ๓ หา 3.สร๎างทางเลอื กในวธิ กี ารแกไ๎ ขป๓ญหา 4.ทานายผลลพั ธ๑ทีจ่ ะเกิดขึ้น 5.ประเมินทางเลือก 6.วิเคราะหผ๑ ลออกมาชัดเจน 7.สอ่ื สารผลลพั ธท๑ ่ไี ด๎ สาหรับนักการศกึ ษาไทย ไดม๎ ีการออกแบบและพฒั นาขัน้ ตอนการเรยี นการสอนได๎หลายแบบด๎วยกัน ดังเชนํ ทิศนา แขมมณี (2552 : 362-363) กลําวถึง ข้ันตอนการเรียนการสอนโดยใช๎กรณีศึกษาวํา ประกอบด๎วย 1.ผู๎สอน หรือผู๎เรยี นนาเสนอกรณศี กึ ษา 2.ผู๎เรียนศกึ ษากรณีศึกษา 3.ผ๎เู รียนอภิปรายประเดน็ คาถามเพือ่ หาคาตอบ 4.ผู๎สอนและผูเ๎ รียนอภปิ รายคาตอบ 5.ผู๎สอนและผ๎เู รยี นอภปิ รายเก่ยี วกบั ปญ๓ หาและวธิ แี กป๎ ๓ญหาของผูเ๎ รียน และสรปุ การเรียนร๎ทู ่ไี ดร๎ บั 6.ผสู๎ อนประเมนิ ผลการเรยี นร๎ูของผ๎ูเรยี น การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 649
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 715
Pages: