Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ED-APHEIT 2018

ED-APHEIT 2018

Published by ED-APHEIT, 2019-04-05 09:41:45

Description: ED-APHEIT 2018

โครงการประชุมทางวิชาการและเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ :

สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
(สสอท.)

Search

Read the Text Version

ตารางที่ 1.1 ผลการเรียนรายวิชา งานเชื่อมและโลหะแผํนเบื้องต๎น (2100 -1005) ตั้งแตํต้ังแตํภาคเรียนท่ี 1/2557-ภาคเรียนที่ 1/2560 ระดบั ผลการ จานวนนักเรยี น รอ้ ยละ จัดกลมุ่ เรียน 4 7 2.64 3.5 20 7.55 20.00 สงู 3 26 9.81 2.5 66 24.91 2 71 26.79 51.70 ปานกลาง 1.5 41 15.47 1 33 12.45 27.92 ต่า 0 1 0.37 ท่มี า : งานวัดผล วิทยาลัยเทคนคิ นครราชสมี า จากการศึกษาค๎นคว๎าเก่ียวกับการใช๎ส่ือการเรียนการสอน นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีทางการศึกษา พบวาํ สามารถใชเ๎ ปน็ ตวั กลางซ่ึงมคี วามสาคญั ในกระบวนการจดั การเรยี นการสอน เป็นตวั นาความตอ๎ งการของ ครูไปสูตํ วั นักเรยี นไดอ๎ ยํางถกู ต๎องและรวดเร็ว เปน็ ผลให๎นกั เรยี นเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมไปตามจดุ มงํุ หมายของ การเรยี นการสอนได๎อยาํ งถกู ต๎องและเหมาะสม เพ่ือใหผ๎ ู๎เรียนพัฒนาทั้งความร๎ู ทักษะ และเจตคติ (วันชัย บุญ รอด, 2548 : 1) จากความสาคัญและทมี่ าของป๓ญหาวจิ ยั ดงั กลาํ ว ผู๎วิจัยจงึ ไดต๎ ะหนักถงึ คณุ คําของการศึกษาจึงได๎สร๎าง ชุดฝึกทกั ษะการเช่ือมไฟฟูาเชื่อมแก๏สเบื้องต๎นขึ้นมาใช๎ในการจัดการเรียนการสอน เพ่ือแก๎ไขป๓ญหาดังกลําว ขา๎ งต๎น วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย 1 สร๎างชุดฝึกทักษะการเชื่อมไฟฟูา เช่ือมแก๏สเบ้ืองต๎น เพื่อใช๎ในรายวิชางานเช่ือมและโลหะแผํน เบื้องตน๎ (2100-1005) ทัง้ น้เี พอื่ 1.1 ประเมนิ ความเหมาะสมของชุดฝกึ ทกั ษะการเช่อื มไฟฟาู เชื่อมแกส๏ เบือ้ งตน๎ 1.2 ทดสอบประสทิ ธิภาพของชดุ ฝกึ ทกั ษะการเชื่อมไฟฟูา เช่อื มแก๏สเบือ้ งตน๎ 2 ดาเนินการทดลองจดั การเรียนการสอนวชิ างานเชอื่ มและโลหะแผนํ เบือ้ งตน๎ โดยใช๎ (1005-2100) ชดุ ฝกึ ทกั ษะ การเชอื่ มไฟฟาู เชอ่ื มแกส๏ เบ้ืองต๎น ทง้ั นี้เพอื่ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 350

2.1 เปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน (ด๎านทักษะการเชื่อม) ระหวํางการฝึกเชื่อมด๎วยชุดฝึก ทักษะการเชอื่ มไฟฟาู เช่อื มแก๏สเบือ้ งต๎นกับการฝกึ เชือ่ มแบบปกติ 2.2 ศกึ ษาความพึงพอใจที่มตี อํ ชุดฝกึ ทกั ษะการเชอ่ื มไฟฟาู เช่ือมแกส๏ เบ้อื งตน๎ 3 เพอ่ื ประเมนิ รบั รองคณุ ภาพ ความเป็นไปได๎ และความเป็นประโยชน๑ของชดุ ฝกึ ทักษะการเชื่อม ไฟฟูา เช่ือมแก๏สเบื้องต๎น เพ่อื ใช๎ในรายวิชางานเช่ือมและโลหะแผนํ เบ้อื งตน๎ )2100-1005( สมมติฐานของการวิจัย .1 ชดุ ฝึกทกั ษะการเชอื่ มไฟฟาู เช่ือมแกส๏ เบื้องตน๎ เพอื่ ใช๎ในรายวิชางานเชื่อมและโลหะแผํนเบื้องต๎น )2100-1005มีความเหมาะสมและประสทิ ธิภาพ ดังน้ี ( 1.1 ความเหมาะสมอยํใู นระดับมากข้นึ ไป 1.2 ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ๑ 80/80 2 ผลดาเนินการทดลองจดั การเรียนการสอนวิชางานเช่ือมและโลหะแผนํ เบือ้ งต๎น โดย (1005-2100) ใชช๎ ดุ ฝกึ ทักษะการเชอื่ มไฟฟูา เชอ่ื มแก๏สเบื้องต๎นดงั น้ี 2.1 ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น ระหวาํ งการฝกึ เชอื่ มดว๎ ยชดุ ฝกึ (ด๎านทักษะการเชื่อม)ทกั ษะการเช่ือม ไฟฟูา เชื่อมแก๏สเบอ้ื งต๎นสูงกวําการฝกึ เชือ่ มแบบปกติอยํางมนี ัยสาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 2.2 ความพึงพอใจทม่ี ตี อํ ชดุ ฝึกทกั ษะการเชอื่ มไฟฟาู เชือ่ มแก๏สเบือ้ งต๎น อยูใํ นระดบั มากขึน้ ไป .3 ชดุ ฝึกทักษะการเชื่อมไฟฟูา เชือ่ มแกส๏ เบ้อื งตน๎ มีคุณภาพ ความเป็นไปได๎และความเปน็ ประโยชน๑ อยํใู นระดบั มากข้นึ ไป วิธีดาเนนิ การวจิ ยั 1. เครอ่ื งมอื ที่ใช้ในการวจิ ัย เครือ่ งมอื ทใ่ี ชใ๎ นการวจิ ยั ได๎แกํ 1.1 ชุดฝึกทักษะการเชื่อมไฟฟูา เช่ือมแก๏สเบื้องต๎น พร๎อมใบงาน ใบประเมินผลการปฏิบัติงาน ประกอบชดุ ฝกึ มวี ธิ กี ารสร๎างและหาคณุ ภาพ ดงั นี้ 1.1.1 สร๎างชุดฝึกทักษะการเช่ือมไฟฟาู เชือ่ มแก๏สเบ้อื งตน๎ 1.1.2 ประเมินความเหมาะสม แบบมาตราสํวนประเมินคํา ระดับ ตรวจสอบคุณภาพโดย 5 ) ผู๎เชยี่ วชาญการประเมินคาํ ดัชนีความสอดคลอ๎ งIOC โดยมคี าํ (IOC =0.99 1.2 สรา๎ งใบงาน ใบประเมินผลการปฏบิ ตั งิ านประกอบชุดฝกึ ผว๎ู จิ ัยมีวธิ กี ารสรา๎ งจากการวเิ คราะห๑ จุดประสงคร๑ ายวิชา สมรรถนะรายวิชา และคาอธบิ ายรายวชิ าเพือ่ ออกแบบและกาหนดใบงาน ตรวจสอบ คณุ ภาพโดยผเู๎ ชี่ยวชาญการประเมนิ คาํ ดัชนคี วามสอดคลอ๎ ง )IOC โดยมีคาํ (IOC = 1.00 1.3 แบบประเมินความพงึ พอใจทมี่ ีตํอชดุ ฝึกทกั ษะการเช่อื มไฟฟูา เชอ่ื มแก๏สเบอ้ื งตน๎ แบบมาตรา สํวนประเมินคาํ 5 ระดบั ตรวจสอบคุณภาพโดยผเู๎ ชี่ยวชาญการประเมนิ คําดชั นคี วามสอดคล๎อง (IOC) โดยมีคํา IOC = 0.97 การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 351

1.4 แบบประเมินรับรองคุณภาพ ความเป็นไปได๎ และความเป็นประโยชน๑ แบบมาตราสํวน ประเมินคํา 5 ระดับ ตรวจสอบคณุ ภาพโดยผู๎เชย่ี วชาญการประเมนิ คาํ ดชั นีความสอดคลอ๎ ง (IOC) โดยมคี าํ IOC = 0.97 2. การทดสอบประสิทธิภาพของชุดฝึกทักษะการเชื่อมไฟฟูา เช่ือมแก๊สเบื้องต้น มีวิธีการ ดาเนินการ ดังนี้ 2.1 การทดสอบประสิทธิภาพแบบรายบคุ คล 1:)1กลุมํ ตัวอยําง ไดแ๎ กํ นกั เรยี นแผนกวิชาชํางกล ( โรงงาน ระดบั ช้นั ปวช .2 กลมํุ ท่ี 9 จานวน คน 1 และกลุํมออํ น 1 คน กลํมุ ปานกลาง 1 คน จดั เปน็ กลมุํ เกงํ 3 การทดสอบยังพบข๎อบกพรํองของชุดฝึกทักษะการโดยพิจารณาจากระดับผลการเรยี นในรายวชิ าดงั กลําว ใน ผูว๎ ิจัยจึงได๎ปรับปรุงแกไ๎ ข80/80 เชอื่ มอยูํ ซง่ึ ผลการทดสอบยงั กวําเกณฑท๑ ีก่ าหนด 2.2 การทดสอบประสทิ ธภิ าพแบบกลมุํ เล็ก )1:10กลํุมตัวอยาํ ง ได๎แกํ นักเรียนแผนกวิชาชํางกล ( .โรงงาน ระดับชนั้ ปวช2 กลํุมท่ี 2 จานวน 3 และกลุํมอํอน 4 คน กลุํมปานกลาง 3 คน จัดเป็นกลํุมเกํง 10 คน โดยพิจารณาจากระดับผลการเรยี นในรายวิชาดังกลําว ในการทดสอบยังพบข๎อบกพรํองของชุดฝ ึกทักษะ การเช่ือมอยูํบ๎างเล็กนอ๎ ย ซึ่งผลการทดสอบยังกวําเกณฑท๑ ่กี าหนด ผวู๎ จิ ัยจึงได๎ปรบั ปรงุ แกไ๎ ข 80/80 2.3 การทดสอบประสทิ ธภิ าพแบบกลมุํ ใหญํ )1:100กลํุมตัวอยําง ได๎แกํ นักเรียนแผนกวิชาชําง ( .กลโรงงาน ระดบั ชนั้ ปวช2 กลมํุ ท่ี 7-8 จัดกลํุมนักเรยี นโดยใชเ๎ ทคนิค 27 คานวณคาํ ได๎ %6 คน จากนน้ั ผ๎ูวิจัย ไดน๎ าคะแนนของนกั เรียนทุกคนมาเรยี งลาดบั จากมากไปหาน๎อย คัดเลือกกลุํมเกํงจากคะแนนนักเรียนคนท่ี 1 นับลงไปอีก 6 ลาดับ กลุมํ ออํ นจากนกั เรียนคนสดุ ทา๎ ยนบั ข้นึ มา 6 ลาดับ นกั เรียนท่เี หลอื ตรงกลางจัดเป็นกลํุม ปานกลาง ในการทดสอบไมํพบข๎อบกพรํองของชุดฝึกทักษะการเช่ือม และผลการทดสอบสูงกวําเกณฑ๑ที่ กาหนด 80/80 3. ดาเนนิ การทดลองจดั การเรียนการสอนวิชางานเชอื่ มและโลหะแผน่ เบ้อื งตน้ (1005-2100) โดยใชช้ ดุ ฝึกทักษะการเชื่อมไฟฟาู เชือ่ มแกส๊ เบอื้ งต้น 3.1 การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน (ด๎านทักษะการเช่อื ม) การทดลองจัดการเรียนการสอนวิชางานเช่ือมและโลหะแผํนเบื้องต๎น (2100-1005) โดยใช๎ ชดุ ฝกึ ทกั ษะการเชอื่ มไฟฟูา เชือ่ มแก๏สเบอื้ งตน๎ ไดด๎ าเนนิ การในภาคเรียนที่ 2 ปีการศกึ ษา 2560 โดยได๎ทาการ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิ ทางการเรียน (ด๎านทักษะการเชอื่ ม) กับกลํมุ ตวั อยาํ ง ดงั นี้ 3.1.1 กลุํมทดลอง ไดแ๎ กํ นักเรียนระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ 2 ชั้นปีท่ี (.ปวช)แผนกวิชา เมคคาทรอนกิ ส๑ กลํุมที่ คน 37 จานวน 4-3 3.1.2 กลุํมควบคมุ ได๎แกํ นักเรียนระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชีพ 2 ชั้นปีที่ (.ปวช)แผนกวิชา เมคคาทรอนิกส๑ กลํุมที่ จานว 2-1น คน 37 3.2 การศึกษาความพงึ พอใจทีม่ ตี ํอชดุ ฝกึ ทักษะการเชอ่ื มไฟฟูา เชอื่ มแกส๏ เบ้ืองต๎น เม่ือผว๎ู ิจยั ดาเนนิ การทดลองจัดการเรยี นการสอนวิชางานเชอ่ื มและโลหะแผนํ เบอื้ งตน๎ -2100) โดยใช๎ชดุ ฝึกทักษะการเชอื่ มไฟฟูา เช่ือมแกส๏ เบอ้ื งตน๎ (1005 เสรจ็ สน้ิ ลงแล๎วลาดบั ตอํ ไปจงึ ใหก๎ ลํมุ ทดลองทา การประเมนิ ความพึงพอใจทมี่ ตี อํ ชดุ ฝึกทกั ษะการเชื่อมไฟฟาู เช่อื มแกส๏ เบ้อื งต๎น การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 352

4. การประเมนิ รับรองคณุ ภาพ ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ นาแบบประเมินรับรองคุณภาพ ความเปน็ ไปได๎ และความเปน็ ประโยชนข๑ องชุดฝึกทักษะการเชื่อม ไฟฟาู เชือ่ มแก๏สเบ้อื งต๎น เพือ่ ใช๎ในรายวชิ างานเชอ่ื มและโลหะแผํนเบอ้ื งตน๎ (2100-1005) เสนอตํอผู๎เช่ียวชาญ จานวน 5 คน เพื่อทาการประเมนิ เปน็ ขัน้ ตอนสดุ ทา๎ ย ภาพท่ี 1 แสดงชดุ ฝึกทกั ษะการเชอื่ มไฟฟูา เชือ่ มแกส๏ เบื้องตน๎ 5. การวิเคราะหข์ อ้ มลู การวิเคราะห๑ข๎อมูล ได๎แกํ คําเฉลี่ย ( x ) คําความเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D) ประสิทธิภาพ กระบวนการ (E1) ประสทิ ธิภาพผลลพั ธ๑ (E2) และการทดสอบดว๎ ย t-test Independent สรปุ ผลการวิจยั 1. สรุปผลการการวิเคราะห๑ความเหมาะสมของชุดฝึกทักษะการเช่ือมไฟฟูา เช่ือมแก๏สเบื้องต๎น โดยรวมมคี วามเหมาะสมอยใูํ นระดบั มากทส่ี ุด ) X =4.69,SD=0.42( 2. สรุปผลการทดสอบประสิทธภิ าพชุดฝึกทกั ษะการเชอื่ มไฟฟาู เชือ่ มแก๏สเบอื้ งต๎น ดงั น้ี 2.1 การทดสอบประสทิ ธภิ าพแบบรายบุคคล 1:)1 มีประสทิ ธภิ าพเทาํ กับ (62.3/864.80 2.2 การทดสอบประสทิ ธภิ าพแบบกลุมํ เลก็ )1:10 มีประสิทธิภาพเทาํ กับ (72.32/74.53 2.3 การทดสอบประสทิ ธภิ าพแบบกลุํมใหญํ )1:100 มีประสิทธภิ าพเทาํ กับ (82.15/84.20 3. สรปุ ผลการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น(ด๎านทักษะการเชื่อม) 3.1 สรปุ ผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น (ด๎านทกั ษะการเช่อื มไฟฟูา) นาเสนอผลการผลการเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น (ด๎านทักษะการเช่ือมไฟฟูา) แยก ในแตํละใบงาน ดังนี้ 1. งานเช่ือมไฟฟาู เดินแนวตาแหนงํ ทําราบ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 353

ตารางท่ี 1 ผลการวิเคราะห๑การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ด๎านทักษะการเชื่อมไฟฟูา ( SMAW)) ใบงานท่ี 1 เร่อื ง งานเช่ือมไฟฟาู เดนิ แนวตาแหนงํ ทาํ ราบ นกั เรียน n x S.D. t P-Value กลํมุ ทดลอง 37 8.76 0.36 กลุํมควบคุม 37 6.49 0.61 19.47 0.000* * นยั สาคัญทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05 จากตารางท่ี 1 แสดงผลการวิเคราะห๑การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนด๎านทักษะ การเช่ือมไฟฟูา (SMAW) ใบงานที่ 1 เร่ือง งานเช่ือมไฟฟูาเดินแนวตาแหนํงทําราบ พบวํา คะแนนเฉล่ียของ กลุํมทดลอง ( X =8.76 ,SD=0.36) สูงกวําคะแนนเฉล่ียของกลํุมควบคุม ( X =6.49, SD=0.61) อยํางมี นัยสาคัญทางสถติ ิ ทร่ี ะดับ .05 2. งานเชอื่ มไฟฟูาทบั แนวตาแหนํงทาํ ราบ ตารางท่ี 2 ผลการวิเคราะหก๑ ารเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ) ด๎านทักษะการเช่ือมไฟฟูา)SMAW (( 2 ใบงานที่เรื่อง งานเชื่อมไฟฟาู ทับแนวตาแหนํงทาํ ราบ นักเรยี น n x S.D. t P-Value กลุํมทดลอง 37 8.41 0.47 กลํุมควบคมุ 37 6.41 0.41 18.25 0.000* * นยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05 จากตารางที่ 2 พบวาํ ผลการวเิ คราะหก๑ ารเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด๎านทักษะ การเชอ่ื มไฟฟูา (SMAW) ใบงานท่ี 2 เร่อื ง งานเชื่อมไฟฟูาทบั แนวตาแหนํงทําราบ พบวํา คะแนนเฉลีย่ ของกลุํม ทดลอง ( X =8.41, SD=0.47) สูงกวาํ คะแนนเฉล่ียของกลุํมควบคุม ( X =6.41, SD=0.41) อยํางมีนัยสาคัญ ทางสถิตทิ ร่ี ะดบั .05 3. งานเช่ือมไฟฟูาตํอเกยตาแหนํงทําราบ ตารางท่ี 3 ผลการวิเคราะห๑การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ด๎านทักษะการเชื่อมไฟฟูา ( SMAW)) ใบงานท่ี 3 เรือ่ ง งานเชื่อมไฟฟูาตํอเกยตาแหนํงทําราบ นกั เรยี น n x S.D. t P-Value กลุํมทดลอง 37 8.70 0.44 กลุมํ ควบคุม 37 6.42 0.45 21.75 0.000* * นยั สาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .05 จากตารางท่ี 3 พบวําผลการวเิ คราะหก๑ ารเปรยี บเทียบผลสัมฤทธิท์ างการเรียนด๎านทักษะ การเชื่อมไฟฟูา (SMAW) ใบงานที่ 3 เร่อื ง งานเชือ่ มไฟฟาู ตํอเกยตาแหนํงทําราบ พบวํา คะแนนเฉลี่ยของกลุํม ทดลอง ( X =8.70, SD=0.44) สงู กวําคะแนนเฉลี่ยของกลํุมควบคุม ( X =6.42, SD=0.46) อยํางมีนัยสาคัญ ทางสถิติทร่ี ะดบั .05 4. งานเชื่อมไฟฟูาตํอมุมตาแหนํงทาํ ราบ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 354

ตารางที่ 4 ผลการวิเคราะห๑การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ด๎านทักษะการเช่ือมไฟฟูา ( SMAW)) ใบงานท่ี 4 เรือ่ ง งานเชือ่ มไฟฟาู ตํอมมุ ตาแหนํงทาํ ราบ นกั เรียน n x S.D. t P-Value กลมุํ ทดลอง 37 8.63 0.47 กลํุมควบคุม 37 6.67 0.55 16.32 0.000* * นยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05 จากตารางท่ี 4 พบวําผลการวิเคราะห๑การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนด๎านทักษะ การเชอื่ มไฟฟาู (SMAW) ใบงานที่ 4 เรอ่ื ง งานเชอ่ื มไฟฟูาตอํ มมุ ตาแหนงํ ทาํ ราบ พบวํา คะแนนเฉลี่ยของกลํุม ทดลอง ( X =8.67, SD=0.47) สูงกวาํ คะแนนเฉล่ียของกลํุมควบคุม ( X =6.67, SD=0.55) อยํางมีนัยสาคัญ ทางสถิตทิ ร่ี ะดับ .05 5. งานเชอื่ มไฟฟูาตอํ ตัวทตี าแหนงํ ทาํ ระดับ ตารางท่ี 5 ผลการวิเคราะหก๑ ารเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ) ด๎านทักษะการเชอ่ื มไฟฟาู )SMAW (( ใบงานที่ เรือ่ ง งานเชือ่ มไฟฟูาตอํ ตวั ทีตาแหนงํ ทําระดบั 5 นกั เรียน n x S.D. t P-Value กลมํุ ทดลอง 37 8.24 0.36 กลุมํ ควบคมุ 37 6.30 0.37 22.70 0.000* * นัยสาคญั ทางสถิติทรี่ ะดับ .05 จากตารางท่ี 5 พบวาํ ผลการวิเคราะห๑การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนด๎านทักษะ การเช่อื มไฟฟูา (SMAW) ใบงานท่ี 5 เรื่อง งานเช่ือมไฟฟูาตํอตัวทีตาแหนํงทําระดับ พบวํา คะแนนเฉล่ียของ กลุํมทดลอง ( X =8.24, SD=0.36) สูงกวําคะแนนเฉลี่ยของกลุํมควบคุม ( X =6.30, SD=0.37) อยํางมี นัยสาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดบั .05 3.2 สรปุ ผลการเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น (ดา๎ นทักษะการเช่อื มแกส๏ ) นาเสนอผลการผลการเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธิท์ างการเรียน (ด๎านทักษะการเชื่อมแก๏ส) แยก ในแตลํ ะใบงาน ดงั นี้ 1. งานสร๎างและควบคุมแอํงหลอมเหลว ตารางที่ 6 ผลการวิเคราะหก๑ ารเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน (ด๎านทักษะการเชือ่ มแก๏ส (OAW)) ใบงานท่ี 1 เรือ่ ง งานสรา๎ งและควบคมุ แอํงหลอมเหลว นักเรยี น n x S.D. t P-Value กลุํมทดลอง 37 8.94 0.33 กลมุํ ควบคมุ 37 6.51 0.52 23.89 0.000* * นัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ .05 การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 355

จากตารางท่ี 6 พบวําผลการวิเคราะห๑การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนด๎านทักษะ การเชื่อมแก๏ส (OAW) ใบงานที่ 1 เรื่อง งานสร๎างและควบคุมแอํงหลอมเหลว พบวํา คะแนนเฉล่ียของกลุํม ทดลอง ( X =8.94, SD=0.33) สูงกวําคะแนนเฉลย่ี ของกลุมํ ควบคุม ( X =6.51, SD=0.52) อยํางมนี ัยสาคัญ ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 2. งานเชือ่ มแก๏สเดนิ แนวตาแหนงํ ทาํ ราบ ตารางที่ 7 ผลการวิเคราะหก๑ ารเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น (ดา๎ นทักษะการเชอื่ มแกส๏ (OAW)) ใ บ งานที่ 2 เรอ่ื ง งานเชอ่ื มแกส๏ เดินแนวตาแหนงํ ทําราบ นักเรียน n x S.D. t P-Value กลมํุ ทดลอง 37 8.61 0.50 กลํุมควบคุม 37 6.41 0.57 17.44 0.000* * นัยสาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 จากตารางท่ี 7พบวําผลการวเิ คราะห๑การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนด๎านทักษะ การเชื่อมแก๏ส (OAW) ใบงานท่ี 2 เร่ือง งานเช่ือมแก๏สเดินแนวตาแหนํงทําราบ พบวํา คะแนนเฉลี่ยของกลุํม ทดลอง ( X =8.61, SD=0.50) สงู กวําคะแนนเฉลยี่ ของกลํุมควบคมุ ( X =6.41, SD=0.57) อยํางมีนัยสาคัญ ทางสถติ ิทีร่ ะดับ .05 3. งานเชอื่ มแก๏สตอํ เกยตาแหนงํ ทาํ ราบ ตารางท่ี 8 ผลการวเิ คราะหก๑ ารเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ) ดา๎ นทักษะการเชอื่ มแกส๏ )OAW (( เรือ่ ง งานเชื่อมแกส๏ ตํอเกยตาแหนงํ ทําราบ 3 ใบงานที่ นักเรียน n x S.D. t P-Value กลมํุ ทดลอง 37 8.87 0.35 กลมุํ ควบคมุ 40 6.43 0.61 17.06 0.000* * นยั สาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 จากตารางที่ 8 พบวาํ ผลการวิเคราะห๑การเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนด๎านทักษะ การเช่ือมแก๏ส (OAW) ใบงานที่ 3 เร่ือง งานเช่ือมแก๏สตํอเกยตาแหนํงทําราบ พบวํา คะแนนเฉล่ียของกลุํม ทดลอง ( X =8.86, SD=0.35) สูงกวาํ คะแนนเฉลี่ยของกลุมํ ควบคุม ( X =6.44, SD=0.61) อยาํ งมีนยั สาคัญ ทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 4. งานเช่ือมแกส๏ ตํอมุมตาแหนงํ ทาํ ราบ ตารางที่ 9 ผลการวเิ คราะหก๑ ารเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน (ด๎านทกั ษะการเชื่อมแก๏ส (OAW)) ใ บ งานท่ี 4 เรือ่ ง งานเชอื่ มแก๏สตํอมุมตาแหนงํ ทาํ ราบ นักเรียน n x S.D. t P-Value กลํุมทดลอง 37 8.42 0.46 กลํมุ ควบคมุ 37 6.45 0.52 17.32 0.000* การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 356

* นัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .05 จากตารางท่ี 9 พบวาํ ผลการวิเคราะห๑การเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนด๎านทักษะ การเช่ือมแก๏ส (OAW) ใบงานที่ 4 เร่ือง งานเช่ือมแก๏สตํอมุมตาแหนํงทําราบ พบวํา คะแนนเฉลี่ยของกลุํม ทดลอง ( X =8.42, SD=0.46) สูงกวําคะแนนเฉลย่ี ของกลมุํ ควบคมุ ( X =6.45,SD=0.52) อยาํ งมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดบั .05 5. งานเชือ่ มแก๏สตอํ ตวั ทตี าแหนงํ ทําระดับ ตารางท่ี 10 ผลการวิเคราะห๑การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน (ด๎านทักษะการเช่ือมแก๏ส ( OAW)) ใบงานท่ี 5 เรอ่ื ง งานเชอ่ื มแก๏สตอํ ตวั ทีตาแหนํงทาํ ระดับ นกั เรยี น n x S.D. t P-Value กลํมุ ทดลอง 37 8.55 0.44 กลํมุ ควบคุม 37 6.54 0.59 16.13 0.000* * นยั สาคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดับ .05 จากตารางท่ี 10 พบวาํ ผลการวิเคราะห๑การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนดา๎ นทักษะ การเช่อื มแก๏ส (OAW) ใบงานท่ี 5 เรอ่ื ง งานเช่ือมแก๏สตํอตัวทีตาแหนํงทําระดับ พบวํา คะแนนเฉล่ียของกลุํม ทดลอง ( X =8.55, SD=0.44) สูงกวําคะแนนเฉล่ียของกลํุมควบคุม ( X =6.54, SD=0.59) อยํางมีนัยสาคัญ ทางสถติ ิ ทรี่ ะดับ .05 4. สรปุ ความพึงพอใจทีม่ ีตํอการจัดการเรียนการสอนโดยการใชช๎ ดุ ฝกึ ทกั ษะการเช่ือมไฟฟูาการเช่ือม แก๏สเบ้ืองตน๎ โดยรวมอยใูํ นระดับมากทีส่ ุด )x =4.65, SD=0.46( 5. สรุปผลการรบั รองคุณภาพ ความเป็นไปได๎ และความเป็นประโยชนข๑ องชุดฝกึ ทักษะการเชือ่ มไฟฟูา เช่อื มแกส๏ เบอื้ งตน๎ โดยรวมอยใํู นระดับมากท่สี ุด )x =4.70, SD=0.46( อภปิ รายผล จากผลการวจิ ัยเรอ่ื ง การสร๎างและหาประสทิ ธิภาพชุดฝึกทกั ษะการเชอื่ มไฟฟาู เช่ือมแก๏สเบ้อื งตน๎ เพ่ือ ใช๎ในรายวชิ างานเชอื่ มและโลหะแผนํ เบอ้ื งตน๎ (2100-1005) สามารถอภิปรายผล ดงั น้ี 1. อภิปรายผลตอํ การสรา๎ งชดุ ฝึกทักษะการเชอ่ื มไฟฟูา เชื่อมแกส๏ เบอ้ื งต๎นเพื่อใช๎ในรายวิชางานเชื่อม และโลหะแผํนเบือ้ งตน๎ ดังนี (1005-2100)๎ ชดุ ฝึกทกั ษะการเชอ่ื มไฟฟาู เชอื่ มแกส๏ เบือ้ งตน๎ โดยรวมมีความเหมาะสมอยูใํ นระดับมากทีส่ ุด และ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ๑ท่ีกาหนด ท้ังน้ีเนื่องจากผู๎เช่ียวชาญเห็นวําชุดฝึกทักษะการเชื่อมดังกลําวเป็น นวัตกรรมใหมํ มีคุณภาพ สามารถนามาแทนการฝึกทักษะการเช่ือมแบบปกติได๎เป็นอยํางดี ซึ่งในระหวําง ขั้นตอนของการสร๎างผู๎วิจัยได๎ปรึกษาผู๎เชี่ยวชาญมาโดยตลอด พร๎องท้ังมีคาแนะนาให๎ปรับปรุงแก๎ไขอยํูเป็น ระยะ เพอ่ื ใหก๎ ารสรา๎ งชดุ ฝึกทักษะการเช่อื มให๎มีความสมบูรณย๑ ง่ิ ขึน้ ซึง่ สอดคล๎องกบั งานวจิ ัยของ วิชาญ โชติ กลาง (2559 : 137) เรื่อง การสร๎างและหาประสิทธิภาพชุดฝึกเชือ่ มทิก เพอ่ื ใช๎ฝึกทักษะการเชื่อมในรายวิชา การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 357

งานเช่อื มอาร๑กทังสเตนแก๏สคลมุ 1 (2100-2005) ผลการวิจัยปรากฏวาํ ชุดฝึกเชื่อมทกิ ดงั กลาํ วโดยรวมมีความ เหมาะสมอยใํู นระดับมากท่ีสุด 2. อภิปรายผลตอํ การดาเนนิ การทดลองจดั การเรยี นการสอนวชิ างานเชื่อมและโลหะแผํนเบื้องต๎น ( โดยใชช๎ ดุ ฝึกทักษะการเชอื่ มไฟฟาู เชอ่ื มแก๏สเบื้องตน๎ ดังนี้) 1005-2100 2.1 การเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน ระหวํางการฝกึ เชื่อม (ดา๎ นทกั ษะการเชอ่ื ม) ดว๎ ยชดุ ฝกึ ทักษะการเชื่อมไฟฟาู เชื่อมแก๏สเบ้อื งต๎นกบั การฝกึ เชื่อมด๎วยวิธปี กติ พบวํา คําเฉลยี่ ของกลํมุ ทดลอง สงู กวํากลํุมควบคมุ อยาํ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั 05.ในทุกใบงาน จงึ ยอมรับสมมติฐาน แสดงวํานกั เรียนท่ี ฝกึ เชอ่ื มด๎วยชุดฝกึ ทักษะการเช่ือมไฟฟูา เชอื่ มแกส๏ เบือ้ งต๎นมผี ลสัมฤทธทิ์ างการเรียนสงู ขึน้ ซง่ึ สอดคล๎องกับ งานวจิ ยั ของวชิ าญ โชตกิ ลาง และในการจัดการเรียนการสอน ดว๎ ยชุดฝึกทกั ษะการเช่ือม ซ่ึงถือวํา (ฝกึ เช่ือม) ามรู๎ ความเปน็ นวตั กรรมหรอื เทคโนโลยที างการศึกษาอกี ประเภทหนง่ึ ทสี่ ามารถใชเ๎ ป็นตวั กลางในการนาคว ต๎องการของครไู ปสูตํ ัวนักเรียนได๎อยาํ งถกู ตอ๎ งและเหมาะสม ซง่ึ สอดคลอ๎ งกบั ทฤษฎกี ารจดั การศกึ ษาทางดา๎ น อาชวี ศกึ ษาของฟอสเซอร๑ )Prosser, 1925 และทฤษฎกี ารสอนทักษะปฏบิ ัตติ ามแนวคิดของแฮร๑โรว๑ ( )Harrow,1972 ( 3.3 อภิปรายผลความพึงพอใจที่มีตํอชุดฝึกทักษะการเช่ือมไฟฟูา เช่ือมแก๏สเบื้องต๎น พบวํา โดยรวมมีความพึงพอใจอยใูํ นระดับมากทส่ี ดุ ทงั้ นีเ้ นอ่ื งจาก การเรยี นด๎วยชุดฝึกทักษะการเช่อื มดังกลําว ทาให๎ นักเรียนมีความสนใจและตงั้ ใจเปน็ อยํางมาก เพราะชุดฝึกมีความสะดวก มีความเหมาะสม และมีความนําสนใจ กวําการฝึกเช่ือมแบบปกติ ดงั น้ัน จึงนับได๎วาํ เป็นนวตั กรรมหรือเทคโนโลยีการศึกษาใหมํที่นักเรียนมีความพึง พอใจทีจ่ ะรับการฝกึ สอดคลอ๎ งกบั งานวิจัยของ วิชาญ โชตกิ ลาง : 2559)137ผลการวิจัยปรากฏวํา โดยรวม ( นกั เรียนมคี วามพึงพอใจในระดับมาก 3. อภิปรายผลการรับรองคณุ ภาพ ความเป็นไปได๎ และความเป็นประโยชน๑ของชุดฝึกทักษะการเชื่อม ไฟฟาู เช่ือมแก๏สเบ้ืองต๎น พบวํา โดยรวมอยํูในระดับมากท่ีสุด ทั้งนี้เน่ืองจาก ผ๎ูเช่ียวชาญมีความพึงพอใจกับ คุณภาพของชุดฝึกและผลการวิจัยเป็นอยํางมาก ซ่ึงข้ันตอนของการสร๎าง การทดสอบประสิทธิภาพ และ ขน้ั ตอนการทดลองจดั การเรียนการสอนโดยใช๎ชุดฝึก ซึ่งเป็นการวิจัยและพัฒนาอยํางแท๎จริง ชุดฝึกสามารถ พฒั นาทักษะด๎านการเช่ือมให๎สูงขน้ึ กวาํ วิธกี ารสอนแบบปกติได๎เป็นอยํางมาก โดยนักเรียนสามารถผํานเกณฑ๑ การเชือ่ มรอ๎ ยละ การประหยัดงบประมาณในการจัดซื้อชุดฝึกจาก จงึ เป็นประโยชนต๑ ํอสถานศกึ ษาในด๎าน 80 ตาํ งประเทศทม่ี ีราคาสงู กวํามาก ประหยดั วัสดฝุ ึก ประหยดั เวลาในการฝกึ เปน็ ต๎น สอดคล๎องกับงานวิจัยของ (วิชาญ โชตกิ ลาง) : 2559137 ผลการวจิ ัยปรากฏวาํ โดยรวมอยูํในระดับมาก ข้อเสนอแนะ จากผลการวิจัยน้ี เพื่อให๎ชุดฝึกทักษะการเช่ือมไฟฟูา เช่ือมแก๏สเบื้องต๎น ท่ีสร๎างขึ้นมีประสิทธิภาพ ยงิ่ ขึน้ ผว๎ู จิ ัยมขี อ๎ เสนอแนะ ดังน้ี 1. ประสทิ ธภิ าพของชุดฝึกทักษะการเชื่อมไฟฟูา เชื่อมแก๏สเบ้ืองต๎นจะสูงหรือต่าวําเกณฑ๑ท่ีกาหนด ไมไํ ดข๎ ้ึนอยูํกับชุดฝึกเพยี งอยํางเดียวหากแตํข้ึนอยํูกับครูผ๎ูสอนด๎วย ดังนั้นในกรณีท่ีครูผ๎ูสอนจะนาชุดฝึกไปใช๎ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 358

จะตอ๎ งศกึ ษา และทาความเข๎าใจในหลักการของชดุ ฝกึ เปน็ อยํางดี ใชวํ าํ เมือ่ มชี ดุ ฝึกแลว๎ ก็จัดใหน๎ กั เรยี นไดเ๎ ข๎าไป ฝึกกับชดุ ฝึกไดเ๎ ลย อาจต๎องให๎นักเรยี นได๎เรียนร๎ูวิธกี ารทางานของชุดฝึก หรืออาจให๎นักเรียนได๎ฝึกการจาลอง การเชือ่ มเสยี กอํ น เพื่อให๎เกิดความค๎ุยเคยกับมุมของลวดเชื่อม มุม (หมายถงึ เชอื่ มโดยไมอํ ารก๑ ไมตํ ดิ เปลวไฟ) หัวเชือํ มแกส๏ ความเรว็ ในการเช่ือม วิธกี ารปอู นลวดเชื่อมไฟฟูา ลวดเชือ่ มแกส๏ จนเกิดความชานาญ จากน้ันจึง เรม่ิ ฝึกเชือ่ มจรงิ ทัง้ นี้เพอื่ ให๎การเรยี นการสอนเกดิ ประสิทธิภาพสูงสดุ 2. ชุดฝึกทักษะการเชื่อมไฟฟูา เชื่อมแก๏สเบื้องต๎นเป็นนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีการศึกษาใหมํใน สาขาวิชาชาํ งเช่ือมโลหะ ยังไมํเคยปรากฏวําเคยมีใช๎ที่ไหนมากํอน เทําที่มีจะเป็นชุดฝึกจาลองการเชื่ อมด๎วย คอมพวิ เตอรเ๑ ป็นสวํ นมาก ซงึ่ ไมใํ ชํเป็นการฝกึ ทีผ่ าํ นจากการเชอ่ื มจรงิ ๆ เหมอื นท่ีผว๎ู ิจัยสรา๎ งและพฒั นาขึน้ ที่จะ ได๎ความรูส๎ กึ เหมอื นเปน็ การฝึกเชอื่ มจริง ๆ ซึ่งสามารถนามาใชท๎ ดแทนการสอนของครูด๎วยการจับมือนักเรียน เช่อื มที่ใช๎ในป๓จจุบันน้เี ป็นอยาํ งดี ดังนน้ั ด๎วยหลักการของชุดฝึกดังกลําวสามารถนาไปใช๎ได๎กับการฝึกเช่ือมใน ราชวชิ าอืน่ ๆ ตอํ ไป ทัง้ นี้เพอ่ื ชวํ ยใหน๎ ักเรียนมฝี ีมอื ในการเชื่อมที่ดี ผาํ นเกณฑก๑ ารเช่ือมได๎เร็วกวําการฝึกเช่ือม ด๎วยวธิ ีปกติ เอกสารอา้ งองิ ฉัตรทอง ใสแสง. (2559). การสงั เกตพฤติกรรมการปฏิบัตงิ านเชือ่ มไฟฟาู ด้วยลวดเชือ่ มหุม้ ฟลกั ซ์ (SMAW) และงานเช่ือมแก๊สออกซิอะเซทิลีน (OAW) ของนักเรียนตามองค์ประกอบของการเช่ือมใน รายวิชางานเชอ่ื มและโลหะแผ่นเบื้องต้น (2100-1005). วิจัยในชั้นเรียน. นครราชสีมา : วทิ ยาลัยเทคนคิ นครราชสมี า. วันชัย บุญรอด. (2548). การบูรณาการการกีฬากับการจัดการกีฬาขั้นพื้นฐานของการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยในประเทศออสเตรเลีย. กรุงเทพ ฯ : กลุมํ ศลิ ปกรรมวฒั นาธรรม กีฬา และการเรยี นรูตลอดชวี ติ สานกั มาตรฐานการศกึ ษา และพัฒนาการ เรยี นรูสานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา. วิชาญ โชติกลาง (2559). การสร้างและหาประสิทธิภาพชุดฝึกเชื่อมทิก เพ่ือใช้ฝึกทักษะการเช่ือมใน รายวิชางานเช่ือมอาร์กทังสเตนแก๊สคลุม 1 (2103-2005). รายงานการวิจัย. นครราชสีมา : วทิ ยาลัยเทคนคิ นครราชสีมา. Harrow, A.J. (1972). A taxonomy of the psychomotor domain: A Guide for Developing Behavioral Objectives New York : David McKay Prosser. C. A. (1925). Vocational Education in a Democracy. New York : Century. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 359

การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยอี ินเทอรเ์ น็ต ออฟ ธิง (IoT) และคลาวด์ คอมพิวต้งิ เพอ่ื สร้างระบบนิเวศดิจิทลั ทางการศึกษาสาหรับการเรียนรู้แบบปรับเหมาะแกผ่ ู้เรียน Applying IoT and Cloud Computing to Create a Digital Education Ecosystem for Learning Adaptive to Students กฤตยษ๑ ุพัช สารนอก1 และศริ ะนนั ท์ บุญยะผลานันท์2 1 อาจารยป๑ ระจาสาขาวิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร๑ มหาวทิ ยาลัยวงษช๑ วลติ กลุ 2 นกั ศกึ ษาระดบั ปริญญาเอก สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารเพอื่ การศึกษา คณะครุศาสตร์ อุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ พระนครเหนอื e-mail: [email protected] บทคัดย่อ การสร๎างระบบนิเวศดิจิทัลทางการศึกษา (Digital Education Ecosystem) ประกอบไปด๎วย 7 องคป๑ ระกอบ ไดแ๎ กํ 1) การจดั สงํ เน้อื หา, 2) การรํวมมือกัน, 3) สํวนตํอประสานงานกับผ๎ูใช๎, 4) อินเทอร๑เน็ต ออฟ ธงิ , 5) ระบบเครือขําย, 6) การสรา๎ งภาพ และ 7) การจดั การข๎อมูล โดยองคป๑ ระกอบท้ัง 7 องค๑ประกอบ เมื่อนามาประยุกต๑ใชก๎ บั เทคโนโลยี IoT และคลาวด๑ คอมพิวต้ิงแลว๎ สามารถจดั การเรียนร๎ูโดยแบํงเป็นสามสํวน ไดแ๎ กํ สํวนที่ 1. Smart Classroom ซึ่งเปน็ สวํ นของการประยุกตใ๑ ชเ๎ ทคโนโลยี IoT เพือ่ สร๎างหอ๎ งเรยี นอจั ฉรยิ ะ ทีป่ ระกอบไปดว๎ ยระบบอานวยความสะดวกในการจัดการเรยี นการสอน 3 สวํ น คอื 1.1 IoT Smart Check in, 1.2 IoT Smart Camera และ 1.3 IoT Smart Office, สํวนที่ 2. Smart Teaching คือ การเรียนการสอนท่ี ประกอบด๎วย 7 ขัน้ ตอน ได๎แกํ 1) การ Recommend, 2) การ Survey, 3) การ Present, 4) การ Separate, 5) การ Connecting Teaching, 6) การ Advance Organizer และ 7) การ Compose และสํวนที่ 3. Smart Learning ซ่ึงหมายถึง การเรียนร๎ูอยํางชาญฉลาดโดยผู๎สอนจะทาหน๎าที่เป็นโค๎ช ( Coach) และออกแบบให๎ ผเ๎ู รยี นทากิจกรรมการเรียนร๎ูแบบปรับเหมาะ (Adaptive Learning) ด๎วยการปรับและออกแบบการจัดการ เรยี นร๎ูหลกั และการเรยี นรูเ๎ สรมิ จากการใช๎ Smart Device เชือ่ มตํอผํานอินเทอรเ๑ น็ตและเรียนร๎ูบน Cloud ได๎ ทุกที่ทุกเวลา โดยแลกเปล่ยี นเรยี นรผ๎ู ํานอปุ กรณ๑ดจิ ิทลั ตํางๆ ระหวํางผเู๎ รยี นกบั ผ๎เู รียนหรือผเู๎ รียนกบั ผส๎ู อน หรือ ท้ังผูเ๎ รียนกับผเ๎ู รยี นและกับผส๎ู อน หรอื ทกุ หนํวยองคป๑ ระกอบในระบบนิเวศดิจทิ ัลนนั้ ๆ คาสาคญั : อินเทอรเ๑ น็ต ออฟ ธิงค๑ (IoT), คลาวด๑ คอมพิวตง้ิ , ระบบนเิ วศดจิ ทิ ลั ทางการศึกษา, การเรียนรูแ๎ บบ ปรับเหมาะ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 360

ABSTRACT Creating digital education ecosystems comprises of 7 components: 1) Content Delivery, 2) Collabo-ration, 3) User Inter-face, 4 Internet of Thing: IoT, 5) Networking, 6) Visualization and 7) Data Management. The seven elements, when applied to IoT and cloud computing technology, function three parts in learning management as follows. 1. Smart Classroom involves the applying of IoT technology to create intelligent classrooms with three learning facilities: 1.1 Smart Check in, 1.2 IoT Smart Camera and 1.3 IoT Smart Office. 2. Smart Teaching involves a 7-step instruction including 1) Recommend, 2) Survey, 3) Present, 4) Separate, 5) Connecting Teaching, 6) Advance Organizer and 7) Compose. 3. Smart Learning refers to smart way of teaching which teachers’ role as coach and the designing of adaptive learning through connection smart devices to the Internet and Cloud or exchanging digital devices among students and between students and teachers, and all of the elements in the digital ecosystem. KEYWORDS: Internet of Thing (IoT), Cloud Computing, Digital Education Ecosystem, Adaptive Learning บทนา ป๓จจุบันโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยํางรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด๎านอยูํเสมอ ซ่ึงในด๎านของการ ศึกษาโดยเฉพาะด๎านของการจัดการเรียนการสอนและการเรียนร๎ูเองในประเทศไทยได๎มุํงเน๎นและให๎ความ สาคัญกับผู๎เรียนเป็นอยํางมาก ดังที่ปรากฏในพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 แก๎ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545 และฉบับท่ี 3 พ.ศ. 2553 หมวด 4 มาตราท่ี 24 ท่ีระบุเอาไว๎อยํางชัดเจนวํา “ให๎จัด เน้ือหาสาระและกิจกรรมให๎สอดคล๎องกับความสนใจและความถนัดของผ๎ูเรียน โดยคานึงถึงความแตกตําง ระหวํางบุคคลและให๎สํงเสริมสนับสนุนให๎ผ๎ูสอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล๎อม ส่ือการเรียน และ อานวยความสะดวกเพอื่ ให๎ผู๎เรยี นเกดิ การเรยี นรแ๎ู ละมีความรอบร๎ู รวมทงั้ สามารถใช๎การวิจัยเป็นสํวนหน่ึงของ กระบวนการเรียนร๎ู ท้งั น้ี ผสู๎ อนและผ๎ูเรียนอาจเรยี นร๎ไู ปพรอ๎ มกันจากสือ่ การเรียนการสอนและแหลงํ วทิ ยาการ ประเภทตํางๆ” (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2542) การจดั การเรียนการสอนในทศวรรษที่ 21 สาหรบั ผู๎เรยี นยคุ ดิจทิ ลั นน้ั จาเปน็ อยาํ งย่ิงที่จะต๎องคานึงถึง การพฒั นาโครงสรา๎ งพื้นฐานดา๎ นเทคโนโลยสี ารสนเทศ ตลอดจนระบบสารสนเทศทีช่ วํ ยสนับสนุนการเรียนการ สอน (วิชญา รุนํ สวุ รรณ๑, ดวงกมล โพธิน์ าค และปรวฒั น๑ วสิ ตู รศกั ด์ิ, 2015) ซ่ึงในการเรียนการสอนทต่ี อ๎ งจดั ให๎ ผเ๎ู รยี นทม่ี ีความถนดั แตกตํางกนั แตตํ ๎องเรยี นในรายวิชาเดยี วกัน จากสอ่ื และชอํ งทางการรับรู๎เดียวกัน ครูผ๎ูสอน และแหลํงเรียนร๎ูหรือสภาพแวดล๎อมการเรียนรู๎แบบเดียวกันน้ันอาจจะเป็นสิ่งท่ีท๎าทายผู๎สอนเป็นอยํางยิ่ง การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 361

เพราะเน่ืองจากผ๎เู รียนแตลํ ะคนตาํ งก็มีความสนใจและความถนัดท่ีไมํเหมือนกัน แตํกลับต๎องมาเรียนและต๎อง บรรลุในวัตถปุ ระสงค๑การเรียนร๎ูเดยี วกนั (ประเสรฐิ แซเํ อี๊ยบ, กฤช สนิ ธนะกลุ และจริ พันธ๑ุ ศรีสมพนั ธ๑, 2559) การเรียนร๎ูในหอ๎ งเรียนที่กวา๎ งใหญทํ ี่เรยี นรไู๎ ดด๎ ที ่สี ุด คอื การเรียนรู๎จากประสบการณ๑ตรงจากโลกแหํง ความเป็นจริงหรือการเรียนรจ๎ู ากสภาพแวดล๎อมรอบๆ ตัว ซงึ่ โลกของเราถอื ได๎วําเป็นระบบนิเวศน๑ท่ีย่งิ ใหญแํ ละ เรยี นรไ๎ู ด๎อยาํ งไมํส้นิ สุด แตํการเรียนร๎ูจากประสบการณต๑ รงลักษณะน้ีอาจมีข๎อจากัดและมีป๓จจัยหลายส่ิงท่ีไมํ สามารถควบคุมและจัดการได๎ ดังนั้น การพัฒนาระบบการเรียนการสอนในโลกดิจิทัล โดยอาศัยเทคโนโลยี ตํางๆ เชํน เทคโนโลยีอินเทอร๑เน็ต ออฟ ธิง (IoT) ท่ีชํวยสนับสนุนและสร๎างสภาพแวดล๎อมการเรียนร๎ูด๎วย อุปกรณ๑ดิจิทลั ตํางๆ และเทคโนโลยีคลาวด๑ คอมพิวต้ิง ซ่ึงเข๎ามาชํวยเสริมในเรื่องของการเข๎าถึงและใช๎แหลํง เรยี นร๎ูทมี่ อี ยํูอยํางมากมายไมํมีขีดจากัด จึงถอื ไดว๎ ําเป็นอีกทางเลอื กหนง่ึ สาหรับผส๎ู อนและผู๎เรียนในศตวรรษท่ี 21 นี้ การนาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ โดยเฉพาะระบบเครือขํายคอมพิวเตอร๑ ระบบโทรคมนาคม และ ระบบสือ่ สารมวลชนตํางๆ มาประยุกตใ๑ ช๎ในการบรหิ ารจดั การเรยี นการสอนในโลกดจิ ทิ ัลทกี่ าลงั ไดร๎ บั ความนิยม เพ่ิมมากขึน้ ทาให๎การจัดการเรียนร๎ทู ั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงจากรูปแบบเดิมไปสํู รูปแบบใหมํ ท้ังนีเ้ พราะผ๎ูเรียนสามารถเรียนรู๎ไดจ๎ ากทกุ ทท่ี ุกเวลาได๎อยาํ งแท๎จริงจากอุปกรณ๑ดิจิทัลขอ งตนเอง ซึ่งปจ๓ จบุ นั ผ๎ทู ีเ่ กย่ี วข๎องกบั ระบบการศึกษา ท้ังผูบ๎ ริหาร ผ๎สู อนและผเ๎ู รยี น หรือแมแ๎ ตผํ ป๎ู กครองของนกั เรียนเอง ตาํ งก็เรมิ่ ทีจ่ ะเรียกรอ๎ งการบริการทางเทคโนโลยสี ารสนเทศจากทางโรงเรยี นทีจ่ ะต๎องเขา๎ มาชํวยบรหิ ารจัดการ และชวํ ยอานวยความสะดวกสบายในหลายๆ ด๎าน ดังน้ัน ความสาคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศจึงต๎องมีการ ปรบั เปล่ยี นและประยุกต๑ใช๎ให๎ทันกับความต๎องการเพ่ือการบริการด๎านการศึกษา ด๎านการเรียนร๎ูในช้ันเรียน นอกช้ันเรยี น ตลอดจนสร๎างสงั คมแหํงการเรยี นรจ๎ู นกลายเป็นระบบนิเวศดิจิทัลเพื่อการศึกษาเรียนรู๎ที่มีความ เหมาะสมสาหรับทกุ ๆ คนอยาํ งแท๎จริง 1. ระบบนเิ วศดิจิทลั (Digital Ecosystem) ระบบนิเวศดิจทิ ัล (Digital Ecosystem) ประกอบดว๎ ยคา 2 คา ไดแ๎ กํ คาวํา ดิจทิ ัล (Digital) ซ่ึงหมายถึง โครงสรา๎ งพ้นื ฐานทางเทคนิคที่อยบํู นพ้นื ฐานของเทคโนโลยซี อฟตแวร๑ (Software) แบบกระจายจากจุดไปยัง จุด ซึ่งสามารถเคลื่อนที่ ค๎นพบ และเช่ือมตํอการบริการและสารสนเทศทางเครือขํายอินเทอร๑เน็ต ทาให๎มี รายการของเครือขาํ ยและการกระจายของออ๏ ปเจคทางดจิ ทิ ลั (Digital Object) ในโครงสรา๎ งพ้ืนฐาน และคาท่ี สอง คอื ระบบนิเวศ (Ecosystem) ท่ีหมายถึง ระบบซ่ึงสมาชิกไดรับประโยชนจากสมาชิกด๎วยกันทางความ สัมพันธแ๑ บบซิมไบโอซิส Symbiotic relationships (positive sum relationships) เป็นสภาพแวดล๎อมทาง ดจิ ทิ ัลทีม่ ีสมาชิกเป็น \"Digital Species\" ซึ่งเป็นสํวนประกอบของซอฟต๑แวร๑โปรแกรมประยุกต๑การบรกิ ารแบบ ออนไลน๑ สารสนเทศ โมเดลทางธุรกิจ ดังน้ัน ระบบนิเวศทางดิจิทัล (Digital Ecosystem) จึงหมายถึง โครงสรา๎ งพ้ืนฐานทางดิจทิ ัลท่สี ามารถจัดการตนเอง มํงุ ไปท่ีการสร๎างสภาพแวดล๎อมทางดจิ ทิ ัลสาหรับเครือขําย ขององค๑กรซึ่งสนับสนุนการทางานรํวมกัน การใช๎ความรู รํวมกัน การพัฒนาแบบเปิดและใช๎เทคโนโลยีแบบ ปรบั ปรุงไดและโมเดลทีม่ ีววิ ัฒนาการ (อนงคน๑ าฏ ศรีวิหค, 2551) การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 362

คาวํา \"ระบบนิเวศดิจิทัล\" ถูกนามาใช๎เพ่ืออธิบายความหลากหลายของแนวคิดในด๎านเทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสาร (ICT) รวมถงึ การเรยี นในระบบ e-learning ซง่ึ เปน็ ฝ๓ง่ ของเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) โดยเมือ่ รวมกันแล๎วหมายถงึ โครงสรา๎ งพ้ืนฐานตํางๆ ของระบบเครือขํายที่มีอยํูบนอินเทอร๑เน็ต ( Chang and West 2006, Boley and Chang 2007 Briscoe and De Wilde 2008; Bo 2009 Briscoe and Marinos 2009) โดยรูปแบบระบบนิเวศน๑ท่ีจัดวําเป็นระบบนิเวศน๑ท่ีเสริมการเรียนรู๎แบบดิจิทั ลนั้นจะคล๎ายกับระบบ นเิ วศนข๑ องธรรมชาติที่ประกอบไปด๎วยสายพันธข๑ุ องประชากรและชุมชนที่มีปฏิสัมพันธ๑กัน ซึ่งในการออกแบบ เครอ่ื งมือการเรยี นร๎ดู ิจทิ ลั ในระบบนเิ วศนส๑ าหรับผ๎ูเรยี นยคุ ใหมหํ รือกลํุมผเู๎ รยี น Digital Native น้ีจาเป็นอยําง ยงิ่ ที่จะตอ๎ งพจิ ารณาการเขา๎ ถงึ เทคโนโลยีในสถานการณห๑ รือบริบททแ่ี ตกตาํ งกนั ซึ่งส่ิงสาคญั ของรปู แบบระบบ นิเวศน๑การเรยี นรูด๎ ๎วยระบบดจิ ิทลั จะตอ๎ งกลมกลืนกลายเปน็ สํวนหนง่ึ ในการใช๎ชีวิตประจาวันของเด็กนักเรียน และเดก็ ๆ ทุกคนก็สามารถนาเอาทรพั ยากรในระบบนิเวศดิจิทัลมาประยกุ ตใ๑ ช๎ได๎ตามความเหมาะสม สามารถ ปรับเหมาะ (Adaptive) ไดต๎ รงกับความถนดั และความสนใจในกจิ กรรมการเรยี นร๎ใู นแตลํ ะสถานการณ๑ทีเ่ ปน็ ทง้ั แบบทางการและแบบไมํเปน็ ทางการได๎ (Irene Karaguilla Ficheman, Roseli de Deus Lopes, 2008) 1.1 ระบบนเิ วศดิจทิ ัลการศกึ ษา (Digital Education Ecosystem) สํวนใหญํระบบจัดการเรียนร๎ูบนเว็บแบบเดิม(เชํน Moodle หรือ Blackboard) น้ันได๎รับการ ออกแบบโดยไมมํ ีการสนบั สนุนรูปแบบหรอื วิธกี ารสอนที่เปน็ ทีต่ ๎องการ ซึ่งผด๎ู ูแลระบบดงั กลาํ วได๎เสนอวาํ ควรมี \"ตวั กลางเพอื่ ชํวยเหลือด๎านการสอน\" เพราะจะได๎ชํวยให๎ครูหรือผู๎สอนสามารถใช๎แนวทางการสอนตํางๆ ได๎ หลากหลายยิ่งขึ้น ทาให๎เปิดโอกาสและเกิดทางเลือกทางการศึกษาสาหรับผ๎ูเรียนที่มีความแตกตํางได๎ จาก เหตผุ ลดังกลําว จงึ ไดม๎ ีการออกแบบแพลตฟอรม๑ การเรียนร๎ูออนไลน๑ในยุคตํอมา ซึ่งเรียกวํา “ระบบนิเวศการ เรียนรูแ๎ บบดิจทิ ัล” โดยระบบนม้ี ีความสามารถในการชํวยสงํ เสริมแนวคิดและกระบวนการสาหรบั การออกแบบ สภาพแวดลอ๎ มการเรียนรู๎ออนไลน๑ ดังเชํน ในกรณกี ารศึกษาเก่ียวกับกระบวนการพัฒนาและการนาไปใช๎งาน ของระบบนิเวศการเรยี นร๎ูแบบดจิ ทิ ลั บนแพลตฟอรม๑ Dippler ซ่งึ ไดป๎ ระยุกตใ๑ ชส๎ ่แี นวทางสาหรบั การเรียนการ สอนแบบรํวมสมยั ไดแ๎ กํ การเรียนร๎ดู ว๎ ยตนเอง การเรยี นรต๎ู ามความสามารถ การสรา๎ งองคค๑ วามรร๎ู วํ มกัน และ การออกแบบการสอนที่ได๎รับมอบหมาย (Mart Laanpere, Kai Pata, Pee-ter Normak, and Hans Põldoja, 2013) Sathya Vendhan G (2013) กลําววําระบบ นิเวศดิจิทัลทางการศึกษา (Digital Education Eco system) คอื การจดั การขอ๎ มูล การจดั สงํ เน้อื หาการทางานรวํ มกนั ของ User Interface เพ่ือการเชื่อมตํอของ ผใ๎ู ช๎งานในระบบนิเวศน๑ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 363

ภาพท่ี 1 องค๑ประกอบของ Digital Education Ecosystem (Sathya Vendhan G, 2013) จากภาพจะเห็นได๎วําองค๑ประกอบของระบบนิเวศทางการศึกษา (Digital Education Ecosystem) ประกอบไปด๎วย 7 องค๑ประกอบ ได๎แกํ 1. การจดั สงํ เน้ือหา (Content Delivery) ซึ่งหมายถงึ การมีเน้ือหาในระบบโดยมกี ารจดั สํงไวพ๎ ร๎อมใช๎ งานไดต๎ ามความตอ๎ งการในทกุ สถานที่ ทุกเวลา ทกุ สถานการณห๑ รือทุกบรบิ ท ทุกสภาพแวดล๎อม เปน็ ตน๎ 2. การรํวมมือ (Collaboration) ซ่ึงหมายถึงการใช๎งาน การเรียนร๎ู หรือการทากิจกรรมโดยอาศัย ความรวํ มมือกนั เอื้อประโยชนซ๑ ึ่งกันและกนั ของผู๎อาศยั อยํใู นระบบนิเวศน๑ 3. สํวนตํอประสานกับผ๎ูใช๎งาน (User Interface) หมายถึง สํวนติดตํอระหวํางผ๎ูใช๎กับระบบนิเวศน๑ เพอ่ื ชํวยรองรบั การนาขอ๎ มลู หรือคาส่ังเข๎าไปสํรู ะบบ ตลอดจนนาเสนอสารสนเทศกลับมายังตัวผ๎ูใช๎งานซ่ึงอาจ เป็นผูเ๎ รยี น ผู๎สอน หรอื ผใ๎ู ชอ๎ ่นื ๆ ทัว่ ไปในระบบนเิ วศนน๑ ้ัน 4. อินเทอร๑เนต็ ออฟ ธงิ (Internet of Thing: IoT) หมายถึงอุปกรณ๑อิเล็กทรอนิกส๑ตํางๆ ที่สามารถ สือ่ สารพดู คุยกนั เองไดผ๎ ํานเครอื ขาํ ยอินเทอร๑เน็ต ทาหน๎าที่เป็นตัวกลางในการรับและสํง ข๎อมูลตํางๆ ภายใน ระบบนเิ วศน๑ 5. ระบบเครอื ขาํ ย (Networking) ซ่ึงเปน็ สง่ิ สาคัญมากสาหรับการเชื่อมตอํ การใชง๎ านทกุ อุปกรณ๑ และ ทกุ คนในระบบนเิ วศน๑ 6. การสรา๎ งภาพ (Visualization) ของระบบนิเวศน๑การศึกษาดิจิทัล ต๎องเที่ยงตรงและเป็นไปในทาง เดยี วกนั สือ่ สารได๎เข๎าใจและเกิดการรับรู๎ เรียนรใ๎ู นระบบนเิ วศน๑เดยี วกันได๎เหมือนกัน 7. การจดั การข๎อมลู (Data Management) ต๎องมีระบบท่ีจัดการข๎อมูล การจัดแยก การเข๎าถึง การ เรยี กใช๎ และการให๎ข๎อมูลท่ีถกู ตอ๎ งรวดเร็วแกํประชากรในระบบนิเวศน๑ Leona Norris, Annora Eyt-Dessus, Clive Holtham (2013) กลําววํา ขอบเขตของระบบนิเวศน๑ การเรียนรู๎ควรมีองค๑ประกอบทางชีววิทยาที่สาคัญ 3 สํวน ได๎แกํ บุคลากรของคณะ , หลักสูตร (Course Office) และเจ๎าหนา๎ ทร่ี ะดับมืออาชพี และนักศึกษา ดงั ภาพท่ี 2 การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 364

ภาพท่ี 2 Trifecta of biotic component (Leona Norris, Annora Eyt-Dessus, Clive Holtham, 2013) 2. เทคโนโลยีอินเทอรเ์ น็ต ออฟ ธิง (Internet of Thing: IoT) อินเทอร๑เน็ต ออฟ ธิง (Internet of Thing: IoT) หรืออินเทอร๑เน็ตในสรรพสิ่งน้ีถูกคิดค๎นโดย Kevin Ashton ในปี 1999 ภายใต๎โครงการที่มีช่อื “Auto-ID Center” ที่มหาวิทยาลยั Massachusetts Institute of Technology จากจุดเร่ิมต๎นของเทคโนโลยี RFID ที่ต๎องการจะทาให๎เป็นมาตรฐานระดับโลกสาหรับ RFID Sensors ตํางๆ ทจี่ ะสามารถเช่อื มตอํ กนั ได๎ โดยในคานิยามของตัว IoT น้ี Kevin Ashton ได๎กลําวไว๎ส้ันๆ วํา คือ “internet-like” หรือการท่ีอุปกรณ๑อิเล็กทรอนิกส๑ตํางๆ สามารถสื่อสารพูดคุยกันได๎เอง โดยศัพท๑คาวํา “Things” นี้ ก็หมายถงึ อุปกรณ๑อิเลก็ ทรอนกิ ส๑นั้นเอง ซึง่ สาหรับการใชง๎ านเทคโนโลยี IoT นีก้ อ็ าศยั หลักการที่ สิ่งหรืออุปกรณ๑อิเลก็ ทรอนิกสต๑ าํ งๆ ไดเ๎ ช่ือมโยงเขา๎ สูเํ ครือขาํ ยอนิ เทอรเ๑ นต็ ทาให๎มนษุ ยส๑ ามารถมองเห็น ส่ังการ ควบคุม ใช๎งานส่ิงหรืออุปกรณ๑ตํางๆ ได๎ เชํน การสั่งเปิด-ปิดอุปกรณ๑เครื่องใช๎ไฟฟูา รถยนต๑ โทรศัพท๑มือถือ เคร่ืองมือสื่อสาร เครื่องใช๎สานักงาน เครื่องมือทางการเกษตร เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม ในอาคาร บา๎ นเรือน เครื่องใช๎ในชีวิตประจาวันตํางๆ ผํานทางอุปกรณ๑พกพา (Smart Device) ที่เชื่อมตํอกับเครือขําย อินเทอร๑เน็ตได๎ เปน็ ต๎น ภาพท่ี 3 การเชื่อมตํอของThing ในชีวิตประจาวนั (Rola, 2017) 3. เทคโนโลยีคลาวด์ คอมพิวตงิ้ 3.1 ความหมายและประเภทของคลาวด์ คอมพิวติ้ง การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 365

ระบบประมวลผลแบบกลํุมเมฆหรือ Cloud computing เป็นระบบเครือขํายคอมพิวเตอร๑ท่ีมี ประสิทธิภาพตํอการนามาใช๎ในงานทางการศึกษา เพราะมีสํวนสาคัญท่ีทาให๎ผ๎ูเรียนและผ๎ูสอนสามารถใช๎ เทคโนโลยีสารสนเทศได๎อยํางมีประสทิ ธภิ าพและเกดิ มติ ใิ หมํทางการเรยี นได๎จากทุกที่ ทุกเวลาได๎อยํางแท๎จริง ตอบสนองในการเคลื่อนที่ด๎วยอุปกรณ๑พกพา สร๎างการแลกเปล่ียนข๎อมูลรํวมกัน สํงเสริมความรํวมมือ และ เชื่อถือได๎ในความปลอดภัยของข๎อมูลและการเก็บสารองข๎อมูล ประหยัดคําใช๎จําย ยืดหยํุนในการใช๎งาน (วิวัฒน๑ มีสุวรรณ๑, 2557) คาวําคลาวด๑มาจากสัญลักษณ๑รูปก๎อนเมฆ (Cloud) ซึ่งใช๎แทนสัญลักษณ๑เครือขําย อินเทอรเ๑ นต็ ทผ่ี ใ๎ู ช๎งานจานวนมากแลกเปลีย่ นแบงํ ป๓นความรส๎ู าระ เรอ่ื งราวตํางๆ สํวนคาวาํ คอมพวิ ต้ิง หมายถงึ การนับ หรือการคานวณ หรือการประมวลผล โดยในป๓จจุบันนี้มักจะหมายถึงการใช๎คอมพิวเตอร๑ซ่ึงเป็น สง่ิ ประดษิ ฐ๑แบบอเิ ล็กทรอนิกส๑ทท่ี าการประมวลผลดว๎ ยโปรแกรม (Software) ทีม่ กี ารกาหนดคาส่ัง หรือสิง่ อื่น ใดเพอ่ื ทาหน๎าท่ปี ระมวลผลขอ๎ มลู โดยอตั โนมตั ิ ดังนนั้ เม่ือนาคาทงั้ สองคามาใช๎รวํ มกนั เป็น Cloud Computing จึงหมายถึง ระบบคอมพิวเตอร๑ที่มีการประมวลผลอยูํในระบบอินเทอร๑เน็ตบนรูปแบบของโครงสร๎างการ ประมวลผลขนาดใหญํที่ทางานรํวมกัน ผ๎ูใช๎มองเห็นทรัพยากรผํานทางการให๎บริการระบบเครือขําย คอมพิวเตอร๑ ผู๎ใช๎เข๎าถึงการประมวลผลและการใช๎ทรัพยากรตํางๆ และรํวมกันแบํงป๓นทรัพยากรการ ประมวลผลรํวมกนั บนเครือขํายอนิ เทอรเ๑ น็ตได๎ ววิ ฒั น๑ มีสุวรรณ๑ (2557) กลาํ วถึงประเภทของระบบประมวลผลแบบกลํมุ เมฆ ซง่ึ สามารถจาแนกออก ไดเ๎ ป็น 3 ประเภทดงั นี้ 1. Public Clouds หรือเรยี กวํา External cloud เป็นองค๑ประกอบทีม่ ที รัพยากรเพือ่ สาธารณะ สามารถให๎บริการผํานทางระบบ Internet, Web Application หรือ Web service ให๎บริการการแลกเปลี่ยน ทรพั ยากร และการใช๎งานพืน้ ฐานที่จาเปน็ แกํผ๎ใู ชจ๎ านวนมาก การใช๎ทรัพยากรจะถูกแชร๑และใช๎รํวมกันกับคน อื่น มคี วามยดื หยํนุ ในทรัพยากร ต๎นทนุ ตา่ ราคาไมํแพงผ๎ูใช๎ทั่วไปสามารถเข๎าถึง ติดตํอสื่อสารกับผู๎ใช๎คนอื่นๆ ได๎ท้งั ในและนอกองค๑กร เนน๎ ท่ีจดุ ประสงคห๑ ลัก คือ เพ่ือให๎บรกิ ารผูใ๎ ช๎ท่ัวไปจานวนมากนั่นเอง (Katz, Richard Goldstein, Phil and Yanosky, Ron, 2010) 2. Private Clouds หรอื เรยี กวํา Internal Cloud เป็นระบบประมวลผลแบบกลํุมเมฆภายใน องค๑กร ท้ังนี้ระบบ Private Cloud ถูกพัฒนาข้ึนบนแนวคิดในการรักษาสิทธิประโยชน๑ขององค๑กร เพ่ือเป็น ศูนยก๑ ลางท่ีต๎องการให๎เผยแพรํสํูสาธารณะเหมือนกับการใช๎ Public Cloud แตํมีการรักษาความปลอดภัยที่ ดีกวาํ เพราะขอ๎ มลู ตาํ งๆ ขององค๑กรน้นั มคี วามสาคัญ (Katz, Richard Goldstein, Phil and Yanosky, Ron, 2010) ดังน้ัน Private Cloud จึงเป็นให๎บริการกับผู๎ใช๎ภายในองค๑กรเป็นหลัก ขนาดการใช๎บริการจึงไมํใหญํ เหมือน Public Cloud 3. Hybrid Clouds เป็นระบบแบบเช่ือมประสานการทางานของทง้ั Public Clouds และ Private Clouds ท่ีสามารถสงํ ตํอขอ๎ มลู และคาส่งั ข๎ามระหวาํ งแอพพลเิ คชน่ั ของ Public Cloud และ Private Cloud ได๎ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 366

3.2 รูปแบบการบริการของระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง รปู แบบบรกิ ารของระบบการประมวลผลแบบกลุมํ เมฆแบํงเป็น 3 กลมํุ คอื 1. Software as a Service: SaaS เป็นการให๎บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร๑ (Application) เพอื่ ใช๎งานรวํ มกันได๎ทกุ ทที่ ุกเวลา ทกุ อุปกรณด๑ ๎วยบริการโปรแกรมคอมพิวเตอร๑ท่ีจาเป็นและเหมาะสมกับผู๎ใช๎ บริการ โดยใชบ๎ ราวเซอรเ๑ พอื่ เข๎าสบํู ริการ SaaS ซ่ึงนิยมใช๎ในงานทางด๎านการตลาด ด๎านงานฝุายบุคคล และ ด๎านการบริหารทรัพยากรองค๑กร (Strukhoff, Roger, O'Gara, Maureen, O'Connor, Greg, Geelan, Jeremy, White, Elizabeth, 2011) สวํ นในดา๎ นของสถาบันการศึกษาการใช๎โปรแกรมคอมพิวเตอร๑จะมีความ หลากหลาย ทาใหก๎ ารบริหารจดั การ การจดั ซ้ือ จัดหา ต๎องใชง๎ บประมาณสงู ซึ่งระบบประมวลผลแบบกลํุมเมฆ จะใหบ๎ รกิ ารโปรแกรมคอมพวิ เตอร๑รวํ มกนั ภายในสถาบนั การศกึ ษา ทาให๎ประหยัดงบประมาณ การดูแล หรือ แม๎แตํการแกป๎ ญ๓ หาตํางๆ ท่ีเกิดขน้ึ กับการใช๎โปรแกรมคอมพิวเตอร๑ในแตํละงาน เชํน การใช๎บริการอีเมลของ Gmail เป็นต๎น ดังนั้น การใช๎ประโยชน๑จาก SaaS ในระยะส้ันนั้นจึงถือวําทาให๎องค๑กรสามารถลดคําใช๎จําย เก่ียวกบั การจัดซ้ือซอฟแวร๑ สํวนผ๎ูใช๎บริการจะเสียคําใช๎จํายเทําใดก็จะข้ึนกับการใช๎งานจริง ( pay-per-use) และในระยะยาวกช็ วํ ยใหอ๎ งคก๑ รมที รพั ยากรเทคโนโลยสี ารสนเทศทีเ่ หมาะสมกับองค๑กร ชํวยเกบ็ รักษาซอฟแวร๑ ที่จาเปน็ ไดอ๎ ยาํ งเหมาะสม ในขณะเดียวกันก็สามารถลดการใช๎พลังงานและคําใช๎จํายอื่นๆ ท่ีเก่ียวข๎องได๎เป็น อยํางดี 2. Platform as a Service: PaaS เป็นการใชร๎ ะบบปฏบิ ตั กิ ารและการสนับสนนุ ตาํ งๆ รํวมกัน ผํานเว็บแอปพลิเคชัน (Web Applications) โดยผู๎ใช๎สามารถใช๎บริการได๎จากอุปกรณ๑ ซอฟแวร๑หรือระบบ ปฏิบตั กิ ารท่แี ตกตํางกันได๎ ผใ๎ู ช๎สามารถใช๎งานแอพพลิเคชน่ั ของตนเอง บนการใช๎งานของโครงสร๎างพื้นฐานจาก ผู๎ให๎บริการ (Strukhoff, Roger, O'Gara, Maureen, O'Connor, Greg, Geelan, Jeremy, White, Eliza- beth, 2011) ซึ่งปจ๓ จบุ ันการใช๎งานระบบคอมพิวเตอร๑ในสถาบันการศกึ ษามรี ะบบปฏบิ ตั ิการ โปรแกรม ข๎อมูล หรอื แม๎แตํอปุ กรณ๑คอมพวิ เตอร๑ทหี่ ลากหลาย ดังนน้ั เพื่อให๎ตอบสนองความหลากหลายตํอแพลทฟอร๑ม ระบบ ประมวลผลแบบกลมํุ เมฆจึงไดส๎ นบั สนนุ ตอํ ความต๎องการของผู๎ใช๎งานทุกสํวนไมํวําจะเป็นผู๎สอน ผู๎เรียน หรือ เจา๎ หน๎าท่ีบุคลากรในสถาบนั ทม่ี จี านวนมาก ทาให๎ประหยดั งบประมาณการลงทุน การจัดหาระบบปฏิบัติการ ตัวอยํางเชํน การใช๎งานระบบลงทะเบียนท่ีมีความสามารถเปิดใช๎งานได๎ทั้งบนเคร่ืองคอมพิวเตอร๑ที่มีระบบ ปฏิบตั กิ ารวนิ โดวส๑ และขณะเดยี วกนั เมื่อเปล่ียนไปใช๎งานอุปกรณ๑แบบพกพาหรือโทรศัพท๑มือถือก็สามารถใช๎ งานได๎เป็นอยาํ งดีเชํนกัน 3. Infrastructure as a Service: IaaS เป็นการให๎บริการโครงสร๎างพื้นฐานในระบบ คอมพวิ เตอร๑ และบริการศูนยข๑ ๎อมลู ตามคาขอ (Data centers on demand) รํวมกนั การให๎บรกิ ารโครงสร๎าง พ้ืนฐานและบริการของศูนย๑ข๎อมูลตามคาขอ หรือท่ีร๎ูจักกันในชื่อเรียก “IaaS” จะมีระบบประมวลผล หนํวยความจาและพืน้ ท่จี ัดเก็บ ซง่ึ โดยท่วั ไปคดิ คําบริการหรอื ราคาตํอชั่วโมงตามการใช๎ทรัพยากร ผู๎ใช๎บริการ จะเสียคําใช๎จํายเฉพาะที่ใช๎ IaaS ซ่งึ จะชํวยใหป๎ ระหยัดต๎นทุนคําใช๎จํายด๎านฮาร๑ดแวร๑และโครงสร๎างพ้ืนฐานท่ี เกี่ยวข๎อง แตํอาจไมชํ ํวยประหยดั ในดา๎ นบุคลากรเสียทีเดียว เนื่องจากยังจาเป็นต๎องรับผิดชอบในการจัดการ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 367

ระบบการติดตง้ั การสารองข๎อมูล และงานด๎านการจัดการระบบอ่ืนๆ ซ่ึงขึ้นอยูํกับภาระงานที่เกิดข้ึนภายใน หนวํ ยงาน จากรูปแบบท้ัง 3 รูปแบบ การใช๎ศักยภาพของระบบการประมวลผลแบบกลํุมเมฆ จะชํวยให๎ผ๎ูใช๎ บรกิ ารสามารถทางานตาํ งๆ ไดผ๎ ํานหนา๎ เวบ็ ที่ยืดหยนํุ ทัง้ ในด๎านเวลา งบประมาณ และบุคลากร เชํน ด๎านการ ใช๎ SaaS ผใ๎ู ชบ๎ ริการจะสามารถเพ่มิ บรกิ ารไดม๎ ากมาย เชํน อีเมล หรือการใช๎ Paas สามารถสํงมอบบริการไป ยังเครือขาํ ยไดอ๎ ยาํ งกวา๎ งๆ โดยไมตํ อ๎ งจดั การโครงสรา๎ งพ้ืนฐานใหมํภายในองคก๑ ร และการใช๎ IaaS ผ๎ูใช๎สามารถ เพิ่มศักยภาพการทางานได๎จากศูนย๑ข๎อมูลไมํวําจะเป็น CPUs, Storage, Networking หรือ Web hosting (ววิ ฒั น๑ มสี วุ รรณ๑, 2557) 4. การเรียนรู้แบบปรับเหมาะ (Adaptive Learning) แนวคิดเร่อื งการเรยี นร๎แู บบปรบั เหมาะมีมานานแล๎วตั้งแตํศตวรรษที่ 4 กอํ นคริสตศักราชและยังคงมีการ พัฒนามาอยํางตํอเนื่องจนถึงป๓จจุบัน ซ่ึงในอดีตการสอนแบบรายบุคคลเป็นการนาเสนอเนื้อหาบทเรียนท่ี เตรียมไว๎สาหรบั บุคคลหรอื สถานการณห๑ นงึ่ ๆ (one-on-one) โดยคานงึ ถงึ ความชอบและความสนใจของผ๎ูเรยี น มีการสอนตามรปู แบบท่ีกาหนดไวจ๎ นจบบทเรียน มีการสารวจดูพฤติกรรมผู๎เรียน เพื่อจัดลาดับบทเรียนและ เนื้อหาแบบสํวนบคุ คล และโดยทว่ั ไปการสอนเปน็ รายบคุ คลไมไํ ด๎มํงุ ที่จะให๎ผเู๎ รยี นรบั รู๎บทเรยี นมากเกินไปหรือ เกิดความสบั สนในระหวาํ งเรยี น เนื่องจากเกรงวาํ จะไปลดประสิทธิภาพในการเรยี นรูข๎ องผู๎เรยี น (Chen, Liu & Chang, 2005; 1-2) Park (1996; 634) ไดอ๎ ธิบายความหมายของการเรียนร๎ูแบบปรับเหมาะ (Adaptive Learning) ไว๎วํา เป็นแนวคิดและเทคนิคการเรียนที่บรรลุความต๎องการของผ๎ูเรียนแตํละคนท่ีมีความแตกตํางกัน โดย การจัด สภาพแวดลอ๎ มทางการเรียนที่สอดคลอ๎ งกับวตั ถุประสงค๑และความสามารถทางการเรียนร๎ูของผู๎เรียนแตํละคน การเรียนแบบปรับเหมาะจงึ แตกตํางจากการเรียนรายบุคคล (Individual instruction) คือ สามารถอํอนไหว (Sensitive) ไปกบั ความต๎องการของผเ๎ู รียนแตลํ ะคนเชนํ เดียวกนั กับความตอ๎ งการโดยท่ัวไปของผ๎ูเรียนทั้งกลุํม ดังนนั้ การเรยี นแบบปรบั เหมาะจึงเป็นการนาเสนอทางเลือกเพอ่ื การเรียนร๎ู โดยมวี ัตถุประสงคก๑ ารเรียนหลาย รูปแบบให๎เลือก เพ่ือความสามารถในการพัฒนาศักยภาพของผู๎เรียนแตํละคนได๎จากทางเลือกการเรียนที่ เหมาะสมกับสติปญ๓ ญา จดุ อํอน และจุดแขง็ ของแตํละคน โดยคานึงถึงระดบั ความรข๎ู องผู๎เรียนตํอบทเรียน (แวว ตา เตชาทวีวรรณ, 2550) การเรียนรู๎แบบปรับเหมาะ (Adaptive Learning) คือ การออกแบบการเรียนร๎ูที่มีความยืดหยุํน สามารถปรับให๎เหมาะกับความแตกตํางของผ๎ูเรียนแตํละคนได๎ (ชุณหพงศ๑ ไทยอุปถัมภ๑, 2556) เชํน การจัด เน้ือหา การจดั บทเรยี น การทดสอบท่ีมีความยืดหยํุนสูง สามารถปรับตัวเองให๎เข๎ากันได๎กับความถนัด ความ ชานาญและความแตกตํางของผู๎เรียนเป็นรายบุคคลอยํางรวดเร็ว ผ๎ูเรียนที่เรียนร๎ูได๎อยํางรวดเร็วจะได๎รับ กิจกรรมท่เี หมาะสมและทา๎ ทายความสามารถ ในขณะทผ่ี เ๎ู รียนทย่ี งั ไมํเข๎าใจและยังไมํบรรลุเปูาหมายจะได๎รับ เนอื้ หาท่แี ตกตาํ งออกไปตามความสามารถในการเรียน อนั เปน็ การสงํ เสริมให๎ผ๎ูเรียนทุกคนเกิดการเรียนร๎ูและ สามารถบรรลเุ ปาู หมายในทา๎ ยท่ีสุด (ประเสรฐิ แซํเอยี๊ บ, กฤช สนิ ธนะกลุ และจิรพันธุ๑ ศรสี มพนั ธ๑, 2559) การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 368

ชุณหพงศ๑ ไทยอปุ ถัมภ๑ (2556) กลาํ ววําสิง่ แวดลอ๎ มในการเรยี นการสอนแบบ e-Learning ในป๓จจุบัน ไมํได๎เป็นเพียงการแปลงส่ือให๎อยํูในรูปของส่ืออิเล็กทรอนิกส๑เทํานั้น แตํถ๎าต๎องการให๎เกิดประสิทธิภาพการ เรยี นรู๎อยํางสงู สุดตรงตามวัตถปุ ระสงคแ๑ ละปรัชญาของเน้ือหาวิชาของหลักสูตร ผ๎ูสอนจะต๎องสามารถปฏิรูป รปู แบบการเรยี นรข๎ู องผู๎เรยี นให๎ได๎อีกด๎วย ดังนั้น จึงได๎มีการประยุกต๑ใช๎ความรู๎วิทยาการเทคโนโลยีสมัยใหมํ รวมไปถึงศลิ ปะการถาํ ยทอด (Pedagogy) โดยสาหรบั แนวคิดของการพัฒนาปรบั ปรุงสิง่ แวดล๎อมการเรยี นรู๎ e- Learning ในยุคตํอมานั้นจึงได๎มีการพัฒนานาเอาเทคโนโลยีเข๎ามาสนับสนุนบทบาทของผู๎เรียนให๎ดีข้ึน ชํวย แก๎ป๓ญหา มํุงเน๎นให๎ผ๎ูเรียนผูกผันกับการเรียนแบบ e-Learning และสนับสนุนให๎เกิดปฏิสัมพันธ๑ทั้งระหวําง ผู๎เรียนกับผู๎สอน และระหวํางผู๎เรียนกับผู๎เรียนมากข้ึน ซ่ึงสาหรับสิ่งแวดล๎อม e-Learning ท่ีเป็นแบบปรับ เหมาะหรอื แบบ Adaptive Learning นจี้ ะต๎องเป็นสง่ิ แวดลอ๎ มทเ่ี ก่ียวข๎องกับ 1) การปรบั ตัวเองใหเ๎ ข๎ากนั ได๎กับ ความชานาญและความต๎องการของผเ๎ู รยี นแตํละคนได๎อยาํ งรวดเร็ว และ 2) มีความยืดหยุํนและปรับตัวเองได๎ เนอ้ื หาตาํ งๆ สามารถนากลับมาใชใ๎ หมํได๎ และถกู เรียบเรยี งใหมํในลักษณะแตกตํางกันได๎งําย โดยสิ่งแวดล๎อม การเรียนร๎ูแบบ e-Learning ที่ใช๎รูปแบบ Adaptive Learning อาจอนุญาตให๎ผ๎ูเรียนเลือกสํวนประกอบ (Component) ของรายวชิ าหรือปรับตัวเองได๎ตามที่ผู๎เรียนต๎องการ ชํวยสนับสนุนให๎เกิดเป็นส่ิงแวดล๎อมท่ีมี ผเู๎ รียนเปน็ ศนู ย๑กลางโดยแทจ๎ ริง ดงั นน้ั การประยุกตใ๑ ชแ๎ นวคดิ Adaptive Learning จึงหมายถึง การท่ีจัดให๎มี ส่งิ แวดลอ๎ ม e-Learning ท่สี ามารถปรบั ตัวเองได๎ตามลกั ษณะนสิ ยั ของผ๎เู รียนแตลํ ะคนไดใ๎ นระดับปจ๓ เจกบุคคล (Individual) โดยอตั โนมตั นิ ่ันเอง (อนุชติ กล่ินกาเนดิ , 2553: 33) วิธดี าเนินการ 1. การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยอี นิ เทอรเ์ นต็ ออฟ ธิง (IoT) และคลาวด์ คอมพวิ ตง้ิ เพอื่ สร้างระบบนเิ วศ ดิจทิ ัลทางการศกึ ษาสาหรบั การเรียนรแู้ บบปรบั เหมาะแก่ผู้เรยี น ระบบนเิ วศนก๑ ารเรยี นการสอนดิจิทัล (DTLE) ประกอบไปด๎วยสงิ่ มีชวี ติ ท้งั หมดที่อาศยั อยูํในพื้นที่ใดพ้ืนที่ หนงึ่ ที่มีองคป๑ ระกอบทางกายภาพท้ังหมดในสภาพแวดลอ๎ มท่เี กิดการปฏสิ ัมพนั ธ๑กนั โดยส่งิ ทงั้ ปวงท่ีอาศัยอยูใํ น ระบบนิเวศนโ๑ ดยเฉพาะที่เรยี กวาํ ชมุ ชน (Campbell and Reece, 2008) การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 369

ภาพที่ 4 Digital Teaching and Learning Ecosystem : DTLE (Jorge Reyna, 2011) Jorge Reyna (2011) ไดอ๎ ธิบายภาพที่ 4 แบบจาลองระบบนิเวศน๑การเรียนการสอนดิจิทัล (DTLE) วาํ เป็นความคลา๎ ยคลึงกับระบบนเิ วศน๑ในระบบนเิ วศวทิ ยาที่มีสององค๑ประกอบหลัก ได๎แกํ สํวนประกอบทาง ชีวภาพและ abiotic โดยในสํวนของสํวนประกอบทางชีวภาพน้ันประกอบด๎วยสองหมวดยํอย คือ สิ่งมีชีวิตท่ี อาศัยอยูใํ นห๎องเรยี น การเรยี นการสอน ได๎แกํ วิทยากร ครูสอนพิเศษ และเจา๎ หนา๎ ท่ีการเรยี นรอู๎ อนไลน๑ ตลอด รวมไปถึงส่ิงมีชีวิตท่ีอาศัยอยํูในห๎องเรียนน้ัน ได๎แกํ นักเรียนที่ลงเรียนในหนํวยหรือหลักสูตร สํวนประกอบ abiotic ได๎แกํ อปุ กรณท๑ างกายภาพทีน่ ักเรยี นใช๎ในการเขา๎ ถึงเนอื้ หา เชนํ คอมพิวเตอรเ๑ ดสก๑ท็อป คอมพิวเตอร๑ แท็บเล็ต เน็ตบุก๏ แล็ปท็อป โทรศัพทม๑ ือถอื ฯลฯ เปน็ ตน๎ และในสํวนของซอฟต๑แวร๑ทช่ี วํ ยในการสนบั สนุน เชํน การเชื่อมตํออินเทอร๑เน็ต ได๎แกํ การใช๎บรอดแบนด๑ Wi-Fi, 3G, ฯลฯ รวมไปถึงการอินเตอร๑เฟซ e-learning หรือพอร๑ทลั และเนือ้ หา ซึ่งอาจเป็นแบบคงทห่ี รอื แบบไดนามิก เป็นตน๎ Laanpere, Põldoja & Normak (2013) ได๎อธิบายถึงการเปลี่ยนระบบการเรียนร๎ูของเทคโนโลยี (Enhanced Learning-TEL) ซง่ึ มีแนวโนม๎ วําระบบการจัดการเรียนรูแ๎ บบปิดและแบบคงที่ของยุคที่สองกาลัง จะถกู แทนทดี่ ว๎ ยรุํนทเี่ ปดิ ให๎มกี ารพัฒนาการเรียนรูเ๎ ป็นแบบระบบนเิ วศดจิ ทิ ัลแทนดงั ตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 Generations of TEL systems มีข๎อเสนอหลายข๎อที่พิจารณาถึงหลักการทางนิเวศวิทยาในการเรียนรู๎ออนไลน๑ ( e-learning) ใน ทศวรรษท่ผี าํ นมา แตํความเขา๎ ใจในการออกแบบระบบตํางๆ ท่ีผํานมานั้นยังคํอนข๎างเป็นแบบคงที่จนกระทั่ง การใชซ๎ อฟต๑แวรส๑ ื่อสงั คมเพือ่ การเรียนรอ๎ู อนไลน๑ได๎รับความนิยมเป็นอยํางมาก การยอมรับการเปลี่ยนแปลง ของนเิ วศวทิ ยาในระบบอีเลิร๑นนิงจึงปรับเปล่ียนเป็นแบบดิจิทัลโดยใช๎แนวคิด \"ระบบนิเวศน๑การเรียนรู๎แบบ ดิจิทัล\" แตํแนวคิดน้ีมีการปรับเปลี่ยนโดยเฉพาะอยํางย่ิงในเรื่องของชีววิทยาซ่ึงแบํงออกได๎เป็นสองสํวนคือ สํวนประกอบทางชีวภาพประกอบด๎วยสิ่งมีชีวิต (species) และสํวนท่ีไมํมีชีวิต (Abiotic) คือ สภาพแวดล๎อม เชนํ อากาศ อุณหภูมิ ความชนื้ พ้ืนดิน แสงสวาํ ง ซึ่งในระบบนเิ วศดจิ ิทัล หมายถึง เครือ่ งมอื บรกิ ารเนื้อหาที่ใช๎ ในกระบวนการเรียนร๎ูและชุมชนดิจิทัลของผ๎ูใช๎ เป็นต๎น (Mart Laanpere, Kai Pata, Peeter Normak and Hans Põldoja, 2013) การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 370

1.1 การเรียนรใู้ นระบบนเิ วศดิจิทลั ทางการศกึ ษาโดยการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีอินเทอรเ์ น็ต ออฟ ธงิ (IoT) รว่ มกับการใช้คลาวด์ คอมพิวตงิ้ การเรียนร๎ใู นระบบนิเวศดิจิทัลทางการศกึ ษา รํวมกับการใช๎เทคโนโลยีอินเทอร๑เน็ต ออฟ ธิง (IoT) นน้ั เป็นรูปแบบการเรยี นรู๎ทถี่ กู ออกแบบเพือ่ ใชอ๎ านวยความสะดวกให๎แกํผเู๎ รยี น ทาให๎ผ๎ูเรียนสามารถเรียนร๎ูได๎ ทกุ หนทกุ แหงํ โดยใช๎คอมพิวเตอร๑แบบพกพาและอุปกรณ๑ดิจิทัลตํางๆ เชํน Smart Phone/ Tablet ประกอบ กับการใช๎การสอ่ื สารแบบไร๎สายเพอ่ื เป็นชํองทางในการเรียนรด๎ู ว๎ ยตนเอง โดยมีผู๎สอนคอยให๎คาปรึกษาเม่ืออยูํ นอกชนั้ เรยี น และเมื่อเข๎าช้นั เรยี นก็มีอุปกรณเ๑ ทคโนโลยตี าํ งๆ ทถี่ ูกออกแบบเพือ่ สนบั สนนุ การจดั การเรียนการ สอนซ่งึ เชือ่ มตํอการทางานเขา๎ กับอนิ เทอร๑เนต็ โดยทงั้ ผ๎สู อนและผูเ๎ รียนสามารถสั่งการและใช๎งานอุปกรณต๑ ํางๆ หรืออปุ กรณต๑ ํางๆ สามารถสือ่ สารและทางานถึงกันโดยอัตโนมัติ เพื่ออานวยความสะดวกในการจัดการเรียน การสอนให๎กบั ผูเ๎ รยี นและผสู๎ อนไดอ๎ ยาํ งมีประสิทธภิ าพผํานทางอุปกรณ๑เคล่ือนท่ที เี่ ชอ่ื มตอํ อนิ เทอรเ๑ น็ต 1.1.1 อินเทอร์เน็ต ออฟ ธงิ กับการสรา้ งระบบนเิ วศดิจิทลั เพือ่ การเรยี นรู้ Internet of Thing (IoT) หรืออินเทอร๑เน็ตในสรรพส่ิงเป็นคาท่ีถูกบัญญัติข้ึน ซึ่งมีความหมาย คือ ทุกส่ิงในชีวติ ประจาวนั ของเราสวํ นใหญทํ ่เี ป็นอุปกรณ๑ดิจิทัลทุกช้ินจะมีการเช่ือมตํอกับอินเทอร๑เน็ต ไมํใชํ เฉพาะแคํคอมพิวเตอร๑หรือ Tablet, Smart Phone เทําน้ัน แตํในอนาคตจะรวมไปถึงอุปกรณ๑ไฟฟูา และ อุปกรณ๑อิเล็กทรอนิกส๑อื่นๆ ที่มนุษย๑เรามีใช๎อยํูในชีวิตประจาวันด๎วย เชํน นาฬิกา แวํน ตา ตู๎เย็น Smart TV และ Smart Device อ่นื ๆ ซึ่งในการใช๎งานเทคโนโลยี IoT นี้อาศัยหลักการท่ีส่ิง หรืออุปกรณ๑อิเล็กทรอนิกส๑ ตาํ งๆ ได๎เชือ่ มโยงเข๎าสํูเครือขํายอินเทอร๑เน็ตทาให๎มนุษย๑สามารถมองเห็น สั่งการ ควบคุมการใช๎งานสิ่งหรือ อุปกรณต๑ ํางๆ ได๎ เชนํ การส่ังเปิด-ปิดอปุ กรณเ๑ ครือ่ งใชไ๎ ฟฟูา รถยนต๑ โทรศพั ท๑มอื ถือ เคร่ืองมอื สื่อสาร เครื่องใช๎ สานักงาน เครื่องมือทางการเกษตร เครื่องจักรในโรงงานอุตสาหกรรม อาคาร บ๎านเรือน เครื่องใช๎ในชีวิต ประจาวันตํางๆ ผํานทางอุปกรณ๑พกพาที่เช่ือมตํอกับเครือขํายอนิ เทอร๑เนต็ ได๎ เปน็ ตน๎ ซ่งึ จากการศึกษารปู แบบ การเรยี นรู๎แบบออนไลนน๑ ้นั สามารถนาเทคโนโลยี Internet of Thing มาประยุกต๑ใช๎เพอ่ื ออกแบบการจัดการ เรยี นการสอนได๎เปน็ 3 สวํ นหลัก ไดแ๎ กํ สว่ นท่ี 1 Smart Classroom เปน็ สํวนของการประยุกต๑ใช๎เทคโนโลยี IoT เพื่อสร๎างห๎องเรียนอัจฉริยะที่เปรียบเสมือนระบบนิเวศ ดจิ ิทัลทางการศกึ ษาใหผ๎ เู๎ รยี น ผสู๎ อน และผเ๎ู กีย่ วข๎องไดท๎ างานและมปี ฏสิ ัมพนั ธ๑รวํ มกัน ซ่งึ ในสวํ นน้ปี ระกอบไป ด๎วย 3 ระบบ คอื 1. ระบบ IoT Smart Check in คือ การใช๎อุปกรณ๑ตํางๆ ได๎แกํ การทาปูายช่ืออิเล็กทรอนิกส๑มี อปุ กรณต๑ รวจวัด (sensor) คอยตรวจจบั สภาพแวดล๎อมตํางๆ แลว๎ รายงานใหผ๎ ๎ูเรียน/ ผส๎ู อนรับทราบขอ๎ มลู ดว๎ ย Smart Device ของตนเอง เชํน เวลาการเข๎าออกห๎องเรียน สุขภาพความพร๎อมของผ๎ูเรียน อุณหภูมิของ หอ๎ งเรยี น สถติ ผิ ลการเรยี น ฯลฯ และขอ๎ มลู ทง้ั หมดจะถูกรวบรวมข้ึนไปเก็บไว๎บน Cloud เพ่ือให๎ผู๎สอนเข๎ามา ใชข๎ ๎อมลู สาหรบั วิเคราะหแ๑ ละออกแบบการจัดการเรยี นการสอนหรือออกแบบการเรียนรใู๎ นครง้ั ตอํ ไป 2. ระบบ IoT Smart Camera คือ ระบบการสังเกตและเก็บข๎อมูลในลักษณะภาพน่ิงและภาพ เคลื่อนไหวในหอ๎ งเรยี น ซ่งึ สามารถสั่งการและควบคุมจากผ๎ูสอนเพ่ือเช็คดูสภาพแวดล๎ อม ความพร๎อม ความ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 371

ปลอดภัย และสงั เกตกิจกรรมการเรยี นรข๎ู องผเู๎ รยี นผาํ นกลอ๎ งทตี่ ดิ ต้ังไว๎ ทงั้ น้ียงั ใช๎เป็นระบบการประชุมทางไกล ไดอ๎ ีกดว๎ ย 3. ระบบ IoT Smart Office คือ ระบบที่คอยอานวยความสะดวกให๎ผู๎สอนและผ๎ูเรียนในการจัด กิจกรรมการเรียนร๎ู ซึ่งประกอบไปด๎วยอุปกรณ๑ใช๎งานพื้นฐานในออฟฟิศ ได๎แกํ คอมพิวเตอร๑ สแกนเนอร๑ กระดานอัจฉริยะ ปริน้ เตอร๑ 3 D หรืออปุ กรณอ๑ น่ื ๆ ที่ตอ๎ งการจดั เปน็ สภาพแวดล๎อมยบู ิคิวตัสโดยใช๎เทคโนโลยี IoT เพ่มิ เติมตามความต๎องการ งบประมาณ และความเป็นไปได๎ของเทคโนโลยี ภาพที่ 5 การใชเ๎ ทคโนโลยี IoT และคลาวด๑ คอมพิว ติ้งเข๎ามาชํวยสร๎างระบบนิเวศดจิ ทิ ัล ทางการศกึ ษา (กฤตยษ๑ พุ ัช สารนอก, 2560) ส่วนท่ี 2 Smart Teaching Smart Teaching หรอื การจดั การเรยี นรู้ 7 ข้นั ตอน คอื ขั้นที่ 1 Recommend คอื การแนะนาบทเรียนและวธิ ีการเรียนรผู้ ่านการเรยี นร้ดู ้วยเทคโนโลยี IoT และ คลาวด์ คอมพวิ ตงิ้ หรอื การแนะนาการจดั การการเรยี นร้ใู นระบบนเิ วศดจิ ทิ ลั ขนั้ ที่ 2 Survey คอื การสารวจความรคู้ วามเข้าใจของผเู้ รยี นทั้งความร้เู ดิมและพืน้ ฐานการใชง้ าน Smart Classroom ก่อนเรยี นเรอ่ื งใหม่ ขน้ั ท่ี 3 Present คอื การนาเสนอกรอบหลักกว้างๆ ของเนอื้ หากอ่ นเรยี นเรอื่ งใหม่ ขน้ั ที่ 4 Separate คอื การแบง่ บทเรียน หัวขอ้ สาคญั ใหผ้ เู้ รยี นได้เลอื กเรยี น และสรา้ งการปรับเหมาะการ เรยี นรสู้ าหรบั ตนเอง ขน้ั ท่ี 5 Connecting Teaching คอื การสอนแบบเชอื่ มโยงความรเู้ กา่ ส่คู วามรู้ใหม่โดยใช้เทคโนโลยี IoT และคลาวด๑ คอมพิวติ้งเป็นเครอ่ื งมอื ในระบบนเิ วศน๑ ขั้นที่ 6 Advance Organizer คือ การใช๎เทคนิคสรุปบันทึกโดยใช๎ Smart Device แล๎วแลกเปล่ียน และ Share กนั ในระบบนิเวศดิจทิ ัล ขัน้ ท่ี 7 Compose คือ การใหผ๎ เู๎ รยี นทาการจัดเรยี บเรยี งข๎อมูลใน Smart Device กํอนจัดเกบ็ และ Share กนั บน Cloud และสามารถนาไปใช๎ไดท๎ ุกแหงํ ทกุ ท่ี โดยอาศัยการเรยี นรจ๎ู ากเทคโนโลยี IoT และคลาวด๑ คอมพวิ ติ้งในระบบนเิ วศดิจทิ ัลทางการศกึ ษาน้ี ส่วนท่ี 3 Smart Learning การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 372

Smart Learning หมายถงึ การเรยี นรู้อย่างชาญฉลาดดว้ ยการใชเ้ ทคโนโลยี IoT และคลาวด์ คอมพวิ ติ้ง เข้า มาช่วยในการส่งเสริมและร่วมสร้างระบบนิเวศดิจิทัลทางการศึกษา โดยในการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนแต่ละคน สามารถใช้ Smart Device ส่วนตัว เช่น Smart Phone, Tablet, Computer Notebook, Laptop หรืออุปกรณ์ พกพาอจั ฉรยิ ะต่างๆ ที่สามารถเชือ่ มต่ออินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งในการเรียนรู้แต่ละคร้ังนั้นอาจจะข้ึนอยู่กับการออกแบบ กจิ กรรมการเรียนการสอนของผูส้ อนและส่งิ ทต่ี อ้ งการใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรู้ในระบบนเิ วศดจิ ิทลั ทมี่ ี Smart Device ตา่ งๆ ของผูเ้ รียนเชือ่ มต่อถึงกันผา่ นเครอื ข่ายอินเทอร์เนต็ ตลอดเวลา ภาพที่ 5 Digital Education Ecosystem By Using IoT & Cloud Computing สรุปผลและอภปิ รายผล การสร้างระบบนเิ วศดจิ ทิ ัลทางการศึกษา (Digital Education Ecosystem) ประกอบไปด้วยสิ่งท่เี ก่ยี วขอ้ ง 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) มกี ารจดั ส่งเน้ือหา (Content Delivery), 2) มีการร่วมมือกัน (Collabo-ration), 3) ส่วนต่อ ประสานกับผู้ใช้งาน (User Interface), 4) อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิง (Internet of Thing: IoT), 5) ระบบเครือข่าย (Networking), 6) การสร้างภาพ (Visualization) และ 7) การจดั การขอ้ มลู (Data Management) โดยองค์ประกอบ ทงั้ 7 องค์ประกอบเมื่อนามาประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยี IoT และคลาวด์ คอมพิวต้ิงแล้ว สามารถจัดการเรียนรู้โดย แบ่งเป็นสามส่วน คือ 1) ระบบ Smart Classroom, 2) ระบบ Smart Teaching และ 3) ระบบ Smart Learning 1) Smart Classroom เป็นส่วนของการประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยี IoT เพ่ือสรา้ งห้องเรียนอัจฉริยะที่ประกอบ ไปด้วยระบบอานวยความสะดวกในการจดั การเรยี นการสอน 3 ส่วน คอื IoT Smart Check in, IoT Smart Camera และ IoT Smart Office 2) Smart Teaching การเรียนการสอนใน 7 ข้ันตอน การ Recommend, การ Survey, การ Present, การ Separate, การ Connecting Teaching, การ Advance Organizer และการ Compose 3) Smart Learning การเรยี นรูอ้ ยา่ งชาญฉลาด โดยผ้สู อนจะทาหนา้ ทเี่ ปน็ โค้ช (Coach) และออกแบบให้ ผู้เรยี นทากจิ กรรมการเรยี นรู้แบบปรบั เหมาะ (Adaptive Learning) ด้วยการปรับและออกแบบการจดั การเรยี นรู้หลัก และการเรยี นรู้เสรมิ จากการใช้ Smart Device เชอ่ื มตอ่ ผา่ นอนิ เทอร์เนต็ และเรยี นร้ผู า่ นระบบคลาวด์ หรอื แลกเปล่ยี น ผา่ นอปุ กรณ์ดจิ ิทัลต่างๆ ระหว่างผูเ้ รยี นกบั ผ้เู รยี น หรือผู้เรียนกับผ้สู อน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 373

เอกสารอ้างองิ กระทรวงศึกษาธิการ. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542. กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ๑ องคก๑ ารค๎า คุรุสภา. กฤตยษ๑ ุพัช สารนอก. (2560). “Internet of Every Thing การเช่ือมโยงทกุ สรรพสงิ่ สํู Smart Classroom 4.0.” การประชุมวชิ าการระดบั ชาติ ครงั้ ที่ 3: 2560 เรือ่ ง ครุศาสตร์วจิ ยั 2560/ NACE2017: นวัตกรรมแห่งการเรียนรู้. คณะครุศาสตร๑ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ลาปาง ชณุ หพงศ๑ ไทยอปุ ถัมภ.๑ (2556). Adaptive Learning Environments กับสิ่งแวดลอ้ ม e -Learning ยคุ ใหม่. E-learning. DMV. ปที ่ี 3 ฉบับที่ 12 (ม.ค.-ก.พ.56), หนา๎ 26-28. ประเสรฐิ แซเํ อย๊ี บ, กฤช สนิ ธนะกุล และจริ พนั ธ๑ุ ศรีสมพันธ๑. (2559). กรอบแนวคิดในการออกแบบ กระบวนการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือร่วมกับอเี ลริ ์นนง่ิ แบบปรับเหมาะสาหรบั นกั ศึกษาทีม่ คี วาม แตกต่างทางพหปุ ัญญา. วารสารศกึ ษาศาสตร๑ มสธ. ปีที่ 9 ฉบับท่ี 2 ก.ค.–ธ.ค. 2559. พฤทธ์ิ พฒุ จร. (2559). พฒั นาการศึกษาดว้ ย IoT (Education development with Internet of Things). SPIDY LEARNING & OBSY DEVELOPMENT: ออนไลน:๑ https://spidyhe ro. wordpress.com วิชญา รํนุ สวุ รรณ,๑ ดวงกมล โพธ์ินาค และปรวฒั น๑ วิสตู รศักดิ์. (2015). รปู แบบระบบการจดั การเรยี นการสอน บนเทคโนโลยีกอ้ นเมฆเพ่ือสนับสนุนการเรียนการสอนด้านคอมพวิ เตอร์. วารสารปญ๓ ญาภิวัฒน,๑ 17- 08-2015. วิวัฒน๑ มสี ุวรรณ.๑ (2557). ระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆในงานทางการศกึ ษา. วารสารศกึ ษาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปที ่ี 16 ฉบับที่ 1 มกราคม– มีนาคม. 2557 วนั เพญ็ ผลศิ ร. (2559). การบรหิ ารวทิ ยาเขตอัจฉรยิ ะด้วยอนิ เทอรเ์ นต็ สาหรบั สรรพสิง่ . วารสารการอาชวี ะ และเทคนคิ ศกึ ษา ปีท่ี 6 ฉบับท่ี 11 ม.ค.–ม.ิ ย. 2559 แววตา เตชาทวีวรรณ. (2550). การพัฒนาบทเรยี นทางเว็บแบบปรับเหมาะ วิชาการจดั หมวดหมรู่ ะบบ ทศนยิ มดวิ อ้ี. โครงการทุนวจิ ัยไมกํ าหนดทิศทาง มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. 2550 อนงค๑นาฏ ศรวี ิหค. (2551). Digital Education Ecosystem. ภาควชิ าวิทยาการคอมพวิ เตอร๑ คณะ วิทยาศาสตร๑ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑. 2551. อนชุ ติ กลนิ่ กาเนดิ . (2553). ระบบบรหิ ารจดั การการเรียนรแู้ บบปรับเหมาะ. สาขาวชิ าเทคโนโลยี สารสนเทศ ภาควชิ าคอมพวิ เตอร๑ศกึ ษา มหาวิทยาลัยศิลปากร, หนา๎ 33. อลิษา รจุ ิวิพฒั น๑. (2016). INTERNET OF THINGS ววิ ฒั นาการอกี ข้นั แห่งโลกอนิ เทอร์เน็ตสู่ การเช่ือมตอ่ อปุ กรณต์ า่ งๆ แบบทุกท่ี ทุกเวลา. Enjoy MAGAZINE. JUL-SEP 2016. เอ้อื อารี ทองแกว๎ จันทร. (2558). ห้องเรียนอัจฉรยิ ะกับการจัดการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21. คณะครศุ าสตร๑ มหาวทิ ยาลยั สวนดุสติ กรุงเทพฯ Bo, D. (2009). An E-learning Ecosystem Based on Cloud Computing Infrastructure. Boley, H. and E. Briscoe, G. and P. De Wilde (2008). “Digital Ecosystems: Optimisation by a การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 374

distributed intelligence.” Digital Ecosystems and Technologies, 2008. DEST 2008. 2nd IEEE International Conference. Chang, E. and M. West (2006). Digital Ecosystems A Next Generation of the Collaborative Environment. Chang. (2007). Digital ecosystems: Principles and semantics, Citeseer. Chang, E. and M. West (2006). Digital Ecosystems A Next Generation of the Collaborative Environment. Chen, Chin-Ming; Liu, Chao-Yu; & Chang, Mei-Hui. (2005). Personalized curriculum sequencing utilizing modified item response theory for web-based instruction. In Expert Systems with Applications. Retrieved October 31, 2005. From http://www.elsevier.com/ locate/eswa Friedemann Mattern and Christian Floerkemeier. From the Internet of Computers to the Internet of Things. Distributed. Systems Group, Institute for Pervasive Computing, ETH Zurich. Gerd Kortuem Arosha K. Bandara Neil Smith and Mike Richards. (2013). Educating the Internet-of-Things generation. Educating the Internet-of-Things generation. Computer, 46(2) p.53–61. Hwa-YoungJeong and GangmanYi. (2014). A Service Based Adaptive U-Learning System Using UX. The Scientific World Journal Vol. 2014, Article ID 109435, 9 pages. Online: http://dx.doi.org/10.1155/2014/109435. Irene Karaguilla Ficheman, Roseli de Deus Lopes. (2008). “Digital Learning Ecosystems: Authoring, Collaboration, Immersion and Mobility.” Eighth IEEE International Conference on Advanced Learning Technologies Ismar Frango Silveira and Other. (2013). A Digital Ecosystem for the Collaborative Production of Open Textbooks: The LATIn Methodology. Journal of Information Technology Education: Research Volume 12, 2013. James Sunney Quaicoe, Kai Pata, Eka Jeladze. (2016). “DIGITAL LEARNING ECOSYSTEM SERVICES AND EDUCATIONAL CHANGE IN GHANA’S BASIC SCHOOLS.” Proceedings of EDULEARN16 Conference 4th-6th July 2016, Barcelona, Spain. JIANHUA MA and orther. (2005). Towards a Smart World and Ubiquitous Intelligence: A Walkthrough from Smart Things to Smart Hyper spaces and UbicKids. PERVASIVE COMPUT. & COMM. 1 (1), MAR 2005. c TROUBADOR PUBLISHING LTD. Jorge Reyna. (2011). “Digital Teaching and Learning Ecosystem (DTLE): A Theoretical Approach การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 375

for Online Learning Environments.” Proceedings ascilite 2011 Hobart: Concise Paper. Katz, Richard, Goldstein, Phil, and Yanosky Ron. (2011). Cloud Computing in Higher Education. Retrieved October 29, 2011, form http://net.educause. edu/section_params/conf/CCW10/highered.pdf. Leona Norris, Annora Eyt-Dessus, Clive Holtham. (2013). “The Learning Ecosystem: A practical, holistic approach to old problems in a new world.” 30th ascilite Conference 2013 Proceedings. Marie-Helen Maras. (2015). Internet of Things: security and privacy implications. TOMORROW’S PRIVACY International Data Privacy Law, 2015, Vol. 5, No. 2 Mart Laanpere, Kai Pata, Peeter Normak, and Hans Põldoja. (2013). Pedagogy-driven Design of Digital Learning Ecosystems. Computer Science and Information Systems 11(1): 419–442, Received: October 15, 2012; Accepted: November 17, 2013. Ovidiu Vermisan and Peter Friess. (2013). Internet of Things: Converging Technologies for Smart Environments and Integrated Ecosystems. RIVER PUBLISHERS SERIES IN COMMUNICATIONS. 2013. Park, Ok-choom. (1996). Adaptive Instructional System. In Handbook of Research for Educational Communications and Technology. Edited by David H. Jonassen. Pp. 634- 664. New York: MacMillan Library Reference. P.P. Ray. (2016). A survey on Internet of Things architectures. Journal of King Saud University–Computer and Information Sciences. Received 4 Jul 2016; revised 24 Sep 2016; accepted 3 Oct 2016. RoLa. (2017). LoRa Techology. Online http://www.real-iot.com/lora-techology/ Ruthbea Yesner Clarke. (2013). Smart Cities and the Internet of Every thing: The Foundation for Delivering Next-Generation Citizen Services. Copyright 2013 IDC Government Insights. Sathya Vendhan G. (2013). Technologies Empowering Digital Education: Cloud, Big Data and New Age Technologies Converge to Produce Effective Digital Education Systems. Sneha Verma And S.Sugumaran. (2016). VIRTUAL CONNECTION BETWEEN DIGITAL AND PHYSICAL WORLD BASED ON SIXTH SENSE TECHNOLOGY. International Journal of Computational Science and Information Technology (IJCSITY) Vol.4, No. 1, February 2016. การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 376

Strukhoff, Roger, O'Gara, Maureen, O'Connor, Greg, Geelan, Jeremy, White, Elizabeth. (2011). Six Types of Cloud Computing. Cloud Computing Journal. Retrieved October 29, 2011. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 377

การเรียนรู้ระหว่างวยั เพอ่ื การศึกษาฐานรากท่ีย่ังยืน Intergenerational learning for the sustainability of communication-based education ชามาภทั ร สิทธิอานวย * พิณสดุ า สิริธรังศรี บทคัดย่อ ผลกระทบจากยคุ ของการไลลํ ําอาณานคิ มของชาวตะวันตกท่ีมุํงสํูดินแดนเอเซียตะวันออกเฉียงได๎ใน ศตวรรษท่ีผํานมา สํงผลให๎ประเทศไทยวางระบบการศึกษาอิงตามความเป็นตะวันตก โดยมีวัตถุประสงค๑ให๎ การศึกษาเปน็ เครื่องมอื ในพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมไปสํคู วามทนั สมยั นโยบายทางการศกึ ษาทผ่ี าํ นมาจงึ มุงํ เน๎น ในการพัฒนาประชาชนใหม๎ ีความสามารถในการแขํงขนั ทางเศรษฐกจิ เพอ่ื ตอบสนองการแขงํ ขันกับนานาประชา โลกในยคุ โลกาภิวฒั น๑ และมงุํ พฒั นาประเทศสคูํ วามเป็นสงั คมเมือง อยํางไรกต็ ามผลกระทบของเศรษฐกจิ ในยคุ โลกาภิวฒั น๑ ความเปน็ สงั คมเมอื ง การลดลงของอตั ราการเกิด การละทง้ิ ถ่ินฐานและครอบครวั ของเพศแมํเข๎าสูํ ตลาดงาน ทาให๎เกิดการเปล่ยี นแปลงโครงสร๎างทางสังคมไทยและการดาเนินชีวิตแบบไทยอยํางเห็นได๎ชัด ซ่ึง เป็นผลให๎เกดิ ความแปลกแยกของคนตํางวัยในครอบครัวสํงผลกระทบตํอความสัมพันธ๑และการเรียนรู๎ภายใน ครอบครัว รวมถึงกํอให๎เกิดการท้ิงถิ่นอาศัยท่ีให๎กาเนิดสูํถ่ินประกอบอาชีพที่สอดคล๎องการศึกษาสมัยใหมํท่ี ไดร๎ ับการศกึ ษาสมยั ใหมํไมสํ ามารถตอบโจทยใ๑ นการพฒั นาชมุ ชนที่เป็นรากเหงา๎ ของชวี ิต“การจดั การศกึ ษาฐาน ราก” และ “โปรแกรมการเรยี นร๎ูระหวาํ งวยั ” ได๎ถูกนาเสนอให๎เป็นเคร่ืองมืออยํางดีที่สนับสนุนกันและกันให๎ เกิดการเชือ่ มคนตํางวัยในสังคมให๎เกิดการเรียนร๎ูและสร๎างความสัมพันธ๑กันอีกคร้ังและยังชํวยสร๎างความสุข ใหก๎ ับคนในชมุ ชนโดยการสร๎างการศึกษาท่ีตอบสนองความต๎องการของชุมชนอยํางแท๎จริง บทความนี้ได๎สร๎าง องค๑ความร๎ูจากการศึกษาวรรณกรรมเก่ียวกับแนวคิดด๎านการเรียนร๎ูระหวํางวัย การศึกษาเพ่ือการพัฒนาท่ี ยง่ั ยืน และการจดั การศึกษาฐานราก เพือ่ นาเสนอแนวคิดในการดาเนนิ งานการเรยี นรู๎ระหวํางวัยเพ่ือการศึกษา ฐานรากท่ยี ่งั ยนื ในรปู แบบท่ีเปน็ ทางการทงั้ ส้ิน 6 ข๎อ คาสาคัญ:โปรแกรมการเรียนรรู๎ ะหวํางวัย การศกึ ษาฐานราก การพัฒนาการศกึ ษาท่ยี ง่ั ยืน การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 378

Abstract The impact of colonization across South East Asia created the pressures necessary for Thailand to establish Thai westernized education system which is aimed to be a machanismfordevelopment of socialand economic.All of the efforts made by the ministry of education for a century have been gearedThai people towardthe main direction to participate within an economy dominated by globalization and and urbanization. However, the impact of globalization, urbanization, declining fertility rate, participation of women in the workforce in Thailand results in significant changes in family structures and Thai ways of life that have caused degrees of separation between the young and the older members of families affecting familial relationships and learning within the family,as well as between the villagers and the living community for a reason of career matched to knowledge learnt form modernized educational system. The community-based education management (CBEM)and intergenerational learning programmes (IP)areproposed asconcordantlyeffective instruments to unite separated generationsand empower sustainable development to micro economic sector.This article aims to analyze how tothe elements of CBEM and IG be adapted in a Thai context. The study is based on the review concepts of intergenerational learning programme, education for sustainable development and community-based education management. The writer proposes 6 criterias of running an intergenerational learning program under community-based education management model. Keywords: intergenerational learning programme, education for sustainable development, community-based education management * กรรมการผูจ๎ ัดการ จิมโบรี เพลยแ๑ อนดม๑ ิวสิค ประเทศไทย * Email [email protected] บทนา การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 379

การรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกสรูํ ะบบการศกึ ษาและการการดาเนนิ ชีวติ การเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจ การละทง้ิ บา๎ นเกดิ สูกํ ารทางานในเขตเมืองของเพศแมํ รวมถงึ การเปลี่ยนแปลงทางด๎านประชากรศาสตร๑ และ การเปลยี่ นแปลงโครงสรา๎ งทางครอบครัว กํอให๎เกดิ การเปล่ยี นแปลงวิถชี ีวติ ของคนไทยอยํางมากในชวํ ง 50 ปที ี่ ผาํ นมา การเปลย่ี นแปลงดงั กลําวนม้ี ีความความเกีย่ วพนั กนั ลึกซ้งึ ตํอการปรับทศั นคติและวิถีการดารงชีวิตของ คนรุนํ ใหมใํ นยคุ ปจ๓ จบุ ันซ่งึ สํงผลกระทบตํอรากเหง๎าความเป็นไทยท่ีเสื่อมถอยลงโดยเฉพาะการกาหนดคุณคํา และบทบาทของผู๎สูงอายุจากเดิมทเี่ ป็นศูนย๑กลางในการถํายทอดความร๎ูของครอบครัวจากรํุนสํูรุํนโดยมีชุมชน เป็นหอ๎ งเรียนที่ลูกหลานสามารถเรียนร๎ูวิถีการดาเนินวิถีชวี ติ ท่เี หมาะสมกบั ตนอยาํ งมคี ุณคําและมีความสุข แตํ ในป๓จจุบนั ระบบการศึกษากลับเน๎นการเรยี นร๎ูตามสาระที่เหมาะกบั คนในเมืองซ่ึงถือเป็นการดึงคนไทยจานวน มากทปี่ ระกอบอาชพี ทางการเกษตรใหไ๎ กลหํางจากชุมชน การเรียนร๎ูในป๓จจุบันผู๎สูงอายุจึงถูกเปล่ียนบทบาท จากเดิมท่เี ป็นศูนยก๑ ลางในการถํายทอดความรแ๎ู ละวัฒนธรรมของครอบครวั กลายเปน็ ผทู๎ ไ่ี มทํ ันยคุ ทนั สมยั ตอ๎ ง พงึ่ พิงครอบครัว ประกอบกับมารดาต๎องออกไปประกอบอาชพี ในเขตเมอื ง ทาให๎ครอบครวั ไมํสามารถเปน็ แหลงํ เรียนรูท๎ ส่ี ืบทอดวฒั นธรรมและคณุ คําของคนในชุมชนได๎ดีเชนํ เดิมไพฑูรย๑ สนิ ลารตั น๑), (2557 การจดั การศกึ ษาท่ดี คี วรยึดหลักในการเป็นกลไกในการแก๎ไขป๓ญหาและพัฒนาชุมชน ท๎องถ่ิน สังคม และประเทศชาตดิ งั ทีอ่ งค๑การสหประชาติไดร๎ ะบุใหย๎ ึดหลักการจัดการศึกษาเพอื่ มวลชน (Education for All : EFA) เป็นหลักในการสร๎างสังคมให๎เติมโตอยํางยั่งยืนโดยการกระจายอานาจแบบมีสํ วนรํวมจากรัฐไปยัง ครอบครวั และชุมชน(UNESCO, 2017) ซ่ึงไพฑูรย๑ สินลารัตน๑ (2557) ได๎เสนอให๎ “การศึกษาฐานราก” เป็น หลักในการจดั การศึกษาของไทย ท่ใี ชร๎ ากเหง๎าความเปน็ ไทยมาเปน็ ฐานในการจัดการศึกษา และพิณสุดา สิริธ รังศรี (2557)รวมท้ังกลา๎ ทองขาว (2557) ตาํ งได๎อธิบายถึงแนวทางในการนาการศกึ ษาฐานรากนาสํูการปฏิบัติ อยํางเหมาะสมในบรบิ ทไทย นอกจากนี้ผ๎ูเขียนยังเลง็ เหน็ ความเกยี่ วขอ๎ งเช่อื มโยงของการนาแนวคดิ “การเรยี นร๎ู ระหวํางวัย” ซ่ึงได๎รับการยอมรับวําเป็นกลไกอันทรงพลังที่สามารถเช่ือมความสัมพันธ๑ของบุคคลข๎ามรํุน (skipped generation)ใหเ๎ กดิ การแลกเปลย่ี นเรยี นรแ๎ู ละยอมรบั ในคุณคาํ ของกันและกัน อนั เหมาะสมกับการท่ี ประเทศไทยกาลังเข๎าสํูสังคมผู๎สูงอายุที่ผู๎สูงวัยควรได๎รับการสนับสนุนดูแลในหลายมิติ ไมํวําจะเป็นการ สนบั สนุนให๎เกดิ ภาวะพฤฒิพลงั การลดการพง่ึ พิงในสงั คม และการพฒั นาทักษะใหส๎ ามารถปรบั ตวั เข๎ากบั สงั คม และตลาดแรงงานในปจ๓ จบุ ันได๎ ในบทความนี้ผูเ๎ ขยี นจะแสดงความร๎ูทีเ่ ก่ียวข๎องกบั การใช๎แนวคิดการเรียนร๎ูระหวํางวัยเพื่อพัฒนาการ เรียนรู๎ของชมุ ชน ซง่ึ จะมีการอธิบายแนวคิดเก่ียวกับความหมายของการศึกษาเพ่ือการพัฒนาที่ย่ังยืนแนวคิด การเรียนร๎ูรํวมกันระหวํางวัยการจัดการศึกษาฐานรากเพื่อการพัฒนาชุมชนอยํางยั่งยืนสํูการเช่ือมโยงองค๑ ความร๎ูทง้ั สามเข๎าดว๎ ยกันเพื่อแสนอแนวทางในการสร๎างทนุ มนุษยท๑ ี่เนน๎ คุณคําในแบบท่ชี ุมชนต๎องการ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 380

แนวคิดการเรยี นร้รู ะหว่างวยั แนวคดิ การเรียนร๎รู ะหวาํ งวัยเกดิ ขน้ึ ภายใต๎แนวคิดการเรียนรูต๎ ลอดชีวติ โดย Bengston and Murray (1993)แหํง Institute of International Educationa Stockholm Universityซง่ึ ไดอ๎ ธิบายป๓ญหาที่เกิดข้ึนใน ประชากรตํางรํนุ ในประเทศสหรัฐอเมรกิ า หลังจากท่ีมกี ารจดั การประชุมนกั วชิ าการและนักวิจัยจานวน22 คน ภายใต๎หัวข๎อ “Justice across generations” ดาเนินการโดย the Public Policy Institute of the American Association of Retired Persons ในปี ค.ศ. 1992 สมาชิกผเ๎ู ขา๎ รวํ มประชุมได๎ถกป๓ญหาที่เกิดข้ึน ในสหรฐั อเมรกิ าในประชากรตํางรํุนโดยสรปุ วาํ ประชากรสูงวยั มีจานวนสงู ขน้ึ อยํางตอํ เนื่องเปน็ ผลใหโ๎ ครงสร๎าง ด๎านประชากรศาสตร๑เปลี่ยนไป และเปิดประเด็นเกี่ยวกับผ๎ูสูงอายุวําควรมีการปรับตัวให๎เข๎ากับสิ่งแวดล๎อม เปลีย่ นไปทง้ั ทางดา๎ น เศรษฐกิจ การเมือง สังคมรวมถึงหาแนวทางในการแก๎ปญ๓ หาความขัดแยง๎ ที่เกิดจากความ แตกตาํ งในประชากรตํางวัย ซึ่งประเด็นคาถามเหลํานี้ควรมีคาตอบและได๎รับการแก๎ไข โดยตํอมา Bengston and Murray (1993) ได๎ให๎ความสาคัญกับปฏิสัมพันธ๑ระหวํางบุคคลตํางรํุน โดยกลําววํามีความสาคัญตํอการ พัฒนาความเช่อื ถือไวว๎ างใจ และการพัฒนาภาวการณ๑พ่งึ พาอาศยั ซ่ึงกนั และกัน(the ability to rely on each other) ซึ่งการเช่ือมความสัมพันธ๑ระหวํางเด็กและผ๎ูสูงวัยสามารถชํวยให๎เกิดได๎โดยแนวคิดของการเรียนร๎ู ระหวํางวยั เป็นผลใหโ๎ ปรแกรมการเรียนรร๎ู ะหวํางวัยได๎ถูกนามาเป็นเคร่ืองมือในการแก๎ป๓ญหาถูกพัฒนาอยําง ตํอเน่ืองในชํวงค.ศ. 1990 เป็นต๎นมา และได๎ถูกเรียกช่ือแตกตํางกันไปตามตามบริบทการนาไปใช๎ในนานา ป ร ะ เ ท ศ ที่ ตํ า ง กั น ไ ป เ ชํ น “Intergenerational Exchange”“Intergenerational Learning”“Intergenerational Communication” รวมถึง “Intergenerational Programme”(Hatton- Yeo A. & Ohsako T., 1999) แนวคิดการเรียนรู๎ระหวํางวัยได๎รับการตอบสนองอยํางตํอเนื่องจากนานาประเทศทั่วโลกท่ีประสบ ป๓ญหาการเปล่ียนแปลงโครงสร๎างประชากรเป็นสังคมผ๎ูสูงอายุ และเผชิญกับผลกระทบท่ีเกิดจากการ เจริญเติบโตทางเศรษฐกจิ ในยุคโลกาภิวฒั นแ๑ ละการก๎าวกระโดดของเทคโนโลยที ่ที นั สมยั มกี ารกลําวถึงประเดน็ ป๓ญหาทสี่ ืบเนื่องจากความเหินหํางระหวํางวัยในแงํมุมตํางๆ โดยเฉพาะการถํายทอดความร๎ูให๎กับสมาชิกใน ครอบครัวทข่ี าดหายไป เนื่องจากการเรยี นรรู๎ ะหวาํ งวัยทผ่ี าํ นมาถอื เปน็ การเรยี นรู๎ตามอธั ยาศยั ภายในครอบครวั และเปน็ เครอื่ งมือในการถาํ ยความร๎ู ทกั ษะ ความชานาญ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั ิ และคณุ คํา รวมถงึ เป็นตวั เช่ือมโยง ประวัตศิ าสตรข๑ องคนในครอบครวั ยคุ กอํ นสคูํ นยคุ ป๓จจุบันจากรนุํ สํรู ุํนอยาํ งเปน็ ระบบโดยไมํรูต๎ ัว โดยมีลักษณะ เป็นการถํายทอดจากผู๎ใหญํสูํเด็ก (One-way Intergenerational Learning) มีผู๎สูงอายเป็นผ๎ูแสดงบทบาท หน๎าที่เป็นผู๎สร๎างความย่ังยนื เก่ยี วกับคุณคํา วฒั นธรรมและเอกลกั ษณ๑ของครอบครัวใหค๎ งอยูํ นักวิจัยตํางลงความเห็นวํา “การเรียนรู้ระหว่างวัยเป็นองค์ประกอบสาคัญของการเรียนรู้ตลอด ชวี ติ ” ด๎วยมีความเห็นวาํ การเรยี นร๎ูระหวาํ งวยั ชวํ ยใหเ๎ กดิ การนามุมมองด๎านการเรียนรู๎ตามอัธยาศัยเขาไปใช๎ ในการศึกษาในระบบได๎(to introduce aspects of informal learning into the system of formal education) เชนํ Newman (1997) ได๎เสนอโปรแกรมการเรยี นรรู๎ ะหวาํ งวัย ซ่ึงฝ๓งตวั อยใูํ นโปรแกรมการเรยี นร๎ู ที่เน๎นการทากิจกรรมระหวาํ งคนตาํ งวัยข๎ามสายเลือด ซึ่งกํอให๎เกิดประโยชน๑แกํเด็กและผ๎ูใหญํไปพร๎อมๆ กัน และกลํุมThe European Network for Intergenerational Learning ผู๎เขียนรายงานช่ือ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 381

Intergenerational Learning and Active Aging หรือ ENIL ((2012กลําวสรุปวํา “การเรียนรู๎ระหวํางวัย” หมายถงึ การเรียนรูอ๎ ยํางเป็นห๎นุ สํวนที่ดีของบุคคลตํางวัย (a learning partnership) ที่เน๎นการได๎ประโยชน๑ รํวมกันไมํวําจะเป็นการพัฒนาทกั ษะ ความรู๎ และคุณคําในด๎านตํางๆ และในปี 1999 UNESCO (1999) ได๎จัด ประชุมนักวชิ าการเพอ่ื หาความหมายทต่ี รงกนั และไดอ๎ อกรายงานอยาํ งเป็นทางการเกี่ยวกับการกาหนดนิยาม และแนวคิดเก่ียวกับการเรียนรู๎ระหวํางวัยวํา “โปรแกรมการเรียนร๎ูระหวํางวัย” คือ เคร่ืองมือท่ีได๎ถูกออก แ บ บ อ ยํ า ง มี วั ต ถุ ป ร ะ ส ง ค๑ เ พื่ อ ใ ห๎ เ กิ ด ก า ร แลกเปลย่ี นทรัพยากรและการเรยี นรู๎ระหวํางว ผู๎สูงวัยและเด็ก(Hatton-Yeo A. & Ohsako T., 1999)ประโยชน๑ในด๎านการเรียนรู๎ระหวําง วัยตามแนวคิดการเรียนร๎ูตลอดชีวิต อธิบาย โดย Bostrum A. ((2003 ในแผนภาพดา๎ นลําง ก ลํ า ว วํ า ก า ร เ รี ย น ร๎ู ร ะ ห วํ า ง วั ย เ ป็ น องค๑ประกอบของการเรียนร๎ูตลอดชีวิต การ เรียนรู๎ระหวํางวัยทาให๎พ้ืนที่ของการเรียนรู๎ กว๎างยงิ่ ขน้ึ จากแผนภาพแสดงวาํ เม่อื เกิดการแลกเปลย่ี นเรยี นรูร๎ ะหวาํ งเดก็ ระดับช้นั ประถมศกึ ษาและผสู๎ งู อายุ ผํานกจิ กรรมทจ่ี ัดในโรงเรียน พื้นที่ของความร๎ูที่เกิดจากการเรียนรู๎ระหวํางวัยของทั้งสองวัยมีพื้นท่ีกว๎างมาก ย่ิงข้นึ มากกวําการเรียนรู๎ดว๎ ยตนเอง นอกจากประโยชน๑ในด๎านการเรียนร๎ู การเสริมทักษะและการสํงผํานทางวัฒนธรรมแล๎ว การเรียนร๎ู ระหวํางวัยยงั กํอให๎เกดิ ประโยชนใ๑ นประเด็นสาคัญอื่นอีกมาก เชํน ชํวยใหเ๎ กิดการแบํงปน๓ ทรัยพากรและจัดสรร ไดอ๎ ยาํ งมีประสิทธภิ าพยงิ่ ขึ้นระหวํางคนตํางวยั ชวํ ยให๎เกิดการเคลอื่ นที่ของทรัพยากรมนุษย๑ในคนทั้งสองรํนุ โดย การกระตุ๎นให๎ผสู๎ งู วยั มีสวํ นรํวมในกจิ กรรมและเข๎าสงั คมอยํางสม่าเสมอ ชวํ ยลดภาระทางการเงินจากการเพ่ิม จานวนของผูส๎ งู อายุชวํ ยใหเ๎ กิดการแบงํ ปน๓ ทรพั ยากรระหวํางสวํ นตํางๆ ของสงั คมในลกั ษณะที่ตาํ งไปจากเดิมที่ เปน็ อยูํ ชํวยสนบั สนนุ การเรยี นรต๎ู ลอดชวี ิต เนอื่ งจากแนวคิดการเรียนร๎รู ะหวํางวัยเกิดจากความต๎องการแก๎ไข ป๓ญหาชมุ ชนจงึ ไมํสามารถแยกออกจากแนวคิดการเรียนร๎ตู ลอดชวี ติ ได๎ และในปจ๓ จุบันน้ี การเรียนร๎ูระหวํางวัย เปน็ เคร่อื งมอื ในการแก๎ไขปญ๓ หาเรํงดวํ นของสังคมโดยเฉพาะการดูแลเด็กท่ีได๎รบั ผลกระทบจากรปู แบบสังคมที่ เปล่ยี นไป เชนํ การเพม่ิ จานวนครอบครัวท่ีพอํ และแมตํ ๎องทางาน ครอบครัวหยําร๎าง และผลกระทบจากโรครา๎ ย และการติดยาในบางชุมชน การลาออกจาโรงเรียนกลางครัน การย๎ายถ่ินฐานไปเร่ือยๆ หรือป๓ญหาอื่นๆ ที่ ตอ๎ งการฟนื้ ฟูสภาพจติ ใจและการแก๎ไขอยํางเรงํ ดํวน การเรยี นรู๎ระหวาํ งวัยสามารถนามาใช๎เป็นเคร่ืองมือในการ เยียวยาและลดป๓ญหาเหลาํ น้ไี ด๎)Hatton-Yeo A. & Ohsako T., (1999 การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 382

การจัดกิจกรรมการเรยี นร๎รู ะหวาํ งวยั มลี กั ษณะเฉพาะทีเ่ นน๎ การปฏสิ ัมพนั ธ๑เชงิ บวก ผจ๎ู ัดจึงควรใหเ๎ กดิ การพบปะอยาํ งสมา่ เสมอ เพื่อรํวมสร๎างความร๎ูสึกดีๆ ตํอกันการปฏิสัมพันธ๑ควรเป็นไปตามอัธยาศัยมากกวํา เป็นทางการ )social encounters) กิจกรรมควรจะเน๎นความงํายและเป็นกันเอง มีความยืดหยุํนสูงมีการ แลกเปลีย่ นรด๎ู ๎านประสบการณ๑ ความรู๎ ทักษะ และประสบการณ๑กิจกรรมควรปราศจากขอ๎ จากัดของอายุ และ สามารถเชื่อมความแตกตํางระหวํางวัย ลดการแบํงแยกและความเข๎าใจผิดระหวํางกัน วิธีการแลกเปล่ียน ความร๎ูไมจํ าเปน็ ต๎องใชร๎ ปู แบบเดิมๆ เชนํ ครอบครัว การศึกษา การอบรม สื่อสิ่งพิมพ๑ หรือพิพิธภัณฑ๑ อาจใช๎ การปฏิสัมพันธ๑ตัวตํอตัว เผชิญหน๎ากัน และการสนทนากัน สนับสนุนให๎มีการสร๎างสิ่งใหมํๆ ข้ึนรํวมกัน เชํน การสรา๎ งงานศิลปะประเภทตาํ งๆ การถํายรปู การวาดภาพ การสร๎างสื่อขาขัน การตํอภาพปริศนา งานปน๓้ การ วาดภาพบนกาแพงและอน่ื ๆ หรอื แมก๎ ระทาการทากิจกรรมที่มีประโยชนต๑ อํ สวํ นรวม การศึกษาประวัติศาสตร๑ ของแหลงํ ชุมชนท่ีอาศยั อยูํ และการแสดงละคนเวทตี าํ งๆ หรือเปน็ การสร๎างความเป็นปึกแผํนในความสัมพันธ๑ ในสังคมโดยชํวยเหลอื ผู๎ดอ๎ ยโอกาสรวํ มกนั )Active solidarity towards those in difficulty) และเนน๎ การอยํู รํวมกัน )Living together) กิจกรรมจึงควรเห็นให๎คนตํางวัยได๎ใช๎พ้ืนที่สาธารณะรํวมกันหรือใช๎พ้ืนท่ีพักพิง รวํ มกนั การพฒั นาโปรแกรมการเรียนร๎ูระหวํางวัยของแตํละประเทศมีการพัฒนารูปแบบที่แตกตํางกัน ซึ่ง ขึน้ อยํูกบั ปจ๓ จัยเงอื่ นไขตํางๆ รูปแบบการจัดการการเรียนร๎ูระหวํางวยั จงึ มีท้งั ทม่ี ีรูปแบบที่ชดั เจนและรปู แบบ ทไี่ มเํ ปน็ ทางการ สาหรบั รปู แบบทชี่ ัดเจนในลกั ษณะการจัดการศกึ ษานอกระบบ ซึ่งจะมกี ารออกแบบกิจกรรม อยํางชัดเจน มีการวางวัตถุประสงค๑และผลลัพธ๑การเรียนรู๎ท่ีคาดหวังกํอนนาสํูการปฏิบัติ เชํน กิจกรรมการ เรียนรู๎ระหวํางวันในประเทศเยอรมัน ญี่ปุน เนเธอร๑แลนด๑ อเมริกา และอังกฤษ ป๓จจุบันนี้ มีแบํงไว๎ท้ังส้ิน3 รปู แบบ คือ (1ผ๎ูสงู อายุให๎การบริการแกํเดก็ และวัยรนุํ (2เดก็ และวัยรุนํ ให๎การบริการแกํผ๎ูสูงอายุ(3ผู๎ใหญํและ เดก็ ให๎การบรกิ ารแกสํ งั คม สํวนรูปแบบท่ไี มํเปน็ ทางการ จะเน๎นความเพลิดเพลิน เป็นการจัดการศึกษาตาม อัธยาศยั ไมํมีรปู แบบท่ีชดั เจน(Hatton-Yeo A. & Ohsako T., 1999) วัตถุประสงค๑ในการจัดโปรแกรมการเรียนรู๎ระหวํางวัยตามแนวคิดของ Hatton-Yeo and Ohsako (2005) ควรตอ๎ งสามารถตอบสนองวตั ถปุ ระสงคข๑ องการเรยี นร๎ูตลอดชวี ิต 4 ประการ คอื 1) เพือ่ วางพ้ืนฐานของ วฒั นธรรมการเรียนรู๎ตลอดชวี ิตสาหรบั เด็กและผู๎สูงวัย2) เพื่อสร๎างทัศนคติเชิงบวกตํอคนตํางวัย3) เพ่ือผสาน ประโยชน๑ของคนในสังคม ไมํวําจะเป็น เด็ก ผ๎ูสูงวัย โรงเรียน และชุมชน และ 4)เพื่อให๎เกิดการรวมตัวทาง สงั คมและกํอใหเ๎ กดิ ความเป็นปกึ แผํนและความสามคั คีในสังคม อยาํ งไรก็ตาม แมก๎ ารจดั กิจกรรมหรอื โปรแกรม การเรียนร๎ูระหวํางวัยจะมีประโยชน๑ในเชิงทฤษฎีมากมายSpringate I., Atkinson M., and Martin K. (2008)ได๎กลําววาํ หากการดาเนนิ กจิ กรรมระหวํางวยั ไมํประสบผลสาเร็จแล๎ว จะสํงผลให๎เกิดผลเสียตํอสังคม ตามมา ดงั น้ัน ผู๎จัดกจิ กรรมระหวํางวัยควรจะตอ๎ งระมัดระวงั ปญ๓ หาท่สี ามารถเกิดข้ึนได๎ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 383

แมก๎ ารเรยี นรู๎ระหวาํ งวัยในครอบครัวจะเป็นวัฒนธรรมไทยที่มีการปฏิบัติจากรุํนสูํรํุนมาช๎านาน ทวํา บรบิ ทสงั คมไทยในชํวงระยะเวลากวาํ ครง่ึ ศตวรรษทผ่ี ํานมาได๎มปี รบั เปล่ยี นอยํางก๎าวกระโดดในทุกมิติ ผลของ การปรบั โครงสร๎างครอบครัวทม่ี ีการเพมิ่ ของครอบครัวขา๎ มรุํนและความกา๎ วหน๎าของเทคโนโลยีสมัยใหมํสํงผล ให๎เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยเฉพาะสถานะทางสังคมของผู๎สูงวัยที่มีบทบาททางสังคมน๎อยลง เกิด ชํองวํางในการส่ือสารและปฏิสมั พันธ๑ระหวํางวยั ที่ที่สงํ ผลตํอการเรยี นรูร๎ ะหวาํ งวัยตามอัธยาศัยที่เคยเป็นมาใน อดีต การจดั โปรแกรมหรอื กจิ กรรมการเรยี นรร๎ู ะหวํางวยั เพือ่ สรา๎ งความสมั พนั ธ๑ใหก๎ ลบั คืนมาในบริบทสงั คมไทย จึงมคี วามจาเปน็ ยง่ิ ในปจ๓ จุบัน การศึกษาเพ่ือการพัฒนาทีย่ ั่งยืน เพ่ือทจ่ี ะเข๎าใจหลักการของการจดั การศึกษาฐานรากเพ่ือการพัฒนาท่ยี ่งั ยืน จาเปน็ ต๎องเขา๎ ใจหลักของ “การศกึ ษาเพือ่ การพัฒนาท่ียั่งยืน”(education for sustainable development : ESD) เสียกํอนเนื่องจาก การศึกษาเป็นเคร่อื งมือในการพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ และการพัฒนาท่ยี ่งั ยืนเป็นหัวใจของการพัฒนาที่ยอมรับโดย นานาประเทศทว่ั โลก การศึกษาเพอื่ การพัฒนาท่ยี ่ังยืนจึงเปน็ หวั ใจในการพฒั นาการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพ ชวี ติ ของคน เหมาะสมทจ่ี ะใช๎เป็นแนวทางในการพจิ ารณาแนวทางในการพฒั นาการศึกษาทีเ่ หมาะสมกบั บริบท ไทย กาญจนา เงารังษี (2559) อธบิ ายความหมายของ “การศึกษาเพื่อการพฒั นาท่ยี ่ังยืน” วํามนี ิยามที่ใช๎ในวง วิชาการระดับสากล 2 นัยด๎วยกัน คือ 1) การศึกษาท่ีกํอให๎เกิดการพัฒนาท่ีย่ังยืน (education for sustainable development) และการศึกษาเก่ียวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainable development education) ซ่งึ นยั แรกจะไดร๎ ับการนิยมมากกวาํ ในการนาไปใช๎ เนอื่ งจากมกี ารระบแุ นวทางในการพัฒนาและ การเตรยี มความสมดุลระหวาํ งมนุษย๑กบั ธรรมชาติ มาตรฐานความสขุ ในคุณภาพชีวติ ของประชากรจึงมีจุดเน๎น ไปทค่ี วามสมดุลระหวํางมนุษย๑และธรรมชาติ ในสํวนท่เี ก่ียวข๎องกับส่ิงแวดล๎อม สังคม และเศรษฐกิจ ซ่ึงทั้ง 3 สํวนนี้จะตอ๎ งได๎รบั การดแู ลใหส๎ มดุลซึง่ กันและกนั โดยใช๎การศึกษาเป็นกลไกขับเคล่ือนองค๑ประกอบทั้ง 3 ให๎ พัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมอยํางความสมดุลและมีประสิทธิภาพ แนวทางในการใช๎การศึกษาเป็นตัว ขบั เคลื่อนให๎สังคมเกดิ การพฒั นาท่ีย่ังยนื ควรมลี ักษณะ (กาญจนา เงารงั ษี, 2559) ดังนี้ คือ 1. การดาเนินงานของการศึกษาเพ่ือสร๎างป๓ญญาและทักษะให๎มนุษย๑ดารงชีพโดยไมํทาลาย ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดลอ๎ ม มีหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งเป็นทต่ี ้งั โดยเริ่มต้ังแตํในระดับครอบครัว ใหม๎ กี ารบริโภคในระดับท่ีพอเพยี งไมใํ ช๎อยาํ งสน้ิ เปลือง 2. ใช๎การตัดสินใจเลือกระบบการศึกษาท่ีชํวยทาให๎ชุมชนมีความเป็นอยูํดีข้ึน โดยใช๎การวิจัยที่ใช๎ ชมุ ชนเป็นฐานในการศึกษาและนาผลการวิจัยสูํการวางแผนปฏิบัติงาน ซ่ึงอาจมุํงสูํการสร๎างชุมชนท่ีนําอยูํ มี ทักษะและความชานาญในฝีมือแรงงานเฉพาะเพื่อให๎ชุมชนมคี วามรวํ มมอื กนั ในการรักษ๑และปกปูองชุมชนให๎มี ความเป็นอยํทู มี่ คี วามสุข 3. เนน๎ การศกึ ษาทสี่ รา๎ งคุณภาพชีวิตเพ่ือให๎เกิดความก๎าวหน๎า มั่นคง ย่ังยืน โดยจะต๎องสามารถนา ความร๎ูมาสร๎างรายได๎เพอ่ื ชวํ ยใหส๎ ภาพเศรษฐกจิ ของครอบครัว ชมุ ชน และสงั คม ดขี น้ึ 4. มีการบริหารการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ย่ังยืน โดยเน๎นการสร๎างความรํวมมือกับองค๑กรและ หนํวยงานตํางๆ ท่ีเกี่ยวข๎องกับการพัฒนาส่ิงแวดล๎อม เศรษฐกิจ และสังคม ในลักษณะเครือขํายและการ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 384

สนับสนุนด๎านองคค๑ วามรูท๎ ่จี ะทาใหผ๎ เ๎ู รยี นเกดิ การใชท๎ รัพยากรอยํางมคี ณุ คาํ ลดการบริโภคเกนิ ควร ข๎อเสนอใน การบรหิ ารจัดการมีแนวดาเนินการ 3 ด๎าน คือด๎านการพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาผ๎ูสอนและผ๎ูเรียน รวมทั้ง การพัฒนาผ๎ูอยูํนอกระบบการศกึ ษาและขาดโอกาส 4.1.ในด๎านการจัดหลักสูตรท่ีเก่ียวข๎องกับการพัฒนาที่ย่ังยืน โดยควรมีการเน้ือหาในการ เรยี นร๎ูท่ีเก่ียวข๎องกับสิ่งแวดล๎อม เศรษฐกิจและสังคมสีเขียวในทุกระดับชั้น รวมถึงการเรียนรู๎เกี่ยวกับความ แตกตาํ งหลากหลายในวัฒนธรรมของประชากรทุกมุมโลกเพอื่ ลดความขัดแย๎งและความเขา๎ ใจอันดรี ะหวํางกนั 4.2.ด๎านการพัฒนาผ๎ูสอนและผเู๎ รยี นควรใหม๎ สี มรรถนะ (competencies) ในดา๎ น การคิดเชงิ วิเคราะห๑ การวาดภาพอนาคตท่ีพึงประสงค๑ การตัดสินใจในการดารงชีวิตอยูํรํวมกับบุคคลอื่นและด๎าน สภาพแวดลอ๎ มในลักษณะสมดุล และการพัฒนาองคค๑ วามรท๎ู เ่ี กี่ยวกับการเปลย่ี นแปลงของโลก รวมทง้ั การสรา๎ ง กิจกรรมหรือบทเรยี นในการปรับปรุงคุณภาพชีวติ ของตนเองและชมุ ชนให๎ดขี ้ึน 4.3.ด๎านการพฒั นาให๎เกิดความเสมอภาคและลดความเหล่ือมล้าในการศึกษา โดยครอบคลุม ประชากรที่อยูํนอกระบบการศึกษาและขาดโอกาส โดยสร๎างสมาชิกของสังคมด๎วยการศึกษาตลอดชีวิตให๎ สามารถดารงชวี ิตอยาํ งเป็นผู๎มีศกั ดิ์ศรแี ละมีอัตลกั ษณข๑ องตนเอง กลําวโดยสรปุ แนวคดิ “การศกึ ษาเพ่ือการพัฒนาที่ย่ังยืน” มองการศีกษาวําเป็นเครื่องมือในการ พัฒนาคณุ ภาพชวี ิตมนุษย๑ โดยชวี ิตมนุษย๑จะมีคุณภาพได๎หากมีการสร๎างสมดุลย๑ระหวํางมนุษย๑และธรรมชาติ ซง่ึ แนวคิดน้ี กลําววํา “ธรรมชาติ” ทมี่ นุษย๑ควรสรา๎ งสมดุลยเ๑ สมอในทีน่ ีห้ มายถึง “ส่ิงแวดล๎อม เศรษฐกิจ และ สงั คม” ซึ่งการศกึ ษาจะตอ๎ งถกู นามาพจิ ารณาออกแบบให๎ยนื อยบํู นความสมดุลย๑กบั ทั้ง3 ประการน้ี การจดั การศึกษาฐานรากเพ่ือการพฒั นาที่ยงั่ ยนื ดงั ที่ กาญจนา เงารงั ษี (2559) ไดก๎ ลาํ วถึงแนวทางการจดั การศึกษาเพื่อการพฒั นาทยี่ ่งั ยนื ผูเ๎ ขยี นเห็น วําแนวคิด“การจดั การศกึ ษาฐานราก” หรอื “การจดั การศกึ ษาฐานชุมชน” (community-based education) เปน็ การจัดการศกึ ษาทเี่ หมาะสมกบั บริบทไทย เนอ่ื งจากมคี ุณลกั ษณะท่ตี อบสนองการการศกึ ษาเพอ่ื ใหเ๎ กดิ การ พัฒนาชมุ ชนอยํางยง่ั ยืนไพฑูรย๑ สินลารัตน๑ (2557)อธิบายที่มาของแนวคิดที่วํา การศึกษาในอดีตมีเปูาหมาย เพื่อตอบสนองความต๎องการของชุมชนกํอให๎เกิดประโยชน๑สุขของทุกคน โดยมีลักษณะในการวางแผน แก๎ป๓ญหาและกระทารํวมกันเพื่อให๎ได๎เปูาหมายเดียวกันเพื่อเกิดการพัฒนาอาชีพเฉพาะของครอบครัวและ พฒั นาอาชพี ของชุมชน รูปแบบการศกึ ษาแบบนี้ถูกเรียกวําเป็น “วิธีการตามรากฐานเดิมของไทย” อยํางไรก็ ตาม เมอ่ื มกี ารนาการศึกษาแผนตะวนั ตกเข๎ามาในสังคมไทย การศึกษาแนวใหมํเน๎นวิชาการความรู๎ ไมํเน๎นชีวิต ความเป็นอยูํทาให๎ผู๎เรียนไมํสามารถนาความร๎ูที่ได๎เรียนมาใช๎ในชุมชน ดังนั้นหนทางการเติบโตใน อาชีพของ นกั เรยี นรนุํ ใหมํจึงจาเป็นต๎องออกไปหาความเจริญเติบโตภายนอกชุมชน ทาให๎การเจริญเติบโตของชุมชนที่ ปราศจากลูกหลานสืบทอดตอ๎ งหยุดชะงกั ไป ตามแนวคิดของ ไพฑูรย๑ สินลารัตน๑ (2557)“การจัดการศึกษาฐานราก”ควรถูกนามาใช๎เป็นหลัก การศึกษาในการจัดการศกึ ษาเพอ่ื คืนความสขุ ใหก๎ ับชุมชนมากกวาํ การจัดการศึกษาตามแนวคิดชาวตะวันตกที่ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 385

ไมํไดส๎ ร๎างองค๑ความรูใ๎ ห๎ผู๎เรียนใหส๎ ามารถนาไปใชใ๎ นชุมชนได๎“การศึกษาฐานราก” มีลักษณะสาคัญคือ คือ 1) เปน็ การศกึ ษาทางเลือกของประชาชนท่ใี ห๎ความสาคัญกับการสร๎างความเข๎มแข็งที่ฐานรากของประชาชน จึงมี การนาเอาการศึกษาตามรากเหง๎าของชุมชนเป็นฐานหลักในการจัดการศึกษา 2) มีการเพิ่มเติมด๎วยการนา แนวคดิ ใหมํทางการศึกษาเข๎ามาผสมผสานเพ่ือให๎เกิดการพัฒนาการทางด๎านสติป๓ญญา จิตใจ รํางกาย และ สังคม3) เนน๎ การมสี ํวนรํวมที่มีองค๑กรของชุมชนเป็นแกนกลางหรอื เปน็ ผจู๎ ดั การศกึ ษา และใหอ๎ งคก๑ ารภายนอก เป็นผ๎เู ข๎ามามสี ํวนรวํ มในการจัดการศกึ ษาแตํมใิ ชเํ ป็นผ๎ูจดั 4) เช่อื วําทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู๎บนหลักการ “การศกึ ษาเพอ่ื มวลชนและมวลชนเพอ่ื การศกึ ษา”5) รองรับผู๎เข๎ารับการศึกษาทุกรูปแบบ และสนับสนุนให๎มี การเทียบโอนความร๎ูระหวํางสถานศึกษาในระบบและนอกระบบ(ไพฑูรย๑ สินลารัตน๑, 2557; กล๎า ทองขาว, 2557; อทุ ยั บญุ ประเสรฐิ , 2557) รูปแบบการจัดการศกึ ษาฐานรากเพื่อลงลึกสํูการปฏิบัติ อธิบายโดย พิณสุดา สิริธรังศรี (2557)และ อทุ ยั บญุ ประเสรฐิ (2557)วํามรี ูปแบบ“การจดั การศึกษาระบบเปิด”ซ่ึงตามชื่อเรียกแลว๎ เป็นการศึกษาทีเ่ ปิดรับ ความต๎องการการเรียนร๎ทู สี่ อดคลอ๎ งกบั ความต๎องการของตนเองและสังคม เปิดรับรูปแบบการจัดการศึกษาที่ หลากหลายและเชอ่ื มโยงเพ่ือตอบสนองความตอ๎ งการนั้น เปิดรับการสนับสนุนและเชื่อมโยงจากทุกภาคสํวน ของสงั คมเพอื่ การจัดการการศกึ ษาทมี่ คี วามเหมาะสมกบั ชมุ ชนและพฒั นาศักยภาพผ๎ูเรียนอยํางสูงสุด เปิดรับ แนวทางการจัดการใหมํท่ีปลดแอกจากระเบียบกฏเกณฑ๑เดิม แนวทางในการจัดการศึกษา สามารถสรุป สาระสาคัญ ได๎ 8ประการ คอื 1. มปี รชั ญาการศกึ ษาทีส่ อดคลอ๎ งกบั สภาพการณท๑ างเศรษฐกจิ สงั คม และวฒั นธรรม ท่ีมีความเป็น พลวัตร และกํอให๎เกิดความสมานฉันท๑และสามัคคีของคนในชุมชน เน๎นการสร๎างคุณธรรมและการนาหลัก ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียงสกํู ารปฏบิ ัติ 2. ใช๎พ้ืนท่ีเป็นตัวต้ังในการจัดการศึกษา(area-focused) เนื่องจากการจัดการศึกษาฐานรากใช๎ กระบวนการชมุ ชนเป็นกลไก จึงใช๎หลักกระจายอานวจไปยังชุมชน และเน๎นการใช๎ทรัพยากรจากชุมชน เชํน สถาบนั อุดมศึกษา รัฐและท๎องถนิ่ ให๎การสนับสนนุ การรวมตวั ของผูน๎ าชมุ ชน มีการจัดต้ังสภาชุมชน และสารวจ ข๎อมลู ชมุ ชนเพ่อื ใช๎เป็นฐานในการสร๎างแผนพัฒนาอยาํ งบูรณาการ 3. มีจุดมํุงหมายการจัดการศึกษา 4 ประการคือ 1) เพื่อได๎ความร๎ูที่เป็นรากเหง๎า ของวัฒนธรรม ครอบครัว และชมุ ชน สังคมที่รวมกันเปน็ ทอ๎ งถน่ิ และประเทศชาติ 2) เพ่ือใหไ๎ ด๎ทักษะชีวิต ทักษะอาชีพ ทักษะ การคดิ วเิ คราะห๑ และทักษะการจัดการที่สามารถดารงชีวิตอยํางรู๎เทําทันและย่ังยืน 3) เพื่อให๎เกิดเจตคติและ คาํ นยิ มในการมองโลกในแงดํ ี เหน็ คณุ คาํ ของความดงี าม นาตนเองในการเรยี นร๎อู ยาํ งตํอเน่อื ง เป็นพลเมืองโลก ทด่ี ี และ 4) มคี ุณธรรมจริยธรรม เพอ่ื ใหเ๎ กิดการอยรูํ วํ มกนั อยํางสันติสุข ไมํแบํงกั้นด๎วยเพศ เผําพันธ๑ เชื้อชาติ และศาสนา 4. ใช๎หลักการจัดการศึกษาตลอดชีวิต ที่เน๎นการผสานเช่ือมโยงการศึกษาทั้ง 3 รูปแบบ ประกอบดว๎ ยการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพ่ือให๎เกิดประสิทธิภาพ สงู สุดในการเรียนรข๎ู องผเู๎ รยี นและตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของสงั คมทม่ี ีการเปลีย่ นแปลงอยตูํ ลอดเวลา เพ่ือ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 386

พฒั นาความร๎ู ทักษะ และทศั นคติของมนษุ ยอ๑ ยาํ งตอํ เนอ่ื งตง้ั แตํเกิดจนตายโดย “การศกึ ษาในระบบ” เน๎นการ เรยี นในสถานศึกษาครอบคลุมการศึกษาขัน้ พื้นฐานท่ีมีความเหมาะสมกับพฒั นาการในวยั ตาํ งๆ ของผเ๎ู รียน เพ่ือ สร๎างวินยั สร๎างองคค๑ วามรู๎ และวธิ ีในการแสวงหาความร๎อู ยาํ งตอํ เนอ่ื ง“การศึกษานอกระบบโรงเรยี น” เนน๎ การ จัดโปรแกรมการศกึ ษาทเี่ ช่ือมโยงชีวติ จริงเขา๎ กับการเรียนเนอื้ หาภาคบงั คับในสถานศึกษาสาหรับเด็กและกา ร พัฒนาอาชีพสาหรบั ผู๎ใหญํ ให๎ชุมชนมีสํวนรวํ มการเรียนรแู๎ ละเป็นแหลงํ เรียนร๎ูเกี่ยวกับการถํายทอดภูมิป๓ญญา ทอ๎ งถน่ิ ภาษาและวัฒนธรรม และการสร๎างคุณคําของกันและกัน เชํน การจัดโปรแกรมการศึกษานอกระบบ โรงเรยี นเพอื่ พฒั นาการเรียนรร๎ู ะหวาํ งวัยที่ของผู๎สูงอายุในชุมชนกับนักเรียนในโรงเรียนสํวน “การศึกษาตาม อัธยาศัย” เน๎นการเรียนร๎ูตามธรรมชาติในครอบครัว ท่ีเกิดการถํายทอดประสบการณ๑ ทักษะภูมิป๓ญญาใน ครอบครัว ศลี ธรรม คณุ ธรรมและจรยิ ธรรม เปน็ ต๎น 5. มกี ารสรา๎ งบรรยากาศในการเรยี นรเ๎ู ชงิ บวก ผ๎เู รยี นมสี ิทธกิ าหนดวัตถปุ ระสงคท๑ ่ีเหมาะสมกับความ สนใจและการประกอบอาชีพของตนนาหลักการศึกษาผู๎ใหญํ ซึ่งสอดคล๎องกับศาสตร๑การสอนผู๎ใหญํ (Andragogy) 6. หลักสูตรและเนื้อหาควรมีความหลากหลายและเน๎นการพัฒนาศักยภาพความเป็นมนุษย๑ของ ผเ๎ู รยี นโดย“ความหลากหลาย” หมายถึง การมีวตั ถุประสงคก๑ ารจดั การศึกษาทห่ี ลากหลายเพอ่ื ตอบสนองความ ต๎องการคนในแตํละชุมชนทีม่ คี วามแตกตาํ งกันตามบรบิ ทสงั คม โดยผลลพั ธ๑การเรียนร๎ูควรมีเชื่อมโยงกับความ ตอ๎ งการของชุมชนและตอบสนองวิถีชวี ติ ชมุ ชน มใิ ชํเพยี งมํงุ เนน๎ ทีต่ าราเรียนทกี่ ระทรวงศกึ ษาเปน็ ผูจ๎ ัดสํวนการ “เน๎นศักยภาพความเป็นตัวตนของผ๎ูเรียน” คือ เน๎นการให๎โอกาสในการพัฒนาผ๎ูเรียนท่ีมีสนใจและ ความสามารถเฉพาะดา๎ น ไดร๎ บั การสนับสนุนและพฒั นาได๎สูงสดุ ตามศักยภาพผูเ๎ รียน 7. เนน๎ ความเทําเทียมในการให๎การศึกษาและการพฒั นามนุษย๑อยํางตํอเน่ือง ดังนั้นมีกลุํมผ๎ูเรียนจึง ไมํควรจากัดแตนํ กั เรยี นหรือเป็นผ๎ทู ่มี ีโอกาสในการรบั การศึกษาในสถานศึกษาเทําน้ัน แตํผู๎เรียนควรเป็นได๎ทั้ง เด็ก ผ๎ูสงู อายุ ประชาชนในท๎องท่ผี ๎ทู ี่ประสบปญ๓ หาทางเศรษฐกิจ ซ่ึงรวมถึงผู๎พิการและกลุมํ คนชายขอบทพ่ี ลาด โอกาสเข๎ารบั การศกึ ษาในภาคเรยี นปรกติ 8. เนน๎ การมสี วํ นรวํ มของผูท๎ มี่ ีสํวนไดส๎ ํวนเสียในการจัดการศึกษา โดยการเปิดเวทีให๎เกิดการมีสํวน รํวมคนในท๎องที่ให๎เข๎ามามีสํวนรํวมในการรํวมคิด รํวมทา และรํวมจัดการศึกษา ไมํวําจะเป็นองค๑กรเอกชน รัฐบาล หรอื หนํวยงานทไี่ มมํ งํุ หวังรายได๎ การเสนอการจัดการศึกษาฐานรากเป็นทางเลือกเพื่อสุขภาวะคนไทย จะสามารถเติมเต็มชํองวํางท่ี เกดิ ขึ้นจากการจดั การศึกษาท่ภี าครฐั ดาเนนิ การในรูปแบบปจ๓ จุบัน ทส่ี ามารถนาชวี ิตเปน็ ตัวตัง้ มากกวาํ วิชาการ เปน็ ตัวตงั้ โดยรวํ มให๎ทอ๎ งถิ่นหรือองคก๑ รในชมุ ชนเป็นผู๎ผลักดนั การศกึ ษาเพื่อให๎เกดิ สขุ ภาวะที่ดตี อํ สังคมไทย สรุปเนื้อหาและข้อเสนอแนะ จากการทบทวนวรรณกรรม ผ๎เู ขยี นสรปุ เนือ้ หาสาระจากแนวคดิ ทงั้ 4 ไดแ๎ กํ การศกึ ษาเพ่ือการพัฒนา ทย่ี ัง่ ยืน การศึกษาฐานราก การศึกษาตลอดชวี ิต และโปรแกรมการเรียนร๎ูระหวํางวัย การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 387

การศกึ ษาเพ่ือการพัฒนาทีย่ ่ังยืน การศกึ ษาฐานราก (CBE) การศึกษาตลอดชีวิต โปรแกรมการเรียนรรู้ ะหวา่ งวัย (ESD) โดย “ระบบการศกึ ษาแบบเปิด” (LLE) (IP) เปาู หมาย: สร๎ า ง ก า ร ศึ กษ า เพื่ อ ชุม ช น เพ่อื ใหบ๎ คุ คลได๎มีการเรียนร๎ูและ เพื่อให๎เกิดการถําย ทอดความรู๎ สร๎างป๓ญญาและทักษะให๎มนุษย๑ เ พ่ื อ ใ ห๎ ชุ ม ช น มี คุ ณ ภ า พ แ ล ะ มี พัฒนาตลอดชีวิต เนื่องจาก ระหวาํ งวยั ด า ร ง ชี พ โ ด ย ไ มํ ท า ล า ย คว า มสุข คว า มสุข โ ด ยเน๎น บุคคลมคี วามสามารถทจี่ ะเรยี นรู๎ ท รัพ ย า ก รธ รรม ชา ติแ ล ะ ว่ิ ง รากเหง๎าของชุมชนเป็นฐานใน ได๎ตลอดชีวิต การศึกษาจึงมิได๎ แวดล๎อม การจดั การศึกษา ส้นิ สดุ เมอ่ื จบจากสถานศึกษา จุดเน้นทางการศกึ ษา: เน๎นการศึกษาท่ีสอดคล๎องกับ เนน๎ วัตถปุ ระสงค๑เพอื่ ใหบ๎ คุ คลแตํ เน๎นการสร๎างความเป็นปึกแผํนใน เน๎นการศกึ ษาทช่ี ํวยทาให๎ชุมชนมี สภาพการณท๑ างเศรษฐกจิ สังคม ละคนสามารถให๎บุคคลสามารถ สังคม สังคมเกิดความยึดเหน่ียวใน ความเปน็ อยูํดีขึ้นเป็นประชากรท่ี และวัฒนธรรม และมีใช๎พื่นท่ี ท่ีจะพึ่งตนเองได๎ ชํวยให๎บุคคล สังคมมากข้ึน ลดการแปลกแยก มีการศึกษา ใช๎ปรัชญาเศรษฐกิจ เป็นตัวตง้ั ในการจัดการศึกษา ดารงชีวิตและประกอบอาชีพได๎ ระหวํางวยั พอเพียง ใหเ๎ กิดวัตถุดิบที่พอเพียง อยํางเหมาะสม มีความรูพ๎ อเพยี ง กับการนาไปใช๎งาน มีทกั ษะชวี ติ ทักษะอาชพี ทกั ษะ ที่ จ ะ เ ผ ชิ ญ กั บ ชี วิ ต แ ล ะ ค ว า ม เนน๎ การสร๎างปฏสิ มั พันธ๑เชิงบวกและ การคิดวเิ คราะห๑ และทักษะการ เปล่ียนแปลงท่ีเกดิ ข้นึ ตลอดเวลา ผลประโยชน๑ตํางตํอบแทนในเชิง ผลลพั ธก์ ารเรียนร้ทู คี่ าดหวัง: จดั การท่สี ามารถดารงชีวิตอยําง เพ่ือให๎เกิดความรู๎ ทักษะ และ คุณคําและความรู๎ ส ร๎ า ง คุ ณ ภ า พ ชี วิ ต เ พื่ อ ใ ห๎ เ กิ ด รูเ๎ ทําทันและยัง่ ยนื ทัศนคตทิ ่ดี ตี อํ สิ่งท่ีเรียน สมรรถนะผู้เรียน: ผูส้ ูงอายุ ความก๎าวหน๎า มั่นคง ย่ังยืน นา 1. ผสู๎ งู อายุมปี ฏิสมั พันธ๑กับเด็กมาก ความรู๎มาสร๎างรายได๎ใหค๎ รอบครัว เน๎นความเทําเทียมในการให๎ ค ว ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า ท่ี มี ก า ร ชุมชน และสังคม การศกึ ษาและการพัฒนามนุษย๑ ผสมผสานกันทั้งในแนวตั้งและ ข้ึน กระฉับกระเฉงมากขึ้นเกิด สมรรถนะผู้เรยี น: อ ยํ า ง ตํ อ เ นื่ อ ง ใ ช๎ ห ลั ก ก า ร จั ด แนวนอน โดยแตํละวัยอาจ ผลกระทบเชิงบวกตํอสุขภาพ 1. การคิดเชิงวิเคราะห๑ การศึกษาตลอดชีวิต ที่เน๎นการ เหมาะรูปแบบการศกึ ษาทต่ี าํ งไป 2. ลดความแปลกแยกจากสงั คม 2. การว าดภาพอนาค ตท่ีพึง ผสานเช่ือมโยงการศึกษาท้ัง 3 การจัดการศึกษาจึงควรมีความ 3. ร๎ูสกึ วําตนเองมีคุณคาํ มากขึน้ รปู แบบ ยดื หยุนํ และหลากหลาย สมรรถนะผเู้ รยี น: เดก็ ประสงค๑ ค ว ร จั ด ห ลั ก สู ต ร ที่ มี ค ว า ม การจัดโปรแกรม/หลักสูตรท่ีมี 1. มีทกั ษะทางการเรียน การส่อื สาร 3. การตัดสินใจในการดารงชีวิต หลากหลายเพ่ือตอบสนองความ เ น้ื อ ห า ส า ะ ร แ ล ะ กิ จ ก ร ร ม ท่ี มี และทกั ษะทางสงั คมมากขน้ึ ต๎องการคนในแตํละชุมชนที่มี ความยืดหยํุนและหลากหลาย 2. มีความเคารพและภมู ิใจในตนเอง อยํูรํวมกับบุคคลอ่ืนและด๎าน เพื่อเอื้ออานวยให๎ผู๎เรียนกลํุม 3. เข๎ า ใจค ว า ม รักที่ปรา ศ จา ก สภาพแวดล๎อมในลักษณะที่ เงอ่ื นไข และเข๎าใจเรอ่ื งคุณคํา สมดลุ 4. การพฒั นาองค๑ความร๎ูเก่ียวกับ ควรจัดการศึกษาที่เน๎นครอบครัว ปรากฏการและการ และชมุ ชนเป็นพลงั สาคัญในการสร๎าง เปลยี่ นแปลงของโลก การเรียนรู๎ ต๎องได๎รับความรํวมมื่ แนวทางการบริหารการศึกษา: อระหวํางผู๎สูงวัยและเด็กในการรํวม เน๎นการจัดการศึกษาท่ีใช๎ชุมชน กิจกรรมท่ีกํอให๎เกิดปฏิสัมพันธ๑เชิง เปน็ ฐาน บวก การพัฒนาหลกั สตู ร/โปรแกรม: ควรจดั โปรแรกมที่มวี ตั ถุประสงค์: การจัดหลักสูตรควรเป็นหลักสูตร 1) เพ่ือวางพื้นฐานของวัฒนธรรม ท่ีเกี่ยวข๎องกับการพัฒนาท่ีย่ังยืน ในทุกระดับชั้น ควรมีการเน้ือหา การเรียนรู๎ตลอดชีวิตสาหรับเด็ก ในกา รเรีย นรู๎ที่เกี่ย ว ข๎ อง กับ และผ๎สู ูงวัย การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 388

การศึกษาเพอื่ การพัฒนาที่ย่ังยืน การศึกษาฐานราก (CBE) การศึกษาตลอดชวี ิต โปรแกรมการเรียนรรู้ ะหว่างวยั (ESD) โดย “ระบบการศึกษาแบบเปิด” (LLE) (IP) ค ว า ม แ ต ก ตํ า ง กั น ต า ม บ ริ บ ท สง่ิ แวดลอ๎ ม เศรษฐกิจ และสังคม สังคม และเน๎นศักยภาพในตัว ตํ า ง ๆ เ ข๎ า เ รี ย น ไ ด๎ ต า ม 2) เพ่ือสร๎างทัศนคติเชิงบวกตํอคน สีเขียวในทุกระดับชั้นและควร ผู๎เรียน ความสามารถและความมสนใจ ตาํ งวัย จัด การเรียนรู๎เก่ีย ว กับค ว า ม วตั ถุประสงค์การจัดการศึกษา เพ่ือฝึกทักษะกระบวนการคิด แ ต ก ตํ า ง ใ น วั ฒ น ธ ร ร ม อั น (1เพ่ือได๎ความรู๎ที่เป็นรากเหง๎า การฝึกปฏิบัติ และการเรียนร๎ู 3) เพื่อผสานประโยชน๑ของคนใน หลากหลาย ของวัฒนธรรม ครอบครัว และ จากประสบการจริงให๎คิดเป็นทา สังคม ไมํวําจะเป็น เด็ก ผ๎ูสูงวัย ชุมชน สัง ค ม ที่รว ม กันเป็ น เปน็ เรียนรู๎อยํางตํอเนื่องได๎เต็ม โรงเรียน และชุมชน และ ท๎องถิ่นและประเทศชาติ (2 ศักยภาพของตน ให๎เกิดการ เพ่ือให๎ได๎ทักษะชีวิต ทักษ ะ เรียยนรไู๎ ด๎ทุกทที่ กุ เวลา 4) เพื่อให๎เกิดการรวมตัวทางสังคม อาชีพ ทักษะการคิดวิเคราะห๑ และกํอให๎เกิดความเป็นปึกแผํน และทกั ษะการจัดการท่ีสามารถ และความสามคั คใี นสงั คม ด า ร ง ชี วิ ต อ ยํ า ง รู๎ เ ทํ า ทั น แ ล ะ ยัง่ ยนื (3เพ่ือให๎เกิดเจตคติและ คํานิยมในการมองโลกในแงํดี เห็นคุณคําของความดีงาม นา ต น เอ ง ใ นก า รเ รีย นรู๎ อยํ า ง ตํอเนื่อง เป็นพลเมืองโลกท่ีดี และ (4มีคุณธรรมจรยิ ธรรม การมีสว่ นรว่ มของชมุ ชน: เน๎นการมสี วํ นรํวมท่มี อี งค๑กรของ ชุมชนมีบทบาทสาคัญในการให๎ 3 รูปแบบ คือ 1) ผ๎ูสูงวัยให๎การ เ น๎ น ก า ร ส ร๎ า ง ค ว า ม รํ ว ม มื อ กั บ ชุมชนเป็นแกนกลางหรือเป็น การศึกษาตลอดชีวิตแกํสมาชิก บริการแกํเด็กและวัยรุํน 2)เด็กและ องค๑กรและหนํวยงานตํางๆ ที่ ผู๎จัดการศึกษาและให๎องค๑การ ในสังคม และไมํอาจดาเนินงาน วัยรํุนให๎การบริการแกํผ๎ูสูงอายุ 3) เ กี่ ย ว ข๎ อ ง กั บ ก า ร พั ฒ น า ภายนอกเป็นผู๎เข๎ามามีสํวนรํวม ไดอ๎ ยํางดหี ากไรซ๎ ง่ึ การมสี ํวนรํวม สิ่งแวดลอ๎ ม เศรษฐกิจ และสงั คม ในการจัดการศึกษาแตํมิใชํเป็นผ๎ู ของทุกภาคสํวนชุมชน ผู๎ใหญํและ เด็กให๎กา ร จัดโดยตรง บรกิ ารแกํสังคม สํวนรูปแบบท่ีไมเํ ป็น กลุ่มผเู้ รียน เน๎นทุกกลํุมคนในสังคมและทุก ทางการ จะเน๎นความเพลิดเพลิน เ น๎ น พั ฒ น า ผ๎ู อ ยํู น อ ก ร ะ บ บ เนน๎ คนทกุ กลมุํ ในชมุ ชน วยั เป็นการจัดการศกึ ษาตามอัธยาศัยไมํ การศึกษาและการขาดโอกาส มีรูปแบบทชี่ ัดเจน เน๎นผสู๎ งู อายุและเด็กในชุมชน จากการศึกษาศึกษาวรรณกรรมแนวคิดทางการศึกษาท้ัง 4 แนวคิด คือการศึกษาเพ่ือการพัฒนาที่ ยัง่ ยืน การศกึ ษาฐานราก การศกึ ษาตลอดชีวิตและโปรแกรมการเรียนร๎ูระหวํางวยั สรปุ ได๎วํา แนวคิดการศึกษา เพ่ือการพัฒนาท่ีย่ังยืนเป็นแนวคิดสาคัญท่ีองค๑การ UNESCO เสนอหลักการให๎ประเทศตํางๆ ของโลก นา การศึกษาเปน็ เคร่ืองมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตอยํางมีมาตรฐานและความสุขในการดารงชีวิตและมีความ ยง่ั ยนื โดยประเทศไหนจะมีบริบททีม่ ีแนวทางการเลือกแนวการจัดการศึกษาอยํางไรก็ควรพิจารณาตามความ เหมาะสมกับบริบทสังคมที่ตอบรับแนวทางการจัดการศึกษาเพ่ือให๎เกิดการพัฒนาสังคมได๎อยํางยั่งยืนซ่ึงจาก การลองผิดลองถกู ของการศึกษาไทยกวําศตวรรษที่พัฒนาประเทศโดยการนาแนวทางการจัดการศึกษาและ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 389

หลกั สตู รชาวตะวนั ตกเข๎ามา จากผลกระทบที่เกิดข้ึนตํอสังคมไทยในป๓จจุบันทาให๎เกิดแนวคิดการศึกษาทาง ทางเลอื กใหมซํ ึ่งดเู หมอื นจะเป็นของเกําทคี่ นไทยเคยมีแตํกลับเปน็ ส่ิงท่ตี ๎องกลบั สร๎างมาใหมํให๎มีความแข็งแรง ยงิ่ ขนึ้ เป็นการศึกษาท่ีเรียกวํา“การศึกษาฐานรากหรือการศึกษาฐานชุมชน” ท่ีนักวิชาการระดับปรมาจารย๑ หลายทํานได๎ลงความเห็นวํามีเหมาะสมกับบริบทสังคมไทยท่ีสุดเนื่องจากมีการให๎ค วามสาคัญของรากเหง๎า ความเปน็ ไทยและมีหลักการท่ีสอดคล๎องกบั การพัฒนาการศกึ ษาที่ย่ังยืนในทกุ ด๎าน ไมวํ าํ จะเปน็ ด๎านปรชั ญาการ จัดการศึกษาที่เน๎นให๎สอดคล๎องกับสภาพส่ิงแวดล๎อม เศรษฐกิจ และสังคม ด๎านการบริหารจัดการการ การศีกษาที่เน๎นการมีสํวนรํวมเพื่อรํวมด๎วยชํวยกันให๎ ชุมชนมีความเป็นอยํูที่ดีขึ้น โดยเฉพาะรํวมกันให๎ ความสาคญั กบั รากเหงา๎ อันเป็นชีวิตของผู๎ที่อยํอู าศัยในชุมชนเอง การตอบสนองความต๎องการจะเป็นอยํางไร ชุมชนจะต๎องเป็นผ๎ูคิด วางแผน และนาสูํการปฏิบัติตามบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อการพัฒนาท่ี ยง่ั ยนื โดยองคก๑ รและหนวํ ยงานตาํ งๆ มีบทบาทในการเข๎ามาชวํ ยเหลอื ให๎องคค๑ วามรู๎สมยั ใหมํ ในดา๎ นการจดั หลกั สูตรและแนวการสอน การศกึ ษาฐานรากได๎นาแนวคิดการศึกษาตลอดชีวิตมาเป็น หลักในการจดั การศึกษา เพื่อให๎ผเ๎ู รียนไดเ๎ รียนร๎ูวธิ ที ี่จะพัฒนาตนเองอยํางตํอเนอื่ งและเชอื่ มโยงกับสิ่งแวดล๎อม รวมท้ังยังครอบคลุมผู๎เรียนและเนอ้ื หาสาระทม่ี ีความหลากหลายไดอ๎ ีกดว๎ ย แนวทางการจัดการศึกษาจึงบูรณา การรูปแบบการจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย มาเชื่อมโยงกันตามความสามารถและ พรอ๎ มของแหลงํ รียนรู๎เพ่ือสร๎างประสบการณ๑ในการเรียนรู๎ให๎ผ๎ูเรียนพัฒนาตนเองและสั งคมอยํางยั่งยืน เกิด ทกั ษะชีวิต ทักษะอาชีพ และทักษะการจัดการ รวมถึงกระบวนการคิด ท่ีได๎นาไปใช๎ในบริบทจริง นอกจากนี้ การศึกษาฐานรากมีการนาแนวคิดบางสํวนของ“ศาสตร๑และศิลป์ในการเรียนรู๎ผู๎ใหญํ” (andragogy)มาเป็น แนวทางในการจัดการศึกษาดว๎ ยซึง่ ในปจ๓ จุบันแนวคดิ andragogy ไมํได๎จากัดด๎วยอายุผ๎เู รียนแตํเน๎นในเร่อื งวุฒิ ภาวะและความพรอ๎ มในการนาตนเองของผเู๎ รียน ดังท่ีการศึกษาฐานรากเน๎นการโอกาสและความเสมอภาคให๎ผ๎ูเรียนทุกเพศทุกวัยได๎กลับเข๎าสูํการ เรียนรเ๎ู พอื่ พฒั นาตนเอง ดังนั้นกลํุมผู๎เรียนจานวนมากจึงมิได๎มีเป็นเพียงนักเรี ยนในสถานศึกษาแตํรวมถึงผ๎ูท่ี ออกจากระบบการศึกษาในระบบไปแล๎วไมํวําจะเหตุผลใดก็ตามท่ีต๎องการกลับมาพัฒนาความรู๎ ทักษะและ ทศั นคตเิ พ่อื พฒั นาตนเองให๎สอดคลอ๎ งกบั ความสนใจของตนเองและสามารถตอบสนองสงั คม ผเ๎ู ขียนเห็นวําการ นาการศึกษาฐานรากไปใช๎ได๎จริงในบริบทไทยนั้น จาเป็นต๎องสร๎างโอกาสให๎ผู๎เรียนเป็นผู๎ขับเคล่ือนการ เปลี่ยนแปลงด๎วยตนเองมากกวําที่จะรอผู๎จดั และผู๎สอน ซึ่งสอดคล๎องกบั แนวคิดandragogay ที่เน๎นการพัฒนา ในตนของผู๎เรยี นใหม๎ ีความสอดคลอ๎ งกบั รากเหง๎าของตนเอง จงึ เห็นวํา andragogy นําจะเป็นจุดเชื่อมแนวคิด การศกึ ษาฐานรากสํกู ารปฏิบตั จิ รงิ ซงึ่ เนน๎ ให๎ผเู๎ รยี นเกิดการเรยี นรแ๎ู บบ “นาตนเอง” (self directed learning) ทีส่ ามารถรองรับการเปล่ียนแปลงในสังคมอยํางไมํร๎ูจบเน๎นให๎ผู๎เรียนมีการสร๎าง “มโนภาพตํอตนเอง” วําจะ สามารถบรรลุวัตถุประสงค๑การเรียนร๎ูได๎(self-concept) สามารถมีอาชีพ มีคุณภาพชีวิตเพ่ือให๎เกิด ความก๎าวหน๎าในตนเองและสังคม มีการนา “ประสบการณเ๑ ดิม” ของผู๎เรียนที่มีวุฒิภาวะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ เกี่ยวกับการรักษาส่ิงแวดล๎อม อาชีพในท๎องถิ่น ด๎านวัฒนธรรม ภาษาและจริยธรรมโดยเน๎นคุณคําและ ความสาคญั ของผ๎สู ูงอายเุ ปน็ ผถ๎ู าํ ยทอด เน๎น“ความพร๎อม” ในตัวผู๎เรียนวําต๎องการเรียนในสิ่งท่ี “จาเป็นตํอ การนาไปใช๎” โดยทนั ทมี ิได๎ “เรยี นเผอื่ ” ไวส๎ าหรบั ใชเ๎ มื่อใดก็ไมํร๎ู ดังท่ีมีการกลําววํา“การศึกษาในป๓จจุบันยึด การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 390

เอาวชิ าการเป็นตัวตงั้ มากกวําเอาชีวิตเป็นตัวต้ัง” และประเด็นสาคัญอีกประการหน่ึงคือ “สาระการเรียนร๎ู” (orientation to learning) มํุงสูํ “การพัฒนาและการแก๎ป๓ญหา” มากกวําการเพิ่มพูนความรู๎ทางวิชาการ เหลํานี้ทาใหแ๎ นวคิดการศกึ ษาฐานรากมีความเป็นไปไดใ๎ นการนาสูปํ ฏิบตั ิ นอกจากนีห้ ลักสูตรตามแนวคิดการศกึ ษาฐานราก เปิดกว๎างในการให๎อิสระแกํผู๎จัดวําจะเป็นใครก็ได๎ หรือเป็นการจดั การเรยี นรภ๎ู ายในครอบครัว ในชุมชน ในสถาบันก็ได๎ มีความหยืดหยุํนในด๎านเวลา สาระการ เรยี นร๎ู และสถานท่ี ไมมํ รี ปู แบบทตี่ ายตวั เน่ืองจากเน๎นท่ีผลลัพธ๑การเรียนรู๎ท่ีสามารถสนองความต๎องการของ ผเ๎ู รยี นและชุมชนมากกวํา การนาแนวคิด“การเรียนรู๎ระหวํางวัย” มาตอบสนององค๑ความร๎ูที่เก่ียวกับวิถีชีวิต และจิตวิญญาณของชุมชน ศาสนา ประเพณี วฒั นธรรม ประวตั ศิ าสตร๑ อาชีพท๎องถ่ิน และคุณคําถือวํามีความ เหมาะสมท่ีสุดตํอยุคสมัยป๓จจุบัน เน่ืองจากผ๎ูสูงวัยถูกมองวําด๎วยคุณคําเม่ือการเรียนรู๎มุํ งสูํความสาเร็จของ ศาสตรต๑ ะวันตกและเทคโนโลยสี มยั ใหมํ ทวาํ การใหค๎ วามสาคญั ตํอรากเหง๎าของบรรพชนถือเป็นการนาคุณคํา ของผูส๎ ูงวัยกลับมาอกี ครัง้ การจดั การเรยี นการสอนสามารถจัดได๎หลายรูปแบบทง้ั ทเ่ี ป็นทางการคือมีผ๎จู ัดอยําง เป็นทางการในลักษณะทเ่ี ป็นกิจกรรม โครงการ หรือโปรแกรมการเรียนรู๎ระหวํางวัย เชํน การจัดการเรียนรู๎ ระหวํางวัยโดยใช๎โรงเรียนเป็นฐาน(school-based intergenerational learning)หรือจัดโดยองค๑การของ ชุมชนโดยใช๎หลักการจัดการศึกษานอกระบบในการจัดเชํน โครงการเพื่อชุมชน โครงการเก่ียวกับสุขภาพ โปรแกรมเพื่อพัฒนาการเรียนร๎ู เพอื่ ใหม๎ กี ารปฏสิ ัมพนั ธ๑กนั 3 รูปแบบ คือ 1) ผ๎ูสูงวยั ใหก๎ ารบริการแกํเดก็ และ วัยรุนํ 2)เดก็ และวยั รุํนให๎การบรกิ ารแกํผ๎สู ูงอายุ และ 3)ผูใ๎ หญแํ ละเด็กใหก๎ ารบริการแกํสังคม สวํ นรูปแบบที่ไมํ เป็นทางการเป็นการศึกษาตามอัธยาศัยอาจเกิดขึ้นระหวํางท่ีทากิจกรรมกั นในครอบครัว จะเน๎นความ เพลดิ เพลินเป็นการจดั ไมมํ ีรปู แบบทช่ี ัดเจน การดาเนนิ งานการเรียนรูร๎ ะหวํางวัยเพือ่ การศึกษาฐานรากทย่ี ง่ั ยนื รปู แบบเป็นทางการควรมีลักษณะ ดงั น้ี คอื 1. จดั เป็นโครงการระยะยาวเพียงพอตอํ การสร๎างสายสมั พันธ๑และกํอให๎เกิดการแลกเปลี่ยนเรยี นรจู๎ น แล๎วเสรจ็ ในเรอ่ื งหน่ึงๆ การจดั จึงควรมีความตอํ เน่ืองโดยเปิดรบั อาสาสมคั รโดยผส๎ู ูงอายุท่ีมคี วามพรอ๎ มและแนํว แนํท่ีจะเขา๎ รํวมกิจกรรมอยาํ งตอํ เน่ือง 2. บุคลากรมีความรู๎และมีความชานาญเก่ียวกับการจัดกิจกรรมระหวํางวัย ผ๎ูจัดมีการเตรียมงาน ลํวงหน๎าอยํางรัดกุม ผส๎ู ูงอายคุ วรมีคณุ ลักษณะท่ีสามารถสร๎างแรงบันดาลให๎เด็กๆ ได๎เหมาะสมกับกิจกรรม มี ความกระตือรอื รน๎ และมคี วามรบั ผิดชอบ และมอี งคค๑ วามร๎ูเกี่ยวกับวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของชุมชน ศาสนา ประเพณี วฒั นธรรม ประวัติศาสตร๑ อาชพี ทอ๎ งถนิ่ และส่ิงแวดลอ๎ ม 3. มีการเตรยี มความพรอ๎ มแกผํ ูเ๎ ขา๎ รํวมกิจกรรมทงั้ สองวยั กอํ นเขา๎ รวํ มกิจกรรม การให๎ความเข๎าใจแกํ ผ๎เู ขา๎ รํวมกิจกรรมท้งั สองวยั ไมวํ ําจะเป็นผูส๎ งู อายุและเด็กเป็นสิง่ สาคัญ ทงั้ สองกลํุมตอ๎ งเขา๎ ใจกฏเบ้ืองต๎นและมี การทาความเข๎าใจเบอ้ื งตน๎ เกย่ี วกบั ทศั นคตริ ะหวาํ งกลุํมกอํ นเข๎ารวํ มกจิ กรรม 4. เน๎นการพฒั นาความสัมพันธ๑ระหวํางวัย โดยเน๎นกิจกรรมที่สร๎างทัศนคติเชิงบวกระหวํางกันชํวย สนบั สนุนให๎เกิดการรวมตวั ทางสังคม กํอใหเ๎ กดิ ความเป็นปกึ แผํนและความสามัคคีในสังคม การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 391

5. ใหผ๎ ูเ๎ ข๎ารวํ มกจิ กรรมควรมสี วํ นรวํ มในการวางแผนกจิ กรรม เนอ่ื งจากเปน็ ผูป๎ ฏิบัติเองจึงสามารถร๎ู ถงึ ความตอ๎ งการของตนเองในการเขา๎ รวํ มกจิ กรรม 6. จาเป็นต๎องให๎เกิดประโยชน๑ในการเรียนร๎ูท่ีมีลักษณะตํางตอบแทนทั้งสองวัย วําในการเข๎ารํวม กิจกรรมในแตํละครง้ั น้นั ผู๎สงู อายไุ ด๎เรียนร๎ูเรือ่ งใดจากเดก็ เปน็ องค๑ความร๎ูในยุคป๓จจุบัน เชํน คอมพิวเตอร๑ การ ใช๎โทรศพั ท๑ และเดก็ ไดเ๎ รยี นร๎ูสิ่งใดจากผูส๎ งู วัย เชํน ประวัติศาสตร๑ชมุ ชน วัฒนธรรมการทอผา๎ ท้ังน้ีสาระในการ เรียนรค๎ู วรเป็นเรอ่ื งที่เกีย่ วขอ๎ งกับรากเหงา๎ วัฒนธรรมในชุมชนนั้น และกํอให๎เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคม ผสานประโยชน๑ของคนในสงั คมและชมุ ชนเพ่ือให๎เกิด วางพื้นฐานของวัฒนธรรมการเรียนร๎ูตลอดชีวิ ตสาหรับ เดก็ และผ๎สู ูงอายุ การเรียนรู๎ระหวํางวัยเพอื่ การศึกษาฐานรากทยี่ ่ังยืน สามารถนาสกูํ ารปฏิบตั ไิ ดด๎ ว๎ ยวิธีการดาเนนิ งานทงั้ 6 ประการข๎างต๎น อยํางไรก็ตาม การนาแนวคิดการเรียนรู๎ระหวํางวัยมาใช๎ในบริบทสังคมไทยจาเป็นต๎อง พจิ ารณาความพร๎อมของผ๎จู ัดและผม๎ู ีสวํ นรํวมในการทากิจกรรมในแตํละบริบทมีความเข๎มแข็งและเปราะบาง ตาํ งกันไป เชํนในบริบทไทย ผ๎ูสูงอายุจานวนมากมักมีป๓ญหาเร่ืองสุขภาพ ขาดโอกาสทางการศึกษา และมัก ประสบปญ๓ หาความยากจน คาํ ใชจ๎ ํายในการเดินทางเพอื่ เข๎ารวํ มกิจกรรมอาจจะเป็นอุปสรรค ผ๎ูสูงอายุจานวน มากอาจขาดความพร๎อมที่จะเป็นอาสาสมัครเข๎าทากิจกรรมอยํางสม่าเสมอซ่ึงตํางกับผ๎ูสูงวัยในตํางประเทศ รวมท้งั ผสู๎ งู อายุในชนบทโดยมากขาดความเข๎าใจในความสาคญั และวิธกี ารสงํ เสรมิ พฒั นาการเด็ก ดังน้ันการนา แนวคดิ การเรยี นรู๎ระหวาํ งวยั มาใช๎ในบริบทสังคมไทยจึงจาเปน็ ต๎องมกี ารวางกลยทุ ธ๑เพือ่ สร๎างความพร๎อมให๎กับ ผ๎ูที่มีสํวนได๎สํวนเสีย ทั้งด๎านผู๎จัดและผ๎ูรํวมกิจกรรม โดยด๎านผ๎ูจัดให๎มีการจัดอบรมและพัฒนาทักษะในการ ดาเนินกจิ กรรม สํวนดา๎ นผู๎เขา๎ รวํ มกิจกรรมท้งั ผส๎ู งู อายุและเด็กจาเปน็ จะต๎องมที ศั นคติที่ดีและมีความพร๎อมใน การเขา๎ รํวมกจิ กรรม เป็นต๎น กลําวโดสรปุ “โปรแกรมการเรยี นร๎รู ะหวํางวัย” มีลกั ษณะการดาเนินงานทีส่ อดคล๎องกับแนวคิด “การ จดั การศึกษาฐานราก” การดาเนินงานรํวมกนั ในแนวคิดทั้งสองน้ีจะสํงผลให๎การจัดการศึกษาฐานรากมีความ เป็นรปู ธรรมมากย่งิ ขึ้น เนื่องจากการเรียนรรู๎ ะหวาํ งวัยมพี ื้นฐานการพฒั นาภายใต๎แนวคดิ การศกึ ษาตลอดชวี ิตท่ี สนบั สนนุ ใหม๎ นษุ ยไ๑ ด๎เกิดการเรียนร๎ูท่ีจะพัฒนาตนเองและสังคมตั้งแตํเกิดจนตาย ผู๎นาไปปฏิบัตเชื่อมั่นได๎วํา ผลลัพธข๑ องการเรียนรูภ๎ ายใต๎การจดั การศกึ ษาฐานรากท่ีขบั เคลอ่ื นด๎วยการจัดโปรแกรมการเรียนรู๎ระหวํางวัย จะสามารถชวํ ยกํอใหเ๎ กิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตท่ีย่ังยืนของคนในสังคมท่ีได๎ชํวยให๎เกิดความสมดุลย๑ระหวําง มนษุ ย๑และธรรมชาติรอบตวั มนษุ ยอ๑ นั ประกอบไปดว๎ ย สิง่ แวดล๎อม เศรษฐกจิ และสังคมรอบตัวมนุษย๑ เอกสารอ้างองิ Bengston, V. L., & Murray, T. M. (1993). Justice across generations (and cohorts): Sociological perspectives on the life course and reciprocities over time. In Justice across generationasL What does it mean? Washington, DC: American Association of Retired Persons. การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 392

Bostrum A. (2003). Lifelong learning, intergenerational learning, and social capital. Edsbruk: Akademitryck AB. ENIL. (2012). Intergenerational Learning and Active Ageing. In European Report (Vol. October 2012): European Network for Intergenerational Learning (ENIL). Hatton-Yeo A., & Ohsako T. (1999). Intergenerational Programmes: Public Policy and Research Implications An International Perspective. Retrieved from Springate I., Atkinson M., & Martin K. (2008). intergenerational practice a review of the literature. Retrieved from UK: UNESCO. (2017). Education. Education for All Movement. Retrieved from http://www.unesco.org/new/en/education/themes/leading-the-international- agenda/education-for-all/ ไพฑรู ย๑ สินลารัตน.๑ (2557). จากรากฐานการศึกษาสกูํ ารศกึ ษาฐานราก. ในพณิ สุดา สริ ธิ รังศรี (Ed.), การศึกษา ฐานราก การจดั การศกึ ษาแบบมสี ํวนรํวมขององค๑กรในชมุ ชน: แนวคดิ สํูการปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: DPU Coolprint มหาวทิ ยาลัยธุรกิจบัณฑติ . กล๎า ทองขาว. (2557). การจัดการศกึ ษาฐานชุมชน. ในพิณสดุ า สริ ิธรังศรี (Ed.), การศกึ ษาฐานราก การจัดการ ศึกษาแบบมีสํวนรํวมขององค๑กรในชุมชน: แนวคิด สํูการปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: DPU Coolprint มหาวิทยาลยั ธรุ กจิ บัณฑติ . กาญจนา เงารังษี. (2559). การศึกษากับการพัฒนาที่ยั่งยืน. Journal of Association of Researchers, 21(2), 13-18. พิณสุดา สิริธรังศรี. (2557). ระบบการศึกษาที่เหมาะสมกับคนไทย. ในการศึกษาฐานราก การจัดการศุกษา แบบมสี ํวนรวํ มขององคก๑ รในชุมชน: แนวคิดสูํการปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: DPU Coolprint มหาวิทยาลัย ธุรกจิ บัณฑิต. อุทยั บุญประเสรฐิ . (2557). การจัดการศกึ ษาแบบมสี ํวนรวํ มกับหลักการมีสวํ นรํวมขององค๑กรในชุมชน. ในพิณ สดุ า สริ ธิ รงั ศรี (Ed.), การศึกษาฐานราก การจดั การศกึ ษาแบบมสี วํ นรํวมขององค๑กรในชมุ ชน: แนวคิด สูกํ ารปฏิบตั .ิ กรงุ เทพฯ: DPU Coolprint มหาวิทยาลัยธุรกจิ บณั ฑติ ย.๑ Bengston, V. L., & Murray, T. M. (1993). Justice across generations (and cohorts): Sociological perspectives on the life course and reciprocities over time. In Justice across generationasL What does it mean? Washington, DC: American Association of Retired Persons. Bostrum A. (2003). Lifelong learning, intergenerational learning, and social capital. Edsbruk: Akademitryck AB. ENIL. (2012). Intergenerational Learning and Active Ageing. In European Report (Vol. October 2012): European Network for Intergenerational Learning (ENIL). การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 393

Hatton-Yeo A., & Ohsako T. (1999). Intergenerational Programmes: Public Policy and Research Implications An International Perspective. Retrieved from Springate I., Atkinson M., & Martin K. (2008). intergenerational practice a review of the literature. Retrieved from UK: UNESCO. (2017). Education. Education for All Movement. Retrieved from http://www.unesco.org/new/en/education/themes/leading-the-international- agenda/education-for-all/ ไพฑูรย๑ สนิ ลารัตน.๑ (2557). จากรากฐานการศกึ ษาสกูํ ารศกึ ษาฐานราก. In พณิ สดุ า สริ ิธรงั ศรี (Ed.), การศึกษา ฐานราก การจดั การศกึ ษาแบบมีสํวนรวํ มขององค๑กรในชุมชน : แนวคดิ สํูการปฏิบัติ. กรงุ เทพฯ: DPU Coolprint มหาวทิ ยาลยั ธรุ กิจบณั ฑิตย.๑ กล๎า ทองขาว. (2557). การจัดการศึกษาฐานชุมชน. In พิณสุดา สิริธรังศรี (Ed.), การศึกษาฐานราก การ จดั การศกึ ษาแบบมีสวํ นรํวมขององค๑กรในชมุ ชน : แนวคิด สํูการปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: DPU Coolprint มหาวิทยาลัยธรุ กิจบณั ฑิต. กาญจนา เงารังษี. (2559). การศึกษากับการพัฒนาที่ย่ังยืน. Journal of Association of Researchers, 21(2), 13-18. พณิ สดุ า สริ ธิ รงั ศร.ี (2557). ระบบการศึกษาที่เหมาะสมกับคนไทย. In การศึกษาฐานราก การจัดการศุกษา แบบมีสํวนรวํ มขององคก๑ รในชมุ ชน : แนวคิดสกํู ารปฏิบัติ. กรุงเทพฯ: DPU Coolprint มหาวิทยาลัย ธรุ กจิ บัณฑิต. อทุ ัย บญุ ประเสรฐิ . (2557). การจดั การศึกษาแบบมสี วํ นรวํ มกบั หลักการมสี ํวนรํวมขององคก๑ รในชุมชน. In พิณ สุดา สิริธรังศรี (Ed.), การศึกษาฐานราก การจัดการศึกษาแบบมีสํวนรํวมขององค๑กรในชุมชน : แนวคิด สํกู ารปฏิบตั ิ. กรุงเทพฯ: DPU Coolprint มหาวทิ ยาลัยธรุ กจิ บัณฑติ . การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 394

ความสัมพนั ธร์ ะหว่างการมสี ่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษาข้นั พื้นฐานกับการ บริหารวิชาการของโรงเรยี นประถมศึกษาในจังหวดั ปทมุ ธานี The Relationship Between Participation of Committee on Basic Education and the Academic Administration of Elementary Schools in Pathum Thani Province. . ชือ่ ผู้แตง่ ชะโลม คมุ้ วงษ์ คณะครุศาสตร์อตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี E-mail: [email protected] บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค๑เพ่ือศึกษา 1) ระดับการมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น พืน้ ฐาน 2) ระดับการบริหารวิชาการของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานของโรงเรียนประถมศึกษาใน จังหวดั ปทุมธานี และ 3) ความสมั พันธร๑ ะหวํางการมสี วํ นรวํ มของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานกับการ บริหารวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาในจงั หวดั ปทุมธานี กลํมุ ตวั อยํางทใี่ ช๎ในการวิจัยคร้ังน้ี ได๎แกํ ผ๎บู รหิ าร สถานศึกษา ตัวแทนครูและคณะกรรมการสถานศึกษาขัน้ พื้นฐานของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดปทุมธานี จานวน 653 คน เครื่องมอื ทใี่ ชใ๎ นการวจิ ัยเป็นแบบสอบถามมาตราสํวนประมาณคาํ สถิติทใี่ ช๎ในการวิเคราะห๑ ขอ๎ มลู ได๎แกํ คาํ ร๎อยละ คําเฉล่ยี คาํ เบี่ยงเบนมาตรฐาน และคําสัมประสิทธส์ิ หสมั พนั ธข๑ องเพียรส๑ ัน ผลการวิจัย พบวาํ 1) การมสี ํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพื้นฐาน โดยภาพรวมอยูํในระดับมาก 2) ระดับการ บริหารวิชาการของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดปทุมธานี โดย ภาพรวมอยูํในระดับปานกลาง และ 3) ความสัมพันธ๑ระหวํางการมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ัน พื้นฐานกับการบริหารวิชาการของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวมมีความสัมพันธ๑กันใน ระดับสูง อยาํ งมนี ัยสาคญั ทางสถิติท่รี ะดับ 0.01 คาสาคัญ: การมีสํวนรวํ ม คณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน การบริหารวชิ าการ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 395

ABSTRACT This study aimed to study 1) the level of the participation of the Committee on Basic Education in Pathum Thani Province, 2) the level of the academic administration of the Committee on Basic Education of elementary schools in Pathum Thani Province, and 3) the relationship between the participation of the Committee on Basic Education and the academic administration of elementary schools in Pathum Thani Province. The sample used in this study was comprised of 653 people including the school administrators, the representative teachers, and the Committee on Basic Education in Pathum Thani Province. The research instrument was rating scale questionnaire. The statistics for data analysis included percentage, mean, standard deviation, and Pearson product- moment correlation coefficient. The major findings revealed that 1) the participation of the Committee on Basic Education in Pathum Thani Province was at a high level, 2) on average , the academic administration of the Committee on Basic Education of elementary schools in Pathum Thani Province was at a medium level, and 3) the relationship between participation of the Committee on Basic Education and the academic administration of elementary schools in Pathum Thani Province as a whole was at a high level with statistical significant at the 0.01 level. KEYWORDS: participation, committee on basic education , academic administration บทนา โลกปจ๓ จบุ ันการศึกษามบี ทบาทสาคญั ตอํ ชวี ติ ของคนในสงั คม การศกึ ษาเป็นกระบวนการสาคัญใน การพฒั นาคนให๎มีคณุ ภาพ หากคนมีคุณภาพยอํ มสงํ ผลใหส๎ งั คมและประเทศชาติมคี วามเจรญิ กา๎ วหน๎า กา๎ วทัน ตํอความเปล่ยี นแปลงทางด๎านสงั คม เศรษฐกิจ การเมอื งและเทคโนโลยี ท่ีสงํ ผลกระทบตํอวถิ ีชวี ิตของคนใน สังคมป๓จจุบันนี้ “การศกึ ษาเปน็ เครื่องมือสาคญั ในการพัฒนาบุคคลให๎มีคุณภาพเพอ่ื เปน็ ทรพั ยากรทางป๓ญญา ทมี่ คี าํ ของชาติ” เพ่อื ให๎การศึกษามคี ณุ ภาพจาเป็นอยาํ งยงิ่ ที่ชมุ ชนตอ๎ งเข๎ามามสี ํวนรวํ มในการจัดการศึกษา อยาํ งจริงจัง การมสี ํวนรวํ มในการจดั การศึกษาของชมุ ชนยอํ มสงํ ผลตํอสมาชกิ ในสงั คมน้นั ๆเกดิ ความรวํ มมอื รํวมใจตอํ กิจกรรมที่กระทาและเป็นแรงกระต๎ุนที่ชํวยให๎เกิดความสาเร็จ รัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช 2550 และพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 และท่ีแก๎ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 กาหนดใหก๎ ารศกึ ษาไทยจะตอ๎ งจัดการศกึ ษาโดยคานงึ ถึงการมสี ํวนรวํ มขององคก๑ รปกครองสํวนท๎องถ่ิน และเอกชน เปน็ การศึกษาตลอดชวี ิตสาหรับประชาชน เปิดโอกาสให๎ประชาชนมสี ํวนรํวมในการจดั การศึกษา และมีการพฒั นาอยาํ งตํอเนอ่ื ง หลกั การดังกลาํ ว ตรงกบั แนวคิดหลกั ในการจดั การศึกษาเพือ่ ทกุ คนเพ่ือทุกฝุาย (Education for all) และทกุ ฝุายมสี วํ นรวํ มในการจดั การศกึ ษา (All for Education) อันเป็นหลักพื้นฐานท่ี การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 396

ได๎รับการยอมรับท่ัวโลก พระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 ได๎บัญญัติหลักสาคัญการจัด การศึกษาไวใ๎ นมาตรา 8 (2) ใหส๎ ังคมมีสํวนรํวมในการจัดการศึกษา มาตรา 9 (6) กระบวนการจัดการศึกษาให๎ ยึดสถานศกึ ษารํวมกบั บคุ คล องคก๑ รชมุ ชน องคก๑ รปกครองสํวนท๎องถน่ิ องคก๑ รเอกชน และสถาบันสังคมอ่ืนๆ สงํ เสริมความเข๎มแข็งของชมุ ชน โดยจัดกระบวนการเรยี นรูภ๎ ายในชมุ ชนเพ่ือพัฒนาสอดคล๎องกับสภาพป๓ญหา และความต๎องการของชุมชน โดยเฉพาะมาตรา 40 ได๎กาหนดให๎มีคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐานใน ระดบั อดุ มศึกษาตา่ กวําปรญิ ญาตรี และสถานศกึ ษาอาชวี ศึกษา ของแตํละสถานศึกษา ทาหน๎ากากับ สํงเสริม สนับสนุนกิจการของสถานศึกษา งานวิชาการเป็นภารกิจหลักของสถานศึกษาที่พระราชบัญญัติการศึกษา แหํงชาติ พ.ศ. 2542 แกไ๎ ขเพ่มิ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 และที่แกไ๎ ขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 มํุงให๎ กระจายอานาจในการบริหารจัดการไปให๎สถานศึกษาให๎มากที่สุด ด๎วยเจตนารมณ๑ท่ีจะให๎สถานศึกษา ดาเนินการโดยอสิ ระ คลอํ งตัว รวดเร็ว สอดคล๎องกบั ความต๎องการของผเู๎ รียน ชุมชน ทอ๎ งถ่ินและการมสี วํ นรวํ ม จากผมู๎ สี ํวนได๎สํวนเสยี ทกุ ฝาุ ย เปน็ ป๓จจัยสาคญั ทาใหส๎ ถานศกึ ษามีความเข๎มแข็งในการบริหารจัดการ รวมทั้ง การวัดป๓จจัยเกอ้ื หนุนการพฒั นาคุณภาพนักเรียน ชุมชน ท๎องถิ่น ได๎อยํางมีคุณภาพ ( รํุงชัชดาพร เวหะชาติ ,2553.น.28 ) ซึ่งการพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเฉพาะการบริหารวชิ าการถือวํามคี วามสาคัญมาก เน่ืองจาก การบรหิ ารงานวชิ าการเป็นงานใหญทํ ส่ี ุดของระบบงานในสถานศกึ ษา เป็นงานทช่ี วํ ยสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนเกิดการ เรยี นรูแ๎ ละพัฒนาในทกุ ๆด๎าน พัฒนาสติป๓ญญา ความนึกคิดของผู๎เรียน สํงเสริมใหผ๎ เ๎ู รียนได๎พัฒนาตนเองอยําง เต็มความสามารถและศักยภาพ เป็นมนุษย๑ที่สมบูรณ๑ ตามมาตรฐานการศึกษาของชาติที่กาหนดไว๎ ( มยุรี สมใจ,2551.น.3) จากการประเมินผลของสภาการศึกษาแหํงชาติ พบวํา ป๓ญหาการมีสํวนรํวมของ คณะกรรมการสถานศกึ ษาในสถานศกึ ษาแล๎ว ยังขาดการมีสวํ นรวํ มจากทกุ ภาคสวํ นอยํางแทจ๎ ริง และบุคลากร ทางการศึกษา ไมํเห็นความสาคัญของคณะกรรมการสถานศึกษาและชุมชน สถานศึกษาไมสํ ามารถเปน็ แหลงํ เรยี นร๎ูในการบริหารจดั การศึกษาให๎มีคุณภาพ รวมท้ังภาครัฐไมํได๎ให๎ความสาคัญกับการมีสํวนรํวมในการจัด การศึกษา (สานักเลขาธิการสภาการศึกษา, 2552. น.2 ) สานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพ การศึกษา ( สมศ. ) เปิดเผยผลการประเมินภายนอกรอบสาม ( พ.ศ. 2554-2558) พบวําสถานศึกษาระดับ การศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน จานวน 7,985 แหํง ได๎รับการรับรอง 5,690 แหํง และไมํได๎รับการรับรอง 2,295 แหํง เหตุผลทีท่ าใหส๎ ถานศกึ ษาเหลํานไี้ มํไดร๎ ับการรบั รองมาตรฐาน เนอ่ื งจากไมํผํานการประเมนิ ตัวบงํ ชี้พ้ืนฐานท่ี 5 ด๎านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู๎เรียน อยํูในระดับต๎องปรับปรุง และต๎องปรับปรํุงเรํงดํวน ซ่ึงโรงเรียน ประถมศึกษาในจงั หวดั ปทุมธานีจานวนถงึ 77 โรงเรียน ท่ีไมํได๎รับรองมาตรฐาน จากจานวนโร งเรียน 170 โรงเรียน คดิ เป็นร๎อยละ 45.29 ซ่งึ การประเมินและรบั รองคุณภาพการศกึ ษาของสถานศึกษา เป็นการรับรอง ประสทิ ธภิ าพของการบรหิ ารจัดการศกึ ษาและการมีสํวนรํวมจากทุกภาคสํวน คณะกรรมการสถานศึกษาเป็น คณะบุคคลที่มีสํวนสาคัญในการบริหารและจัดการศึกษาให๎มีประประสิทธิ ภาพ โดยเฉพาะการบริหารงาน วิชาการ ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการบริหารจัดการศึกษา การมีสํวนรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น พ้นื ฐาน ท่มี ีความหลากหลายของบคุ คลท่ีเขา๎ รํวมกนั เปน็ คณะกรรมการ ซง่ึ เป็นบคุ คลทมี่ ีความรู๎ ความสามารถ และประสบการณ๑ ชํวยเติมเตม็ ให๎ความเห็นชอบ และกาหนดแนวทางการจัดการศึกษาเพื่อให๎บรรลุความมุํง หมายของการศกึ ษา โดยใชก๎ ระบวนการมสี วํ นรวํ มของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน จากที่กลําวมา การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 397

ผู๎วิจัยจึงสนใจท่ีจะศกึ ษาความสมั พนั ธ๑ระหวาํ งการมีสวํ นรํวมของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานกับการ บรหิ ารวชิ าการของโรงเรียนประถมศกึ ษาในจงั หวดั ปทุมธานี ซ่ึงผลการวิจัยท่ีได๎ คาดวําจะเป็นประโยชน๑ตํอ การวางแผนในการบรหิ ารและการพัฒนาด๎านวิชาการ รวมท้ังการปรับปรุงบทบาทหน๎าที่ของคณะกรรมการ สถานศึกษาข้นั พ้ืนฐานใหม๎ สี ํวนรวํ มในการบรหิ ารวชิ าการท่ีมีประสิทธภิ าพมากขึ้น วัตถุประสงคข์ องการวิจยั 1. เพ่อื ศกึ ษาระดบั การมีสวํ นรวํ มของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพืน้ ฐานของโรงเรยี นประถมศกึ ษา ในจงั หวัดปทุมธานี 2. เพอื่ ศึกษาระดบั การบรหิ ารวิชาการของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้นั พื้นฐานของโรงเรียน ประถมศกึ ษาในจังหวัดปทมุ ธานี 3. เพอื่ ศกึ ษาความสมั พนั ธร๑ ะหวาํ งการมสี วํ นรํวมของคณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐานกบั การ บรหิ ารวิชาการของโรงเรียนประถมศกึ ษาในจงั หวดั ปทุมธานี วิธีดาเนินการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรทีใ่ ชใ๎ นการวิจัยครงั้ น้ี เป็นผ๎ูบริหารสถานศึกษา ตัวแทนครู และคณะกรรมการ สถานศกึ ษาข้นั พื้นฐานของโรงเรยี นประถมศึกษาในจงั หวดั ปทมุ ธานี จานวน 1,980 คน กลุํมตัวอยํางท่ีใช๎ในการวิจัยคร้ังนี้ ได๎แกํ ผู๎บริหารจานวน 170 คน ครูผู๎สอน 170 คน และ คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน ได๎จากการสํุมแบบแบํงช้ันภูมิ (Stratified Random Sampling) จานวน 313 คน รวมท้ังสิน้ จานวน 653 คน เครอ่ื งมือท่ีใชก้ ารวจิ ยั เคร่อื งมอื และการเก็บรวบรวมขอ๎ มูล การสรา๎ งเครอ่ื งมอื ที่ใชใ๎ นการวจิ ยั โดยมรี ายละเอยี ดตามข้ันตอนดังน้ี 1. ศกึ ษาทฤษฎี หลักการ เอกสาร วรรณกรรมและงานวิจัยท่ีมีความเกี่ยวข๎องกับการมีสํวนรํวมของ คณะกรรมการสถานศึกษาสถานศึกษาข้นั พ้นื ฐาน การบริหารวิชาการและ ความสัมพันธ๑ของการมีสํวนรํวมใน การบริหารวิชาการ 2. นาขอ๎ มูลทไ่ี ดจ๎ ากการศกึ ษามาประมวล กาหนดขอบเขตของเน้ือหาเพ่อื ดาเนินการสรา๎ งเครอ่ื งมอื ให๎ ครอบคลุมเนือ้ หา และกรอบแนวคดิ ของการวจิ ัย 3. วิเคราะห๑ขอ๎ คาถาม เพอ่ื สร๎างแบบตรวจสอบรายการ (Check List) และแบบสอบถามมาตราสํวน ประเมนิ คาํ (Rating Scale) 4. เสนอแบบสอบถามฉบับราํ งตํออาจารย๑ที่ปรึกษาผ๎ูควบคุมวิทยานิพนธ๑เพ่ือตรวจสอบความถูกต๎อง และเหมาะสมของเนื้อหา สานวนภาษาที่ใช๎ จากนั้นนามาปรับปรุงแก๎ไขให๎ถูกต๎องสมบูรณ๑ตํอไปเพ่ือนาไป ตรวจสอบคณุ ภาพเครอ่ื งมือตอํ ไป การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 398

5. นาแบบสอบถามทผ่ี าํ นการปรบั ปรุงแก๎ไขแล๎วเสนอตํอผ๎ูเช่ียวชาญทางด๎านเน้ือหา จานวน 5 ทําน เพ่ือตรวจพิจารณาความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา (Content validity) ของเครื่องมือ เพ่ือพิจารณาความตรงเชิง เน้ือหา (Content validity) ของเคร่ืองมือ และนามาคานวณหาคําดัชนีความสอดคล๎อง (Index of Item Objective Congruence: IOC) ระหวาํ งข๎อคาถามกบั เนอ้ื หาโดยใช๎สตู รดังนี้ การให๎คะแนนผ๎ูเชี่ยวชาญแตลํ ะคนให๎คะแนนตามหลกั เกณฑ๑ ดงั น้ี +1 เมือ่ ผ๎ูเชยี่ วชาญแนใํ จในคาถามนน้ั มคี วามตรงตามเนือ้ หา 0 เม่อื ผูเ๎ ชย่ี วชาญไมํแนํใจในคาถามน้นั มคี วามตรงตามเน้ือหา -1 เมอื่ ผูเ๎ ชีย่ วชาญแนใํ จในคาถามนัน้ ไมมํ คี วามตรงตามเน้อื หา เกณฑ๑ในการพิจารณาเลือกข๎อคาถาม พิจารณาจากข๎อคาถามท่ีมีคําดัชนีความสอด คล๎อง ตั้งแตํ 0.50 ข้ึนไป ถ๎าข๎อคาถามใดมีคําดัชนีความสอดคล๎องต่ากวํา 0.50 ต๎องนาไปปรับปรุงแก๎ไขตาม ข๎อเสนอแนะกํอนทจี่ ะนาไปทดลองใช๎ ผลการตรวจสอบสรุปประเดน็ โดยหาคาํ IOC พบวาํ ข๎อคาถามมีคาํ ระหวาํ ง 0.60-1.00 6. นาแบบสอบถามทแ่ี ก๎ไขตามผูเ๎ ชย่ี วชาญเสนอแนะแลว๎ ไปทดลองใช๎ (Try out) กับประชากรท่ีไมํใชํ กลุํมตัวอยํางจานวน 30 คน และนาไปหาคําความเชื่อม่ัน (Reliability) ของแบบสอบถาม โดยใช๎วิธีหาคํา สัมประสิทธ์ิแอลฟา (Alpha Coefficient ) ของคอนบราค (Cronbach, 1970 , p.161 อ๎างถึงในบุญชม ศรีสะอาด, 2554) มคี ําเทาํ กบั 0.92 7. ไดน๎ าเคร่ืองมือวจิ ยั เปน็ แบบสอบถามท่ีสมบรู ณ๑ นาไปใช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูลจากกลุํมตัวอยําง ตอํ ไป เครื่องมือท่ีใช๎ในการรวบรวมข๎อมูลเป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) โดยผู๎วิจัยได๎สร๎างและ พฒั นาข้ึนภายใตก๎ รอบแนวคดิ และทฤษฎี และงานวิจัยทเ่ี กยี่ วขอ๎ ง แบํงออกเปน็ 3 ตอน ประกอบดว๎ ย ตอนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพของผ๎ูตอบ ได๎แกํ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ประเภทบุคลากร ประสบการณ๑ในการทางานในโรงเรียนปจ๓ จบุ ัน ลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) ตอนที่ 2 แบบสอบถามเกย่ี วกบั การมสี ํวนรวํ มของคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน เปน็ แบบมาตราสํวนประมาณคํา (Rating Scale) ชนิด 5 ระดบั โดยมลี ักษณะการมสี ํวนรวํ ม ประกอบด๎วย 1) การมสี ํวนรํวมในการตดั สนิ ใจ 2) การมสี วํ นรํวมในการดาเนนิ การ 3) การมสี วํ นรํวมในการรบั ประโยชน๑ 4) การมสี วํ นรวํ มในการประเมนิ ผล โดยใช๎เกณฑก๑ ารใหค๎ ะแนนประยุกต๑ตามแนวทางของ Likert (Likert Five’s Rating Scale) ไดก๎ าหนดคําคะแนนของคะแนนชวํ งนา้ หนกั เป็น 5 ระดับ ดงั น้ี ให๎คะแนน 5 หมายถงึ มสี วํ นรํวมระดับมากทส่ี ุด ให๎คะแนน 4 หมายถึง มสี วํ นรํวมระดับมาก ใหค๎ ะแนน 3 หมายถึง มสี วํ นรวํ มระดบั ปานกลาง ใหค๎ ะแนน 2 หมายถึง มีสวํ นรํวมระดบั น๎อย การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 399


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook