Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ED-APHEIT 2018

ED-APHEIT 2018

Published by ED-APHEIT, 2019-04-05 09:41:45

Description: ED-APHEIT 2018

โครงการประชุมทางวิชาการและเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ :

สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
(สสอท.)

Search

Read the Text Version

ใหค๎ ะแนน 1 หมายถงึ มสี ํวนรํวมระดับนอ๎ ยที่สดุ ตอนที่ 3 แบบสอบถามเกี่ยวกบั การบรหิ ารวชิ าการของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดปทุมธานี เป็นแบบมาตราสํวนประมาณคํา (Rating Scale) ชนิด 5 ระดับ โดยศึกษาเกี่ยวกับการบริหารวิชาการ 3 ด๎าน 1) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) การพัฒนา แหลงํ เรยี นร๎ู 3) การประเมนิ คณุ ภาพภายในสถานศึกษา โดยใชเ๎ กณฑ๑การใหค๎ ะแนนประยุกต๑ตามแนวทางของ Likert (Likert Five’s Rating Scale) ได๎กาหนดคําคะแนนของคะแนนชํวงน้าหนักเปน็ 5 ระดบั ดังนี้ ใหค๎ ะแนน 5 หมายถึง มีการปฏิบตั ริ ะดบั มากที่สดุ ให๎คะแนน 4 หมายถึง มีการปฏบิ ัติระดับมาก ใหค๎ ะแนน 3 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ตั ิระดบั ปานกลาง ใหค๎ ะแนน 2 หมายถึง มกี ารปฏิบัตริ ะดบั นอ๎ ย ใหค๎ ะแนน 1 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ัติระดับน๎อยทีส่ ดุ การเก็บรวบรวมข๎อมูลในครั้งนี้ ผวู๎ จิ ยั ดาเนนิ การเป็นข้นั ตอน ดังนี้ 1. ตดิ ตอํ ประสานงานกบั บัณฑิตศึกษา คณะครุศาสตรอ๑ ตุ สาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลธัญบุรี เพ่อื ทาหนังสือขอความอนุเคราะหใ๑ นการเกบ็ ข๎อมูลไปยงั สถานศกึ ษาที่เป็นกลมํุ ตัวอยําง 2. นาแบบสอบถามพร๎อมทง้ั หนังสอื ขอความอนุเคราะหไ๑ ปยังสถานศึกษาท่ีเป็นกลุํมตัวอยําง เพ่ือขออนญุ าตในการเกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู พร๎อมทงั้ กาหนดวัน เวลา ขอรบั แบบสอบถามคนื ภายใน 15 วนั 3. เกบ็ รวบรวมแบบสอบถามและติดตามแบบสอบถามท่ยี งั ไมํไดร๎ ับคืน และแจก แบบสอบถามอีกคร้งั ในโรงเรียนทแี่ บบสอบถามสญู หาย โดยขยายเวลาอีก 5 วัน 4. นาแบบสอบถามท่ไี ด๎รบั มาตรวจสอบความถกู ต๎องสมบรู ณ๑ เพ่อื นาไปวเิ คราะห๑ขอ๎ มูล ตํอไป การวเิ คราะห์ข้อมูล ในการศึกษาค๎นควา๎ ครง้ั นี้ ผ๎วู ิจยั นาข๎อมลู ทไ่ี ดจ๎ ากการรวบรวมมาดาเนนิ การตามลาดับ ดังนี้ 1. นาแบบสอบถามท่ไี ด๎รับคืน มาตรวจสอบความสมบูรณ๑ของแบบสอบถามแตํละฉบับและลงรหัส เพื่อนาขอ๎ มลู มาประมวลผลด๎วยเครอื่ งคอมพวิ เตอร๑ โดยใชโ๎ ปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ 2. การวิเคราะหข๑ อ๎ มลู ตามวัตถุประสงคก๑ ารวิจัย ดังนี้ ตอนที่ 1 การวเิ คราะหข๑ ๎อมูลท่ัวไปของผู๎ตอบแบบสอบถาม โดยหาคําความถ่ี (Frequency) และคาํ รอ๎ ยละ (Percentage) ตอนท่ี 2 การวิเคราะห๑ข๎อมูลแบบสอบถามเก่ียวกับการมีสํวนรํวมของคณะกรรมการ สถานศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน เป็นแบบมาตราสํวนประมาณคํา (Rating Scale) ชนิด 5 ระดับ โดยมีลักษณะการมี สวํ นรวํ ม ประกอบด๎วย 1) การมสี ํวนรวํ มในการตดั สินใจ 2) การมสี วํ นรวํ มในการดาเนินการ 3) การมีสํวน รํวมในการรับประโยชน๑ 4) การมีสํวนรํวมในการประเมินผล โดยการหาคําเฉล่ีย (̅) และความเบ่ียงเบน การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 400

มาตรฐาน (S.D.) และการใหค๎ วามหมายของคะแนนเฉลยี่ แบบประมาณคาํ 5 ระดับ (Rating Scale) ซึ่งกาหนด ตามแนวทางของ ลิเคิรท๑ (Likert Scale) ดงั นี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2554. น.103 ) คะแนนเฉลี่ย 4.51-5.00 หมายถึง ระดบั การมีสํวนรํวมมากท่ีสุด คะแนนเฉล่ีย 3.51-4.50 หมายถึง ระดบั การมสี ํวนรํวมมาก คะแนนเฉลย่ี 2.51-3.50 หมายถึง ระดับการมสี วํ นรวํ มปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.51-2.50 หมายถึง ระดบั การมีสวํ นรวํ มนอ๎ ย คะแนนเฉลี่ย 1.00-1.50 หมายถงึ ระดับการมีสํวนรํวมน๎อยทสี่ ดุ ตอนท่ี 3 การวเิ คราะห๑ข๎อมลู เก่ยี วกับการบรหิ ารวิชาการของโรงเรยี นประถมศึกษาในจังหวัด ปทุมธานี ประกอบด๎วย 1) การพฒั นาหลักสูตรสถานศกึ ษา 2) การพฒั นาแหลงํ เรียนรู๎ 3) การพัฒนาระบบ ประกันคุณภาพภายในสถานศกึ ษา โดยการหาคําเฉล่ีย (̅) และความเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการให๎ ความหมายของคะแนนเฉลี่ยแบบประมาณคํา 5 ระดับ (Rating Scale) ซึ่งกาหนดตามแนวทางของ ลิเคิร๑ท (Likert Scale) ดังน้ี (บุญชม ศรีสะอาด, 2554. น.103 ) คะแนนเฉลีย่ 4.51-5.00 หมายถึง ระดับการบริหารวชิ าการมากทสี่ ดุ คะแนนเฉลย่ี 3.51-4.50 หมายถงึ ระดบั การบรหิ ารวชิ าการมาก คะแนนเฉลยี่ 2.51-3.50 หมายถงึ ระดบั การบรหิ ารวิชาการปานกลาง คะแนนเฉลย่ี 1.51-2.50 หมายถงึ ระดบั การบริหารวชิ าการน๎อย คะแนนเฉลย่ี 1.00-1.50 หมายถึง ระดับการบริหารวชิ าการน๎อยทสี่ ุด การวเิ คราะห๑ความสมั พนั ธร๑ ะหวาํ งการมสี ํวนรวํ มของคณะกรรมการสถานศึกษาข้นั พ้ืนฐาน กับการบริหารวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาในจงั หวดั ปทุมธานี โดยการหาคาํ สัมประสทิ ธ์ิสหสัมพันธ๑ของ เพียร๑สัน (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) โดยใช๎เกณฑ๑ในการวิเคราะห๑คํา สัมประสทิ ธิส์ หสัมพันธ๑ (r) แลว๎ นาไปเปรียบเทียบกับเกณฑ๑ (ชูศรี วงศ๑รัตนะ,2553, น.316) แปลความหมาย ดังนี้ คาํ สมั ประสิทธ์สิ หสมั พนั ธ๑ 0.71-1.00 หมายถงึ มคี วามสมั พนั ธ๑กันสงู คาํ สัมประสิทธ์ิสหสมั พนั ธ๑ 0.31-0.70 หมายถงึ มคี วามสัมพันธก๑ ันปานกลาง คําสมั ประสิทธิ์สหสมั พนั ธ๑ 0.01-0.30 หมายถงึ มคี วามสมั พันธก๑ นั ต่า คําสัมประสิทธิ์สหสมั พนั ธ๑ เทาํ กับ 0.00 หมายถงึ ไมํมีความสัมพนั ธก๑ ัน สรปุ ผลการวจิ ัยและอภปิ รายผล สรปุ ผลการวจิ ยั ผ๎ตู อบแบบสอบถามเป็นผอ๎ู านวยการสถานศกึ ษา ตวั แทนครู และคณะกรรมการสถานศึกษา จานวน 653 คน พบวําข๎อมูลทั่วไปของผ๎ูตอบแบบสอบถาม สํวนใหญํเป็นเพศชาย จานวน 364 คน คิดเป็นร๎อยละ 55.7 มีอายุ 45-54 ปี จานวน 232 คน คิดเป็นร๎อยละ 35.5 มีการศึกษาระดับ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 401

ปริญญาตรี จานวน 257 คน คดิ เปน็ ร๎อยละ 39.4 เป็นคณะกรรมการสถานศกึ ษา จานวน 313 คน คิด เปน็ ร๎อยละ 48.00 และมีประสบการณใ๑ นการทางาน 5-9 ปี จานวน 237 คน คิดเปน็ รอ๎ ยละ 36.3 1. การมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัด ปทุมธานี โดยภาพรวมอยูํในระดับมาก (̅ =3.54) เมื่อพิจารณาเป็นรายด๎านพบวําการมีสํวนรํวมในการ ตดั สินใจ มีคาํ เฉลย่ี สงู สุด (̅ = 3.73) รองลงมาคือ การมีสํวนรํวมในการประเมนิ ผล (̅ = 3.64) การมสี ํวน รํวมในการดาเนินการ (̅ = 3.63) และการมีสํวนรํวมในการรับผลประโยชน๑ มีคําเฉล่ียต่าท่ีสุด( ̅ = 3.17) และเมื่อแยกเปน็ รายดา๎ น ผลการวิจัยมีดงั น้ี การมีสํวนรํวมในการตัดสินใจ พบวํา ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยํูในระดับมาก ( ̅ =3.73) เมือ่ พจิ ารณาเป็นรายข๎อพบวาํ คณะกรรมการสถานศกึ ษารํวมอภิปรายป๓ญหาหรือความต๎องการของโรงเรียน มีคําเฉล่ียสูงสุด (̅ = 4.05) รองลงมาคือ คณะกรรมการสถานศึกษารํวมจัดลาดับความสาคัญของป๓ญหา (̅ = 3.94) สํวนข๎อท่ีมีคําเฉลี่ยต่าที่สุดคือคณะกรรมการสถานศึกษาเป็นผู๎คิดริเริ่มโครงการในโรงเรียน (̅ = 3.42) การมีสวํ นรํวมในการดาเนินการ พบวํา ในภาพรวมมีการปฏิบัติ อยํูในระดับมาก(̅ =3.63) เม่ือพิจารณาเป็นรายข๎อพบวํา คณะกรรมการสถานศึกษาสนับสนุนด๎านแรงงานให๎กับโรงเรียน มีคําเฉล่ีย สงู สดุ (̅ = 3.72 ) รองลงมาคือ คณะกรรมการสถานศึกษาเขา๎ รํวมเป็นวิทยากรภายนอก ภูมิป๓ญญาท๎องถ่ิน ในโรงเรียน (̅ =3.67) สํวนข๎อท่ีมีคําเฉล่ียต่าท่ีสุดคือ คณะกรรมการสถานศึกษามีสํวนรํวมในการ บรหิ ารงานวิชาการใหม๎ ีประสทิ ธิภาพ (̅ = 3.46) การมีสวํ นรวํ มในการรบั ผลประโยชน๑ พบวํา ในภาพรวมมีการปฏิบัติ อยูํในระดับปานกลาง (̅ =3.17) เมื่อพิจารณาเป็นรายข๎อ การมีสํวนรํวมกับโรงเรียนทาให๎คณะกรรมการสถานศึกษาได๎รับการ ยอมรับนับถือ มีคําเฉล่ียสูงสุด (̅ = 3.81) รองลงมาคือ คณะกรรมการสถานศึกษาได๎รับอานาจในการ ดาเนนิ งานกจิ กรรมของโรงเรยี น (̅ = 4.06) สวํ นข๎อที่มีคําเฉล่ียต่าที่สุดคือ การมีสํวนรํวมกับโรงเรียนทาให๎ คณะกรรมการสถานศกึ ษามรี ายได๎เพมิ่ ขน้ึ (̅ = 2.51) การมีสํวนรํวมในการประเมินผล พบวํา ในภาพรวมมีการปฏิบัติ อยูํในระดับมาก ( ̅ = 3.64) เม่อื พิจารณาเปน็ รายขอ๎ พบวํา คณะกรรมการสถานศึกษารํวมประชมุ ทบทวนและประเมินผลการดาเนนิ โครงการตามแผนปฏบิ ตั ิการประจาปขี องโรงเรียน มีคาํ เฉลยี่ สงู สดุ (̅ = 3.90) รองลงมาคอื คณะกรรมการ สถานศึกษามบี ทบาทในการประเมินคุณภาพทางการศึกษาของโรงเรียน (̅ = 3.87) สํวนข๎อที่มีคําเฉล่ียต่า ทีส่ ดุ คอื คณะกรรมการสถานศกึ ษารํวมเป็นคณะทางานวิจัยหรือประเมินผลโครงการของโรงเรียน (̅ = 3.12) 2. การบริหารวิชาการของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐานของโรงเรยี นประถมศกึ ษาใน จังหวัดปทุมธานีอยํูในระดับปานกลาง (̅ = 3.50) เม่ือพิจารณาเป็นรายข๎อพบวํา การพัฒนาแหลํงเรียนรู๎ มคี าํ เฉล่ยี สงู สุด (̅ = 3.67) รองลงมาคือ การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ( ̅ = 3.64) สวํ นด๎านทีม่ คี าํ เฉลีย่ ตา่ ท่สี ดุ คอื การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (̅ = 3.20) ผลวิจัยมีดังนี้ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 402

การพัฒนาหลกั สูตรสถานศกึ ษา พบวาํ การบรหิ ารวชิ าการของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น พ้นื ฐานในโรงเรียนประถมศึกษาจังหวัดปทุมธานี ด๎านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา โดยภาพรวมอยํูใน ระดับปานกลาง (̅ =3.20) เมื่อพิจารณาเป็นรายข๎อพบวํา คณะกรรมการสถานศึกษามีสํวนรํวมวิเคราะห๑ ผเ๎ู รียนและสภาพของทอ๎ งถิ่น มีคาํ เฉล่ยี สงู สุด (̅ = 3.36 ) รองลงมาคือ คณะกรรมการสถานศึกษามีสํวนรํวม จัดทาหลักสูตรสถานศึกษาให๎สอดคล๎องกับความต๎องการของผ๎ูเรียนและท๎องถิ่น (̅ = 3.32) สํวนข๎อท่ีมี คําเฉลี่ยต่าที่สดุ คอื คณะกรรมการสถานศึกษามสี ํวนรํวมจดั ทาโครงสร๎างหลกั สตู รและสาระตาํ งๆ (̅ = 3.05) การพฒั นาแหลงํ เรียนรู๎ พบวาํ การบรหิ ารวิชาการของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ในโรงเรียนประถมศึกษาจังหวัดปทุมธานี ด๎านการพัฒนาแหลํงเรียนร๎ู โดยภาพรวมอยูํในระดับมาก (̅ =3.67) เมอ่ื พจิ ารณาเป็นรายข๎อ คณะกรรมการสถานศกึ ษาสํงเสรมิ การใช๎แหลํงเรียนรู๎และภูมิป๓ญญาท๎องถิ่น เพือ่ พัฒนาการเรยี นรขู๎ องผเ๎ู รยี น มีคาํ เฉลยี่ สงู สุด (̅ = 3.82) รองลงมาคือ คณะกรรมการสถานศกึ ษาประสาน ความรวํ มมือกบั โรงเรยี น องค๑กร ครอบครัว และบุคคลในชุมชนในการพัฒนาให๎มีแหลํงเรียนรู๎ท่ีเอื้อตํอการ เรียนรใู๎ นชมุ ชน (̅ = 3.75) สวํ นข๎อทีม่ คี าํ เฉลี่ยต่าที่สุดคือ คณะกรรมการสถานศึกษามีสํวนรํวมสารวจ และ จดั ระบบแหลํงเรยี นรู๎ทง้ั ในและนอกโรงเรยี น (̅ = 3.41) การพฒั นาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา การบริหารวิชาการของคณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนประถมศึกษาจังหวัดปทุมธานี ด๎านการก ารพัฒนาระบบประกันคุณภาพ ภายในสถานศึกษา พบวํา ในภาพรวมอยูํในระดับมาก ( ̅ = 3.64) เมื่อพิจารณาเป็นรายข๎อพบวํา คณะกรรมการสถานศกึ ษารวํ มปฏบิ ตั งิ านกบั โรงเรยี นอยาํ งตอํ เนอื่ ง มคี าํ เฉลีย่ สูงสุด (̅ = 3.90) รองลงมาคือ คณะกรรมการสถานศกึ ษารํวมดาเนินงานตามแผนพฒั นาคุณภาพโรงเรียน (̅ = 3.87) สํวนข๎อที่มีคําเฉลี่ย ตา่ ทีส่ ดุ คอื คณะกรรมการสถานศกึ ษาสํวนรํวมในการจัดระบบบรหิ ารและสารสนเทศ (̅ = 3.12) 3. ความสมั พันธร๑ ะหวํางการมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานกับการบริหาร วิชาการของโรงเรยี นประถมศึกษาในจังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวมมีความสัมพันธ๑กันอยํางมีนัยสาคัญทาง สถติ ทิ ีร่ ะดับ .01 และมคี ําสมั ประสทิ ธ์สิ หสมั พันธ๑ที่ 0.844 มีความสมั พันธก๑ นั อยใํู นระดับสูง และเมือ่ พิจารณา ความสัมพันธ๑ในแตํละด๎านของการมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน พบวํา ด๎านท่ีมี ความสมั พันธ๑กนั สูงที่สดุ คอื การมีสํวนรํวมในการประเมินผลกับการบริหารวิชาการในโรงเรียนประถมศึกษา และดา๎ นท่ีมคี วามสัมพันธ๑กนั ตา่ สุด คอื การมีสํวนรํวมในการรับผลประโยชน๑ กับการบริหารวิชาการในโรงเรียน ประถมศึกษา อภิปรายผล การศึกษาวิจยั เรื่องความสัมพันธ๑ระหวํางการมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ัน พนื้ ฐานกับการบริหารวิชาการของโรงเรียนประถมศกึ ษาในจังหวัดปทมุ ธานี ผลของการวิจัยนามาอภิปรายได๎ ดงั น้ี 1. จากผลการวิจัยพบวํา การมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานของโรงเรียน ประถมศึกษาในจังหวดั ปทมุ ธานี พบวํา มกี ารปฏิบตั ิอยํูในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด๎านพบวํา การมี การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 403

สํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาขน้ั พื้นฐานอยํูในระดบั มาก 3 ด๎านคือ การมีสํวนรํวมในการตัดสินใจมี คาํ เฉลย่ี สงู สดุ รองลงมาคือ การมสี ํวนรํวมในการประเมินผล การมีสํวนรวํ มในการดาเนินการ และ การมี สํวนรํวมในการรบั ผลประโยชน๑อยํูในระดับปานกลาง ซึ่งมีคําเฉลี่ยต่าสุด เนื่องจากป๓จจุบันคณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพ้นื ฐานสวํ นใหญํเปน็ ผูม๎ คี วามร๎ู ความสามารถและได๎รับการยอมรับทางสังคม รวมทั้งยังเข๎าใจ บทบาทและหนา๎ ทค่ี วามรับผิดชอบของคณะกรรมการการสถานศึกษาข้นั พน้ื ฐานมากขน้ึ ประกอบกับแผนการ ศึกษาแหํงชาติ ฉบับที่ 9 ( พ.ศ. 2545-2559) ท่ีสํงเสริมและสนับสนุนการกระจายอานาจไปยังภาคเอกชน ประชาชน ประชาสงั คม และภาคสวํ นของสังคมได๎มีสวํ นรํวมในการบริหารจัดการศึกษา และสํงเสรมิ การศกึ ษา ให๎องค๑กรปกครองสํวนทอ๎ งถน่ิ ชมุ ชน องคก๑ ารทางศาสนาและเอกชนจัดและมีสวํ นรํวมในการจัดการศึกษาเพ่ือ พฒั นามาตรฐานคุณภาพการศึกษาใหเ๎ ทําเทียมกัน สอดคลอ๎ งกับงานวิจยั ของ บญุ นอ๎ ม จาพล (2551, น.193) ได๎ศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางการมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานกับประสิทธิผลการ บริหารงานโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีกาฬสินธุ๑ เขต 3 ผลการวิจัยพบวํา การมีสํวนรํวมของ คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานในการบริหารงานโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี กาฬสินธุ๑ เขต 3 โดยรวมอยูํในระดับมาก และสอดคล๎องกับงานวิจัยของ สุธน โบราณประสิทธิ์ (2554,น.174) ได๎ศึกษาการ บรหิ ารแบบมีสวํ นรํวมในโรงเรยี นประถมศกึ ษาในเขตบางขนุ เทยี น ผลการวจิ ยั พบวํา ในภาพรวมคณะกรรมการ สถานศึกษามีการบริหารแบบมีสํวนรํวมในโรงเรียนประถมศึกษาในเขตบางขุนเทียน อยูํในระดับมาก เมื่อ พจิ ารณาเป็นรายดา๎ น พบวาํ มรี ะดับมากทุกด๎าน ได๎แกํ ดา๎ นการมีสํวนรํวมในการตัดสินใจ ด๎านการมีสํวนรํวม ในการประเมินผล ด๎านการมีสํวนรํวมในการปฏิบัติการ และต่าสุดได๎แกํ ด๎านการมีสํวนรํวมในการรับ ผลประโยชน๑ 2. จากผลการวิจัยพบวํา การบริหารวิชาการของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียน ประถมศึกษาจังหวัดปทุมธานี มีการปฏิบัติอยํูในระดับปานกลาง อาจเป็นเพราะจังหวัดปทุมธานีมีการ เจริญเติบโตอยํางรวดเร็ว โรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดปทุมธานีจึงมีท้ังความเป็นชุมชนเมืองแล ะชนบท คณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพืน้ ฐานในโรงเรยี นที่เป็นชุมชนเมืองสํวนใหญํมีการประกอบอาชีพธุรกิจสํวนตัว และมีภาระหน๎าท่หี ลายอยําง ทาให๎ไมํมีเวลาเข๎ามามีสํวนรํวมในการบริหารวิชาการ สํวนคณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานท่ีโรงเรียนตั้งอยํูในชุมชนชนบท ก็มักจะขาดความรู๎ความเข๎าใจเก่ียวกับงานด๎านการ บริหารวชิ าการ ซึ่งสอดคลอ๎ งงานวจิ ัยของของปนดิ า สนั ดอน( 2553, บทคดั ยอํ ) ไดว๎ จิ ยั เร่ือง การมสี วํ นรวํ ม ของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐานในการจัดการศึกษาโรงเรียนแมํตื่นวิทยา อาเภออมก๐อย จังหวัด เชียงใหมํ ผลการวจิ ยั พบวําผลการวจิ ยั พบวาํ คณะกรรมการสถานศึกษาข้นั พืน้ ฐานไมํมคี วามร๎ูหรือขาดความรู๎ ด๎านการวเิ คราะห๑หลักสูตร ปญ๓ หาคอื คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานมีเวลาให๎กับโรงเรียนน๎อย และ สอดคล๎องกับ เดนํ มหาชัย นนั ธษิ า (2557, บทคัดยํอ) กลําววาํ การมสี ํวนรวํ มของคณะกรรมการสถานศกึ ษา ขัน้ พ้ืนฐานในการบริหารวชิ าการในโรงเรียนมปี ๓ญหา คอื คณะกรรมการสถานศกึ ษาไมเํ ขา๎ ใจรปู แบบ ระเบียบ และเกณฑ๑การวัดผลการเรียนอยํางชัดเจน และมีข๎อเสนอแนะวํา ควรนาผลการนิเทศของคณะกรรมการ สถานศึกษาไปใช๎ในการปรับปรุงด๎านการเรียนการสอน ควรมีการประชุมและผํานค วามเห็นชอบจาก คณะกรรมการสถานศึกษาทุกคร้ังในการจัดครูเข๎าช้ันเรียน และควรแจ๎งผลการประเมินการใช๎หลักสูตรให๎ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 404

คณะกรรมการสถานศกึ ษารบั ทราบ ซึ่งสอดคลอ๎ งกับงานวจิ ยั ของ อรุณวรรณ ชาญสัมพันธ๑ (2556, บทคัดยํอ) ท่ีได๎ศึกษาสภาพป๓ญหา สภาพการปฏิบัติและแนวทางทางการพัฒนาการมี สํวนรํวมของคณะกรรมการ สถานศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐานในการจดั การศึกษาของโรงเรียนสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 31 จงั หวดั นครราชสีมา พบวํา สภาพการปฏิบัตกิ ารมีสํวนรวํ มของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐานในการจัด การศกึ ษาดา๎ นวิชาการอยูํในระดับปานกลาง 3. จากผลการวจิ ยั พบวํา ความสัมพันธ๑ระหวํางการมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น พนื้ ฐานกบั การบริหารวิชาการในโรงเรียนประถมศึกษาจังหวัดปทุมธานี โดยรวมมีความสัมพันธ๑กัน เน่ืองจาก แผนการศึกษาแหํงชาติ ฉบับท่ี 9 ( พ.ศ. 2545-2559) ที่สํงเสริมและสนับสนุนการกระจายอานาจไปยัง ภาคเอกชน ประชาชน ประชาสังคม และภาคสํวนของสังคมได๎มีสํวนรํวมในการบริหารจัดการศึกษา และ สํงเสรมิ การศกึ ษาให๎องค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่ิน ชุมชน องค๑การทางศาสนาและเอกชน มีสํวนรํวมในการจัด การศกึ ษาเพ่ือพฒั นามาตรฐานคุณภาพการศึกษาใหเ๎ ทาํ เทยี มกนั ซ่ึงสอดคลอ๎ งกบั งานวจิ ัยของ บญุ นอ๎ ม จาพล (2551,น.205 ) ศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางการมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐานกับ ประสทิ ธิผลการบรหิ ารงานโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีกาฬสินธ๑ุ เขต 3 ผลการวิจัยพบวํา การมีสํวน รํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานตามความคิดเห็นของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน มี ความสมั พนั ธ๑ทางบวกกบั ประสิทธิผลการบรหิ ารงานโรงเรยี น สงั กัดสานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศกึ ษากาฬสินธ๑ุ เขต 3 โดยตัวแปรที่มีคาํ สงู สุด คอื ด๎านสํงเสริมความสมั พนั ธร๑ ะหวาํ งสถานศึกษากับชมุ ชนตลอดจนการประสานงาน กับองค๑กรภาครัฐและเอกชน เพ่ือให๎สถานศึกษาเป็นแหลํงวิทยาการของชุมชนและมีสํวนรํวมในการพัฒนา ชุมชนและทอ๎ งถ่นิ รองลงมาด๎านใหค๎ วามเห็นชอบแผนปฏบิ ตั ิการประจาปขี องสถานศกึ ษา ดา๎ นแตงํ ตัง้ ทีป่ รึกษา และคณะอนุกรรมการเพ่ือดาเนินงานตามระเบียบน้ีตามสมควรและด๎านให๎ความเห็นชอบในการจัดทาสาระ หลกั สูตรใหส๎ อดคลอ๎ งกับความตอ๎ งการของท๎องถน่ิ สถานศกึ ษามคี วามสมั พันธ๑อันดีกบั ชมุ ชนโรงเรยี นกจ็ ะได๎รับ ความชํวยเหลอื จากชมุ ชนในด๎านตํางๆ ไมวํ ําจะเปน็ การบรจิ าคสิง่ ของที่เอ้อื ตอํ การจัดการเรยี นการสอน ส่ือการ สอน วัสดอุ ุปกรณต๑ ํางๆ เพอื่ ใชใ๎ นการเรียนการสอน การบรจิ าคเพ่ือสรา๎ งห๎องปฏิบัติการ การจัดแหลํงเรียนร๎ู อนื่ ๆทม่ี คี วามสาคญั ตอํ การจัดการเรยี นการสอน ชุมชนใช๎สถานประกอบการ บ๎านเรือนหรือทํุงนา สวนผลไม๎ แปลงเกษตร โรงเรือนสาหรับเลี้ยงสตั ว๑ ฯลฯ ของตนเองเป็นแหลงํ เรยี นรูแ๎ ละฝึกงานให๎กับนักเรียน กํอให๎เกิด ความรู๎แกํตัวนักเรียน ชํวยให๎การจัดกิจกรรมตํางๆในโรงเรียนเป็นไปตามเปูาหมาย เกิดความสอดคล๎องกับ ความตอ๎ งการของทอ๎ งถ่นิ ซงึ่ จะชวํ ยให๎เกดิ ประสทิ ธิผลในการบรหิ ารสถานศกึ ษาอยํางแทจ๎ ริง ทงั้ น้คี ํูที่มคี วามสัมพันธ๑สูงสดุ คอื การมสี ํวนรวํ มในการประเมนิ ผลกับการบรหิ ารวิชาการ เนือ่ งจากการ มีสํวนรํวมในการประเมนิ ผลเปน็ บทบาทหน๎าท่ขี องคณะกรรมการสถานศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน ในการรํวมรบั ผดิ ชอบ กากับ ติดตามและประเมินผลในการดาเนินกิจกรรม เพื่อให๎สถานศึกษาและผู๎เรียนเกิดการพัฒนาและมี คุณภาพเป็นที่ยอมรับของชุมชนและหนํวยงานภายนอก ซึ่งสอดคล๎องกับงานวิจัยของ พจนารถ วาดกลิ่น ( 2556,น.89 ) ความสมั พันธร๑ ะหวาํ งการบรหิ ารแบบมสี ํวนรวํ มกับการดาเนินงานด๎านวิชาการของโรงเรียนใน สานกั งานเขตบางกอกใหญํ สังกัดสานักงานการศึกษากรุงเทพมหานคร โดยรวมมีความสัมพันธ๑กันเนื่องจาก พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแหงํ ชาติ พ.ศ. 2542 กาหนดใหต๎ อ๎ งมีการประเมนิ คณุ ภาพสถานศกึ ษาจากหนํวยงาน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 405

ภายนอก เพ่ือเป็นการประกันคุณภาพของสถานศึกษาให๎เป็นท่ีนําเช่ือถือและยอมรับจากชุมชนและบุคคลที่ เกีย่ วขอ๎ ง จึงทาให๎ครูผู๎สอนและผ๎ูบริหารโรงเรียนมีการวางแผน เชํน แผนพัฒนาการศึกษาหรือแผนกลยุทธ๑ เพ่อื ท่จี ะพฒั นาการเรียนการสอนให๎ได๎ตามเกณฑ๑มาตรฐานท่ีกาหนด ท้ังน้ีคูํท่ีมีความสัมพันธ๑สูงสุด คือการมี สํวนรวํ มในการประเมินผลกับการบรหิ ารงานด๎านวชิ าการ ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้ 1. การมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัด ปทุมธานี จากผลการวิจัยพบวํา ด๎านที่มีคําเฉล่ียต่าท่ีสุดคือ ด๎านการมีสํวนรํวมในการรับผลประโยชน๑ ผู๎บรหิ ารและคณะครคู วรใหค๎ วามสาคัญกบั การเขา๎ มามสี ํวนรวํ มของคณะกรรมการสถานศึกษา การมอบอานาจ ในการดาเนินงาน มีสวัสดิการและมีกิจกรรมในการทารํวมกันกับคณะกรรมการสถานศึกษาเพิ่มข้ึน เชํน กจิ กรรมชมุ ชนสัมพันธ๑ กิจกรรมสังสรรค๑ การรวํ มกจิ กรรมศึกษาดงู านกบั ทางโรงเรยี น เป็นต๎น 2. การบรหิ ารวชิ าการของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัด ปทุมธานี ผลการวจิ ัยพบวาํ ขอ๎ ทมี่ ีคําเฉล่ยี ตา่ ที่สดุ คือ การพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษา ผ๎บู ริหารตอ๎ งสํงเสริม สนับสนุนให๎คณะกรรมการสถานศึกษาเข๎ามามสี วํ นรวํ มในการพฒั นาหลักสูตรสถานศึกษา คดั เลือกผู๎ท่ีมีความร๎ู ด๎านการศึกษามาเป็นคณะกรรมการสถานศึกษา จดั กิจกรรมอบรมเชิงปฏบิ ตั ิการ ใหค๎ วามรู๎กับคณะกรรมการ สถานศึกษาเกย่ี วกบั หลกั สตู รแกนกลาง โครงสร๎างหลกั สูตรและหลกั สูตรในสาระวชิ าตํางๆ ใหค๎ ณะกรรมการ สถานศกึ ษามีสํวนรวํ มในการวเิ คราะหผ๑ เู๎ รยี นและสภาพของท๎องถิ่นเพอื่ เป็นแนวทางในการรํวมจัดทาหลักสูตร สถานศึกษา การติดตามประเมินผลการนาหลักสตู รไปใชแ๎ ละมสี วํ นรวํ มปรบั ปรงุ หลักสตู รของโรงเรียน 3. ความสัมพันธ๑ระหวํางการมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานกับการบริหาร วชิ าการในโรงเรียนประถมศกึ ษาจงั หวดั หวัดปทุมธานี จากผลการวิจัยพบวํา ด๎านที่มีความสัมพันธ๑ต่าสุดคือ ด๎านการรับผลประโยชน๑กับการบริหารวิชาการของคณะกรรมการสถานศึกษา โรงเรียนควรสํงเสริมการจัด กจิ กรรมที่เปน็ ผลประโยชน๑ให๎แกคํ ณะกรรมการสถานศึกษา เชํน การจัดบรมช้ีแจงให๎ความรู๎ความเข๎าใจด๎าน งานวิชาการและการพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษา การยกยอํ งให๎คณะกรรมการสถานศึกษามีความภาคภูมิใจใน การเขา๎ มามสี ํวนรํวมบริหารวชิ าการในโรงเรยี น โดยเปน็ คณะทางานดา๎ นวชิ าการ การรวํ มเปน็ คณะกรรมการ แขํงขันด๎านวิชาการ การมอบโลํเชิดชูเกียรติหรือใบประกาศเกียรติคุณ การรับฟ๓งข๎อเสนอแนะในการ ดาเนินงานดา๎ นวิชาการโดยมกี ารประชุมคณะกรรมการสถานศึกษาภาคเรียนละ2-3 คร้ัง และมีสํวนรํวมใน ความสาเร็จของโรงเรยี น โดยถือวาํ โรงเรยี นเปน็ ของทกุ คนในชุมชน โรงเรียนมกี ารพัฒนาด๎านวชิ าการทเี่ ข๎มแขง็ ก็จะเป็นผลให๎นักเรียนมีคุณภาพมาตรฐานการศึกษาและมีคุณลักษณะที่พึงประสงค๑ ตลอดจนสามารถ ดารงชีวิตในสังคมได๎อยํางมีความสุข ซึ่งนักเรียนเหลําน้ีก็เป็นบุตรหลานหรือเยาวชนในท๎องถ่ินของ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 406

คณะกรรมการสถานศึกษา ฉะน้ันความสาเร็จและคุณภาพของโรงเรียนสืบเนื่องมาจากการมีสํวนรํวมของ คณะกรรมการสถานศึกษาดว๎ ยเชนํ กนั ข้อเสนอแนะในการทาวิจยั ครัง้ ต่อไป 1. ควรมีการศกึ ษารูปแบบการมีสวํ นรวํ มในการรับผลประโยชนท๑ ่ีคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานตอ๎ งการ จากการมสี วํ นรวํ มในโรงเรียนประถมศึกษา 2. ควรมกี ารศกึ ษาแนวทางพฒั นาการมสี ํวนรวํ มของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐานด๎านการพฒั นา หลกั สูตรสถานศกึ ษาของโรงเรยี นประถมศกึ ษาในจงั หวดั ปทมุ ธานี เอกสารอา้ งองิ ชศู รี วงศ๑รัตนะ. (2553). เทคนิคการใช้สถิตเิ พ่ือการวิจัย.พมิ พค๑ รั้งที่ 12. กรงุ เทพมหานคร : ไทเนรมิตกจิ อินเตอร๑ โปรเกรสซฟิ . เดนํ มหาชัย นนั ธิษา. (2557). ศกึ ษาการมสี ่วนรว่ มของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐานในการบรหิ ารงานวชิ าการในโรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษา บุรีรมั ย์ เขต 2. วทิ ยานิพนธ๑ปรญิ ญามหาบัณฑติ ,มหาวิทยาลยั ราชภัฏบรุ รี ัมย.๑ บุญชม ศรสี ะอาด. (2554 ). หลักการวจิ ัยเบอ้ื งต้น. พิมพค๑ รง้ั ที่ 9. กรงุ เทพมหานคร : สวุ ิริยาสาส๑น. บญุ นอ๎ ม จาพล. ( 2551). ความสัมพนั ธร์ ะหว่างคณะกรรมการสถานศึกษาขัน้ พื้นฐานกบั ประสทิ ธิผล การบริหารงานโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นทกี่ าฬสินธ์ เขต 3.(วิทยานพิ นธ๑ปรญิ ญามหาบัณฑิต, มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร). ปนดิ า สนั ดอน. (2553). การมสี ่วนรว่ มของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพน้ื ฐานในการจดั การ โรงเรยี นแม่ต่นื วิทยา อาเภออมกอ๋ ย จงั หวัดเชยี งใหม่. ค๎นคว๎าอิสระ ศึกษาศาสตร มหาบณั ฑิต,มหาวิทยาลยั เชยี งใหมํ. พจนารถ วาดกลิน่ . ( 2556 ). ศกึ ษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมสี ่วนรว่ มกบั การ ดาเนินงานด้านวชิ าการของโรงเรยี นในสานกั งานเขตบางกอกใหญ่ สังกัดสานกั การศกึ ษา กรงุ เทพมหานคร. วิทยานพิ นธป๑ รญิ ญามหาบณั ฑิต,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี. มยุรี สมใจ. ( 2551 ). การบรหิ ารวิชาการสูเ่ กณฑม์ าตรฐานการศกึ ษาของชาติ กลุ่มโรงเรยี นปง 1 สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาพะเยา เขต 2.วทิ ยานพิ นธ๑ปรญิ ญาการศกึ ษามหาบัณฑติ . มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหมํ. รุํงชชั ดาพร เวหะชาต.ิ (2553). การบรหิ ารวชิ าการสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พิมพ์ครงั้ ท่ี 4 สงขลา: ศูนย๑ หนงั สอื มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน. (2550). แนวทางการกระจายและการจัดการศึกษาให้ คณะกรรมการ สานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษา และสถานศึกษา ตามกฎกระทรวง กาหนด หลกั เกณฑ์ และวิธีการกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศกึ ษา พ.ศ. 2550. กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ๑ชุมนมุ สหกรณก๑ ารเกษตรแหํงประเทศไทย. การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 407

สานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา. (2552). ข้อเสนอการปฏิรปู การศกึ ษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552-2561). กรงเทพมหานคร.พรกิ หวานกราฟฟกิ . สานักทดสอบทางการศึกษา.(2554). แนวทางพฒั นาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาตาม กฎกระทรวงวา่ ดว้ ยระบบ หลกั เกณฑ์ และวธิ กี ารประกนั คณุ ภาพการศึกษา พ.ศ. 2553. กรงเทพมหานคร: โรงพมิ พ๑ชุมนุมสหกรณ๑การเกษตรแหงํ ประเทศไทยจากัด. สุธน โบราณประสทิ ธ๑. (2554). การบริหารแบบมสี ่วนรว่ มในโรงเรยี นประถมศกึ ษา.วิทยานิพนธ๑ ปรญิ ญาครศุ าสตรมหาบณั ฑิต,มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบุรี. อรุณวรรณ ชาญสัมพันธ๑. (2556). สภาพปญั หา สภาพการปฏิบตั ิและแนวทางทางการพฒั นาการมสี ่วน ร่วมของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขัน้ พื้นฐานในการจัดการศึกษาของโรงเรยี นสังกัด สานักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 31 จงั หวดั นครราชสมี า.ค๎นคว๎าอสิ ระปริญญา การศึกษามหาบณั ฑติ ,มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. Cohen, J. M. & Uphoff N. J. (1997). Raral Developmaent Participation : Concept and Measures for Project Design Implementation and Evaluation. London : Rural Development Committee Center For International Studies Cornel University. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 408

การพัฒนาการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน เพ่ือเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และ นวัตกรรมในศตวรรษท่ี 21 ของผูเ้ รยี นรายวชิ าคณติ ศาสตร์เพอ่ื พัฒนาคณุ ภาพชีวติ Development of Blended Learning Method to Enhance Learning and Innovation Skills in 21st Century of Learners in Mathematics for Life Quality Development Course สานวน คุณพล วิทยาลัยเทคโนโลยสี ยาม [email protected] บทคดั ยอ่ งานวจิ ยั นี้มีวัตถุประสงค๑เพ่ือ ( (1พัฒนาการจัดการเรียนรู๎แบบผสมผสาน เพื่อเสริมสร๎างทักษะการ เรยี นร๎ูและนวตั กรรมในศตวรรษท่ี 21 ของผ๎ูเรยี นรายวชิ าคณิตศาสตร๑เพื่อพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ( (2เปรียบเทียบ คะแนนทกั ษะการเรียนรู๎และนวตั กรรมในศตวรรษที่ กอํ นและหลังการจดั การการเรียนรูแ๎ บบผสมผสานของ 21 ผเ๎ู รียนรายวิชาคณิตศาสตร๑เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิต และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของผู๎เรียนที่เรียนด๎วยการ จัดการเรียนรู๎แบบผสมผสาน ซ่ึงดาเนินการในภาคการศึกษาท่ี กลุํมเปูาหมายในการศึกษาคือ 2560/1 นักศึกษาชน้ั ปีที่ 1 สาชาวชิ าการจดั การงานบริการและการทอํ งเที่ยว (หลกั สูตรนานาชาติ) วิทยาลัยเทคโนโลยี สยาม จานวน 5 คน เคร่อื งมือท่ีใช๎ในการวิจัยคือ (1 (รายละเอียดของรายวิชา (มคอ.3) รายวิชาคณิตศาสตร๑ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต (2( แบบประเมินทักษะการเรียนรู๎และนวัตกรรมในศตวรรษท่ี 21 และ (3) แบบ ประเมนิ ความพึงพอใจของผ๎ูเรยี นท่ีเรยี นด๎วยการจดั การเรียนรู๎แบบผสมผสาน วิเคราะห๑ข๎อมูลโดยใช๎คําเฉลี่ย และสวํ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ยั พบวาํ (1) การจดั การเรียนรแ๎ู บบผสมผสาน สาหรับรายวชิ าคณิตศาสตรเ๑ พือ่ พฒั นาคุณภาพชีวิตที่ พัฒนาได๎ในครั้งน้ี ประกอบดว๎ ย กิจกรรมการเรยี นร๎ู ไดแ๎ กํ บรรยาย อภิปรายกลมุ่ ในช้นั เรียนทกุ เนอ้ื หา โดยมีกิจกรรม อื่นเพิ่มเติม เชํน การเรียนโดยใช๎กรณศี ึกษา การสรา้ งสรรค์ช้นิ งานวีดทิ ัศน์ พร๎อมทั้งอัพโหลดข้ึนบนยูทูป การเรียนรู๎ โดยโครงงาน การมอบหมายงานเปน็ รายบคุ คลโดยให๎ผเู้ รียนศกึ ษาค้นควา้ ด้วยตนเองและทาแบบฝกึ หดั ทา๎ ยบทสํง และ การใช๎หนังสืออิเลก็ ทรอนกิ ส๑สื่อมัลติมีเดีย ((2 ผลการประเมินทักษะการเรียนรู๎และนวัตกรรมในศตวรรษที่ ของ 21 ผ๎ูเรยี นท่เี รียนด๎วยการจดั การเรียนรู๎แบบผสมผสานในรายวิชาคณติ ศาสตร๑เพือ่ พฒั นาคณุ ภาพชีวิตโดยผู๎เรียน หลังเรียน มีคาํ เฉลยี่ สงู กวาํ กอํ นเรยี น ( (3ผลการประเมินทักษะการเรยี นรูแ๎ ละนวตั กรรมในศตวรรษท่ี ของผู๎เรียนที่เรียนด๎วย 21 สานการจดั การเรียนรแ๎ู บบผสมผในรายวิชาคณติ ศาสตร๑เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยผ๎ูสอน มีคําเฉลี่ยอยูํในระดับมาก และ (4) ผลการประเมินความพึงพอใจตํอการจัดการเรียนรู๎แบบผสมผสาน พบวํา ผู๎เรียนระบุวํามีความพึงพอใจตํอ วธิ กี ารจัดการเรยี นรแ๎ู บบผสมผสานในระดับมากทีส่ ุด คาสาคัญ : การจดั การเรียนร๎ูแบบผสมผสาน, ทักษะการเรียนร๎ูและนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21, คณิตศาสตร๑ ระดบั ปรญิ ญาตรี การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 409

ABSTRACT This study aimed to (1) develop a blended learning method to enhance learning and innovation skills in the 21st century of learners in mathematics in Life Quality Development course, (2) compare their learning and innovation skills in the 21st century before and after the use of the blended learning method, and (3) evaluate the learners’ satisfaction with this method. This study was conducted in the first semester of the academic year 2017. The target group comprised 5 undergraduate students in the Bachelor of Arts program in Hospitality and Tourism Management (International Program) at Siam Technology College. The research instruments consisted of (1) Lesson Plans (TQF3), (2) an evaluation form on learning and innovation skills in the 21st century, and (3) a learner satisfaction questionnaire. The obtained data were analyzed by using mean and standard deviation. The results of the study were as follows: (1) the blended learning method combined five teaching methods: lectures, with discussions in the classroom, and integrated with self- directed study such as group assignments on searching and reporting, using networking and studying questions, case study, creating videos, and e-books; (2) the learners rated their learning and innovation skills in the 21st century higher after using this method; and (3) their learning and innovation skills in the 21st century were evaluated by the researcher-instructor at a high level after using this method; and (4) the learners’ average score of satisfaction with the learning method was at the highest level. KEYWORDS: Blended Learning Method, Learning and Innovation Skills in 21st Century, Undergraduate Mathematics บทนา ศตวรรษที่ เป็นศตวรรษท่ีมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ส่ิงท่ีเห็นได๎ชัดเจนมากที่สุด คือ ความ 21 ทันสมัยและความก๎าวหน๎าทางเทคโนโลยี มีการสื่อสารที่ไร๎พรมแดน มีการเช่ือมโยงและสํงถํายข๎อมูล รขู๎ องผ๎ูตลอดเวลา ทาใหก๎ ารเรยี นคนเกิดได๎โดยไมํต๎องกาหนดเวลา หรือสถานที่ เน่ืองจากแหลํงข๎อมูลตําง ๆ สามารถเข๎าถึงได๎ด๎วยระบบออนไลน๑ การศึกษาในยุคศตวรรษที่ มีการพัฒนาอยํางมากเชํนกัน เน่ืองจาก 21 สถาบันการศกึ ษาจาเป็นตอ๎ งเตรียมบคุ ลากร หรือบณั ฑติ ให๎ตรงตามความตอ๎ งการของตลาดแรงงาน ในปี ค 2002 .ศ.ภาคีพัฒนาทักษะศตวรรษท่ี หรือ 21P21 (The partnership of 21st Century Learning) ซ่ึงกํอต้ังข๎นโดยความรํวมมือของผ๎ูนาทางการศึกษาจากสหรัฐอเมริกา และบริษัทชั้นนาของโลก อาทิ ไมโครซอฟต๑ แอบเปลิ เดล ไทม๑วอรเ๑ นอร๑ ฯลฯ ไดเ๎ ลง็ เห็นถงึ ความสาคัญของทักษะใหมํสาหรับการเรียนรู๎ ของเยาวชนในยคุ ป๓จจุบันท่โี ลกไดถ๎ ูกหลอมรวมกนั มากขน้ึ ทงั้ ในมิตขิ องเศรษฐกิจ การเมืองและวฒั นธรรม โดย การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 410

P21 ได๎นาเสนอกรอบความคิดเรื่องทักษะการเรียนร๎ูท่ีจาเป็นสาหรับผู๎เรียนในศตวรรษที่ เพ่ือใช๎ทักษะ 21 เหลําน้ีในการดาเนินชีวิต และการทางานได๎อยํางเหมาะสมกับยุคสมัยมากท่ีสุด ซ่ึงแบํงทักษะการเรียนรู๎ ออกเป็น สวํ น 5 1. มคี วามรอบร๎ู (Mastery) ในวชิ าแกน (key subjects) ตอํ ไปนี้ (1) ภาษาอังกฤษ, การอําน ศิลปะภาษา (English, Reading or language art) (2) ภาษาของโลก (World language) (3) ศิลปะ (Arts) (4) คณิตศาสตร๑ (Mathematics) (5) เศรษฐศาสตร๑ (Economics) (6) วิทยาศาสตร๑ (Science) (7) ภมู ิศาสตร๑ (Geography) (8) ประวัติศาสตร๑ (History) (9) การปกครองและความเป็นพลเมือง (Government and civics) 2. มีความรู๎ในขอบขํายของศตวรรษที่ 21 (21st century themes) ตํอไปนี้ (1) ความตระหนักเร่ือง โลก (Global awareness) (2) พื้นฐานความร๎ูเกี่ยวกับการเงิน, เศรษฐกิจ, และการเป็นผ๎ูประกอบการ (Financial, Economic, Business and entrepreneurial literacy) (3) พนื้ ฐานด๎านการเปน็ พลเมือง (Civic literacy) (4) พื้นฐานดา๎ นสุขภาพ (Health literacy) (5) พ้นื ฐานด๎านสง่ิ แวดล๎อม (Environmental literacy) 3. มที ักษะการเรยี นรแ๎ู ละนวตั กรรม (Learning and innovation) ประกอบดว๎ ย (1) ทกั ษะการสรา๎ งสรรค๑และ นวตั กรรม (Creativity and innovation) (2) ทกั ษะความคดิ เชงิ วิพากษแ๑ ละการแก๎ป๓ญหา (Critical thinking and problem solving) (3) ทกั ษะการสือ่ สาร (Communication) (4) ทักษะความรวํ มมือ (Collaboration) 4. มีทักษะสารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยี (Information media and technology skills) ตํอไปนี้ (1) พื้นฐานเก่ียวกับสารสนเทศ (Information technology) (2) พื้นฐานเกี่ยวกับสื่อ (Media literacy) (3) พน้ื ฐานเก่ียวกับ ICT (ICT literacy) และ 5. มีทกั ษะชีวิตและอาชีพ (Life and career skill) ประกอบด๎วย (1) ความยืดหยํุนและการปรับตัว (Flexibility and adaptability) (2) ริเร่ิมและช้ีนาตนเอง (Initiative and self-direction) (3) ทักษะทางสังคมและข๎ามวัฒนธรรม(Social and cross-cultural skills) (4) ความสามารถในการผลติ และพนั ธะรบั ผดิ ชอบ (Productivity and accountability) (5) ภาวะผู๎นาและความ รับผดิ ชอบ (Leadership and responsibility) (The partnership of 21st Century Learning, 2009: 2-4) ทักษะการเรยี นรู๎และนวตั กรรม (Learning and innovation) เปน็ ทกั ษะสาคัญในศตวรรษท่ี 21 เพื่อ เตรยี มความพร๎อมดา๎ นการทางาน และการดาเนินชีวติ ใหก๎ ับผเ๎ู รยี น เพราะทักษะการสร๎างสรรค๑และนวัตกรรม ตามกรอบแนวคิด (Framework for 2121 century learning) ของ P21 ประกอบไปดว๎ ย ทักษะยํอย 4 ทกั ษะ ได๎แกํ (1) ทกั ษะการสร๎างสรรค๑และนวัตกรรม (Creativity and innovation) (2) ทักษะความคิดเชิงวิพากษ๑ และการแก๎ป๓ญหา (Critical thinking and problem solving) (3) ทักษะการส่ือสาร (Communication) (4) ทักษะความรํวมมือ (Collaboration) ซึง่ จะเห็นไดว๎ าํ ทกั ษะทัง้ 4 นั้นเป็นทักษะท่ีผ๎ูเรียนจาเป็นต๎องมี และ นาไปใช๎จริงในชวี ติ ประจาวัน ส่ิงที่จะทาให๎ผลผลิตหรือผ๎ูเรียนมีคุณลักษณะตามความมุํงหมาย กลําวคือมีคุณลักษณะของคนใน ศตวรรษท่ี 21 ไดน๎ ัน้ ยอํ มขน้ึ อยูกํ บั การจดั การศกึ ษาของหนวํ ยงานทเ่ี ก่ยี วขอ๎ ง โดยเฉพาะอยํางยิ่งการศึกษาใน ระดับตํางๆ การจัดการศึกษาจะไมํบรรลุผ ลสาเร็จได๎เลยหากขาดการจัดการเรียนร๎ูเป็นวิถีทาง (Path/Means/Way) ทจี่ ะนาผ๎เู รยี นไปสเูํ ปาู หมายทต่ี อ๎ งการ หากขาดซง่ึ การจัดการเรยี นรเ๎ู สยี แล๎ว การคาดหวงั การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 411

ความสาเร็จของการจดั การศกึ ษายํอมเป็นไปไมํได๎ ดงั น้นั แนวทางการพฒั นาทาใหบ๎ ุคคลมคี ณุ ลักษณะของคนใน ยคุ ศตวรรษที่ 21 จึงเปน็ เรือ่ งของการจดั การเรยี นรทู๎ ่สี อดคล๎องกบั ยุคศตวรรษท่ี 21 (อดลุ ย๑ วังศรคี ูณ, 2557) การเรียนแบบผสมผสาน (Blended learning) หมายถึง การเรียนที่มีสัดสํวนของเนื้อหาที่นาเสนอ ออนไลน๑ระหวาํ งร๎อยละ 30 ถึงรอ๎ ยละ 79 เป็นการเรยี นท่ีผสมผสานการเรยี นออนไลนแ๑ ละการเรียนในช้นั เรียน โดยทเ่ี น้ือหาสํวนใหญํสงํ ผาํ นระบบออนไลน๑ ใช๎การอภิปรายออนไลนแ๑ ละมกี ารพบปะกนั ในชน้ั สาหรับการเรียน ในรปู อน่ื ๆ อยาํ งเชํน การเรยี นแบบปกติจะไมํมกี ารสํงผํานเน้ือหาออนไลน๑ การเรียนแบบใช๎เว็บชํวยสอนจะมี การสํงผํานเนื้อหาออนไลนร๑ ๎อยละ 1 – 29 และการเรยี นออนไลนม๑ กี ารสํงผาํ นเนอื้ หาร๎อยละ 80 – 100 (Allen and Seaman, 2005) และ ปณิตา วรรณพิรุณ ได๎ให๎ความหมายเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนแบบ ผสมผสาน (Blended Learning) วําเปน็ การจัดกิจกรรมการเรียนท่ีเน๎นหลักการความยืดหยุํน มุํงเน๎นการจัด กจิ กรรมการเรียนการสอนโดยการสร๎างส่งิ แวดลอ๎ มและบรรยากาศในการเรียนรู๎ให๎ผ๎ูเรียนสามารถเรียนรู๎ด๎วย ตนเองมีการผสมผสานยุทธวิธีการในการเรียนการสอนท่ีหลากหลายเข๎าด๎วยกัน ทั้งวิธีการสอนของผู๎สอน รูปแบบการเรียนรูข๎ องผ๎ูเรยี น ชอํ งทางการสื่อสาร และรูปแบบปฏิสัมพนั ธร๑ ะหวาํ งผ๎ูเรียนและผู๎สอน ผู๎เรียนกับ ผเ๎ู รยี น ผเ๎ู รียนกบั เนอื้ หา ผู๎เรยี นกับบรบิ ทในการเรยี นร๎ู โดยใช๎สือ่ การเรยี นการสอน กิจกรรมการเรียนการสอน และรูปแบบการเรียนการสอนท่ีหลากหลายทั้งการเรียนการสอนแบบออนไลน๑และการเรียนการสอนแบบ เผชิญหน๎า เพื่อตอบสนองตํอความต๎องการระหวํางบุคคลของผู๎เรียน โดยมีจุดมํุงหมายเพื่อให๎ผู๎เรียนทุกคน สามารถบรรลเุ ปาู หมายของการจัดการเรยี นการสอน (ปณติ า วรรณพิรุณ, 2553) การเรยี นแบบผสมผสาน (Blended learning) สามารถพัฒนาทักษะการเรียนร๎ูในศตวรรษที่ 21 ได๎ จากงานวิจัยของ สุสัณหา ย้ิมแย๎ม และคณะ ได๎ทาการพัฒนาการจัดการเรียนรู๎แบบผสมผสาน เพื่อพัฒนา ทกั ษะการเรยี นร๎ใู นศตวรรษที่ 21 สาหรบั กระบวนวชิ าการพยาบาลมารดา ทารกแรกเกิดและการผดุงครรภ๑ 2 ผลการวจิ ยั พบวํา หลงั การจัดการเรยี นร๎ูแบบผสมผสานคะแนนทักษะการเรยี นรู๎ในศตวรรษที่ 21 ของผเู๎ รียนสงู กวาํ กอํ นการจดั การเรียนรแ๎ู บบผสมผสานในทุกทักษะอยํางมีนัยสาคัญท่ีระดับ 0.001 และผู๎เรียนพึงพอใจตํอ วธิ กี ารจัดการเรียนรูแ๎ บบผสมผสานในระดับมากถงึ มากท่ีสดุ ท้ังโดยรวมและในแตํละวธิ กี ารเรยี นร๎ู (สุสณั หา ยมิ้ แยม๎ และคณะ, 2558) รายวชิ าคณติ ศาสตร๑เพือ่ พัฒนาคณุ ภาพชวี ติ เป็นรายวิชาหน่ึงของหมวดวิชาศึกษาท่ัวไป ของวิทยาลัย เทคโนโลยสี ยาม รายวชิ าดังกลําว มุงํ เน๎นใหผ๎ ู๎เรยี นสามารถประยุกต๑ความรู๎ มีทักษะในการคิดวิเคราะห๑โดยใช๎ คณิตศาสตร๑ในการแกไ๎ ขปญ๓ หาอยํางสร๎างสรรค๑และตดั สนิ ใจในการดารงชีวิต วิสัยทัศน๑ (Vision) ของวิทยาลยั เทคโนโลยสี ยาม คือ \"วทิ ยาลัยเทคโนโลยสี ยามเป็นสถาบันอุดมศึกษา ชั้นนาระดบั โลก ทีม่ ํงุ มนั่ การผลติ บัณฑิตและงานวจิ ัยทีต่ อบสนองความต๎องการของภาคธรุ กิจและอตุ สาหกรรม ในระดบั ประเทศและอาเซียน” และ อัตลักษณ๑บัณฑิต (Identity) คือ \"ผ๎ูเห็นและผ๎ูแก๎ป๓ญหาของตนเองและ สังคม\" ในฐานะท่ผี ว๎ู จิ ยั เปน็ อาจารยผ๑ สู๎ อนของวิทยาลยั เทคโนโลยีสยาม จงึ มีความมํุงม่ันทีจ่ ะสรา๎ งบัณฑิตใหต๎ รง การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 412

ตามวสิ ยั ทัศน๑ และอัตลกั ษณ๑ ด๎วยการพฒั นาทกั ษะทักษะการสรา๎ งสรรค๑และนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 ให๎แกํ ผ๎ูเรียน จากที่กลําวมาขา๎ งต๎นเหน็ ได๎วาํ การท่ีจะพฒั นาผเ๎ู รยี นให๎มีทักษะการเรียนรู๎และนวัตกรรม (Learning and innovation) ซ่ึงประกอบด๎วย 1) ทกั ษะการสร๎างสรรคแ๑ ละนวตั กรรม 2) ทักษะความคิดเชิงวิพากษ๑และ การแก๎ปญ๓ หา 3) ทกั ษะการส่อื สาร และ 4) ทักษะความรวํ มมอื จะต๎องอาศยั การจัดการเรียนร๎ทู เี่ หมาะสม เปน็ ต๎นวํา การเรยี นแบบผสมผสาน ด๎วยเหตุและผลที่ได๎กลําวมาทั้งหมดนี้ ผู๎วิจัยจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาการ จัดการเรียนรู๎แบบผสมผสาน เพื่อเสริมสร๎างทักษะการเรียนร๎ูและนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 ของผู๎เรียน รายวชิ าคณติ ศาสตร๑เพื่อพฒั นาคณุ ภาพชวี ิต วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวจิ ัยนมี้ ีวัตถปุ ระสงคเ๑ พอื่ 1. พัฒนาการจัดการเรยี นรู๎แบบผสมผสาน เพื่อเสรมิ สรา๎ งทกั ษะการเรียนรแ๎ู ละนวตั กรรมในศตวรรษที่ 21 ของผ๎เู รยี นรายวิชาคณติ ศาสตรเ๑ พ่อื พัฒนาคุณภาพชีวิต .2เปรยี บเทียบคะแนนทักษะการเรยี นรแู๎ ละนวตั กรรมในศตวรรษท่ี กํอนและหลังการจัดการการ 21 เรยี นรูแ๎ บบผสมผสานของผูเ๎ รียนรายวิชาคณติ ศาสตรเ๑ พือ่ พฒั นาคุณภาพชีวิต .3ประเมนิ ทกั ษะการเรียนร๎แู ละนวัตกรรมในศตวรรษที่ หลังการจดั การการเรยี นรแ๎ู บบผสมผสาน 21 ของผเ๎ู รียนรายวชิ าคณิตศาสตร๑เพื่อพฒั นาคณุ ภาพชีวิต .4ศกึ ษาความพงึ พอใจของผู๎เรียนทีเ่ รยี นดว๎ ยการจดั การเรยี นร๎ูแบบผสมผสาน วธิ ดี าเนินการวจิ ยั การวจิ ัยนเี้ ปน็ การวจิ ยั กง่ึ ทดลอง (Quasi-Experimental Research) แบบกลํมุ เดียวกนั วัดผลกอํ น หลงั (One-Group: Pretest Posttest Design) ตารางท่ี1 ตารางแสดงแบบแผนการทดลอง กลุํมตัวอยาํ ง การวดั กํอนการทดลอง การวัดหลงั การทดลอง E T1 X T2 E คือ กลุมํ ทดลอง T1 คือ คําทส่ี ังเกตหรอื ผลทวี่ ัดไดก๎ ํอนการทดลอง T2 คอื คําทสี่ ังเกตหรอื ผลที่วดั ได๎หลังการทดลอง X คอื ตวั แปรท่จี ัดกระทา (การจดั การเรยี นร๎ูแบบผสมผสาน) ประชากรและตวั อยา่ ง การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 413

ประชากรทใ่ี ช๎ศกึ ษาวจิ ยั ครัง้ นเี้ ป็นนกั ศกึ ษาชัน้ ปีที่ 1 สาชาวิชาการจดั การงานบริการและการ ทอํ งเที่ยว (หลักสตู รนานาชาติ) วิทยาลยั เทคโนโลยสี ยาม จงั หวัดกรุงเทพมหานคร ภาคการศกึ ษาท่ี 1/2560 จานวน 5 คน ซึ่งใช๎เป็นกลุํมเปูาหมายในการเกบ็ ข๎อมลู เคร่อื งมือวจิ ัย 1. รายละเอียดของรายวิชา (มคอ.3) รายวิชาคณติ ศาสตรเ๑ พอื่ พัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ท่ีจดั การ เรยี นการสอนแบบผสมผสาน โดยมขี ้ันตอนในการสรา๎ งดงั น้ี 1.1 ศกึ ษาและวิเคราะหห๑ ลกั สูตร คาอธบิ ายรายวิชาคณิตศาสตรเ๑ พื่อพฒั นาคณุ ภาพ ชวี ิต 1.2 ศึกษาเอกสารวิชาการ เอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวข๎องกับการจัดการเรียนรู๎แบบ ผสมผสาน 1.3 ศึกษาเอกสารวิชาการท่ีเก่ียวข๎องกับการออกแบบการเรียนรู๎แบบผสมผสานท่ี พัฒนาทักษะการเรียนรูแ๎ ละนวัตกรรมในศตวรรษท่ี 21 1.4 เชื่อมโยงการจัดการเรียนรู๎แบบผสมผสาน เพื่อให๎เกิดพฤติกรรมท่ีคาดหวัง เกย่ี วกับทกั ษะการเรียนร๎ูและนวัตกรรมในศตวรรษท่ี 21 1.5 ออกแบบการเรียนรู๎และเขียนรายละเอียดของรายวิชา (มคอ.3) โดยระบุ กิจกรรมการจดั การเรียนร๎ูแบบผสมผสานเพื่อพัฒนาทักษะการเรยี นรแู๎ ละนวตั กรรมในศตวรรษที่ 21 2. แบบประเมนิ ทกั ษะการเรียนร๎ูและนวัตกรรม (Learning and innovation) ในศตวรรษท่ี 21 ซึ่งจัดทาข้ึนตามกรอบแนวคิด (Framework for 2121 century learning) ของ P21 ที่ประกอบไปด๎วย ทักษะยํอย 4 ทักษะ ได๎แกํ 1) ทักษะการสร๎างสรรค๑และนวัตกรรม (Creativity and innovation) 2) ทักษะ ความคิดเชิงวิพากษ๑และการแก๎ป๓ญหา (Critical thinking and problem solving) 3) ทักษะการสื่อสาร (Communication) และ 4) ทกั ษะความรวํ มมอื (Collaboration) ผว๎ู จิ ัยได๎กาหนดเกณฑค๑ ะแนนการประเมิน ทกั ษะการเรยี นรแ๎ู ละนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 ดงั นี้ 5 หมายถงึ มที ักษะในระดับมากท่สี ุด 4 หมายถึง มที กั ษะในระดับมาก 3 หมายถึง มีทักษะในระดับปานกลาง 2 หมายถึง มที กั ษะในระดบั น๎อย 1 หมายถึง มีทักษะในระดับนอ๎ ยทสี่ ุด การแปลความหมายของข๎อมลู ผูว๎ จิ ยั ไดก๎ าหนดเกณฑ๑โดยใชค๎ ะแนนเฉล่ียของจุดตดั ดังน้ี 4.50 – 5.00 หมายถงึ มที กั ษะในระดบั มากท่ีสุด 3.50 – 4.49 หมายถงึ มที กั ษะในระดบั มาก 2.50 – 3.49 หมายถงึ มที ักษะในระดับปานกลาง การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 414

1.50 – 2.49 หมายถงึ มีทักษะในระดับนอ๎ ย ต่ากวาํ 1.50 หมายถงึ มีทักษะในระดับนอ๎ ยท่ีสดุ 3. แบบประเมินความพึงพอใจของผ๎เู รียนที่เรยี นด๎วยการจัดการเรียนรู๎แบบผสมผสาน โดยมี ขั้นตอนในการสร๎างดงั น้ี 3.1 ศกึ ษาเอกสาร ตารา และงานวิจยั ที่เกีย่ วขอ๎ งกับวิธีการสร๎างแบบสอบถามความ พึงพอใจ 3.2 สร๎างแบบสอบถามความพึงพอใจของผ๎ูเรียนท่ีเรียนด๎วยการจัดการเรียนร๎ูแบบ ผสมผสาน โดยมีลกั ษณะคาถามเปน็ แบบมาตราสํวนประมาณคํา 5 ระดับ (Rating Scale) จานวนทั้งสิ้น 10 ขอ๎ 3.3 นาแบบสอบถามความพึงพอใจของผ๎ูเรียน ไปให๎ผู๎ทรงคุณวุฒิจานวน 3 ทําน ประเมินความตรงตามเนอ้ื หา (Content Validity) พจิ ารณาความสอดคลอ๎ ง นามาหาคําดัชนีความสอดคล๎อง (Index of Item Object Congruence : IOC) ซ่งึ ไดค๎ าํ IOC อยรูํ ะหวําง 0.66 – 1.00 3.4 เกณฑ๑คะแนนการประเมนิ ความพงึ พอใจของผเ๎ู รยี น ผวู๎ จิ ยั ไดก๎ าหนดเกณฑ๑ คะแนนการประเมนิ ดงั น้ี 5 หมายถงึ พึงพอใจมากทส่ี ุด 4 หมายถึง พึงพอใจมาก 3 หมายถงึ พงึ พอใจปานกลาง 2 หมายถึง พงึ พอใจนอ๎ ย 1 หมายถงึ พึงพอใจนอ๎ ยทส่ี ดุ การแปลความหมายของขอ๎ มลู ผู๎วิจยั ได๎กาหนดเกณฑโ๑ ดยใชค๎ ะแนนเฉลี่ยของจดุ ตดั ดังน้ี 4.50 – 5.00 หมายถงึ พงึ พอใจมากทสี่ ุด 3.50 – 4.49 หมายถงึ พงึ พอใจมาก 2.50 – 3.49 หมายถึง พงึ พอใจปานกลาง 1.50 – 2.49 หมายถึง พงึ พอใจนอ๎ ย ต่ากวาํ 1.50 หมายถงึ พงึ พอใจนอ๎ ยทส่ี ุด การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. กอํ นการดาเนนิ การทดลอง ผ๎ูวิจัยซึ่งเป็นผ๎ูสอนอธิบายถึงจุดประสงค๑ และจุดมุํงหมายใน การทดลองใหน๎ กั ศกึ ษากลมํุ เปาู หมาย เขา๎ ใจถงึ วตั ถุประสงค๑ 2. ใหผ๎ เู๎ รยี นประเมินทกั ษะการเรยี นรแู๎ ละนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 ของตนเองโดยผู๎เรียน โดยตัวผเู๎ รียนเอง ซ่ึงเป็นการประเมนิ กอํ นการจดั การเรยี นรแู๎ บบผสมผสาน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 415

3. ดาเนนิ การทดลอง ผว๎ู จิ ัยสอนนกั ศึกษากลมุํ เปาู หมายโดยใช๎การจัดการเรียนการสอนตาม มคอ.3 ที่ไดจ๎ ัดทาไว๎ 4. เมื่อดาเนินการสอนตามแผนที่กาหนดไว๎ท้ังรายวิชา (15 สัปดาห๑) จึงให๎ผู๎เรียนประเมิน ทักษะการเรยี นรู๎และนวัตกรรมในศตวรรษท่ี 21 ของตนเองโดยผ๎ูเรียนโดยตัวผู๎เรียนเอง ซึ่งเป็นการประเมิน หลงั ผํานการจัดการเรียนร๎ูแบบผสมผสาน 5. ผู๎วจิ ยั ซ่ึงเป็นผ๎ูสอนประเมินทักษะการเรียนรู๎และนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 ของผ๎ูเรียน เปน็ รายบุคคล การวเิ คราะห์ข้อมลู วเิ คราะห๑ .1ทักษะการเรียนรแ๎ู ละนวตั กรรมในศตวรรษท่ี ของผ๎ูเรียน กอํ นเรยี น และหลงั 21 เรยี นโดยผูเ๎ รียนเอง และวิเคราะห๑ทักษะการการเรียนรูแ๎ ละนวตั กรรมในศตวรรษท่ี ของผ๎เู รียนโดยผู๎วิจยั ซงึ่ 21 เป็นผส๎ู อน โดยใชค๎ าํ เฉลีย่ และสวํ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน .2วิเคราะห๑ความพึงพอใจของผ๎ูเรียนที่เรียนด๎วยการจัดการเรียนรู๎แบบผสมผสาน เพื่อ เสรมิ สรา๎ งทกั ษะการเรียนรแ๎ู ละนวตั กรรมในศตวรรษท่ี 21 โดยใชค๎ ําเฉล่ยี และสวํ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน สรปุ ผลการวจิ ยั และอภปิ รายผล 1. การจัดการเรียนรูแ๎ บบผสมผสาน สาหรับรายวชิ าคณติ ศาสตร๑เพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพชีวิตที่พัฒนาได๎ใน ครั้งน้ี ประกอบด๎วย กิจกรรมการเรียนร๎ูที่หลากหลายวิธี ได๎แกํ บรรยาย อภิปรายกลุํม ในชั้นเรียนทุกเน้ือหา โดยมกี จิ กรรมอืน่ เพ่มิ เตมิ เชนํ 1) การเรียนโดยใช๎กรณีศึกษา จานวน 4 หัวข๎อคิดเป็นร๎อยละ 27 ของเนื้อหา 2) การสร๎างสรรคช๑ น้ิ งานวดี ทิ ศั น๑ พรอ๎ มทง้ั อัพโหลดข้ึนบน YouTube จานวน 3 หัวข๎อ คิดเปน็ ร๎อยละ 20 ของ เนอ้ื หา 3) การเรยี นร๎ูโดยโครงงาน จานวน 1 หัวข๎อคิดเป็นร๎อยละ 6 ของเนื้อหา 4) การมอบหมายงานเป็น รายบุคคลโดยให๎ผ๎ูเรียนศึกษาค๎นคว๎าด๎วยตนเอง (self-directed learning) จากเอกสาร ตาราที่เก่ียวข๎อง รวมท้ังการใช๎ระบบเครือขํายค๎นคว๎าและทาแบบฝึกหัดท๎ายบทสํง จานวน 4 หัวข๎อคิดเป็นร๎อยละ 27 ของ เนื้อหา และ 5)การใช๎หนังสืออิเล็กทรอนิกส๑ส่ือมัลติมีเดีย (e-Book) จานวน 3 หัวข๎อคิดเป็นร๎อยละ 20 ของ เนื้อหา ท้งั น้กี ารสอนแบบบรรยาย และการอภิปรายเปน็ การเรียนรแู๎ บบเผชญิ หน๎าในชั้นเรียน สาหรับเน้ือหา ทุกหัวข๎อ (15 หัวข๎อ) จะถูกจัดทาให๎อยูํในรูปของ Microsoft Power Point และอัพโหลดข้ึนไว๎ใน Google Classroom ซ่ึงเป็นสํวนหน่ึงของบริการ Google Apps for Education บริการ Google Classroom เป็น เครื่องมือท่ีชวํ ยอานวยความสะดวกดา๎ นการศกึ ษาถกู ออกแบบมาเพื่อให๎ผส๎ู อนมีเวลาท่ีติดตํอสื่อสารกับผ๎ูเรียน มากขน้ึ ในขณะเดยี วกันผ๎ูเรียนก็มีเวลาค๎นหาข๎อมูลเพื่อการเรียนรู๎มากข้ึนด๎วยเชํนกัน การใช๎งานหลัก ๆ ของ Google Classroom ในงานวิจยั ในครง้ั นี้มีดังนี้ 1) สร๎างและเกบ็ ข๎อมูลการเรียนโดยใช๎ Google Docs , Drive และ Gmail โดยผูส๎ อนสามารถตรวจข๎อมูลการเรยี นได๎ตลอดเวลา 2) ใช๎เปน็ ชํองทางการสื่อสารระหวํางผ๎ูสอน และผเ๎ู รียน ชํวยให๎สามารถให๎คาแนะนาแกํผ๎ูเรียนได๎ตลอดเวลาแม๎จะไมํได๎อยูํในห๎องเรียน 3) ใช๎จัดหมวดหมํู การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 416

โฟลเดอร๑เก็บข๎อมูลของผู๎เรียนแตํละคนและผู๎เรียนแตํละคนก็สามารถใช๎ข๎อมูลได๎อยํางงํายดาย 4) ตั้งโจทย๑ มอบหมายงานให๎ผ๎ูเรียนทา โดยแนบไฟล๑และกาหนดวันสํงงาน และดูจานวนผู๎เรียนที่สํงงานหรือไมํสํงงาน ภายในกาหนด และ 5) ตรวจงานของผูเ๎ รียนแตํละคน พรอ๎ มทั้งใหค๎ ะแนนและคาแนะนา 2. ผลการเปรียบเทียบคะแนนทักษะการเรียนร๎ูและนวัตกรรมในศตวรรษที่ กํอนและหลังการ 21 จดั การเรียนร๎ูแบบผสมผสานของผ๎ูเรียนรายวิชาคณิตศาสตร๑เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยผ๎ูเรียน จาแนกตาม รายการประเมิน หลังเรยี นมีคําเฉลี่ยสูงกวํากํอนเรียนทุกรายการ โดยภาพรวม กํอนเรียนผู๎เรียนมีทักษะการ เรยี นรูแ๎ ละนวตั กรรมในศตวรรษท่ี อยใํู นระดับปานกลาง 21(µ = 2.66,  = 0.84) หลังเรียนผู๎เรียนมีทักษะ การเรียนรแู๎ ละนวัตกรรมในศตวรรษท่ี อยใํู นระดับมาก 21 (µ = 4.47,  = 0.52) ดงั แสดงในตารางที่ 2 ตารางที่ 2 การประเมินทักษะการเรียนร๎ูและนวัตกรรมในศตวรรษที่ ของผ๎ูเรียนที่เรียนด๎วยการจัดการ 21 เรียนรแู๎ บบผสมผสานในรายวชิ าคณิตศาสตร๑เพอ่ื พัฒนาคุณภาพชีวติ โดยผ๎เู รียน กอํ นเรียน และหลังเรยี น คะแนนเฉลี่ย ทกั ษะการเรียนรแู้ ละนวตั กรรม คา่ เฉล่ีย ก่อนเรียน ระดับ คา่ เฉล่ีย หลังเรยี น ระดบั (Learning and innovation Skills) (µ) สว่ นเบ่ียงเบน (µ) สว่ นเบ่ียงเบน มากทส่ี ดุ มากท่ีสดุ 1. Creativity and innovation 2.71 มาตรฐาน ปานกลาง 4.53 มาตรฐาน มากท่ีสุด (ความคิดสร้างสรรค์และนวตั กรรม) ( ) ( ) 0.83 0.50 มากท่ีสุด 1.1 Use a wide range of idea creation techniques. (such as 3.00 0.71 ปานกลาง 4.80 0.45 มากท่ีสดุ brainstorming) (ใชเ๎ ทคนคิ การสรา๎ ง มาก ความคดิ ทหี่ ลากหลาย เชํน ระดมสมอง) 2.20 0.84 น๎อย 4.60 0.55 1.2 Create new and worthwhile 2.40 0.89 น๎อย 4.80 0.45 ideas. (สรา๎ งความคดิ ใหมแํ ละมีคุณคาํ ) 3.00 1.00 ปานกลาง 4.60 0.55 1.3 Elaborate, refine, analyze and 2.80 0.84 ปานกลาง 4.40 0.55 evaluate their own ideas in order to improve and maximize creative efforts. (วเิ คราะห๑ ประเมนิ ปรบั และ ขยายความคิด ของตนเองเพื่อตอบสนอง ความพยายามในการสรา๎ งสรรค๑) 1.4 Develop, implement and communicate new ideas to others effectively. (พัฒนา ใช๎ และสอื่ สาร ความคดิ ใหมํให๎ผ๎ูอ่ืนรอ๎ู ยาํ งสรา๎ งสรรค๑) 1.5 Be open and responsive to การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 417

คะแนนเฉลยี่ ทักษะการเรยี นรู้และนวตั กรรม คา่ เฉล่ีย ก่อนเรียน ระดบั คา่ เฉล่ีย หลงั เรยี น ระดบั (Learning and innovation Skills) (µ) สว่ นเบ่ยี งเบน (µ) ส่วนเบี่ยงเบน มาก new and diverse perspectives; 2.40 มาตรฐาน น๎อย 4.20 มาตรฐาน incorporate group input and ( ) ( ) มากท่ีสดุ feedback into the work. (เปิดรบั มมุ มอง 2.40 น๎อย 4.60 มาก ท่ีใหมํและความหลากหลาย และ รวม 1.41 0.45 มาก ข๎อเสนอจากกลํมุ และข๎อมูลย๎อนกลับไวใ๎ น 3.00 ปานกลาง 4.20 มาก งานทที่ า) 2.71 0.55 ปานกลาง 4.44 0.55 2.00 1.6 Demonstrate originality and 0.71 น๎อย 4.20 0.45 inventiveness in work and 0.78 0.51 understand the real world limits to 0.71 0.45 adopting new ideas. (แสดงความเปน็ ตน๎ ฉบบั และนวตั กรรมในงานทีท่ า และ เขา๎ ใจข๎อจากดั ในการรบั แนวคิดใหมํ) 1.7 View failure as an opportunity to learn; understand that creativity and innovation is a long-term, cyclical process of small successes and frequent mistakes. (มองความ ลม๎ เหลวคือโอกาสในการเรยี นร๎ู เข๎าใจวํา ความคิดสรา๎ งสรรค๑และจินตนาการเป็น กระบวนการระยะยาวทีเ่ กดิ จากความสาเรจ็ และความล๎มเหลวยํอย ๆ ระหวาํ งทางใช๎ นวตั กรรม) 1.8 Act on creative ideas to make a tangible and useful contribution to the field in which the innovation will occur. (ตอํ ยอดความคิดสร๎างสรรค๑เพอ่ื ใช๎ ประโยชน๑ในการสร๎างนวตั กรรม) 2. Critical thinking and problem solving (การคิดเชิงวิพากษแ์ ละการ แกป้ ัญหา) 2.1 Use various types of reasoning (inductive, deductive, etc.) as appropriate to the situation. (มีการใช๎ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 418

คะแนนเฉลย่ี ทักษะการเรยี นรแู้ ละนวตั กรรม คา่ เฉล่ีย ก่อนเรียน ระดบั คา่ เฉล่ีย หลงั เรยี น ระดับ (Learning and innovation Skills) (µ) ส่วนเบี่ยงเบน (µ) ส่วนเบยี่ งเบน มาก เหตุผลหลายชนิดที่เหมาะสมตํอสถานการณ๑ 2.20 มาตรฐาน น๎อย 4.00 มาตรฐาน เชนํ นิรนัย อปุ นัย) ( ) ( ) มากท่ีสดุ 2.40 น๎อย 4.80 มาก 2.2 Analyze how parts of a whole 3.20 0.84 ปานกลาง 4.40 0.71 มาก interact with each other to produce 2.80 ปานกลาง 4.20 มาก overall outcomes in complex 3.00 0.55 ปานกลาง 4.40 0.45 systems. (วิเคราะหไ๑ ด๎วํา ในระบบที่ 2.80 ปานกลาง 4.80 มากท่ีสุด ซบั ซอ๎ น แตลํ ะสวํ นยํอยในภาพใหญมํ ี 3.20 0.84 ปานกลาง 4.80 0.55 มากที่สุด ปฏิสมั พนั ธต๑ ํอกันอยํางไร และสงํ ผลตํอภาพ ใหญอํ ยาํ งไร) 0.84 0.45 2.3 Effectively analyze and 0.71 0.55 evaluate evidence, arguments, 0.84 0.45 claims and beliefs. (วเิ คราะหแ๑ ละ 0.84 0.45 ประเมนิ ประจักษพ๑ ยาน ข๎อโต๎แยง๎ ขอ๎ กลําว อา๎ ง และความเช่ืออยาํ งมีประสิทธภิ าพ) 2.4 Analyze and evaluate major alternative points of view. (วิเคราะห๑ และประเมนิ มุมมองและทางเลอื กตาํ ง ๆ อยํางมีประสทิ ธภิ าพ) 2.5 Synthesize and make connections between information and arguments. (สังเคราะหแ๑ ละสร๎าง ความเชื่อมโยงระหวํางสารสนเทศและขอ๎ โตแ๎ ย๎ง) 2.6 Interpret information and draw conclusions based on the best analysis. (ตคี วามสารสนเทศและลงข๎อสรุป บนฐานของการวิเคราะหท๑ ่ีดีที่สุด) 2.7 Reflect critically on learning experiences and processes. (สะท๎อน ความคดิ อยาํ งวพิ ากษต๑ อํ ประสบการณ๑และ กระบวนการเรียนร๎ู) 2.8 Solve different kinds of non- familiar problems in both การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 419

คะแนนเฉลีย่ ทักษะการเรยี นรู้และนวัตกรรม ค่าเฉลี่ย ก่อนเรยี น ระดบั ค่าเฉล่ีย หลงั เรียน ระดับ (Learning and innovation Skills) (µ) สว่ นเบี่ยงเบน (µ) สว่ นเบีย่ งเบน มาก conventional and innovative ways. 2.80 มาตรฐาน ปานกลาง 4.40 มาตรฐาน มาก (แก๎ปญ๓ หาทไ่ี มํค๎นุ เคยด๎วยวธิ ีการที่ 2.56 ( ) ปานกลาง 4.36 ( ) มาก หลากหลายทั้งแบบด้งั เดิมและแบบใหมํ) 2.60 ปานกลาง 4.20 0.84 0.55 มากที่สุด 2.9 Identify and ask significant 2.40 0.92 นอ๎ ย 4.60 0.54 มาก questions that clarify various points 2.60 1.34 น๎อย 4.20 0.45 of view and lead to better solutions. 2.20 น๎อย 4.60 มากท่ีสุด (ถามคาถามท่ีมคี วามสาคัญเพอ่ื สร๎างความ 0.55 0.55 กระจาํ งและนาไปสํูคาตอบทดี่ ีกวําเดมิ ) 3. Communication (การสื่อสาร) 0.89 0.45 3.1 Articulate thoughts and ideas 1.10 0.55 effectively using oral, written and nonverbal communication skills in a variety of forms and contexts. (แสดง ความคดิ อยํางมีประสทิ ธภิ าพด๎วยทักษะการ สอ่ื สารทางวัจนภาษาและอวัจนภาษา ภายใต๎รปู แบบและบรบิ ทที่หลากหลาย) 3.2 Listen effectively to decipher meaning, including knowledge, values, attitudes and intentions. (ฟ๓ง อยํางมีประสทิ ธิภาพเพื่อทาความเข๎าใจ ความหมาย ความรู๎ คาํ นิยม เจตคติ และ เจตนา) 3.3 Use communication for a range of purposes. (e.g. to inform, instruct, motivate and persuade) (สอ่ื สารเพอื่ วัตถุประสงคท๑ ี่แตกตํางกันได๎ เชนํ ใหข๎ ๎อมลู สอน สรา๎ งแรงจงู ใจ ชกั จูงให๎คล๎อยตาม) 3.4 Utilize multiple media and technologies, and know how to judge their effectiveness a priori as well as assess their impact. (ใช๎สื่อและ เทคโนโลยีทหี่ ลากหลาย และสามารถ ประเมนิ ประสิทธิภาพและผลกระทบของ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 420

คะแนนเฉลี่ย ทกั ษะการเรยี นรู้และนวัตกรรม คา่ เฉล่ีย ก่อนเรยี น ระดับ ค่าเฉลี่ย หลังเรยี น ระดับ (Learning and innovation Skills) (µ) สว่ นเบ่ียงเบน (µ) ส่วนเบยี่ งเบน มาก มากท่ีสดุ ส่ือและเทคโนโลยที ่ีเลือกใช๎ได๎) 3.00 มาตรฐาน ปานกลาง 4.20 มาตรฐาน มากที่สดุ 3.5 Communicate effectively in 2.67 ( ) ปานกลาง 4.60 ( ) 2.80 ปานกลาง 4.60 มากที่สุด diverse environments. (including 0.71 0.84 multi-lingual) (สื่อสารอยํางมี 2.40 0.94 น๎อย 4.60 0.55 มากท่ีสดุ ประสทิ ธิภาพในสง่ิ แวดล๎อมทีห่ ลากหลายได๎ 0.84 0.55 มาก มากกวํา 1 ภาษา) 2.80 ปานกลาง 4.60 4. Collaboration (การรว่ มมอื ทางาน) 2.66 1.14 ปานกลาง 4.47 0.55 4.1 Demonstrate ability to work 0.84 0.55 effectively and respectfully with 0.84 0.52 diverse teams. (สามารถทางานกับทีมที่ หลากหลายอยาํ งมีประสิทธิภาพและให๎ ความนบั ถือตํอความหลากหลาย) 4.2 Exercise flexibility and willingness to be helpful in making necessary compromises to accomplish a common goal. (ยดื หยุํน และเต็มใจประนปี ระนอมเพ่อื ใหบ๎ รรลุ เปาู หมายของสวํ นรวม) 4.3 Assume shared responsibility for collaborative work, and value the individual contributions made by each team member. (รับผิดชอบตอํ งาน ที่ทาเปน็ ทมี และให๎คณุ คาํ ตํอการมีสํวนรํวม ของสมาชิกแตลํ ะคนในทีม) เฉลี่ย 3. ผลการประเมนิ ทกั ษะการเรยี นรแ๎ู ละนวตั กรรมในศตวรรษที่ ของผู๎เรียนทเ่ี รียนดว๎ ยการ 21 จัดการเรียนรู๎แบบผสมผสานในรายวิชาคณิตศาสตร๑เพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยผ๎ูสอน จาแนกตามรายการ ประเมนิ หลังเรยี นมีคาํ เฉล่ยี อยํูในระดบั มาก (µ = 4.30,  = 0.41) ดังแสดงในตารางที่ 3 การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 421

ตารางท่ี 3 การประเมินทักษะการเรียนรู๎และนวัตกรรมในศตวรรษที่ ของผู๎เรียนที่เรียนด๎วยการจัดการ 21 เรียนร๎ูแบบผสมผสานในรายวชิ าคณิตศาสตร๑เพ่อื พฒั นาคุณภาพชวี ติ โดยผ๎ูสอน ทักษะการเรียนรแู้ ละนวตั กรรม (Learning and innovation Skills) คา่ เฉลี่ย คะแนนเฉลีย่ ระดบั (µ) สว่ นเบยี่ งเบน มาก มากท่ีสดุ 1. Creativity and innovation (ความคดิ สร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรม) 4.48 มาตรฐาน มาก 1.1 Use a wide range of idea creation techniques. (such as 4.60 ( ) มาก 4.40 0.55 มาก brainstorming) (ใช๎เทคนคิ การสรา๎ งความคดิ ทหี่ ลากหลาย เชํน ระดมสมอง) 4.40 0.55 1.2 Create new and worthwhile ideas. (สร๎างความคิดใหมํและมีคณุ คาํ ) 4.40 0.55 มากที่สุด 1.3 Elaborate, refine, analyze and evaluate their own ideas in order 4.60 0.55 0.55 มาก to improve and maximize creative efforts. (วิเคราะห๑ ประเมนิ ปรบั และ 4.40 ขยายความคิด ของตนเองเพ่ือตอบสนองความพยายามในการสร๎างสรรค๑) 0.55 มากท่ีสดุ 4.60 1.4 Develop, implement and communicate new ideas to others 0.55 มาก effectively. (พัฒนา ใช๎ และสื่อสารความคดิ ใหมใํ ห๎ผูอ๎ ื่นร๎อู ยํางสร๎างสรรค๑) 4.40 มาก 4.42 0.55 มากท่ีสุด 1.5 Be open and responsive to new and diverse perspectives; 4.80 มาก incorporate group input and feedback into the work. (เปิดรับมุมมองท่ี 4.00 0.55 ใหมํและความหลากหลาย และ รวมข๎อเสนอจากกลมุํ และข๎อมูลย๎อนกลับไว๎ในงานท่ี 0.53 ทา) 0.45 0.71 1.6 Demonstrate originality and inventiveness in work and understand the real world limits to adopting new ideas. (แสดงความเป็น ตน๎ ฉบับ และนวัตกรรมในงานท่ีทา และเขา๎ ใจข๎อจากดั ในการรบั แนวคิดใหมํ) 1.7 View failure as an opportunity to learn; understand that creativity and innovation is a long-term, cyclical process of small successes and frequent mistakes. (มองความล๎มเหลวคอื โอกาสในการเรียนรู๎ เขา๎ ใจวํา ความคิดสรา๎ งสรรคแ๑ ละจินตนาการเป็นกระบวนการระยะยาวท่เี กดิ จาก ความสาเร็จและความล๎มเหลวยํอย ๆ ระหวํางทางใชน๎ วัตกรรม) 1.8 Act on creative ideas to make a tangible and useful contribution to the field in which the innovation will occur. (ตํอยอดความคิดสร๎างสรรค๑ เพอ่ื ใชป๎ ระโยชน๑ในการสรา๎ งนวัตกรรม) 2. Critical thinking and problem solving (การคดิ เชงิ วิพากษแ์ ละการ แก้ปญั หา) 2.1 Use various types of reasoning (inductive, deductive, etc.) as appropriate to the situation. (มีการใชเ๎ หตผุ ลหลายชนิดทเ่ี หมาะสมตํอ สถานการณ๑ เชนํ นิรนยั อุปนัย) 2.2 Analyze how parts of a whole interact with each other to produce overall outcomes in complex systems. (วิเคราะหไ๑ ด๎วํา ในระบบท่ี การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 422

ทักษะการเรยี นรแู้ ละนวัตกรรม (Learning and innovation Skills) ค่าเฉลี่ย คะแนนเฉลย่ี ระดับ (µ) สว่ นเบี่ยงเบน มากที่สดุ ซบั ซอ๎ น แตํละสวํ นยํอยในภาพใหญํมีปฏิสัมพนั ธต๑ ํอกันอยาํ งไร และสงํ ผลตอํ ภาพ 4.60 มาตรฐาน มาก ใหญอํ ยาํ งไร) 4.40 ( ) มาก 4.20 2.3 Effectively analyze and evaluate evidence, arguments, claims 4.60 0.55 มากที่สดุ and beliefs. (วเิ คราะห๑และประเมนิ ประจกั ษพ๑ ยาน ขอ๎ โตแ๎ ย๎งข๎อกลําวอา๎ ง และ 4.60 0.55 มากที่สุด ความเชื่ออยํางมปี ระสิทธิภาพ) 4.20 0.45 0.55 มาก 2.4 Analyze and evaluate major alternative points of view. (วิเคราะห๑ 4.40 0.55 มาก และประเมินมมุ มองและทางเลือกตาํ ง ๆ อยํางมีประสิทธิภาพ) 4.28 0.45 มาก 4.40 มาก 2.5 Synthesize and make connections between information and 0.55 arguments. (สังเคราะหแ๑ ละสร๎างความเชื่อมโยงระหวํางสารสนเทศและขอ๎ โตแ๎ ย๎ง) 4.20 0.57 มาก 0.55 มาก 2.6 Interpret information and draw conclusions based on the best 4.20 analysis. (ตีความสารสนเทศและลงข๎อสรปุ บนฐานของการวเิ คราะหท๑ ่ีดีท่สี ดุ ) 0.45 มาก 4.40 2.7 Reflect critically on learning experiences and processes. (สะทอ๎ น 0.45 ความคิดอยํางวิพากษ๑ตํอประสบการณ๑และกระบวนการเรียนร๎ู) 0.55 2.8 Solve different kinds of non-familiar problems in both conventional and innovative ways. (แก๎ปญ๓ หาที่ไมํค๎ุนเคยดว๎ ยวิธีการที่ หลากหลายท้งั แบบด้ังเดมิ และแบบใหมํ) 2.9 Identify and ask significant questions that clarify various points of view and lead to better solutions. (ถามคาถามทม่ี คี วามสาคัญเพ่ือสรา๎ งความ กระจํางและนาไปสูํคาตอบท่ดี ีกวําเดมิ ) 3. Communication (การสื่อสาร) 3.1 Articulate thoughts and ideas effectively using oral, written and nonverbal communication skills in a variety of forms and contexts. (แสดงความคดิ อยํางมีประสทิ ธิภาพด๎วยทกั ษะการสื่อสารทางวัจนภาษาและอวัจน ภาษาภายใตร๎ ูปแบบและบริบททีห่ ลากหลาย) 3.2 Listen effectively to decipher meaning, including knowledge, values, attitudes and intentions. (ฟ๓งอยาํ งมีประสทิ ธิภาพเพื่อทาความเข๎าใจ ความหมาย ความร๎ู คาํ นยิ ม เจตคติ และเจตนา) 3.3 Use communication for a range of purposes. (e.g. to inform, instruct, motivate and persuade) (สือ่ สารเพื่อวัตถปุ ระสงค๑ท่ีแตกตาํ งกันได๎ เชนํ ใหข๎ ๎อมลู สอน สร๎างแรงจงู ใจ ชกั จูงใหค๎ ล๎อยตาม) 3.4 Utilize multiple media and technologies, and know how to judge their effectiveness a priori as well as assess their impact. (ใชส๎ อื่ และเทคโนโลยที ห่ี ลากหลาย และสามารถประเมนิ ประสทิ ธภิ าพและผลกระทบของ ส่ือและเทคโนโลยที ่ีเลือกใช๎ได๎) การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 423

ทักษะการเรยี นรแู้ ละนวัตกรรม (Learning and innovation Skills) คา่ เฉล่ีย คะแนนเฉลี่ย ระดบั (µ) สว่ นเบย่ี งเบน มาก 3.5 Communicate effectively in diverse environments. (including 4.20 มาตรฐาน มาก multi-lingual) (สื่อสารอยาํ งมปี ระสทิ ธิภาพในสิ่งแวดล๎อมทห่ี ลากหลายไดม๎ ากกวํา 4.27 ( ) มาก 1 ภาษา) 4.40 0.84 4. Collaboration (การรว่ มมอื ทางาน) 0.37 มาก 4.44 0.55 4.1 Demonstrate ability to work effectively and respectfully with มาก diverse teams. (สามารถทางานกับทมี ท่ีหลากหลายอยํางมปี ระสทิ ธิภาพและให๎ 4.00 0.55 มาก ความนับถอื ตํอความหลากหลาย) 4.30 0.00 4.2 Exercise flexibility and willingness to be helpful in making 0.41 necessary compromises to accomplish a common goal. (ยดื หยํนุ และเตม็ ใจประนีประนอมเพ่ือให๎บรรลุเปูาหมายของสวํ นรวม) 4.3 Assume shared responsibility for collaborative work, and value the individual contributions made by each team member. (รบั ผดิ ชอบ ตอํ งานท่ที าเปน็ ทีม และใหค๎ ุณคาํ ตํอการมีสํวนรวํ มของสมาชกิ แตํละคนในทีม) เฉลี่ย จากตารางท่ี 2 และ 3 พบวํา คะแนนเฉล่ยี ทกั ษะการเรยี นรแู๎ ละนวัตกรรมในศตวรรษที่ ของผเู๎ รยี น 21 ท่ีเรียนด๎วยการจัดการเรียนร๎ูแบบผสมผสาน ในรายวิชาคณิตศาสตร๑เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยผ๎ูเรียนและ ผูส๎ อน จาแนกตามรายการประเมนิ หลังเรียนมีคําเฉล่ียอยูํในระดับมากที่สุด ท่ีเป็นเชํนน้ีอาจเป็นเพราะ การ จัดการเรียนรูแ๎ บบผสมผสาน เป็นการเรยี นรทู๎ ี่มกี ิจกรรมทห่ี ลากหลาย เชนํ กิจกรรมการสร๎างส่ือวีดิทัศน๑ เป็น กจิ กรรมทีผ่ เ๎ู รียนจะตอ๎ งเรียนรู๎และทาความเข๎าใจในเน้ือหาสาระ จากนัน้ วางแผนเขียนสคลิป และถํายทาเป็น ส่ือวีดิทัศน๑ แล๎วนาไปเผยแพรํทางยูทูป (YouTube) กิจกรรมดังกลําวผ๎ูสอนมอบหมายให๎ผู๎เรียนเรียนร๎ูเป็น จานวน 3 หวั ขอ๎ จงึ ทาให๎ผู๎เรียนได๎พัฒนาความคดิ สร๎างสรรค๑ การแก๎ป๓ญหา การทางานรํวมกันเป็นทีม และท่ี สาคัญผ๎ูเรยี นยังได๎ช้นิ งานทถ่ี ือเป็นนวัตกรรมของตนเองและมคี วามภาคภูมิใจในช้ินงาน สอดคล๎องกับงานวิจัย ของ สานวน คุณพล (2560) นอกจากนผี้ ๎เู รียนยังได๎ทาโครงงาน ซ่ึงเปน็ เร่ืองเกยี่ วกับสถานการณ๑การทํองเท่ียว ของประเทศตนเอง โดยให๎ใช๎ความร๎ูในรายวิชาคณิตศาสตร๑เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต มาใช๎ในการทาโครงงาน ผ๎ูเรยี นจะตอ๎ งคน๎ ควา๎ หาข๎อมลู จากทงั้ หนังสอื ตารา รวมถึงการค๎นควา๎ ข๎อมลู จากเว็บไซต๑ตําง ๆ งานช้นิ นี้ผ๎ูเรียน จะตอ๎ งใช๎ทักษะการเรียนร๎ูและนวัตกรรมในทุกด๎าน คือ 1) ทักษะการสร๎างสรรค๑และนวัตกรรม (Creativity and innovation) เพราะผเ๎ู รียนจะต๎องสร๎างเครื่องมือเพื่อใช๎ในการเก็บข๎อมูล และเตรียมนาเสนอ 2) ทักษะ ความคิดเชิงวิพากษ๑และการแก๎ป๓ญหา (Critical thinking and problem solving) เพราะเม่ือผ๎ูเรียนไปเก็บ ข๎อมูล จะไดข๎ ๎อมูลท่ีหลากหลายจาเป็นทจ่ี ะตอ๎ งพจิ ารณา วเิ คราะห๑ วิพากษ๑ ขอ๎ มูลที่ได๎มาอยาํ งรอบคอบเพื่อให๎ ได๎ผลตามจุดมํงุ หมาย 3) ทกั ษะการส่อื สาร (Communication) เพราะ ผูเ๎ รยี นจาเปน็ ตอ๎ งไปเก็บขอ๎ มลู อาจเปน็ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 424

การสัมภาษณ๑ หรือจะเป็นการแจกแบบสอบถาม ซ่ึงข๎อความท่ีใช๎จะต๎องถูกกลั่นกรองเพื่อใช๎ส่ือสารกับผ๎ูให๎ ขอ๎ มูลได๎อยํางถกู ต๎อง อีกทัง้ ผ๎ูเรยี นยังต๎องนาเสนอโครงงานของตนหน๎าชั้นเรียน ดังนั้นจึงต๎องเตรียมสื่อ และ ขัน้ ตอนวธิ ีการนาเสนอผลงาน และ 4) ทกั ษะความรวํ มมอื (Collaboration) เพราะผ๎เู รยี นจะได๎ทางานรํวมกับ เพอ่ื นท่ีมาจากคนละประเทศ ตํางภาษา ตาํ งวฒั นธรรม ผเ๎ู รียนจาเป็นต๎องเรียนรู๎ท่ีจะทางานรํวมกันให๎ประสบ ความสาเรจ็ ทกั ษะที่พัฒนาขน้ึ ทั้งหมดนเี้ กิดจากการเรยี นรท๎ู หี่ ลากหลายผสมผสานกนั ซงึ่ สอดคลอ๎ งกับงานวิจยั ของ สุสณั หา ยมิ้ แยม๎ และคณะ (2558) ทพ่ี บวาํ คะแนนเฉลยี่ ทักษะการเรียนร๎แู ละนวัตกรรมในศตวรรษที่ 21 อยใูํ นระดับมากหลังจากการจดั การเรียนรแู๎ บบผสมผสาน 4. ผลการประเมินความพึงพอใจตอํ การจัดการเรียนร๎ูแบบผสมผสาน พบวํา ผู๎เรียนระบุวํามีความพึง พอใจตอํ วธิ ีการจดั การเรียนรูแ๎ บบผสมผสานในระดับมากท่สี ดุ (µ = 4.82,  = 0.33) ดงั แสดงในตารางที่ 4 ตารางที่ 4 คะแนนเฉล่ียความพึงพอใจของผูเ้ รียนท่ีมตี ่อการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสาน ระดับความพึงพอใจ รายการประเมิน ค่าเฉล่ีย ส่วนเบย่ี งเบน ระดับ (µ) มาตรฐาน 1. Blended Learning activities are interactive. (การจดั การเรียนรู๎แบบ ( ) ผสมผสานเป็นกจิ กรรมแบบโต๎ตอบ) 2. Blended Learning has motivated to succeed. (การจดั การเรยี นรู๎แบบ 4.80 0.45 มากท่ีสดุ ผสมผสานมแี รงผลกั ดันสูํความสาเร็จ) 3. Blended Learning makes my Learning and innovation skills better. 4.80 0.45 มากท่ีสุด (การจัดการเรียนรแ๎ู บบผสมผสานทาใหท๎ ักษะการเรียนรู๎และนวัตกรรมของฉันดขี ึ้น) 4. Blended Learning method are useful and interesting. (การจดั การ 5.00 0.00 มากท่ีสดุ เรยี นร๎แู บบผสมผสานเป็นวธิ ีที่มปี ระโยชนแ๑ ละนําสนใจ) 5. Blended Learning enhances the interaction between teachers and 5.00 0.00 มากท่ีสุด students. (การจดั การเรยี นรู๎แบบผสมผสานชํวยเพม่ิ ปฏิสัมพันธร๑ ะหวาํ งผ๎ูสอนและ ผเู๎ รยี น) 5.00 0.00 มากที่สุด 6. Blended Learning tasks are clear. (การจดั การเรยี นรแ๎ู บบผสมผสานมคี วาม ชดั เจน) 4.60 0.55 มากท่ีสดุ 7. Blended Learning gives me enough time to do my tasks. (การจดั การ 4.80 0.45 มากที่สุด เรียนรู๎แบบผสมผสานชํวยใหฉ๎ ันมเี วลามากพอท่ีจะทางาน) 4.80 0.45 มากท่ีสุด 8. Blended Learning more convenient than face to face learning. (การ 4.60 0.55 มากที่สดุ จัดการเรียนรแ๎ู บบผสมผสานสะดวกกวาํ แบบประจันหน๎า) 4.80 0.45 มากที่สุด 9. Blended Learning helps me to understand about a subject. (การ จัดการเรยี นรู๎แบบผสมผสานชวํ ยให๎ฉันเข๎าใจเนื้อหา) 10. Blended Learning helps me to be able to apply learned in the การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 425

ระดบั ความพึงพอใจ รายการประเมิน คา่ เฉล่ีย สว่ นเบย่ี งเบน ระดบั (µ) มาตรฐาน future. (การจัดการเรยี นรู๎แบบผสมผสานชํวยให๎ฉันประยกุ ตก๑ ารเรียนรูไ๎ ด๎ใน ( ) อนาคต) 4.82 0.33 มากทส่ี ดุ เฉล่ีย จากตารางที่ 4 พบวํา คะแนนเฉล่ียความพึงพอใจของผเ๎ู รยี นที่มีตอํ การจดั การเรยี นร๎ูแบบผสมผสานใน ภาพรวมอยูํในระดับมากทสี่ ดุ (µ = 4.82,  = 0.33) ผลท่เี กิดข้ึนอาจเป็นเพราะผู๎เรียนได๎เรียนร๎ูและทบทวน บทเรียนได๎ทกุ ที่ทุกเวลาผาํ นแอปพลิเคชัน Classroom ทีส่ ามารถสอบถามปญ๓ หาหรอื ปรึกษากับผู๎สอนได๎โดย ไมตํ ๎องเผชิญหน๎า และสามารถศึกษาขอ๎ มูลเพิม่ เติมได๎จากเอกสารประกอบการสอนท่ีผู๎สอนอัพโหลดไว๎ในแอป พลิเคชนั ดงั กลําวได๎ทกุ เวลา ทกุ สถานท่ี นอกจากน้ีผสู๎ อนยงั ได๎ใช๎กิจกรรมทหี่ ลากหลายในการจดั การเรียนรแู๎ บบ ผสมผสานในคร้ังน้ี อาทิเชํน กรณีศึกษาเร่ือง The Travel & Tourism Competitiveness Report สาเหตุที่ ใช๎กรณีศึกษาเรื่องน้ี เน่ืองจากผู๎เรียนเป็นนักศึกษาในสาชาวิชา การจัดการงานบริการและการทํองเที่ยว (หลักสูตรนานาชาติ) ซ่ึงเป็นเร่ืองท่ีใกล๎ตัวผู๎เรียน จึงสํงผลให๎ผ๎ูเรียนมีความพึงพอใจ และสนใจที่จะเรียนร๎ู สอดคลอ๎ งกับงานวิจัยของ Mohammed Mohammed Nasser Hassan Ja’ashan (2015) สุสัณหา ย้มิ แยม๎ และคณะ (2558) และ พลอยไพลิน ศรีอา่ ดี (2556) ที่พบวํา ผเู๎ รยี นมีความพงึ พอใจตํอการจัดการเรียนรู๎แบบ ผสมผสานอยใูํ นระดับมาก ถึงมากทีส่ ดุ ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจยั ไปใช้ 1. การจัดการเรียนร๎ูแบบผสมผสานท่ีผ๎ูวิจัยพัฒนาข้ึนมาในรายวิชาคณิตศาสตร๑เพื่อพัฒนา คุณภาพชีวติ หากจะนาไปประยกุ ต๑ใชค๎ วรคานงึ ถึงบรบิ ทของผเู๎ รียน และลักษณะของรายวิชา 2. ผู๎สอนท่ีจะนาการจัดการเรียนร๎ูแบบผสมผสานที่ผ๎ูวิจัยพัฒนาข้ึน ไปประยุกต๑ใช๎ ผ๎ูสอน จาเป็นต๎องมีความเขา๎ ใจหลกั ในการจัดการเรียนรู๎แบบผสมผสาน เป็นผ๎ูท่ีมีความรู๎ในการใช๎ระบบสารสนเทศ และแอปพลเิ คชนั่ ด๎านการศึกษา เชนํ แอปพลิเคชัน Classroom เปน็ ตน๎ ขอ้ เสนอแนะเพอ่ื การวิจยั ตอ่ ไป 1. ควรนาการจัดการเรียนร๎ูแบบผสมผสาน ไปประยุกต๑ใช๎ในรายวิชาอ่ืน ๆ เพ่ือชํวยพัฒนา ทกั ษะการเรียนรแู๎ ละนวัตกรรมในศตวรรษท่ี 21 2. ควรนาการจดั การเรียนร๎ูแบบผสมผสาน เพ่ือพัฒนาทักษะการเรียนร๎ูในศตวรรษที่ 21 ใน กลุํมทักษะอื่น ๆ เชํน กลํุมวิชาหลัก (Key Subjects) กลํุมทักษะชีวิตและอาชีพ (Life and Career Skills) และกลํมุ ทักษะสารสนเทศ ส่อื และเทคโนโลยี (Information, Media and Technology Skills) เปน็ ตน๎ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 426

3. ควรคิดคน๎ การจดั การเรียนรูท๎ ี่ทาให๎ผ๎ูเรยี นเกิดทักษะด๎านความรับผิดชอบตํองานท่ีทาเป็น ทมี และให๎คณุ คาํ ตํอการมสี ํวนรวํ มของสมาชิกแตลํ ะคนในทีม และ ทาให๎ผ๎ูเรียนสามารถวิเคราะห๑ ในระบบท่ี ซับซอ๎ น แตํละสวํ นยํอยในภาพใหญํวาํ มีปฏสิ ัมพันธ๑ตํอกันอยาํ งไร และสํงผลตอํ ภาพใหญํอยํางไร เปน็ ต๎น กิตติกรรมประกาศ ผูว๎ จิ ยั ขอกราบขอบพระคุณ รศ.ดร.รจุ า ผลสวัสดิ์ รองอธกิ ารบดีฝาุ ยวชิ าการ วิทยาลยั เทคโนโลยีสยาม และ ดร.สพุ ัตรา ประดับพงษ๑ ผช๎ู ํวยรองอธกิ ารบดฝี ุายวิชาการ วทิ ยาลัยเทคโนโลยีสยามเป็นอยํางสูงท่ีคอยให๎ คาปรึกษา และแนะนาแนวทางในการทาวิจยั ในครัง้ น้ี และขอขอบคุณนกั ศึกษาทไ่ี ดใ๎ ห๎เวลาเข๎ารํวมกจิ กรรมการ เรียนรท๎ู ก่ี าหนดในงานวจิ ยั นี้ เอกสารอา้ งองิ ปณิตา วรรณพริ ุณ. (2553). รายงานวจิ ยั เรื่องการพัฒนารูปแบบการเรียนแบบผสมผสานโดยใชเ้ คร่ืองมอื ทางปัญญาเพื่อพฒั นาทกั ษะการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกลา๎ พระนครเหนือ. พลอยไพลิน ศรีอา่ ดี. (2556). ผลการจดั การเรยี นรู๎แบบผสมผสานดว๎ ยกิจกรรมการเรยี นแบบแก๎ป๓ญหาวิชา เทคโนโลยสี ารสนเทศ 2 ทม่ี ีตํอความสามารถในการแกป๎ ญ๓ หาและผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสิรินธรราชวิทยาลัย. วารสารวิชาการ Veridian E-Journal. 6(2) : 582-596. สสุ ณั หา ยม้ิ แยม๎ และคณะ. (2558). การพฒั นาการจัดการเรียนรู๎แบบผสมผสาน เพอ่ื พัฒนาทกั ษะการเรยี นร๎ู ในศตวรรษท่ี 21. พยาบาลสาร. 42(พิเศษ) : 129-140. สานวน คณุ พล. (2560). “การจัดการเรยี นรู๎วชิ าคณติ ศาสตรต๑ ามทฤษฎีการสร๎างความรู๎ดว๎ ยตนเองโดยการ สรา๎ งสรรคช๑ ้นิ งานวีดทิ ศั น๑ สาหรบั นกั เรียนระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นสาธติ แหํง มหาวทิ ยาลยั รังสิต.” เอกสารนาเสนองานวจิ ยั ทางการศึกษา การประชุมทางวชิ าการ ครง้ั ท่ี 7 คณะศึกษาศาสตรม์ หาวิทยาลัยรงั สติ . 26 กมุ ภาพันธ๑ 2560, 75 – 89. อดุลย๑ วังศรคี ณู . (2557). “การศึกษาไทยในศตวรรษท่ี 21 : ผลผลิตและแนวทางการพัฒนา.” วารสาร มนษุ ยศาสตรแ์ ละสังคมศาสตร์ บัณฑติ วิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พบิ ลู สงคราม. 8(1) : 1-17. Allen and Seaman. (2005). Blended learning. [ออนไลน]๑ . เขา๎ ถึงไดจ๎ าก : https://nipatanoy. wordpress.com/blended-learning. เขา๎ ถึงเม่อื 15 ม.ค. 2561. Mohammed Mohammed Nasser Hassan Ja’ashan. (2015). “Perceptions and Attitudes towards Blended Learning for English Courses: A Case Study of Students at University of Bisha.” English Language Teaching. 8(9) : 40-50. The partnership of 21st Century Learning. (2009). P21 Framework Definitions. [ออนไลน๑]. เข๎าถึง ได๎จาก : www.p21.org/storage/documents/P21_Framework_Definitions.pdf. เข๎าถงึ เม่อื 15 ม.ค. 2561. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 427

การบริหารสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานครส่สู ังคมคุณธรรม Educational Administration of the Private Higher Educational Institution in Bangkok MetropolitanToward to Moral Society รองศาสตราจารย๑ ดร. โกสมุ สายใจ สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา คณะศลิ ปศาสตร๑ มหาวิทยาลยั ราชพฤกษ๑ กาkรoบsoรoิหmารdกuาsรitศ@ึกhotmail.com บทคัดยอ่ การวิจัยคร้ังนี้มีวัตถุประสงค๑เพื่อ ศึกษา เปรียบเทียบ การบริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนใน กรุงเทพมหานคร สํูสังคมคุณธรรม และหาแนวทางการสํงเสริมความเป็นสังคมคุณธรรมธรรมในมหาวิทยาลัย เอกชนในกรงุ เทพมหานคร กลํมุ ตวั อยาํ งเป็นอาจารย๑และบุคลากรสนับสนุนที่ปฏิบัติงานอยูํในสถาบันอุดมศึกษา เอกชนในกรุงเทพมหานครจานวน 316ตัวอยําง ใช๎แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ๑ เป็นเคร่ืองมือในการเก็บ รวบรวมขอ๎ มลู แล๎ววิเคราะห๑ข๎อมูลโดยใช๎สถิติร๎อยละ คําเฉล่ีย สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห๑ความ แปรปรวนทางเดยี ว ผลการวิจัยพบวํา 1. การบริหารสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานครสูํสงั คมคุณธรรม โดยภาพรวมและรายด๎านมีการ บริหารอยใํู นระดับมาก เรียงลาดับตามคาํ เฉลย่ี ได๎ดังน้ี หลักการรบั ผิดชอบ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรมจริยธรรม หลักการมสี วํ นรวํ ม หลักความโปรํงใส หลักจิตสาธารณะ หลักความค๎ุมคํา หลักความสามัคคี 2.การเปรียบเทียบความคดิ เหน็ ของอาจารยแ๑ ละบคุ ลากรสนบั สนุนท่ีมอี ายุ วฒุ ิการศกึ ษา ประสบการณก๑ าร ทางาน แตกตํางกันมคี วามคดิ เหน็ ตอํ การบริหารสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนสํูสงั คมคณุ ธรรมไมแํ ตกตํางกัน 3. แนวทางการสงํ เสรมิ การบรหิ ารสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนสูสํ งั คมคณุ ธรรม ได๎แกํ 1) การเปดิ โอกาสใหท๎ กุ คนมีสํวนรํวมในการวางแผนงาน 2) ควรจัดทาคูํมือการปฏิบัติงานเพื่อให๎มีความชัดเจนในทางปฏิบัติ 3) ควร การสร๎างบรรยากาศสงํ เสริมความภาคภูมใิ จในการปฏิบัติงานอยํางสม่าเสมอ 4) ควรจัดกิจกรรมสํงเสริมการ ทางานรวํ มกนั ทีม 5) ควรสนบั สนนุ ให๎บุคลากรมคี วามพรอ๎ มที่จะรับการประเมนิ ไดท๎ ุกรูปแบบ 6) ควรเสริมแรง โดยการให๎กาลงั ใจ รางวัล การยกยอํ ง ประกาศเกียรติคุณตอํ สาธารณะชน 7) ผู๎บริหาร หัวหน๎าหนํวยงานควร ทาตนให๎เป็นแบบอยํางท่ดี ใี นการใชข๎ องอยาํ งคม๎ุ คํา 8) ควรจดั ประชมุ ฝึกอบรมให๎เหน็ คุณคาํ ของความสามัคคีที่ ทาใหเ๎ กิดพลังรวํ มกันทาโครงการ/กจิ กรรมของสถาบันใหบ๎ รรลผุ ลสาเร็จ คาสาคัญ:การบริหารการศึกษา สถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนสงั คมคณุ ธรรม การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 428

ABSTRACT This research aimed to study and to compare the educational administration of the private higher educational institution in Bangkok Metropolitantoward to moral society, and to present the way to develop the educational administration of the private higher educational institution toward to moral society. The 316 research sample groups were instructors and support personal. Data was gathered by questionnaires and analyzed by using frequency, percentage, mean, standard deviation, and One-way ANOVA. The result showed that 1) Overall of the educational administration of the private higher educational institution in Bangkok Metropolitan toward to moral society was at a high level Sorting by mean was as follows: the rule of accountability, law, ethic and moral, participation, transparency, public mind. value for money, and unity. 2) The result of the comparison was no significant different in the opinion of the instructors and support personal to the educational administration of the private higher educational institution in Bangkok Metropolitan toward to moral society. 3) The way to develop the educational administration of the private higher educational institution toward to moral societywere:1) It should be an opportunity for everyone to participate in the planning.2) A clear operation manual should be prepared for performance3) Should create an atmosphere that promotes pride to keep doing well.4) It should promote team collaboration.5) It should encourage the personnel to be ready for assessing in all forms.6) It should be strengthened by encouraging the Public Honor Award.7)The administrator and head of department should be role model in Resourceful use.8) Recognizing of the value of unity to have the power for working together toward to the institute's project successful. Keyword : Educational administration, Private Higher Educational Institution, Moral Society บทนา การศึกษาในประเทศไทยมีทัง้ ระดบั อนบุ าล พน้ื ฐานการศึกษา อาชีวศึกษา และอดุ มศกึ ษาซึ่งสํวนใหญํ มีจดั การศึกษาในสถาบนั อุดมศกึ ษาซึง่ แบงํ ออกเป็นสถาบันอดุ มศกึ ษาของรฐั บาลทีเ่ รียกวํา มหาวิทยาลัยของรัฐ กับมหาวิทยาลัยเอกชน ตามพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546แกไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2550 หมวด 1นอกจากนี้มาตรา 8 และ 9ยังกลาํ วถึงสถาบนั อุดมศึกษาเอกชนวําเปนสถานศึกษาและวิจัย ท่ีมีวตั ถุประสงค๑ในการใหการศกึ ษาสงเสรมิ วิชาการและวชิ าชพี ชั้นสูง ทาการสอน วจิ ัยใหบรกิ ารทางวิชาการแก สงั คม และทานุบารงุ ศลิ ปะและวฒั นธรรมของชาติโดยสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนมีสามประเภท คอื มหาวิทยาลยั สถาบันและวิทยาลัยมีลกั ษณะเปนไปตามท่ีกาหนดในกฎกระทรวง(พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 429

พ.ศ. 2546แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550) สถาบันอุดมศึกษาเหลําน้ีจะมีรูปแบบการบริหารจัดการ แตกตํางกัน แตกํ ็มงุ ไปสกํู ารบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคเ๑ หมอื นกัน ดงั ท่ี เสนาะ ติเยาว๑ (2548:6) สมานอัศวภูมิ (2549: 86) และ สนธยาแพํงศรีสาร (2549: 1) กลําววาํ การบรหิ ารงานองคก๑ ร เป็นการรํวมกันทางานให๎สาเร็จบรรลุ วัตถุประสงค๑ โดยมีผ๎บู ริหาร ประสานการทางานกับบคุ ลากรมกี ารกากับ ดแู ล ให๎บุคลากรทุกระดับปฏิบัติงาน ตามแผนงานที่กาหนดไว๎โดยใช๎กระบวนการท้ังศาสตร๑และศิลป์ที่จะทาให๎งานสาเร็จ รวมท้ังร๎ูจักการใช๎ ทรัพยากรใหเ๎ กดิ ประโยชน๑สงู สดุ ด๎วย โดยเฉพาะอยาํ งยิง่ การบรหิ ารสถาบันอดุ มศกึ ษาซึ่งเป็นการบรหิ ารในแบบ ของนิติบุคคล มีการการกระจายอานาจการวางแผนงาน/โครงการตามพันธกิจอุดมศึกษาทั้งการบริหาร กระบวนการผลติ บัณฑิตเพ่ือสํงเสริมการเรียนรู๎ตามท่ีหลักสูตรกาหนดการบริหารงานงานวิจัย การจัดหาทุน การพัฒนาทักษะการวิจัยรวมท้ังการเผยแพรํผลงานวิจัยการบริหารงบประมาณการบริหารงานบุคคลการ บริหารบรกิ ารวิชาการแกํสังคม และการทานบุ ารุงศลิ ปะและวัฒนธรรม โดยมีการประสานงานรํวมมือกันของ อาจารย๑และบคุ ลากรสนับสนนุ ทงั้ ภายในและภายนอกสถาบันเพอ่ื ให๎การศกึ ษามีประสทิ ธิภาพมากย่งิ ข้นึ การบริหารสถาบนั อดุ มศึกษาเปน็ การทางานกบั คนซ่งึ แตลํ ะคนมปี ระสบการณ๑ ความร๎ู ความคิด ความ ตอ๎ งการแตกตาํ งกนั ทาให๎เกิดป๓ญหาตาํ งๆท่สี ํงผลกระทบตํอสถาบันโดยรวม ท้ังป๓ญหาที่เกี่ยวกับการได๎มาซ่ึง ผบ๎ู รหิ ารระดับสูงของสถาบัน เชนํ การสรรหาอธกิ ารบดี และการไดม๎ าของกรรมการสภามหาวทิ ยาลัยสํงผลให๎ การบรหิ ารงานของสถาบันอดุ มศกึ ษาสบสน ติดขดั ไมํคลํองตวั (มติชนรายวนั 2556) เกดิ การรอ๎ งเรียนเก่ียวกบั ความไมํโปรํงใสในการบริหารจัดการโครงการและกิจกรรมตํางๆ โดยเฉพาะการคอรัปช่ัน ขาดความเป็นธรรม ความเสมอภาคในการพิจารณาสนับสนุนให๎คุณและการลงโทษโดยเฉพาะอยํางย่ิงคณาจารย๑และบุคลากร สนับสนนุ ยงั มองถงึ ผลประโยชน๑และความคงอยขูํ องตน พรรคพวก ขาดจิตสานึกเชงิ คณุ ธรรมจรยิ ธรรม รวมไป ถึงการบริหารงานท่ีละเลยเรื่องของการใช๎หลักธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษาสํงผลให๎เกิดป๓ญหาความ ขดั แยง๎ ในหมํคู ณาจารย๑ บางสถาบนั มีความรุนแรงถึงการทาลายฝุายตรงขา๎ มทั้งทบี่ คุ ลากรเหลําน้ันมีการศึกษา อยํูระดับสูง ป๓ญหาเหลํานี้สํงผลให๎เกิดความเสียหายทาง ด๎านบุคลากร และการขับเคลื่อนงาน/โครงการสํู เปาู หมายที่กาหนดไว๎ จากป๓ญหาทเ่ี กิดข้นึ ดังกลําวผมู๎ ีหนา๎ ที่เกีย่ วข๎องไดพ๎ ยายามหาทางแก๎ไขทง้ั ในระดับบคุ คล กลมํุ คน และ ระดับสังคมในสถาบันอุดมศึกษา ซ่ึงพิชัย ผกากอง (2547:10) และปราณี เกษมสันต๑ (2550) ได๎กลําวโดย สรปุ วํา สังคมในมหาวิทยาลัยเปน็ ทรี่ วมของกลํมุ คนผ๎มู ที ักษะความรูใ๎ นดา๎ นตํางๆอาศัยอยํูรวมกันเปน็ ระยะเวลา ยาวนานอยํางตํอเนอ่ื ง ในบรเิ วณสถาบันอดุ มศกึ ษาท่ีมีอาณาเขตทช่ี ัดเจน มีกฎเกณฑ๑ ระเบียบแบบแผน ความ เช่ือถอื ท่สี าคญั รวํ มกนั มคี วามสัมพันธ๑ระหวาํ งบคุ คล และระหวํางบคุ คลกับกลุํมสังคม จงึ มีการคดิ หลักการหรือ รปู แบบการบริหารท่เี หมาะสมขึ้น เชํน การบริหารตามหลักธรรมาภิบาลหรือธรรมรัฐสรุปจากถวิล อรัญเวศ (2553:2) และศลิ ปพร ศรีจั่นเพชร (2553:1) ไดว๎ ํามี3 ลกั ษณะสาคัญ คือ1)ธรรมรฐั อานาจนยิ ม มีการใช๎กลไก ทางการเมืองในการบริหาร เชํน รัฐธรรมนูญ 2) ธรรมรัฐเสรีนิยม ใช๎การมีสํวนรํวมจากประชาชน มีหลักการ และความรบั ผิดชอบ และมคี วามโปรํงใส ตลอดจนต๎องมีระบบกฎหมายทม่ี คี วามยุติธรรม 3)ธรรมรฐั ชมุ ชนนิยม ใช๎การกระจายอานาจ เสริมความเข๎มแข็งให๎แกํภาคสังคมที่จะไปตรวจสอบภาครัฐและเอกชน โดยให๎ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 430

ความสาคญั กบั ความรวํ มมอื ระหวาํ งกลํุมตํางๆ เพอ่ื ใหเ๎ กดิ การถกั ทอทางสงั คม และการเสรมิ สร๎างความเขม๎ แขง็ ให๎ภาคประชาสังคมท่สี ัมพนั ธ๑กับประชาธิปไตย ผู๎วจิ ัยสนใจท่ีจะศกึ ษารปู แบบการบรหิ ารสถาบันอุดมศึกษาใหมํๆเพ่ือให๎เกิดประโยชน๑ตํอการบริหาร จดั การสถาบนั อดุ มศกึ ษาให๎ปฏบิ ตั งิ านไดอ๎ ยาํ งมีความสขุ จงึ สนใจทศี่ กึ ษาพัฒนาไปสคูํ วามเป็นสงั คมคณุ ธรรม ท่ี มีการประสานการปฏิบัติงานบนพื้นการอยํูรํวมกันอยํางสันติสุข มีการขัด แย๎งน๎อยลง มีเวลาให๎แกํการ ปฏบิ ัติงานมากขึน้ มคี วามพร๎อมทง้ั กาย จติ ใจอทุ ศิ ตนใหแ๎ กกํ ารปฏิบตั ิงานในสถาบนั สงํ ผลไปสูํการบริหารงาน ที่บรรลคุ วามสาเร็จ ตํอไป วตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย 1. เพื่อศึกษาการบริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานครสูสํ ังคมคณุ ธรรม 2. เพื่อเปรียบเทียบการบริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานครสูํสังคมคุณธรรมธรรม จาแนกตามข๎อมูลสวํ นบคุ คลของผตู๎ อบแบบสอบถาม 3. เพือ่ นาเสนอแนวทางการสํงเสรมิ ความเป็นสังคมคุณธรรมธรรมในมหาวทิ ยาลยั เอกชน สมมติฐาน อาจารย๑และบุคลากรสนบั สนุนที่ปฏิบัตงิ านในสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร มีความคิดเห็น ตอํ การบริหารสถาบนั อดุ มศกึ ษาสํูสงั คมคุณธรรมธรรม ตํางกัน จาแนกตาม อายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณ๑ การทางาน ประโยชน์ทไ่ี ด้รับจากการวจิ ัย เมือ่ งานวจิ ยั นีเ้ สรจ็ สิ้นเกดิ ประโยชนต๑ ํอวงวชิ าการ หนํวยงาน และบคุ คล ดงั นี้ 1 ผลตอํ วงวชิ าการ เป็นข๎อมูลความร๎ูเก่ียวกับการบริหารงานสถาบันอุดมศึกษาให๎มีความเป็นสังคม คณุ ธรรมของสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชน 2 ผลตอํ หนวํ ยงาน เปน็ แนวทางในการกาหนดนโยบายและการวางแผนพฒั นา สถาบันอุดมศึกษาให๎มี สภาพแวดล๎อมทส่ี ํงเสรมิ จติ สานึกคุณธรรม 3 ผลตํอบุคคล เป็นแนวทางในการดาเนินการวางแผนจัดโครงงาน/กิจกรรม พัฒนาตนเองให๎ สอดคล๎องกับสังคมจรยิ ธรรมในสถาบนั อดุ มศกึ ษา การทบทวนวรรณกรรม สังคมคุณธรรม เป็นการกลํอมเกลาให๎คณาจารย๑และบุคลากรสนับสนุนในมหาวิทยาลัยเอกชน ตระหนกั ในความสาคญั ของการอยํรู วํ มกันทางานรวํ มกันอยาํ งมีความสขุ ถ๎อยทีถ๎อยอาศัยตํอกัน มีการรวมพลัง กันปฏิบัติงานให๎ท่ีได๎รับมอบหมายให๎บรรลุวัตถุประสงค๑ โดยผ๎ูวิจัยทาการสังเคราะห๑ หลักธรรมภิบาล กับ คุณธรรมทสี่ ํงผลตอํ การอยํูรํวมกนั ได๎แกํ สงั คหวัตถุ 4 ผาสขุ วิหารธรรม และสามคั คธี รรม เป็นหลักปฏิบัติท่ีทา ใหเ๎ กิดสงั คมสันตสิ ุขข้นี ในสถาบนั อดุ มศึกษา ดงั นี้ สังคหวัตถธุ รรม4เป็นธรรมทส่ี งํ ผลตอํ การเออื้ อาทรซงึ่ กันและกนั ประกอบด๎วย 1) ทาน เป็นการให๎ป๓น สิง่ ของของตนตํอผอ๎ู ่นื การผูกใจคนตอ๎ งอาศัยการให๎เปน็ หลักพ้นื ฐาน การให๎เปน็ การแสดงออกถึงไมตรีจิตของ ผู๎ให๎ท่ีผ๎ูรับพอใจ 2) ปิยวาจา เป็นการการใช๎ถ๎อยคาในการเจรจา สื่อสาร ที่ไพเราะอํอนหวาน นําฟ๓ง เป็น การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 431

พฤตกิ รรมทชี่ วํ ยครองใจคนด๎วยไมตรีจิต3) อัตถจริยา เป็นการประพฤติตนให๎เป็นประโยชน๑ตํอผ๎ูอื่น ไมํดูดาย ใหช๎ ํวยเหลือผ๎ูอ่ืน เปน็ การบาเพญ็ ตนใหเ๎ ป็นประโยชน๑ตอํ สังคม 4) สมานตั ตตา ความเป็นผ๎มู ตี นสม่าเสมอ วาง ตนเหมาะสมไมํถอื ตวั นอบนอ๎ มตํอผูม๎ อี าวโุ สกวาํ ผาสุกวหิ ารธรรม คือ ธรรมท่ีชํวยให๎อยํูรํวมกันอยํางเป็นสุข ทั้งในครอบครัว องค๑การ หรือในสังคม ประกอบด๎วยหลักธรรม ๖ ประการ ได๎แกํ 1) เมตตากายกรรม ความมีเมตตาตํอกัน ไมทํ าอะไรให๎เป็นท่เี ดอื ดร๎อ แกํผอู๎ ื่น2) เมตตาวจกี รรม คือ การพูดอะไรทมี่ คี วามเมตตาตํอกนั เปน็ พ้นื ฐาน ไมํสร๎างความเสียหายให๎แกํผู๎อื่น ไมพํ ดู ให๎เกิดความเข๎าใจผิด หรือแตกความสามคั คี3) เมตตามโนกรรม คือ การจะคดิ อะไรต๎องมีจติ เมตตาทั้งตํอ หนา๎ และลบั หลงั มคี วามปรารถนาดี ไมํคิดรา๎ ย คิดทาลาย คดิ แกแ๎ คน๎ 4) มีการแบงํ ป๓นลาภท่ตี นไดhมาโดยชอบ ธรรม ให๎แกํผูอ๎ น่ื ท่สี มควรให๎ ไมํหวงของไวใ๎ ช๎หรอื บริโภคแตํเพียงผเู๎ ดียว5) มีความประพฤติตอํ ผู๎อนื่ เทาํ เทียมกัน หลีกเล่ียงการเลือกปฏิบัติ เคารพในสิทธิเทําเทียมกัน6) มีความคิดถูก คิดดี มีความคิดเห็นท่ีประเสริฐ เป็น ความคิดท่เี กอื้ กูลไปสคูํ วามสุข ความเจริญ หลีกเลีย่ งการวิวาทกับผ๎อู ืน่ ในทุกกรณี สามัคคธี รรม คือ ความพรอ๎ มเพยี งของหมูคํ ณะทาให๎เกดิ สุขในทางปฏิบัติ สามัคคีธรรมประกอบด๎วย ความสามัคคีทางกาย คอื การทางานรวํ มกนั ด๎วยความเสียสละความสามคั คีทางใจ คอื มีความพร๎อมใจกันท่ีจะ ทากจิ ทกุ อยาํ งความสามคั คที างความคดิ คอื การชํวยกนั คดิ สรา๎ งสรรค๑ความเจรญิ ให๎เกิดแกสํ วํ นรวม ไมํคิดเพื่อ ประโยชนส๑ ํวนตวั (http://www.dhamma.mbu.ac.th/th/index.php?) ธรรมาภิบาลหรือการบริหารบ้าเมืองที่ดี (Good government) เป็นแนวทางการบริหาร การ ปกครองท่เี ปน็ ธรรมท่นี ามาใช๎ในสงั คมมนษุ ย๑มาแล๎วในอดีตเปน็ หลักการบรหิ ารท่ีมีการประสานประโยชน๑และ คล่คี ลายปญ๓ หาข๎อขัดแยง๎ โดยสนั ติวิธี ในขณะเดยี วกนั ก็มีการพฒั นาสงั คมไปสคํู วามกา๎ วหน๎า ยงั่ ยนื โดยประกอบ 6 หลัก ดังน้ี 1) หลักนิติธรรม เป็นการตรากฎหมาย กฎ ระเบียบข๎อบังคับและกติกาตําง ๆ ให๎เหมาะสม ทันสมัยเป็นท่ียอมรับของสมาชิกในสังคมโดยมีการยินยอมท่ีจะถือปฏิบัติรํวมกัน 2) หลักคุณธรรม เป็นการ ปฏิบัติในความถูกต๎อง ดีงาม ได๎แกํ ความซ่ือสัตย๑สุจริตความเสียสละ ความอดทนขยันหม่ันเพียรความมี ระเบียบวินัย 3) หลักความโปรํงใส เป็นการเปิดเผยข๎อมูลขําวสารการดาเนินงานให๎ประชาชนทราบอยําง ตรงไปตรงมา ตรวจสอบความถกู ตอ๎ งได๎เพื่อสร๎างความไว๎วางใจซง่ึ กันและกนั จนเกิดความเช่อื ม่ันในการทางาน ของภาครฐั 4) หลักความมสี ํวนรํวม เปน็ การทาใหป๎ ระเทศชาติเป็นสงั คมทป่ี ระชาชนมสี วํ นรํวม ท้งั การรํวมรบั ร๎ู รํวมเสนอความเห็นเพ่ือการตัดสินใจในประเด็นสาคัญๆของสังคม โดยใช๎ชํองทางให๎แสดงออกท่ีเหมาะสม 5)หลักความรับผิดชอบ ผ๎ูบริหารตลอดจนบุคลากรท้ังฝุายการเมืองและข๎าราชการประจาต๎องตั้งใจปฏิบัติ ภารกจิ ตามหนา๎ ทอ่ี ยาํ งเตม็ ที่ อานวยความสะดวกตํางๆแกผํ ๎รู บั บรกิ าร รวมทง้ั มคี วามรับผดิ รับชอบ และพรอ๎ ม ที่จะปรับปรุงแก๎ไขให๎เหมาะสมข้ึน 6) หลักความค๎ุมคํา เป็นการสร๎างความตระหนักให๎เห็นวําทรัพยากรมี จ า กั ด ต๎ อ ง ใ ช๎ ใ ห๎ เ กิ ด ป ร ะ โ ย ช น๑ สู ง สุ ด มี ก า ร คิ ด ท่ี จ ะ น า ก ลั บ ม า ใ ช๎ ใ ห มํ ใ ห๎ เ กิ ด ป ร ะ โ ย ช น๑ (http://www.sci.ubu.ac.th/document/) จากการศกึ ษาวเิ คราะหเ๑ รอ่ื งของสังคหวตั ถธุ รรม ผาสุกวิหารธรรม สามคั คธี รรม และธรรมาภบิ าลหรือ การบรหิ ารบา๎ นเมอื งทดี่ ี ทาให๎ผู๎วิจัยสังเคราะห๑เปน็ หลักการบริหารจดั การท่นี าไปสํูความเปน็ สงั คมคุณธรรม ซง่ึ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 432

เป็นตัวแปรที่ศึกษา ประกอบด๎วย 8 หลักการ ได๎แกํ หลักความรับผิดชอบ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม จรยิ ธรรม หลกั การมีสวํ นรํวม หลักความโปรงํ ใส หลกั ความคมุ๎ คาํ หลักจติ อาสา และ หลกั ความสามัคคี สังคมคณุ ธรรมต๎องมีการทางานรํวมกันประสานประโยชน๑ตํอกันบนพื้นฐานของความเมตตาธรรมใน องคก๑ รสมยั ใหมรํ วมทง้ั องคก๑ รทางการศึกษามกั จะมงี านที่เก่ียวเนอ่ื งกับ 1) ระบบงานเป็นทางานกบั ทรพั ยากรท่ี ไมมํ ีชีวติ ได๎แกทํ รัพยส๑ ินเงินทุน เคร่ืองจกั ร วัสดุอุปกรณ๑ และ 2) ระบบคนเป็นการทางานกับมนุษย๑ ท่ีเรียกวํา ทรัพยากรบุคคล ซ่ึงเป็นผู๎ปฏิบัติงานโดยใช๎ระบบงานและทรัพยากรทางการศึกษาตํางๆเพ่ือความมี ประสิทธิภาพของบุคลากรและประสิทธิผลขององค๑การ โดยมีหลักการดังน้ี 1) หลักการแบํงงานกันทา (Division of work) ซึง่ ให๎แตํคนมีความชานาญเฉพาะอยาํ ง (Specialization) และการแบงํ แยกงาน/กิจกรรม ของสถาบัน เพื่อให๎มีการทางานรํวมกัน ประสานประโยชน๑ตํอกัน2) หลักการประสานงาน ( Coordination) เป็นการติดตํอสือ่ สารกนั ใสถาบันท่ีกํอให๎เกิดความเข๎าใจในจุดมุํงหมายและวิธีการดาเนินงานซึ่งจะทาให๎การ ทางานเป็นไปอยํางมีประสิทธิภาพ3) หลักระเบียบวินัย (Discipline) เพ่ือให๎การปฏิบัติเป็นไปตามกฎเกณฑ๑ กติกาและข๎อบังคับตําง ๆ ที่สถาบันกาหนดไว๎ ความมีระเบียบวินัยจะทาให๎บุคลากรให๎เคารพเชื่อฟ๓งกัน4) ความเสมอภาค (Equity) เปน็ การปฏบิ ัตติ อํ การตามสิทธิหน๎าท่ี ทาให๎เกิดความยุติธรรมในสังคมความเชื่อม่ัน และความจงรักภักดี5) ความม่ันคงในการทางาน (Stability of tenure of Personnel) เป็นการสร๎างความ มน่ั ใจใหแ๎ กบํ คุ ลากร นามาซ่งึ การอทุ ิศเวลา กาลังกายกาลังใจ ให๎กบั การปฏบิ ตั ิงานอยาํ งจริงจัง วิธีดาเนินการวิจัย การวิจัยคร้ังนี้เป็นการวิจัยแบบผสม (Mix method) โดยใช๎การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative research) เพอ่ื ศกึ ษาระดบั การบรหิ ารงานสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนสํูสังคมคุณธรรม และการเปรียบเทียบการ บริหารงานสถาบันอุดมศึกษาสูสํ งั คมคุณธรรม และใช๎การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ด๎วยการ สัมภาษณเ๑ ชงิ ลกึ (In-depth interview) กบั ผบู๎ รหิ าร หัวหน๎าหนวํ ยงาน อาจารย๑และบุคลากรสนบั สนุนรวม 12 คน เพอ่ื หาแนวทางในการพัฒนาการบรหิ ารสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนสคูํ วามเปน็ สงั คมคุณธรรม 1 ประชากรและกล่มุ ตัวอย่างประชากรเป็นอาจารย๑และบุคลากรสนับสนุนท่ีปฏิบัติงานใน สถาบันอดุ มศึกษาเอกชนในกรุงเทพมหานคร จานวน 13 สถาบันกาหนดขนาดกลํุมตัวอยํางโดยคานวณจาก สูตรของ Roscoe (John T. Roscoe, 1975: 157) มีคําความคลาดเคลื่อนท่ีร๎อยละ 95 ได๎กลํุมตัวอยําง จานวน384 ตัวอยาํ ง และใช๎การสมุํ ตัวอยํางที่มคี วามนําจะเปน็ ( Probability sampling )โดยกาหนดโอกาสที่ หนวํ ยตวั อยํางแตลํ ะหนํวยถูกเลอื ก และใช๎การสํุมตวั อยํางแบบงําย (Simple random sampling) เพ่ือให๎ทุก หนํวยสมาชกิ ในประชากรมีโอกาสจะถูกเลอื กเทําๆกัน 2 เนือ้ หาและตวั แปรทศ่ี ึกษา เปน็ การศึกษาเก่ยี วกับการบรหิ ารงานสถาบันอดุ มศึกษาเอกชน สูํสงั คมคณุ ธรรม โดยกาหนดเปน็ ตัวแปรท่ศี กึ ษา ดังน้ี 2.1 ตวั แปรอิสระ ได๎แกํ อายุ วฒุ กิ ารศึกษา ประสบการณ๑การสอน 2.2 ตวั แปรตาม ไดแ๎ กํการบริหารงานสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนสสํู งั คมคณุ ธรรม 8 หลักซ่ึง ได๎มาจากการสังเคราะหห๑ ลกั การบริหารบา๎ นเมอื งที่ดีรวํ มกบั สงั คหวัตถธุ รรมผาสุขวหิ ารธรรม และ สามคั คธี รรม การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 433

ได๎แกํ หลกั ความรับผดิ ชอบ หลักจริยธรรม หลกั การมีสวํ นรวํ ม หลักจิตสาธารณะ หลักความโปรํงใส หลักการ รักษาระเบยี บวินยั และหลักความสามัคคี 3. เครื่องมือท่ใี ชใ้ นการวิจัยการวจิ ยั คร้งั น้ีใชว๎ ธิ กี ารวิจยั แบบผสมจงึ ใช๎เคร่อื งมือวิจัยท้ังที่เป็น แบบสอบถามและแบบสมั ภาษณ๑เชิงลกึ ดงั นี้ 3.1 แบบสอบถาม (Questionnaire) เพอ่ื ใชใ๎ นการเกบ็ รวบรวมขอ๎ มูลที่เกย่ี วกบั ระดับการ บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนสํูความเป็นสังคมคุณธรรม เป็นแบบม าตราสํวนประมาณคํา 5 ระดับ (Ratting’s scale) ท่ีสร๎างข้ึนอยํางมีแบบแผน โดยแบํงออกเป็น ตอนที่ 1 เป็นข๎อคาถามเกี่ยวกับข๎อมูลสํวน บุคคลของผู๎ตอบแบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (checklist)ประกอบด๎วย อายุ วุฒิการศึกษา ประสบการณ๑การทางาน ตอนท่ี 2 เป็นข๎อคาถามเกี่ยวกับระดับการบริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนสํูสังคม คณุ ธรรม ตอนท่ี 3 เปน็ แบบสอบถามปลายเปิด เก่ียวกับข๎อเสนอแนะแนวทางการบริหารสถาบันอุดมศึกษา เอกชนสูสํ ังคมคณุ ธรรม การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ สรุปตอนการสร๎างดังน้ี1) ศึกษาหลักการ แนวคิด และทฤษฎจี ากเอกสาร ตารา และงานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ๎ งมาเป็นแนวทางในการกาหนดกรอบแนวความคดิ เบื้องตน๎ ในการสรา๎ งแบบสอบถาม2) นาข๎อมูลท่ีไดจ๎ ากการศึกษาคน๎ คว๎ามาประมวลและกาหนดเป็นข๎อคาถาม เพื่อให๎ ครอบคลุมตามกรอบแนวความคิดและวัตถุประสงค๑การวิจัย 3) นาแบบสอบถามที่สร๎างขึ้นไปให๎ผู๎เช่ียวชาญ จานวน 3 ทําน ตรวจสอบความถกู ต๎องและความเหมาะเชิงเน้ือหา (Content validity) โครงสร๎างและการใช๎ ภาษา 4) การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ1) หาคําความตรง(Validity) โดยนาแบบสอบถามไปให๎ ผู๎เชี่ยวชาญประเมินความสอดคล๎องระหวํางข๎อคาถามกับวัตถุประสงค๑การวิจัย ( IOC: Index of item objective congruence) ได๎คํา IOC แตํละข๎ออยํูระหวําง 0.67-1.00 และนาข๎อเสนอแนะเกี่ยวกับภาษามา แก๎ไขให๎ถูกต๎อง เหมาะสม 2) การทดสอบความเชอื่ มนั่ (Reliability) โดยนาแบบสอบถามทผี่ ํานการตรวจสอบ ความเทีย่ งตรงตามเนื้อหาแลว๎ ไปทดลองใชก๎ บั กลุํมอาจารยแ๑ ละบคุ ลากรสนับสนุน ทมี่ ลี กั ษณะใกล๎เคียงกับกลํุม ตวั อยํางทีม่ หาวทิ ยาลยั สยาม จงั หวัดนนทบรุ ี จานวน 30 ตวั อยาํ ง แลว๎ นามาวเิ คราะหห๑ าคําความเชอ่ื มั่นโดยใช๎ สูตรสัมประสทิ ธ์ิอลั ฟาของคอนบาค (Cronbach Coefficient Alpha) ไดค๎ ําความเชอ่ื มั่นทัง้ ฉบับ เทํากับ 0.92 แล๎วได๎นาแบบสอบถามไปจดั พิมพเ๑ พอ่ื ใช๎เกบ็ ขอ๎ มูลกบั กลํุมตัวอยาํ งทก่ี าหนดไว๎ตอํ ไป 3.2 แบบสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth interview) เป็นการสัมภาษณ๑แบบเป็นทางการ เพอ่ื รวบรวมขอ๎ มลู เกีย่ วกับแนวทางการพฒั นาการบรหิ ารสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนสูสํ ังคมคณุ ธรรม 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผ๎ูวิจัยดาเนินการเก็บรวบรวมข๎อมูลจากแบบสอบถามโดยขอ หนงั สือขออนญุ าตจากอธกิ ารบดีมหาวิทยาลัยราชพฤกษ๑ เพื่อขอความรํวมมือจากกลํุมผู๎ให๎ข๎อมูลท่ีกาหนดไว๎ เพอื่ การแจกแบบสอบถามโดยผ๎ูชวํ ยวจิ ัย ซ่ึงแจกแบบสอบถามไปท้ังหมด 390 ชุด และได๎รับกลับคืนมา 323 ชดุ ทาการคดั เลอื กเฉพาะแบบสอบถามทีส่ มบูรณ๑ไดจ๎ านวน 316 ฉบับคดิ เปน็ รอ๎ ยละ 81.02 สํวนการสัมภาษณ๑ เชงิ ลึก ผูว๎ จิ ยั ดาเนนิ การดว๎ ยตนเอง 5. การวิเคราะหข์ ้อมูล ผูว๎ ิจยั วิเคราะห๑ข๎อมลู ด๎วยคอมพิวเตอร๑ โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ โดยใช๎ ร้อยละ (Percentage) สาหรับการวิเคราะห๑ข๎อมูลสํวนบุคคลของผู๎ตอบแบบสอบถาม ใช๎ค่าเฉล่ีย การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 434

(Mean) สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) สาหรับการวิเคราะห๑ระดับการบริหาร สถาบันอุดมศึกษาเอกชนสํูสังคมคุณธรรม โดยใช๎เกณฑ๑การแปลความหมายคําเฉล่ียของ เบส ( Best J.W.: 1986:156) และใชก๎ ารวิเคราะห๑ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) สาหรับการเปรียบเทียบตาม กลุมํ อายุ วฒุ กิ ารศึกษา และประสบการณ๑การทางาน โดยกาหนดระดับความมีนัยสาคญั ทางสถติ ิท่ี.05 สรปุ ผลการวิจัย ผ๎ูวิจัยขอเสนอผลการวิจยั และการอภปิ รายผลรวํ มกัน ดังนี้ .1การบรหิ ารสถาบันอดุ มศึกษาเอกชนสํสู งั คมคณุ ธรรม พบวํา มีการบริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนสํู สงั คมคุณธรรมทั้ง (4.42 คําเฉลี่ย) หลักโดยภาพรวมมีการปฏิบัติอยํูในระดับมาก 8เรียงลาดับรายด๎านตาม คําเฉล่ีย ดังนี้ (1 หลักความรับผิดชอบ (2หลักนิติธรรม (3หลักคุณธรรมจริยธรรม (4หลักการมีสํวนรํวม (5หลกั ความโปรํงใส (6 หลกั จิตสาธารณะ (7หลกั ความค๎มุ คาํ (8 หลักความสามคั คีและเม่ือพิจารณาเป็นราย ดา๎ น (หลกั ) พบวํา 1) หลักความรบั ผดิ ชอบ ในภาพรวมและรายข๎อ มกี ารบริหารงานสูํสงั คมคุณธรรมอยใํู นระดบั มากทกุ ขอ๎ (คําเฉลี่ย 4.43) เรยี งลาดบั ข๎อตามคําเฉล่ยี ไดด๎ งั นี้ การปลกู ฝ๓งใหบ๎ คุ ลากรมคี วามรับผดิ ชอบในการปฎบิ ัตงิ าน เปน็ ข๎อทม่ี คี ําเฉล่ียสงู สดุ รองลงมาเปน็ การสร๎างขวญั และกาลังใจในการปฎิบตั ิงานการกาหนดผ๎รู ับผดิ ชอบและรับมอบหมายงานอยํางชดั เจน การปลกู ฝง๓ ใหอ๎ าจารย๑คานงึ ความรับผิดชอบตอํ สงั คม การ ให๎บรกิ ารด๎านสวสั ดิการตาํ งๆอยาํ งเทําเทยี มกนั และการนาโครงการกจิ กรรมหรอื แผนงานทแี่ ถลงไว๎ไปดาเนินการให๎เหน็ เป็นรูปธรรม ท้งั นเ้ี ปน็ เพราะ การแสดงความรบั ผดิ ชอบในการปฏิบตั ิหนา๎ ที่จนได๎ผลงานตามเปูาหมายทกี่ าหนดไว๎เปน็ สิง่ ทีด่ ี แตํก็ควรมคี วามสานึกในการรับผดิ ชอบตํอสาธารณะ และสิง่ แวดลอ๎ มดว๎ ย 2) หลักนิตธิ รรม ในภาพรวมและรายขอ๎ มีการบริหารงานสํสู ังคมคณุ ธรรม อยใํู นระดับมากทุกข๎อ (4.41 คําเฉลย่ี )เรียงตามลาดับขอ๎ ตามคําเฉล่ยี ดงั นี้ การการตดั สนิ ใจในเรื่องสาคัญของสถานศกึ ษาโดยใช๎ฉันทา มติและปฎิบัติตํอทุกคนโดยเทําเทียมกัน เป็นข๎อท่ีมีคําเฉล่ียสูงสุด รองลงมา คือ การบริหารการเงินและ ทรัพยากรเปน็ ไปอยํางยตุ ิธรรม และต๎องการออกข๎อบังคับ กฎเกณฑ๑ โดยคานึงถึงสิทธิหน๎าที่ของบุคลากรใน สถาบนั และความชดั เจนในการบรหิ ารสถาบนั ตามกฎระเบียบและขอ๎ บังคับท่ีสานกั งานการอุดมศึกษากาหนด ไว๎ ทั้งนอ้ี าจเป็นเพราะ การใช๎อานาจตามกฎหมาย กฎระเบียบขอ๎ บงั คับในการบริหารงานด๎วยความเป็นธรรม ไมํเลือกปฏบิ ตั ิ และคานงึ ถงึ สิทธเิ สรีภาพของผม๎ู สี ํวนได๎สํวนเสยี เป็นพ้ืนฐานสาคัญของการทางานรํวมกันอยํางมี ความสขุ สงํ ผลไปสูํความสาเร็จของงานทีป่ ฏิบตั ดิ ว๎ ย 3) หลักคณุ ธรรมจริยธรรม ในภาพรวมและรายข๎อ มีการบริหารงานสูํสังคมคุณธรรมอยูํใน ระดับมากทุกข๎อ (คําเฉลี่ย 4.40) เรียงตามลาดับข๎อตามคําเฉล่ีย ดังน้ี การกากับดูแลให๎บุคลากรทุกระดับใน สถาบนั รกั ษาระเบยี บวนิ ยั เปน็ ขอ๎ ทีม่ คี ําเฉล่ียสงู สุด รองลงมา คือ การปลูกฝ๓งบุคลากรในสถาบันตระหนักใน ความสาคญั ของคุณธรรมจรยิ ธรรม ปลกู ฝง๓ ให๎บุคลากรมีความขยนั และอดทน ยึดม่นั ในศีลธรรม การปฎิบัติตน เปน็ ตัวอยาํ งทด่ี ขี องผ๎ูบริหาร การบรหิ ารงานโดยยึดหลักความถูกตอ๎ งเป็นธรรม และการสงํ เสริมให๎บุคลากรใน สถาบันปฎบิ ตั ิหนา๎ ทด่ี ว๎ ยความเท่ียงตรง สมา่ เสมอ ไมํเลือกปฏิบตั ิ ท้งั นอ้ี าจจะเปน็ เพราะ การยึดถือและเชือ่ ม่ัน ในความถกู ต๎องดงี าม โดยการรณรงคเ๑ พื่อสร๎างคํานิยมท่ีดีงามให๎ผ๎ูปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษา โดยเฉพาะ การปฏบิ ัตติ นเปน็ แบบอยาํ งทด่ี ตี ามจรรยาบรรณครแู ละการรูจ๎ ักไตรํตรองวาํ อะไรควรทาไมํควรทา การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 435

4) หลกั การมสี ว่ นรว่ ม ในภาพรวมและรายขอ๎ มีการบริหารงานสํูสังคมคุณธรรมอยูํในระดับ มากทกุ ข๎อ(คําเฉลี่ย 4.38) เรียงตามลาดับข๎อตามคําเฉลี่ย ดังน้ี การเปิดโอกาสให๎บุคลากรทุกระดับช้ันมีสํวน รํวมในการกาหนดทิศทางและวางแผนการดาเนินการโดยยึดเปูาหมายของหนํวยงานเป็นหลัก เป็นข๎อที่มี คําเฉลย่ี สูงสดุ รองลงมาคอื การบริหารทรพั ยากรบุคคลภาระงานและงบประมาณตามความรับผิดชอบโดยยึด หลักการมีสํวนรํวมเป็นหลัก และการเปิดโอกาสให๎อาจารย๑ บุคลากรสนับสนุน และนักศึกษาได๎เสนอความ คดิ เหน็ ในการแก๎ไขป๓ญหาของสถาบัน ท้ังนี้อาจจะเป็นเพราะ กระบวนการทางานที่เปิดโอกาสให๎บุคลากรที่ เกี่ยวข๎องทุกระดับได๎มีโอกาสเข๎ารํวมในการรับรู๎งานชองสถาบัน รํวมเสนอป๓ญหา แก๎ไขป๓ญหา รํวมใน กระบวนการตัดสินใจ และรวํ มกระบวนการพฒั นาในฐานะหน๎ุ สํวนการพัฒนาเป็นเร่อื งควรกระทา 5) หลักความโปร่งใส ในภาพรวมและรายข๎อมีการบริหารงานสูํสังคมคุณธรรมอยูํในระดับ มากทุกขอ๎ (คําเฉลีย่ 4.35) เรยี งตามลาดับขอ๎ ตามคาํ เฉลยี่ ดงั นกี้ ารบริหารงานมคี วามชัดเจนและโปรงํ ใสทกุ พนั ธ กิจ เป็นขอ๎ ทม่ี ีคําเฉลย่ี สงู สดุ รองลงมา คือยึดถอื ระเบียบกฏเกณฑ๑ทางราชการ การบริหารจัดการงบประมาณ เปน็ ระบบ โปรํงใสตรวจสอบได๎การเผยแพรํข๎อมูลขําวสารของสถาบันด๎วยความถูกต๎องตรงกับความเป็นจริง การประเมนิ ผลงานของบคุ ลากรทช่ี ัดเจนเปน็ ระบบ และการเปดิ โอกาสให๎ผเ๎ู กยี่ วข๎องท้ังภายในภายนอกสถาบัน ติดตามตรวจสอบแผนงานและโครงการตํางๆได๎ ทั้งน้ีอาจเป็นเพราะ ความโปรํงใสเป็นกระบวนการเปิดเผย ข๎อมลู อยํางตรงไปตรงมา ตามความเป็นจริง พร๎อมช้ีแจงเม่ือมีข๎อสงสัย และสามารถเข๎าถึงข๎อมูลขําวสารได๎ ตามท่กี ฎหมายกาหนด โดยประชาชนสามารถรับร๎ทู กุ ข้นั ตอนการดาเนินกจิ การและสามารถตรวจสอบได๎ 6) หลักจิตสาธารณะในภาพรวมและรายข๎อมีการบรหิ ารงานสสูํ งั คมคุณธรรมอยใํู นระดบั มาก ทุกข๎อ (คําเฉลี่ย 4.42) เรียงตามลาดับข๎อตามคําเฉล่ีย ดังนี้ การให๎ความรํวมมือกับหมูํคณะเพื่อให๎งานของ สํวนรวมสาเร็จลุลํวงไปไดด๎ ว๎ ยดี เปน็ ขอ๎ ท่มี คี ําเฉลี่ยสูงสดุ รองลงมาคือ ความตระหนกั รู๎ในบทบาทหนา๎ ทข่ี องตน ที่มีตํอสงั คม รวํ มกันรักษาสาธารณประโยชน๑ และรํวมกันตงั้ กลุํมผ๎ูบาเพ็ญประโยชน๑ตํอสํวนรวม ท้ังน้ีอาจเป็น เพราะการสร๎างจิตสานึกชวํ ยเหลอื ผอ๎ู ่ืนและสํวนรวม เป็นส่ิงท่ที ุกสังคมตอ๎ งการเป็นอยํางยิ่ง เพราะนาไปสํูการ แก๎ป๓ญหาของสังคม ดังนั้นทุกคนท่ีมีความร๎ู ความสามารถ และประสบการณ๑ท่ีอยูํในสังคมเดียวกัน ต๎องให๎ ความรํวมมือออกมาจากความสุขสบายของตัวเองมาแสดงความรับผิดชอบรํวมกัน เก้ือหนุนกัน เพ่ือให๎สังคม เข๎มแขง็ ขน้ึ มีคนทม่ี ีคุณภาพมากขนึ้ ชุมชนไทยจงึ จะมีประสิทธผิ ล 7) หลักความคมุ้ คา่ ในภาพรวมและรายขอ๎ มกี ารบริหารงานสสูํ งั คมคุณธรรมอยูํในระดบั มากทกุ ข๎อ(คําเฉลี่ย 4.41) เรยี ง ตามลาดับข๎อตามคําเฉล่ีย ดังนกี้ ารสงํ เสริมการใชเ๎ ทคโนโลยที ก่ี อํ ใหเ๎ กิดประสิทธภิ าพในการปฏิบตั งิ านตามความเหมาะสมกบั หนวํ ยงาน เป็นข๎อท่ีมี คําเฉลี่ยสูงสดุ รองลงมาคือ การปฎิบัตงิ านของอาจารย๑และบุคลากรมีความรวดเรว็ ตรงตอํ เวลา การให๎ใชท๎ รพั ยากรท่ีมอี ยอํู ยาํ งจากดั ให๎เกิด ประโยชนส๑ ูงสุดตอํ สถาบนั การรณรงค๑ให๎อาจารยม๑ ีจิตสานกึ ประหยดั ทรพั ยากรธรรมชาติ และ การให๎ใช๎ทรพั ยากรที่มอี ยอูํ ยาํ งจากัด ให๎เกิดประโยชน๑ สงู สุดตอํ การดาเนินงานของสถาบัน ทง้ั นอ้ี าจจะเปน็ เพราะ สถาบนั อดุ มศกึ ษามีการออกแบบกระบวนการปฏิบัติงานโดยการใช๎เทคนิคและเคร่อื งมือ การบริหารจัดการ ท่เี หมาะสมสามารถใชท๎ รพั ยากรทงั้ ด๎านต๎นทุน แรงงาน และระยะเวลาให๎เกดิ ประโยชนส๑ ูงสุดตํอการพฒั นาความสามารถในการปฏิบตั งิ านตาม ภารกจิ เพื่อตอบสนองความต๎องการของผ๎ูมีสํวนได๎สํวนเสยี ทุกกลํมุ 8) หลักความสามคั คี โดยภาพรวมและรายขอ๎ มกี ารบรหิ ารงานสํูสงั คมคุณธรรมอยูํในระดับ มากทกุ ข๎อ (คําเฉลย่ี 4.39) เรยี งตามลาดบั ข๎อตามคําเฉลยี่ ดงั นี้ ความพรอ๎ มเพรยี งเปน็ นา้ หนึง่ ใจเดียวกันในการ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 436

ทากจิ กรรมท่ีดี เปน็ ขอ๎ ท่ีมคี ําเฉลย่ี สูงสดุ รองลงมา คือ การใช๎ความร๎ู ทกั ษะ สตปิ ๓ญญา ในการทางานประสาน สงํ เสริมกันอยาํ งมีพลงั การรํวมมือกันทากิจการให๎สาเร็จลุลํวงด๎วยดี และการกระตุ๎นเตือนคนรอบข๎างให๎อยํู รํวมกันด๎วยความรัก สามัคคี ท้ังนี้อาจจะเป็นเพราะการที่ทุกคนมีความพร๎อมกาย พร๎อมใจ และมีกาลัง ความคิดเป็นน้าหนึ่งใจเดียวกัน มีจุดมุํงหมายที่จะปฏิบัติงานให๎ประสบความสาเร็จ เป็นคุณธรรมพ้ืนฐานที่ สงั คมตํางยอมรับวํา เปน็ เรอ่ื งสาคญั และจาเปน็ อยาํ งยิง่ สาหรบั การอยรํู ํวมกัน หากขาดความสามัคคี ยํอมขาด พลงั ในการทาส่งิ ตาํ ง ๆ และเปิดโอกาสให๎ปญ๓ หาความขัดแย๎งมมี าก ยํอมสามารถลกุ ลามไปสูคํ วามรุนแรงได๎ 2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของอาจารย์และบุคลากรสนับสนุน ต่อการบริหาร สถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนสสู่ ังคมคุณธรรม พบวํา อายุ วฒุ กิ ารศึกษา ประสบการณ๑การทางาน โดยภาพรวม และรายด๎าน ไมํแตกตํางกัน จึงไมํเป็นไปตามสมมติฐานท่ีกาหนดไว๎ แสดงวํา ความแตกตํางของอายุ วุฒิ การศึกษา ประสบการณ๑การทางาน ของอาจารย๑และบุคลากรสนับสนุนมีความ คิดตํอการบริหาร สถาบันอดุ มศึกษาเอกชนสสูํ ังคมคุณธรรมไมํแตกตํางกัน 3. แนวทางการพัฒนาการบริหารสถาบันอดุ มศึกษาสู่สังคมคุณธรรม ผ๎ูวิจัยนาข๎อที่มีคําเฉล่ียต่าสุด ในแตํละหลักมาเป็นขอ๎ คาถามตอํ ผรู๎ ับการสมั ภาษณ๑ แล๎วสรปุ เปน็ แนวทางการพัฒนาสํสู งั คมคณุ ธรรม ดังน้ี 1) หลกั ความรับผดิ ชอบการนาโครงการกิจกรรมหรือแผนงานทแ่ี ถลงไว๎ไปดาเนินการให๎เห็น เป็นรูปธรรม เป็นขอ๎ ทีม่ คี าํ เฉล่ยี ตา่ สดุ จึงควรจดั ประชุมเชงิ ปฏิบัติการให๎ทุกคนมีสํวนรํวมในการวางแผนงาน โครงการเพือ่ ให๎เหน็ สาคญั ของการวางแผนตอํ การปฏิบัติงาน แผนต๎องมคี วามชัดเจน งํายแกํการทาความเข๎าใจ สามารถนาไปสํูการปฏิบัติได๎ แผนอาจมีการเปล่ียนแปลงได๎เสมอ ดังน้ันการวางแผนโครงการต๎องคานึงถึง ความเปน็ ไปไดใ๎ นการปฏิบัติ โดยทั่วไปจะต๎องกาหนกิจกรรมที่ต๎องทา ระยะเวลา ต๎องเงิน งบประมาณ ใช๎ ทรพั ยากรทจี่ าเป็นอะไรบ๎าง และต๎องให๎ความจริงจังกับการปฏิบัติตามแผน มีการตรวจสอบการดาเนินการ อยํางจริงจัง ตํอเน่ือง ผ๎ูบริหารสถาบันควรมีการนัดประชุมเพื่อตรวจสอบการดาเนินการตามแผนอยําง สม่าเสมอ เปน็ การปูองกันมิให๎เกิดความเสียหายหรือไมํเปน็ ไปตามเวลาทกี่ าหนดว๎าโดยไมจํ าเป็น 2) หลกั ความรับผิดชอบความชัดเจนในการบริหารสถาบันตามกฎระเบียบและข๎อบังคับที่ สานักงานการอุดมศึกษากาหนดไว๎ เป็นข๎อท่ีมีคําเฉล่ียต่าสุดจึงควรจัดประชุมให๎ความรู๎ ความเข๎าใจตํอ กฎระเบียบ ขอ๎ บงั คบั ตํางๆเป็นสํวนหนงึ่ ของระบบการบริหารจัดการของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนการปฏิบัติ ตามกฎระเบยี บดงั กลําวเป็นเรอื่ งสาคัญทีบ่ ุคลากรทุกคนทกุ ระดบั ต๎องถือปฏบิ ตั อิ ยาํ งเครํงครดั ถือเปน็ เรอ่ื งของ คุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณด๎วย นอกจากนบี้ คุ ลากรทุกคนยังต๎องมีการติดตามด๎วยวํามีการปรับปรุง ขนึ้ ใหมหํ รอื ไมํ เพื่อปูองกันการผดิ พลาด เสยี โอกาส การจะอ๎างวาํ ไมทํ ราบไมํได๎ อาจจะทาให๎เสียโอกาสห รือมี ความยํุงยากในการดาเนินการ ผ๎ูเกี่ยวข๎องจึงควรหม่ันปลูกฝ๓งให๎บุคลากรตระหนักในความสาคัญของการการ ปฏิบัติตามกฏระเบียบ เสริมแรงด๎วยการประกาศเกียรติคุณของผู๎ปฏิบัติดี เกิดแรงจูงใจที่จะปฏิบัติให๎ส่ิงที่ ถกู ต๎องเหมาะสม และพัฒนาขนึ้ เป็นสวํ นหนึง่ วฒั นธรรมขององค๑กรไดย๎ ่งิ ดี 3) หลักคุณธรรมจรยิ ธรรมการสํงเสริมใหบ๎ คุ ลากรในสถาบันปฎิบัตหิ นา๎ ที่ดว๎ ยความเท่ียงตรง สม่าเสมอ ไมํเลอื กปฏิบัติ เปน็ ข๎อทมี่ คี าํ เฉลย่ี ต่าสุดจึงควรปลกู ฝ๓งลักษณะการทางานท่พี งึ ประสงค๑ของสถาบันแกํ บุคลากรทุกระดับ สร๎างบรรยากาศแหํงความภาคภูมิใจในการปฏิบัติ งานด๎วยความต้ังใจจริง มีความอดทน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 437

ความอุตสาหพยายาม ความซ่ือสัตย๑สุจริต เหลํานี้เป็นคุณลักษณะท่ีดีในตัวบุคคลที่ควรนามาใช๎ในการปฏิบัติ อยํางสม่าเสมอ ซง่ึ นบั เป็นเรือ่ งสาคญั มาก จงึ เปน็ ข๎อหนึง่ ของกฎระเบียบของรัฐบาลในเร่อื งของสิทธิมนุษยชนที่ นาไปสูํการไมํเลอื กปฏิบัตกิ บั บุคคลที่แตกตํางกันสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชนบางครงั้ ตอ๎ งมีความยืดหยํนุ เพ่อื รักษา ทง้ั จานวนและมาตรฐานคณุ ภาพการศกึ ษาไปในขณะเดียวกัน 4) หลกั การมีสว่ นรว่ มการเปิดโอกาสให๎อาจารย๑ บุคลากรสนับสนุน และนักศึกษาได๎เสนอ ความคิดเห็นในการแก๎ไขป๓ญหาของสถาบัน เป็นข๎อท่ีมีคําเฉล่ียต่าสุดจึงควรจัดกิจกรรมให๎มีการปฏิบัติงาน รวํ มกันทมี การเปิดใจรบั ฟง๓ ความคิดเห็นตํอกนั ทาให๎ทกุ ฝุายเขา๎ ใจความต๎องการ ทามาหาทางออกที่เป็นกลาง หรอื เกิดประโยชนต๑ อํ นกั ศึกษามากท่ีสุด การเปิดโอกาสให๎อาจารย๑ บุคลากรสนับสนุน และนักศึกษาได๎เสนอ ความคิดเห็นในการแก๎ไขป๓ญหาของสถาบัน อาจจะเริ่มจากการรับฟ๓งความคิดเห็น ผํานชํองทางตํางๆ เชํน กลํองรบั ความคดิ เห็น Facebook, Line ท้งั ในสํวนตวั หรอื ไลน๑กลํมุ กไ็ ด๎ ทาใหไ๎ ด๎ข๎อมูลปญ๓ หา/ความต๎องการท่ี เป็นขอ๎ เทจ็ จรงิ สงํ เสริมใหท๎ กี ารเรยี นรูร๎ วํ มกันชวํ ยกันคิด ชํวยกนั ทาเพื่อใหไ๎ ดส๎ ่ิงทีด่ ีทส่ี ุด มีการวางแผนกาหนด เปูาหมายการปฏิบตั ิรํวมกันก๎าวเดนิ ไปพร๎อมๆกัน 5) หลักความโปร่งใส การเปิดโอกาสให๎ผู๎เก่ียวข๎องท้ังภายในภายนอกสถาบันติดตาม ตรวจสอบแผนงานและโครงการตาํ งๆได๎ เป็นขอ๎ ท่ีมีคําเฉลี่ยต่าสุดจงึ ควรให๎ความร๎ู ความเข๎าใจจนเกิดทัศนคติ เชงิ บวกวําการเปิดใหผ๎ ๎เู กีย่ วขอ๎ งภายนอกตรวจสอบผลการปฏิบตั ิงานเป็นเร่อื งดี เปน็ การประเมินคาํ ของผลการ ปฏิบัตงิ าน โดยพิจารณาจากผลสมั ฤทธขิ์ องงานและพฤติกรรมการปฏิบัติในหน๎าท่ีท่ีได๎รับมอบหมาย สถาบัน ควรสํงเสรมิ สนับสนุนใหบ๎ คุ ลากรมคี วามพรอ๎ มทจี่ ะรบั การประเมนิ ได๎ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการตรวจประเมิน ของสานักงานการอุดมศึกษา (สกอ) และ สานักงานรบั รองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค๑การ มหาชน) (สมศ) มีการเก็บรวบรวมขอ๎ มูลการปฏิบัติงานอยาํ งเป็นระบบทีส่ าคญั ควรมกี ารกาหนดตวั ชว้ี ดั (KPI) ท่ี เปน็ ขอ๎ ความทีบ่ อกให๎รู๎วําผลการดาเนนิ งานสาเร็จตามตามวัตถปุ ระสงค๑และเปูาหมายที่กาหนดไว๎ 6) หลักจิตอาสา การรวํ มกันตง้ั กลมํุ ผบ๎ู าเพ็ญประโยชน๑ตํอสํวนรวมเป็นข๎อท่ีมีคําเฉล่ียต่าสุด จงึ ควรเสรมิ แรงโดยการใหท๎ ้งั กาลงั ใจ รางวัล ยกยอํ ง ประกาศเกียรติคุณตํอสาธารณะชน หรืออาจจะกาหนด เปน็ กิจกรรมหนง่ึ ที่มีผลเป็นสวํ นหน่ึงของคะแนนในการพิจารณาความดีความชอบในแตลํ ะปี 7) หลักความคุ้มค่า การให๎ใช๎ทรัพยากรท่ีมีอยํูอยํางจากัด ให๎เกิดประโยชน๑สูงสุดตํอการ ดาเนินงานของสถาบัน เป็นข๎อท่ีมีคําเฉล่ียต่าสุด จึงควรเร่ิมจากการสร๎างจิตสานึกให๎บุคลากรในสถาบัน ตระหนักรู๎ในคุณคําของทรัพยากรทางการศึกษาของสถาบันและผ๎ูบริหาร หัวหน๎าหนํวยงานทาตนให๎เป็น แบบอยํางทด่ี ีในการใชอ๎ ยาํ งคุ๎มคํามกี ารประชาสัมพนั ธ๑ รณรงคใ๑ ห๎บุคลากรเหน็ คุณคาํ ของทรพั ยากรและสํงเสรมิ กจิ กรรมความรํวมมือกันดูแลรกั ษาอยาํ งจรงิ จงั ย่ังยืน รวมท้งั การนากลบั มาปรับปรงุ ใชใ๎ หมํ 8) หลกั สามคั คี การกระตุ๎นเตือนคนรอบข๎างให๎อยูํรํวมกันด๎วยความรัก สามัคคี เป็นข๎อท่ีมี คําเฉลี่ยต่าสุด จึงควรจัดประชุมฝึกอบรมให๎เห็นคุณคําของความสามัคคีที่ทาให๎เกิดพลัง รณรงค๑ให๎มีการทา กิจกรรมรํวมกัน การละลายพฤติกรรม ละความเปน็ ตัวตน เหน็ ความสาคญั ของการรวํ มแรงรํวมใจกนั ด๎วยความ สามัคคเี พ่อื จะไดร๎ ํวมกนั ทากจิ กรรมของสถาบันใหบ๎ รรลุผลสาเรจ็ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 438

ข้อเสนอแนะจากผลการวจิ ัย 1. ควรจัดกระทาข๎อมูลความร๎เู กย่ี วกบั การบริหารงานสถาบันอดุ มศึกษาให๎มีความเป็นสังคมคุณธรรม แล๎วเผยแพรํไปยงั สถาบนั อดุ มศึกษาเอกชน เพอื่ พจิ ารณาใชป๎ ระโยชน๑ทางการศกึ ษาวิเคราะห๑ วิจารณ๑ ฯลฯ 2. หนํวยงานท่ีเก่ียวข๎องโดยเฉพาะหนํวยงานบริหารสถาบัน ควรใช๎ผลการวิจัยนี้เป็นข๎อมูลในการ กาหนดนโยบายและการวางแผนพฒั นา สถาบนั อดุ มศึกษาใหม๎ ีสภาพแวดล๎อมทสี่ งํ เสรมิ จิตสานกึ คณุ ธรรมและ ขยายวงกวา๎ งเปน็ สังคมคุณธรรม 3. คณาจารย๑ บคุ ลากร และบุคคลทว่ั ไปควรใช๎ผลการวจิ ยั เป็นแนวทางในการดาเนนิ การวางแผนจัดทา โครงงาน/กิจกรรม พัฒนาตนเอง พัฒนานิสิตนักศึกษา ให๎มีความรู๎ ความเข๎าใจ ดาเนินชีวิตในสถาบันให๎ สอดคล๎องกบั สงั คมคณุ ธรรมจรยิ ธรรมในสถาบันอุดมศึกษาตอํ ไป เอกสารอ้างองิ การศึกษา : การบรหิ ารองค๑กรทางการศกึ ษา มตชิ นรายวนั ,15 ถวลิ อรญั เวศ. (2553).พระราชบญั ญัติสถาบันอดุ มศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 แกไขเพิม่ เติม (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2550) พชิ ัย ผกาทอง.(2547). มนษุ ยก์ บั สังคม. กรงุ เทพฯ: มหาจุฬาลงกรณร๑ าชวิทยาลยั . ปราณี เกษมสนั ต๑.(2550). พฤติกรรมและความสัมพนั ธ์ของมนษุ ยใ์ นสงั คมเข๎าถงึ เม่อื 10 เมษายน 2560 จาก http://krupranee.blogspot.com/2007/06/76.html ศลิ ปพร ศรีจนั่ เพชร. (มกราคม-มีนาคม 2553). “ธรรมาภิบาล,” 6 หลักการพื้นฐานของธรรมาภบิ าล. 33(125) : 1-3. สนธยา แพงศรสี าร (2549). การบรหิ ารการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม. ภาควิชาเทคโนโลยี อุตสาหกรรม. นครสวรรค๑ : มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครสวรรค๑. เสนาะ ติเยาว๑. (2548). รปู แบบการบรหิ ารและจดั การวิจยั ทางการศกึ ษาและทีเกี่ยวข้องขององค์กร ระดบั ชาติ. กรงุ เทพฯ : สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา. สมาน อัศวภมู ิ (2551). การบริหารการศกึ ษาสมัยใหม่ : แนวคิด ทฤษฎแี ละการปฏิบตั ิ. พิมพค๑ รั้งท่ี 4. อุบลราชธานี : หจก.อบุ ลกิจออฟเซทการพิมพ.๑ หลักธรรมาภบิ าล สืบค๎นเมอ่ื 21 ธนั วาคม 2559 จาก (http://www.sci.ubu.ac.th/document/) Best and Kahn J. V. (1993). Research in Education. 7 th ed. Boston : Allyn and Bacon. Roscoe, John T. (1975). Fundamental Research Statistics for the Behavioral. New York: Science, Holt, Rinchart and Wilson Inc. สืบคน๎ เมื่อ 24 มกราคม 2559 จาก(http://www.dhamma.mbu.ac.th/th/index.php?) สบื คน๎ เม่ือ 12 มกราคม 2560 จาก (http://www.sci.ubu.ac.th/document/) การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 439

การบริหารความเสีย่ งด้านงานวิชาการในสถานศกึ ษา The Risk Management of Academic AffairAdministration for Education ประนอม ศรีดี วทิ ยาลัยครศุ าสตร๑ มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บณั ฑติ ย๑ E – mail [email protected] บทคัดย่อ การบริหารความเส่ียง เป็นวิธีการ ท่ีชํวยให๎องค๑การสามารถบริหารงานให๎มีประสิทธิภาพ เป็น กระบวนการทชี่ ํวยกาหนดกลยทุ ธแ๑ ละการดาเนินงาน โดยสามารถบงํ ชเ้ี หตุการณ๑ที่อาจเกดิ ขึน้ และมีผลกระทบ ตอํ องคก๑ าร และสามารถจัดการความเส่ยี งใหอ๎ ยูใํ นระดบั ที่ยอมรับได๎ สถานศึกษามแี นวปฏบิ ัติการบรหิ ารความ เสยี่ งของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร แตสํ ภาพปจ๓ จุบนั สถานศึกษาใช๎กระบวนการบริหารความเส่ียงเพียงบางข้ันตอน ในการควบคุมภายในที่บังคับใช๎ในการบริหารงาน ยังไมํเป็นการบริหารความเส่ียงท่ีชัดเจน ดังน้ันเพื่อให๎เกิด ความสาเร็จและประสทิ ธภิ าพในการบริหารด๎านงานวิชาการมากยิง่ ขึ้น ควรนาการบริหารความเสี่ยงเข๎ามาใช๎ ดา๎ นงานวชิ าการในสถานศึกษา ตามกระบวนการดังนี้ 1) ศกึ ษาสภาพแวดลอ๎ มภายในองค๑การ 2) การวิเคราะห๑ การประเมินความเส่ียงและจัดลาดับความเส่ียง 3) การบริหารความเสี่ยง และ 4) การติดตามตรวจสอบผล ทบทวนและการรายงาน คาสาคัญ:การบริหารความเสย่ี ง การบรหิ ารงานวชิ าการในสถานศึกษา ABSTRACT Risk management is a way to help organizations manage their works effectively. It is a process that helps organization to plan the strategy and operations. It can identify situation that may occur and affect the organization, manage the risk to an acceptable level. Even school has a risk management guideline of the Ministry of Education, some risk management processes have been used only in the internal control management. In order to achieve more success and efficiency in academic administration, risk management should be applied to academic work in schools by following process 1) the study of organizational environment 2) risk analyzing, risk assessment and risk ranking 3) risk management and 4) monitoring, Review and Reporting KEYWORDS:Risk management Academic Administration in Schools การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 440

บทนา การบรหิ ารความเสย่ี งเป็นเร่ืองใหมํในวงการบริหารจัดการการศึกษา เป็นเร่ืองที่กลําวถึงกันมากข้ึน และจะกลายเป็นความจาเปน็ สาหรบั บริหารจดั การท่ีกา๎ วหน๎าในอนาคต แตํความหมายความคลอบคลุมและ คาจากัดความของคาวํา ) ”ความเสี่ยง“Riskยวชาญของผู๎รู๎และนั้น จะพบได๎วําแตกตํางกันไปตามความเชี่( อาชีพของผท๎ู ีเ่ ก่ียวขอ๎ งในภาคปฏิบัติ แตํแกํนของความหมายของคาวําความเส่ียงท่ีเหมือนกันหรือคล๎ายๆกัน โอกาสท่อี าจ“ หรอื ”ความไมํแนนํ อน“ คอื นาไปสคํู วามเสยี หาย สูญเสีย หรือการไมํบรรลุวัตถุประสงค๑ที่ต้ัง ไว๎) ”สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ .น .2552 (.ร.พ.ก)36คอื เหตกุ ารณท๑ ่เี กดิ ขึ้น เชนํ เกิดการ ( บาดเจบ็ เกดิ ความเสียหาย เกิดเหตุร๎ายท่ไี มไํ ดค๎ าดฝ๓น การเกิดอนั ตราย สญู เสยี ทรพั ย๑สนิ ช่ือเสียงการเกดิ ภาพ เปน็ ลบขององคก๑ าร และบุคลากร เกิดความไมํแนํนอนในการปฏิบัติมีการละเลย ไมํพิทักษ๑สิทธิหรือศักดิ์ ศรี หรือเกิดความสญู เสยี จนต๎องมีการชดใช๎คาํ เสียหาย การบริหารความเสี่ยงเป็นกระบวนการ ที่ชํวยในการกาหนดกลยุทธ๑และการดาเนินงาน โดย กระบวนการบริหารความเส่ียงสามารถบงํ ชีเ้ หตกุ ารณท๑ ่ีอาจเกดิ ขึ้น อาจมีผลกระทบตํองานและองค๑การ และ สามารถจัดการให๎อยํูในระดบั ทยี่ อมรบั ได๎ เพอ่ื ให๎ไดร๎ ับความม่ันใจอยาํ งสมเหตสุ มผล ในการบรรลุวัตถุประสงค๑ ทีอ่ งค๑การกาหนดไว๎.น .2557 (.ท.ล.ต) ตลาดหลักทรพั ย๑แหํงประเทศไทย) 1ซง่ึ แสดงวําการบริหารความเสี่ยง ( เป็นวิธีการหนง่ึ ในการบรหิ ารทจี่ ะชวํ ยการบรหิ ารงานขององคก๑ ารมีประสทิ ธภิ าพมากขน้ึ สถานศกึ ษามีภารกิจการบริหารงาน ตามพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหํงชาติ พ 2542 .ศ.มาตรา 39 จากการแบํงคําน้าหนกั ภาระงานในการบรหิ ารงานของสถานศึกษา ปรากฏวําการบริหารงานวิชาการน้ันมีคํา แตํการบริหารงานงานวิชาการจะประสบ น้าหนักมากสุด งานสาคัญที่จาเป็นของโรงเรียนเป็นงานวิชาการ ผลสาเร็จได๎ดนี ้ัน หากมกี ารนากระบวนการบริหารความเสี่ยงมาใช๎ประกอบในการดาเนินงาน ในแตํละเร่ือง ของงานด๎านวิชาการ นําจะชํวยให๎งานด๎านวิชาการของสถานศึกษามีโอกาสประสบความสาเร็จได๎อยํางมี ประสิทธภิ าพ เป็นไปตามที่คาดหวัง และสามารถเผชิญกับความเสยี่ งตํางๆ ทอี่ าจจะเกดิ ขึ้นได๎ดี ป๓จจุบันวงการการบริหารการศึกษา การบริหารความเส่ียง(Risk Management )ยังเป็นเรื่องใหมํ เน่ืองดว๎ ยตามระเบียบสถานศกึ ษายังไมํถกู บงั คบั ใช๎ในการบริหารงานจงึ มเี พยี งการควบคมุ ภายในทม่ี บี งั คับใชอ๎ ยูํ ในตามระเบยี บคณะกรรมการตรวจเงินแผํนดินวําด๎วยการกาหนดมาตรฐานการควบคุมภายใน จากระเบียบ สานักนายกรัฐมนตรี วําด๎วยการบริหารกิจการบ๎านเมืองและสังคมที่ดี พ.ศ. 2542 ข๎อ 7.5 ซ่ึงกาหนดให๎ใช๎ มาตรการเพื่อสงํ เสริมและกากบั ให๎หนวํ ยงานของรฐั ทุกแหงํ กาหนดแผนการสรา๎ งความโปรงํ ใส และปอู งกันการ ทุจริตประพฤติมิชอบในระบบราชการ และรายงานผลการดาเนินการในรอบปีตํอคณะรัฐมนตรี สํวนใน รัฐวิสาหกจิ กไ็ ดม๎ ีการกาหนดหลักเกณฑแ๑ ละแนวทางการกากับดูแลที่ดีในรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีความเก่ียวเนื่องกับ กระบวนการบรหิ ารความเสีย่ งเพียงบางขนั้ ตอน การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 441

ความเส่ียงด้านงานวิชาการในสถานศึกษามีข๎อค๎นพบป๓ญหาหรือความเสี่ยงจากนักวิชาการและ หนวํ ยงาน ดงั นี้ 1) รายงานผลการประเมนิ คณุ ภาพภายนอกรอบสอง (2549-2553) ขอ๎ มลู ในปี2553 พบวํา สถานศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐานในประเทศไทยมีผลการประเมนิ สถานศึกษาทุกขนาดท่ีไมํได๎การรับรอง ร๎อยละ 17.59 ผู๎เรียนมีความสามารถในการคิดวิเคราะห๑ คิดสังเคราะห๑ มี 4 รฐานที่ภาพรวมมาจากการประเมินมาต วิจารณญาณ มีความคดิ สรา๎ งสรรค๑ คิดไตรตํ รอง และมีวสิ ยั ทศั น๑ อยํใู นระดับปรับปรุงและพอใช๎ รองลงมา คือ มาตรฐานท่ี (2 ครูมีความสามารถในการจัดการเรยี นการสอนอยาํ งมีประสทิ ธิภาพและเนน๎ ผเ๎ู รียนเปน็ สาคัญ 9 การสัมมนาการปรับปรงุ หลกั สตู รเพือ่ สนองตอํ นโยบายรฐั บาล ของ ศภาวิช ทอ.ดร.งโรจน๑ เร่ืองแนวทางการ ปฏิรปู การศกึ ษาของประเทศไทย วันท่ี พบวิกฤตการการศึกษาไทย 2556 สิงหาคม 22ที่เกี่ยวกับงานวิชาการ ระดบั การศกึ ษาข้ันพ้นื ฐานคือ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของเด็กไทยอยํูในระดับตา่ อยํูในกลุมํ คะแนนรอ๎ ยละ 30 ระดบั ลาํ งสดุ เมอ่ื เทียบกับกลุมํ ประเทศOECD และประเทศกาลังพฒั นา ล๎าน 3 ประเทศ ทกุ ปเี ด็กไทยกวํา 58 67.3คนหายไปจากระบบการศกึ ษา กลายเป็นแรงงานไร๎ฝีมือแรงงานจบประถมศึกษาหรือต่ากวําถึง ร๎อยละ ต่าผลิตภาพแรงงานไทยต่ามาก และอัตราการพัฒนาHuman Development Index)HDIXของไทยอยํู ( สูงที่สุดใน) ประเทศต่ากวํามาเลเซีย ป๓ญหาพฤติกรรมเยาวชนพุํงสูงขึ้น 181 ของโลก จากจานวน 103อนั ดับ (3 (เอเชียการจดั อันดบั การศกึ ษาของไทยจากรายงานโกลบอล คอมเพทติทีฟ รีพอร๑ท ) 2015-2014Global Competitiv Report (2015-2014ซ่ึงจัดทาโดย เวิลด๑ อีโคโนมิก ฟอร่ัม )World Economic Forum-WEF) พบวํา ขีดความสามารถในการแขํงขันคณุ ภาพการศึกษาขั้นพ้นื ฐานของไทยอยทูํ อี่ ันดับ ของอาเซียน จากปีท่ี 7 (ลาว.สปป) ของโลก โดยมีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว 86 และเปน็ อันดับท่ี 6 แล๎วทอี่ ยูใํ นอนั ดบั (4 ของโลก 79 ของอาเซยี น และทิ้งหํางไทยไปอยูํในอันดับท่ี 6 ขยับไปแทนทใี่ นอนั ดับท่ีจากผลการวิจัย เชํน เร่ืองการพัฒนาระบบการริหารความเสยี่ งในโรงเรียนประถมศึกษา ความเสี่ยงท่ีพบเร่ืองการจัดการเรียนการ สอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การนิเทศการศึกษา การ พัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและ มาตรฐานการศึกษา (2556 ,เจรญิ ศรีแสนปาง) แนวคิดการบริหารมีมากดังท่ี เสนาะ ติเยาว๑ (2548, น.7) ได๎นาเสนอไว๎ 5 ประเภท ได๎แกํ 1) แนวคิดแบบดั่งเดิม (classical approach) ประกอบด๎วย 4 หลักการ คือหลักการวิทยาศาสตร๑ หลักการ บรหิ ารเชิงระบบ หลกั การบรหิ ารและราชการ 2) แนวคิดเชิงมนุษย๑สัมพันธ๑ (human relation approach) การบริหารตามแนวมนุษย๑สัมพันธ๑ ต๎องอาศัยทฤษฎีทางการบริหาร 4 ทฤษฎีความต๎องการของคนทฤษฎี X และทฤษฎี Y ทฤษฎบี คุ ลิกภาพและทฤษฎผี นู๎ า 3)แนวคดิ เชิงปริมาณหรอื การบริหารศาสตร๑ (quantitative or management science approach) เน๎นการตัดสินใจเพื่อใช๎ประโยชน๑ทางการบริหาร ใช๎มาตราฐานการ ตดั สินใจโดยยึดหลักเศรษฐศาสตร๑ ใชส๎ ูตรหรือรปู แบบหรือการวิเคราะห๑ทางคณิตศาสตร๑หรือเชิงปริมาณและ อาศัยเคร่อื งคอมพิวเตอร๑ใช๎ประมวลข๎อมูลจานวนมาก 4)แนวคิดเชิงสถานการณ๑(contingence approach) ประกอบ 3 แนวคิดท่ีสัมพันธ๑กัน คือ แนวความคิดเชิงระบบ แนวคิดทางการปฏิบัติและการวิเคราะห๑การ เปล่ียนแปลง 5) แนวคิดสมัยใหมํ (modern approach) เป็นการบริหารคุณภาพโดยรวม มีลักษณะสาคัญ ไดแ๎ กํ เน๎นความสนใจทผ่ี ร๎ู ับบรกิ าร การบริหารคุณภาพท่ีเก่ียวข๎องกับการปรับปรุงอยํางตํอเนื่องเก่ียวข๎องกับ การปรับปรุงทุกอยํางทีอ่ งค๑กรทา มมี าตรบานในการวัดทถี่ กู ตอ๎ ง มกี ารใหอ๎ านาจแกพํ นกั งานและมํุงสูํความเป็น การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 442

เลิศ แนวคดิ สมัยใหมยํ ดึ ถือสมมติฐานวํามนษุ ยเ๑ ป็นสง่ิ ยงํุ ยากซับซ๎อน มีความต๎องการไมสํ ้ินสุด หลากหลายและ เปล่ยี นแปลงตลอดเวลา แนวคดิ นผี้ สมผสานความคิด แนวคดิ แบบด้งั เดมิ กับแนวคิดเชงิ สถานการณ๑ เขา๎ ด๎วยกัน และเสริมดว๎ ยการบริหารคุณภาพโดยรวม โดยมุงํ สูํความเปน็ เลิศ การลดสายปุานการบังคบั บัญชาใหส๎ ้นั ลง การ เรยี นรู๎ การปรบั รปู แบบองค๑กรและการแสวงหาจากแหลํงเรยี นร๎ภู ายนอก ในยคุ นี้ แนวคิดการบริหารงานไดม๎ ีวิวัฒนาการสูํการบริหารจัดการในศตวรรษที่ ซึ่งแนวคิดและ 21 หลักการในอดีตไมสํ ามารถใหค๎ าตอบการบริหารจัดการท่ีมีประสิทธิภาพสูงและมีคุณภาพได๎ดี หรือเป็นไปใน บริหารแบบใหมํๆ และการแบบที่สมบูรณ๑ในทุกเร่ืองทุกกรณี จึงมีพัฒนาการในกลยุทธ๑และแนวคิดการ ปฏิบัติการท่ีเป็นแบบBest Practice ซ่ึงสามาถเลือกใช๎ได๎จากแนวคิดของ Mudern Guru ตํางๆและหลัก ปฏิบัติเฉพาะเร่ือง เชํน TQM, TQA, Competitive Advantage, Bench – marking, Balanced–Score Card, 6-Sigma, CRM )Customer Relationship Management, CSR) Corporate SocialResponsibility, Kaizen, Toyota Way, LO )Learning Organization เป็นตน๎ (แต่ท่ีเหมาะสมกับบริบทไทยอาจเป็นวิธีการ บรหิ ารความเสย่ี งก็เปน็ อีกเร่อื งหนงึ่ ในข้ันก๎าวหน๎าทส่ี าคัญในยคุ นี้ ซงึ่ เปน็ กลยทุ ธ๑ทางการบริหารจดั การในแนว ทเี่ หมาะกับสภาพสงั คมป๓จจุบัน ท่ีมีความไมแํ นํนอนสูงมีการเปลี่ยนแปลงคํอนข๎างเร็วมีการเปล่ียนแปลงมาก องค๑กรหรือกิจกรรมตํางๆ ต๎องเผชิญกับความเส่ียงที่อาจกลายเป็นอุปสรรคหรือเป็นตัวขัดขวางไมํให๎งาน สามารถดาเนนิ ไปสคูํ วามสาเร็จ ไมํบรรลุผลตามวัตถุประสงค๑ขององค๑การ หรืออาจเกิดเป็นป๓ ญหาขึ้นได๎ใน สถานการณ๑ตาํ งๆ ซงึ่ เปน็ เหตุผลอยาํ งหน่งึ ที่ผู๎เขียนจะนาเสนอในบทความน้ี จากเหตุผลดังกลาํ ว จะเหน็ ไดว๎ ํา การนาระบบบริหารความเส่ยี งมาใชป๎ ระกอบในการดาเนินงานแตํ ละด๎านโดยเฉพาะงานด๎านวิชาการในสถานศึกษา ชํวยให๎งานวิชาการประสบความสาเร็จได๎อยํางมี ประสิทธิภาพ เป็นไปตามที่คาดหวัง สามารถเผชิญกับความเสี่ยงตํางๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได๎เป็นอยํางดีซึ่งใน บทความนีจ้ ะแสดงให๎เห็นถึงเร่ืองที่ควรรู๎ที่เก่ียวข๎องกับการบริหารงานด๎านวิชาการของสถานศึกษาคือ เรื่อง แนวคดิ หลกั การและแนวปฏบิ ตั ิในการบริหารความเส่ียง ระบบบรหิ ารความเสี่ยงด๎านการบริหารงานวิชาการ ในสถานศึกษา การบริหารความเส่ยี ง แท๎ทจี่ รงิ แลว๎ การบริหารความเสย่ี ง เปน็ วิธกี าร ที่ชวํ ยให๎องคก๑ ารสามารถบริหารงานใหม๎ ีประสิทธิภาพ ย่ิงขึ้นเป็นกระบวนการท่ีชํวยในการกาหนดกลยุทธ๑และการดาเนินงานโดยกระบวนการบริหารความเสี่ยงท่ี สามารถบงํ ชี้เหตกุ ารณท๑ ่ีอาจเกดิ ขึน้ และมีผลกระทบตอํ องค๑กรและสามารถจัดการความเสี่ยงให๎อยูํในระดับท่ี ยอมรับได๎เพือ่ ให๎ได๎รับความมั่นใจอยํางสมเหตุสมผลในการบรรลุวตั ถปุ ระสงค๑ที่องค๑กรกาหนดไว๎ในการปฏิบัติ คือการคาดการณ๑คอื สิ่งทอ่ี าจเกิดข้นึ ทม่ี ีโอกาสทาให๎องค๑กรประสบกบั ความสูญเสียหรือประสบกับส่ิงที่ไมํพึง ประสงค๑เชํน การบาดเจ็บความเสียหายเหตรุ ๎ายการเกดิ อันตรายสญู เสยี ทรพั ย๑สนิ สูญเสยี ช่อื เสยี งเกดิ ขน้ึ เกดิ ภาพ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 443

ลบขององคก๑ รและบคุ ลากรเกดิ ความไมแํ นนํ อนในสภาวะทเ่ี ปล่ียนแปลงไปหรือในการปฏิบัติการไมํพิทักษ๑สิทธิ หรือศักดิศ์ รี หรอื อาจกอํ ให๎เกิดความสญู เสยี จนต๎องมีการชดใช๎คําเสียหาย สิ่งท่ีตามมาคือ ต๎องมีการบริหาร ความเส่ยี ง ซ่งึ เปน็ กระบวนการที่ปฏบิ ัติโดยการรวํ มมือกนั คน๎ หาและให๎ข๎อมูลที่เป็นประโยชนต๑ อํ การคาดการณ๑ เหตุการณ๑ที่อาจเกิดขึ้นและอาจสํงผลเสียตํอองค๑กร ท่ีจะนาไปสํูการออกแบบแผนงาน การปูองกัน การ ควบคมุ เพอื่ การลดหรอื กาจดั แหตุการณ๑ทีอ่ าจสงํ ผลเสยี ตอํ องคก๑ ร หรืออุปสรรคทม่ี ีอยูํเดิม ให๎อยูํในระดับท่ี เปน็ ทย่ี อมรับได๎ โดยองค๑กรยังต๎องบรรลุวัตถุประสงค๑ตามที่กาหนดไว๎อยํางมีประสิทธิภาพ หรือการจัดการ กระบวนการดาเนินงานขององคก๑ รใหบ๎ รรลเุ ปาู หมายโดยมกี ารวางแผน วิเคราะห๑ กากับ พฒั นาทางเลอื กในการ บริหารความเส่ียง ตรวจติดตามและควบคมุ ใหเ๎ ปน็ แนวทางเดียวกันตามวัตถุประสงค๑ขององค๑กร (ดวงใจ ชํวย ตระกูล, 2551, น.25) ในวงการการบริหารความเส่ียง ไดจ๎ ดั ประเภทของความเส่ยี งไวเ๎ ปน็ กลุมํ ๆ เชํน ความเส่ียง จากแผนงาน ความเสี่ยงจากบุคคล ความเสี่ยงจากเงิน ความเส่ียงจากการดาเนินงาน ความเสี่ยงจาก สภาพแวดล๎อม สํวนความเส่ียงในงานการบริหารจัดการของสถานศึกษาเมื่อพัฒนาตามกรอบโดยสร๎าง ระบบงานตามแนวทางของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน นาํ จะเปน็ ความเสย่ี งในกลมุํ งานสาคญั ของสถานศกึ ษา คอื งานดา๎ นวชิ าการ ดา๎ นการเงนิ ด๎านบคุ คล และดา๎ นบรหิ ารงานทวั่ ไป สํวนในด๎านกระบวนการบริหารความเส่ียง ได๎มีนักวิชาการและหนํวยงานท้ังในประเทศและ ตํางประเทศตํางได๎เสนอแนะไว๎หลายรูปแบบด๎วยกัน แตํที่มีลักษณะสาคัญที่คล๎ายกัน คือ 1) ศึกษา สภาพแวดล๎อมภายในองค๑การ 2) การประเมินและจัดลาดับความเสี่ยง 3) การบริหารความเส่ียง 4) การ ตรวจสอบ การตดิ ตามผล การทบทวนและการรายงานผลการบริหารความเสย่ี งของสถานศึกษา จะเป็นดังนี้ 1. ศกึ ษาสภาพแวดล๎อมด๎านการบรหิ ารความเสีย่ งขององค๑การ การศกึ ษาสภาพแวดลอ๎ มดา๎ นความเสี่ยงขององคก๑ าร หมายถงึ การศึกษาวัฒนธรรมองคก๑ าร นโยบายของผ๎บู รหิ าร แนวทางการปฏบิ ัตงิ านบุคลากร กระบวนการทางาน ระบบสารสนเทศ ระเบียบ เป็นต๎น ซึ่งจะได๎ข๎อมูลความเส่ียง ในรายงานผลการศึกษาสภาพแวดล๎อม ด๎านความเส่ียงภายในองค๑การซ่ึงจะ ดาเนินการ ดังตอํ ไปนี้ 1.1 การต้งั ผ๎ูรบั ผิดชอบ กาหนดทีมงานบรหิ ารความเส่ียงขององค๑การและทีมที่รับผิดชอบในงาน แตลํ ะด๎าน ทาหน๎าท่ใี หค๎ วามรู๎กบั ทมี ท่ีปฏบิ ัติงานเรอ่ื งการบรหิ ารความเสี่ยงองคก๑ ารให๎มีความเชี่ยวชาญในการ วิเคราะหแ๑ ละบรหิ ารความเสยี่ งขององค๑การ ทาหน๎าทใี่ นการวจิ ัยองค๑การ ระบุความเส่ียงด๎านตํางๆ ให๎ความร๎ู ด๎านความเส่ยี งกับหนํวยงานอ่นื ในองคก๑ าร และเก็บข๎อมลู เกี่ยวกบั ความเสี่ยงขององคก๑ ารทางานรวํ มกบั ทีมงาน ฝุายตํางๆ ขององคก๑ าร วางขอบเขตและวัตถปุ ระสงค๑ของงานบริหารความเส่ยี ง 1.2 การสารวจความเส่ียงเปน็ กจิ กรรมเบอ้ื งตน๎ ทต่ี อํ จากการกาหนดวตั ถุประสงคง๑ านบริหารความ เสยี่ งขององคก๑ าร เพื่อเกบ็ รวบรวมข๎อมูลเกีย่ วกับความเส่ยี งของพ้ืนที่ตาํ งๆ ท่ีได๎กาหนดขอบเขตของพืน้ ที่ความ เส่ยี งทต่ี อ๎ งการสารวจ ตามที่ตกลงกบั ทีมทร่ี ับผดิ ชอบในงานขององค๑การ ก 1.3 ารระบุความเสย่ี ง ปจ๓ จัยเส่ยี งข้ันตอนนสี้ าคญั มาก คอื ต๎องระบุความเสย่ี งโดยการหาข๎อมลู ความเส่ยี ง ตน๎ เหตุของความเสีย่ ง ประเภทของความเสีย่ งเพือ่ ใชใ๎ นการวเิ คราะห๑ขนั้ ตอํ ไป การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 444

.2 ประเมนิ ความเส่ยี งและจัดลาดบั ความเส่ยี ง 2.1 การประเมินความเสี่ยงคือ วิเคราะห๑เพื่อพิจารณาตัดสินวําความเส่ียงเหลํานั้นควรจะได๎รับ การจัดการอยาํ งไร โดยคานงึ ถึงทั้งความเปน็ ไปไดท๎ ่จี ะเกดิ ความเสีย่ งและผลกระทบท่ีเกิดจากความเส่ียงนั้นๆ แลว๎ นาไปหาคาํ คะแนนความเสี่ยง คําป๓จจัยเส่ยี ง คําลาดับความเส่ยี ง และแผนภูมิความเสี่ยงความเสยี่ ง 2.2 การสร๎างแผนภมู ิความเสย่ี งคอื การสรา๎ งแผนภมู คิ วามเสย่ี งเพอื่ ใหเ๎ หน็ ภาพรวมวาํ ความเสี่ยงมี การกระจายตัวตามความเส่ียงและความรนุ แรงอยาํ งไรเพื่อใหท๎ ีมบรหิ ารความเสี่ยงสามารถลาดับการแก๎ไขและ กาหนดการจัดการความเส่ยี งตามลาดบั กํอนหลัง โดยรวํ มมือกับทมี ทรี่ บั ผดิ ชอบงานแตํละดา๎ นขององคก๑ าร 2.3 จัดลาดับความเสี่ยงและวิเคราะห๑เพ่ือวางแผนกลยุทธ๑การบริหารความเสี่ยงท่ีเหมาะสมคือ การ นาแผนภูมคิ วามเสี่ยงทีไ่ ดม๎ าพจิ ารณาผลกระทบของความเสี่ยงจากแตํละแหลงํ ท่ีมา เพื่อการเปรียบเทียบ ในภาพรวมขององค๑การวําความเสย่ี งใดเป็นความเสย่ี งที่ควรได๎รับการจัดการอยํางเรํงดํวน ความเส่ียงใดควร ได๎รับการจัดการในอันดับรองลงไป จัดลาดับความเสี่ยงที่ควรได๎รับการจัดการกํ อนหลังแล๎ว วิเคราะห๑เพื่อ วางแผนกลยทุ ธใ๑ นการจดั การกบั แตํละความเสย่ี ง ด๎วยหลัก 1) การหลีกเลีย่ งความเสย่ี ง 2) การรบั ความเสีย่ งไว๎ เอง 3) การควบคมุ ความสญู เสยี และ4) การถํายโอนความเส่ยี ง วธิ ีดงั กลาํ วอาจแตกตาํ งกันไปในแตํละองค๑การ ขน้ึ อยํกู ับการวเิ คราะห๑และประเมนิ ความเหมาะสมขององคก๑ าร 3. การบริหารความเสยี่ ง (Risk Management ) 3.1 การจัดทาแผนบริหารความเสี่ยงคือ จะจัดทาแผนบริหารความเสี่ยง ที่แสดงถึงวิธีการ ดาเนินงาน การกาหนดหนํวยงานหรือบคุ คลท่ีจะเปน็ ผรู๎ ับผดิ ชอบแผนบริหารความเสี่ยงนนั้ ๆและมีกาหนดการ แล๎วเสร็จของแผน 3.2 การประเมนิ มาตรการควบคุมแผนการบรหิ ารความเส่ยี งโดยทีมบรหิ ารความเสีย่ ง ประเมนิ กจิ กรรมการควบคุมทค่ี วรจะมหี รือมอี ยูํแลว๎ วาํ สามารถชํวยควบคมุ ความเสย่ี ง หรือปจ๓ จยั เสย่ี งได๎อยาํ งเพียงพอ หรอื ไมํ หรือเกิดประสิทธผิ ลตามวัตถุประสงค๑ของการควบคุมเพียงใด เพ่ือให๎มั่นใจได๎วําสามารถควบคุมความ เสีย่ งทีม่ ีผลกระทบตํอการบรรลุวตั ถุประสงคข๑ ององค๑กรไดอ๎ ยํางมีประสทิ ธภิ าพ ซ่ึงการควบคมุ มี 4 ประเภท คือ 1) การควบคมุ เพ่ือการปูองกนั (Preventive Control) เป็นวิธีการท่กี าหนดการปูองกันเพ่อื ไมํใหเ๎ กิดความเส่ียง และข๎อผิดพลาดตั้งแตแํ รก เชนํ การอนุมตั ิ การจัดโครงสร๎างองค๑การ การแบงํ แยกหน๎าท่ี การควบคมุ การเข๎าถึง เอกสาร ข๎อมูล ทรพั ย๑สนิ เปน็ ต๎น 2) การควบคมุ เพ่ือตรวจ (Detective Control) เปน็ วิธกี ารควบคุมที่กาหนด ข้ึนเพื่อค๎นหาข๎อผิดพลาดที่เกิดขึ้นแล๎ว เชํนการสอบทาน การวิเคราะห๑ การยืนยันตลอด การตรวจนับ การ รายงานขอ๎ บกพรอํ ง เป็นต๎น 3) การควบคุมโดยการช้ีแนะ (Directive Control) เป็นวิธีการควบคุมท่ีสํงเสริม หรอื กระต๎นุ ให๎เกดิ ความสาเร็จตามวัตถุประสงค๑ที่ต๎องการ เชํน การให๎รางวัลแกํผ๎ูมีผลงานดี เป็นต๎น 4) การ ควบคุมเพ่ือการแก๎ไข (Corrective Control) เป็นวิธีการควบคุมที่กาหนดขึ้นเพื่อแก๎ไขข๎อผิดพลาดท่ีเกิดข้ึน หรือเพอื่ หาวิธกี ารแก๎ไขไมํใหเ๎ กดิ ข๎อผดิ พลาดซา้ อีกในอนาคต กิจกรรมน้ีเพื่อนามาแก๎ไขแผนการบริหารความ เสย่ี ง 3.3 การจัดการความเสีย่ ง เป็นการนาเอาแผนการบริหารความเสยี่ งไปปฏิบัติโดยทีมท่ีรับผิดชอบ ในเฉพาะงานแตลํ ะด๎านขององค๑การซึ่งขึ้นอยํกู บั เทคนิคที่เลอื กและกจิ กรรมท่ีกาลังจดั การอยูํ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 445

4. การติดตามตรวจสอบผล การทบทวนและการรายงานผลการบริหารความเสีย่ ง 4.1 ติดตามตรวจสอบและทบทวนหลังจากจดั ทาแผนบริหารความเสีย่ งและมีการดาเนินงานตาม แผนแล๎วจะต๎องมีการติดตามตรวจสอบเป็นระยะๆ วํามีความเหมาะสมกับสถานการณ๑ มีการเปลี่ยนแปลง หรอื ไมํ รวมถึงเป็นการทบทวนประสทิ ธภิ าพของแนวการบรหิ ารความเส่ียงในทกุ ขน้ั ตอน ของทกุ ทมี ในองค๑การ 4.2 การรายงาน คือ การทผ่ี ๎รู บั ผดิ ชอบแผนจะจัดทารายงานความก๎าวหน๎าของการบริหารความ เสยี่ งรวมทง้ั ระบถุ งึ ปญ๓ หาและอุปสรรคทจี่ ะทาใหไ๎ มํสามารถดาเนินงานตามแผนได๎ เพอื่ พฒั นาระบบให๎ดียิ่งข้นึ การบริหารความเสย่ี งในสถานศึกษา ในการบริหารความเส่ียงในสถานศึกษา ปรากฏวํากลํุมตรวจสอบภายในระดับกระทรวง กระทรวงศึกษาธกิ าร (2556, น.19-39)ได๎กาหนดวิธีการจัดทาระบบบริหารความเสยี่ ง เพือ่ ให๎เกดิ ประสิทธิภาพ และประสทิ ธผิ ลภายใตก๎ ารกากับดแู ลตนเองท่ดี ี และเพื่อให๎การดาเนินงานสามารถนาไปสํูการปฏิบัติได๎อยําง เปน็ รปู ธรรมและบรรลุเปูาประสงค๑ จึงกาหนดแนวทางการดาเนินงานบริหารความเส่ียง เพ่ือให๎หนํวยงานใน กระทรวงศกึ ษาธิการถือปฏบิ ัติประกอบดว๎ ยกนั คือ 1) การเตรียมการกอํ นการจัดทาระบบบรหิ ารความเสี่ยง 2) การจดั ทาระบบบริหารความเส่ียง และ 3) การประเมนิ ผลและรายงานผลการจัดทาระบบบริหารความเส่ียงคือ 1. การเตรยี มการก่อนการจัดทาระบบบริหารความเสี่ยงผบู๎ ริหารหรือผน๎ู าระดับสงู ในองคก๑ าร และผปู๎ ฏิบัตงิ านทกุ คนต๎องรับทราบนโยบายมาตรการบรหิ ารความเสี่ยง ทต่ี อ๎ งสอดคล๎องกับวิสัยทัศน๑ พันธกิจ ยุทธศาสตร๑ เปูาหมาย และกลยุทธ๑กระทรวง ดงั นั้นผูบ๎ รหิ ารต๎องจดั ประชมุ เพ่อื ชแ้ี จงและทาความเขา๎ ใจรํวมกัน กบั ผ๎ปู ฏิบัตงิ านทุกระดบั กอํ นทจ่ี ะมีการดาเนนิ งานบริหารความเส่ยี งอยาํ งเป็นระบบ 2. การจัดทาระบบบรหิ ารความเสี่ยง ระบบบรหิ ารความเส่ยี ง ประกอบดว๎ ย กระบวนการบริหาร ความเสีย่ ง 5 ขั้นตอนไดแ๎ กํ 1) การกาหนดวัตถปุ ระสงค๑ 2) การระบปุ จ๓ จยั เส่ียง 3) การประเมินความเสี่ยง 4) การจัดการและจัดทาแผนบริหารความเส่ียง 5) การรายงานและคิดตามผล จะเกี่ยวเน่ืองกัน และต๎อง ดาเนนิ การตามกระบวนบรหิ ารความเสี่ยงทกุ ขน้ั ตอนอยํางตํอเน่ืองและสม่าเสมอเปน็ ประจาทุกปี 3.การประเมนิ ผลและรายงานผลการจัดทาระบบบริหารความเส่ยี ง การรายงานการตดิ ตามแนวทางการจัดการความเสี่ยง เป็นการรายงานเพ่ือติดตามการจัดการความ เสยี่ งโดยใชแ๎ บบฟอร๑มรายงานการตดิ ตามแนวทางการจดั การจดั การความเส่ยี งตามชวํ งเวลาเปน็ รายเดือน หรือ ไตรมาส หรือตามความเหมาะสมโดยระบคุ วามคบื หนา๎ ของการจดั การความเสย่ี ง ปญ๓ หาและแนวทางการแก๎ไข และผ๎ทู ี่ทาการสอบทานเพอ่ื ให๎สามารถดาเนินมาตรการไดอ๎ ยาํ งสมบรู ณ๑ การบริหารความเสีย่ งด้านงานวิชาการ การบรหิ ารงานวชิ าการ เป็นการดาเนินงานในสถานศกึ ษาที่เกีย่ วกับการปรับปรงุ พัฒนาการเรียนการ สอนใหม๎ ีประสทิ ธิภาพและเกิดประสิทธิผลสงู สุด สถานศึกษาในฐานะเป็นหนํวยงานในการจัดการศึกษาให๎กับ นักเรียน การบริหารงานวิชาการถือเป็นภารกิจหลักของผ๎ูบริหารสถานศึกษา และถือวํา เป็นหัวใจของการ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 446

บริหารสถานศึกษา และเก่ยี วขอ๎ งกับผ๎บู รหิ ารสถานศึกษาและบุคคลากรทกุ ระดับของสถานศกึ ษา จะเกี่ยวข๎อง โดยทางตรงหรอื ทางอ๎อมขึ้นอยํูท่ีลกั ษณะของงานที่จะต๎องดาเนินการให๎บรรลุเปูาหมายของงานด๎านวิชาการ ซงึ่ ต๎องคานงึ ถงึ การพัฒนาสูคํ วามเปน็ เลศิ และทกุ คนมสี ํวนรวํ มในการดาเนนิ การใหม๎ ีประสทิ ธิผล เพอ่ื ให๎ผม๎ู ีสํวน เก่ียวข๎องทุกฝุายเกิดความมั่นใจในคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ถ๎าการดาเนินงานทางวิชาการ อาศัยการบริหารความเสี่ยงเข๎ามาใช๎ ยํอมจะชํวยใหส๎ ามารถบรรลุความสาเร็จในงานวิชาการได๎มีประสิทธิภาพ มากยงิ่ ข้นึ สาหรับขอบขํายงานด๎านวิชาการในสถานศึกษาน้ันได๎ มีนักวิชาการได๎กาหนดไว๎หลายแบบ แตํที่ ครอบคลมุ ตามกฎกระทรวง ซึ่งกาหนดหลกั เกณฑแ๑ ละวธิ กี ารกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษา (2550, น. 29-30) ได๎กาหนดขอบขํายงานการบริหารงานวิชาการ จานวน 17 ด๎าน ได๎แกํ1) การพัฒนาหรือ ดาเนินการเกยี่ วกับการพัฒนาสาระหลกั สูตรท๎องถ่ิน 2) การวางแผนงานด๎านวิชาการ3) การจัดการเรียนการ สอนในสถานศึกษา 4) การพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา 5) การพัฒนากระบวนการเรียนรู๎ 6) การวัดผล ประเมนิ ผลและดาเนนิ การเทียบโอนผลการเรียน 7) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษ าในสถานศึกษา 8) การพัฒนาและสงํ เสรมิ ใหม๎ แี หลํงเรยี นรู๎ 9) การนิเทศการศกึ ษา 10) การแนะแนว 11) การพัฒนาระบบประกนั คุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา 12) การสํงเสรมิ ให๎ชุมชนมคี วามเขม๎ แข็งทางวชิ าการ 13) การประสาน ความรวํ มมอื ในการพฒั นาวชิ าการกับสถานศึกษาและองคก๑ รอนื่ 14) การสงํ เสรมิ และสนบั สนนุ งานวิชาการแกํ บคุ คลครอบครัว องคก๑ ร หนวํ ยงานสถานประกอบการและสถาบันอ่ืนที่จัดการศึกษา 15) การจัดทาระเบียบ และแนวปฏิบัติเก่ียวกับงานด๎านวิชาการของสถานศึกษา 16) การคัดเลือกหนังสือแบบเรียนเพื่อใช๎ใน สถานศึกษา และ 17) การพฒั นาและใช๎ส่ือเทคโนโลยเี พ่ือการศึกษา กระบวนการบรหิ ารความเส่ยี งในงานดา๎ นวิชาการ ประกอบดว๎ ย 1) ศกึ ษาสภาพแวดล๎อมภายใน องคก๑ าร 2) การวิเคราะห๑ การประเมนิ ความเสี่ยงและจัดลาดับความเสี่ยง 3) การบริหารความเส่ียง และ 4) การตดิ ตามตรวจสอบผลทบทวนและการรายงาน ดงั ตารางแสดงมิตกิ ารดาเนนิ งานตอํ ไปน้ี การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 447

ตารางแสดงมิตกิ ารดาเนินงานการบริหารความเสี่ยงดา้ นงานวชิ าการในสถานศึกษา การติดตาม ตรวจสอบผล การศกึ ษา ประเมิน การบรหิ าร การทบทวน กระบวนการ สภาพแวดล๎อ ความเสยี่ ง ความเสี่ยง และการ รายงานผล มด๎านการ และ (Risk การบริหาร บริหารความ จัดลาดบั Managem ความเส่ยี ง เสี่ยงของ ความเสี่ยง ent ) องค๑การ งานวิชาการ 1.การพัฒนาหรือดาเนนิ การเก่ียวกับการพัฒนาสาระหลักสูตร ทอ๎ งถน่ิ 2.การวางแผนงานด๎านวิชาการ 3.การจดั การเรียนการสอนในสถานศกึ ษา 4.การพฒั นาหลักสูตรของสถานศกึ ษา 5.การพัฒนากระบวนการเรียนร๎ู 6.การวัดผลประเมนิ ผลและดาเนินการเทยี บโอนผลการเรยี น 7.การวจิ ัยเพ่ือพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาในสถานศึกษา 8.การพฒั นาและสงํ เสริมใหม๎ แี หลํงเรยี นรู๎ 9.การนเิ ทศการศึกษา 10.การแนะแนว 11.การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐาน การศกึ ษา 12.การสํงเสรมิ ใหช๎ ุมชนมคี วามเข๎มแข็งทางวิชาการ 1 3 . ก า ร ป ร ะ ส า น ค ว า ม รํ ว ม มื อ ใ น ก า ร พั ฒ น า วิ ช า ก า ร กั บ สถานศกึ ษาและองคก๑ รอนื่ 14.การสงํ เสริมและสนับสนุนงานวิชาการแกํบุคคลครอบครัว องค๑กร หนํวยงานสถานประกอบการและสถาบันอ่ืนที่จัด การศกึ ษา 15.การจัดทาระเบยี บและแนวปฏบิ ัตเิ กี่ยวกับงานด๎านวิชาการ ของสถานศึกษา 16.การคัดเลอื กหนงั สอื แบบเรยี นเพื่อใช๎ในสถานศึกษา และ 17.การพฒั นาและใช๎สอ่ื เทคโนโลยเี พ่อื การศึกษา และระบบการบรหิ ารความเสีย่ งดา๎ นการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนโดยภาพรวมจะมลี กั ษณะดังน้ี (หน๎า 9) ศึกษาสภาพแวดล๎อมภายในองคก๑ าร ประกอบด๎วย (1สถานศึกษาตัง้ คณะกรรมการรับผิดชอบการ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 448

บรหิ ารงานความเสี่ยงของสถานศึกษาซึ่งต๎องเป็นทีมท่ีมีความร๎ูการบริหารความเสี่ยง แตํงตั้งคณะกรรมการ บรหิ ารความเสี่ยงในงานวิชาการตอ๎ งมีความรู๎ในงานวิชาการตามขอบขํายงานท้ัง 17 ด๎านท้ัง 2 ทีมต๎องมีการ วางขอบเขตของงานและดาเนนิ งานบรหิ ารความเส่ยี งในงานวชิ าการรํวมกัน 2) การสารวจความเสี่ยงที่เกิดใน งานวิชาการ และ3) ระบคุ วามเสีย่ งในงานวชิ าการ การวเิ คราะหโ๑ ดยการประเมินความเสี่ยงและจดั ลาดบั ความเสี่ยง ประกอบดว๎ ย 1) ประเมนิ ความ เสยี่ ง นาความเส่ยี งในงานวชิ าการท่ีระบมุ านั้นนาไปวิเคราะห๑เพื่อสร๎างเกณฑ๑การพิจารณาเพื่อตัดสินวํา ความ เส่ยี งทเ่ี กดิ นนั้ จะจดั การอยาํ งไร 2) วเิ คราะห๑ความเสี่ยง นาความเส่ยี งในงานวิชาการท่ปี ระเมินได๎มาหาคะแนน ความเส่ียง คําป๓จจัยเส่ียง คําลาดับความเสี่ยงลาดับความเสี่ยง และตารางความเส่ียงคํา 3) นาความเสี่ยงท่ี วเิ คราะหไ๑ ด๎มาจดั ลาดบั ความเสยี่ งวําความเสี่ยงในเรื่องอะไรที่เกิดข้ึนในงานวิชาการควรได๎รับการการจัดการ อยํางเรงํ ดวํ นความเสี่ยงใดควรได๎รบั การจัดการรองลงไป เมื่อจดั ลาดับเรียบร๎อยแล๎ว มาพิจารณา 4 ทางเลือก หลัก คือ หลีกเล่ียงความเส่ียง รับความเสี่ยงไว๎ ควบคุมความสูญเสีย และถํายโอนความเส่ียง วําควรนา ทางเลือกใดไปใช๎ดาเนินการตํอไป และ 4) สร๎างแผนภูมิความเส่ียงเพื่อให๎คณะกรรมการบริหารความเส่ียง สามารถลาดับการแกไ๎ ขและจดั การความเสย่ี งกํอนหลัง การบริหารความเสีย่ ง ประกอบดว๎ ย 1) จดั ทาแผนงานการบริหารความเส่ียงในงานวิชาการท้ัง17 ดา๎ น กาหนดคณะกรรมการทรี่ ับผิดชอบต๎องครอบคลุมงานวิชาการท้ังหมด กาหนดวิธีการดาเนินงานรวมท้ัง เวลาในการดาเนินงาน 2) ประเมินมาตรการควบคุมแผนการบริหารความเสี่ยงในงานวิชาการ โดยเลือก ประเภทการควบคมุ ใหเ๎ หมาะสม หรอื เลือกท้ังหมด 4 ประเภท คือ ควบคุมเพื่อปูองกัน ควบคุมเพื่อให๎ตรวจ พบข๎อผิดพลาด ควบคมุ โดยการช้ีแนะให๎ประสบความสาเรจ็ และ ควบคุมเพื่อแก๎ไขข๎อผิดพลาด ซ่ึงข้ึนอยํูกับ ป๓ญหาทเ่ี กิดในแผน 3) การจัดการความเสีย่ ง ดาเนินงานตามขนั้ ตอนในแผนบรหิ ารความเสย่ี ง การตรวจสอบความเส่ียงโดยการติดตามผลทบทวนและรายงาน 1) ติดตามผลและทบทวนแผนการ บริหารความเสี่ยงตามตาราเวลาการดาเนินงานท่ีกาหนดตามแผน 2) การรายงาน คณะกรรมการท่ีถูก กาหนดให๎รับผิดชอบในการจัดทารายงาน ดาเนินการรายงานความก๎าวหน๎าของแผนรวมท้ังระบุป๓ญหาและ อุปสรรคที่ทาให๎ไมสํ ามารถดาเนินงานตามแผนได๎หรือข๎อเสนอแนะท่เี กดิ ข้ึนระหวาํ งดาเนนิ งานตามแผน การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 449


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook