Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ED-APHEIT 2018

ED-APHEIT 2018

Published by ED-APHEIT, 2019-04-05 09:41:45

Description: ED-APHEIT 2018

โครงการประชุมทางวิชาการและเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ :

สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
(สสอท.)

Search

Read the Text Version

ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ผลการวเิ คราะห๑คณุ ภาพของศูนย๑พฒั นาเด็กสังกดั สานกั งานการศึกษาสวํ นทอ๎ งถ่นิ ในจังหวัด นนทบุรี จานวน 122 แหํง ทไี่ ดจ๎ ากการประกันคุณภาพภายนอกในรอบแรกพ .ศ.2556-2558 มีดังนี้ ตารางท่ี 1 คะแนนเฉลี่ย สํวนเบย่ี งเบนมาตรฐานและระดบั คุณภาพของผลการประเมนิ ศูนย๑พฒั นาเด็ก เปน็ รายตวั บงํ ชี้ และในภาพรวมทกุ ตวั บํงช้ี ตวั บงํ ชี้ คะแนนเตม็ คะแนน สํวน ระดบั เฉล่ีย เบย่ี งเบน คุณภาพ มาตรฐาน 1. เด็กมพี ัฒนาการด๎านราํ งกายสมวยั 5 4.34 0.45 ดี 2. เดก็ มีพฒั นาการดา๎ นอารมณ๑และจิตใจสมวยั 5 4.32 0.45 ดี 3. เดก็ มพี ัฒนาการด๎านสงั คมสมวยั 5 4.15 0.46 ดี 4. เดก็ มพี ัฒนาการดา๎ นสติป๓ญญาสมวยั 10 7.80 1.02 ดี 5. เด็กมคี วามพรอ๎ มศึกษาตอํ ในข้ันตํอไป 10 8.71 1.00 ดี 6.ประสทิ ธผิ ลของการจัดประสบการณ๑การ 35 27.25 4.28 ดี เรยี นรู๎ ทเ่ี น๎นเดก็ เป็นสาคัญ 7. ประสทิ ธิภาพของการบริหารจดั การและการ 15 9.00 2.29 พอใช๎ พัฒนาสถานศึกษา 8. ประสิทธิผลของระบบการประกันคุณภาพ 5 ต๎องปรบั ปรุง ภายใน 1.67 1.13 อยํางเรํงดวํ น 9. ผลการพฒั นาตามปรัชญา /วสิ ยั ทศั น๑ พันธกจิ 2.5 1.62 0.68 พอใช๎ และวตั ถปุ ระสงค๑ของการจัดตัง้ สถานศึกษา 10. ผลการพัฒนาตามจุดเน๎นและจดุ เดํนที่สํงผล 2.5 1.62 0.68 พอใช๎ สะทอ๎ นเป็นเอกลักษณ๑ของสถานศึกษา 11. ผลการดาเนินงานโครงการพิเศษเพื่อ 2.5 1.61 0.69 พอใช๎ สงํ เสริมบทบาทของสถานศกึ ษา 12. ผลการพฒั นาสถานศึกษาให๎มีคุณภาพตาม 2.5 ตอ๎ งปรับปรุง นโยบายการปฏิรปู การศึกษา 1.61 0.82 อยํางเรํงดํวน ภาพรวม 100 73.70 9.83 พอใช้ เมอื่ นาคะแนนผลการประเมนิ คณุ ภาพภายนอกของศนู ย๑พัฒนาเดก็ จานวน 122 แหํงผลวเิ คราะห๑ เปน็ รายตวั บงํ ชี้ จัดได๎เปน็ 3 กลมํุ คือ ตัวบงํ ช้ที ม่ี ีคุณภาพอยูํในระดับดี มี 6 ตัวบงํ ช้ี คอื ตวั บงํ ชท้ี ่ี 1- 6 ตวั บํงชี้ที่มคี ณุ ภาพอยใํู นระดบั พอใชม๎ ี 4 ตัวบํงช้ี คอื ตัวบงํ ช้ีท่ี 7, 9, 10 และ11 ตวั บํงช้ที ่มี ีคุณภาพอยใํู น ระดบั ตอ๎ งปรับปรงุ อยํางเรงํ ดํวน มี 2 ตวั บงํ ชี้ คือ ตัวบงํ ช้ี และ 8 12 การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 500

สํวนผลวิเคราะห๑ภาพรวมทุกตวั บํงชพ้ี บวําคะแนนเฉล่ีย 73.12 คะแนนเป็นคุณภาพในระดับพอใช๎ คําสวํ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 9.83 คะแนน โดยศูนยพ๑ ฒั นาเด็กสวํ นใหญํรอ๎ ยละ 49.2 (จานวน 60 แหงํ ) มีผล การประเมนิ อยใูํ นระดับพอใช๎ รองลงมาอยูํในระดับดรี อ๎ ยละ 37.7 (จานวน 46 แหํง) สาหรบั ศนู ย๑พัฒนาเด็ก ตอ๎ งปรบั ปรงุ อยํางเรงํ ดํวนร๎อยละ 2.5 (จานวน 3 แหํง) ภาพที่ 2 รอ๎ ยละศูนยพ๑ ัฒนาเดก็ ทจ่ี าแนกตามระดบั คณุ ภาพจากการประเมนิ คุณภาพภายนอก ตวั บง่ ชี้ ภาพที่ 3 คะแนนเฉลยี่ เทียบร๎อยของผลการประเมนิ ของศูนยพ๑ ฒั นาเดก็ จาแนกเปน็ รายตวั บงํ ชี้ ตารางท่ี 2 ผลการประเมนิ ศูนยพ๑ ัฒนาเดก็ องค๑การบรหิ ารสวํ นทอ๎ งถิ่น จงั หวัดนนทบุรี จาแนกตามสงั กดั สังกดั จานวน คาํ สวํ นเบี่ยงเบน F Sig. คะแนนเฉลี่ย มาตรฐาน 2.09 .105 1.องค๑การบริหารสวํ นตาบล 74 แหงํ 2.เทศบาลตาบล 19 แหงํ 71.49 9.00 3.เทศบาลเมือง 9 แหํง 74.03 11.99 4.เทศบาลนคร 20 แหํง 77.47 8.18 122 แหํง 76.34 10.43 รวมท้ังจงั หวัด 73.12 9.83 การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 501

ผลการประเมนิ คณุ ภาพภายนอกพบวํา ศูนย๑พัฒนาเดก็ สงั กดั เทศบาลเมอื งและเทศบาลนครมี คุณภาพอยูํในระดับดี คือมคี ะแนนเฉล่ีย 77.47 และ 76.34 ตามลาดับ สวํ นศนู ยพ๑ ฒั นาเดก็ สังกัดเทศบาล ตาบลและองคก๑ ารบรหิ ารสํวนตาบลมีคะแนนเฉล่ียอยูใํ นระดับคณุ ภาพพอใช๎ มีคะแนนเฉลี่ย 74.03 และ 71.49 โดยทศี่ ูนย๑พัฒนาเดก็ สงั กดั เทศบาลตาบลมีคะแนนกระจายแตกตํางกนั ระหวาํ งสถานศกึ ษามากกวํา สังกดั อืน่ พจิ ารณาได๎จากคาํ สํวนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 11.99 คะแนน เมอ่ื เปรียบเทยี บคณุ ภาพจากการ ประเมนิ ภายนอกของศูนย๑พัฒนาเดก็ ระหวํางสงั กดั ของศนู ยพ๑ ัฒนาเดก็ ด๎วยการวิเคราะห๑ความแปรปรวน พบวาํ ศูนย๑พฒั นาเดก็ ทุกสังกดั มีคะแนนเฉลีย่ ไมแํ ตกตาํ งกัน (F =2.09, p values= 0.105) ตารางที่ 3 ผลการประเมนิ ศนู ย๑พฒั นาเด็ก องค๑การบริหารสวํ นทอ๎ งถิ่น จงั หวัดนนทบรุ ี จาแนกตามอาเภอ ทีต่ ัง้ อาเภอท่ีตงั้ จานวน คําสํวนเบยี่ งเบน F Sig. คะแนนเฉลย่ี มาตรฐาน 3.38** .007 1. เมืองนนทบุรี 23 แหงํ 2. ปากเกร็ด 27 แหงํ 75.87 9.80 3. บางใหญํ 13 แหํง 68.06 12.36 4. บางกรวย 23 แหงํ 71.10 6.41 5. บางบวั ทอง 18 แหํง 72.08 9.00 6. ไทรนอ๎ ย 18 แหํง 78.39 7.96 74.71 6.71 รวมทง้ั จังหวัด 122 แหํง 73.12 9.83 ** นัยสาคัญทางสถิตทิ ร่ี ะดบั 0.01 ผลการประเมนิ คุณภาพภายนอกของศูนย๑พัฒนาเดก็ จงั หวดั นนทบรุ ี มาวเิ คราะหด๑ ๎วยสถิติพน้ื ฐาน พบวํา ศนู ยพ๑ ฒั นาเด็กบางบวั ทองและเมืองนนทบรุ ีอยํูในระดบั คุณภาพดี มคี ะแนนเฉลีย่ 78.39 และ 75.87ตามลาดบั สํวนศนู ยพ๑ ัฒนาเด็กในอาเภออื่นๆ คือ ไทรน๎อย บางกรวย บางใหญํ และ ปากเกรด็ มี การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 502

คะแนนเฉลย่ี อยูํในระดับคุณภาพพอใช๎ มคี ะแนนเฉลยี่ 74.71, 72.08, 71.10 และ 68.06 ตามลาดับ โดย ศนู ยพ๑ ัฒนาเด็กในอาเภอปากเกร็ดมคี ะแนนกระจายแตกตํางกันระหวํางสถานศึกษามากกวําอาเภออ่นื ๆ เมอ่ื เปรียบเทยี บคุณภาพจากการประเมินภายนอกของศูนยพ๑ ัฒนาเด็ก ระหวาํ งอาเภอของศนู ยพ๑ ฒั นาเด็ก ดว๎ ยการวิเคราะหค๑ วามแปรปรวน พบวําศนู ย๑พฒั นาเดก็ ทุกสงั กดั มีคะแนนเฉลี่ยแตกตํางกนั ) F =3.38, p values= 0.007( ภาพที่ 4 คะแนนเฉลยี่ ของผลการประเมินของศนู ยพ๑ ัฒนาเดก็ สงั กัดตาํ งๆ ในจงั หวัดนนทบุรี ผลทดสอบความแตกตาํ งคําเฉลยี่ ของคุณภาพรายครูํ ะหวํางอาเภอทต่ี ัง้ ของศนู ย๑พฒั นาเดก็ พบวาํ คําเฉลี่ยของคณุ ภาพศนู ยพ๑ ฒั นาเดก็ ในอาเภอบางบวั ทองแตกตํางจากศนู ยพ๑ ฒั นาเด็กในเกอื บทกุ อาเภอ ไดแ๎ กํ ศนู ย๑พฒั นาเดก็ ในอาเภอปากเกรด็ อาเภอบางใหญํ อาเภอบางกรวย อาเภอไทรนอ๎ ย ยกเวน๎ อาเภอเมืองนนทบุรี สวํ นศนู ยพ๑ ฒั นาเด็กในอาเภอปากเกรด็ นอกจากแตกตํางจากกับศนู ย๑พฒั นาเดก็ ใน อาเภอเมอื งนนทบุรีและศนู ยพ๑ ฒั นาเด็กอาเภอบางบัวทอง แล๎วยังแตกตาํ งกบั คาํ เฉลยี่ ของคุณภาพศูนย๑ พัฒนาเด็กอาเภอไทรนอ๎ ย การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 503

ตารางท่ี 4 ผลการประเมินศนู ยพ๑ ัฒนาเด็กองค๑การบรหิ ารสวํ นท๎องถ่ิน จงั หวัดนนทบรุ ี จาแนกตามขนาด ของศูนยพ๑ ัฒนาเดก็ ขนาด จานวน คะแนนเฉลย่ี คําสวํ นเบย่ี งเบน F Sig. ของศนู ย๑พัฒนาเดก็ มาตรฐาน 7.97** .00 1. เลก็ (1-30 คน) 41 แหงํ 69.73 52 แหงํ 72.01 10.42 2. กลาง (31-60 คน) 12 แหํง 77.58 8.47 7.35 3. ใหญํ (61-90 คน) 17 แหํง 81.51 8.39 4. ใหญพํ ิเศษ (ตง้ั แตํ 91 คนขึน้ ไป) 21,036 แหํง 71.81 9.72 ผลประเมนิ รวมทุกจงั หวดั ผลการวเิ คราะหด๑ ๎วยสถติ ิพืน้ ฐานคุณภาพภายนอกของศนู ยพ๑ ฒั นาเดก็ จาแนกตามขนาดพบวาํ ศนู ย๑พฒั นาเด็กขนาดใหญํพเิ ศษและขนาดใหญํอยใูํ นระดบั คณุ ภาพดีคือคะแนนเฉล่ีย 81.51 และ 77.58 ตามลาดบั สํวนศนู ย๑พัฒนาเดก็ ขนาดกลางและขนาดเล็ก มีคะแนนเฉล่ียอยํูในระดับคณุ ภาพพอใช๎ มีคะแนน เฉลีย่ 72.01 และ 69.73 โดยทศ่ี นู ย๑พัฒนาเดก็ ขนาดเลก็ มคี ะแนนกระจายแตกตาํ งกันระหวํางสถานศกึ ษา มากกวาํ สังกัดอ่ืน พจิ ารณาไดจ๎ ากคาํ สํวนเบีย่ งเบนมาตรฐาน 10.42 คะแนน หรือความตาํ งกันมากระหวําง คะแนนตา่ สุด 37 และสงู สดุ 93 คะแนน ผลการทดสอบความแตกตาํ งรายคํู พบวํา ศนู ย๑พฒั นาเดก็ ขนาดเล็กมีคณุ ภาพแตกตํางศูนย๑พัฒนาเดก็ ขนาดใหญํและขนาดใหญพํ ิเศษ ศูนย๑พัฒนาเดก็ ขนาดกลางมคี ุณภาพแตกตาํ งศนู ย๑พัฒนาเดก็ ขนาดใหญํ พิเศษ ทกุ คูแํ ตกตาํ งกนั อยํางมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 ขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ใหญพ่ เิ ศษ รวมทกุ จังหวดั ภาพที่ 5 คะแนนเฉลยี่ ของผลการประเมนิ ของศูนย๑พฒั นาเดก็ ขนาดตํางๆ ในจังหวดั นนทบรุ ี สรปุ ผลและอภปิ รายผลการวิจยั สรุปผลการวิจยั นาเสนอตามวัตถปุ ระสงค๑ของการวจิ ัย 2 ประการ ดงั น้ี การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 504

1. คุณภาพของศนู ย๑พฒั นาเดก็ เล็กสงั กัดองคก๑ ารบริหารสํวนท๎องถิ่น จังหวัดนนทบุรีจานวน 122 แหํง จากการประเมินคุณภาพภายนอกในภาพรวมอยูํในระดับพอใช๎ (คะแนนเฉล่ยี 73.12 คาํ สวํ นเบ่ียงเบน มาตรฐาน 9.83) ผลวิเคราะห๑เป็นรายตัวบํงชี้ พบวํา ตัวบํงช้ีที่ 1-6 เก่ียวกับคุณภาพเด็กอยํูในระดับดีคือ คะแนนเฉลี่ยมากกวําร๎อยละ 75 ตวั บํงชี้ที่ 9, 10, 11 และ 7 ที่เกี่ยวกับผลการบริหารงานของศูนย๑พัฒนา เดก็ อยูใํ นระดับพอใชค๎ ือคะแนนเฉลีย่ ระหวาํ งร๎อยละ 50-74 สํวนตวั บํงช้ีท่ี 8 และ 12 มคี ณุ ภาพอยใํู นระดับ ต๎องปรบั ปรงุ อยาํ งเรํงดํวน คอื มีคะแนนเฉล่ยี เทยี บร๎อย 33.40 และ 42.80 ตามลาดบั 2. ผลปรยี บเทยี บคณุ ภาพของศูนย๑พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค๑การบริหารสํวนท๎องถิ่นในจังหวัด นนทบุรีในอาเภอที่ต้ังตํางกัน และขนาดศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กตํางกัน พบวํา คุณภาพของศูนย๑พัฒนาเด็ก แตกตาํ งกันอยาํ ง มนี ัยสาคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 เป็นไปตามสมมติฐานท่ีต้ังไว๎ แตํศูนย๑พัฒนาเด็กที่สังกัด ตาํ งกัน พบวํามีคะแนนเฉลยี่ ไมแํ ตกตาํ งกัน อภิปรายผล ผลการวจิ ยั เร่ืองนี้ มปี ระเดน็ ทีน่ ามาอภิปราย ดังน้ี 1. ผลการประเมนิ คณุ ภาพภายนอกของศูนย๑พัฒนาเดก็ จงั หวัดนนทบรุ ี จานวน 122 แหํง มีคะแนน เฉล่ีย 73.12 คะแนนเปน็ คณุ ภาพในระดับพอใช๎ เชนํ เดียวกบั ผลการประเมินในรวมทกุ จงั หวัดที่อยํูในระดับ พอใช๎เชํนกัน (คะแนนเฉลี่ย 71.81) เม่ือจาแนกตามระดับคุณภาพ ศูนย๑พัฒนาเด็กสํวนใหญํจานวน 60 แหํง (รอ๎ ยละ 49.2) มีผลการประเมินอยใํู นระดับพอใช๎ โดยพบวํา ศูนย๑พัฒนาเด็กสังกัดเทศบาลเมืองและ เทศบาลนครมีคุณภาพอยํูในระดับดีคือ มีคะแนนเฉล่ีย 77.47 และ 76.34 ตามลาดับ สํวนศูนย๑พัฒนา สังกัดเทศบาลตาบลและองคก๑ ารบริหารสวํ นตาบลมคี ะแนนเฉลี่ยอยํูในระดับคุณภาพพอใช๎ มีคะแนนเฉลี่ย 74.03 และ 71.49 ตามลาดบั ทเี่ ปน็ เชนํ นี้อาจจะเป็นเพราะเทศบาลเมอื งและเทศบาลนคร มสี ถานศกึ ษา ในสังกัดนอกเหนือจาก ศูนย๑พัฒนาเด็กแล๎วยังมีสถานศึกษาท่ีจัดการศึกษาในระดับการศึกษาภาคบังคับ จึงนาํ จะมคี วามพร๎อมในดา๎ นบคุ ลากร งบประมาณ การบริหารพัสดุ การจัดทาแผนงานโครงการ เป็นต๎น สอดคลอ๎ งกับรายงานผลการสังเคระห๑ผลประเมินการประมาณคณุ ภาพศูนย๑พัฒนาเด็กเล็กของ สมศ และ คาให๎สมั ภาษณข๑ องนักวิชาการองคก๑ ารบริหารสํวนตาบลในจังหวดั นนทบรุ ี ท่ีเป็นบุคลากรทางานเก่ียวข๎อง กบั การจัดการศึกษาศูนยพ๑ ัฒนาเด็กกลาํ ววํา มีศูนย๑พฒั นาเดก็ เปน็ ศนู ยข๑ นาดเล็ก ไมํมีผู๎บริหาร ซ่ึงหน๎าที่ใน สํวนการบริหารครพู ี่เลยี้ งชวํ ยกนั ทา แบํงเบาภาระงานกนั นอกจากนน้ั เทศบาลเมอื งและเทศบาลนครยังอยํู เขตอาเภอทม่ี คี วามเจริญคือ อาเภอเมืองนนทบุรีและอาเภอปากเกร็ด ผ๎ูปกครองของเด็กในท๎องถ่ินสํวน ใหญํรายได๎ดี สามารถสนับสนนุ การศกึ ษาและมีความพร๎อมในการดูแลบตุ รหลานของตน 2. ผลวเิ คราะห๑คุณภาพเป็นรายตัวบงํ ชี้ ของศนู ยพ๑ ัฒนาเด็ก พบวาํ ตัวบํงชีท้ ่ีมีคุณภาพอยํใู นระดบั ต๎องปรับปรุงอยํางเรํงดํวน มี 2 ตัวบํงชี้ คือ ตัวบํงช้ี 8 ประสิทธิผลของระบบการประกันคุณภาพภายใน และ 12 ผลการพัฒนาสถานศกึ ษาให๎มคี ุณภาพตามนโยบายการปฏิรูปการศึกษา มีคะแนนเฉล่ียเทียบร๎อย การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 505

33.40 และ 42.80 ตามลาดับ ดังน้ันสองตัวบํงชี้น้ีสถานศึกษาต๎องดาเนินการให๎เป็นไปตามเกณฑ๑การ พจิ ารณาของแตํละตัวบงํ ช้ี ดงั น้ี สาหรับตัวบํงช้ี 8 ประสิทธิผลของระบบการประกันคุณภาพภายใน เกณฑ๑การพิจารณามี 5 รายการ ดังน้ัน สถานศึกษาต๎องดาเนินการตามตัวบํงชี้ยํอยเหลํานี้ คือ ประการแรก สถานศึกษาต๎องวาง แผนการปฏิบัติงานที่ครอบคลุมทุกป๓จจัยท่ีสํงผลตํอคุณภาพการศึกษารวมถึงการวางแผนการจัดระบบ บริหารและสารสนเทศทีม่ ปี ระสิทธภิ าพ ประการตอํ มาคอื ปฏิบตั ิตามแผนนเิ ทศติดตามประเมินผลและนา ผลมาเปรียบเทยี บกับเปาู หมายตามแผนอยาํ งตํอเนื่อง โดยการนาข๎อมูลและผลการประเมินไปใช๎เพ่ือการ ตัดสินใจและปรบั ปรุงพัฒนางานตามพันธกิจให๎เกิดผลดี ต๎องมีการประเมินระบบประกันคุณภาพภายใน อยํางน๎อยปีละ 1 คร้ังโดยใช๎หลักการมีสํวนรํวมการตรวจสอบถํวงดุลและเสนอผลลัพธ๑ของการประกัน คุณภาพตอํ หนวํ ยงานท่ีมีหนา๎ ทก่ี ากับดูแลสถานศึกษา และประการสาคญั คือ การจัดทารายงานประจาปีท่ี เป็นรายงานการประเมินตนเองอยาํ งมีคณุ ภาพสามารถรองรับการประเมินคุณภาพภายนอก นอกจากนั้น การดาเนนิ การประกนั คณุ ภาพภายในของสถานศึกษาครอบคลมุ ตวั บงํ ช้ีตามกฎกระทรวงฯ ต๎องยดึ หลกั การ มีสํวนรํวมของชุมชนและหนํวยงานที่เก่ียวข๎องท้ังภาครัฐและภาคเอกชน โดยการสํงเสริมสนับสนุนและ กากับดูแลของหนํวยงานต๎นสังกัด ผลการประเมินคุณภาพภายในจากต๎นสังกัด จะสามารถสะท๎อน ประสิทธิผลของคณุ ภาพการดาเนนิ งานด๎านตํางๆ ของสถานศึกษา ตัวบํงช้ีท่ี 12 ผลการสํงเสริมพัฒนาสถานศึกษาให๎มีคุณภาพตามนโยบายการปฏิรูปการศึกษา สถานศึกษาา1) มีแผนการดาเนินงานประจาปีตามมาตรการที่นามาปรับปรุงและพัฒนาเพื่อมํุงไปสูํ สถานศึกษาทม่ี ีคณุ ภาพโดยใชข๎ ๎อเสนอแนะจากผลการประเมนิ คณุ ภาพภายในจากตน๎ สงั กัดหรือหนํวยงานท่ี กากับดูแลสถานศึกษา 2) มีข๎อตกลงรวํ มกนั ระหวาํ งสถานศกึ ษาและหนวํ ยงานตน๎ สังกัดหนํวยงานสนับสนุนและ หนํวยงานอ่นื ๆ ท้ังเปน็ ลายลกั ษณ๑อกั ษรหรือมขี อ๎ มูลเชงิ ประจักษ๑ 3) มกี ารดาเนนิ งานอยํางเป็นระบบครบวงจร คุณภาพ (PDCA) 4) มีผลการดาเนินงานบรรลเุ ปาู หมายตามแผนการดาเนนิ งานประจาปีไมํต่ากวําร๎อยละ 80 5) มีผลกระทบตอํ คณุ ภาพของสถานศกึ ษาตามแนวทางการปฏิรปู การศึกษาในทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552- 2561) 3. ผลการเปรยี บเทยี บคุณภาพจากการประเมินภายนอกของศูนย๑พัฒนาเด็ก ระหวํางอาเภอท่ีตั้ง ของศูนย๑พัฒนาเด็กด๎วยการวิเคราะห๑ความแปรปรวน พบวําศูนย๑พัฒนาเด็กของอาเภอท่ีต้ังตํางกัน คุณภาพของศูนย๑พัฒนาเดก็ ก็แตกตํางกันอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 (F =3.38, p values=.007) เป็นไปตามสมมติฐานท่ีตั้งไว๎ โดยท่ีศูนย๑พัฒนาเด็กบางบัวทองและเมืองนนทบุรีอยํูในระดับคุณภาพดี มี คะแนนเฉล่ีย 78.39 และ 75.87 ตามลาดับ สํวนศูนย๑พัฒนาเด็กในอาเภออ่ืนๆ มีคะแนนเฉลี่ยอยํูในระดับ คุณภาพพอใช๎ การท่ีเป็นเชํนนี้อาจจะเป็นเพราะ ศูนย๑พัฒนาเด็กในอาเภอบางบัวทองสํวนใหญํร๎อยละ 66.7 มีคุณภาพอยูํในระดับคุณภาพดีมากกวําทุกอาเภอ และไมํมีศูนย๑พัฒนาเด็กที่มีคุณภาพอยูํใน ต๎อง ปรบั ปรุงและตอ๎ งปรบั ปรุงเรํงดํวน สํวนศูนย๑พัฒนาเดก็ ในอาเภอปากเกร็ดสวํ นใหญํร๎อยละ 48.1 มีคุณภาพ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 506

อยูํในระดับคุณภาพพอใช๎ และมีศูนย๑พัฒนาเด็กที่มีคุณภาพอยูํในต๎องปรับปรุงและต๎องปรับปรุงเรํงดํวน รวมกนั ถงึ รอ๎ ยละ 22.2 มากกวําทุกอาเภอ 4. ผลการเปรียบเทียบคุณภาพจากการประเมินภายนอกของศูนย๑พัฒนาเด็ก ระหวํางขนาดของ ศูนย๑พัฒนาเด็กด๎วยการวิเคราะห๑ความแปรปรวนทางเดียว พบวํา ศูนย๑พัฒนาเด็กท่ีมีขนาดตํางกัน คุณภาพของศูนย๑พัฒนาเด็กก็แตกตํางกันอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 (F =7.973, p values= 0.00) เป็นไปตามสมมติฐานท่ีต้ังไว๎ และเม่ือทดสอบความแตกตํางคุณภาพของศูนย๑พัฒนาเด็กเป็นรายคํู พบวํา ศูนย๑พัฒนาเด็กขนาดเล็กมีคุณภาพแตกตํางศูนย๑พัฒนาเด็กขนาดใหญํและขนาดใหญํพิเศษ ศูนย๑ พฒั นาเดก็ ขนาดกลางมคี ุณภาพแตกตํางศูนย๑พฒั นาเดก็ ขนาดใหญํพิเศษ ทุกคํูแตกตํางกันอยํางมีนัยสาคัญ ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 โดยที่ศูนยพ๑ ัฒนาเดก็ ขนาดใหญํพิเศษมีคะแนนสูงสุด มากกวําศูนย๑พัฒนาเด็ก ขนาด ใหญํ ขนาดกลาง และขนาดเล็กปรากฏผลคะแนนเรียงลาดับคะแนนจากมากท่ีสุดไปน๎อยที่สุดตามลาดับ ขนาดของศนู ย๑พฒั นาเด็กสอดคล๎องกับรายงานความก๎าวหน๎าการวิจัยโครงการสังเคราะห๑ผลการประเมิน คุณภาพภายนอกรอบสาม (พ.ศ. 2554-2558) ของศูนย๑พัฒนาเด็กท่ีดาเนินการโดยสานักงานรับรอ ง มาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศึกษา(องคก๑ ารมหาชน) (2559) และสอดคล๎องกับท่ีสานักวิชาการและ มาตรฐานการศึกษา สพฐ.ได๎ ทาการประเมินพัฒนาการนักเรียนท่ีจบหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พบวํา เดก็ ในสถานศกึ ษาขนาดใหญํมีพฒั นาการดีกวําสถานศึกษาขนาดเล็ก การที่เป็นเชํนน้ีเป็นเพราะวํา ศูนย๑ พัฒนาเดก็ ขนาดเลก็ ทค่ี ร/ู ผเู๎ ลย้ี งดเู ดก็ มจี านวนนอ๎ ย บางแหงํ ไมมํ ีผบ๎ู รหิ ารศนู ย๑ ดงั น้ันคร/ู ผ๎ูเล้ียงดูเด็กต๎อง ทางานหลายด๎าน ศูนย๑พัฒนาเด็กกระจายอยูํในพื้นท่ีเขตวัด แหลํงด๎อยโอกาสขาดแคลน เด็กขาดความ ตอํ เน่ืองในการเรยี นร๎ู จงึ ทาใหศ๎ ูนย๑พัฒนาเด็กขนาดเล็กได๎รับผลการประเมินต่ากวําศูนย๑พัฒนาเด็กขนาด ใหญพํ ิเศษ ขนาดใหญํ สวํ นมากมคี วามพร๎อมในทุกๆ ด๎าน มีผ๎ูบริหารท่ีดาเนินงานบริหารศูนย๑พัฒนาเด็ก ตามศาสตรก๑ ารบรหิ าร รวมถงึ ตัวคร/ู ผเู๎ ลี้ยงดูเด็กมักจะเป็นผู๎ที่มีวุฒิการศึกษาและความสามารถไมํตรงกับ บทบาทหน๎าทใ่ี นการสอน ไมมํ กี าลังคนเพยี งพอที่จะดาเนนิ งานในดา๎ นตํางๆ ศิรกิ ลุ อศิ รานรุ กั ษ๑ และคณะ. (2550) กลาํ วไว๎ในงานวิจัยขององคก๑ รปกครองสํวนท๎องถนิ่ (อปท.) วาํ ขนาดใหญํจะมที นุ สนบั สนนุ มอี าคาร สถานที่ วสั ดอุ ุปกรณ๑เพียงพอมากกวํา อปท.ขนาดเลก็ ดว๎ ยความพร๎อมด๎านตํางๆ ที่ทาให๎ศูนย๑พัฒนาเด็กที่ ขนาดใหญํกวํามศี กั ยภาพในการดาเนนิ งานทาให๎ผลการประเมนิ ทีศ่ ูนยพ๑ ฒั นาเดก็ ขนาดใหญพํ ิเศษและขนาด ใหญํจะมคี ะแนนสงู สดุ มากกวาํ ศูนยพ๑ ัฒนาเดก็ ขนาดอื่นๆ ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะสาหรับการนาผลวิจัยไปใช้ 1. หนวํ ยงานทีเ่ ปน็ ต๎นสังกดั ศูนยพ๑ ฒั นาเด็กมผี ลการประกันคุณภาพภายนอกของศูนย๑พัฒนาเด็ก อยูํในระดับ “ตอ๎ งปรับปรุงและต๎องปรับปรุงเรํงดํวน” จานวน 10 ศูนย๑จากทั้งหมด 122 ศูนย๑หรือร๎อยละ 10.8 ของศนู ย๑พัฒนาเด็ก ควรวิเคราะห๑ค๎นหาข๎อบกพรํองข๎อจากัดของศูนย๑พัฒนาเด็ก และควรได๎รับการ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 507

พฒั นาเสรมิ แรงดา๎ นตาํ งๆ อาทิ การสนับสนุนทรัพยากรพ้นื ฐานท่ีจาเปน็ การจัดต้งั กองทนุ ชวํ ยเหลอื เดก็ การ พัฒนาบคุ ลากรครผู ๎ูดูแลเดก็ และผู๎บริหาร การตดิ ตามความกา๎ วหนา๎ พฒั นาการของศนู ย๑พัฒนาเด็ก เป็นตน๎ 2. ผลการประเมนิ เป็นรายตวั บงํ ช้ี พบวาํ ตวั บงํ ช้ีที่ 8 ประสิทธิผลของระบบการประกันคุณภาพ ภายใน ศูนยพ๑ ฒั นาเด็กในทุกสังกัดมีคุณภาพอยูํในระดับต๎องปรับปรุงอยํางเรํงดํวน มีคะแนนเฉลี่ยเทียบ รอ๎ ย 33. 40 หนํวยงานทเ่ี ป็นต๎นสงั กดั ควรติดตามให๎ สถานศึกษาจัดให๎มีระบบการประกันคุณภาพภายใน สถานศึกษาที่ประกอบดว๎ ย 1) วางแผนการปฏิบัติงานที่ครอบคลุมทุกป๓จจัยที่สํงผ ลตํอคุณภาพการศึกษา รวมถงึ การวางแผนการจดั ระบบบรหิ ารและสารสนเทศท่ีมีประสิทธิภาพ 2) ปฏิบัติตามแผนนิเทศติดตาม ประเมินผลและนาผลมาเปรยี บเทยี บกับเปาู หมายตามแผนอยาํ งตอํ เนื่อง 3) นาข๎อมูลและผลการประเมนิ ไป ใช๎เพื่อการตดั สนิ ใจและปรบั ปรงุ พฒั นางานตามพันธกิจให๎เกิดผลดี 4) ประเมินระบบประกันคุณภาพของ สถานศึกษาโดยใช๎หลักการมีสํวนรํวมการตรวจสอบถํวงดุลและเสนอผลลัพธ๑ของการประกันคุณภาพตํอ หนํวยงานท่มี หี นา๎ ทก่ี ากับดูแลสถานศึกษาอยํางน๎อยปีละ 1 ครั้ง 5) จัดทารายงานประจาปีที่เป็นรายงาน การประเมินตนเองอยํางมีคุณภาพสามารถรองรับการประเมิ นคุณภาพภายนอกและให๎ถือวําการประกัน คุณภาพภายในเป็นสวํ นหน่งึ ของกระบวนการบรหิ ารการศึกษาทีต่ ๎องดาเนินการอยาํ งตํอเนื่อง 3. ผลการประเมินตัวบํงชท้ี ี่ 12 ผลการพัฒนาสถานศึกษาให๎มีคุณภาพตามนโยบายการปฏิรูป การศึกษา พบวําศูนย๑พัฒนาเด็กเกือบทุกสังกัดมีคุณภาพอยูํในร ะดับต๎องปรับปรุงอยํางเรํงดํวน คือ มี คะแนนเฉลย่ี เทียบร๎อย 42.80 หนํวยงานที่เป็นต๎นสังกัดและศูนย๑พัฒนาเด็กศึกษาแนวทาง วิธีการในการ ดาเนินงานการจัดการศึกษาในทงั้ สองตัวบงํ ชี้ หนวํ ยงานที่เป็นต๎นสังกัดควรติดตามให๎ความชํวยเหลือ เติม เตม็ แนะนาและจัดทรพั ยากรส่งิ อานวยความสะดวกสาหรับการปฏบิ ัติงาน เพอื่ ให๎ศูนย๑พัฒนาเด็กคุ๎นชินกับ การประกันคุณภาพการศึกษาท่ีเป็นสํวนหน่ึงการบริหารจัดการศึกษา และพัฒนาศูนย๑พัฒนาเด็กให๎มี คณุ ภาพตามนโยบายการปฏริ ปู การศึกษา 4. หนํวยงานท่ีเป็นต๎นสังกัด/กากับดูแลศูนย๑พัฒนาเด็ก ควรดาเนินงานตามมา ตรฐานข้ันต่าท่ี เหมอื นกนั และควรมมี าตรการการกากบั ตดิ ตาม เสรมิ แรงศูนย๑พฒั นาเด็ก โดยเฉพาะศูนย๑พัฒนาเด็กท่ีจัด ให๎บริการการศึกษากับกลุํมเด็กแรกเกิดถึง 2 ปี มีแนวโน๎มท่ีเพิ่มขึ้นเร่ือยๆ ดังนั้นควรมีการวางแผน ประสานความรํวมมอื ระหวํางหนวํ ยงานหลกั ในการดูแลให๎บริการการศึกษากับกลมํุ เด็กแรกเกิดถงึ 2 ปีอยําง คณุ ภาพ 5. หนํวยงานท่ีเป็นต๎นสังกัด/กากับดูแลศูนย๑พัฒนาเด็ก หรือศูนย๑พัฒนาเด็กขนาดใหญํท่ีมีความ พร๎อมในการสร๎างระบบสารสนเทศการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา เกี่ยวกับศูนย๑พัฒนาเด็ก ทั้งข๎อมูลผ๎ูเรียน ข๎อมูลบุคลากร และขอ๎ มลู สถานศึกษา ทจี่ ดั เก็บอยํางเป็นระบบในรปู แบบแฟมู เอกสารและในคอมพิวเตอร๑ โดยต๎องหมั่นตรวจสอบความถูกต๎อง ความเป็นป๓จจุบันและใช๎ประโยชน๑ได๎รวดเร็ว เพ่ือนาไปในการ วางแผน นโยบาย การดาเนนิ การ ตลอดการตดั สินใจตํางๆ เชนํ บริบทศูนย๑ บนั ทกึ สุขภาพอนามยั ของเดก็ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 508

ขอ้ เสนอแนะในการวิจัยครั้งตอ่ ไป 1. ควรศกึ ษาเกีย่ วกบั ทัศนคติของผูป๎ กครองและชมุ ชนที่มตี ํอการประกันคุณภาพการศึกษา ซึ่ง การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาเปน็ สํวนหนง่ึ ในการเสริมสรา๎ งประสทิ ธิภาพ และสามารถสรา๎ งความนาํ เช่ือถือ ของศนู ย๑พัฒนาเด็ก 2. ควรศึกษาป๓จจยั หรือสาเหตุท่มี อี ิทธพิ ลตํอคณุ ภาพของศนู ยพ๑ ัฒนาเดก็ คณุ ภาพของศูนย๑พัฒนา เด็กสงั กัดองคก๑ ารบริหารสํวนทอ๎ งถิน่ จงั หวดั นนทบรุ ี 3. ควรศกึ ษาผลการประเมินคุณภาพภายนอกของศูนย๑พัฒนาเด็ก สังกัดองค๑การบริหารสํวน ท๎องถนิ่ จงั หวดั นนทบรุ ีในระดบั อืน่ ๆ เชนํ ระดับปฐมวยั และระดับประถมศกึ ษา 4. ควรศกึ ษาบทบาทของผ๎บู ริหารองค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่นตอํ การสํงเสรมิ การมสี วํ นรวํ มของ ผป๎ู กครองในศนู ยพ๑ ัฒนาเดก็ เลก็ เอกสารอา้ งองิ กรมสํงเสริมการปกครองท๎องถน่ิ , กระทรวงมหาดไทย. (2553). มาตรฐานการดาเนินงาน ศูนย์พัฒนาเด็ก เล็กขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ .กรุงเทพมหานคร : กรมสํงเสริมการปกครองท๎องถน่ิ . บุญรกั ษา เมืองซิว (2559). รูปแบบการบรหิ ารงานวชิ าการศูนยพ์ ัฒนาเด็ก สงั กัดองคก์ รปกครองส่วน ทอ้ งถ่ิน จังหวัดอุตรดติ ถ์. วิทยานิพนธป๑ รญิ ญาครศุ าสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ าร การศกึ ษา: คณะครศุ าสตร๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดติ ถ๑. ศิริกุล อิศรานรุ ักษ๑ และคณะ. (2550). การประเมนิ การจดั ระบบบริการในศนู ยพ์ ัฒนาเดก็ เลก็ ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น. นครปฐม : สถาบนั พฒั นาการสาธารณสุขอาเซยี น มหาวิทยาลัยมหิดล. ศิรศิ ลิ ป์ บุตรจันทร๑. (2553). การดาเนนิ งานของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กภายใต้กากบั การดแู ลองคก์ รปกครอง ส่วนท้องถิ่น กรณีศกึ ษาองค์การบรหิ ารส่วนตาบลเปาู อาเภอตระการพชื ผล จงั หวดั อุบลราชธานี. วทิ ยานิพนธ๑รัฐประศาสนศาสตรมหาบณั ฑิต คณะรฐั ศาสตร๑ มหาวิทยาลัย อบุ ลราชธานี สมใจ พรมทองบญุ .) 2559). ประสทิ ธิผลการดาเนินงานศูนย์พฒั นาเด็ก สังกดั องค์กรปกครองสว่ น ท้องถ่ิน ในเขตพื้นท่ีอาเภอเทพา จงั หวดั สงขลา. ปรญิ ญาศกึ ษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ า การบริหารการศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร๑: มหาวทิ ยาลัยหาดใหญํ สิรยิ ากร กองทอง. (2559). กลยุทธ์การพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในศูนย์พัฒนาเด็กท่ีมุ่งเน้น แนวคิดการทางานทางสมองด้านการบริหารจัดการ. วิทยานิพนธ๑ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวชิ าการบรหิ ารการศกึ ษา: คณะครศุ าสตร๑ จุฬาลงกรณ๑มหาวทิ ยาลัย. การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 509

สภุ าพรรณ บญุ พันธ.๑ )2559). การประกนั คุณภาพศูนย์ศึกษาปฐมวัย สังกดั สานักงานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษา ประถมศกึ ษานครศรีธรรมราชเขต 3. วิทยานิพนธส๑ าขาวิชาการบริหารการศกึ ษา คณะ ศึกษาศาสตร๑ มหาวทิ ยาลยั นครราชสีมา. สานกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสรุ าษฎรธ๑ านี เขต 2. (2557). รายงานการสังเคราะหร์ ายงาน ประจาปขี องสถานศกึ ษา ประจาปกี ารศกึ ษา 2557. เอกสารอดั สาเนา. สานักงานรบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศึกษา (องค๑กรมหาชน). (2554). คู่มอื ประเมินคณุ ภาพ ภายนอกรอบสาม (พ.ศ.2554-2558) ระดับการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน ฉบับสถานศกึ ษา พ.ศ.2554. กรุงเทพฯ : บริษทั แมท็ ชพ๑ อยท.๑ อรณชิ ทวชิ าตานนท.๑ (2557). สภาพและปญั หาการดาเนินงานการประกนั คณุ ภาพภายในตาม มาตรฐาน ศูนย์เด็กเลก็ แหง่ ชาตขิ องศูนยพ์ ัฒนาเด็กกอ่ นวยั เรยี น กรงุ เทพมหานคร. วทิ ยานิพนธป๑ รญิ ญา ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการศกึ ษาปฐมวัย: คณะครศุ าสตร๑ จุฬาลงกรณม๑ หาวิทยาลยั . McKinley, K.H. (1999). Metaevaluation re port of the Michigan Public School Academy lnitiative. The Evaluation Center. Western Michigan University Available: http://www.wmich/edu/eavlcrt/charter/reports/metaeval.html. Scott-little,C.,Hamann. M.S. and jurs, S.J. (2002). Evaluations of after-school programs: a Meta-evaluation of methodologies and narrative synthesis of findings. The America Journal of Education. 23(4): 387-419. Shultz Tom (1996) Developing thinking and understanding in young children. London: Routledge. การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 510

รูปแบบการเสริมสร้างคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ของนักเรียนโรงเรียนบ้านขามหนองแวง สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต 6 อุไรรัตน๑ ทพิ ยเนตร* บทคดั ยอ่ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค๑เพื่อพัฒนารูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของ นักเรยี นโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 และ เพ่ือหาประสิทธิผลของรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขาม หนองแวง สานกั งานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต 6 กลํมุ ตวั อยําง คือนักเรยี นโรงเรยี น บ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ปีการศึกษา 2559 จานวน 38 คน การวิจัยแบงํ เป็น 4 ข้นั ตอน คอื ขั้นตอนท่ี 1 จัดสนทนากลุํมเพ่ือกาหนดคุณลักษณะอันพึง ประสงคข๑ องนักเรยี นโรงเรยี นบา๎ นขามหนองแวง สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ข้ันตอนท่ี 2 สร๎างรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขาม หนองแวง สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ข้ันตอนท่ี 3 ประเมินความ เหมาะสมของรปู แบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต 6 ขนั้ ตอนที่ 4 หาประสิทธิผลของรูปแบบการ เสรมิ สร๎างคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค๑ ของนกั เรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษา ประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 โดยประสทิ ธิผลของรูปแบบพจิ ารณาจากคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ของ นักเรียน ความพงึ พอใจของผู๎ปกครอง ความพงึ พอใจของนักเรยี น เครอื่ งมือทใี่ ช๎ในการวิจยั ประกอบด๎วย 1) แบบประเมินความเหมาะสมความเป็นไปได๎ของรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ 2) แบบ ประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงคข๑ องนกั เรียน 3) แบบวัดความพึงพอใจของผ๎ูปกครองท่ีมีตํอรูปแบบการ เสริมสร๎างคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค๑ 4) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีตํอรูปแบบการเสริมสร๎าง คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค๑ วเิ คราะห๑ขอ๎ มูลโดย คานวณคาํ เฉลย่ี คาํ เบี่ยงเบนมาตรฐาน คาํ สัมประสิทธิ์ของ ความแปรผัน คาสาคัญ : คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค๑ ; โรงเรยี นขนาดเล็ก ; การพัฒนารปู แบบ * ผูอ๎ านวยการโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 เปรียบเทยี บคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค๑ของนักเรียนกํอนกบั หลงั การใช๎รูปแบบ โดยใช๎ t-test (Dependent Samples) การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 511

ผลการวจิ ัย 1. รูปแบบการเสรมิ สรา๎ งคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค๑ ของนกั เรยี นโรงเรียนบา๎ น ขามหนองแวง สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษานครราชสมี า เขต 6 ทพ่ี ฒั นาขน้ึ มีองค๑ประกอบ 5 ประการ คอื 1) แนวคดิ พื้นฐานของรูปแบบ 2) วตั ถุประสงค๑ของรปู แบบ 3) สาระสาคัญ 4) แนวทางการปฏบิ ัติ 5) การประเมินผล โดยมกี จิ กรรม 10 ประการ คอื (1) รักชาติ ศาสน๑ กษัตริย๑ (2)มีวินัย (3) ใฝุเรียนรู๎ (4) อยูํอยํางพอเพียง (5) มีความรับผิดชอบ (6) ซ่ือสัตย๑สุจริต (7) มีจิต สาธารณะ (8) มุํงมัน่ ในการทางาน (9)ทางานเปน็ ทีม (10) รท๎ู นั เทคโนโลยี 2. นักเรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 มีคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค๑ หลงั การใชร๎ ปู แบบการเสริมสรา๎ งคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค๑ สงู กวาํ กํอน ใชร๎ ูปแบบอยํางมนี ยั สาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .01 3. ผู๎ปกครองมคี วามพึงพอใจคุณลักษณะอนั พึงประสงค๑ของนกั เรียนโรงเรียน บ๎านขามหนองแวง ในระดบั มากท่สี ุด 4. นกั เรยี นมคี วามพึงพอใจตํอรูปแบบการเสริมสร๎างคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค๑ ในระดบั มาก ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา การเปลย่ี นแปลงทางเศรษฐกจิ และสังคมโลก ความก๎าวหน๎าทางเทคโนโลยีและกระแสโลกาภิวัตน๑ ทาให๎ประเทศตอ๎ งเผชญิ กบั สภาวะการแขํงขนั จึงจาเป็นต๎องพฒั นาคนของประเทศใหเ๎ ปน็ ทรัพยากรมนุษย๑ท่ี มคี ณุ ภาพเพ่อื ใหส๎ ามารถรบั มอื กับสงิ่ ตาํ งๆ ได๎ ดงั นั้นพระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหํงชาติ พุทธศักราช 2542 และแก๎ไขเพิม่ เตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2553 ได๎บัญญัติมาตราเพ่ือเป็นกรอบและ แนวทางในการจัดการศึกษาและปฏิรูปการศึกษา เพื่อพัฒนาคนไทยให๎เป็นมนุษย๑ท่ีสมบูรณ๑ทุกด๎านและ สามารถอยูํรํวมกับผ๎ูอ่ืนได๎อยํางมีความสุข ดังนั้นการจัดการศึกษาต๎องให๎ความสาคัญท้ังความร๎ูแล ะ คุณลักษณะอันพึงประสงค๑ของนักเรียน บูรณาการการจัดการศึกษาตามความเหมาะสม จัดกิจกรรมให๎ สอดคล๎องกับบริบทและความถนัด ความสนใจ โดยเรียนร๎ูจากประสบการณ๑จริง การฝึกปฏิบัติซึ่งมีการ ผสมผสานสาระความร๎ูตาํ งๆไดอ๎ ยํางสมดุลกัน รวมท้ังปลกู ฝ๓งคุณธรรมและคาํ นยิ มทด่ี งี ามและคุณลักษณะอัน พงึ ประสงคใ๑ ห๎กับผู๎เรยี น (ไพฑรู ย๑ สินลารตั นแ๑ ละคณะ, 2553) สถานการณแ๑ ละปญ๓ หาของเด็กและเยาวชนไทยทกุ วนั นก้ี าลังเผชิญกบั ความเส่ยี งอนั เกดิ จากสงั คม ส่ิงแวดลอ๎ ม และวัฒนธรรม อันตรายที่ล๎อมรอบตวั เดก็ เด็กและเยาวชนจานวน มากซึมซบั พฤติกรรมความรุนแรง สอื่ ลามกอนาจาร เสพยาเสพย๑ติด รวมท้ังมเี พศสมั พันธก๑ ํอนวัยอันควร ซึ่ง พฤติกรรมดงั กลําวกลายเป็นสวํ นหน่ึงของชีวติ เดก็ และเยาวชน ซ่งึ ปญ๓ หาสาคญั ทเ่ี กิดกับเยาวชนทจ่ี าเป็นตอ๎ ง แกไ๎ ขอยํางเรงํ ดํวน ได๎แกํ ความฟุูงเฟอู ขาดความมีวินัย ขาดความรับผิดชอบ ขาดความรํวมมือกับชุมชน มี การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 512

กิรยิ ามารยาทที่ก๎าวร๎าว ขาดความเคารพเช่ือฟ๓ง ไมํปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ใช๎เวลาวํางใน การเลํนเกม ตดิ เพื่อน มว่ั สมุ เลนํ การพนัน ตดิ บหุ รี่ และอ่ืนๆ (สมพงษ๑ จติ ระดบั , 2551) การจัดการเรียนรู๎ให๎กับนักเรียนในระดับประถมศึกษานอกจากมํุงเน๎นในการพั ฒนาสมองท้ังซีก ซ๎ายและซกี ขวา ใหพ๎ ฒั นาเตม็ ศกั ยภาพของแตลํ ะคนแล๎ว การพัฒนาคุณลักษณะ อันพึงประสงค๑เป็นเร่ืองที่ สาคัญอีกเร่อื งหนง่ึ ทีต่ อ๎ งให๎ความสาคญั เพราะผเู๎ รยี นในระดบั ประถมศึกษา เป็นวัยที่ต๎องไดร๎ บั การพัฒนาพน้ื ฐานทางดา๎ นจิตใจที่ดีงาม เพื่อเติบโตไปเป็นพลเมืองที่ดีของ ชาติในอนาคต ผู๎เรียนในระดับน้ีมีป๓ญหาด๎านพฤติกรรมมากเพราะเป็นวัยท่ีกาลังเรียนรู๎ กาลังปรับตัวกับ สังคมท่ีมตี ัวอยํางทด่ี แี ละไมํดอี ยูใํ นส่ิงแวดลอ๎ มท่ีไมํดกี ็จะซมึ ซับ สง่ิ ท่ีไมํดี จึงเปน็ หน๎าท่ีของสถานศึกษาทจี่ ะตอ๎ งจดั สภาพแวดลอ๎ มกลอํ มเกลาใหผ๎ ๎เู รียน มคี ณุ ลักษณะอนั พึงประสงคท๑ ่สี ังคมต๎องการ (สุรนิ ชุมสาย ณ อยธุ ยา, 2553) ซึ่งพระราช บัญญตั ิการศกึ ษาแหํงชาติพทุ ธศกั ราช 2542 และแกไ๎ ขเพ่ิมเตมิ (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 ได๎กาหนดแนวทางในการจัดการศึกษาเพ่ือให๎ผู๎เรียนอยูํในสังคมได๎อยํางมีความสุขโดยการมํุงเน๎นให๎ สังคมทกุ ภาคสวํ นเขา๎ มามบี ทบาทในการจัดการศกึ ษา โรงเรยี นบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 เป็น โรงเรียนขนาดเล็ก ต้ังอยูํชานเมืองของอาเภอบัวใหญํ จังหวัดนครราชสีมา หํางจากอาเภอบัวใหญํ 1 กิโลเมตร จากการศึกษาพฤติกรรมดา๎ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข๑ อง นักเรียนยังไมํเปน็ ท่ีนําพอใจ เนือ่ งจาก นกั เรียนสวํ นใหญมํ คี ณุ ลักษณะอันพงึ ประสงคไ๑ มเํ ปน็ ไปตามทคี่ าดหวัง ของโรงเรียนและชมุ ชน นักเรียนใช๎เงินเกินตัว ขาดความมีวินัย ขาดความรับผิดชอบ ขาดความรํวมมือกับ ชมุ ชน นยิ มเทคโนโลยใี หมๆํ ซงึ่ เปน็ ปญ๓ หาทตี่ อํ เน่อื งกันมายาวนาน จากสภาพและป๓ญหาดังกลําว ผ๎ูวิจัยใน ฐานะผู๎อานวยการโรงเรียนจึงได๎พัฒนารูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียน โรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ข้ึน เพื่อให๎ นกั เรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงคต๑ ามความตอ๎ งการของโรงเรียน และเพอ่ื ให๎นกั เรยี นเป็นเยาวชนท่ีดีของ ครอบครวั ชมุ ชน และอยํูในสังคมไดอ๎ ยํางมคี วามสขุ บนพื้นฐานของความเปน็ ไทยตํอไป วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 1. เพ่ือพัฒนารูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขาม หนองแวง สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต 6 2. เพ่ือหาประสิทธผิ ลของรูปแบบการเสรมิ สรา๎ งคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค๑ ของนกั เรียนโรงเรียน บา๎ นขามหนองแวง สานักงานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษานครราชสมี า เขต 6 การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 513

วิธดี าเนินการวิจัย การวจิ ัยครง้ั นด้ี าเนินการ 4 ขัน้ ตอนดงั น้ี ขั้นตอนท่ี 1 จัดสนทนากลุํมเพ่ือกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขาม หนองแวง สานักงานเขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต 6 ขั้ น ต อ น น้ี ผ๎ู วิ จั ย ศึ ก ษ า เอกสารและงานวิจยั ท่ีเกี่ยวขอ๎ งกับคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ และจัดสนทนากลํุมโดยเชิญคณะกรรมการ สถานศกึ ษา ผ๎ูปกครองนักเรยี น มารํวมกันให๎ขอ๎ คดิ เห็นและกาหนดคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงคท๑ ต่ี อ๎ งการของ นักเรียนโรงเรยี นบ๎านขามหนองแวง 10 ประการ คือ (1) รักชาติ ศาสน๑ กษัตริย๑ (2)มีวินัย (3) ใฝุเรียนร๎ู (4) อยูํอยํางพอเพียง (5) มีความรับผิดชอบ (6) ซื่อสัตย๑สุจริต (7)มีจิตสาธารณะ (8) มุํงมั่นในการทางาน (9)ทางานเป็นทีม (10) รทู๎ นั เทคโนโลยี ข้ันตอนที่ 2 สรา๎ งรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขาม หนองแวง สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศกึ ษานครราชสีมา เขต 6 ขนั้ ที่ 1 สัมภาษณผ๑ ูท๎ รงคุณวฒุ ิ จานวน 7 ทําน เกยี่ วกบั คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค๑ 10 ประการที่ได๎ จากการสนทนากลมํุ และการพฒั นารูปแบบการเสรมิ สร๎างคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค๑ ขั้นท่ี 2 นาผลจากการสัมภาษณ๑ และการสังเคราะห๑เอกสารที่เก่ียวข๎องกับคุณลักษณะอันพึง ประสงค๑ 10 ประการ (1) รกั ชาติ ศาสน๑ กษัตรยิ ๑ (2) มีวินัย (3) ใฝุเรียนรู๎ (4) อยูํอยํางพอเพียง (5) มีความ รับผิดชอบ (6) ซ่ือสัตย๑สุจริต (7) มีจิตสาธารณะ (8) มุํงมั่นในการทางาน (9) ทางานเป็นทีม (10) ร๎ูทัน เทคโนโลยี มาเป็นสาระสาคัญและแนวทางในการสร๎างเปน็ รูปแบบการเสรมิ สร๎างคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรยี นบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต 6 ข้ันที่ 3 สร๎างรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขาม หนองแวง สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 โดยรูปแบบมีองค๑ประกอบ 5 ประการ คือ 1) แนวคดิ พนื้ ฐานของรูปแบบ 2) วตั ถุประสงค๑ของรูปแบบ 3) สาระสาคัญ 4) แนวทางการปฏบิ ัติ 5) การประเมนิ ผล โดยมกี จิ กรรม 10 ประการ คอื (1) รกั ชาติ ศาสน๑ กษัตริย๑ (2) มีวินัย (3) ใฝุเรียนรู๎ (4) อยูํอยํางพอเพียง (5) มีความรับผิดชอบ (6) ซื่อสัตย๑สุจริต (7) มีจิต สาธารณะ (8) มุงํ ม่ันในการทางาน (9)ทางานเปน็ ทมี (10) ร๎ทู ันเทคโนโลยี ข้ันตอนที่ 3 ประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของ นักเรียนโรงเรียนบา๎ นขามหนองแวง สานกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษานครราชสมี า เขต 6 ขั้นที่ 1 นารูปแบบทีส่ รา๎ งข้นึ จัดประชุมกลํุมสนทนา (Focus Group) โดยผท๎ู รง คุณวุฒิ จานวน 7 ทําน ขน้ั ท่ี 2 สร๎างแบบประเมนิ ความเหมาะสมและเปน็ ไปได๎ของรปู แบบ เพื่อประเมินความเหมาะสม และความเปน็ ไปไดข๎ องรปู แบบ แบบมาตราสวํ นประมาณคาํ 5 ระดับ จานวน 20 ขอ๎ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 514

ข้ันที่ 3 ประเมินความเหมาะสมและเป็นไปได๎ของรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึง ประสงค๑ โดยผเู๎ ชียวชาญ จานวน 5 ทาํ น ขั้นที่ 4 ปรับปรุงรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ตามคาช้ีแนะและผลการ ประเมนิ ของผู๎เชีย่ วชาญ ขน้ั ตอนที่ 4 หาประสทิ ธผิ ลของรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ดาเนนิ การดังนี้ 1) สร๎างแบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค๑ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง แบบ มาตราสวํ นประมาณคํา 5 ระดบั จานวน 30 ข๎อ ตามสาระสาคัญ 10 ประการ 2) สร๎างแบบวัดความพึงพอใจของผ๎ูปกครองทีม่ ีตํอคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค๑ของนักเรียน แบบ มาตราสํวนประมาณคาํ 5 ระดับ จานวน 20 ขอ๎ 3) สร๎างแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตํอรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึง ประสงค๑ของนักเรยี น แบบมาตรสวํ นประมาณคํา 3 ระดบั จานวน 10 ข๎อ 4) ประชมุ ครู คณะกรรมการสถานศกึ ษาและผ๎ูปกครองนกั เรยี น เพอื่ ให๎มคี วามเข๎าใจเก่ียวกับการ ใชร๎ ปู แบบการเสรมิ สรา๎ งคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงคข๑ องนกั เรยี น 5) ประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค๑ของนักเรียน บ๎านขามหนองแวง กํอนการใช๎รูปแบบ ใน ระหวํางวันท่ี 25 – 26 ตุลาคม 2559 โดยให๎ครู คณะกรรมการสถานศึกษา และผู๎ปกครองนักเรียนเป็นผู๎ ประเมิน โดยใช๎แบบประเมินท่ีสรา๎ งขึน้ แบบมาตราสวํ นประมาณคํา 5 ระดบั จานวน 30 ขอ๎ 6) นารูปแบบการเสรมิ สรา๎ งคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค๑ของนักเรยี นไปใช๎กับนกั เรียนโรงเรยี นบา๎ น ขามหนองแวง สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษานครราชสีมา เขต 6 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 ระหวาํ งวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถงึ วันท่ี 9 มีนาคม 2560 7) ผู๎อานวยการโรงเรยี นกากับตดิ ตามการใช๎รูปแบบการเสริมสร๎างคุณลกั ษณะ อันพงึ ประสงค๑ ทกุ สัปดาห๑ คณะกรรมการสถานศกึ ษาตดิ ตามการใชร๎ ปู แบบเดอื นละ 1 ครั้ง 8) วดั ความพึงพอใจของนักเรยี นทม่ี ีตํอการใชร๎ ูปแบบการเสริมสรา๎ งคณุ ลักษณะ อันพงึ ประสงค๑หลงั การใช๎รปู แบบ ในวนั ที่ 12 -13 มนี าคม 2560 9) วัดความพึงพอใจของผูป๎ กครองท่ีมตี ํอคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค๑ของนกั เรยี น หลงั การใช๎รูปแบบในวนั ที่ 12 -13 มีนาคม 2560 10) ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ของนักเรียน โรงเรียนบ๎านขามหนองแวง หลังการใช๎ รปู แบบ โดยให๎ครู คณะกรรมการสถานศกึ ษา และผปู๎ กครองนักเรยี นเปน็ ผปู๎ ระเมนิ โดยใชแ๎ บบประเมินฉบบั เดียวกับที่ใช๎ประเมินกํอนการใช๎รูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ของนักเรียนไปใช๎กับ นักเรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 515

ประชากร คือ นกั เรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 6 กลุ่มตัวอย่าง ได๎แกํ นักเรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษานครราชสมี า เขต 6 ภาคเรยี นท่ี 2 ปีการศกึ ษา 2559 จานวน 39 คน เครื่องมอื ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู มี 4 ชนิด คอื 1) แบบประเมนิ ความเหมาะสมและความเป็นไปไดข๎ องรปู แบบการเสรมิ สรา๎ งคณุ ลักษณะอนั พึง ประสงค๑ แบบมาตราสวํ นประมาณคํา 5 ระดบั แบบมาตราสํวนประมาณคํา 5 ระดับ จานวน 20 ข๎อ แบบ ประเมินความเหมาะสมและความเปน็ ไปไดข๎ องรปู แบบมีคณุ ภาพดา๎ นความเช่อื มั่นและความเที่ยงตรงอยูํใน ระดบั ดีมาก 2) แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค๑ของนักเรยี น แบบมาตรสํวนประมาณคาํ 5 ระดบั จานวน 40 ข๎อ มคี ณุ ภาพดา๎ นความเชือ่ มั่นและความเท่ยี งตรงอยูํในระดับดมี าก 3) แบบวดั ความพึงพอใจของผู๎ปกครองที่มตี อํ รูปแบบการเสริมสรา๎ งคุณลักษณะอนั พึงประสงค๑ แบบมาตราสํวนประมาณคาํ 5 ระดบั มีคณุ ภาพดา๎ นความเชอ่ื ม่นั และความเท่ียงตรงอยใูํ นระดับดีมาก 4) แบบวดั ความพึงพอใจของนักเรียนทม่ี ีตํอรูปแบบการเสรมิ สรา๎ งคณุ ลกั ษณะ อนั พึงประสงค๑ แบบมาตราสวํ นประมาณคํา 3 ระดบั มีคณุ ภาพด๎านความเช่ือม่ันและความเท่ียงตรงอยํูใน ระดบั ดีมาก การวิเคราะห์ข้อมูล ดาเนินการโดยใช๎คอมพิวเตอร๑โปรแกรมสาเร็จรูปเพ่ือหาคําเฉลี่ย คํา เบ่ยี งเบนมาตรฐาน คาํ สัมประสิทธิ์ของความแปรผัน เปรยี บเทียบคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค๑ของนักเรียน กํอนกับหลังการใช๎รูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ โดยใช๎ t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัย 1. รูปแบบการเสริมสร๎างคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค๑ ของนกั เรยี นโรงเรียนบา๎ น ขามหนองแวง สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ท่ีพฒั นาข้นึ มีองค๑ประกอบ 5 ประการ คอื 1) แนวคดิ พ้ืนฐานของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค๑ของรูปแบบ 3) สาระสาคัญ 4) แนวทางการปฏบิ ัติ 5) การประเมนิ ผล โดยมีกิจกรรม 10 ประการ คอื (1) รกั ชาติ ศาสน๑ กษัตรยิ ๑ (2) มีวนิ ัย (3) ใฝุเรียนร๎ู (4) อยอูํ ยํางพอเพียง (5) มีความรับผิดชอบ (6) ซ่ือสัตย๑ สุจรติ (7) มีจติ สาธารณะ (8) มงํุ ม่นั ในการทางาน (9)ทางานเปน็ ทมี (10) รู๎ทนั เทคโนโลยี 2. นกั เรยี นโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพ้ืนที่การศกึ ษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 มคี ุณลักษณะอันพึงประสงค๑ หลงั การใช๎รูปแบบการเสริมสรา๎ งคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค๑ สูงกวํากอํ น ใช๎รปู แบบอยาํ งมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ่ีระดับ .01 การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 516

3. ผป๎ู กครองมคี วามพึงพอใจคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง ในระดับมากทส่ี ุด ( X = 4.64, S.D.=0.47) 4. นกั เรียนมีความพงึ พอใจตอํ รปู แบบการเสริมสรา๎ งคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค๑ ในระดับมาก ( X = 2.89, S.D.=0.18) อภปิ รายผล 1. จากการวิจัยพบวํา รูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียน บ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 มีองค๑ประกอบ 5 ประการ คือ 1) แนวคิดพื้นฐานของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค๑ของรูปแบบ 3) สาระสาคัญ 4) แนวทางการ ปฏิบัติ 5) การประเมินผล ซ่ึงองค๑ประกอบของรูปแบบ 5 ประการ ที่สร๎างขึ้นผ๎ูวิจัยได๎สังเคราะห๑จาก องค๑ประกอบของรูปแบบการบรหิ ารจดั การหลักสูตรสถานศึกษาของคาดี จันทะเกษ (2554) รูปแบบการ บริหารจดั การงานวชิ าการของรศั มี อุกประโคน (2557) รูปแบบกจิ กรรมเสรมิ สรา๎ งคณุ ธรรมด๎านความมีวินัย สาหรับนักเรยี นช้ันประถมศกึ ษาของประยรู ศรี กวานปรัชชา (2559) รูปแบบกจิ กรรมเสริมสรา๎ งคณุ ลกั ษณะ อันพึงประสงค๑สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต๎น ของวชิรดล คาศิริรักษ๑ (2559) มาสร๎างเป็น องค๑ประกอบรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพน้ื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต 6 ได๎ องค๑ประกอบ 5 ประการ โดยสาระสาคัญ ของรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง ผู๎วิจัยได๎ สังเคราะห๑จากคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ึนพื้นฐาน 2551 (2552), คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค๑ของนักเรยี นมธั ยมศกึ ษาของนพิ นธ๑ ยศดา (2556) คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค๑ของ นกั เรยี นชั้นมธั ยมศึกษาตอนตน๎ ของวชิรดล คาศิริรักษ๑ (2559) และกิจกรรมเสริมสร๎างคุณธรรมจริยธรรม ของชีพวุฒิ ลิชูปถัมภ๑ยศ (2557) แล๎วนามาจัดสนทนากลุํมรํวมกับครู คณะกรรมการสถานศึกษาและ ผู๎ปกครองนักเรียน โดยได๎ข๎อสรุปกิจกรรม 10 ประการ คือ (1) รักชาติ ศาสน๑ กษัตริย๑ (2)มีวินัย (3) ใฝุ เรียนร๎ู (4) อยูอํ ยาํ งพอเพียง (5) มีความรับผิดชอบ (6) ซ่ือสัตย๑สุจริต (7) มีจิตสาธารณะ (8) มํุงม่ันในการ ทางาน (9)ทางานเป็นทีม และ(10) ร๎ูทันเทคโนโลยี โดยรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของนักเรียนโรงเรยี นบ๎านขามหนองแวง สานกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษานครราชสมี า เขต 6 มผี ล การประเมินความเป็นไปได๎และความเหมาะสม จากผ๎ูเช่ียวชาญอยูํในระดับมาก แสดงวํารูปแบบ การ เสริมสร๎างคุณลักษณะอนั พึงประสงค๑ของนกั เรียน โรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานกั งานเขตพ้นื ทกี่ ารศึกษา ประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ท่ีพัฒนาข้ึนมีคุณภาพระดับมาก และสามารถนาไปใช๎ได๎จริง อีกท้ัง สาระสาคัญของรูปแบบเกิดข้ึนจากการสนทนากลุํมระหวํางโรงเรียน คณะกรรมการสถานศึกษา และ ผู๎ปกครองนักเรียน ซ่งึ จะสํงผลให๎นักเรยี นมีคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ตามความต๎องการของโรงเรียนและ ชุมชน สอดคลอ๎ งกับแนวคิดการพัฒนารูปแบบของ บุญเล้ียง ทุมทอง (2556) ทิศนา แขมมณี (2553) ท่ีวํา การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 517

การพัฒนารูปแบบจะต๎องคานึงถึงแนวคิด ทฤษฏีพ้ืนฐานที่นามาพัฒนาเป็นหลักการ วัตถุประสงค๑ กระบวนการจัดกิจกรรม โดยองค๑ประกอบของรปู แบบจะจดั ไว๎อยาํ งเปน็ ระบบ 2 ผลการวจิ ัยพบวํา นักเรยี นโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง มีคุณลักษณะอันพงึ ประสงค๑ หลงั การใช๎ รูปแบบ สูงกวํากํอนใช๎รูปแบบอยาํ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .01 เปน็ เพราะวําในการพฒั นารปู แบบการเสริมสร๎างคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค๑ ผ๎วู ิจยั ได๎ศกึ ษา การพัฒนารูปแบบของนกั การศกึ ษาหลายทํานแล๎วนามาสังเคราะห๑เป็นขั้นตอนในการพัฒนารูปแบบ การ เสริมสรา๎ งคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค๑ ของนกั เรยี นโรงเรยี นบ๎านขามหนองแวง การกาหนดสาระสาคัญของรปู แบบ คณะกรรมการสถานศกึ ษา ผ๎ปู กครองนกั เรียนมีสํวนรํวมในการกาหนด สาระสาคัญของรปู แบบ เพอื่ ใหน๎ กั เรียนมีคณุ ลักษะตามต๎องการของโรงเรียนและชมุ ชน อกี ท้ังการใชร๎ ปู แบบ เสริมสรา๎ งคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค๑ของนักเรยี นโรงเรยี นบา๎ นขามหนองแวง ไดก๎ าหนดกิจกรรมทส่ี อดคล๎อง กับกจิ กรรม 10 ประการคอื (1) รกั ชาติ ศาสน๑ กษัตริย๑ (2)มีวินัย (3) ใฝุเรียนรู๎ (4) อยํูอยํางพอเพียง (5) มี ความรับผดิ ชอบ (6) ซอ่ื สัตย๑สุจรติ (7) มีจิตสาธารณะ (8) มํุงมั่นในการทางาน (9)ทางานเป็นทีม และ(10) ร๎ูทนั เทคโนโลยี กิจกรรมตามรปู แบบเปน็ การปฏบิ ัตจิ รงิ ทสี่ อดคล๎องกบั สาระสาคญั ของรปู แบบ และปฏิบัตใิ น ระยะเวลาท่ียาวนาน คือ 1 ภาคเรียน โดยคณะกรรมการสถานศึกษามีสํวนรํวมในการกากับติดตาม ผู๎อานวยการโรงเรียนกากับติดตามกิจกรรมตามรูปแบบอยํางใกล๎ชิด สํงผลให๎นักเรียนโร งเรียนบ๎านขาม หนองแวง สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาเขต 6 มคี ณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค๑หลังการใช๎รูปแบบ สูงกวาํ กอํ นการใชร๎ ปู แบบอยาํ งมีนยั สาคัญทางสถิติ 3. ผปู๎ กครองมคี วามพึงพอใจคณุ ลักษณะอนั พึงประสงคข๑ องนกั เรียนโรงเรยี น บา๎ นขามหนองแวง ในระดบั มากท่ีสดุ เป็นเพราะวํา หลังการใชร๎ ูปแบบนกั เรยี นมีคุณลกั ษณะ อนั พึงประสงค๑สูงข้ึนตามความตอ๎ งการของผปู๎ กครองและชุมชน โดยนักเรียนมีผลการประเมินคุณลักษณะ อนั พงึ ประสงค๑ 10 ประการ คอื (1) รกั ชาติ ศาสน๑ กษัตรยิ ๑ (2)มีวนิ ยั (3) ใฝเุ รียนร๎ู (4) อยํูอยํางพอเพียง (5) มคี วามรับผิดชอบ (6) ซอื่ สตั ยส๑ จุ รติ (7) มจี ิตสาธารณะ (8) มงํุ มั่นในการทางาน (9)ทางานเป็นทีม และ(10) ร๎ูทันเทคโนโลยี ซงึ่ ประเมนิ โดย ครู คณะกรรมการสถานศึกษาและผป๎ู กครองนกั เรยี น ประเมินพฤติกรรมทั้ง ทอ่ี ยใูํ นโรงเรียนและที่บ๎าน อยํใู นระดบั มากท่ีสุด ทุกด๎าน โดยเรียงลาดับสงู สดุ 3 อบั คอื ซ่ือสัตยส๑ จุ รติ มุํงม่ัน ในการทางาน และทางานเปน็ ทีม ซึ่งเป็นส่ิงผปู๎ กครองและชุมชนอยากใหเ๎ ป็น สํงผลให๎ผ๎ูปกครองมีความพึง พอใจตํอคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคข๑ องนักเรียนโรงเรียนบ๎านขามหนองแวง สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 ในระดับมากที่สุด สอดคล๎องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พุทธศักราช 2542 และแก๎ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 ท่ีสรุปเป็น สาระสาคญั วํา คณุ ลักษณะทพ่ี งึ ประสงค๑ คือผู๎เรียนเป็นคนดี เปน็ คนเกํง และมีความสุข คนดีคือคนท่ีดาเนิน ชวี ติ อยํางมคี ณุ ภาพ มีจิตใจที่ดีงาม มคี ุณธรรม จริยธรรม การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 518

มคี ุณลกั ษณะที่พึงประสงค๑ด๎านการแสดงออกคือ มีวินัย มีความเอือ้ เฟอื้ เก้อื กูล ร๎ูหนา๎ ที่ เคารพความคิดเห็น ของผอู๎ ่นื สามารถอยูํรํวมกับผ๎อู ื่นไดอ๎ ยํางมีความสุข คนเกงํ คอื คนที่มีสมรรถภาพสูงในการดาเนินชีวิต โดยมี ความสามารถด๎านใดด๎านหน่ึง หรือมีความสามารถพิเศษเฉพาะทาง เชํน ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร๑ ความสามารถทางคณิตศาสตร๑ มีความคิดสร๎างสรา๎ งสรรค๑ มภี าวะผู๎นา ทนั โลกทันเหตุการณ๑ รู๎ทันเทคโนโลยี สามารถพัฒนาตนเองได๎เต็ม ศักยภาพ คนมีความสุข คือ คนที่มีสุขภาพดีท้ังกายและใจ รําเริงแจํมใส รํางกายแข็งแรงจิตใจเข๎มแข็ง มี มนุษยสัมพนั ธ๑ มคี วามรกั ตํอทุกสรรพสิง่ สามารถดารงชวี ิตอยูไํ ดอ๎ ยาํ งพอเพียง (ราชกิจจานุเบกษา, 2553) 4. นักเรียนมีความพงึ พอใจตํอรูปแบบการเสรมิ สร๎างคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค๑ ในระดับมาก เป็นเพราะวําการจัดกิจกรรมตามรูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ ของ นักเรียนโรงเรียนบา๎ นขามหนองแวง ทาให๎นกั เรยี นเกิดความสนกุ สนาน นกั เรยี น ได๎เรยี นรผู๎ าํ นกิจกรรมที่ได๎แสดงออกโดยนักเรียนไมคํ ดิ วําเป็นการเรียนรห๎ู รือการฝกึ การจัดกิจกรรมเนน๎ การ ทางานเป็นทมี เพ่อื ใหน๎ ักเรยี นได๎ดูแลชํวยเหลอื กนั และกัน อีกทั้งการจัดกจิ กรรมตามรปู แบบกจิ กรรมสามารถ กระตนุ๎ และเตรยี มความพร๎อมด๎านตํางๆเพื่อการเรียนร๎ู สร๎างความสนใจรับรู๎และสร๎างคุณคําคิดวิเคราะห๑ กระต๎ุนให๎ผู๎เรียนได๎แสดงความคิดเหน็ เกยี่ วกบั คุณคาํ หรอื ความสาคัญของคณุ ลกั ษณะและผลกระทบของการ ปฏบิ ตั ิและไมํปฏิบตั ิ เนือ้ สาระแตลํ ะกจิ กรรมมคี วามหลากหลายชดั เจน สถานทเ่ี ออ้ื ตอํ การจัดกจิ กรรม มกี าร จัดลา ดับขั้นในการทากจิ กรรมทา ให๎นกั เรยี นสนใจ เห็นคณุ คาํ ไดฝ๎ กึ ปฏิบตั ิ สงํ ผลให๎นักเรยี นมคี วามสามารถ คิดวิเคราะหไ๑ ด๎อยาํ งเป็นระบบมเี หตุผลและพฤติกรรมท่ดี ีข้นึ สํงผลใหน๎ ักเรยี นมีความพงึ พอใจตอํ รูปแบบการ เสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ อยูํในระดับมาก สอดคล๎องกับของวชิรดล คาศิริรักษ๑ (2559) ที่ได๎ ศกึ ษาความพงึ พอใจตํอการใชร๎ ปู แบบกิจกรรมเสรมิ สร๎างคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคส๑ าหรับนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาตอนต๎น. พบวํานักเรียนมีความพึงพอใจใน ระดบั มาก ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ 1. โรงเรยี นขนาดเลก็ ท่มี บี รบิ ทคล๎ายกัน ควรนารปู แบบการเสรมิ สร๎างคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค๑ ไปใชเ๎ พอื่ ใหน๎ ักเรียนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค๑ที่สูงข้ึน อันจะสํงผลให๎การพัฒนาคุณภาพการศึกษาและ คุณภาพชีวติ ของนกั เรยี นเป็นไปอยํางได๎มาตรฐาน มปี ระสิทธิภาพและเกิดความยง่ั ยืนตอํ ไป 2. สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาจงั หวดั นครราชสีมา เขต 6 ควรสํงเสริมให๎โรงเรียน ขนาดเล็ก นารูปแบบการเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพงึ ประสงค๑ ไปใช๎ในสถานศกึ ษา เพ่อื ให๎นักเรยี นมคี ุณลกั อนั พึงประสงค๑สอดคล๎องกับความตอ๎ งการของโรงเรียนและชุมชน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 519

ขอ้ เสนอแนะสาหรบั การวิจัยคร้งั ต่อไป 1. ควรศึกษาผลกระทบหลังการใช๎รูปแบบการเสรมิ สรา๎ งคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค๑ 2 ควรวจิ ัยเพื่อเสริมสร๎างคุณลักษณะอันพึงประสงคด๑ ๎านอ่นื ๆ ของนกั เรียน เอกสารอ้างองิ คาดี จนั ทะเกษ .(2554). การพัฒนารปู แบบการบริหารจัดการหลกั สูตรสถานศกึ ษาโดย บูรณาการปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงของโรงเรยี นในสงั กดั สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน. วิทยานพิ นธ๑การศึกษาดษุ ฎีบณั ฑิต (การ บรหิ ารและพฒั นาการศึกษา) มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. ชีพวุฒิ ลิชูปถมั ภย๑ ศ. (2557). การพฒั นารปู แบบกจิ กรรมเสรมิ สร้างคณุ ธรรมจรยิ ธรรม นกั ศกึ ษาอาชีวศกึ ษา ภาคตะวนั ออก. วิทยานิพนธ๑ปรัชญาดษุ ฎบี ณั ฑิต (การพัฒนา ทรัพยากรมนุษย๑) กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง. ทิศนา แขมมณี (2553). ศาสตร์การสอน. พิมพค๑ ร้งั ท่ี 13. กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พแ๑ หงํ จฬุ าลงกรณม๑ หาวิทยาลยั . นพิ นธ๑ ยศดา. (2556). คณุ ลักษณะอันพึงประสงคข์ องนักเรียนมัธยมศึกษา สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทก่ี รศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 26. วทิ ยานพิ นธ๑ครุศาสตร๑ ดุษฎีบณั ฑติ (การบริหารการศกึ ษา) มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม. บุญเล้ียง ทมุ ทอง. (2556). ทฤษฏีและการพัฒนารูปแบบการเรยี นรู้. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. ประยรู ศรี กวานปรชั ชา. (2559). รูปแบบกิจกรรมเสริมสรา้ งคณุ ธรรมดา้ นความมีวนิ ยั สาหรับนกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษา. วิทยานิพนธค๑ รศุ าสตร๑ดุษฎบี ัณฑิต (การวิจยั หลกั สตู รและการสอน) สกลนคร : มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร. ไพฑรู ย๑ สินลารัตน๑และคณะ. (2553). การพฒั นาคุณภาพการศึกษาไทยสู่สากล : เปรยี บเทยี บประเทศจนี เวียดนาม ญป่ี นุ เกาหลี เยอรมัน ฟินแลนด์ และ ประเทศไทย. พิมพ๑คร้ังท่ี 2 กรุงเทพฯ : โรงพมิ พแ๑ หํงจุฬาลงกรณม๑ หาวทิ ยาลยั . รัศมี อุกประโคน. (2557). การพฒั นารูปแบบการบรหิ ารจัดการงานวิชาการโดยบูรณา การปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ของโรงเรยี นในสงั กัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษาประถมศึกษานครราชสีมา. วทิ ยานพิ นธ๑ ศษ.ด. (การบริหารการศกึ ษา). นครราชสีมา : คณะศกึ ษาศาสตร๑ มหาวทิ ยาลยั วงษช๑ วลิตกลุ . ราชกิจจานเุ บกษา (2553). พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) 2553. เลมํ 127 การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 520

ตอนท่ี 45 ก 22 กรกฎาคม 2553. วชิรดล คาศิรริ ักษ.๑ (2559). การพัฒนารูปแบบกจิ กรรมเสรมิ สรา้ งคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์สาหรบั นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนต้น. วทิ ยานิพนธค๑ รศุ าสตร๑ดษุ ฎี บณั ฑิต (การวิจัย หลกั สตู รและการสอน) สกลนคร : มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร. สมพงษ๑ จิตระดบั . (2551). หลกั สตู รสทิ ธิเดก็ และการวางแผนทอ้ งถนิ่ เพ่อื เด็กและเยาวชน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพฯ : จุฬาลงกรณม๑ หาวิทยาลัย. สุริน ชุมสาย ณ อยธุ ยา. (2553). การพัฒนาคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงคข์ องผเู้ รยี น โดย ระบบคสู่ ัญญา. สืบคน๎ จาก http://www.myfirstbrain.com. เมือ่ มกราคม 2559, การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 521

ตัวแปรท่สี ่งผลตอ่ ความเปน็ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวชิ าชพี ของโรงเรียน สังกดั สานักงานเขตพน้ื ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 32 รตั ตมิ า พานชิ อนุรกั ษ๑ บทคดั ยอ่ การวจิ ยั คร้งั นมี้ ีวตั ถุประสงคเ๑ พื่อ (1) ศึกษาระดับความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพของ โรงเรียน สงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 32 (2) ศึกษาตัวแปรท่สี งํ ผลตอํ ระดบั ความเป็น ชุมชนแหงํ การเรยี นรู๎ทางวชิ าชพี ของโรงเรยี น สังกดั สานักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 32 ศึกษา กับกลุํมตัวอยาํ งโรงเรยี นในสังกดั สานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามัธยม ศึกษา เขต 32 จานวน 35 โรงเรยี น เครอ่ื งมือที่ใช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูล ได๎แกํ (1) แบบสอบถามความ เป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพ (2) แบบวัดแรงจูงใจใฝุสัมฤทธ์ิของครู (3) แบบสอบถามความ รบั ผิดชอบในการทางานของครู (4) แบบวัดเจตคตทิ ีม่ ตี อํ วิชาชพี ครูของครู (5) แบบสอบถามความเป็นผ๎ูนา การเปลี่ยนแปลงของผ๎ูอานวยการโรงเรียน (6) แบบสอบถามความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการของผ๎ูอานวยการ โรงเรียน วิเคราะห๑ข๎อมูล คานวณคําเฉลี่ย คําเบ่ียงเบนมาตรฐาน คําสัมประสิทธิ์ของความแปรผัน การ วิเคราะหอ๑ ิทธิพลหรือการวิเคราะห๑เส๎นทาง (Path Analysis : PA) ผลการวิจัยพบวํา 1) โรงเรยี นในสังกดั สานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษามธั ยมศึกษา เขต 32 มีความเป็นชุมชนแหํงการเรยี นรูท๎ างวิชาชพี อยํใู นระดบั สงู ลกั ษณะดังกลาํ วนขี้ องโรงเรียนแตลํ ะโรงแตกตําง กันน๎อย 2) ตัวแปรที่มีอิทธิพลตํอความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพ ได๎แกํ ความเป็นผู๎นาทาง วิชาการของผอู๎ านวยการโรงเรยี น อธิบายความแปรปรวนของความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพได๎ ร๎อยละ 65.30 มีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ  =.01 3) ความเป็นชุมชนแหํงการเรียนรู๎ทางวิชาชีพได๎รับมี อิทธิพลทางตรงจากความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการของผู๎อานวยการโรงเรียน และได๎รับอิทธิพลทางอ๎อมจาก ความรับผดิ ชอบในการทางานของครู และแรงจงู ใจใฝสุ ัมฤทธิข์ องครู ผํานมาทางความเป็นผู๎นาทางวิชาการ ของผูอ๎ านวยการโรงเรียน คาสาคัญ : ชุมชนแหงํ การเรียนรู๎ทางวิชาชพี / ผู๎นาทางวิชาการ/ แรงจูงใจใฝุสมั ฤทธ์ิ *ผูอ๎ านวยการสานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษาเขต 32 การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 522

บทนา การจัดการศกึ ษาของประเทศไทยมีจุดหมายเพือ่ ให๎ผูเ๎ รียนเกิดความก๎าวหน๎าเทําเทยี ม หรอื ก๎าวหนา๎ ยิ่งกวาํ ประเทศอ่ืน ๆ และรักษาความเปน็ ไทยให๎ถาวรคงอยตํู ลอดไป โดยให๎มีความร๎ทู ่เี หมาะสม มีความประพฤติ มีวัฒนธรรม มีกริยามารยาท มีจิตใจที่ดีงาม ร๎ูจักการพูดจาสมกับช้ันวรรณะของตน ตลอดจนรจ๎ู กั แตํงกายทเี่ หมาะสม เพอื่ ให๎อยใูํ นชุมชนอยํางเป็นสุข (สุดใจ เหลําสุนทร, 2549 : 9 -14) ด๎วย สภาพสงั คมที่เปลย่ี นแปลงไปอยาํ งรวดเร็วทาให๎จาเป็นตอ๎ งปรับเปล่ียนกระบวน การเรียนร๎ูให๎เหมาะสมกับการเปล่ียนแปลงตามสภาพของสังคม (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐาน, 2553 : 3) การปฏิรปู การศึกษาในทศวรรษท่ีสอง พ.ศ. 2552-2561 ซ่ึงมีเปูาหมายในการพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานการศึกษาและเรยี นร๎ขู องคนไทย การเพิ่มโอกาสทางการศกึ ษาและการเรยี นร๎ู และการสํงเสรมิ การมีสวํ นรํวมของทุกภาคสวํ นของสังคมในการบรหิ ารและจดั การศึกษา จดุ เน๎นของการปฏิรูปการศึกษาคือ การใหบ๎ ุคคลมโี อกาสเขา๎ ถึงการศึกษาทมี่ ีคณุ ภาพเสมอกันตลอดชีวิตในชํวงการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี โดย ไมํเสียคาํ ใช๎จําย การจดั มงุํ ปรับระบบการเรียนเพ่อื ใหเ๎ กดิ การเรยี นรต๎ู ลอดเวลา ทาใหส๎ ังคมมีแหลงํ เรยี นรมู๎ าก ขึ้น ผเู๎ รียนแสวงหาความร๎ดู ว๎ ยตนเองตลอดเวลา จากแหลํงเรยี นร๎ูทกุ รูปแบบ โดยมํงุ พฒั นาให๎เปน็ สังคมแหํง การเรียนรู๎ (วชิ ยั วงษใ๑ หญํ, 2554 : 42-43) ปจ๓ จุบันพบวํารปู แบบการจัดการศึกษาตามพระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 และที่ แกไ๎ ขเพิ่มเตมิ พ.ศ. 2545 และพ.ศ. 2553 ยังเป็นระบบท่ีไมํจบสมบูรณ๑ในตัวเอง ในขณะที่ประเทศไทยมี ความจาเปน็ ตอ๎ งพัฒนาคนเข๎าสูํอาชีพให๎มีสมรรถนะสอดคล๎องกับความต๎องการและการแขงํ ขนั ของประเทศ การสงํ เสริมการเรยี นร๎ตู ลอดชีวติ โดยการพฒั นารูปแบบการพัฒนาการศกึ ษาใหผ๎ เ๎ู รียนแตํละกลํุมได๎มีโอกาส เขา๎ ถึงความรทู๎ ่หี ลากหลายได๎ นําจะชวํ ยแก๎ปญ๓ หาดงั กลําวได๎อยํางมีประสิทธิภาพ (วิจิตร ศรีสอ๎าน , 2550 : 14) การที่จะทาใหบ๎ ุคคลได๎รบั การศึกษาตลอดชีวิตหรือได๎รับการศึกษาอยํางตํอเนื่องทุกชํวงชีวิตน้ัน จะอาศัยการศึกษาในระบบเทํานั้นไมํเพียงพอ เพราะบุคคลไมํสามารถศึกษาในสถานศึกษาได๎ตลอดชีวิต ดังนน้ั ตอ๎ งมีการศกึ ษาในรูปแบบอนื่ ๆ ที่เอือ้ ตอํ กลํมุ เปูาหมายทพ่ี ๎นวยั เรยี นไปแล๎ว การสํงเสรมิ การเรียนรู๎ให๎ เกดิ ข้นึ ในชมุ ชนนน้ั ทาใหท๎ กุ คนในชมุ ชนมโี อกาสเรียนรู๎มากข้นึ โดยสามารถขจัดโอกาสในการเรียนร๎ูออกไป ชุมชนแหงํ การเรียนร๎ูเปน็ สถานท่สี ร๎างความเจรญิ งอกงามให๎แกํผ๎เู รียน ครู ผ๎บู ริหาร บุคลากร ผ๎ปู กครองและ ชุมชน สร๎างความเข๎มแข็งให๎กับองค๑การ สร๎างบรรยากาศและวัฒนธรรมองค๑กรที่เอ้ือตํอการเรียนร๎ู สถานศกึ ษาในฐานะท่ีเปน็ ชมุ ชนแหงํ การเรียนรต๎ู ๎องสํงเสริมให๎เกิดการเรียนร๎ู ให๎คุณคําของการเรียนรู๎ โดย อาศัยกระบวนการของความรวํ มมือและเป็นกระบวน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 523

การที่ตํอเนื่องของครู อาจารย๑ นักเรยี น บุคลากรทางการศกึ ษา หัวหน๎าสถานศึกษา ผปู๎ กครอง (เสรมิ ศักดิ์ วิ ศาลาภรณ๑ ,2552) ดังนั้นการเป็นชุมชนแหํงการเรียนรู๎ทางวิชาชีพของโรงเรียนสามารถสํงเสริมให๎ทุกคนท่ีมีสํวน เกี่ยวข๎องเกดิ การเปลย่ี นแปลงและพฒั นาได๎อยํางตํอเน่ือง เพ่อื เป็นการเพมิ่ ประสิทธิภาพให๎กับนักเรียนและ คนในชมุ ชนมคี ณุ ภาพ ทนั โลกทนั เหตกุ ารณ๑ สามารถปรับตัวได๎ดียิ่งข้ึน สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐานจึงมนี โยบายใหส๎ านกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษา จดั อบรมสํงเสริมให๎โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขต พื้นที่การศึกษา มีความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ู อันสํงผลตํอการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของ โ ร ง เ รี ย น ที่ สู ง ขึ้ น แ ล ะ ส อ ด ค ล๎ อ ง กั บ ทิ ศ ท า ง ใ น ก า ร พั ฒ น า สงั คมโลกในป๓จจบุ นั และอนาคต มงี านวจิ ัยท่ีบงํ ชวี้ ําความเป็นชุมชนแหํงการเรยี นรทู๎ างวชิ าชีพมคี วามสัมพันธ๑กับคณุ ภาพ การจดั การศกึ ษา ดงั เชนํ Jedele (2007) Travis (2008) Johnson (2009) Hunter (2011) ธันยพร บุญ รกั ษา (2553) สมเกยี รติ บาลลา (2554) จากงานวิจยั ทปี่ ระมวลมาพบวํา เปน็ งานวิจยั ทศี่ ึกษาเกย่ี วกับความ เป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูที่สํงผลตํอการพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาและการพัฒนาสังคม ซ่ึงยังไมํมี งานวจิ ัยท่ีศึกษาป๓จจัยทส่ี ํงผลตํอความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพของโรงเรียนในสังกัดสานักงาน เขตพืน้ ทีก่ ารศึกษามัธยมศึกษาเขต 32 ด๎วยความสาคัญดังกลําวสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 จึงสนใจท่ีจะศึกษาวํามีตัวแปรอะไรบ๎างที่สํงผลตํอความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพของ โรงเรยี นในสังกัดสานกั งานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษามัธยม ศึกษา เขต 32 ซึ่งจะได๎นาตัวแปรดังกลําวมาพัฒนาเพื่อให๎โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มั ธ ย ม ศึ ก ษ า เ ข ต 32 มี ค ว า ม เ ป็ น ชุ ม ช น แ หํ ง ก า ร เ รี ย น รู๎ ท า ง วิ ช า ชี พ ความมุง่ หมายของการวิจัย 1. เพ่ือศึกษาระดับความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพ ของโรงเรียนสังกัดสานักงานเขต พืน้ ทกี่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 2. เพ่อื ศึกษาตวั แปรท่ีสํงผลตอํ ระดับความเป็นชุมชนแหํงการเรยี นรู๎ทางวชิ าชพี ของโรงเรียน สังกัด สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษามธั ยมศึกษา เขต 32 วิธดี าเนนิ การวิจัย ประชากร คือ โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 สานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน จานวน 66 โรงเรียน กลุํมตัวอยําง คอื โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 สานักงาน คณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน ปกี ารศึกษา 2560 จานวน 35 โรงเรยี น การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 524

กลํมุ ผ๎ใู ห๎ข๎อมลู ในแตลํ ะโรงเรยี นมผี ใู๎ ห๎ขอ๎ มูล จานวน 5 คน ประกอบด๎วยผ๎ูบริหารสถานศึกษา 1 คน ครูหวั หนา๎ ฝุายวิชาการ 1 คน และครผู ๎สู อน 3 คน (ทเี่ ลือกอยาํ งงํายโดยใชต๎ ารางเลขสุํม) รวมผู๎ให๎ข๎อมูล 165 คน แปรทใี่ ชใ๎ นการวิจัย ตัวแปรตาม คือ ความเปน็ ชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพ ของโรงเรียนสังกัดสานักงานเขต พ้ืนทีก่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 ตวั แปรต๎น ได๎แกํ 1) แรงจูงใจใฝสุ ัมฤทธขิ์ องครู 2) ความรบั ผดิ ชอบในการทางานของครู 3) เจตคตทิ ีม่ ีตํอวชิ าชีพครขู องครู 4) ความเป็นผูน๎ าการเปลย่ี นแปลงผ๎ูอานวยการโรงเรียน 5) ความเป็นผู๎นา ทางวิชาการของผอ๎ู านวยการโรงเรยี น เครอื่ งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั เครื่องมอื ทใี่ ชใ๎ นการวจิ ัยมี 6 ชนดิ คอื 1. เป็นแบบสอบถามความเป็นชุมชนแหํงการเรยี นร๎ทู างวิชาชีพ แบบมาตราสวํ นประมาณคาํ 5 ระดับ คือ มากท่ีสุด มาก ปานกลาง น๎อยและน๎อยที่สุด มีคําจาแนกระหวําง 0.338 – 0.695 คําความ เชอื่ มัน่ ด๎วยเทํากบั 0.873 2. แบบวัดแรงจูงใจใฝุสัมฤทธิ์ของครู เป็นแบบมาตราสํวนประมาณคํา 5 ระดับ ตามวิธีของลิค เอริ ท๑ (Likert) คอื มากทสี่ ุด มาก ปานกลาง น๎อย และนอ๎ ยทสี่ ดุ จานวน 21 ขอ๎ มีคาํ อานาจจาแนกระหวําง 0.242 – 0.655 คาํ ความเชอ่ื มนั่ เทาํ กบั 0.829 3. แบบสอบถามความรบั ผดิ ชอบในการทางานของครู เปน็ แบบมาตราสํวนประมาณคํา 5 ระดับ ตามวิธีของลคิ เอริ ท๑ (Likert) คือ มากทส่ี ดุ มาก ปานกลาง นอ๎ ย และน๎อยทสี่ ดุ จานวน 21 ขอ๎ มีคําอานาจจาแจกระหวําง 0.598 – 0.783 คําความเชื่อมน่ั เทํากับ 0.954 4. แบบวัดเจตคติตํอวชิ าชพี ครูของครู แบบมาตราสวํ นประมาณคาํ 5 ระดบั ตามวธิ ีของ ลิคเอิรท๑ (Likert) คอื ไมํเหน็ ดว๎ ยอยาํ งยิง่ ให๎ ไมเํ หน็ ด๎วย ไมํแนํใจ เหน็ ด๎วย เห็นดว๎ ยอยํางย่ิง จานวน 30 ข๎อ มีคาํ อานาจจาแจกระหวําง 226 – 0.883 คําความเชื่อมั่นเทํากบั 0.954 5. แบบสอบถามความเป็นผ๎ูนาการเปล่ียนแปลงของผ๎ูอานวยการโรงเรียน แบบมาตราสํวน ประมาณคาํ 5 ระดับ ตามวิธขี องลคิ เอริ ๑ท (Likert) คอื มากทีส่ ดุ มาก ปานกลาง นอ๎ ย และนอ๎ ยท่สี ดุ จานวน 21 ขอ๎ มีคาํ อานาจจาแนกรายขอ๎ ระหวาํ ง 0.46 – 0.81 คําความเชอื่ มนั่ 0.956 6. แบบสอบถามความเป็นผู๎นาทางวิชาการของผ๎ูอานวยการโรงเรียน เป็นแบบมาตราสํวน ประมาณคํา 5 ระดบั ตามวิธขี องลิคเอริ ท๑ (Likert) คือ มากทสี่ ุด มาก ปานกลาง นอ๎ ย และน๎อยทสี่ ดุ จานวน 24 ขอ๎ มคี าํ อานาจจาแนกระหวาํ ง 0.224 – 0.779 มีคําความเชอ่ื มัน่ เทาํ กับ 0.954 การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 525

การวเิ คราะหข์ ้อมลู คานวณคําเฉลี่ย คาํ ความเบ่ยี งเบนมาตรฐาน คําสมั ประสิทธิ์ความแปรผันของตัวแปรต๎นและตัวแปร ตาม คาํ สัมประสทิ ธิ์สหสัมพันธ๑อยํางงําย คําน้าหนักความสาคัญของตัวแปรต๎นท่ีสํงผลตํอตัวแปรตาม คํา สหสัมพันธ๑พหุคูณ คําสหสัมพันธ๑พหุคูณกาลังสอง การวิเคราะห๑อิทธิพลหรือการวิเคราะห๑เส๎นทาง ด๎วย โปรแกรมสาเร็จรปู สรปุ ผลการวจิ ัย 1. ผลการวิเคราะห๑ระดบั ตวั แปรตน๎ และตวั แปรตาม ดงั แสดงในตาราง 1 ตาราง 1 คาํ สถติ ิเกี่ยวกบั ระดับความเป็นชุมชนแหํงการเรียนรทู๎ างวชิ าชพี (PLC) ระดับแรงจงู ใจ ใฝุสมั ฤทธิข์ องครู(MOA) ระดับความรับผิดชอบในการทางานของครู(RES) ระดับเจตคติตํอวิชาชีพครู ของครู (ATT) ระดับความเป็นผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของผ๎ูอานวยการโรงเรียน (TRA) ระดับความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการ ของผู๎อานวยการโรงเรียน (LEA) ตวั แปร X S.D. C.V. ความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ทู างวิชาชีพ (PLC) 4.410 0.317 7.188 แรงจงู ใจใฝุสมั ฤทธิข์ องครู (MOA) 4.364 0.341 7.814 ความรับผดิ ชอบในการทางานของครู(RES) 4.419 0.300 6.789 เจตคติตํอวิชาชพี ครูของครู (ATT) 3.895 0.388 9.961 ความเปน็ ผนู๎ าการเปลี่ยนแปลงของผอ๎ู านวยการโรงเรียน (TRA) 4.537 0.368 8.111 ความเป็นผนู๎ าทางวิชาการของผ๎ูอานวยการโรงเรียน (LEA) 4.348 0.334 7.682 จากตาราง 1 แปลความหมายไดด๎ ังน้ี 1. โรงเรียนมคี วามเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพในระดับสูง ( X =4.410) ลักษณะดังกลําวน้ี ของโรงเรยี นแตํละแหํงแตกตาํ งกนั น๎อย(C.V.=7.188) 2. ครมู แี รงจงู ใจใฝุสัมฤทธ์ิในระดับสูง ( X = 4.364) ลักษณะดังกลําวนี้ครูแตํละโรงเรียนแตกตํางกัน น๎อย(C.V.= 7.814) 3. ครูมีความรับผิดชอบในการทางานในระดับสูง ( X =4.419) ลักษณะดังกลําวน้ีของครูแตํละ โรงเรียนแตกตํางกันน๎อย (C.V.=6.789) 4. ครูมีเจคติท่ีดีตํอวิชาชีพครู ในระดับดี ( X =3.895) ลักษณะดังกลําวน้ีของครูแตํละโรงเรียน แตกตํางกันนอ๎ ย (C.V.=9.961 การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 526

5. ผ๎ูอานวยการโรงเรียนมีความเป็นผู๎นาการเปล่ียนแปลงอยูํ ในระดับสูงมาก( X =4.537) ลักษณะ ดังกลําวนีผ้ ูบ๎ ริหารสถานศึกษาแตํละคนแตกตํางกันนอ๎ ย (C.V.= 8.111) 6. ผอู๎ านวยการโรงเรียนมีความเป็นผ๎นู าทางวชิ าการในระดับสูง ( X =4.348) ลักษณะดังกลําวนี้ของ ผู๎บรหิ ารสถานศึกษาแตลํ ะคนแตกตํางกนั น๎อย(C.V.= 7.682) 2. ผลการวิเคราะหค๑ ําสหสัมพนั ธ๑พหคุ ณู และคํานา้ หนกั ความสาคญั (  ) ของตัวแปรต๎นที่สํงผลตํอตัวแปรตาม ดังแสดงในตาราง 2 ตาราง 2 คําสหสัมพันธ๑พหุคูณและคําน้าหนักความสาคัญ (  ) แรงจูงใจใฝุสัมฤทธิ์ของครู (MOA) ความ รบั ผดิ ชอบในการทางานของครู(RES) เจตคติตํอวิชาชีพครูของครู(ATT) ความเป็นผู๎นาการเปลี่ยนแปลงของ ผ๎อู านวยการโรงเรียน(TRA) และความเปน็ ผน๎ู าทางวิชาการของผู๎อานวยการโรงเรยี น(LEA) ท่ีสงํ ผลตํอความเป็น ชมุ ชนแหํงการเรียนรท๎ู างวิชาชพี (PLC) ควา ม เ ป็ นชุ ม ช นแ ห่ งก า ร ตวั แปรตน้ เรียนรทู้ างวิชาชพี (PLC) ( ) ความเปน็ ผน๎ู าทางวิชาการของผ๎อู านวยการโรงเรียน (LEA) 1.021** ความเปน็ ผ๎นู าการเปลีย่ นแปลงของผ๎อู านวยการโรงเรียน(TRA) 0.131 เจตคติตอํ วชิ าชีพครขู องครู (ATT) 0.129 ความรบั ผิดชอบในการทางานของครู(RES) -0.004 แรงจูงใจใฝสุ มั ฤทธิ์ของครู (MOA) -0.435 R 0.808** R 2 0.653 **p< .01 จากตาราง 2 พบวํา มีเพยี งความเป็นผนู๎ าทางวิชาการของผูอ๎ านวยการโรงเรียน (LEA) ตัวแปรเดยี วทส่ี งํ ผลตํอความเป็นชุมชนแหงํ การเรยี นร๎ูทางวชิ าชพี (PLC) (  = 1.021) มีนยั สาคัญ ทางสถิติที่ระดบั  =.01 อธิบายความแปรปรวนของความเป็นชมุ ชนแหํงการเรยี นร๎ทู างวิชาชีพ (PLC) ไดร๎ ๎อยละ 65.30 เพื่อวิเคราะห๑ให๎แนชํ ัดวาํ ตัวแปรใดทสี่ งํ ผลตํอความเปน็ ชุมชนแหงํ การเรียนรทู๎ างวชิ าชีพ (PLC) จึงทา การวเิ คราะหเ๑ สน๎ ทางระหวาํ งตวั แปรต๎นกับตัวแปรตามด๎วยวธิ กี ารวิเคราะห๑เส๎นทาง แบบพี เอ แอล (Path Analysis with LISREL : PAL) 3. ผลวเิ คราะห์เส้นทางระหวา่ งคา่ ตัวแปรตน้ กบั ตวั แปรตาม ดังภาพประกอบ 1 และตาราง 3 การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 527

0.457 7 RES 0.737 0.264 0.147 PLC 0.371 1.00 TRA 0.793 LEA 0.857 0.733 MOA 0.266 Chi-Square=8.54, df=5, P-value=0.12867, RMSEA=0.090 ภาพประกอบ 1 รูปแบบอิทธิพลของตัวแปรต๎นที่สํงผลตํอความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพ ( PLC) ด๎วยการวิเคราะหเ๑ สน๎ ทางแบบ พี เอ แอล (PAL) ตาราง 3 ตัวแปรตน๎ ท่ีมอี ทิ ธพิ ลตํอระดบั ความเป็นชุมชนแหํงการเรยี นรูท๎ างวชิ าชพี (PLC) ด๎วยการวิเคราะห๑เสน๎ ทางแบบพี เอ แอล (PAL) ตัวแปร R2  ความเปน็ ชมุ ชนแหงํ การเรยี นรทู๎ างวิชาชีพ (PLC) 0.629 ความเป็นผูน๎ าทางวิชาการของผ๎อู านวยการโรงเรียน (LEA) 0.793** ความเป็นผนู๎ าทางวชิ าการของผอ๎ู านวยการโรงเรียน (LEA) 0.853 ความรับผิดชอบในการทางานของคร(ู RES) 0.264** แรงจูงใจใฝสุ มั ฤทธข์ิ องครู (MOA) 0.733** ความรบั ผดิ ชอบในการทางานของคร(ู RES) 0.543 ความเป็นผ๎นู าการเปลี่ยนแปลงของผูอ๎ านวยการโรงเรียน(TRA) 0.737** แรงจูงใจใฝสุ ัมฤทธขิ์ องครู (MOA) 0.734 ความเปน็ ผ๎ูนาการเปล่ียนแปลงของผอู๎ านวยการโรงเรยี น(TRA) 0.857** **p< .01 จากภาพประกอบ 1 และตาราง 3 อธบิ ายได๎ดังนี้ 1. ตัวแปรที่มอี ทิ ธิพลตํอระดับความเป็นชุมชนแหํงการเรียนรู๎ทางวิชาชีพ (PLC) คือ ความเป็นผู๎นา ทางวิชาการของผูอ๎ านวยการโรงเรียน (LEA) (  =0.793) อธบิ ายความแปรปรวนของความเป็นชุมชนแหํงการ เรียนรทู๎ างวิชาชพี (PLC) ได๎ร๎อยละ 62.90 การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 528

2. ตวั แปรท่มี อี ิทธพิ ลตอํ ระดบั ระดับความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการของผ๎ูอานวยการโรงเรียน (LEA) คือ แรงจูงใจใฝสุ มั ฤทธิ์ของครู (MOA) (  =0.733) และความรับผิดชอบในการทางานของครู(RES) (  =0.264) สองตวั แปรนอ้ี ธบิ ายความแปรปรวนของระดับความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการของผู๎อานวยการโรงเรียน (LEA) ได๎ ร๎อยละ 85.30 (R 2 = 0.853) 3. ตัวแปรท่ีมอี ิทธิพลตํอระดับแรงจงู ใจใฝสุ ัมฤทธิ์ของครู (MOA) ไดแ๎ กํ ความเป็นผ๎ูนาการเปล่ียนแปลง ของผู๎อานวยการโรงเรียน(TRA) (  =0.857) อธิบายความแปรปรวนของระดับแรงจูงใจใฝุสัมฤทธิ์ของครู (MOA) ได๎รอ๎ ยละ 73.40 (R 2 = 0.734) 4. ตัวแปรท่ีมีอิทธิพลตํอระดับความรับผิดชอบในการทางานของครู(RES) คือ ความเป็นผ๎ูนาการ เปลี่ยนแปลงของผู๎อานวยการโรงเรียน(TRA) (  =0.737) อธิบายความแปรปรวนของระดับการความ รับผดิ ชอบในการทางานของคร(ู RES) ได๎รอ๎ ยละ 54.30 (R 2 = 0.543) เพือ่ ให๎เห็นขนาดของอิทธิพลทางตรงและอิทธิพลทางอ๎อมของตัวแปรต๎นที่สํงผลตํอระดับความเป็น ชมุ ชนแหํงการเรยี นรูท๎ างวชิ าชพี (PLC) ไดเ๎ สนอผลการวเิ คราะหข๑ อ๎ มูลไว๎ในตาราง 4 ตาราง 4 ขนาดของอิทธิพลทางตรงและอิทธิพลทางอ๎อมของตัวแปรต๎นที่สํงผลตํอความเป็น ชุมชนแหํงการ เรยี นรทู๎ างวชิ าชพี (PLC) ระดับความเป็นชุมชนแห่งการ เรยี นรทู้ างวชิ าชพี (PLC) ตวั แปรต้น ขนาดของอิทธพิ ล ความเปน็ ผูน๎ าทางวชิ าการของผู๎อานวยการโรงเรยี น (LEA) ทางตรง ทางออ๎ ม รวม แรงจูงใจใฝสุ มั ฤทธ์ิของครู (MOA) ความรับผิดชอบในการทางานของครู(RES) 0.793 - 0.793 ความเป็นผนู๎ าการเปล่ยี นแปลงของผ๎อู านวยการโรงเรียน(TRA) - 0.582 0.582 - 0.210 0.210 0.653 0.653 จากตาราง 4 อธิบายไดว๎ ํา 1. ระดับความเปน็ ชมุ ชนแหํงการเรียนรู๎ทางวิชาชพี (PLC) ได๎รบั อิทธิพลทางตรงจาก ความเป็นผนู๎ าทางวิชาการของผ๎อู านวยการโรงเรยี น (LEA) (  = 0.793) 2. ระดับความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพ (PLC) ได๎รับอิทธิพลทางอ๎อมจากความ รับผดิ ชอบในการทางานของครู(RES) (  = 0.210) ผํานมาทางความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการของผู๎อานวยการ โรงเรียน (LEA) 3. ระดับความเป็นชมุ ชนแหํงการเรยี นรู๎ทางวิชาชพี (PLC) ไดร๎ ับอทิ ธิพลทางออ๎ มจาก การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 529

แรงจูงใจใฝุสัมฤทธิ์ของครู (MOA) (  = 0.582) ผํานมาทางแรงจูงใจใฝุสัมฤทธ์ิของผู๎บริหารสถานศึกษา (MOA) 4. ระดบั ความเปน็ ชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวชิ าชพี (PLC) ไดร๎ บั อทิ ธิพลทางอ๎อมจาก ความรับผิดชอบในการทางานของผู๎บริหารสถานศึกษา(SWA) (  = 0.653) ผํานมาทางความเป็นผ๎ูนาการ เปล่ียนแปลงของผู๎อานวยการโรงเรียน(TRA) (  = 0.582) และผํานมาความรับผิดชอบในการทางานของครู (RES) (  = 0.210) เพื่อให๎เหน็ ขนาดของอิทธิพลทางตรงและอิทธิพลทางอ๎อมของตัวแปรต๎นท่ีสํงผลตํอ ความเป็นผู๎นา ทางวชิ าการของผ๎ูอานวยการโรงเรยี น (LEA) ได๎เสนอผลการวิเคราะหข๑ อ๎ มลู ไว๎ในตาราง 5 ตาราง 5 ขนาดของอทิ ธิพลทางตรงและอิทธิพลทางอ๎อมของตวั แปรตน๎ ทส่ี ํงผลตอํ ความเป็นผู๎นา ทางวิชาการของผู๎อานวยการโรงเรยี น (LEA) ร ะ ดั บ แ ร ง จู ง ใ จ ใ ฝุ สั ม ฤ ท ธ์ิ ข อ ง ผู้ บ ริ ห า ร ส ถ า น ศึ ก ษ า (MOA) ตัวแปรตน้ ขนาดของอิทธพิ ล แรงจูงใจใฝุสมั ฤทธขิ์ องครู (MOA) ทางตรง ทางอ๎อม รวม ความรับผดิ ชอบในการทางานของคร(ู RES) ความเป็นผ๎ูนาการเปลยี่ นแปลงของผอ๎ู านวยการโรงเรยี น(TRA) 0.733 - 0.733 0.264 - 0.264 - 0.823 0.823 ตาราง 5 พบวาํ 1. ระดับความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการของผ๎ูอานวยการโรงเรียน (LEA) ได๎รับอิทธิพลทางตรงจาก แรงจูงใจใฝุสมั ฤทธขิ์ องครู (MOA) (  = 0.733) 2. ระดับระดับความเปน็ ผนู๎ าทางวิชาการของผอู๎ านวยการโรงเรยี น (LEA) ได๎รบั อทิ ธิพลทางตรงจาก ความรบั ผิดชอบในการทางานของคร(ู RES) (  = 0.264) 3. ความรับผิดชอบในการทางานของครู(RES) ได๎รับอิทธิพลทางอ๎อมจากความเป็นผู๎นาการ เปล่ียนแปลงของผู๎อานวยการโรงเรียน(TRA) (  = 0.823) ผํานมาทางระดับความรับผิดชอบในการทางาน ของคร(ู RES) และระดับความเปน็ ผูน๎ าการเปลี่ยนแปลงของผู๎อานวยการโรงเรยี น(TRA) อภิปรายผลการวิจัย 1. ผลการวจิ ยั พบวาํ โรงเรยี นในสังกดั สานักงานเขตพนื้ ที่การศกึ ษามธั ยมศึกษาเขต 32 มคี วามเป็นชมุ ชนแหงํ การเรยี นรท๎ู างวชิ าชพี อยใํู นระดับสงู ( X = 4.410, S.D. = 0.317) ลักษณะดังกลําวนข้ี อง ผ๎ูบริหารสถานศึกษาแตํละคนแตกตํางกันน๎อย (C.V. = 7.188) เป็นเพราะวํา โรงเรียนแตํละโรงเรียนได๎นา จดุ เน๎นของการปฏิรูปการศกึ ษาคอื การให๎บุคคลมีโอกาสเข๎าถึงการศกึ ษาทมี่ ีคณุ ภาพเสมอกัน จัดการศึกษาให๎ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 530

กว๎างขวางอยํางท่วั ถงึ และเปน็ ธรรม โดยปฏิรูปให๎เป็นบุคคลแหํงการเรียนร๎ู จัดการศึกษาทั้งด๎านเนื้อหาสาระ และกระบวนการ ทาให๎การศึกษาเป็นกระบวนการเรยี นรข๎ู องสังคมทาให๎โรงเรียนมีแหลํงเรียนรูม๎ ากข้นึ ผ๎ูเรียน แสวงหาความร๎ูด๎วยตนเองตลอดเวลา จากแหลํงเรียนรู๎ทุกรูปแบบเพ่ือให๎เกิดการเรียนร๎ูตลอดเวลา โดยมํุง พัฒนาให๎เป็นสังคมแหํงการเรียนรู๎เพ่ือแก๎ป๓ญหาและพัฒนาให๎ย่ังยืน สอดคล๎องกับข๎อเสนอของสานักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา (2551) ที่ได๎ให๎องค๑กรสนับสนุนให๎สมาชิกมีการเรียนรู๎และเป็นองค๑กรท่ีมีการ ปรับเปล่ยี นตนเองตลอดเวลาในระดับบุคคล ทีม องคก๑ ร หรือแมแ๎ ตํในชมุ ชน การเรียนรู๎จะเป็นกระบวนการท่ี ใชย๎ ทุ ธศาสตร๑และเกดิ ข้นึ อยํางตอํ เนือ่ ง โดยนาไปบูรณาการและสอดคล๎องกับการทางาน การเรียนรู๎จะทาให๎ เกดิ การเปล่ียนแปลงความร๎ู ความเช่อื และพฤติกรรม สงํ เสรมิ ระดบั ความสามารถของคนในองคก๑ ร 2. เมื่อวเิ คราะหด๑ ๎วยการวเิ คราะห๑เสน๎ ทางแบบพี เอ แอล (PAL) พบวํา 1) ตัวแปรทมี่ ีอิทธิพลตํอระดับ ความเป็นชุมชนแหํงการเรียนรท๎ู างวชิ าชีพ ของโรงเรยี นในสงั กดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 คอื ความเป็นผนู๎ าทางวชิ าการของผอ๎ู านวยการโรงเรยี น (  = 0.793) โดยตวั แปรน้ีอธิบายความแปรปรวน ของระดับความเป็นชุมชนแหํงการเรียนรู๎ทางวิชาชีพ ของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา มธั ยมศึกษา เขต 32 ไดร๎ อ๎ ยละ 62.90 (R 2 = 0.629) มีนัยสาคญั ทางสถติ ิที่ระดับ = .01 สาหรับความรบั ผิดชอบในการทางานของครูและแรงจูงใจใฝุสัมฤทธ์ิของ ครู ไมมํ อี ิทธพิ ลทางตรงตอํ ระดบั ความเปน็ ชุมชนแหงํ การเรียนรูท๎ างวิชาชพี ของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขต พน้ื ทกี่ ารศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 แตํมอี ิทธิพลทางอ๎อมตํอระดับความเป็นชุมชนแหํงการเรียนรู๎ทางวิชาชีพ ของโรงเรยี นในสังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 32 ผํานมาทางความเป็นผู๎นาทางวิชาการ ของผ๎อู านวยการโรงเรียน สาหรบั ตวั แปรความเปน็ ผนู๎ าการเปลย่ี นแปลงของผอ๎ู านวยการโรงเรียน ไมํมีอิทธิพล ทางตรงตอํ ระดับความเป็นชุมชนแหงํ การเรียนรูท๎ างวิชาชพี ของโรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มัธยมศึกษา เขต 32 แตมํ ีอทิ ธิพลทางออ๎ มตอํ ระดับความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพ ของโรงเรียนใน สงั กัดสานักงาน เขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 32 ผาํ นมาความรบั ผิดชอบในการทางานของครูและแรงจงู ใจ ใฝสุ มั ฤทธข์ิ องครูแล๎วผํานความเปน็ ผู๎นาทางวิชาการของผูอ๎ านวยการโรงเรียน ทงั้ นเี้ ป็นเพราะวําความเป็นผ๎ูนา ทางวิชาการของผู๎อานวยการโรงเรียน จะชํวยในการสร๎างเสริมการทากิจกรรมตําง ๆ ให๎ผู๎อานวยการโรงเรียน ทางานอยํางมีเปาู หมายและสามารถแกไ๎ ขป๓ญหาหรืออุปสรรคที่เกิดข้ึนอยํางเหมาะสมและเป็นแรงกระตุ๎นให๎ ผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษาปฏบิ ตั ิงานให๎ไดม๎ าตรฐานที่ดีเยยี่ ม อนั เปน็ เปาู หมายทม่ี ีคุณคําสูงสาหรบั การประเมนิ ระดับ ความสามารถของบุคคล (Singh, Granville and Dicka, 2002) ความรับผิดชอบในการทางานของครู แรงจูงใจใฝสุ มั ฤทธข์ิ องครู มอี ิทธพิ ลตอํ ความเป็นผน๎ู าทางวชิ าการของผอ๎ู านวยการโรงเรียน เป็นเพราะวําผู๎ท่ีมี แรงจูงใจใฝุสัมฤทธ์ิเป็นบุคคลทมี่ คี วามต้ังใจในการทางานใหป๎ ระสบผลสาเรจ็ และชอบศึกษาหาความรู๎อยํูเสมอ ตื่นตัวกับส่ิงแปลกใหมํรอบตัว อยากรู๎อยากเห็น สิ่งใหมํๆที่เกิดข้ึน จึงสํงผลให๎บุคคลเกิดดาเนินงานในการ ทางานประสบผลสาเร็จและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นหลักประกันได๎วําโรงเรียนท่ีตนเองปฏิบัตินั้นจะ ดาเนนิ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 531

งานประสบผลสาเร็จจากความสามารถและประสทิ ธิภาพของผบู๎ รหิ ารสถานศกึ ษา สอดคลอ๎ งกบั ผลการวิจัยของ นิพล อินนอก (2556) ที่วิจัยพบวํา แรงจูงใจใฝุสัมฤทธ์ิ มีอิทธิพลทางตรงตํอความเป็นผู๎นาทางวิชาการของ ผอ๎ู านวยการโรงเรยี น สาหรับความรับผิดชอบในการทางานของครู ท่ีมีอิทธิพลตํอความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการ ของผู๎อานวยการโรงเรียน เพราะวําผ๎ูที่มีความรับผิดชอบในการทางานน้ัน จะปฏิบัติงานให๎หน๎าท่ีประสบ ผลสาเร็จ ทง้ั งานวิชาการและงานตําง ๆของโรงเรียน สํงผลให๎ผอู๎ านวยการโรงเรยี นมีความเปน็ ผนู๎ าทางวชิ าการ ที่สงู ขึ้น ขอ้ เสนอแนะ ข้อเสนอแนะด้านนโยบาย 1. สานกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 ควรกาหนดนโยบายในการพัฒนาผ๎ูบริหาร ให๎มคี วามเปน็ ผู๎นาทางวิชาการทสี่ ูงขนึ้ เพื่อพัฒนาความเป็นชุมชนแหํงการเรียนร๎ูทางวิชาชีพของโรงเรียน ใน สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 32 2. สานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 32 ต๎องจัดทาหลักสูตรเพื่อเสริมสร๎างให๎ ผูบ๎ ริหารสถานศึกษาใหม๎ ีความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการ ข้อเสนอแนะในการทาวจิ ัย ควรวิจัยเพื่อพัฒนาหลักสูตรเสริมสร๎างความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการของผู๎อานวยการโรงเรียน เพราะเป็นตวั แปรทส่ี ํงผลตอํ ระดับความเป็นชุมชนแหงํ การเรยี นรทู๎ างวิชาชีพของโรงเรียน เอกสารอา้ งองิ ธนั ยพร บุญรกั ษา .(2553). ปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ การเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ของโรงเรยี น ในสังกดั องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินในจงั หวัดเลย. วทิ ยานิพนธค๑ รศุ าสตรมหาบณั ฑิต (การบรหิ ารการศกึ ษา) เลย : บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเลย. นิพล อนิ นอก. (2556).ตัวแปรทส่ี ง่ ผลต่อระดับความเป็นผู้นาทางวิชาการของผอู้ านวยการ โรงเรียน. วิทยานิพนธศ๑ ึกษาศาสตรดุษฎีบณั ฑติ (การบริหารการศึกษา). นครราชสีมา : คณะศกึ ษาศาสตร๑ มหาวทิ ยาลยั วงษ๑ชวลิตกลุ . วจิ ิตร ศรีสะอ๎าน. (2550). “ขําวการศึกษา” ไทยรฐั . 26 พฤศจกิ ายน 2550 : 14. วชิ ัย วงษ๑ใหญํ. (2554). นวตั กรรมหลกั สูตรและการเรียนรสู้ คู่ วามเป็นพลเมือง. กรงุ เทพฯ : อาร๑ แอนด๑ ปรินท๑. สมเกียรติ บาลมาลา .(2553). ภาวะผนู้ าการเปลีย่ นแปลงของผู้บรหิ ารสถานศึกษาทีส่ ่งผลต่อ ความเปน็ องคก์ ารแหง่ การเรยี นรขู้ องสถานศกึ ษา อาเภอเมอื งปทมุ ธานี สานักงาน เขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาปทมุ ธานี เขต 1. วิทยานพิ นธศ๑ กึ ษาศาสตร มหาบัณฑิต (การบริหารการศึกษา) ปทุมธานี : บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวทิ ยาเทคโนโลยรี าช มงคลธัญบรุ ี. การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 532

สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน. (2553). คมู่ อื การประเมินสมรรถนะครูสังกดั สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ๑ชุมนุมสหกรณ๑ การเกษตรแหงํ ประเทศไทย. สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา .(2551). คู่มือการสรรหาและคัดเลือกสงั คมแหง่ การเรียนรู้ ตน้ แบบ. กรงุ เทพฯ : สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. สดุ ใจ เหลาํ สุนทร. (2549). ความเข้าใจเก่ยี วกบั การศกึ ษา. กรุงเทพฯ : ศูนยก๑ ารพมิ พ๑ มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. เสรมิ ศกั ดิ์ วศิ าลาภรณ๑.(2552). “ชุมชนแหงํ การเรยี นรู๎” สารานุกรมวิชาชพี ครูเฉลิมพระเกยี รติ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวเนอ่ื งในโอกาสมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา 80 พรรษา. กรงุ เทพฯ : สานกั เลขาธกิ ารสภาการศึกษา. Jedele, (2007). Teaching and Learning in Community : A Phenomenological Study of Community College Faculty Pedagogy and Learning Communities. Thesis of Doctor of Philosophy. Iowa : Iowa State University. Johnson, R.W. (2009). The Relationship Between Academic Integration and Student Success in Distance Learning in the Kentucky Community and Technical College System. Thesis of Doctor of Philosophy. Kentucky : University of Louisville. Singh, K. Granville, M. and Dicka, S. (2002). “Mathematics and Science Achievement : Effects of Motivation, Interest, and Academic Engagement.” Journal of Educational Research. 95 (6) : 323-331. Travis, D.J. (2008). Longing for learning: Exploring Collegial Inquiry as a Dimension of Learning Community Development in Community Colleges. Thesis of Doctor of Education California :University of California. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 533

การศกึ ษาเชิงเปรยี บเทียบการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐานระหวา่ งประเทศไทยกบั ประเทศฟนิ แลนด์ A COMPARATIVE STUDY OF BASIC EDUCATION BETWEEN THAILAND FINLAND ชือ่ ผู้แตง่ วราภรณ์ ไทยมา, เรงิ ศกั ด์ิ เข็ม ทอง, ทรงธรรม พลับพลา, ปนดั ดา จนั ตุ่ย, พงษช์ ัย เพ็ญศกั ดิ์ณุสรณ์ หนว่ ยงานทีส่ งั กดั มหาวิทยาลยั ศรปี ทุม e-mail [email protected], [email protected], [email protected], [email protected], [email protected] บทคดั ย่อ การศึกษาคร้งั นม้ี วี ัตถปุ ระสงคเ๑ พื่อศกึ ษาเปรยี บเทียบการศึกษาขน้ั พ้นื ฐานของประเทศไทยกบั ประเทศ ฟนิ แลนด๑ตามองค๑ประกอบระบบการศึกษาท้งั สองประเทศ เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาโดยศึกษาจากเอกสาร บทความวชิ าการ บทความวจิ ัย จานวน 30 รายการ เปน็ การวิเคราะห๑เนื้อหาท่ีเก่ียวข๎องการศึกษาข้ันพื้นฐาน โดยศึกษาและนามาเปรยี บเทียบการศกึ ษาของประเทศไทยกับประเทศฟนิ แลนดโ๑ ดยศึกษาระบบการศึกษาโดย มี 7 ประเด็นท่ีนําสนใจ คือ 1) การบริหาร ท้ังฟินแลนด๑และไทยมีกระทรวงศึกษาธิการเป็นหนํวยงานหลักท่ี ดแู ลดา๎ นการศึกษา2) บคุ ลากร นักศกึ ษาครทู ่ฟี ินแลนดจ๑ ะต๎องเรียนจบปริญญาโทและในประเทศไทยนักศึกษา ครูตอ๎ งมีใบประกอบวชิ าชพี 3) การปรับหลักสูตร ฟินแลนด๑มีการปรับหลักสูตรคํอนข๎างบํอยและในไทยจะมี การปรบั หลักสูตรทุก ๆ 5 ปี 4) ทงั้ ฟินแลนดแ๑ ละไทยไมมํ กี ารจัดอันดับโรงเรยี น 5) จานวนนักเรียนในชั้นเรียน หอ๎ งเรียนที่ฟินแลนด๑ จะกาหนดให๎มีนักเรียนห๎องละ 12 คน สูงสุดไมํเกิน 20 คน สํวนไทยไมํเกิน 40 คน 6) เวลาในชน้ั เรยี น เด็กในวัยประถมศกึ ษาท่ีฟนิ แลนด๑ จะเรียนไมํเกินวันละ 5 ช่ัวโมง ในไทยนักเรียนเรียนเกิน 5 ช่ัวโมง ตํอวัน 7) การประกันคุณภาพการศึกษา ฟินแลนด๑ไมํมีหนํวยงานเหมือน สมศ.(สานักงานรับรอง มาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศกึ ษา) คาสาคัญ: การเปรยี บเทียบการศึกษาประเทศไทยกบั ประเทศฟินแลนด๑ ABSTRACT การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 534

This study aimed to conduct a comparative study of basic education between Thailand and Finland based on the components of their education systems. This is a descriptive study that used documents, academic articles, and research articles. The education systems between Thailand and Finland were studied and compared using seven interesting aspects which were as follows: 1) management: Finland and Thailand both have a Ministry of Education which is the main agency that takes care of education, 2) personnel: teacher interns in Finland must graduate with a master’s degree, and in Thailand they must have a teacher’s license, 3) curriculum revision: in Finland, curriculums are revised pretty often, and in Thailand every 5 years, 4) school ranking: there is no school ranking in Finland and also none in Thailand, 5) numbers of students in class: in Finland, there are 12 students fixed per class; with a maximum of 20. 6) class hours: primary school students in Finland study for not over 5 hours per day, and in Thailand they study for more than 5 hours per day, and 7) quality assurance in education: there is no agency in Finland like ONESQUA (Office for National Education Standards and Quality Assessment) in Thailand. KEYWORDS: The comparative study of education between Thailand and Finland. บทนา การศึกษา หมายถงึ กระบวนการเรียน ร๎เู พอื่ ความเจรญิ งอกงามของบคุ คลและสังคม โดยการถาํ ยทอด ความรู๎ การฝึก การอบรม การสบื สานทางวัฒนธรรม การสร๎างสรรค๑ จรรโลง ความก๎าวหน๎าทางวิชาการ การ สร๎าง องค๑ความรู๎อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล๎อม ดังท่ีปิยะดา พูลทาจักร (2554)กลําวไว๎วํา หลักสูตรเป็น เครอื่ ง มือในการสรา๎ งคนของชาตใิ หม๎ ปี ระสทิ ธิภาพ การปฏิรูปการศึกษาของไทยในสมัย รัชกาลที่ 5 นับเป็น รากฐานที่สาคัญของการ ศึกษาไทยจนทุกวันนี้ หลังจากน้ันประเทศไทย ก็มีการปรับปรุงและพัฒนาการจัด การศึกษาข้ึน อีกเป็นคร้งั ทีส่ อง ซงึ่ ถอื เป็นจดุ เรม่ิ ต๎นสาคัญใน การปฏิรปู การศกึ ษาและเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน คือ เม่ือมีการประกาศใช๎รัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซ่ึงได๎บัญญัติให๎มี กฎหมายเก่ียวกับ การศกึ ษาแหํงชาติเพ่ือเป็นกฎหมายแมํบทในการจดั การการศึกษา เพื่อนาไปสํกู ารปฏิรปู การศกึ ษาอยาํ งจริงจัง และตํอมาได๎มีการประกาศใช๎ พระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายแมํบท ในการ บริหารจัดการการศึกษาขึ้น จากพระราชบัญญตั ิดงั กลาํ วนาไปสํูการดาเนินการปฏิรูป การศึกษาในระหวําง ปี พ.ศ. 2542 – 2551 แตํผลของการปฏริ ปู นนั้ กลบั พบวําระบบการ ศกึ ษาของไทยยังไมสํ ามารถพัฒนาผู๎เรียนให๎ มีคุณภาพได๎ตามท่ีตั้งไว๎จนนามาสํูการปฏิรูปการศึกษาครั้งที่สาม พ.ศ. 2552 - 2561 (สานักงาน เลขาธิการ สภาผู๎แทนราษฎร สานักวิชาการ กลํุมงานบริการวิชาการ 3, 2557) ถึงแม๎วําประเทศไทยจะมีการปฏิรูป การศกึ ษามาแล๎วหลายครั้ง แตยํ ังคงมีป๓ญหาอยูํ โดยเฉพาะป๓ญหาด๎านคณุ ภาพการศึกษา ทีเ่ ก่ียวข๎องกับผู๎เรียน ครูและบุคคลทางการศึกษา การบรหิ ารจัดการศกึ ษา ดา๎ นการเพิ่ม และกระจายโอกาสทางการศึกษาท่ีจัดได๎ไมํ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 535

ท่ัวถึง ด๎านการผลติ และพฒั นากาลงั คนเพื่อเพิ่มศักยภาพการแขํงขันซึ่งยังไมํสามารถสนองความต๎องการของ ประเทศได๎ จากการศึกษาเอกสาร ตารา บทความทางวิชาการ งานวิจัย ที่เกี่ยวข๎อง และสภาพข๎อเท็จจริง เก่ยี วกับการ ศึกษาในอดตี ถึงปจ๓ จบุ นั พบวํา ยงั มีป๓ญหา การศึกษาหลายประการที่พบอยํูในปจ๓ จุบนั ในป๓จจุบัน ประเทศฟินแลนด๑ มีความก๎าวหน๎าทางการศึกษามากกวําประเทศไทยและถือได๎วําเป็น ประเทศทจี่ ัดการศกึ ษาท่ีมคี ุณภาพติดอันดับต๎น ๆ ของโลกประเทศหน่ึง ดังจะเห็นได๎จากรายงานผลการ จัด ระดบั การศกึ ษาของโลก (The World Top 20 Education Poll) ผ๎ูจดั การออนไลน๑ (2560). ปี ค.ศ. 2017 ท่ี เป็นการสารวจระบบการศึกษาจากทั่วโลกกวํา 200ประเทศ เพ่ือพัฒนาศักยภาพทางด๎านการศึกษา ของ นกั เรียนอายตุ ัง้ แตํ 3 -25 ปี โดยเปน็ การ รวบรวมสถติ ิจาก 6 องค๑กรระหวาํ งประเทศ ไดแ๎ กํ องค๑การเพ่ือความ รํวมมือทางเศรษฐกิจ และการพัฒนา (OECD) โครงการประเมินผล นักเรียนนานาชาติ (PISA) องค๑การ การศึกษา วิทยาศาสตร๑และวัฒนธรรมแหํงสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ( UNESCO) หนํวยขําวกรอง เศรษฐศาสตร๑ (EIU) โครงการศกึ ษาแนวโน๎มการจดั การศึกษาคณิตศาสตรแ๑ ละวทิ ยาศาสตร๑ (TIMSS) และความ คืบหนา๎ ในระหวาํ งการอําน และการเรียนรู๎ (PIRLS) ได๎จดั ลาดบั การศกึ ษา ของประเทศฟินแลนด๑อยํูในลาดับท่ี 1 จากความเปน็ มาดังกลําวจะเห็นได๎วาํ การศึกษาของไทยน้นั ยงั มีปญ๓ หาอยมํู ากมายในหลายด๎านและมีผลลัพธ๑ ทางการศึกษาตํางจากฟินแลนด๑ และฟินแลนด๑ยังเป็นประเทศที่มีการศึกษาอยูํ ในระดับแนวหน๎าของโลก ดังนั้น ผศ๎ู กึ ษาจงึ สนใจ ศึกษาเปรยี บเทยี บการศึกษาของประเทศไทยกบั ประเทศฟินแลนด๑ แตํละองค๑ประกอบ อยาํ งไรบา๎ งผลการเปรียบเทยี บเพือ่ นาไปพัฒนาระบบการศกึ ษาไทยใหด๎ ยี ิ่งข้ึน วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษา เพือ่ ศกึ ษาเปรียบเทียบการศึกษาข้ันพ้นื ฐานของประเทศไทยกับประเทศฟินแลนด๑ ผลการศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร๑ จัดประชุมวิชาการ The 6th PSU Education Conference \"Higher Education for Digital Citizenship towards Thailand 4.0\" โดยเชิญ Mrs.Satu Suikkari-Kleven เอกอัครราชทูตฟินแลนด๑ ประจาประเทศไทยและกัมพูชา ปาฐกถาพิเศษ หัวข๎อ \" Educational Transformation: Finland Experience\" จดุ ประกายด๎านระบบการศึกษา กลําวโดยสรปุ ความวาํ ทุกคนไมวํ ํา จะมฐี านะอยํางไร จะมีโอกาสได๎เขา๎ โรงเรยี นที่มีมาตรฐานเดยี วกัน เน่ืองจากชาวฟนิ แลนด๑ เต็มใจที่จะจํายภาษี แพง เพอ่ื การพัฒนาประเทศในด๎านตาํ งๆ โดยเฉพาะอยาํ งยง่ิ การศกึ ษา อกี เหตุผลหนึง่ ท่ที าให๎การศกึ ษาของเรา ประสบความสาเรจ็ คือ เมื่อคุณมีหลักการและทฤษฏพี ้ืนฐานทีด่ ี มนั จะทาให๎คณุ ตํอยอดความร๎ูไดง๎ ํายข้ึน ทงั้ ยังมี การเสริมสรา๎ งทกั ษะแกํนกั เรยี น ฟนิ แลนด๑ มีระบบ Phenomenon-Based Learning (PBL) ซึ่งเป็นการเรียน ทม่ี าจากหวั ข๎อหรอื เหตกุ ารณ๑ตาํ ง ๆ ท่ีเกิดขน้ึ รอบตวั แนวคดิ คือจะมกี ารเรียนการสอนดา๎ นวชิ าการควบคไํู ปกับทกั ษะอ่ืนๆ เชํน ทักษะในการเป็นพลเมืองที่ ดี ทกั ษะด๎านประชาธิปไตย การเขา๎ สงั คม ทักษะในการสรา๎ งประโยชน๑ตํอหน๎าที่และสังคมรอบตัว ส่ิงเหลํานี้มี ความสาคญั มาก การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 536

นอกจากนั้นนักเรียนจะได๎เรียนร๎ูระบบประชาธิปไตยในโรงเรียนฟินแลนด๑มีปรัชญาท างการศึกษา learning is for life not school “การสอบไมํใชํสิ่งที่สาคัญที่สุด แตํแนํนอนวําการสอบก็เป็นสิ่งสาคัญ โดยเฉพาะอยํางยิง่ การสอบไลํ(สอบปลายภาค) แตจํ ดุ เนน๎ จะไมไํ ดอ๎ ยํูทีก่ ารสอบ” ตารางท่ี 1 เปรยี บเทียบระบบการศึกษาของประเทศฟินแลนดแ๑ ละประเทศไทย ประเทศไทย ฟนิ แลนด๑ กระทรวงศกึ ษาธิการ(2554) (Finnish National Board of Education and the Authors, 2009) กํอนประถมศกึ ษา กํอนประถมศึกษา อายุ 3-6 ปี อายุ 1-6 ปี ประถมศึกษา(ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 1-6 ) ประถมศึกษา เวลาในการเรียน 6 ปี มธั ยมศึกษาตอนต๎น มัธยมศึกษาตอนต๎น ใชเ๎ วลาในการเรยี น 9 ปี (ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1-3 ) (เปน็ การศึกษาภาคบังคบั ) เวลาในการเรยี น 3 ปี (เปน็ การศึกษาภาคบังคับ) มธั ยมศึกษาตอนปลาย มัธยมศึกษาตอนปลาย แบํงเป็น 2 กลํุม แบํงเปน็ 2 กลุํม 1.กลุํมแรกสามญั ศึกษา 1.กลํุมแรกสามญั ศึกษา (มธั ยมศึกษาปีที่ 4-6) 2.อาชีวศึกษา 2.อาชีวศึกษา (ปวช.)เวลาในการเรียน 3 ปี ใช๎เวลาเรียน 3 ปี อดุ มศกึ ษา อุดมศึกษา 1.ระดับต่ากวําปริญญาหรืออาชวี ศึกษา(ปวส.) 1. โรงเรียนอตุ สาหกรรมวทิ ยาศาสตรเ๑ ทคโนโลยี 2.ระดบั ปรญิ ญาหรือมหาวทิ ยาลยั ในการศกึ ษาของ -ระดับปริญญาตรี มหาวทิ ยาลัยแบํงออกเป็น 3 ระดบั คือ -ระดบั ปริญญาโท - ระดบั ปริญญาตรี ตอ๎ งมปี ระสบการณท๑ างาน 3 ปีถึงเรยี นได๎ - ระดบั ปริญญาโท 2.ระดับมหาวทิ ยาลยั แบํงออกเป็น2 ระดบั - ระดับปริญญาเอก -มหาวิทยาลัยหลากหลายสาขาอาชพี -มหาวทิ ยาลยั เฉพาะทาง แบงํ เปน็ 3 ระดับ - ระดับปริญญาตรี - ระดับปริญญาโท - ระดบั ปรญิ ญาเอก ที่มา : วารสารครุศาสตร๑ ปีท่ี 40ฉบบั ท่ี 1 (2555) การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 537

จากตารางท่ี 1 แสดงใหเ๎ ห็นถงึ ระบบการศกึ ษา โดยประเทศฟนิ แลนดแ๑ ละประเทศไทยมีการศึกษาภาค บังคบั ในชวํ งอายทุ ่เี ทํากนั และหลังภาคบังคับเปดิ โอกาสให๎เลอื กเรียนในสายสามัญหรอื สายอาชีวไดต๎ ้งั แตรํ ะดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ท่ีฟินแลนด๑โรงเรียนสามัญทั่วไปจะมีหลักสูตรแบบอาชีวศึกษา( VET)ให๎เลือกเรียนแบบสายอาชีพใน โรงเรยี นมัธยม ซงึ่ มีผ๎นู ยิ มเรยี นในระดับนี้ร๎อยละ 52.8 -90.7 อาชีวศกึ ษารอ๎ ยละ 60.2-89.4 มหาวิทยาลัยร๎อย ละ 60.4-92.2 และในปี ค.ศ 2020 ฟนิ แลนดจ๑ ะต๎องการแรงงานที่มีความร๎ูและทักษะระดับมหาวิทยาลัยเพิ่ม มากขึ้น(Finnish National Board of Education and the Authors, 2009) อุดมศึกษา ไทยมีระดับต่ากวําปริญญา ปวส. (ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง) ในด๎านวิชาชีพ สํวน ฟินแลนด๑จะมีโรงเรียนอุสาหกรรมวิทยาศาสตร๑เทคโนโลยี (Polytechnic) และมีเรียนตั้งแตํ ปริญญาตรีถึง ปริญญาโท และปริญญาโทต๎องมปี ระสบการณ๑ทางานอยาํ งนอ๎ ย 3ปจี งึ จะเรียนตํอได๎(Finnish National Board of Education and the Authors, 2009)สํวนในระดับมหาลัยมีการแบํงออกเป็น 3ระดับชั้นเหมือนกัน คือ ปริญญาตรี ปรญิ ญาโท และปริญญาเอก ประเด็นที่นา่ สนใจฟนิ แลนดแ์ ละไทย การบริหาร ประเทศไทยมีกระทรวงศกึ ษาธิการมีอานาจเป็นสํวนกลางในการบริหารระบบการศึกษา ไทย สํวนกระทรวงศกึ ษาธกิ ารฟนิ แลนด๑(Finnish National Board of Education and the Authors, 2009) มหี นา๎ ที่ให๎แนวทาง กรอบหลักสูตร ตัวอยํางข๎อสอบ และ ระบบการสนับสนุนอ่ืน ๆ ท่ีไมํเกี่ยวกับการแตํ งตั้ง โยกย๎าย ปรับขั้น ซงึ่ รวบหมดและรวมตัวกันอยํูท่ีกระทรวงศึกษาธิการที่เดียว ดังน้ันฟินแลนด๑ไมํต๎องเสียเวลา เรอ่ื งการกระจายอานาจ หรอื การจัดสรรงบ เพราะทุกอยํางเกิดขน้ึ และเบ็ดเสร็จไดเ๎ องในแตํละพ้นื ทีเ่ ป็นอิสระ จากกนั ทาใหก๎ ารทางานคลอํ งตัว ลดขัน้ ตอน และ พธิ ีการทไ่ี มํเกีย่ วกบั การเรยี นการสอนไดม๎ าก บคุ ลากร นักศกึ ษาครูทีฟ่ นิ แลนดจ๑ ะตอ๎ งเรยี นจบปรญิ ญาโท(Finnish National Board of Education and the Authors, 2009)ในขณะท่ีไทยจะต๎องมีใบประกอบวิชาชีพครู(กระทรวงศึกษาธิการ)นักศึกษาครู ฟินแลนดจ๑ ะตอ๎ งเข๎าไปเรียนร๎ใู นโรงเรียนจริง ๆ ตั้งแตํ ปที ่ี 1 เพื่อสังเกต เก็บขอ๎ มลู และ นามาเปรียบเทียบกับ ทฤษฎีการเรียนร๎รู ะหวาํ งทางตลอด โดยใครอยากสอนมัธยมวิชาไหนก็จะต๎องเลือกเรียนวิชาเฉพาะให๎เข๎มข๎น กวาํ คนอน่ื ๆ คราวนี้ไมํวําใครจะจบจากมหาวิทยาลัยไหนมาไมํสน เพราะฟนิ แลนดไ๑ มํใหค๎ รูใหมํปาู ยแดงเดินตรง เข๎าไปสอนนักเรียนเด็ดขาด แตํละคนจะมีชํวงเวลา 1 – 2 ปีแรกที่จะต๎องสอนเป็นทีม และ จะต๎องมีพี่เล้ียง ประกบเพื่อชวํ ยให๎มนั่ ใจวําสามารถจดั การเรียนการสอนได๎ตามคุณภาพท่ีต๎องการ ทางสหรฐั อเมริกาเรยี กวิธีการ ทางานแบบน้ีวํา Clinical Experience วิธีนี้ทาให๎ครูทุกคนในฟินแลนด๑ค๎ุนเคยกับการทางานรํวมกันตั้งแตํ เร่ิมต๎นอาชีพ ดงั นนั้ การแลกเปลี่ยนเรยี นรู๎ การบริหารจดั การความรใ๎ู นโรงเรียนเกดิ ขึ้นไดต๎ ลอดเวลาไมํร๎จู บ ตาํ ง กบั ประเทศไทย มีการฝึกสอนในปสี ุดทา๎ ย (กลุ ธิดา รํงุ เรืองเกียรติ2560) การ ปรั บหลัก สูต ร ป ระ เท ศไทย จะมี กา รป รับ หลั กสูต ร อ ยํา งน๎ อย ทุก 5 ปี (ป ระ กา ศ กระทรวงศึกษาธิการ)ฟินแลนด๑มีการปรับหลักสูตรบํอยมาก ฟินแลนด๑จะทาการปรับหลักสูตรทุก ๆ 3 ปี (Finnish National Board of Education and the Authors, 2009)เพ่ือให๎เน้ือหาทันสมัยอยูํเสมอ โดยเอา การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 538

คะแนนการสอบประเมนิ ผลระดบั ชาตมิ าเป็นแนวทางในการปรบั ปรงุ หลกั สูตร โดยหน๎าที่ในการปรับหลักสูตร จะเปน็ ของ “อาจารย๑มหาวทิ ยาลัย” อยํางไรก็ดีแนวทางเร่ืองหลักสูตรนี้เหมือนกับการศึกษาบ๎านเราคือเป็น หลักสูตร “แกนกลาง” ท่ีให๎กรอบขั้นพ้ืนฐานไปตํอยอด โดยครูจะต๎องเขียนหลักสูตรโรงเรียนกันเอาเอง นอกจากนนั้ กระทรวงศกึ ษาฟินแลนด๑จะมี “ข๎อสอบตัวอยําง” สํงไปใหค๎ รูทัว่ ประเทศใช๎เปน็ แนวทางในการออก ขอ๎ สอบเพ่ือวัดความรู๎ของนักเรียนตัวเองด๎วย โดยเกรดของครูถือเป็นท่ีสิ้นสุด แตํครูต๎องให๎เหตุผลได๎ด๎วยวํา อะไรคือทมี่ าของคะแนนเหลําน้ัน (ธงชยั สิทธิภรณ๑ 2556) การจัดอันดับโรงเรียน โชดก ป๓ญญาวรานันท๑(2557) กลําววํา ฟินแลนด๑ไมํมีการจัดอันดับโรงเรียน เพราะฟนิ แลนด๑ใหค๎ วามสาคญั กับ “ความเสมอภาค” อยาํ งมาก การจัดอนั ดบั โรงเรยี นถอื เปน็ การทาลายความ เทาํ เทียมกนั ดังกลาํ วทันที โรงเรยี นทกุ แหํงของฟินแลนด๑จะต๎องมีคณุ ภาพและมาตรฐานการศกึ ษาที่ทดั เทยี มกนั หมดไมวํ ําจะอยูํตรงไหนของประเทศ ทง้ั นรี้ วมถึงการสอบของนกั เรียนด๎วยโดยคะแนนสอบของนักเรียนแตํละ คนจะถือเป็น “ความลบั ” ทีจ่ ะมีแคนํ กั เรยี นและผ๎ูปกครองเทาํ นน้ั ที่ร๎ู ไมเํ อามาเทยี บกนั เพราะถอื เปน็ การสร๎าง ความเหลื่อมลา้ ประเทศไทยมกี ารจัดอนั ดบั อันดบั เด็กในหอ๎ งเรียนวาํ นักเรียนแตลํ ะคนสอบไดท๎ ี่เทาํ ไร จานวนนกั เรียนในชน้ั เรยี น ประเทศไทยห๎องเรียนภาคทฤษฎี จดั ใหม๎ ีครู 1 คน ตํอนักเรียนไมํเกิน 40 คน (ระเบียบกระทรวงศึกษาธกิ าร 2560) สวํ นฟินแลนดจ๑ ะกาหนดใหม๎ ีนกั เรียนหอ๎ งละ 12 คน สูงสดุ ไมเํ กิน 20 คน(Finnish National Board of Education and the Authors, 2009)เพ่ือการดูแลอยํางทั่วถึง เพราะ ฟนิ แลนดจ๑ ะเน๎นการพัฒนาคน มีเปูาหมายเพอื่ พฒั นาความสามารถในการเรียนรูแ๎ ละการดารงชวี ติ ซ่ึงนักเรียน แตลํ ะคนมศี ักยภาพทแี่ ตกตาํ งกัน การดูแลรายบุคคลจึงเป็นส่ิงทีฟ่ ินแลนด๑ใหค๎ วามสาคญั (ชัญญพิชญ๑ เครอื วัลย๑ 2560) เวลาในชั้นเรียน เด็กในวัยประถมศึกษาท่ีฟินแลนด๑ จะเรียนไมํเกินวันละ 5 ช่ัวโมง และชํวงบําย สํวนมากจะปลอํ ยเด็กกลับไปชํวยงานกับครอบครวั เพราะฟนิ แลนด๑เชื่อวาํ เดก็ วยั น้ีควรจะมเี วลาทาในกจิ กรรมที่ ตวั เองสนใจมากกวาํ ในขณะท่เี ด็กไทยเรยี นมากกวํา 5 ชว่ั โมงตํอวนั แลว๎ ยังมตี ํอเรยี นพเิ ศษกนั อกี ในตอนค่า ซึ่ง จะทาให๎เดก็ เกิดความเครียด และเกดิ ความร๎ูสกึ แยตํ ํอการเรียนได๎ การประกันคุณภาพการศกึ ษา โชดก ป๓ญญาวรานนั ท(๑ 2557) กลาํ ววาํ ฟินแลนดไ๑ มํมีหนวํ ยงานเหมือน สมศ.(สานกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา) การสังเกตชั้นเรียนของฟินแลนด๑เป็นไปเพื่อ “ให๎ความชํวยเหลือ” มากกวําเข๎าไปเพื่อ “ประเมิน” โดยใช๎ระบบการให๎ความชํวยเหลือแบบพี่เล้ียง หรือ Mentoring System เทียบกบั บ๎านเราแล๎วกค็ อื การมรี ะบบ “ศึกษานิเทศก๑” มาให๎ความชํวยเหลือท่ตี อ๎ งมาชํวย จรงิ ๆ ไมํได๎เกีย่ วขอ๎ งกับเรือ่ งของหนา๎ ทีก่ ารงานของครูหรือโรงเรียนแตํอยํางใด ก็จะกลับไปตอบโจทย๑ในเรือง ของการจดั การศกึ ษาคือ การศกึ ษาจดั เพ่ือนกั เรยี นอยาํ งแทจ๎ ริง สรปุ ผลการศึกษา จากการศกึ ษาครั้งน้พี บวาํ ฟินแลนด๑มีกระทรวงศึกษาธิการท่ีมีหน๎าท่ีเพียงให๎แนวทาง กรอบหลักสูตร ตัวอยํางขอ๎ สอบ และ ระบบการสนับสนุนอ่ืนๆ เทาํ น้ันไมํรวมอานาจกันอยํูท่ีกระทรวงศึกษาธิการเหมือนของ ไทย ทกุ อยาํ งเกิดขนึ้ และดาเนนิ งานแบบเบด็ เสร็จไดด๎ ๎วยตนเองในแตลํ ะพ้นื ที่เนอ่ื งจากเปน็ อิสระจากกัน ทาให๎ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 539

การทางานคลอํ งตัว ลดขั้นตอน และพิธีการตําง ๆ ได๎พอสมควร สาหรับด๎านบุคลากรนั้น ฟินแลนด๑เน๎นการ ฝึกอบรมครซู ง่ึ นกั ศกึ ษาครูทีฟ่ นิ แลนด๑จะเรียนจบปรญิ ญาโท โดยนักศึกษาครูฟินแลนด๑จะต๎องเข๎าไปเรียนร๎ูใน โรงเรยี นจรงิ ๆ ตง้ั แตปํ ีแรกของการเรยี น เมื่อเริม้ ต๎นเขา๎ ทางานต๎องมพี ีเ่ ลี้ยงประกบเพ่ือชํวยให๎มั่นใจวําสามารถ จดั การเรียนการสอนได๎ตามคุณภาพท่ตี ๎องการ ทาให๎ครูทุกคนในฟินแลนด๑ค๎ุนเคยกับการทางานรํวมกันต้ังแตํ เร่ิมต๎นอาชีพ ดังนน้ั จงึ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนร๎ู การบริหารจัดการความร๎ูในโรงเรียนอยํูตลอดเวลา ในทาง กลับกัน ไทยฝึกสอนนกั ศึกษาครูเฉพาะในปีสุดท๎าย ซ่ึงถือเป็นประเด็นท่ีแตกตํางกันอยํางชัดเจนระหวํางสอง ประเทศ เหตุผลสาคัญท่คี นรุํนใหมใํ นฟนิ แลนด๑อยากเป็นครูเน่ืองจากเปน็ อาชีพท่ีได๎รับการยอมรับนับถือและมี เกียรติ และประเด็นท่ีสาคัญท่ีสุดคือ เป็นอาชีพที่เปิดโอกาสให๎ใช๎ ความคิดสร๎างสรรค๑ จึงเป็นเหตุผลท่ีวํา การศึกษาฟินแลนด๑กระตุ๎นให๎คนได๎คิดและทาอะไรใหมํๆ ในการปฏิบัติงานจริง สาหรับการปรับหลักสูตร ฟนิ แลนดม๑ ีการปรับหลักสูตรบํอยคร้ังทุก ๆ 3 ปีเพื่อให๎เนื้อหาทันสมัยอยูํเสมอโดยอาจารย๑มหาวิทยาลัย ซึ่ง แนวทางเร่อื งหลักสูตรนี้เหมือนกับการศึกษาบ๎านเราคือเป็นหลักสูตร “แกนกลาง” ท่ใี หก๎ รอบขัน้ พื้นฐานไปตํอ ยอด นอกจากน้ี กระทรวงศกึ ษาของฟินแลนดจ๑ ะมี “ข๎อสอบตัวอยําง” สํงไปให๎ครทู ั่วประเทศใช๎เป็นแนวทางใน การออกขอ๎ สอบเพอ่ื วัดความร๎ูของนักเรียนตัวเองด๎วย สาหรบั ประเด็นเรอื่ งการจดั อนั ดับโรงเรียน ฟินแลนดไ๑ มํมี การจดั อันดับโรงเรียน เพราะให๎ความสาคัญกับ “ความเสมอภาค” อยํางมาก ฟินแลนด๑มองวําการจัดอันดับ โรงเรียนถอื เปน็ การทาลายความเทําเทียมกัน โรงเรียนทุกแหํงของฟินแลนด๑จะต๎องมีคุณภาพและมาตรฐาน การศึกษาทท่ี ัดเทียมกันหมดไมํวาํ จะอยํตู รงไหนของประเทศ รวมถึงการสอบของนักเรียนทจ่ี ะมีแคํนักเรียนและ ผปู๎ กครองเทํานั้นทรี่ ๎ู และไมเํ อามาเปรียบเทียบกนั เพราะถอื เป็นการสรา๎ งความเหล่อื มล้า ซ่งึ ประเดน็ น้แี ตกตาํ ง จากของไทยอยํางมาก เน่ืองจากไทยเน๎นการจัดอันดบั ตั้งแตใํ นหอ๎ งเรยี นมาโดยตลอด สํวนจานวนเด็กนักเรียน ในชน้ั เรยี นนัน้ ฟินแลนดก๑ าหนดให๎มีนกั เรยี นหอ๎ งละ 12 คน สงู สดุ ไมํเกิน 20 คน ไมมํ ากจนเกินไป ซึ่งนักเรียน แตลํ ะคนมีศกั ยภาพทแี่ ตกตํางกนั ฟนิ แลนด๑จงึ ให๎ความสาคญั กบั การดูแลรายบุคคลเป็นอยํางมากสาหรับ เวลา ในชัน้ เรยี น เด็กในวยั ประถมศึกษาทฟ่ี ินแลนด๑ จะเรียนไมํเกินวันละ 5 ช่ัวโมง และชํวงบํายสํวนมากจะปลํอย เด็กกลับไปชํวยงานกับครอบครัวเพราะฟินแลนด๑เช่ือวําเด็กวัยน้ีควรจะมีเวลาทาในกิจกรรมที่ตัวเองสนใจ มากกวาํ แตรํ ะบบการศึกษาไทยเนน๎ เรยี นต้ังแตเํ ชา๎ จรดเย็นตํอด๎วยการเรียนพเิ ศษสาหรับประเด็นสุดท๎ายเร่ือง การประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา ฟินแลนด๑ไมมํ หี นวํ ยงานเหมือน สมศ.(สานักงานรับรองมาตรฐานและประเมิน คุณภาพการศึกษา) การสังเกตช้ันเรียนของฟินแลนด๑เป็นไปเพ่ือ “ให๎ความชํวยเหลือ” มากกวําเข๎าไปเพ่ือ “ประเมนิ ” โดยใช๎ระบบ “พ่เี ล้ียง” หรือ Mentoring System นอกเหนือจากงานในหนา๎ ที่ปกตขิ องครูซงึ่ ในจุด นีถ้ อื เปน็ การศึกษาจัดเพอื่ นกั เรยี นอยํางแท๎จริง ข้อเสนอแนะ 1. คาํ นิยมเรอ่ื งผลคะแนนสอบ อาจไมํเนน๎ เปน็ หลกั ในการวดั ผลจนเกนิ ไป 2. การใหค๎ วามสาคญั กับการดแู ลเอาใจใสํนกั เรียนแบบรายบุคคล การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 540

3. การปลูกฝ๓งคํานิยมเรื่องอาชีพ โดยให๎นักเรียนมองเห็นวําทุกอาชีพมีคุณคําเทํากัน ให๎พวกเขาเข๎าใจ อยํางถํองแท๎วําไมํวําจะประกอบอาชีพอะไรก็สามารถประสบความสาเร็จในชีวิตได๎เชํนกัน ไมํควร แบํงแยกความสงู ตา่ ของอาชพี ตาํ ง ๆ 4. การสรา๎ งนักศกึ ษาครู โดยให๎นักศึกษาครูได๎เขาไปมีสํวนรํวมในโรงเรียนต้ังแตํปีแรก ๆ ของการเรียน และมีพ่เี ลย้ี งคอยสอนงาน อยํางฟินแลนด๑ เพ่อื มีการทางานรวํ มกนั ระหวํางนักศึกษาครูและพ่ีเลี้ยงทา ให๎เม่อื เรียนจบแล๎วสามารถมาทางานไดอ๎ ยํางมีประสทิ ธิภาพ เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช2551. กรุงเทพฯ:โรงพิมพ๑ ชุมนุมสหกรณ๑การเกษตรแหงํ ประเทศไทย. กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหํงชาติพ.ศ. 2542แก๎ไขเพิ่มเติมฉบับท่ี2พ.ศ.2545. กรุงเทพฯ: สานักนายกรัฐมนตร.ี สานกั งานเลขาธกิ ารสภาผแู๎ ทนราษฎรสานกั วิชาการกลํุมงานบริการวชิ าการ 3. (2557). ปฏริ ปู การศึกษาปฏิรปู ประเทศไทย. สบื ค๎น 29ธันวาคม 2560จาก http://www.parliament.go.th/ ewtadmin/ewt/parliament_parcy/download/ article/article_20141107135154.pdf ปิยะดาพลู ทาจกั ร. (2554). ทฤษฎแี ละพืน้ ฐานการพฒั นาหลักสูตร. เชียงใหม:ํ คณะครุศาสตรม๑ หาวทิ ยาลัยราช ภัฏเชียงใหม.ํ ขนบพร วฒั นสขุ ชัย(2555) วารสารครศุ าสตร๑ ปีที่ 40ฉบับที่ 1 หลักสูตรศิลปศึกษา : กริณีศึกษาเปรียบเทียบ สาธารณรัฐฟนิ แลนดแ๑ ละประเทศไทย. ผู๎จัดการออนไลน๑. (2560). 20ประเทศที่มีระบบการศึกษาดีท่ีสุดในโลก. สืบค๎น1มกราคม2561จาก http://www.manager.co.th/ Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9580000040642 กลุ ธดิ า รํงุ เรอื งเกียรต.ิ (2560). THEMETTER:จติ วทิ ยาและเวทมนต๑ของครฟู นิ แลนด๑. สืบค๎น1มกราคม2561 จากhttps://thematter.co/byte/magic-from-world-class-education-frim-finland/21610 ธงชัย สทิ ธภิ รณ๑. (2556).งานสอนวิชาการนอกหอ๎ งเรยี น : การศกึ ษาฟินแลนด.๑ สืบคน๎ 10 มกราคม 2561 จาก http://www.birdkm.com/outside-classroom/outsideclass/finland-education โชดก ปญ๓ ญาวรานันท๑.(2557).Ministry of Learning :ฟนิ แลนด๑ vsไทย อะไรคอื กุญแจแหงํ ความสาเรจ็ ทาง การศึกษา. สืบค๎น 9มกราคม 25561จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/ministryoflearning/2014/09/05/entry-1 ชัญญพิชญ๑ เครือวัลย๑. (2560).ทาไมฟินแลนด๑ถึงมีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก. สืบค๎น1มกราคม2561จาก http://www.adviceforyou.co.th/articles/98-education/357-finland-education Finnish National Board of Education and the authors. (2009). Education, training, and demand for labor in Finland by 2020. Finnish National Board of Education. การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 541

การเสริมสร้างสมรรถนะในงานของครกู รณีโรงเรยี นเอกชน ในเขตดุสิต กรงุ เทพมหานคร ENHANCING FUNCTIONAL COMPETENCY OF TEACHERS: A CASE OF PRIVATE SCHOOLS IN DUSIT DISTRICT, BANGKOK ชอ่ื ผูแ้ ตง่ เย็นฤทยั จงถนอม รศ. ดร.กลา้ ทองขาว หน่วยงานทสี่ ังกดั สาขาการจัดการการศกึ ษา วิทยาลยั ครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรุ กิจบณั ฑิตย์ e-mail: [email protected] บทคดั ย่อ การวจิ ัยนีม้ ีวัตถปุ ระสงค๑เพอื่ 1) ศึกษาระดับการปฏิบตั ิเกี่ยวกับการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครู กรณีโรงเรียนเอกชน ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบระดับการปฏิบัติเก่ียวกับการเสริมสร๎าง สมรรถนะในงานของครูกรณีโรงเรียนเอกชน ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จาแนกตามขนาดโรงเรียน และ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นของผ๎เู รยี น 3) เพอื่ ศึกษาปญ๓ หาและข๎อเสนอแนะแนวทางการเสริมสร๎างสมรรถนะใน งานของครูกรณโี รงเรยี นเอกชน ในเขตดสุ ติ กรุงเทพมหานคร โดยมีประชากรจานวน 15 โรงเรียน และมีผ๎ูให๎ ขอ๎ มูลจานวน 180 คน เครื่องมือทใี่ ชใ๎ นการวิจยั นค้ี ือแบบสอบถามมาตราสวํ นประมาณคาํ 5 ระดบั ที่มีคาํ ความ เช่ือม่ัน 0.95 และแบบสัมภาษณท๑ ่ีผ๎ูวิจัยสรา๎ งขึน้ การวเิ คราะห๑ขอ๎ มลู หาคําความถี่ คําเฉลี่ย และสํวนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ผลการวจิ ยั พบวาํ 1. การเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูกรณีโรงเรียนเอกชน ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ใน ภาพรวมมรี ะดับการปฏิบัติมาก และยังพบวํามีการปฏิบัติอยูํในระดับมากทุกด๎าน โดยมีด๎านที่มีคําเฉลี่ยของ คะแนนสูงที่สุด และรองลงมา ได๎แกํ ด๎านการบริหารจัดการชั้นเรียน ด๎านการพัฒนาผ๎ูเรียน และด๎านการ บรหิ ารหลกั สูตรสถานศึกษาตามลาดับ สวํ นดา๎ นที่มีคําเฉลีย่ ของคะแนนตา่ ท่ีสุด คือ ด๎านความรํวมมอื กับชุมชน 2. การเปรยี บเทียบระดับการปฏิบัติในการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูกรณีโรงเรียนเอกชน ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จาแนกตามขนาดโรงเรียนพบวํา พบวํามรี ะดับปฏบิ ตั แิ ตกตํางกัน โรงเรียนขนาด ใหญํ มีคําเฉล่ียของคะแนนในภาพรวมสูงที่สุด รองลงมา คือ โรงเรียนขนาดกลาง สํวนโรงเรียนขนาดเล็กมี คาํ เฉลยี่ ของคะแนนในภาพรวมตา่ ท่ีสุด และพบวาํ โรงเรยี นทุกขนาดมกี ารปฏบิ ตั ิในภาพรวมและเป็นรายดา๎ นอยํู ในระดบั มาก และการเปรยี บเทียบระดบั ปฏิบตั ิเมื่อจาแนกตามผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นของผเู๎ รยี นพบวาํ กลุํม โรงเรียนที่มีผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนของผ๎ูเรียนสูงมีระดับการปฏิบัติแตกตํางจากกลํุมโรงเรียนท่ีมีผลสัมฤทธ์ิ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 542

ทางการเรียนของผ๎ูเรียนต่า โดยภาพรวมและเป็นรายด๎าน โดยกลุํมโรงเรียนที่มีผู๎เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนสูงมีคาํ เฉลีย่ ของคะแนน มากกวํากลมุํ โรงเรียนที่มีผู๎เรียนมีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นต่า 3. ปญ๓ หาสวํ นมากท่ีพบเก่ยี วกับการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูกรณีโรงเรียนเอกชน ในเขต ดสุ ิต กรงุ เทพมหานคร ที่พบมากคือ การขาดการวางแผนของโรงเรียน งบประมาณของโรงเรียนไมํเพียงพอ ขาดความรวํ มมอื กบั ชมุ ชน ชว่ั โมงการสอนของครตู ํอสัปดาห๑มากเกินไป ดังนั้นจึงมีข๎อเสนอแนะ คือ โรงเรียน ควรกาหนดแผนในจัดอบรมสัมมนาและให๎ครูศึกษาดูงานทงั้ ในและนอกโรงเรยี น โดยการสอบถามถงึ ด๎านทค่ี รตู อ๎ งการ ในการพัฒนา จัดสรรงบประมาณให๎เพียงพอในการเสริมสร๎างสมรรถนะของครู จัดสรรช่ัวโมงการสอนของครูให๎ เหมาะสม และรํวมมือกบั ชุมชนในการจัดกจิ กรรมทางการศึกษาเปน็ อยํางดี คาสาคัญ: การเสรมิ สร๎างสมรรถนะในงานของครู , โรงเรียนเอกชน ABSTRACT The purposes of this study were to 1) study the level of practice in the enhancing of functional competency of teachers: a case of private schools in Dusit District, Bangkok. 2) compare the level of practice in the enhancing of functional competency of teachers: a case of private schools in Dusit District, Bangkok categorized by the school size and the student achievement. 3) study problems and recommend guidelines on the enhancing of functional competency of teachers: a case of private schools in Dusit District, Bangkok. The population were 15 private schools and the informants were 180 persons. The instruments used in the research were the 5 level rating scale of the questionnaires with the value of questionnaires’ reliability was 0.95 and the interview forms developed by the researcher. Data were analyzed by using the frequencies, means and standard deviations. The findings were as follows: 1. The enhancing of functional competency of teachers: a case of private schools in Dusit District, Bangkok in overall were at high level of practice. It was also found that the high level of practice in all aspects by the aspect that had the highest grade point average was classroom management and followed with student development and school curriculum management, respectively. The aspect that had the lowest grade point average was cooperation with the community. 2. A comparison of the level of practice about the enhancing of functional competency of teachers: a case of private schools in Dusit District, Bangkok categorized by the school size was found difference. The large school size had the highest grade point average and followed with medium school size and small school size had the lowest grade point average. It was also found that all school size had the high level in overall and in all aspects. A comparison of the level of practice categorized by the students’ achievement also was found difference in overall and in all การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 543

aspects. The group of schools with higher students’ achievement had the higher grade point average than the group of schools with the lower students’ achievement. 3. Most of problems related to the enhancing of functional competency of teachers: a case of private schools in Dusit District, Bangkok were school’ lack of planning, the school budget was not enough, lack of cooperate with community and the teacher were excessive hours per week. Therefore, it is suggested that the schools should plan the appropriate training program as well as, sending the teachers to seminars both in and out of schools by asking the teachers in what aspects they need to improve. Furthermore, schools should set enough budget for enhancing teachers’ functional competency, organize proper amount of teaching periods as well as cooperate with community’s educational activities as well. KEYWORDS: Enhancing functional competency of teachers, Private school บทนา เนือ่ งจากการเปล่ยี นแปลงท้ังทางด๎านเศรษฐกิจ สงั คม และความกา๎ วหน๎าทางเทคโนโลยีทาให๎รูปแบบ การเรียนร๎ู และวธิ ีแสวงหาความร๎ูมกี ารปรับเปล่ียนจากรปู แบบเดมิ ทคี่ รเู ป็นผถู๎ ํายทอดความรใู๎ หก๎ บั นักเรยี นฝาุ ย เดียว ไปสํรู ูปแบบการเรยี นร๎ดู ว๎ ยตนเองซึ่ง หมายถึง ผู๎เรียนสามารถแสวงหาและสร๎างองค๑ความรู๎ด๎วยตนเอง เพิ่มข้นึ การเปลีย่ นแปลงเหลาํ น้ีท๎าทายแนวทางการพัฒนาครขู องหนวํ ยงานที่เกีย่ วขอ๎ งในการพัฒนาครูให๎เป็น ครูยุคใหมํทม่ี สี มรรถนะในการทางาน สามารถจัดองคค๑ วามรู๎ และจัดการเรียนรู๎ ให๎เกิดผลตํอคณุ ภาพผู๎เรยี น แตํ จากผลการศึกษาเก่ียวกับการพัฒนาครูของสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2556) เร่ือง บทวิเคราะห๑ สถานภาพการพัฒนาครทู ง้ั ระบบ และข๎อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาครูเพ่ือคุณภาพผู๎เรียน ได๎ข๎อค๎นพบวํา การพฒั นาครทู ่ีผาํ นมาของประเทศไทยยังประสบปญ๓ หาบางประการ กลําวคอื การพัฒนาครูยังขาดการพฒั นาท่ี มปี ระสทิ ธิภาพและเกดิ ประสทิ ธิผล ดว๎ ยสาเหตหุ ลายประการได๎แกหํ นํวยงานทที่ าหน๎าทพ่ี ัฒนาครมู งี บประมาณ จากดั หัวขอ๎ การพฒั นาไมตํ รงกับความตอ๎ งการของครอู ยํางแทจ๎ รงิ และขาดการติดตามประเมินผลการพัฒนา จากผ๎ูบริหารอยํางตํอเนื่อง นอกจากนั้นยังพบวําการพัฒนาครูในป๓จจุบันยังไมํมี เอกภาพด๎านนโยบายและ มาตรฐานท่ชี ัดเจน โครงการพัฒนาครูท่ีจัดโดยหนํวยงานตําง ๆ มีความซ้าซ๎อน และไมํเป็นระบบ ทาให๎ขาด ประสทิ ธภิ าพและขาดความตํอเนอ่ื ง โดยพบวาํ สวํ นใหญหํ นํวยงานกลางทีเ่ กีย่ วขอ๎ งกับกระทรวงศึกษาธกิ ารเป็น ผจู๎ ัด มภี าคเอกชนท่เี ขา๎ มามีสวํ นรวํ มแตํก็ต๎องเสียคําใช๎จํายในการอบรม วิธีการพัฒนาสํวนใหญํใช๎การอบรม บรรยาย ประชุมกลุํมยํอยและสรุปความคิดเห็นตํอที่ประชุมใหญํ ซึ่งการประชุมและอบรมแตํละคร้ังมีผ๎ูเข๎า ประชุมคอํ นข๎างมาก ยากตํอการเข๎าถึงป๓ญหาของผ๎ูเข๎ารับการอบรม ครูต๎องละทิ้งการสอนเพื่อเข๎ามารับการ อบรม และท่ีสาคัญไมสํ ามารถตดิ ตามผลการพัฒนาได๎อยาํ งตอํ เนื่อง ทาให๎ไมํเห็นผลการนาความรู๎ที่ได๎รับจาก การอบรมไปปฏบิ ตั ิไดอ๎ ยาํ งเป็นรูปธรรม และไมํสามารถแกไ๎ ขปญ๓ หาของโรงเรียนได๎ตรงประเดน็ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 544

จากที่กลําวมาแนวคิดการพัฒนาครูโดยใช๎โรงเรียนเป็นฐานจึงมีความสาคัญตํอการพัฒนาครูในยุค ป๓จจุบัน โดยผูบ๎ ริหารโรงเรยี นจะมบี ทบาทสาคญั ในการพฒั นาบคุ ลากรของโรงเรยี นใหม๎ ีคุณภาพตามเปูาหมาย ทก่ี าหนด ซ่ึงต๎องรบั ผดิ ชอบการพัฒนาบคุ ลากรของโรงเรยี นตั้งแตรํ ะดับนโยบาย จนถงึ ระดับปฏบิ ตั ิการ พร๎อม ทั้งเป็นผ๎ูนาด๎านตําง ๆโดยเฉพาะเป็นผ๎ูนาด๎านวิชาการ ผู๎บริหารต๎องมี การสํงเสริม และสนับสนุนให๎ครูมี สมรรถนะในวิชาชีพ โดยสํงเสรมิ และสนบั สนุนใหค๎ รไู ดร๎ บั การพฒั นาและสงํ เสรมิ ใหค๎ รูมีสมรรถนะในการทางาน ด๎านตาํ ง ๆ เชนํ ดา๎ นการพฒั นาหลักสตู ร ด๎านการจดั การเรยี นร๎ทู ่ีเนน๎ ผ๎เู รยี นเป็นสาคญั ดา๎ นการใช๎และพัฒนา สอ่ื เทคโนโลยเี พื่อการเรยี นรู๎ ดา๎ นการวดั และประเมินผลการเรียนร๎ู ดา๎ นการบรหิ ารจัดการชนั้ เรียน ด๎านการทา วจิ ยั ในช้ันเรยี น ด๎านภาวะผน๎ู าครู และดา๎ นการสรา๎ งความรํวมมือกบั ชุมชนในการจดั การศกึ ษา เปน็ ต๎น โรงเรียนเอกชนเป็นหนํวยหนง่ึ ของสังคมที่ไดร๎ ับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพสั งคมท่ีมี ความเจรญิ ด๎านเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สาร มกี ารเปล่ยี นแปลงของระบบการเมือง การปกครอง และ ภาวะเศรษฐกิจที่ผันแปร สํงผลให๎ทุกโรงเรียนต๎องเรํงพัฒนาตนเองเพื่อเพ่ิมพูนศักยภาพ และมาตรฐาน การศึกษาอยํางตํอเนื่อง ทั้งน้ีเพ่ือความอยํูรอดในสภาวการณ๑ที่มีการแขํ งขันทางด๎านคุณภาพการจัดการ การศึกษา ทั้งจากโรงเรียนเอกชนด๎วยกัน และจากโรงเรียนรัฐบาล ประกอบกับการที่ผู๎ปกครองสํวนใหญํมี รายไดล๎ ดลง และความไมแํ นนํ อนของภาวะเศรษฐกิจในครอบครวั เนอื่ งจากสภาพเศรษฐกจิ ของสังคมที่ผันแปร จึงสงํ ผลตอํ การตดั สนิ ใจสํงบุตรหลานเข๎าเรียนในโรงเรียนเอกชน เพราะต๎องเสียคําใช๎จํายในการเรียนสูงกวํา โรงเรียนของรฐั และดว๎ ยโครงสรา๎ งประชากรของประเทศทีเ่ ขา๎ สูสํ ังคมผสู๎ ูงอายุ มีประชากรในวัยเด็กลดลง ทา ใหม๎ ีจานวนนักเรียนในโรงเรยี นเอกชนลดลงอยํางตํอเนื่อง เหตุผลดังกลําวสํงผลให๎โรงเรียนเอกชนหลายแหํง ต๎องปดิ กิจการไปในท่ีสุด นอกจากน้ียังพบวํามีป๓ญหาหาด๎านการบุคลากร กลําวคือ โรงเรียนเอกชนบางแหํง จาเปน็ ต๎องรบั ครทู ่ีมีวุฒกิ ารศึกษาต่ากวําความต๎องการ รับครูไมตํ รงวุฒกิ ับการสอน เพราะโอกาสในการสรรหา และคัดเลือกครูนอ๎ ย การพฒั นาครแู ละบุคลากรทาได๎ไมํทั่วถึง รวมทั้งไมํสอดคล๎องกับความจาเป็นและความ ต๎องการของโรงเรยี น และปญ๓ หาทีส่ าคัญคอื บางโรงเรียนยังขาดแคลนอตั รากาลังครู เน่ืองจากครูมีการเข๎าและ ออก ตลอดเวลาทาให๎การจัดการเรียนร๎ูขาดประสิทธิภาพ และขาดความตํอเน่ือง (สานักงานคณะกรรมการ สํงเสรมิ การศกึ ษาเอกชน, 2551) ดงั นั้นโรงเรียนเอกชนจาเป็นต๎องปรบั เปลย่ี นกระบวนทัศน๑ในการบรหิ าร โดย จะตอ๎ งมีการมอบหมายหรือเอ้ืออานาจในการตดั สนิ ใจใหก๎ บั ครูผป๎ู ฏบิ ัติงานทกุ ระดับบคุ ลากรในโรงเรยี นและทกุ ฝาุ ยงาน ให๎เปน็ ทมี งานทีไ่ ดร๎ ับมอบอานาจใหต๎ ัดสนิ ใจได๎ในระดบั ปฏิบตั ิ ตง้ั แตกํ ารวางแผน การปฏิบตั งิ าน การ ประเมนิ ผลการทางาน ไปจนถึงการให๎ข๎อมูลย๎อนกลบั เพื่อปรับปรุงพัฒนางานด๎านตําง ๆ และเน๎นที่จะเรียนรู๎ ระบบงานขององคก๑ าร ซงึ่ เปน็ การรวบรวมความร๎ู และความชานาญระหวํางสมาชิกเพื่อให๎สามารถปรับตัวให๎ เขา๎ กับการเปลย่ี นแปลงได๎อยาํ งประสบผลสาเรจ็ นอกจากนั้นโรงเรยี นเอกชนจาเปน็ ท่ีตอ๎ งเสรมิ สร๎างสมรรถนะ ครูในการทางานดา๎ นตาํ ง ๆ ไดแ๎ กํ ด๎านการพัฒนาหลกั สตู รและการจัดการเรียนร๎ู การพัฒนาผู๎เรยี น การบริหาร จัดการชั้นเรียน เพ่ือให๎มีความพร๎อมท่ีใช๎ศักยภาพ และความสามารถในการที่จะรํวมขับเคล่ือนนาโรงเรียน เอกชนไปสเํู ปูาหมายตามที่มํุงหวังและเพ่อื ให๎ครูเปน็ ทยี่ อมรับของผ๎ูปกครองและชมุ ชน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เป็นเขตพื้นที่หน่ึงที่มีโรงเรียนเอกชนต้ังอยํูจานวนหนึ่งซึ่งโรงเรียน เอกชนท่ีตั้งอยูํมหี ลายขนาดท้งั ขนาดเลก็ ขนาดกลาง และขนาดใหญํ ผลการสอบระดับชาตขิ องโรงเรียนเอกชน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 545

ในเขตดุสติ มีคาํ คะแนนเฉลย่ี ในภาพรวมสูงกวาํ คําคะแนนเฉลยี่ ของประเทศ นอกจากน้ันยังมีการรวมกลํุมเป็น โรงเรยี นเครือขาํ ยทีม่ คี วามรํวมมอื ในการจัดการศกึ ษาอยาํ งเหนยี วแนํนมาโดยตลอดจึงมคี วามรํวมมอื กันในการ เสรมิ สร๎างและพฒั นาครขู องโรงเรยี นในเครอื ขาํ ยโดยการจดั การอบรม สัมมนา ดงู านรํวมกนั อยํางตํอเน่อื ง และ มีเวทีการแขํงขันทางวิชาการสาหรับผู๎เรียน นอกจากวิสัยทัศน๑ของโรงเรียนท่ีให๎ความสาคัญกับการพัฒนา คุณภาพบุคลากรของโรงเรียนให๎เปน็ ทย่ี อมรบั ของผปู๎ กครอง และชุมชนแล๎วโรงเรียนยังต๎องให๎ความสาคัญตํอ การสรา๎ งขวัญกาลังใจ และการสร๎างแรงจูงใจให๎ครูยังคงทางานกับโรงเรียนตํอไปด๎วยความสุขโดยไมํลาออก กลางคนั จากขอ๎ มูลดังกลําว ผูว๎ ิจัยจงึ มีความสนใจการเสริมสรา๎ งสมรรถนะในงานของครูกรณโี รงเรยี นเอกชน ใน เขตดสุ ติ กรุงเทพมหานคร เพอ่ื นาผลการวิจยั ไปเป็นข๎อเสนอแนะ แนวทางการพฒั นาการเสริมสร๎างสมรรถนะ ในงานของครูในโรงเรียนเอกชน ในเขตดสุ ิต กรงุ เทพมหานคร ใหม๎ ีคณุ ภาพตํอไป วัตถุประสงค๑ของการวิจยั วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 1. เพอ่ื ศกึ ษาระดบั การปฏิบัตเิ ก่ยี วกบั การเสรมิ สร๎างสมรรถนะในงานของครูโรงเรียนเอกชน ในเขตดุสติ กรงุ เทพมหานคร 2. เพอ่ื เปรียบเทียบระดับการปฏิบัติเก่ียวกบั การเสรมิ สร๎างสมรรถนะในงานของครู โรงเรยี นเอกชน ใน เขตดสุ ิต กรงุ เทพมหานคร จาแนกตามขนาดโรงเรียนและผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของผ๎เู รยี น 3. เพอ่ื ศกึ ษาป๓ญหาและขอ๎ เสนอแนะแนวทางการเสรมิ สรา๎ งสมรรถนะในงานของครโู รงเรียนเอกชน ใน เขตดสุ ติ กรงุ เทพมหานคร วิธีดาเนินการวิจยั การวิจยั คร้ังน้ี ผ๎วู ิจัยไดก๎ าหนดขอบเขตด๎านเนอ้ื หา ประชากร และตวั แปรที่ใช๎ศึกษาวจิ ัยดงั นี้ 1. ขอบเขตเนือ้ หา การวิจยั นี้เปน็ การวจิ ยั เชงิ พรรณนาซ่งึ มงุํ ศึกษาระดับการปฏบิ ัติในการเสริมสร๎างสมรรถนะในงาน ของครกู รณีโรงเรยี นเอกชน เขตดุสิตในภาพรวม และเปรียบเทยี บระดับการปฏบิ ตั ิในการเสริมสร๎างสมรรถนะ ในงานของครู จาแนกตามขนาดโรงเรยี น และผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นของผูเ๎ รียน จานวน 6 ด๎าน คือ ด๎านการ บริหารหลักสูตรสถานศึกษา ด๎านการพัฒนาผ๎ูเรีย น ด๎านการบริหารจัดการชั้นเรียน ด๎านการวิเคราะห๑ สังเคราะห๑ และการวจิ ยั เพ่ือพฒั นาผูเ๎ รยี น ดา๎ นภาวะผ๎ูนาครู และดา๎ นความรํวมมอื กับชุมชน 2. ประชากรท่ีใช๎ในการวิจัย ประชากรท่ีใช๎ศึกษาครั้งนี้ คือ โรงเรียนเอกชนที่ต้ังอยํูในเขตดุสิต กรุงเทพมหา นคร จานวน 15 โรงเรยี น โดยกาหนดผู๎ให๎ขอ๎ มลู คอื ผบู๎ รหิ ารโรงเรยี น ได๎แกํ ผอู๎ านวยการโรงเรยี น หรอื รองผูอ๎ านวยการโรงเรยี น ฝุายวิชาการ และ/หรือ รองผ๎ูอานวยการหรือผ๎ูท่ีได๎รับผิดชอบงานการบริหารทรัพยากรบุคคล รวมจานวน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 546

โรงเรียนละ 2 คน รวมเป็น 30 คน หวั หน๎ากลมํุ สาระการเรยี นร๎ู และหรอื ครฝู าุ ยการสอน โรงเรยี นละ 12 คน รวมเปน็ 150 คน ดังน้นั มผี ู๎ให๎ขอ๎ มลู ทง้ั ส้ินรวม 180 คน 3. ตวั แปรทศี่ กึ ษาวจิ ัย 3.1 ตวั แปรต๎น ได๎แกํ 3.1.1 ขนาดของโรงเรยี น แบงํ เป็น 1) โรงเรยี นขนาดเลก็ มีจานวนผู๎เรยี นไมเํ กนิ 500 คน 2) โรงเรียนขนาดกลาง จานวนผเ๎ู รยี นตง้ั แตํ 501-1,500 คน 3) โรงเรยี นขนาดใหญํ จานวนผเู๎ รยี นตงั้ แตํ 1,501 คนข้ึนไป 3.1.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบํงเป็น 1) กลุํมโรงเรียนท่ีมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผ๎ูเรียนต่า คือกลํุมโรงเรียนท่ีมีจานวน นกั เรียนต่ากวาํ รอ๎ ยละ 25 ทีม่ ผี ลการทดสอบทางการศกึ ษาระดบั ชาตขิ น้ั พน้ื ฐาน (O-NET) ในระดับ ป.6 ม.3 หรือ ม.6 อยูใํ นระดับเกณฑค๑ ุณภาพดีขนึ้ ไป 2) กลุํมโรงเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผ๎ูเรียนสูง คือกลํุมโรงเรียนที่มีจานวน นักเรยี นสงู กวาํ หรือเทํากบั รอ๎ ยละ 25 ท่ีมีผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาตขิ น้ั พนื้ ฐาน (O-NET) ในระดบั ป.6 ม.3 หรอื ม.6 อยใูํ นระดบั เกณฑค๑ ุณภาพดขี ้นึ ไป 3.2 ตัวแปรตาม ได๎แกํ การเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูโรงเรียนเอก ชน ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 6 ดา๎ น ซึง่ ไดก๎ าหนดจากการวเิ คราะห๑สมรรถนะในงานของครูของสานักงานเลขาธิการสภา การศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร (2552)และสานกั พัฒนาครู และบุคลกรทางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน (2554) ดังน้ี 3.2.1 การบริหารหลักสตู รสถานศึกษา 3.2.2 การพัฒนาผเู๎ รยี น 3.2.3 การบริหารจัดการช้นั เรียน 3.2.4 การวเิ คราะห๑ สงั เคราะห๑ และการวิจยั เพือ่ พฒั นาผ๎ูเรียน 3.2.5 ภาวะผ๎นู าครู 3.2.6 ความรํวมมือกบั ชุมชน 4. เครือ่ งมอื ท่ีใชใ๎ นการวจิ ัย เคร่ืองมือท่ีใช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูลวิจัยครั้งน้ี ใช๎แบบสอบถาม ( Questionnaire) มาตราสํวน ประมาณคํา 5 ระดับและแบบสัมภาษณ๑ที่ผู๎วิจัยสร๎างข้ึนโดยอาศัยแนวคิด เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข๎อง เกยี่ วกับการเสริมสรา๎ งสมรรถนะในงานของครู ซึง่ มีข้ันตอนการตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่อื งมอื ดังนี้ 4.1 การทดสอบความตรง (Validity) ของเครอื่ งมอื ในการวจิ ัย การทดสอบคาํ ความตรงของแบบสอบถาม ทาโดยนาแบบสอบถามให๎อาจารยท๑ ี่ปรึกษาและผูเ๎ ชยี่ วชาญ จานวน 5 ทําน ตรวจสอบถึงความครอบคลุมของเน้ือหา การใช๎ภาษาตลอดจนโครงสร๎างของแบบสอ บถาม เพือ่ ให๎ครอบคลุมกบั นิยาม และวตั ถุประสงค๑ทกี่ าหนดไว๎ แลว๎ นามาพจิ ารณาหาคําดัชนีความสอดคล๎อง( Index of Congruence : IOC) การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 547

4.2 การทดสอบคาํ ความเชื่อมั่น (Reliability) ของเครื่องมอื ในการวิจัย การทดสอบคําความเชื่อมั่น (Reliability) ของแบบสอบถาม ทาโดยนาแบบสอบถามท่ีได๎ไปทาการ ทดสอบหรอื ทดลองใช๎ (Try-out) เพ่ือทดสอบความเข๎าใจในคาถามกับผู๎บริหาร และครูในโรงเรียนบริบูรณ๑ ศิลป์รังสิต จานวน 30 คน ท่ีไมํได๎อยํูในประชากร แล๎วนามาหาคําความเช่ือมั่นด๎วยวิธีการของครอนบาค (Cronbach) ด๎วยสูตรสัมประสิทธ์ิแอลฟา (Alpha-Coefficient) ผลการวิเคราะห๑ได๎คําสัมประสิทธ์ิแอลฟา เทํากบั 0.95 4.3 การปรับปรงุ แกไ๎ ขเครื่องมือในการวิจัย ทาการปรบั ปรงุ แกไ๎ ขแบบสอบถามตามที่ได๎ข๎อมูลในการทดสอบความตรงและความเชื่อม่ัน พร๎อมท้ัง เสนอให๎อาจารย๑ที่ปรึกษาเพ่ือตรวจส อบอีกคร้ั งเพ่ือนาไปเป็นแบบส อบถามท่ีสมบูรณ๑สาหรับการนาไปเก็บ รวบรวมขอ๎ มลู ในการทาวิจัย 5. การวิเคราะหข๑ อ๎ มูลและสถิตทิ ี่ใชใ๎ นการวเิ คราะห๑ขอ๎ มูล 5.1 การวเิ คราะหข๑ อ๎ มลู ของแบบสอบถาม เพ่ือตอบวัตถุประสงค๑ของการวจิ ยั กาหนดให๎มีการวิเคราะห๑ ขอ๎ มูลโดยใชโ๎ ปรแกรมสาเร็จรูปทางสังคมศาสตร๑ และเลอื กใช๎สถิติ ดังนี้ ขอ๎ มลู ระดบั การปฏบิ ัตขิ องโรงเรยี นเปน็ แบบสอบถามแบบมาตรสวํ นประมาณคํา 5 ระดับ (Rating scale) วเิ คราะหโ๑ ดยใช๎วิธีการหาคําเฉลี่ย (Mean : μ ) และสํวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : σ) โดยการวิเคราะห๑ในภาพรวม และวิเคราะห๑ เปรียบเทยี บโดยจาแนกตามขนาดโรงเรียน และผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของผเู๎ รยี น สํวนขอ๎ มลู สภาพป๓ญหาและ ขอ๎ เสนอแนะจากคาถามปลายเปิดเก่ียวกับการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูกรณีโรงเรียนเอกชน ในเขต ดุสิต กรุงเทพมหานคร นาเสนอในรูปตารางแจกแจงความถี่ 5.2 วเิ คราะห๑ผลจากแบบสัมภาษณ๑ผู๎บริหาร เก่ียวกับการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูโรงเรียน เอกชน ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นาเสนอในรปู ความเรียง สรุปผลการวิจัยและอภิปรายผล 1. การเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครกู รณโี รงเรยี นเอกชน ในเขตดสุ ิต กรงุ เทพมหานคร จากการศึกษาพบวําการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูกรณีโรงเรียนเอกชน ในเขตดุสิต กรงุ เทพมหานคร มรี ะดบั ปฏบิ ัตใิ นภาพรวมและเป็นรายดา๎ นอยูใํ นระดับมากทุกด๎าน โดยมดี ๎านท่ีมีคําเฉลี่ยของ คะแนนสูงที่สุด และรองลงมา ได๎แกํ ด๎านการบริหารจัดการชั้นเรียน ด๎านการพัฒนาผู๎เรียน และด๎านการ บริหารหลักสูตรสถานศึกษาตามลาดบั สํวนดา๎ นท่ีมีคําเฉล่ยี ของคะแนนตา่ ท่สี ดุ คือ ด๎านความรํวมมอื กับชุมชน ผลการวิจัยปรากฏเชํนนี้เพราะโรงเรียนเอกชนจึงมีความคลํองตัวในการบริหารจัดการศึกษาในด๎านตําง ๆ โดยเฉพาะการบรหิ ารทรพั ยากรบคุ คล ความเปลย่ี นแปลงของแนวนโยบายและแนวปฏิบัติทางการศึกษาของ กระทรวงศึกษาธกิ าร และการแขํงขันทางการศึกษาอยํางสูงมากในป๓จจุบัน เป็นแรงผลักดันที่ทาให๎โรงเรียน เอกชนตอ๎ งใหค๎ วามสาคัญอยํางมากในการพัฒนาบคุ ลากรของโรงเรียนใหม๎ คี วามร๎ู ความสามารถ ในวิชาที่สอน และมีสมรรถนะในการทางานทุกดา๎ นเพ่อื ให๎เป็นท่เี ชอ่ื มั่นของผ๎ูปกครองและชมุ ชน ซ่ึงสอดคล๎องกับการศึกษา ของ นฤป สืบวงศา (2552, น.89) ท่ีได๎ศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางการบริหารงานบุคคลของผู๎บริหาร การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 548

สถานศึกษากับสมรรถนะการปฏิบัติหน๎าท่ีของครูของสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาอุดรธานี พบวํา การ บริหารงานบุคคลของผ๎ูบริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ๑กันทางบวกกับสมรรถนะการปฏิบัติหน๎าที่ของครู เนื่องจากสถานศึกษามีการปฏิบัติงานด๎านการบริหารงานบุคคลท่ีเกิดความคลํองตัว มีการพัฒนาค วามร๎ู ความสามารถ สํงเสริมและสนบั สนุนใหข๎ ๎าราชการครมู คี วามรู๎ ความสามารถและทักษะในการปฏิบัติหน๎าท่ีให๎ เป็นไปตามมาตรฐานตาแหนํง และมาตรฐานวิชาชีพ ทาให๎ครูมีสมรรถนะในการจัดการเรียนการสอน และมี ความมงุํ มนั่ ในการพัฒนาตนเอง และวิชาชีพ นอกจากน้ียังสอดคล๎องกับเข็มทอง ศิริแสงเลิศ (2555, น.67- 70) ทก่ี ลําววาํ ครแู ละบุคลากรทางการศึกษาควรได๎รับการพัฒนาด๎วยเหตุผลสาคัญ 2 ประการ คือ 1) ความ เปลีย่ นแปลงอยาํ งรวดเร็ว ท้ังด๎านวิทยาการและนวตั กรรมทางการเรียนรู๎ ซ่ึงเข๎ามาเก่ียวข๎องกับวิถีการดาเนิน ชีวิตประจาวัน ให๎ครูและบุคลากรทางการศึกษาสามารถรับรู๎ความเปล่ียนแปลงเหลํานั้นได๎ 2) ความ เปลยี่ นแปลงของแนวนโยบายและแนวปฏิบัติทางการศกึ ษา แนวทางการพฒั นาครูและบุคลากรทางการศึกษา ภายในสถานศึกษา โดยใช๎โรงเรียนเป็นฐานในการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นบุคลากร ประจาการอยแํู ลว๎ ในสถานศึกษาทั้งรฐั และเอกชนน้ันถอื เป็นภารกิจทีส่ าคญั ของผ๎ูบริหารสถานศึกษาท่ีมุํงเน๎น การพัฒนาการจัดการเรียนร๎ู สามารถดาเนนิ การได๎มหี ลายวิธี ได๎แกํ การฝกึ อบรม การนเิ ทศ การกากับ ตดิ ตาม และประเมิน การสงํ เสริมสนับสนุนให๎ศึกษาตํอ และการอานวยความสะดวกและสํงเสริมให๎สร๎างผลงานท าง วชิ าการ และเม่อื พิจารณาเปน็ รายด๎านพบวํา โรงเรียนเอกชน เขตดุสิตใหค๎ วามสาคญั การเสริมสร๎างสมรรถนะ ครใู นด๎านการบริหารจัดการชั้นเรียน น้ีอยูํในลาดับท่ีหน่ึง อาจเนื่องมาจากโรงเรียนเอกชนในป๓จจุบันมีการ แขํงขันทางการศึกษาสูงกับท้ังโรงเรียนเอกชนด๎วยกันเอง และกับโร งเรียนรัฐบาล ดังน้ันโรงเรียนจึงให๎ ความสาคญั กบั การสนบั สนุนวสั ดุ อปุ กรณ๑ ครภุ ัณฑ๑ สื่อเทคโนโลยีตําง ๆ เพือ่ อานวยความสะดวกแกํครูในการ บริหารจดั การช้นั เรยี น รวมทัง้ การจดั สภาพแวดล๎อมทั้งภายในและภายนอกห๎องเรียนให๎มีบรรยากาศที่เอื้อตํอ การเรียนร๎ู รวมท้งั มกี ารกาหนดนโยบายชัดเจนทค่ี รูของโรงเรยี นจะต๎องมคี วามสัมพันธท๑ ี่ดีตํอนกั เรียน สามารถ เขา๎ ใจและดูแลนกั เรยี นได๎อยํางท่ัวถึง และให๎เกิดความปลอดภยั เพ่ือสร๎างความเช่ือม่ันตํอผู๎ปกครองในการนา บตุ รหลานเขา๎ มาศกึ ษาในโรงเรียนและไมํลาออกกลางคัน ครูสามารถนาสารสนเทศของนักเรียนมาปรั บปรุง และพัฒนาคุณภาพผเ๎ู รียนได๎อยาํ งเหมาะสม ซึ่งผลงานวิจัยสอดคลอ๎ งกับแนวคิดของศักด์ิสิทธิ์ แรํทอง (2549, น.62-65) ที่กลําววําโรงเรียนควรให๎ความสาคัญในการพัฒนาครูให๎มีความรู๎ ความเข๎าใจและปรับเปล่ียน พฤติกรรมในกระบวนการเรียนการสอน สงํ เสรมิ ใหค๎ รไู ด๎ใช๎เวลาในการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนไดเ๎ ต็มเวลา สามารถเขา๎ ใจและดูแลนกั เรียนไดอ๎ ยํางทว่ั ถงึ สร๎างบรรยากาศการเรียนร๎ู รวมท้งั จดั หาสือ่ การเรยี นการสอนให๎ เพยี งพอ และใชส๎ ่อื การเรยี นการสอนใหเ๎ หมาะสมกบั วยั 2. การเปรียบเทียบระดับการปฏิบัติในการเสริมสร๎างสมรรถนะใ นงานของครูกรณีโรงเรียนเอกชน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จาแนกตามขนาดโรงเรยี นและผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนของผ๎ูเรยี น 2.1 ระดับการปฏิบัติในการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูกรณีโรงเรียนเอกชน ในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร จาแนกตามขนาดโรงเรยี น พบวําโรงเรยี นท้งั 3 ขนาด คอื ขนาดเล็ก ขนาดกลาง ขนาดใหญํ ในเขตดสุ ติ มีระดับการปฏิบัตใิ นภาพรวมและรายด๎านอยูํในระดับมาก อาจเปน็ เพราะโรงเรียนเอกชนทุกขนาด มีสภาวะการณ๑การแขงํ ขันสงู ทางการศกึ ษาทง้ั กับโรงเรียนเอกชนดว๎ ยกนั และโรงเรยี นรัฐบาล จึงทาให๎โรงเรียน การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 549


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook