Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ED-APHEIT 2018

ED-APHEIT 2018

Published by ED-APHEIT, 2019-04-05 09:41:45

Description: ED-APHEIT 2018

โครงการประชุมทางวิชาการและเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรร สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ :

สมาคมสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย
(สสอท.)

Search

Read the Text Version

เอกชนตอ๎ งพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาโดยมํงุ ผลสัมฤทธ์ิคณุ ภาพผเู๎ รียน พฒั นาครูใหม๎ ีสมรรถนะในการทางานจน โรงเรยี นเปน็ ทีย่ อมรับของชุมชน และผปู๎ กครองท่ีจะตดั สินใจนาบุตรหลานเข๎าเรียน ซ่ึงสอดคล๎องกับงานวิจัย ของภูษติ วงษเ๑ ล็ก (2559, น.1) ทศี่ กึ ษาปจ๓ จยั สาคญั ทีม่ ีผลตอํ การตัดสินใจของผ๎ูปกครองในการสํงบุตรหลาน เขา๎ เรยี นในโรงเรียนเอกชน จงั หวดั สุราษฎร๑ธานี ผลงานวิจัยพบวํา ผ๎ูปกครองให๎ลาดับความสาคัญของป๓จจัย ด๎านตาํ ง ๆ ทม่ี ีผลตํอการตัดสินใจของผู๎ปกครองเป็นลาดับแรก คือ ด๎านบุคลากร ซึ่งได๎แกํ ผ๎ูบริหาร และครู สอดคล๎องกับงานวิจยั ของฟาู ใส นามเทียร (2557, น.335) ที่ศึกษาป๓จจัยที่มีผลตํอการตัดสินใจของผ๎ูปกครอง ในการสํงบตุ รหลานเขา๎ เรยี นโรงเรียนอนุบาลเอกชนขนาดเลก็ ในกรงุ เทพมหานคร ซึ่งผลวิจัยพบวํา ป๓จจัยด๎าน บคุ ลากรในภาพรวมอยูํในระดบั มาก ครผู ูส๎ อนมีคุณวุฒทิ างด๎านปฐมวยั โดยตรง มีมนุษย๑สัมพันธท๑ ด่ี ีตอํ ผ๎ูปกครอง และชมุ ชน ซึง่ สอดคล๎องกับแผนการศึกษาแหงํ ชาติ ฉบบั ท่ี 11 (2555-2559) ยุทธศาสตร๑ท่ี 1 ยกระดบั คณุ ภาพ และมาตรฐานผเู๎ รยี น ครู คณาจารย๑ บคุ ลากรทางการศึกษาและสถานศึกษา โดยมีจุดมุํงหมายพัฒนาคุณภาพ การศกึ ษาทุกระดับทุกประเภท เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนได๎รับการศึกษาที่มีคุณภาพ มาตรฐานและมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นสูงขึน้ สามารถเรียนรดู๎ ว๎ ยตนเอง และสามารถดารงชีวติ ในสังคมไดอ๎ ยาํ งมคี วามสุข สํงเสริมและพัฒนาครู คณาจารย๑ และบคุ ลากรทางการศึกษาใหม๎ สี มรรถนะตามมาตรฐานวชิ าชพี รวมทั้งพฒั นาสถานศึกษาทุกระดับ และประเภทให๎มีคุณภาพและมาตรฐานไดร๎ ับการรับรองจากสานกั งานรับรองมาตรฐาน และประเมินคุณภาพ การศึกษา (สมศ.) ครผู ๎ูสอนแตงํ กายสะอาดเรยี บร๎อย พดู จาสภุ าพครผู ส๎ู อนมีมนุษย๑สัมพันธ๑ที่ดกี ับนักเรยี น และ ผ๎ูปกครอง ครผู ูส๎ อนมคี วามเมตตา กรุณาตํอนกั เรยี น และครผู ๎สู อนมีความรบั ผดิ ชอบสูง ดูแลเอาใจใสํนักเรียน อยํางใกล๎ชิดครผู ๎สู อนมปี ระสบการณ๑ในวชิ าท่สี อน และมีเทคนิคการสอนท่ีเหมาะสม จากการศึกษาพบวําโรงเรียนขนาดใหญํมีคําเฉล่ียของคะแนนในภาพรวมสูงท่ีสุด และโรงเรียน ขนาดเล็กมีคําเฉลี่ยของคะแนนในภาพรวมต่าท่ีสุด ทั้งนี้อาจเป็นเพราะโรงเรียนขนาดเล็กมีข๎อจากัดหลาย ประการทงั้ ดา๎ นจานวนบคุ ลากรครู ระบบการสรรหาและคัดเลอื กบุคลากรเขา๎ ทางาน รวมทั้งงบประมาณทใี่ ชใ๎ น การพฒั นาบุคลากร 2.2 ระดับการปฏิบัติในการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูกรณีโรงเรียนเอกชน ในเขตดุสิต กรงุ เทพมหานคร จาแนกตามผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู๎เรียน พบวํากลุํมโรงเรียนท่ีมีผ๎ูเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนสูง มีระดับการปฏิบัติในการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครู แตกตํางจากกลุํ มโรงเรียนท่ีมี ผ๎ูเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า โดยภาพรวมและเป็นรายด๎าน โดยกลุํมโรงเรียนที่มีผ๎ูเรียนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรยี นสงู มรี ะดบั การปฏิบัติมากกวาํ กลุํมโรงเรียนที่มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่าอาจเนื่องมาจากป๓จจัย ด๎านครมู อี ิทธพิ ลอยาํ งยง่ิ โดยตรงตอํ ประสทิ ธิผลของโรงเรยี นคือ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผ๎ูเรียน ซึ่งป๓จจัย ดา๎ นครไู ดแ๎ กคํ ณุ ลักษณะของครูซงึ่ ได๎แกํ วุฒิการศึกษาของครตู รงกบั สาขาทส่ี อน ความเช่ียวชาญ ประสบการณ๑ ความชานาญในงานที่มอบหมาย และคุณภาพการสอนของครู ไดแ๎ กํ กระบวนการในการจัดการเรียนร๎ูท้ังหมด ไดแ๎ กํ การจดั ทาหลักสตู ร การนาหลกั สูตรไปใช๎ การประเมนิ ผลการใช๎หลักสูตร การพัฒนาผ๎ูเรียน การบริหาร จัดการชัน้ เรยี น การวจิ ัยในชั้นเรียน ความรํวมมือกับชุมชนได๎แกํ ความรํวมมือกับผู๎ปกครองในการแก๎ไขและ พัฒนาผู๎เรียน ความรํวมมือในการจัดกิจกรรมตําง ๆ ของสถานศึกษากับหนํวยง านตําง ๆ และชุมชน ดังนั้น โรงเรียนใดทม่ี กี ารสํงเสริมสมรรถนะในงานของครมู าก ประสิทธผิ ล คอื ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นจะมากตามไป การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 550

ดว๎ ย ซงึ่ สอดคล๎องกับงานวจิ ัยของ อดิพล เปียทอง (2555) ท่ีได๎ศึกษาการวิเคราะห๑ และสังเคราะห๑ป๓จจัยการ บริหารที่สํงผลตํอประสิทธิผลการปฏิบัติงานของบุคลากรครูในโรงเรียน การศึกษาข้ันพื้นฐานเอกชนในเขต ปรมิ ณฑล กรุงเทพมหานคร ผลการศกึ ษาพบวาํ ครูผ๎มู ีความร๎ู ความสามารถดี มีประสบการณ๑ทางการสอนมาก จะชํวยให๎ครูมีเทคนิค และแนวทางในการสอนตํางกัน ซ่ึงชํวยให๎ผู๎เรียนรู๎ตํางกัน การที่ครูมีสํวนรํวมเวลา ปฏบิ ตั ิงาน เป็นปจ๓ จยั ที่ทาใหง๎ านเกิดความสาเรจ็ รวมทั้งการสนบั สนนุ ของผ๎บู ริหาร ถ๎าผู๎บริหารสนับสนนุ ครูใน เรอ่ื งตําง ๆ ทั้งงบประมาณการพฒั นาบคุ ลากร รวมทง้ั วสั ดอุ ปุ กรณต๑ ําง ๆ จะสํงผลทางบวกตํอการปฏิบัติงาน ของครู 3. ปญ๓ หาและอุปสรรคเก่ียวกับการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูกรณีโรงเรียนเอกชน ในเขต ดุสติ กรุงเทพมหานคร ทพ่ี บคือ โรงเรียนขาดการวางแผนในการพฒั นาบคุ ลากร ขาดความรํวมมือกับชุมชน ใน การจัดการการศกึ ษา งบประมาณไมํเพยี งพอ ช่ัวโมงการสอนของครตู อํ สัปดาห๑มากเกินไป ดงั นน้ั ข๎อเสนอแนะ แนวทางในการเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูท่ีได๎จากการศึกษาคือ โรงเรียนควรวางแผนในจัดอบรม สมั มนาและให๎ครศู กึ ษาดูงานทง้ั ในและนอกโรงเรยี นโดยมกี ารสอบถามความต๎องการ และความจาเป็นในการ พัฒนาจากครใู นด๎านตาํ ง ๆ จดั สรรงบประมาณให๎เพียงพอในการเสริมสร๎างสมรรถนะของครู จัดสรรช่ัวโมง การสอนของครูให๎เหมาะสม และรํวมมือกับชมุ ชนในการจัดกิจกรรมทางการศกึ ษาเป็นอยํางดี ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ๎ เสนอแนะทไ่ี ดจ๎ ากการวจิ ยั 1) ขอ๎ เสนอแนะระดับนโยบาย สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาเอกชน ซึ่งเป็นหนวํ ยงานต๎นสังกัดของโรงเรียนเอกชน ควรมี นโยบายสงํ เสรมิ ใหโ๎ รงเรียนเอกชนในสงั กัดประเมินสมรรถนะของครเู ชนํ เดยี วกับสานักงานคณะกรรมการศึกษา ข้ันพน้ื ฐานท่ีมีการประเมนิ สมรรถนะของครโู รงเรยี นรฐั บาล ทั้งนี้เพื่อใช๎ผลการประเมินมาใชใ๎ นการพัฒนาครูท้งั ระบบ อีกท้ังระดับนโยบายจะตอ๎ งให๎ความสาคญั ในการชวํ ยเหลือโรงเรียนเอกชนในการพัฒนาสมรรถนะของ บคุ ลากรโดยใช๎โรงเรยี นเป็นฐาน 2) ขอ๎ เสนอในระดบั โรงเรยี น จากการศึกษาวิจัย เร่ือง การเสริมสร๎างสมรรถนะในงานของครูกรณีรงเรีย นเอกชน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร โดยรวมอยํูในระดับมาก แตํเม่ือพิจารณาระดับการปฏิบัติเป็นรายด๎าน โรงเรียนควรให๎ ความสาคญั 3 ด๎าน ดังน้ี 1. ด๎านความรวํ มมอื กบั ชมุ ชน โรงเรยี นควรจัดให๎ครเู ขา๎ รํวมกจิ กรรมของชุมชน เชนํ การเขา๎ รํวม กจิ กรรมตาํ ง ๆ ทช่ี ุมชนจดั การใหค๎ รูออกไปเยย่ี มเยยี นผป๎ู กครอง สนบั สนนุ ใหค๎ รูจดั กจิ กรรมทีช่ มุ ชนจะเขา๎ มามี สํวนรํวม เชนํ การจัดงานวิชาการประจาปี เชญิ บคุ คลภายนอก ผู๎ปกครองมาเป็นวิทยากรในการให๎ความรู๎ ใช๎ แหลํงเรยี นรู๎ ภูมิป๓ญญาทอ๎ งถิน่ และปราชญท๑ ๎องถน่ิ ในการจัดการศึกษา การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 551

2. ด๎านภาวะผนู๎ าครู โรงเรียนควรจัดระบบให๎ครูวางแผนรํวมกันในการทางาน เสริมสร๎างขวัญ และกาลังใจในการทางาน สํงเสริมให๎ครูสืบค๎นข๎อมูลความรู๎ทางวิชาชีพใหมํๆ ท่ีสร๎างความท๎าทายในการ สนทนาอยํางสร๎างสรรค๑กับผอ๎ู น่ื 3. ดา๎ นการวิเคราะห๑ สงั เคราะห๑ และการวิจยั เพือ่ พฒั นาผเู๎ รียน โรงเรียนควรจัดระบบการดูแล ชํวยเหลือครเู ก่ียวกับการสารวจและวเิ คราะหป๑ ๓ญหา การกาหนดวิธีการในการแก๎ป๓ญหา ประมวลผลการวิจัย และหาข๎อสรุปอยํางเป็นระบบ มีการสงํ เสรมิ การจดั ระบบสารสนเทศงานวิจยั ในชน้ั เรียนของครูใหท๎ นั สมัยอยาํ ง สม่าเสมอ ให๎โอกาสครูเผยแพรงํ านวจิ ยั ของตนเองอยํางสมา่ เสมอ 2. ขอ๎ เสนอแนะในการทาวิจยั คร้งั ตํอไป 1) ควรศกึ ษาการเสรมิ สรา๎ งสมรรถนะหลกั ของครูโรงเรยี นเอกชน ได๎แกํการมุงํ ผลสัมฤทธใ์ิ นงาน การ บรกิ ารทด่ี ี การพัฒนาตนเอง การทางานเปน็ ทมี จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวชิ าชีพครู 2) ควรศึกษาบทบาทของผู๎บริหารสถานศึกษาเอกชน ในการเสริมสร๎างสมรรถนะของครูในการ จัดการเรยี นรู๎ เอกสารอา้ งองิ เขม็ ทอง ศิริแสงเลิศ. (2555). หน่วยท่ี 6 การบริหารจัดการเรียนรู้. ในประมวลชุดวชิ าการจดั และ บริหารองคก์ ารทางการศกึ ษา สาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช. นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. นฤป สบื วงศา. (2552). ความสมั พันธร์ ะหวา่ งการบรหิ ารงานบคุ คลของผู้บริหารสถานศึกษากบั สมรรถนะการปฏบิ ัติหนา้ ทข่ี องครู สงั กัดสานักงานเขตพน้ื ทก่ี ารศึกษาอดุ รธาน.ี วทิ ยานิพนธ๑หลักสูตรปริญญามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา บณั ฑติ วิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภฏั อดุ รธานี. ฟูาใส นามเทียร. (2557). ปจ๓ จัยทมี่ ผี ลตอํ การตดั สนิ ใจของผปู๎ กครองในการสํงบุตรหลานเขา๎ เรียน โรงเรียนอนุบาลเอกชนขนาดเล็ก ในกรุงเทพมหานคร. วารสารอิเลคทรอนคิ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย 9(3), 327-338. ภษู ติ วงษเ๑ ลก็ . (2549). ความคาดหวงั ของผ้ปู กครองในการนาบตุ รหลานเขา้ เรียน ในโรงเรียนเอกชน ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้นในกรงุ เทพมหานคร. วทิ ยานิพนธห๑ ลกั สูตรปรญิ ญามหาบณั ฑิต สาขาธุรกิจศกึ ษาการตลาด บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ. ศกั ด์ิสิทธ์ิ แรทํ อง. (2549). ตวั แปรทพี่ ยากรณพ์ ฤตกิ รรมการสอนของครทู ่เี นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคัญใน สถานศึกษา สังกัดสานกั เขตพื้นท่ีการศึกษาชมุ พร. วทิ ยานพิ นธ๑หลักสูตรปริญญามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ. สานกั งานคณะกรรมการสงํ เสรมิ การศกึ ษาเอกชน. (2551). กรอบทศิ ทางการพัฒนาการศึกษาในชว่ ง แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับท่ี 10 (พ.ศ.2550-2554) ทีส่ อดคลอ้ งกบั แผนการศกึ ษาแห่งชาติ (พ.ศ.2554-2559). กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ๑แหํงจุฬาลงกรณ๑ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 552

สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา. (2552). ข้อเสนอการปฏริ ูปการศกึ ษาในทศวรรษทีส่ อง (พ.ศ.2552-2561). กรุงเทพฯ: บรษิ ัท พรกิ หวานกราฟฟคิ จากดั . สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.(2556). บทวิเคราะหส์ ถานภาพการพฒั นาครทู งั้ ระบบ และข้อเสนอแนะแนว ทางการพฒั นาครูเพอื่ คุณภาพผู้เรยี น. กรุงเทพฯ: บรษิ ัท พรกิ หวานกราฟฟคิ จากดั . สานกั พัฒนาครู และบคุ ลกรทางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน. (2554). คมู่ อื ประเมนิ สมรรถนะครู (ฉบับปรับปรุง). กรุงเทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน. (อัดสาเนาเย็บเลมํ ) อดพิ ล เปียทอง. (2555). การวิเคราะหแ์ ละสงั เคราะห์ปจั จยั ทางการบริหารทสี่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผล การปฏบิ ัติงานของบุคลากรครใู นโรงเรียนการศกึ ษาขัน้ พื้นฐานเอกชนในเขตปรมิ ณฑล กรุงเทพมหานคร. วทิ ยานิพนธห๑ ลักสตู รปรญิ ญาดษุ ฎีบณั ฑติ สาขาวิชาบริหารการศกึ ษาและผ๎ูนา การเปล่ียนแปลง บัณฑิตวิทยาลยั มหาวิทยาลยั อีสเทิรน๑ เอเชีย. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 553

ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนสามโคก สงั กดั องค์การบรหิ ารส่วนจงั หวัดปทมุ ธานี RELATIONSHIP BETWEEN ACADEMIC LEADERSHIP OF SCHOOL ADMINISTRATORS AND EFFECTIVENESS OF SAMKHOK SCHOOL UNDER PATHUMTHANI PROVINCIAL ADMINISTRATION ORGANIZATION ชอื่ ผ้แู ต่ง นางสาวนิชานนั ท๑ ราวนั หน่วยงานทีส่ งั กดั คณะครศุ าสตรอ๑ ุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี e-mail [email protected] บทคัดย่อ การวิจยั ครัง้ น้ี มวี ตั ถุประสงคเ๑ พ่ือ 1) ศึกษาระดับภาวะผ๎นู าทางวชิ าการของผูบ๎ ริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวนจังหวัดปทุมธานี 2) ศึกษาระดับประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนสามโคกสังกัด องคก๑ ารบรหิ ารสํวนจงั หวัดปทุมธานี และ 3) ศกึ ษาความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผ๎ูนาทางวิชาการของผ๎ูบริหาร โรงเรยี นกับประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนสามโคกสงั กดั องคก๑ ารบรหิ ารสํวนจังหวดั ปทุมธานี ประชากรทีใ่ ช๎ ในการวิจัย คือ ครผู สู๎ อนโรงเรยี นสามโคกสังกดั องคก๑ ารบริหารสํวนจังหวัดปทุมธานีประจาปีการศึกษา 2559 จานวน 198คนเครื่องมอื ทใี่ ชใ๎ นการวจิ ัยเป็นแบบสอบถาม สถิติท่ีใช๎ในการวิเคราะห๑ข๎อมูล ได๎แกํ คําร๎อยละ คํา เฉล่ีย คําเบ่ียงเบนมาตรฐาน และคําสหสัมพันธ๑ของ เพียรส๑ ัน ผลการวจิ ยั พบวาํ 1) ระดับภาวะผู๎นาทาง วิชาการของผบู๎ ริหารโรงเรียนสามโคกสังกัดองค๑การบรหิ ารสํวนจังหวดั ปทุมธานี โดยภาพรวมอยูํในระดับมาก 2) ระดับประสทิ ธิผลการบริหารโรงเรยี นสามโคกสังกดั องคก๑ ารบรหิ ารสํวนจังหวัดปทุมธานี โดยภาพรวมอยํูในระดับ มาก และ 3) ความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผู๎นาทางวิชาการของผู๎บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลการบริหาร โรงเรียนสามโคกสงั กัดองคก๑ ารบรหิ ารสํวนจังหวดั ปทุมธานี โดยภาพรวมมีความสัมพันธ๑กันทางบวกในระดับสูง อยํางมนี ัยสาคญั ทางสถิติทร่ี ะดบั .01 คาสาคัญ: ภาวะผ๎ูนาทางวิชาการประสิทธิผลการบริหารโรงเรียน การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 554

ABSTRACT This research was to study 1) the level of academic leadership of school administrators under Pathum thani Provincial Administration Organization, 2) the level of effectiveness of Samkhok School under Pathum thani Provincial Administration Organization, and 3) the relationship between instructional leadership of school administrators and effectiveness of Samkhok School under Pathum thani Provincial Administration Organization. The population of this research was consisted of 198 teachers of Samkhok School under Pathumthani Provincial Administration Organization in academic years 2015. The research instrument used was a questionnaire. The statistics used for data analysis were percentage, average, standard deviation and Pearson’s product moment correlation coefficient to determine the relationship. The research showed that 1) the level of academic leadership of school administrators under Pathum thani Provincial Administration Organization was the overall at the high level, 2) the level of effectiveness of Samkhok School under Pathum thani Provincial Administration Organization was the overall at the high level, and 3) the relationship between academic leadership of school administrators and effectiveness of Samkhok School under Pathum thani Provincial Administration Organization revealed positive relationship in high level were statistically significant at the .01. Keywords: Academic leadership, effectiveness of school บทนา พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 ที่แก๎ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 กลําวถงึ การปฏริ ูปการศึกษาและกาหนดเกณฑม๑ าตรฐานการศึกษาแหงํ ชาติ โดยให๎ความ สาคัญกับ การจัดการเรียนการสอนที่เน๎นผ๎ูเรียนเป็นสาคัญ รวมท้ังการพัฒนาหลักสูตร และการจัดสาระการเรียนร๎ูให๎ ผเ๎ู รยี นเกดิ การเรียนรอ๎ู ยํางเต็มศักยภาพ และการวดั ผลประเมินผลตามสภาพจรงิ มาตรา 39 กลําวถึง หลกั การ บรหิ ารการศกึ ษา ซง่ึ ไดก๎ าหนดใหก๎ ระทรวงกระจายอานาจการบรหิ ารและการจัดการศึกษาท้ังในด๎านวิชาการ งบประมาณ การบริหารงานบคุ คล และการบริหารทั่วไป ไปยงั คณะกรรมการสานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาและ สถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง ดังนั้นผู๎บริหารโรงเรียนจึงต๎องมีบทบาทสาคัญในฐานะหัวหน๎า หนํวยงานท่ีใกล๎ชิดกับครู และผู๎เรียนมากท่ีสุด ผู๎บริหารโรงเรียนนอกจากจะต๎องเป็นผู๎มีวิสัยทัศน๑ คุณธรรม จริยธรรม มที กั ษะในการบริหารงานแลว๎ จาเปน็ ต๎องเปน็ ผน๎ู าทางวิชาการ (สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาระบบ ราชการ, 2553, น. 13) ภายใต๎บริบทการเปล่ียนแปลงของโลกมีผลกระทบอยํางกว๎างขวางตํอการพัฒนา การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 555

ประเทศในอนาคต ตลอดท้ังการทบทวนผลการพัฒนาท่ีผํานมาและสถานะของประเทศไทยได๎สะท๎อนป๓ญหา เชงิ โครงสรา๎ งระบบเศรษฐกจิ สงั คม ส่ิงแวดล๎อม และการบริหารจดั การประเทศท่ขี าดความสมดุลไมยํ ั่งยนื และ เปราะบาง ผลกระทบจากความผันผวนของป๓จจยั ภายนอกท่เี ปลยี่ นแปลงรวดเรว็ และซบั ซ๎อนมากข้ึน ประเทศ ไทยจึงจาเป็นต๎องปรับตัวหันมาทบทวนกระบวนทัศน๑การพัฒนาให๎เป็นไปในทางสายกลางตามหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงและการพฒั นาแบบองคร๑ วมที่มคี นเป็นศนู ยก๑ ลางเพื่อให๎ประเทศดารงอยํูได๎อยํางมั่นคงและ นาไปสกํู ารพัฒนาทีส่ มดลุ เป็นธรรมและยัง่ ยนื ภายใตก๎ ระแสโลกาภวิ ตั นแ๑ ละสถานการณก๑ ารเปลี่ยนแปลง จาก พระราชบัญญัติการศึกษาแหงํ ชาติ พ.ศ.2542 สํงผลใหป๎ ระเทศไทยเกดิ การปฏิรูปการศึกษาครั้งยิ่งใหญํ มีการ เปลี่ยนแปลงทางการศึกษาตามมาเป็นอ ยํางมากไมํวําจะเป็นโครงสร๎างกระบวนการจัดการเรียนการสอน กระบวนการมีสํวนรํวมในการจัดการเรียนการสอนเพื่อเปูาหมายที่สาคัญคือ พัฒนาผ๎ูเรียนให๎เป็นมนุษย๑ท่ี สมบูรณ๑ทั้งรํางกายและจิตใจ สติป๓ญญา ความรู๎และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยรํู วํ มกนั กับผูอ๎ ่ืนได๎อยาํ งมคี วามสุข พระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแหํงชาติ พ.ศ.2542 แกไ๎ ขเพมิ่ เตมิ (ฉบับ ท่ี 2) พ.ศ.2545 ในการดาเนนิ การตามแนวปฏริ ูปการศึกษาให๎ประสบผลสาเร็จจาเป็นต๎องอาศัยองค๑กรปฏิบัติ คอื สถานศึกษา ซ่ึงหมายถึงการปฏิบัติหน๎าท่ีของผ๎ูบริหารสถานศึกษา ครูและบุคลาก รทางการศึกษาได๎เป็น อยํางดี และผู๎บริหารสถานศึกษาจะต๎องเป็นผู๎นาการปฏิรูปที่มีประสิทธิภาพ (ธีระ รุญเจริญ , 2546, น. 2) ความสาเรจ็ หรือความมปี ระสทิ ธิผลของโรงเรยี นขนึ้ อยูกํ ับภาวะผนู๎ าของผู๎บริหารเป็นป๓จจัยให๎ครูจะทํุมเทชีวิต จิตใจให๎กับการเรียนการสอนจนบรรลุผลสาเรจ็ ซึ่งจะสํงผลตํอการพัฒนาคุณภาพโดยรวมของโรงเรียน ความ เข๎มแข็งและโดดเดนํ ด๎านภาวะผน๎ู าเปน็ ป๓จจยั ท่สี ํงผลสาเร็จเป็นคณุ ลกั ษณะของผบู๎ ริหารท่ีมีประสิทธิภาพ และ ประสทิ ธิผล ผูบ๎ ริหารโรงเรียนต๎องมีความเป็นผ๎ูนาทางวิชาการเป็นองค๑ประกอบที่มีความสาคัญอยํางย่ิงของ ผบ๎ู ริหารจะทาใหง๎ านวชิ าการประสบผลสาเร็จ ต๎องมคี ณุ ลกั ษณะและบทบาทของการเป็นผ๎ูนาทางวิชาการ ซ่ึง จะกํอใหเ๎ กิดผลสาเรจ็ ในการบริหารงานวชิ าการ ผบ๎ู รหิ ารโรงเรยี นท่ีประสบผลสาเรจ็ เน่ืองจากมีพฤตกิ รรมความ เปน็ ผูน๎ าทางวิชาการ (ณฐั ชนก ชยั ศรี, 2555, น. 5) ผ๎บู รหิ ารสถานศึกษาเป็นบคุ คลสาคัญในการดาเนนิ กจิ การ การตาํ งๆ ของสถานศึกษา เพราะผบู๎ ริหารเป็นผท๎ู ่ีมอี านาจในการตัดสนิ ใจ วางแผน อานวยการ มอบหมายงาน และกากบั ให๎เปน็ ไปตามวัตถุประสงค๑ จึงตอ๎ งสร๎างภาวะผนู๎ า (Leadership) ท่เี ขม๎ แข็งในการบรหิ ารงาน เพอ่ื ให๎ เกิดประสทิ ธิภาพและประสทิ ธิผล ผ๎ูบริหารท่ีมีความเป็นผู๎นาหรือใช๎ภาวะผ๎ูนาได๎อยํางเหมาะสมตามบทบาท หน๎าที่ของผู๎บริหารท่ีดี จะสํงผลตํอความสาเรจ็ ในการดาเนินงานภายในสถานศกึ ษาได๎อยาํ งชดั เจน เพราะผ๎ูนามี ความสามารถในการใช๎อิทธพิ ลโน๎มน๎าวจงู ใจบคุ ลากรในการปฏิบัติงาน และให๎บุคลากรตระหนักถึงความเป็น สํวนหนึง่ ของความสาเรจ็ ของงาน เกดิ ความรวํ มมือรวํ มใจในการปฏบิ ตั หิ นา๎ ทที่ ไี่ ด๎รบั มอบหมายให๎บรรลุผลตาม วตั ถุประสงค๑ องคก๑ ารเจรญิ ก๎าวหนา๎ และเกิดการพัฒนาในด๎านตํางๆอยํางตํอเน่ือง (มัลลิกา เชาว๑ป๓ญญเวช , 2556, น. 2) ผ๎ูบริหารโรงเรียนจึงนับวํามีความสาคัญตํอการจัดการทางการศึกษา ผ๎ูบริหารซ่ึงเป็นผ๎ูนาใน โรงเรยี นจะสงํ ผลตํอการพัฒนาการศึกษาเป็นอยาํ งมาก โดยทั่วไปคณุ ลกั ษณะของผูบ๎ รหิ ารจดั การจะตอ๎ งเปน็ ผม๎ู ี ความรูด๎ ีมีปฏิภาณไหวพรบิ ดี มีบุคลิกภาพดี มีความคิดริเริ่ม ร๎ูจักปรับปรุงแก๎ไขความสามารถในการโน๎มน๎าว จิตใจ มีความเข๎าใจบุคลิกท่ัวไปและเข๎าใจสังคมได๎ดี มีความอดทนและรับผิดชอบสูง มีมนุษย๑สัมพันธ๑ที่ดี ประสานงานไดด๎ ี มคี วามเชื่อมัน่ ในตนเองสงู และยอมรบั นบั ถือ ผซ๎ู ึ่งให๎ความชํวยเหลือผู๎อ่ืนและความยุติธรรม การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 556

ลักษณะดังกลําวไมไํ ด๎หากนั ได๎งาํ ยๆ ในโรงเรียนทห่ี ายากยง่ิ กวําน้นั คือ ภาวะผู๎นาหรือความเป็นผ๎ูนา (ธร สุนท รายุทธ, 2551, น. 2) ซ่ึงผ๎ูบริหารต๎องมีความสามารถในการบริหารงานวิชาการและเป็นผู๎นาทางวิชาการ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหํงชาติได๎กาหนดเกณฑ๑การประเมินผ๎ูบริหารไว๎ 3 เกณฑ๑หนึ่งในน้ัน คือ ผู๎บริหารโรงเรียนต๎องมีความเป็นผู๎นาทางวิชาการ ได๎แกํ 1) วิสัยทัศน๑ในการจัดการศึกษาให๎ทันกับการ เปลีย่ นแปลง 2) ความเป็นผ๎นู าในการริเรม่ิ การใชน๎ วตั กรรมเพ่ือการเรยี นการสอน 3) สงํ เสรมิ การนาเทคโนโลยี สารสนเทศ และการส่ือสารมาใช๎ในการปฏริ ูปการเรียนร๎ู 4) ศกั ยภาพในการพ่งึ ตนเองในการพฒั นางานวิชาการ 5) การแสวงหาความร๎ูใหมๆํ มาปรับใช๎ตลอดเวลา (ธีระ รุญเจริญ, 2546, น. 22) ซึ่งการบริหารการศึกษาใน โรงเรยี นเพอ่ื ใหโ๎ รงเรียนประสบผลสาเร็จ และสอดคล๎องกับแนวทางการปฏิรูปการศึกษาน้ัน ป๓จจัยสาคัญตํอ การเสริมสรา๎ งการเรยี นรู๎ในโรงเรยี น ซึ่งการจัดการศกึ ษาต๎องยึดหลกั วาํ ผเู๎ รยี นทุกคนมีความสามารถเรียนร๎ู และ พัฒนาตนเองได๎ คอื ระบบการบรหิ ารจดั การทม่ี ีประสิทธิภาพ และการมีสํวนรํวม ซ่ึงการจัดการศึกษาต๎องยึด หลักวําผู๎เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนร๎ูและพัฒนาตนเองได๎ และถือวําผู๎เรียนมีความสาคัญท่ีสุด กระบวนการจัดการศึกษาต๎องสํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ดังน้ัน ผ๎ูบริหารโรงเรียนจึงมีบทบาทที่สาคัญอยํางย่ิงในฐานะผู๎นาหลัก ซึ่งมีภาระหน๎าท่ีสาคัญ คือ เป็นผู๎นาทาง การศึกษา มคี วามรบั ผดิ ชอบในการบรหิ ารงานดา๎ นตาํ งๆ ทเ่ี ก่ียวข๎อง ทั้งน้ีการจัดการศึกษาให๎บรรลุเปูาหมาย อยํางมีประสิทธิภาพได๎นั้น จึงจาเป็นต๎องมีการกระจายอานาจและให๎ทุกฝุายมีสํวนรํวม ซ่ึงกาหนดให๎มีการ จัดระบบโครงสร๎างและกระบวนการจัดการศึกษาของไทยใหม๎ ีเอกภาพในเชิงนโยบาย และหลากหลายในทาง ปฏิบัติ โดยกระทรวงศึกษาธิการได๎กระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษา ทั้งในด๎านการบริ หาร วิชาการ การบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป ไปยังคณะกรรมการเขตพื้นท่ี การศึกษา รวมท้ังโรงเรียนในเขตพ้ืนท่ีการศึกษา โดยการกระจายอานาจดังกลําวนั้น ได๎สํงผลให๎โรงเรียนมี ระบบการบริหารงานท่ีเป็นนิติบุคคล กลําวคือ มีความคลํองตัวและมีอิสระใน การบริหารและจัดการศึกษา เป็นไปตามหลกั การบริหารจดั การโดยใช๎โรงเรียนเป็นฐาน (School Based Management) จึงเป็นการสร๎าง รากฐานและความเข๎มแข็งใหส๎ ถานศึกษา (กระทรวง ศึกษาธกิ าร, 2546, น. 6-7) โรงเรียนสามโคก สงั กัดองค๑การบริหารสํวนจังหวัดปทุมธานี มีแนวทางในการบริหารงานโดยการใช๎ อานาจตามนโยบายการกระจายอานาจการบริหารจดั การศึกษาการดาเนินงานจะต๎องได๎รับความรวํ มมือจากทกุ ฝาุ ยท่ีเก่ียวขอ๎ งตามโครงสรา๎ งการบรหิ าร ท้ังผูบ๎ ริหารโรงเรยี น ครู นกั เรียนผป๎ู กครอง ชุมชนหนํวยงานราชการ และหนวํ ยงานเอกชน เพ่ือการบริหารโรงเรียนขับเคลื่อนไปอยํางมีประสิทธิภาพ จากผลการดาเนินงานของ สถานศกึ ษาตามรายงานประจาปี พบวาํ การบรหิ ารวิชาการได๎จัดโครงการรณรงค๑ใหน๎ กั เรียนมาศึกษาตํอในช้ัน ม.1 ให๎มากข้ึนโดยจัดกิจกรรมแนะแนวการศึกษาตํอ กิจกรรมพี่ชวนน๎องมาเรียน ทาให๎โรงเรียนสามโคก มี นักเรียนเพิ่มมากข้ึนทวีคูณ ปีพ.ศ.2552 มีนักเรียน 320 คน ปีพ.ศ.2553 มีนักเรียน 676 คน ปีพ.ศ.2554 มี นักเรียน 1,300 คน ปี 2555 มีนักเรียน 1,640 คน ปี 2559 มีนักเรียนท้ังส้ิน 3,727 คนและ ปี 2560 มี นักเรียน 4,514 คน การบริหารงานบุคลากร จัดระบบการประเมินผลการปฏิบัติงาน ด๎วยระบบคุณธรรม การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 557

บริสุทธิ์ ยุติธรรม พฒั นาครูและบุคลากรโดยจัดประชมุ อบรมเองและสงํ ไปประชุมอบรมตามท่ีหนํวยงานตํางๆ จัดขึ้น การบริหารงานท่ัวไป ปรับปรุงภูมิทัศน๑และส่ิงแวดล๎อมให๎นําอยํูมากย่ิงขึ้น จากท่ีกลําวมาข๎างต๎น ตลอดจนนโยบายการบริหารจัดการสถานศึกษาเป็นนิติบุคคลกาหนดให๎มีการ กระจายอานาจงานทั้ง 4 งาน ได๎แกํ การบริหารวิชาการ การบริหารงบประมาณ การบริหารงานบุคคล และการบริหารทั่วไป เป็นเหตุให๎ โรงเรยี นต๎องปรับเปลยี่ นวฒั นธรรม องค๑การหรอื วัฒนธรรมการทางานของโรงเรียน จากท่ีเคยรอรับคาสั่งจาก หนวํ ยเหนอื กวํามาเป็นการบริหารโดยเร่ิมที่ตนเองกํอนและสนองความต๎องการของชุมชน โดยมีคณะบุคคล ตํางๆ เขา๎ มามีสํวนรํวมในการบรหิ ารจัดการศึกษาโดยตรงมากข้นึ ความสมั พันธร๑ ะหวํางภาวะผ๎ูนาทางวิชาการ ของผ๎ูบรหิ ารโรงเรียนกับประสทิ ธผิ ลการบริหารโรงเรียนสามโคก สงั กดั องคก๑ ารบริหารสํวนจงั หวัดปทุมธานี จึง เปน็ เรอ่ื งที่นําสนใจอยํางยิ่ง เพราะผลจากการศึกษาจะทาให๎ผ๎ูวิจัยสามารถเข๎าใจถึงผลของปรากฏการณ๑ การ บริหารสถานศึกษาโดยการบริหารงานทั้ง 4 ด๎าน จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และนอกจากน้ีการศึกษา ความสมั พนั ธ๑ระหวาํ งภาวะผ๎นู าทางวิชาการของผูบ๎ รหิ ารโรงเรียนกับประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนสาม โคก สงั กัดองค๑การบรหิ ารสวํ นจงั หวัดปทมุ ธานยี งั ไมมํ ีการศึกษาไว๎ ผ๎ูวิจัยจึงสนใจศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะ ผน๎ู าทางวชิ าการของผบู๎ ริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวน จังหวัดปทมุ ธานี โดยสังเคราะหก๑ รอบแนวคดิ ภาวะผ๎ูนาทางวิชาการ ประกอบด๎วย 1) การกาหนดภารกิจของ โรงเรียน 2) การจัดการด๎านการเรียนการสอน 3) การสํงเสริมบรรยากาศทางวิชาการ สํวนประสิทธิผลการ บริหารโรงเรียนจะพิจารณาในการบริหารโรงเรียนใน 4 ด๎าน คือ ด๎านการบริหารวิชาการ ด๎านการบริหาร งบประมาณ ดา๎ นการบริหารงานบุคคล และด๎านการบริหารงานทว่ั ไป ซึ่งผลการวิจัยที่ได๎สามารถนาไปใช๎เป็น แนวทางในการสํงเสรมิ ภาวะผน๎ู าทางวิชาการกบั ประสทิ ธิผลการบริหารโรงเรยี นของผู๎บริหารโรงเรียน รวมทั้ง ใชเ๎ ปน็ ข๎อมูลในการพัฒนาการบรหิ ารโรงเรยี น เพ่ือใหเ๎ กิดการบริหารงานทีม่ ีประสทิ ธภิ าพตอํ ไป วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย 1. เพ่ือศึกษาระดับภาวะผ๎ูนาทางวิชาการของผ๎ูบริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวน จังหวดั ปทุมธานี 2. เพ่ือศึกษาระดับประสทิ ธผิ ลการบรหิ ารโรงเรียนสามโคก สังกดั องคก๑ ารบริหารสํวนจังหวดั ปทมุ ธานี 3. เพ่ือศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผู๎นาทางวิชาการของผู๎บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลการ บริหารโรงเรียนสามโคก สงั กัดองคก๑ ารบริหารสวํ นจังหวดั ปทมุ ธานี วิธดี าเนินการวจิ ัย ประชากร การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 558

ประชากรท่ีใช๎ในการวิจัยครั้งนี้ได๎แกํ ครูผ๎ูสอนโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวนจังหวัด ปทุมธานี ประจาปกี ารศกึ ษา 2559 จานวน 198 คน เครอ่ื งมือ เครอื่ งมอื และการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ลกั ษณะของเครอ่ื งมือท่ใี ชใ๎ นการวิจัยครง้ั นี้ เป็นแบบสอบถาม เพ่อื ศกึ ษาความสัมพนั ธร๑ ะหวาํ งภาวะผูน๎ าทาง วิชาการของผู๎บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวนจังหวัด ปทุมธานโี ดยแบบ สอบถามแบงํ ออกเปน็ 3 ตอน ดังนี้ ตอนท่ี 1 เปน็ แบบสอบถามเกีย่ วกบั ข๎อมลู ทว่ั ไปของผ๎ตู อบแบบสอบถาม ได๎แกํ เพศ อายุ วุฒิการศึกษา และประสบการณใ๑ นการปฏิบตั ิงาน เปน็ แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) จานวน 4 ข๎อ ตอนท่ี 2 เป็นแบบสอบถามเกีย่ วกับภาวะผูน๎ าทางวิชาการ ลักษณะแบบสอบถามเป็นแบบสอบถาม ชนิดมาตราสํวนประมาณคํา (Rating Scale) 5 ระดับ ของลิเคิร๑ท (Likirt Scale) เพ่ือสอบถามความคิดเห็น เกีย่ วกบั ภาวะผน๎ู าทางวชิ าการ โดยมีองค๑ประกอบ 3 ดา๎ น จานวน 24 ขอ๎ ตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกบั ประสิทธิผลการบริหารโรงเรียน ผว๎ู ิจยั พัฒนามาจากหลักการของ กระทรวงศกึ ษาธิการ (2550, น. 30-55) เป็นการวดั ประสทิ ธผิ ลการบริหารโรงเรียน 4 กลุํมงาน การสร้างเครื่องมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั 1) ศกึ ษาเอกสาร แนวคิดหลกั การ และเอกสารงานวิจยั ที่เกย่ี วขอ๎ งกับความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะ ผนู๎ าทางวิชาการของผ๎ูบริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวน จังหวัดปทมุ ธานี เพ่ือเป็นแนวทางในการพัฒนาเคร่อื งมือ 2) ศกึ ษาวธิ ีการสร๎างเครื่องมอื ท่เี ป็นแบบสอบถามเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) และแบบ มาตราสวํ นประมาณคํา (Rating Scale) 5 ระดับ 3) รวบรวมเนื้อหาและความรทู๎ ่เี ก่ยี วข๎องตามวตั ถปุ ระสงคแ๑ ละกรอบแนวคิดของการวจิ ัย 4) ดาเนนิ การสรา๎ งเคร่อื งมอื แบบสอบถามท้ัง 3 ตอนให๎ครอบคลุมเนื้อหาและกรอบแนวคิดของ การวจิ ยั 5) นาเครื่องมือท่ีเป็นแบบสอบถามที่สร๎างเสร็จ แล๎วเสนอตํออาจารย๑ท่ีปรึกษา ผ๎ูควบคุม วทิ ยานิพนธ๑ เพือ่ ตรวจสอบความถกู ต๎องและให๎ข๎อเสนอแนะ จากนั้นนามาแก๎ไข ปรับปรุงเนื้อหา และการใช๎ ภาษาให๎ถกู ต๎องสมบรู ณ๑ 6) นาเครื่องมือที่เป็นแบบสอบถามที่ผํานการแก๎ไขปรับปรุงเรียบร๎อยแล๎วเสนอตํอผ๎ูเชี่ยวชาญ ทางด๎านเน้ือหาและด๎านวัดผลประเมินผล จานวน 5 ทํานเพื่อตรวจสอบความตรงเชิงเน้ือหา การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 559

(Content/Validity)/ของเครื่องมือแล๎วนามาคานวณหาคําดัชนีความสอดคล๎อง ( Index/of/Item Objective/Congruence: IOC) ระหวํางข๎อคาถามกับเนื้อหา เกณฑ๑การพิจารณาเลือกข๎อคาถาม พิจารณา จากขอ๎ คาถามท่ีมีคําดัชนีที่สอดคล๎องไมํต่ากวํา0.50 และต๎องปรับปรุงแก๎ไขตามข๎อเสนอแนะกํอนที่จะนาไป ทดลองใช๎ ผลการตรวจสอบสรุปประเด็นโดยหาคาํ IOC พบวํา ทกุ ขอ๎ คาถามมีคําเทํากบั 0.60-1.00 7) นาเครอ่ื งมือทเ่ี ปน็ แบบสอบถามทแ่ี ก๎ไขปรับปรุงแล๎วตามข๎อเสนอแนะไปให๎อาจารย๑ที่ปรึกษา วทิ ยานิพนธด๑ คู วามเหมาะสมอีกครง้ั 8) นาเครื่องมอื ทเี่ ปน็ แบบสอบถามไปทดลองใช๎ (Try2Out) กับครโู รงเรยี นวัดปาุ งว้ิ สงั กดั องคก๑ าร บริหารสํวนจังหวัดปทุมธานี จานวน 30 คน โดยนาผลการตอบแบบสอบถามมาวิเคราะห๑หาคําความเชื่อม่ัน/ (Reliability)/โดยใช๎สัมประสิทธ์ิแอลฟาของครอนบาค/(Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยคํา สัมประสิทธ์ิแอลฟา (α- Coefficient) ของตอนท่ี 2 เก่ียวกับภาวะผู๎นาทางวิชาการเทํากับ 0.91 ตอนที่ 3 เก่ยี วกบั ประสทิ ธิผลการบรหิ ารโรงเรียน มคี ําสมั ประสิทธิ์แอลฟา เทํากับ 0.93 และคําสัมประสิทธิ์แอลฟาทั้ง ฉบบั เทํากับ 0.96 วิธีเก็บรวบรวมขอ้ มลู 1. /ประสานงานบัณฑิตศึกษาคณะครุศาสตร๑อุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เพื่อทาหนังสือเกี่ยวกับการขอความอนุเคราะห๑เก็บข๎อมูลการวิจัยถึงผู๎อานวยการโรงเรียนสามโคก สังกัด องคก๑ ารบรหิ ารสวํ นจังหวดั ปทมุ ธานี เพื่อขอความอนเุ คราะหใ๑ นการใช๎แบบสอบถามเก็บรวบรวมข๎อมูล 2. นาหนงั สอื ขอความอนุเคราะห๑พร๎อมทั้งแบบสอบถามสํงไปยังโรงเรียน เพ่ือขออนุญาตในการเก็บ รวบรวมข๎อมูลจากครูที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวนจังหวัดปทุมธานีท่ีเป็นกลุํม ตวั อยาํ ง กาหนด วนั เวลา สถานทีข่ อรบั แบบสอบถามคนื ภายใน 2 สปั ดาห๑ 3. ผ๎ูวิจัยเก็บรวบรวม ติดตาม และตรวจสอบแบบสอบถามท่ไี ด๎รบั คนื จานวน 198 ชุด การวิเคราะหข์ ้อมูล ผว๎ู จิ ยั ตรวจสอบความถูกต๎อง ความสมบูรณ๑ของแบบสอบถามที่ได๎รับคืนมาจากตัวอยํางที่กาหนดไว๎ เพ่ือนาแบบสอบถามมาวเิ คราะหข๑ ๎อมลู ตามวัตถปุ ระสงคแ๑ ละสมมติฐานท่วี างไวจ๎ านวน 198 ชดุ วิเคราะห๑ข๎อมลู ดว๎ ยใช๎โปรแกรมสาเรจ็ รปู ทางสถิติ แล๎วนาข๎อมลู ท้งั หมดมาดาเนนิ การดงั น้ี ตอนท่ี 1 วิเคราะห๑ข๎อมูลเก่ียวกับสถานภาพของผู๎ตอบแบบสอบถามมีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) โดยวิเคราะห๑ด๎วยคาํ ความถ่ี (f) และคาํ รอ๎ ยละ (%) การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 560

ตอนที่ 2 วเิ คราะห๑ขอ๎ มูลเกี่ยวกับภาวะผู๎นาทางวชิ าการมลี กั ษณะเป็นแบบมาตราประมาณคาํ 5 ระดับ (Rating scale) โดยวิเคราะหโ๑ ดยใชค๎ ําเฉลยี่ และคาํ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน ตอนที่ 3 วเิ คราะหข๑ อ๎ มลู เก่ยี วกบั ประสทิ ธิผลการบรหิ ารโรงเรยี น เป็นแบบมาตราประมาณคํา 5 ระดบั (Rating scale) โดยวิเคราะห๑โดยใช๎คําเฉล่ียและคําเบีย่ งเบนมาตรฐาน การแปลความหมายของภาวะผน๎ู าทางวชิ าการ และประสิทธผิ ลการบรหิ ารโรงเรยี นใชว๎ ิธีการแบํงระดับคาํ เฉล่ยี ออกเปน็ ชํวงตามวิธกี ารของ ธานินทร๑ ศลิ ป์จารุ (2553, น.75) ตอนท่ี 4 วิเคราะห๑หาความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผู๎นาทางวิชาการของผู๎บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลการ บริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวนจังหวัดปทุมธานี สาหรับการแปลความหมายของคํา สมั ประสิทธส์ิ หสมั พนั ธข๑ องเพยี ร๑สนั (Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient) เปรยี บเทยี บ กับเกณฑ๑ (ชูศรี วงศ๑รตั นะ, 2553, น. 316) สรปุ ผลการวิจยั และอภปิ รายผล ผลการสรุปข๎อมูลเก่ียวกับภาวะผู๎นาทางวิชาการของผู๎บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลการบริหาร โรงเรยี นสามโคก สงั กดั องคก๑ ารบรหิ ารสํวนจงั หวัดปทุมธานี สรปุ ผลการวจิ ยั ได๎ดงั นี้ 1. สถานภาพทวั่ ไปของผ๎ูตอบแบบสอบถาม สํวนใหญํเป็นเพศหญิง ร๎อยละ 66.16 มีอายุ 21–30 ปี ร๎อยละ 44.95 วฒุ ิการศกึ ษาปริญญาตรี รอ๎ ยละ 82.32 มปี ระสบการณใ๑ นการปฏิบัติงาน 6–10 ปี คิดเป็นร๎อย ละ 35.86 2. ระดับภาวะผู๎นาทางวิชาการของผ๎ูบริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑กา รบริหารสํวนจังหวัด ปทุมธานี ในภาพรวมอยํูในระดับมาก มีคําเฉล่ีย 4.19 สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.66 เม่ือพิจารณารายด๎าน พบวํา มีการปฏิบัติอยูํในระดับมากทุกด๎าน โดยการสํงเสริมบรรยากาศทางวิชาการ มีระดับการปฏิบัติท่ีมี คาํ เฉลยี่ สูงสดุ เทาํ กบั 4.23 สํวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.69รองลงมาได๎แกํ ด๎านการจัดการด๎านการเรียนการสอน มีคําเฉลยี่ เทํากบั 4.22 สวํ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.68 และด๎านท่ีมีคําเฉลี่ยนอ๎ ยทส่ี ุดคือ การกาหนดภารกิจของ โรงเรียน มคี าํ เฉลย่ี เทํากับ 4.13 สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.72 ตามลาดับ 3. ระดับประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวนจังหวัดปทุมธานี ใน ภาพรวมอยูํในระดับมาก มีคําเฉล่ีย 4.20 สํวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.65 เม่ือพิจารณารายด๎าน พบวํา มีการ ปฏิบตั อิ ยูใํ นระดับมากทกุ ดา๎ น โดยการบริหารวิชาการ มีระดับการปฏิบัติที่มีคําเฉลี่ยสูงสุดเทํากับ 4.28 สํวน เบย่ี งเบนมาตรฐาน 0.66 รองลงมาไดแ๎ กํ การบริหารงานทวั่ ไป มคี าํ เฉลยี่ เทํากบั 4.22 สวํ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.70 การบรหิ ารงานบคุ คล มีคาํ เฉลี่ยเทํากบั 4.17สํวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน0.75 และด๎านที่มีคําเฉล่ียน๎อยท่ีสุด คอื การบรหิ ารงบประมาณ มคี ําเฉลยี่ เทาํ กับ 4.14 สวํ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน 0.69 ตามลาดบั การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 561

4. ความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผ๎ูนาทางวิชาการของผู๎บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลการบริหาร โรงเรยี นสามโคก สงั กดั องคก๑ ารบริหารสวํ นจงั หวดั ปทุมธานี โดยภาพรวม (Xtot) และ (Ytot) มีคําสัมประสิทธ์ิ สหสมั พันธเ๑ ทาํ กบั 0.882 มคี วามสมั พนั ธก๑ ันระดบั สงู 5. ผลการศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผ๎ูนาทางวิชาการด๎านการกาหนดภารกิจของโรงเรียน มี ความสมั พันธก๑ นั ระดับสูงเทํากับ 0.830 แสดงวํา ภาวะผู๎นาทางวิชาการด๎านการกาหนดภารกิจของโรงเรียนมี ความสัมพันธก๑ บั ประสทิ ธผิ ลการบริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวนจังหวัดปทุมธ านี ที่ระดับ นัยสาคญั ทางสถิติ .01 โดยมีความสมั พันธท๑ ศิ ทางบวกในระดบั สูง 6. ผลการศึกษาความสมั พันธ๑ระหวาํ งภาวะผูน๎ าทางวิชาการด๎านการจัดการด๎านการเรียนการสอน มี ความสัมพนั ธ๑กันระดบั สูงเทาํ กบั 0.839 แสดงวํา ภาวะผ๎นู าทางวิชาการด๎านการจัดการด๎านการเรียนการสอน มคี วามสัมพนั ธก๑ บั ประสทิ ธผิ ลการบริหารโรงเรยี นสามโคก สังกดั องคก๑ ารบริหารสํวนจังหวัดปทุมธานี ท่ีระดับ นยั สาคญั ทางสถติ ิ .01 โดยมีความสัมพนั ธท๑ ศิ ทางบวกในระดบั สูง 7. ผลการศกึ ษาความสัมพนั ธร๑ ะหวํางภาวะผู๎นาทางวิชาการดา๎ นการสงํ เสรมิ บรรยากาศทางวชิ าการ มี ความสัมพนั ธ๑กันระดบั สูงเทาํ กบั 0.857 แสดงวํา ภาวะผ๎นู าทางวิชาการด๎านการสํงเสริมบรรยากาศทางวิชาการ มคี วามสมั พันธก๑ บั ประสิทธิผลการบรหิ ารโรงเรียนสามโคก สังกดั องคก๑ ารบริหารสํวนจังหวัดปทุมธานี ที่ระดับ นัยสาคญั ทางสถติ ิ .01 โดยมีความสมั พันธ๑ทิศทางบวกในระดบั สงู อภิปรายผล จากการศกึ ษาวจิ ยั มปี ระเด็นทน่ี าํ สนใจนามาอภิปราย ดังนี้ 1. จากการวจิ ัยพบวํา ภาวะผูน๎ าทางวิชาการของผู๎บริหารโรงเรียน ในภาพรวมอยํูในระดับมาก และ เมอ่ื พจิ ารณาเปน็ รายด๎านพบวําอยใูํ นระดบั มากทุกด๎าน ทั้งน้ีอาจจะเน่ืองมาจากครูผ๎ูสอนอาจมองวําผ๎ูบริหาร โรงเรียนต๎องมีมาตรฐานตามเกณฑ๑ท่ี ก.ค.ศ. กาหนด จึงทาให๎ผู๎บริหารเล็งเห็นถึงความสาคัญของการจัด การศึกษาให๎ไดค๎ ุณภาพตามมาตรฐานการศกึ ษา เพอ่ื สงํ เสรมิ ให๎ผู๎เรยี นมีคณุ ลกั ษณะดี เกํง และมีความสุข เป็น ความหวงั สงู สุดของคนในชาติ ในการสร๎างสรรคค๑ วามเจรญิ ก๎าวหน๎าของสังคมให๎เป็นไปในทิศทางท่ีปรารถนา เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการที่ชํวยให๎คนได๎พัฒนาตนเองในด๎านตําง ๆ โดยโรงเรียนทุกแหํงได๎นา กระบวนการประกนั คุณภาพการศึกษาซ่ึงเป็นวิธีการจัดการคุณภาพอยํางเป็นระบบ เพื่อสร๎างความม่ันใจตํอ ผป๎ู กครอง ชมุ ชน สังคม ในการปฏบิ ตั ิหรอื การดาเนินงานของสถานศกึ ษาตามพนั ธกจิ ทไ่ี ด๎รํวมกันกาหนดไว๎น้ัน จะได๎ผลผลิตของการศึกษาทมี่ ีคณุ ภาพ อนั พงึ ประสงคต๑ ามความคาดหวังของผ๎ูปกครอง ชมุ ชน และสังคม และ ครูผู๎สอนอาจมองวําผู๎บริหารโรงเรียนให๎ความสาคัญกับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ. 2552- 2561) ตามกรอบแนวทางการปฏิรูปการศกึ ษา ดงั นี้ คอื พัฒนาคุณภาพคนไทยยคุ ใหมํ พฒั นาคณุ ภาพครูยุคใหมํ การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 562

พัฒนาคุณภาพสถานศึกษายุคใหมํและแหลํงเรียนรู๎ยุคใหมํ และพัฒนาการบริหารจัดการยุคใหมํ รวมถึง นโยบายการจดั การศกึ ษาของโรงเรียนที่มุํงเน๎นพัฒนานักเรียนให๎ตรงตามศักยภาพของแตํละบุคคล และการ รวํ มมอื รํวมใจกันของผ๎ูบริหารองค๑การบริหารสํวนจังหวัดปทุมธานีและผู๎บริหารของโรงเรียนท่ีมีแผนพัฒนา การศึกษาและมีการตรวจสอบเปน็ ระยะเพื่อใหเ๎ กิดประโยชน๑สงู สุด สอดคลอ๎ งกบั รํุงนภา นุตราวงศ๑ (2552, น. 75) กลําวถงึ ผู๎บริหารโรงเรียนวาํ ตอ๎ งเป็นผู๎นาทางวชิ าการและ มคี วามร๎ูความเข๎าใจเร่อื งมาตรฐานและหลักสูตร ซ่ึงเป็นหัวใจของการพัฒนาคุณภาพการศึกษา เพื่อให๎สามารถชํวยเหลือให๎คาแนะนาแกํครูและบุคลากรท่ี เกี่ยวขอ๎ งตลอดจนการตัดสินใจในทิศทางท่ถี กู ตอ๎ ง และเหมาะสมกับความต๎องการของโรงเรียน ซ่ึงสอดคล๎อง กับงานวิจัยของ สิริทร คงคูณ (2556, น. 95-103) ได๎ศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผ๎ูนาทางวิชาการกับ ประสทิ ธิผลของการบรหิ ารงานของผบ๎ู รหิ ารสถานศกึ ษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 (ศรสี ะเกษ-ยโสธร) ผลการศกึ ษาพบวาํ ภาวะผน๎ู าทางวชิ าการของการบริหารงานของผ๎ูบริหารสถานศึกษา โดย ภาพรวมอยํูในระดับมาก และงานวิจัยของ ฉัตรชัย ไชยมงค๑ (2552, น. 108-125)ได๎ศึกษาความสัมพันธ๑ ระหวํางภาวะผน๎ู าทางวิชาการของผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษากับประสิทธิผลการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนที่ เปดิ สอนชวํ งช้นั ท่ี 3-4 สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษานครพนม เขต 2 ผลการวิจัยพบวํา ระดับภาวะผู๎นา ทางวชิ าการของผ๎บู รหิ ารโรงเรียนทเ่ี ปดิ สอนชวํ งชน้ั ท่ี 3-4 สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษานครพนม เขต 2 โดยรวมอยํูในระดับมาก สอดคล๎องกับงานวิจัยของ ละอองดาว ปะโพธิง (2554, น. 81-82) ได๎ศึกษา ความสัมพันธร๑ ะหวาํ งภาวะผู๎นาทางวิชาการของผู๎บริหารสถานศกึ ษากบั พฤตกิ รรมการสอนทม่ี ปี ระสิทธิผลของ ครูในสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา จังหวัดเลย ผลการวิจัย พบวํา ภาวะผนู๎ าทางวิชาการของผ๎ูบริหารสถานศกึ ษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา จังหวัด เลย โดยภาพรวมมคี าํ เฉลย่ี อยูใํ นระดับมาก และงานวิจัยของ วันเผด็จ มีชัย (2554, น. 94-99) ได๎ศึกษาภาวะ ผ๎ูนาทางวิชาการที่สํงผลตํอการบริหารงานวิชาการในโรงเรียนสังกัดองค๑ การบริหารสํวนจังหวัดขอนแกํน ผลการวจิ ัยพบวาํ ผู๎บริหารโรงเรยี น สงั กัดองคก๑ ารบรหิ ารสํวนจงั หวัดขอนแกํน มีภาวะผู๎นาทางวิชาการโดยภาพ รวมอยูํในระดบั มาก และงานวจิ ัยของ ณฐั ชนก ชยั ศรี (2555, น. 90-97) ได๎ศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะ ผู๎นาทางวิชาการของผ๎ูบริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มัธยมศึกษาเขต 19 ผลการวิจัยพบวํา ภาวะผ๎ูนาทางวิชาการของผู๎บริหารโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษามธั ยมศึกษาเขต 19 โดยภาพรวมพบวํา อยํูในระดบั มาก 2. จากการวิจัยพบวํา ประสิทธิผลการบริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวนจังหวัด ปทุมธานี ในภาพรวมอยใูํ นระดับมาก และเมอ่ื พิจารณาเป็นรายดา๎ นพบวาํ อยํูในระดบั มากทุกด๎าน ท้ังน้ีอาจจะ เน่ืองมาจากผู๎บรหิ ารโรงเรียนจาเป็นจะต๎องสร๎างความตระหนักและรับผิดชอบรํวมกับครู บุคลากรทุกคนใน โรงเรยี นรวมท้งั ผู๎ที่มสี วํ นเก่ียวข๎อง เพือ่ ใหเ๎ กดิ ประสทิ ธผิ ลในการบรหิ ารโรงเรยี น อีกท้ังแนวนโยบายเชิงรุกของ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 563

ต๎นสังกัดมีการติดตามประเมินผลอยํูเป็นระยะ รวมถึงชาญ พวงเพ็ชร๑ นายกองค๑การบริหารสํวนจังหวัด ปทุมธานี ให๎ความสาคัญกับการจัดการศึกษาของโรงเรียนเป็นอยํางมาก ทุกสัปดาห๑จะมีการติดตามค วาม คืบหนา๎ ของภาระงานของผ๎ูบริหารแตลํ ะคน และเปดิ โอกาสให๎แตลํ ะคนเสนอแนวความคิดใหมํๆในการพัฒนา โรงเรียน ทุกเดือนจะมีการประชุมรํวมกับครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อสอบถามถึงป๓ญหาและหาแนว ทางแกไ๎ ขจงึ สํงผลใหก๎ ารบริหารงานและนโยบายในการจัดการศึกษาตํางๆ ดาเนินไปอยํางดี ซ่ึงสอดคล๎องกับ งานวิจัยของ ภัทรา พึ่งไพฑูรย๑ (2555, น. 89-94) ได๎ศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผู๎นาทางวิชาการของ ผบ๎ู รหิ ารสถานศกึ ษากบั ประสิทธผิ ลของโรงเรยี น สังกัดสานกั งานเขตพน้ื ท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาปราจีนบรุ ี เขต 1 ผลการวจิ ยั พบวาํ ประสิทธิผลของโรงเรยี น สงั กัดสานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 มี คําเฉลี่ยโดยรวมอยูํในระดับมาก และงานวิจัยของ อภิเดช พลเยี่ยม (2556, น. 106-109) ได๎ศึกษา ความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผ๎ูนาทางวิชาการกับประสิทธิผลของโรงเรียนของผ๎ูบริหารสถานศึกษา สังกัด สานักงานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษารอ๎ ยเอ็ด เขต 3 พบวาํ ประสทิ ธิผลของโรงเรยี น สังกัดสานักงานเขต พ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษารอ๎ ยเอด็ เขต 3 โดยภาพรวมมคี าํ เฉลี่ยอยใูํ นระดับมาก และงานวิจัยของ เพ็ญนภา พลับฉิม (2559, น. 110-118) ไดศ๎ ึกษาภาวะผ๎นู าทางวิชาการของผู๎บริหารสถานศึกษาท่ีสํงผลตํอประสิทธิผล ของโรงเรียน สังกัดสานกั งานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 2 ผลการวิจัยพบวาํ ประสิทธผิ ลของ โรงเรียน โดยภาพรวมอยํูในระดับมาก และงานวิจัยของ สิริทร คงคูณ (2556, น. 95-103) ได๎ศึกษา ความสมั พันธร๑ ะหวํางภาวะผน๎ู าทางวชิ าการกับประสทิ ธิผลของการบริหารงานของผู๎บริหารสถานศึกษา สังกัด สานกั งานเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 28 (ศรีสะเกษ-ยโสธร) ผลการศึกษาพบวํา ประสิทธิผลของการ บรหิ ารงานของผูบ๎ รหิ ารสถานศกึ ษา โดยภาพรวมอยูํในระดบั มาก 3. ผลการวิจยั ความสัมพนั ธร๑ ะหวาํ งภาวะผน๎ู าทางวิชาการของผบ๎ู รหิ ารโรงเรียนกับประสิทธิผลการ บริหารโรงเรียนสามโคก สังกัดองค๑การบริหารสํวนจังหวัดปทุมธานี ที่ระดับนัยสาคัญทางสถิติ .01 โดย ความสมั พนั ธท๑ ศิ ทางบวกในระดบั สูง ท้งั น้อี าจเน่อื งมาจากครูผส๎ู อนเปน็ หัวใจที่สาคัญทางการศกึ ษาซ่ึงได๎รับการ สํงเสริม และพัฒนาให๎มีคุณภาพและมาตรฐานให๎เหมาะสมกับวิชาชีพช้ันสูง ตลอดจนการประกันคุณภาพ การศกึ ษาทีโ่ รงเรยี นจะต๎องผาํ นการประเมนิ เพ่อื รับรองคุณภาพการศกึ ษา จึงทาใหค๎ รูตระหนักในบทบาทหนา๎ ที่ ของตน ทงั้ ในเรื่องความสมั พนั ธ๑ระหวํางครกู บั นกั เรยี น บคุ ลกิ ภาพของความเป็นครู การสร๎างบรรยากาศในช้ัน เรียน การจัดการกระบวนการเรียนการสอน การใช๎จิตวิทยาการเรียนรู๎ การควบคุมช้ันเรียนและการวัดผล ประเมินผล รวมถงึ การติดตามนเิ ทศการสอนอยํางเปน็ ระบบและหลายรปู แบบเพอื่ สํงเสรมิ ให๎ครไู ด๎มแี นวทางใน การจัดการเรียนการสอนท่ีหลากหลาย มีการสงํ เสรมิ ให๎ครไู ดเ๎ ขา๎ รบั การอบรมเพ่มิ เติมความรเ๎ู พื่อพัฒนาผ๎ูเรียน สอดคล๎องกับงานวิจัยของ ภัทรา พ่ึงไพฑูรย๑ (2555, น. 89-94) ได๎ศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผ๎ูนาทาง วิชาการของผ๎ูบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศึกษา การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 564

ปราจนี บุรี เขต 1 ผลการวจิ ยั พบวาํ ความสมั พันธร๑ ะหวํางภาวะผ๎นู าทางวิชาการกับประสทิ ธผิ ลของโรงเรยี น สังกัด สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาปราจีนบุรี เขต 1 เป็นไปในทางบวกอยํูในระดับคํอนข๎างสูง อยํางมี นัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 และงานวิจัยของ ณัฐชนก ชัยศรี (2555, น. 90-97) ได๎ศึกษาความสัมพันธ๑ ระหวํางภาวะผ๎ูนาทางวิชาการของผู๎บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษามัธยมศึกษาเขต 19 ผลการวิจัยพบวํา ความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผ๎ูนาทางวิชาการของผู๎บริหาร โรงเรียนกับประสิทธิผลของโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามธั ยมศึกษาเขต 19 ผลการวิจัยพบวํา มีความสัมพันธ๑ทางบวกอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และงานวิจัยของ สิริทร คงคูณ (2556, น. 95- 103) ได๎ศึกษาความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผู๎นาทางวิชาการกับประสิทธิผลของการบริหารงานของผู๎บริหาร สถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 (ศรีสะเกษ-ยโสธร) ผลการศึกษาพบวํา ความสัมพันธ๑ระหวํางภาวะผ๎ูนาทางวิชาการกับประสิทธิผลของการบริหารงานของผ๎ูบริหา รสถานศึกษามี ความสัมพันธก๑ นั ทางบวกอยใูํ นระดบั สูงอยํางมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดบั .01 ข้อเสนอแนะ 1. ควรมีการศึกษารูปแบบภาวะผ๎ูนาของผ๎ูบริหารโรงเรียนท่ีสํงผลตํอการบริหารงานวิชาการของ โรงเรียนสามโคก สงั กดั องค๑การบรหิ ารสํวนจงั หวดั ปทมุ ธานี 2. ควรมกี ารศึกษาความสัมพันธร๑ ะหวํางภาวะผน๎ู าทางวชิ าการของผู๎บริหารโรงเรียนกับประสิทธิภาพ การสอนของครโู รงเรียนสามโคก สงั กดั องคก๑ ารบรหิ ารสํวนจงั หวดั ปทมุ ธานี เอกสารอา้ งอิง กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2546). พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 ฉบบั แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ฉบับท่ี 2 พ.ศ.2545. กรุงเทพฯ: กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. กระทรวงศึกษาธิการ. (2550). แนวทางกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษาให้ คณะกรรมการสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาและสถานศึกษา ตามกฎกระทรวง กาหนด หลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศกึ ษา พ.ศ.2550. กรงุ เทพฯ: กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. ฉัตรชยั ไชยมงค๑. (2552). ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษากับ ประสิทธิผลการบรหิ ารงานวชิ าการของโรงเรยี นทีเ่ ปิดสอนช่วงชั้นที่ 3-4 สังกัดสานักงานเขตพื้นที่ การศกึ ษานครพนม เขต 2. วิทยานพิ นธป๑ ริญญามหาบณั ฑิต. มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร. การประชุมทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 565

ณัฐชนก ชัยศรี. (2555). ความสัมพันธร์ ะหว่างภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรยี นกับประสิทธิผล ของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 19. วิทยานิพนธ๑ปริญญา มหาบณั ฑติ มหาวิทยาลยั ราชภฏั เลย. ธร สนุ ทรายทุ ธ. (2551). การบริหารจดั การเชิงปฏิรูปทฤษฎวี ิจยั และปฏิบตั ทิ างการศกึ ษา.กรงุ เทพฯ: เนติ กุลการพิมพ๑การพิมพ๑. ธรี ะ รุญเจรญิ . (2553). ความเปน็ มืออาชพี ในการจัดและบรหิ ารการศกึ ษายุคปฏิรปู การศกึ ษา (ฉบบั ปรับปรุง) เพือ่ ปฏิรูปรอบสองและประเมนิ ภายนอกรอบสาม. กรงุ เทพฯ : ขา๎ วฟาุ ง. เพญ็ นภา พลบั ฉิม. (2559). ภาวะผนู้ าทางวชิ าการของผู้บริหารสถานศกึ ษาทส่ี ง่ ผลตอ่ ประสทิ ธผิ ล ของโรงเรยี น สงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาราชบรุ ี เขต 2. วทิ ยานพิ นธป๑ ริญญามหาบัณฑติ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครปฐม. ภทั รา พ่งึ ไพฑูรย๑. (2555). ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งภาวะผนู้ าทางวชิ าการของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา กบั ประสิทธผิ ลของโรงเรยี น สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่กี ารศึกษาประถมศึกษาปราจนี บุรี เขต 1. วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญามหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั ราชภัฏราชนครินทร์. มลั ลิกา เชาว๑ปญ๓ ญเวช. (2556). ภาวะผนู้ าทางวชิ าการของผู้บริหารในโรงเรยี นเอกชนสงั กดั สานักงานเขต พน้ื ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษานนทบรุ ี เขต 2. วทิ ยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัย รังสิต. ละอองดาว ปะโพธงิ . (2554). ความสัมพันธร์ ะหวา่ งภาวะผนู้ าทางวชิ าการของผบู้ ริหารสถานศกึ ษากบั พฤตกิ รรมการสอนท่มี ีประสิทธิผลของครใู นสถานศกึ ษาระดบั มัธยมศกึ ษาสงั กัดสานักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศกึ ษาจังหวดั เลย.วิทยานิพนธ๑ปรญิ ญามหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. วันเผดจ็ มีชัย. (2554). ภาวะผู้นาทางวิชาการที่สง่ ผลต่อการบริหารงานวชิ าการในโรงเรยี น . มปท. สิรทิ ร คงคณู . (2556). ความสัมพันธร์ ะหว่างภาวะผู้นาทางวิชาการกับประสิทธิผลของการบรหิ ารงานของ ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา สังกัดสานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 (ศรีสะเกษ-ยโสธร). การคน๎ ควา๎ อิสระปรญิ ญามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม อภิเดช พลเย่ียม. (2556). ความสมั พันธ์ระหวา่ งภาวะผู้นาทางวิชาการกับประสทิ ธิผลของโรงเรยี น ของผูบ้ ริหารสถานศกึ ษา สังกัดสานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษารอ้ ยเอด็ เขต 3. วทิ ยานพิ นธป๑ ริญญามหาบณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกนํ . Bamburg, J.D. & Andrews, R.L. (1990). Instructional Leadership, School Goals, and Student Achievement: Exploring the Relationship between Means and Ends. Available http://www.dbonline.igroupnet.com/eric/detail.nsp. การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 566

Davis, G.A., & Thomas, M.A. (1989). Effective schools and effective teacher. Boston: Allyn & Bacon. Hallinger, P. & Murphy, J. (1985). Assessing the Instructional Management Behavior of Principals. Chicago: The University of Chicago. Hanny, R. (1987). Use, But Don't Abuse, The Principles of Instructional Effectiveness. The Clearing House, 60(5), pp.209-211. Heck W.C. et al. (1990). “vision and Problem Finding in Principals Weak : Values and Cognition in Administration.“ Peabody Journal of Education. 63. McEwan, E.K. (1998). Seven Steps to Effective Instructional Leadership. CA: Corwin Pr. Rutherford, W. L. (1987). Taking Charge of Change. California: Association for Supervision and Curriculum Development. Ubben, G.C. & Hughes, L.W. (1987). The Principal : Creative Leadership for Effective Schools. Boston : Allyn and Bacon. Weber, E. (1989). General System Theory: Foundations, Development, Applications. New York : George Braziller. การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 567

การพฒั นาความสามารถการเขยี นภาษาองั กฤษของนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 1 โดยจดั กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบ PWIM Improving Writing ability of Seventh Grade Students through PWIM (Picture Word Inductive Model) ชอ่ื ผู้แต่ง นางสาวนนทชิ า คาดวง หน่วยงานทส่ี งั กัด คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ e-mail [email protected] บทคดั ยอ่ การวจิ ัยในคร้งั นมี้ ีจดุ ประสงค๑เพอ่ื นเพือ่ ศกึ ษาความสามารถด๎านการเขียนของนกั เรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยการจัดกจิ กรรมการเรียนร๎แู บบ PWIM (Picture Word Inductive Model) โดยมีนกั เรียนร๎อยละ 70 มี ผลสัมฤทธิ์ด๎านการเขียนผํานเกณฑ๑เฉลี่ยร๎อยละ 70 ข้ึนไป และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตํอการจัด กจิ กรรมการเรียนรแู๎ บบ PWIM (Picture Word Inductive Model) กลุมํ ตัวอยาํ งคือนกั เรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปี ท่ี 1 โรงเรยี นนา้ พองพัฒนศึกษา รชั มงั คลาภิเษก จานวน 25 คน ซึ่งได๎จากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เคร่ืองมือท่ีใช๎ในการวิจัย ประกอบด๎วย แผนการจัดการเรียนร๎ูโดยใช๎กิจกรรมการเรียนร๎ูแบบ PWIM (Picture Word Inductive Model),แบบทดสอบความสามารถในการเขียน และแบบประเมินความพงึ พอใจของนกั เรยี นที่มีตอํ การจดั กจิ กรรมการเรียนร๎ูแบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) วิเคราะห๑ ข๎อมูลความสามารถในการเขียนภาษาอังกฤษนกั เรียนและความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีตํอการจัดการเรียนรู๎ โดยการหาคําเฉลี่ย (X ) สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และคําร๎อยละ (Percentage) ผลการวิจัยพบวํา ความสามารถด๎านการเขียนภาษาองั กฤษของนกั เรยี นช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 มีคะแนนเฉลี่ย 28.04 คะแนน คิด เป็นร๎อยละ 70.1 และจานวนนกั เรยี นทีม่ ีคะแนนผาํ นเกณฑร๑ ๎อยละ 70 จานวน 16 คน คิดเป็นนักเรียนจานวน ร๎อยละ 64 ของนักเรียนทั้งหมด ซ่งึ นอ๎ ยกวาํ เกณฑท๑ กี่ าหนดไว๎ แตํจากการประเมินแบบฝึกความสามารถด๎าน การเขียนภาษาองั กฤษโดยจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูแบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) มีคําเฉล่ีย 13.28, 13.24, 14.52, 17.92 และ 18.80 แสดงให๎เห็นวํานักเรียนมีพัฒนาการทางด๎านการเขียนดีข้ึน ตามลาดับ และความพึงพอใจของนักเรยี นทม่ี ตี อํ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู๎โดยภาพรวมอยูํในระดับมาก คาสาคัญ: ความสามารถด๎านการเขยี น, การจดั กจิ กรรมการเรียนรแู๎ บบ PWIM การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 568

ABSTRACT The purposes of this study were as follows: (1) to improve writing ability of Seventh Grade Students through PWIM (Picture Word Inductive Model) by 70 percent of students meet the criteria of not less than 70 percent or higher and (2) to study students’ satisfaction toward PWIM (Picture Word Inductive Model). The sample was 25 seventh grade students of Nampongpattanasuksa Ratchamangklapisek School selected by purposive sampling. Research instruments consisted of 5 PWIM lesson plans, writing test, and students’ satisfaction questionnaire. The Statistic Package for Social Sciences (SPSS) was used to analyze data for means, standard deviation, and percentage. The results of this study were: (1) the students’ means score were 28.04 (70.1%) and there were 16 students reached the 70 percent criterion (64%) that was lower than the prescribed criterion. However, the students’ average score of writing exercise were 13.28, 13.24, 14.52, 17.92 and 18.80 respectively, which means PWIM (Picture Word Inductive Model) can improve the students’ achievement in writing ability. (2) The analysis of the questionnaire revealed that the students gave positive responses towards the use of Picture Word Inductive Model at the high level. KEYWORDS: Picture Word Inductive Model, Writing ability บทนา จากนโยบายการจดั การเรียนการสอนภาษาองั กฤษ ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ปีพุทธศักราช ท่ีวําเพ่ือให๎การจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให๎เป็นไปตาม 2557 มาตรฐานสากล จึงให๎ใช๎กรอบมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษท่ีเป็นสากล ได๎แกํ The Common European Framework of Reference for Languages (CEFR) เป็นกรอบความคดิ หลักในการจัดการเรียน การสอนภาษาอังกฤษของประเทศไทย ทั้งในการออกแบบหลักสูตร การพัฒนาการเรียนการสอน การทดสอบ การวัดผล การพัฒนาครู รวมถึงการกาหนดเปูาหมายการเรียนรู๎ และปรับจุดเน๎นการเรียนการสอน ภาษาองั กฤษให๎เปน็ ไปตามธรรมชาติของการเรียนรู๎ภาษาโดยเน๎นการสื่อสาร )Communicative Language Teaching: CLT) ท่ีเริ่มจาก การฟง๓ ตามดว๎ ยการพดู การอําน และการเขียนตามลาดบั ซึ่งทักษะการเขียนเป็น ทกั ษะทย่ี ากสาหรบั นกั เรยี นเนอ่ื งจากเป็นทกั ษะท่ีมกี ระบวนการซบั ซอ๎ นเปน็ ทักษะทตี่ ๎องได๎รับการฝกึ ฝน เรียนร๎ู จากประสบการณ๑ อยาํ งไรก็ตามการฝึกทักษะการเขยี น สามารถชํวยใหน๎ กั เรียนไดพ๎ ัฒนาทักษะการเรียนรภู๎ าษา ด๎านอ่ืนๆด๎วย และชํวยสํงเสริมทักษะการพูด เนื่องจากทักษะทั้งสองทักษะเป็นกระบวนการผลิตภาษา )language production) เชํนเดียวกันกับทักษะการอํานและทักษะการฟ๓งท่ีสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพราะ เป็นทักษะดา๎ นการรบั รู๎ )perception)เหมือนกัน ดงั นัน้ การเขยี นจงึ เป็นทักษะท่ยี ากท่ีสุดและควรเป็นทักษะท่ี การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 569

นกั เรียนตอ๎ งไดร๎ ับการฝกึ ฝน เนื่องจากการเขยี นน้ี เปน็ ชอํ งทางบอกสารผํานตัวอกั ษรและสามารถสํงสารไปถึง ผู๎คนมากมายได๎ในเวลาเดยี วกัน หรือบางคร้ังเราไมํสามารถติดตํอส่ือสารกับผู๎อ่ืนได๎โดยตรง เราจึงต๎องอาศัย ข๎อความในการส่ือสาร ดังน้นั การเขียนน้ีจึงเปน็ ทักษะท่นี ักเรียนจะตอ๎ งฝึกฝนในการใช๎ภาษาในการสอ่ื สาร และ ในการเขยี นทกุ คร้ัง นักเรียนนั้นจะตอ๎ งหลอํ หลอมความรทู๎ ีไ่ ด๎เรียนมาแล๎วนั้น นามาเรียบเรียงในการเขียน ซ่ึง ความร๎ูที่จาเป็นในการเขียนน้ัน ได๎แกํ การสะกดคา ความหมายของคาศัพท๑ โ ครงสร๎างไวยากรณ๑ กลวิธีการ เขยี น )Rime, (1983ซึ่งสง่ิ เหลําน้ีจะเปน็ ตัวชวํ ยนักเรยี นในการเขยี นบอกเรอื่ งราวตาํ งๆ ตามจดุ ประสงคท๑ ตี่ วั เอง ตอ๎ งการ หรือความคดิ สรา๎ งสรรคใ๑ หมๆํ ท่ีตอ๎ งการสอ่ื ออกมา จากวัตถปุ ระสงค๑ของกรอบหลักสตู รของนกั เรียน อในระดับหรื 6 ทีจ่ บชั้นประถมศึกษาปที ี่A น้ันตามกรอบอ๎างอิงความสามารถทางภาษาของสหภาพยุโรป 1 The Common European Framework of Reference for Languages(CEFR) ผู๎เรยี นสามารถใช๎และเข๎าใจ ประโยคงาํ ย ๆ ในชวี ติ ประจาวัน สามารถแนะนาตัวเองและผ๎ูอื่นสามารถต้ังคาถามเกี่ยวกับบุคคลอ่ืน เชํน เขา อยทํู ่ีไหน ร๎ูจกั ใครบา๎ ง มีอะไรบ๎าง และตอบคาถามเหลาํ นไ้ี ด๎ ทงั้ ยงั สามารถเข๎าใจบทสนทนาเมือ่ คูสํ นทนาพูดชา๎ และชดั เจน ซึ่งในด๎านการเขียนน้ัน นักเรียนจะสามารถเขียนข๎อความเก่ียวกับตัวเอง ท่ีอยูํอาศัยด๎วยวลีสั้นๆ งาํ ยๆได๎ หรอื สามารถเขยี นประโยคงําย ๆ เก่ียวกบั ตนเอง เชนํ อยํูที่ไหน ทาอะไร ซ่งึ เมื่อผ๎เู รียนเลอ่ื นระดับช้ันสูํ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี แล๎วนัน้ ในดา๎ นทักษะการเขียน ผู๎เรียนต๎องสามารถเขียนประโยคอยํางงํ 1ายๆได๎ แตํจาก การจัดการเรียนการสอนท่ีผํานมา พบวํา ในด๎านทักษะการเขียนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของ ผู๎เรียนคํอนข๎างตา่ ในการทดสอบขอ๎ สอบสวํ นกลางจากสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ผ๎ูเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ สํวนใหญํไมํสามารถเขียนตอบในสํวนของแบบทด 1สอบด๎านทักษะการเขียน เน่ืองจาก ผเู๎ รยี นบางคนขาดพืน้ ฐานความรู๎ด๎านคาศพั ท๑ หรือคลังคาศัพท๑ในตัวผ๎ูเรียนเองมีน๎อย จึงทาให๎ไมํสามารถแตํง ประโยคบอกเรือ่ งราวตาํ งๆ ได๎ นอกจากนีย้ งั ขาดพืน้ ฐานเรอ่ื งการเขยี นประโยค และอีกป๓ญหาหนง่ึ ก็คือผ๎ูเรียน เขา๎ ใจความหมายของคาศพั ท๑เมือ่ ไดฟ๎ ง๓ คาศัพท๑นั้นๆ แตํเม่ือได๎เห็นคาศัพท๑หรือได๎อํานผํานตัวอักษร ผู๎เรียนไมํ สามารถเข๎าใจความหมายของคาศัพท๑หรือข๎อความที่ได๎อาํ น ซ่ึงหมายถึงวาํ รูปแบบ )Form) และเสียง )Sound) ไมไํ ดไ๎ ปในทศิ ทางเดียว ทาให๎การเรียนภาษาองั กฤษไมปํ ระสบความสาเร็จ ทาให๎เกดิ ความเบื่อหนํายในการเรยี น ภาษาองั กฤษ เน่ืองจากผ๎เู รียนไมเํ ข๎าใจในบทเรยี น ดงั นน้ั ผู๎วจิ ัยไดเ๎ ลือกการสอนแบบPWIM Picture word inductive model คือกิจกรรมการสอนที่เป็นกระบวนการการทางานรํวมกันระหวํางรูปภาพและคาศัพท๑ สอดคลอ๎ งกับที่ Harmer ((2004:67, กลาํ ววาํ รูปภา\"พจะทางานเชํนเดียวกับสเปอร๑ของดอกไม๎ )producer) เปรยี บเสมือนสิง่ ท่สี รา๎ งความคิดซึ่งจะนาไปสกํู ารเกิดผลผลติ ทางการเขยี น )written production)\" ดังน้ันการ ใหก๎ ารทางานรวํ มกนั ระหวาํ งรปู ภาพและคาศพั ทใ๑ ห๎แกนํ กั เรยี นชวํ ยใหผ๎ ๎ูเรียนไดร๎ ะดมความคิดเห็นถึงส่ิงท่ีกาลัง จะเขียน และทาให๎ความคิดยังคงอยูํในระยะยาว )still exist in their mind) เพื่อนาไปตํอยอดการเขียน ประโยคและเรียงความ และวิธีนี้ยังเป็นการเพิ่มการเรียนรู๎คาศัพท๑ของผู๎เรียนทาให๎สามารถเข๎าใจและจดจา คาศัพท๑ได๎ดีอีกด๎วย สอดคล๎องกับท่ี Icuk Harjuno (2009) การใช๎ภาพเป็นหน่ึงในเทคนิคการสอนคาศัพท๑ เพราะภาพหนงึ่ ในสอ่ื ท่ีชํวยสรา๎ งความนาํ สนใจของบทเรียนและกระตุ๎นความสนใจของผ๎ูเรียนทาให๎การสอนมี ประสิทธิภาพมากขึ้น และ Nation ( (1990:51กลําววํา หน่ึงในเทคนิคที่ครูใช๎อธิบายความหมายของคาศัพท๑ ใหมไํ ดค๎ ือการใช๎รูปภาพจากแหลํงตํางๆ เพ่ือนามาอธิบายความหมายของคาศัพท๑ใหมํซึ่งจะทาให๎ผู๎เรียนเกิด การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 570

ความสนใจ สนกุ กบั ส่ิงใหมํ และจดจาคาศพั ท๑ได๎ ดังนั้นรปู ภาพมีบทบาทสาคัญในการชํวยในการเรียนร๎ูคาศัพท๑ ของผ๎ูเรยี น และสามารถตอํ ยอดไปถงึ การเขียนได๎ การจัดกิจกรรมการสอนแบบ PWIM นี้จะชํวยให๎ผู๎เรียนได๎ เรียนร๎ูคาศัพท๑ ชนิดของคา และโครงสร๎างของประโยคซงึ่ จะชวํ ยผเ๎ู รยี นในการเขียนได๎ ซึ่งการสอนแบบ PWIM จะใช๎รูปภาพเป็นส่ือในการค๎นหาคาศัพท๑ แยกประเภทของคาแล๎วนามาแตํงประโยคจากรูปภาพตาม จนิ ตนาการ หรือตามความคิดอสิ ระของผู๎เรียน เป็นวิธีท่ีสอดคล๎องกับการสอนเพื่อการส่ือสารท่ีเปิ ดโอกาสให๎ ผเ๎ู รียนได๎แสดงความคิด ทาใหเ๎ กดิ ทศั นคตทิ ีด่ ตี ํอการเรียนสํงผลให๎นักเรียนเกิดทักษะความคิดสร๎างสรรค๑และ เปน็ การฝึกทักษะการเขยี นภาษาอังกฤษอีกดว๎ ย ดังน้ันการสอนแบบ PWIM จะชวํ ยใหผ๎ ูเ๎ รียนมคี ลังคาศัพท๑เพิ่ม มากข้ึน สามารถอํานและเขา๎ ใจความหมายถึงของคาศพั ท๑ได๎ ซึง่ เมือ่ ผูเ๎ รียนมคี วามรู๎ด๎านคาศพั ท๑แลว๎ จะสามารถ พฒั นาการเขยี นในระดบั ประโยคได๎ และทาให๎การสอนคาศัพทน๑ น้ั มีความหมายมากยิ่งขน้ึ ดงั นั้นผ๎ูวิจัยจะใชก๎ าร สอนแบบ PWIM (Picture word inductive model) เพื่อพฒั นาความสามารถด๎านการเขียนของนกั เรียนช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีท่ี โรงเรยี นน้าพองพัฒนศึกษา รชั มงั คลาภิเษก อาเภอน้าพอง จังหวัดขอนแกนํ 1 วัตถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย .1เพอื่ พัฒนาด๎านความสามารถด๎านการเขยี นของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ โดยการจัดกิจกรรมการ 1 เรียนรู๎แบบPWIM (Picture Word Inductive Model) โดยมีนักเรียนร๎อยละ มีผลสัมฤทธ์ิด๎านการเขียน 70 ขึน้ ไป 70 ผาํ นเกณฑ๑เฉลี่ยร๎อยละ เพือ่ ศึกษาความพงึ พอใจของผู๎เรียนที่มีตํอการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎แบบ .2PWIM (Picture Word Inductive Model วิธีดาเนินการวิจยั การวิจยั คร้งั นเ้ี ป็นการวจิ ยั เชงิ ทดลองเบอื้ งต๎น ผูว๎ จิ ัยดาเนินการทดลองโดยใชแ๎ บบแผนการทดลองแบบ กลุํมเดียวหลังการทดลอง (One shot case study design) เพ่ือศึกษา 1) ความสามารถด๎านการเขียนของ นักเรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูแบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) โดยมีนกั เรียนรอ๎ ยละ 70 มีผลสัมฤทธิ์ด๎านการเขียนผํานเกณฑ๑เฉลี่ยร๎อยละ 70 ข้ึนไป 2) ความพึงพอใจของ นกั เรยี นท่มี ตี ํอการจัดกิจกรรมการเรียนรแ๎ู บบ PWIM (Picture Word Inductive Model สรุปผลการวจิ ัยและอภปิ รายผล สรปุ ผลการวจิ ัย 1. ผลการศึกษาความสามารถด๎านการเขียนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดกิจกรรมการ เรยี นรู๎แบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) ผลการประเมินความสามารถด๎านการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยจัด กจิ กรรมการเรียนร๎ูแบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) พบวํานักเรียนมีความสามารถด๎านการ เขียนมคี ะแนนเฉลี่ย 28.04 คะแนน คิดเป็นร๎อยละ 70.1 จานวนนักเรียนท่ีมีคะแนนผํานเกณฑ๑การประเมิน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 571

ความสามารถการเขียนร๎อยละ 70 จานวน 16 คน คดิ เปน็ นกั เรียนจานวนร๎อยละ 64 ของนกั เรียนทั้งหมด และ มนี กั เรียนทีไ่ มผํ าํ นเกณฑ๑ ทั้งหมด 9 คน คิดเปน็ รอ๎ ยละ 36 ของนกั เรียนทัง้ หมด ซ่ึงน๎อยกวําเกณฑ๑ที่กาหนดไว๎ คือ นกั เรียนจานวนไมตํ า่ กวาํ ร๎อยละ 70 มคี วามสามารถดา๎ นการเขยี นภาษาองั กฤษผาํ นเกณฑ๑เฉลี่ยร๎อยละ 70 ขน้ึ ไป ซึง่ ถึงแม๎วาํ จานวนนกั เรยี นทผ่ี ํานเกณฑน๑ น้ั ไมถํ งึ เปูาหมายท่ีกาหนดไว๎แตนํ ักเรียนมพี ัฒนาการเขียนท่ดี ีขึ้น จากการประเมินแบบฝึกความสามารถด๎านการเขียนภาษาอังกฤษโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู๎แบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) คร้ังท่ี 1-5 ไดค๎ ําเฉล่ีย 13.28, 13.24, 14.52, 17.92 และ 18.80 แสดง ใหเ๎ ห็นวาํ นักเรยี นมพี ัฒนาการทางด๎านการเขียนดขี น้ึ ตามลาดับ 2.ผลการศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ท่ีมีตํอการจัดการเรียนรู๎แบบPWIM (Picture Word Inductive Model) ความพึงพอใจของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ที่มีตํอการจัดการเรียนรู๎แบบPWIM (Picture Word Inductive Model โดยภาพรวมอยํูในระดับมาก ( ̅ = 3.88, S.D. = 0.99) เม่ือพิจารณาเป็นรายด๎านพบวํา ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ที่มีตํอการจัดการเรียนรู๎แบบ PWIM (Picture Word Inductive Model อยํใู นระดบั มาก ดา๎ นท่มี คี ําเฉลยี่ สงู ที่สดุ คอื ด๎านท่ี 1) ดา๎ นการใชส๎ ่ือการสอน ( ̅ = 3.99, S D. = 0.94) รองลงมาคือ ดา๎ นท่ี 1) ดา๎ นกิจกรรมการเรยี นการสอน ( ̅ = 3.83 , S.D. = 1.01) และนอ๎ ยที่สุด คอื ด๎านที่ 2) ดา๎ นประโยชนท๑ ไ่ี ดร๎ ับ ( ̅ = 3.81, S.D. = 1.04) อภิปรายผล จากผลการศึกษาความสามารถด๎านการเขียนของนักเรียนมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยการจัดกิจกรรมการ เรียนรู๎แบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) สามารถนามาอภิปรายผลตามวัตถุประสงค๑ของ งานวจิ ยั ได๎ดังตอํ ไปน้ี 1. ผลการศึกษาความสามารถด๎านการเขยี นของนกั เรียนมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎แบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) จากการศึกษาความสามารถด๎านการเขียนภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 โดยจัด กจิ กรรมการเรียนร๎ูแบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) พบวํานักเรียนมีความสามารถด๎านการ เขยี นมีคะแนนเฉลีย่ 28.04 คะแนน คิดเป็นร๎อยละ 70.1 จานวนนักเรียนท่ีมีคะแนนผํานเกณฑ๑การประเมิน ความสามารถการเขียนร๎อยละ 70 จานวน 16 คน คิดเป็นนักเรียนจานวนร๎อยละ 64 ของนักเรียนทั้งหมด แสดงให๎เห็นวําการใช๎กิจกรรมการเรียนรู๎แบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) ตามแนวคิดของ Joyce and Calhoun, 1998 สามารถเพม่ิ ความสามารถด๎านการเขยี นภาษาอังกฤษของนักเรียนได๎ เนื่องจาก การใช๎รปู ภาพเปน็ ส่อื การสอนในการเขียนน้ันจะเปน็ สอ่ื เชือ่ มโยงคาศพั ทท๑ ่ไี ดจ๎ ากประสบการณ๑เดิมของเด็ก และ นามาสูํสร๎างประโยคจากภาพ อีกท้ัง สอดคล๎องกับ Soenoewati (2009:32) การใช๎ PWIM ทาให๎นักเรียน กระตือรอื ร๎นในการเรยี นรก๎ู ารเขียนเนื่องจากนักเรียนได๎เรียนคาศัพท๑จากภาพที่สามารถนามาใช๎ในการเขียน อกี ทั้งยังชวํ ยพฒั นาจนิ ตนาการและความคิดในการสรา๎ งประโยคหรือการเขยี นเรียงความ และSebelas Maret การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 572

(2009) ระบวุ ํารปู ภาพสามารถสร๎างแรงจูงใจ และสรา๎ งความสนใจแกผํ เู๎ รียนและชํวยให๎นักเรียนจดจาคาศัพท๑ ซง่ึ นาไปตอํ ยอดเป็นการเขียนได๎ อกี ทั้งยังทาใหบ๎ ทเรยี นนําสนใจ แตมํ นี กั เรียนท่ีไมํผํานเกณฑ๑ ท้งั หมด 9 คน คิด เป็นรอ๎ ยละ 36 ของนกั เรยี นทงั้ หมด ซ่ึงน๎อยกวําเกณฑ๑ที่กาหนดไว๎ คือ นักเรียนจานวนไมํต่ากวําร๎อยละ 70 มี ความสามารถด๎านการเขียนภาษาอังกฤษผํานเกณฑ๑เฉล่ียร๎อยละ 70 ข้ึนไป อาจเป็นเพราะนักเรียนขาดก าร ปรบั ปรุงการเขยี น ขาดการพฒั นาตนเอง หรอื ขาดความใสํใจในการเรียนรู๎ ซ่ึงแสดงให๎เห็นวําการจัดกิจกรรม การเรียนรู๎แบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) นั้นอาจจะไมไํ ดเ๎ หมาะกับผู๎เรียนทุกคน ซ่ึงเราจะ สามารถจัดการเรียนการสอนได๎บรรลุวัตถุประสงค๑เพียงใดนั้นป๓จจัยสา คัญย่ิงอยํางหน่ึงควรคานึง คือ ความ แตกตาํ งระหวาํ งผเู๎ รียน เน่อื งจากผเ๎ู รียนแตลํ ะคนมคี วามแตกตํางกันทางด๎านรํางกาย ด๎านอารมณ๑ ด๎านสังคม ดา๎ นสติป๓ญญา และดา๎ นบคุ ลิกภาพอื่นๆ ซง่ึ ความแตกตํางดงั กลําวลว๎ นสงํ ผลตํอการเรียนรู๎ของบุคคลทั้งส้ิน ท้ัง โดยตรงและโดยอ๎อม สอดคล๎องกับ Fleming (2006) ได๎ระบุสไตล๑การเรียนรู๎ตามความความชอบหรือความ ถนัดในการรบั ขอ๎ มูลไว๎ 4 กลมุํ คือ รูปแบบการเรียนรทู๎ ีส่ ื่อด๎วยภาพและสัญลักษณ๑(Visual ) รปู แบบการเรียนรู๎ ทส่ี ่ือดว๎ ยเสียง (Auditory ) รูปแบบการเรียนรู๎ท่สี อื่ ด๎วยอกั ษร(Read / write) และ รปู แบบการเรยี นร๎ูทส่ี ื่อดว๎ ย สัมผัสและการกระทา (Kinesthetic preceptors ) อกี ทง้ั Drago และ Wagner (2004) ไดศ๎ ึกษาวํานักเรียนมี ความหลากหลายในรูปแบบการเรียนรู๎ซึ่งเป็นส่ิงสาคัญในการเรียนร๎ูของนักเรียน ดังน้ันครูควรจัดเตรียม หลักสูตรตามความตอ๎ งการของนกั เรียนอยํางมีประสิทธิภาพ และ Byrne's (2002) พบวําผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรยี นข้ึนอยูํกับรปู แบบการเรียนรู๎ของนกั เรยี น นีเ้ หน็ ไดช๎ ัดวาํ รูปแบบการเรียนร๎เู ปน็ ส่ิงสาคัญในการ ให๎ทางเลอื กแกนํ กั เรียนในการเลอื กการเรยี นรทู๎ ่โี ดดเดนํ ของตนเองเพื่อไมใํ หเ๎ กดิ ความเบอื่ หนํายในการเรยี นและ เกิดประสิทธภิ าพในการเรียนรู๎ ซ่ึงการจัดกจิ กรรมการเรียนร๎ูแบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) เป็นการเรยี นโดยใชร๎ ปู ภาพเป็นสอ่ื นั้นอาจไมสํ ามารถตอบสนองรปู แบบการเรียนรข๎ู องนกั เรยี นทกุ คนได๎จงึ ทาให๎ ผ๎ูเรียนบางสํวนไมํบรรลุเปูาหมายที่กาหนดไว๎ ซ่ึงถึงแม๎วําจานวนนักเรียนท่ีผํานเกณฑ๑น้ันไมํถึงเปูาหมายท่ี กาหนดไว๎ แตนํ กั เรียนมีความสามารถดา๎ นการเขียนที่ดีข้ึน ซ่ึงจากการประเมินแบบฝึกความสามารถด๎านการ เขยี นภาษาองั กฤษโดยจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูแบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) คร้ังที่ 1-5 ได๎ คาํ เฉลี่ย 13.28, 13.24, 14.52, 17.92 และ 18.80 แสดงให๎เห็นวํานกั เรียนมีพัฒนาการทางดา๎ นการเขยี นดีขึ้น ตามลาดับ เนื่องจากนักเรียนได๎รับการประเมินแบบฝึกความสามารถด๎านการเขียนแตํละครั้งซ่ึงจะนามา ปรับปรุงแก๎ไขงานของตน ทาให๎เกิดการพัฒนาข้ึนเรื่อยๆ สอดคล๎องกับ ประภัสสร ทาแก๎ว (2 551 : 46) ได๎ กลาํ วถงึ การจดั กจิ กรรมการสอนเขียนไวว๎ าํ การสอน เขียนควรจัดกิจกรรมให๎สอดคล๎องกับความสามารถของผ๎ูเรียน โดยเริ่มจากสิ่งท่ีงํายกํอนไปสํูส่ิงท่ียากขึ้น ซับซอ๎ นขึ้น การที่ผเู๎ ขียนจะเขยี นได๎ดีต๎องอาศยั การฝึก แก๎ไขข๎อบกพรอํ ง และปรับปรุงอยํูตลอดเวลา จะทาให๎ ความสามารถในการเขยี นดขี ้ึน และแบบฝึกยงั เป็นอุปกรณก๑ ารสอนที่ทาให๎ นกั เรยี นได๎ฝึกปฏิบัตจิ รงิ มากขึ้นจน เกิดความคลอํ งแคลํว และสามารถบรรลปุ ระสงคท๑ ่ีตง้ั ไว ดังน้นั เราสามารถทราบพัฒนาการด๎านการเขียนของ นกั เรยี นไดจ๎ ากแบบฝกึ ทักษะการเขยี น การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 573

2. ศึกษาความพงึ พอใจของนักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ที่มีตํอการจัดการเรียนร๎ูแบบPWIM (Picture Word Inductive Model) จากการใช๎แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีตํอการจัดการเรียนร๎ู แบบPWIM (Picture Word Inductive Model พบวาํ โดยภาพรวมอยใํู นระดับมาก โดยมีคําเฉลยี่ เทาํ กับ 3.88 เมอื่ พิจารณาเปน็ รายด๎านพบวาํ ความพงึ พอใจของนักเรียนช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 ท่ีมีตํอการจัดการเรียนรู๎แบบ PWIM (Picture Word Inductive Model) อยูใํ นระดบั มาก ด๎านที่มคี าํ เฉล่ียสงู ทส่ี ุดคือ ดา๎ นท่ี 1) ด๎านการใช๎ ส่ือการสอน โดยมคี าํ เฉลี่ยเทํากับ 3.99 รองลงมาคือ ด๎านที่ 2) ด๎านกิจกรรมการเรียนการสอนโดยมีคําเฉลี่ย เทํากับ 3.83 และนอ๎ ยท่ีสุดคือ ด๎านที่ 3) ดา๎ นประโยชน๑ที่ได๎รับโดยมีคําเฉลี่ยเทํากับ 3.81 แสดงให๎เห็นวํา สื่อ การสอนรปู ภาพทใ่ี ชใ๎ นกิจกรรมการสอนน้นั สามารถชํวยให๎กระตน๎ุ ใหผ๎ ๎เู รยี นเกดิ การเรียนร๎ู ทาให๎ผู๎เรียนเข๎าใจ บทเรียนไดง๎ าํ ยขึ้น และเหมาะสมกบั เนอื้ หาท่เี รยี น กิจกรรมการสอนทาให๎ผ๎ูเรียนสามารถพัฒนาการเขียนของ ตนและเสริมสรา๎ งการมีสํวนรํวมในช้ันเรียนอีกด๎วย ซ่ึงสอดคล๎องกับ Andriani, Lina Sofia (2015) ได๎ศึกษา การใช๎ Picture Word Inductive Model (PWIM) เพือ่ พัฒนาทกั ษะการเขียนแบบเลาํ เรื่อง (Writing Skill of Recount Text)พบวําหลังจากที่การเรียนการสอนและการเรียนรู๎โดยใช๎ PWIM นักเรียนใสํใจมากข้ึน, กระตือรอื ร๎น, มคี วามสขุ และดงึ ดูดในการเข๎ารํวมในชนั้ เรียนมากขึน้ การวิเคราะห๑แบบสอบถามพบวํานักเรียน ให๎การตอบสนองทด่ี ตี อํ การใช๎ PWIM ในการเรยี นการสอนและการเรยี นรู๎ภาษาอังกฤษโดยเฉพาะการเขยี นเลํา เร่ืองเพราะทาให๎นักเรียนมีสํวนรํวมในการทากิจกรรม และ Xiaobin Li (2011) ได๎ศึกษา Picture Word inductive model (PWIM) ในการเรียนรู๎ของคาศัพท๑ใหมํของนักเรียนสวีเดนเกรด 4 ของโรงเรียน ประถมศึกษาในภาคใตข๎ องสวีเดน ผลปรากฏวํากลํุมท่ีสอนโดย PWIM ได๎รับคะแนนการทดสอบท่ีคํอนข๎างสูง และดาเนนิ การอยาํ งกระตือรอื รน๎ รน๎ และพบวาํ บทเรยี นทส่ี นุกสนานมากข้ึนในหอ๎ งเรยี น การเรียนการสอนโดย PWIM จะพบวาํ มีผลในการเรียนรูค๎ าศัพทใ๑ หมํของ SLA (Second Language Acquisition) จึงสรุปได๎วําการสอนโดยใช๎ การจัดการเรียนรู๎แบบPWIM (Picture Word Inductive Model) และการใช๎ รปู ภาพเปน็ สือ่ น้นั เปน็ รูปแบบที่ชวํ ยสํงเสริมความสามารถด๎านการเขียนภาษาอังกฤษแล๎วน้ัน ยังสํงผลให๎เกิด ความกระตือรือรน๎ ในการเรยี น ดงึ ดดู ความสนใจการเรียน เกิดความร๎สู กึ และบรรยากาศที่ดตี อํ การเรยี นรู๎ ข้อเสนอแนะ .1ข้อเสนอแนะในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน .1รูปทน่ี ามาใชใ๎ นขน้ั ตอนของกิจกรรมการเรียนร๎คู วรมีสอดคลอ๎ งกับเนอื้ หาและตรงกับระดับและชํวง วัยของผู๎เรยี น .2 การการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎แบบ PWIM ในข้ันเตรียมเข๎าสูํบทเรียน ซ่ึงเป็นการกระต๎ุนความ สนใจใหน๎ ักเรยี น ควรใช๎กิจกรรมเสริม เชํนการเลํนเกม การใชส๎ ่อื อ่นื ๆท่ีหลากหลาย เพ่ือให๎สอดคล๎องกับความ แตกตํางของรปู แบบการเรียนร๎ู )Learning Style) ของผเ๎ู รียนแตํละบุคคล .3ครผู ๎สู อนต๎องตรวจและแก๎ไขข๎อความที่ผิด และรายงานความก๎าวหนา๎ ของผ๎ูเรียนอยูํเสมอ เพ่ือให๎ผู๎ เรยี นรู๎ขอ๎ มลู ท่ีผิดและนาไปแก๎ไขในการทาแบบฝึกตํอไป การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 574

.2 ขอ้ เสนอแนะสาหรับการทาวจิ ัยครง้ั ต่อไป .1ควรนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู๎แบบ PWIM ไปใช๎เพ่ือพัฒนาความสามารถ ในการเขียนเชิง สรา๎ งสรรค๑ในรายวชิ าทางภาษาอนื่ ๆ และนาไปใช๎กบั กลมุํ เปาู หมายในระดบั ช้ันอ่นื ๆ .2ควรนาการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ูแบบ PWIM มาบูรณาการกับเทคนิคการสอนอื่นๆ เพื่อให๎เกิด ความนาํ สนใจ เพ่อื ตอบสนองความแตกตํางระหวาํ งบุคคลของผ๎เู รียน .3ทักษะการเขียนเป็นทักษะที่ต๎องใช๎เวลามากในการประเมิน ดังนั้นผ๎ูวิจัยจึงควรเป็นผ๎ูมีความ พยายามสงู อดทนและรอบคอบ เพ่ือใหไ๎ ด๎ผลการวจิ ยั ท่ีเทีย่ งตรงมากทสี่ ุด เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2551). หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ: โรง พิมพช๑ มุ นมุ สหกรณก๑ ารเกษตรแหงํ ประเทศไทย. การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน. (2557) คู่มือการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเเนวใหม่ ตามกรอบอ้างอิง ความสามารถทางภาษาของสหภาพยุโรป.กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พอ๑ งคก๑ ารสงเคราะห๑ทหารผํานศึก. จนิ ตนา เกิดสายทอง.2541.การใชช้ ุดฝกึ ทักษะการเขียนภาษาอังกฤษสาหรับนกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ี่5. วิทยานพิ นธศ๑ กึ ษามหาบณั ฑติ . มหาวทิ ยาลัยเชียงใหมํ. นิพนธ๑ สุขปรีด.ี 2522.โสตทศั นศึกษา.กรุงเทพ:แพรํวิทยา ประภสั สร ทาแก๎ว. (2551). ผลการใชแ้ บบฝกึ การเขยี นภาษาอังกฤษจากการควบคุมไปส่กู ารเขียนอสิ ระ สาหรบั นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4. วิทยานพิ นธ๑ปรญิ ญามหาบณั ฑิต สาขาหลกั สูตรและการสอน : มหาวิทยาลยั ราชภฎั สงขลา. วีณา ประชากลู และ ประสาท เนืองเฉลมิ . (2559). รปู แบบการเรียนการสอน. พิมพ๑ครงั้ ที่ 3. โรงพิมพค๑ ลัง นานาวิทยา : ขอนแกนํ . ศิริวรรณ รํมเย็น บลูเทอร๑, 2558. การจดั กิจกรรมเพอื่ พัฒนาทักษะการเขียนภาษาองั กฤษสาหรับนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 โรงเรยี นสาธติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ (ศกึ ษาศาสตร)์ โดยใชแ้ ผนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Picture Word inductive model. วจิ ัยในชน้ั เรียน มหาวิทยาลัยขอนแกํน. สุภทั รา อักษรานเุ คราะห๑. (2532). การสอนทักษะทางภาษาและวัฒนธรรม.พมิ พค๑ ร้งั ท1่ี กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ๑จฬุ าลงกรณม๑ หาวทิ ยาลยั อารยี ๑ วาศนอ๑ านวย.(2545).การพัฒนาแบบฝึกเสรมิ การอ่านเพอื่ ความเขา้ ใจ ตามแนวสอนภาษาอังกฤษเพ่อื การสอ่ื สาร สาหรับนักเรียนประถมศึกษาปที ่ี5.วิทยานพิ นธร๑ ะดบั ปรญิ ญาโท สาขาหลกั สูตรและ การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 575

การนเิ ทศ ภาควิชาหลักสูตรและวิธสี อน, มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. อศิ เรศ พิพฒั นม๑ งคลพร. (2558). การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนแบบพิคเจอร์เวิรด์ . วารสารศึกษาศาสตร๑ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ปที ี่ 13, 1, 17-22. Andriani, Lina Sofia. 2015. The Use of Picture Word Inductive Model (PWIM) Strategy to Improve Students' Writing Skill of Recount Text. (An Action Research of the Eighth Graders of Junior High School 2 Semarang in the Academic Year of 2014/2015). Brown, D.H. (2000). To Language Pedagogy. San Francisco State University. Byrne, D. (2002). A study of individual learning styles and educational multimedia preferences an experiment using self- directed online learning resources, school of computer applications. Ireland: Dublin City University Press. Calhoun, E. F. (1999). Teaching Beginning Reading and writing with the Picture Word Inductive Model. Alexandria, VA : Association for Supervision and Curriculum Development Drago, W. A., & Wagner, R. J. (2004). VARK preferred learning styles and online education. Management Research News, 27(7), 1-13. Emily Calhoun, Tracy Poirier, Nicole Simon and Lisa Mueller. 2001. Teacher (and District) Research: Three Inquiries into the Picture Word Inductive Model. Northern Lights School Division. Fleming, N.D. & Mills, C. (1992). Helping Students Understand How They Learn. The Teaching Professor, Vol. 7 No. 4, Magma Publications, Madison, Wisconsin, USA. Fleming, N. D. (2006). V.A.R.K Visual, Aural/Auditory, Read/Write, Kinesthetic. New Zealand: Bonwell Green Mountain Falls. Icuk Harjuno. (2009) The Effectiveness of Using Pictures to Teach Vocabulary (Object Around School Environment) (A Case of Fifth Graders of SDN Manyaran 03 Semarang in Academic Year of 2008). Under Graduates thesis, Universitas Negeri Semarang. Joyce, B.(2009). Models of Teaching, (8th ed.). Jogjakarta: Pustaka Pelajar. Nation, I.S.P. (1990).Teaching and Learning Vocabulary. New York: Newbury House,. Raimes, A. 1983. Techniques in Teaching Writing. New York: Oxford University Press. Sebelas Maret. (2009). Teaching English vocabulary using picture of the fifth grade การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 576

students of SDN TUGU JEBRES No. 120 Surakarta. Under Graduates thesis, University Surakarta. Soenoewati, D. I. D. (2009). Penerapan strategi picture word inductive model guna meningkatkan hasil belajar dalam menyusun teks deskriptif berbahasa inggris bagi siswa kelas VII/a SMP negeri 14 Semarang (Thesis, University of Semarang).(online).http://doesichnatun.files.wordpress.com/2012/03/3_pwim_as-of- oct-22.pdf. Accessed on August 10, 2017. Xiaobin Li. 2011. The Picture Word Inductive Model and English Vocabulary Acquisition – A Study in a Swedish Primary School. School of Teacher Education, Kristianstad University. การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคัดสรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 577

แนวทางการพัฒนาการจัดการการมสี ่วนร่วมของประชาชนในแหล่งทอ่ งเท่ยี วชมุ ชน กรณีศึกษา ชมุ ชนยา่ นเมอื งเก่าภูเกต็ จังหวัดภูเกต็ Participation Management Development Method of Community Tourist Attraction Case study: MuengKao Phuket, Phuket Province, Thailand EDuRe005 นางสาวภสั รศ๑ ศริ ๑ หีดจันทร๑ นายสภุ ัทรศกั ด์ิ คาสามารถ นางสาวพฤกษา แก๎วสาร และนางสาวธนภร จรูญนมิ มาน E-mail: [email protected] บทคดั ยอ่ การวจิ ยั คร้งั นีม้ วี ัตถปุ ระสงค๑ เพ่ือศึกษาสภาพทั่วไปของการทํองเที่ยวชุมชน การมีสํวนรํวมในแหลํง ทอํ งเท่ียวชุมชนและเพ่อื หาแนวทางการพัฒนาการจดั การการมสี ํวนรํวมของแหลงํ ทอํ งเท่ียวชุมชน ชุมชนยําน เมืองเกํา จังหวัดภูเก็ต เก็บรวบรวมข๎อมูลจากประชากรที่อาศัยอยํูในชุมชนยํานเมืองเกํา จังหวัดภูเก็ต จานวน 400 คน โดยใช๎แบบสอบถาม ท่ีมีคําความเช่ือม่ัน 0.89วิเคราะห๑ข๎อมูลโดยใช๎สถิติพื้นฐาน ได๎แกํ คาํ ความถี่ คํารอ๎ ยละ คําเฉลย่ี คําสํวนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบได๎แกํ สถิติที และ การวิเคราะห๑ความ แปรปรวนทางเดียวผลการวิจยั พบวํา ระดับการมีสํวนรวํ มในแหลํงทํองเท่ยี วชุมชนชุมชนยาํ นเมอื งเกาํ จงั หวัด ภูเก็ต ประชาชน มีความคิดเห็นอยใูํ นระดบั มาก เมื่อพจิ ารณาเป็นรายด๎าน อยํูในระดับมากที่สุด 1 ด๎าน ได๎แกํ ด๎านองคก๑ รชมุ ชน และ ระดับมาก 3 ดา๎ น เรยี งลาดับจากมากไปหาน๎อย ด๎านการจัดการ ด๎านการเรียนร๎ู และ ด๎านทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมตามลาดับป๓จจัยเก่ียวกับการมีสํวนรํวมในการจัดการการทํองเที่ยว ชุมชนทมี ีผลตํอความคดิ เห็นประชาชน โดยรวมมีความคดิ เห็นอยใํู นระดบั มาก เม่ือพิจารณาเป็นรายด๎านอยูํใน ระดับมากทุกด๎าน เรียงลาดับจากมากไปหาน๎อย ได๎แกํ การประเมินผลรํวมกันการวางแผนรํวมกันการ ปฏบิ ตั ิงานรํวมกนั และการตัดสินใจดาเนินนโยบายผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนตํอการมี สํวนรวํ มในการจัดการทํองเทย่ี วชมุ ชนจาแนกตามปจ๓ จัยสํวนบคุ คล โดยรวม พบวํา เพศ อายุ และรายได๎เฉลี่ย ตอํ เดือน แตกตํางอยํางมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ่ีระดับ .05 และผลเปรยี บเทยี บความคดิ เห็นของประชาชนตํอการ จัดการทํองเที่ยวชุมชนจาแนกตามป๓จจัยสํวนบุคคล โดยรวม พบวํา เพศ และรายได๎เฉลี่ยตํอเดือนแตกตําง อยํางมนี ัยสาคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05 สํวนรายด๎านแตกตํางกันเฉพาะด๎านองค๑กรชุมชน ด๎านการจัดการ และ ด๎านการเรียนร๎ู คาสาคญั :ทอํ งเท่ียวชุมชน การมสี ํวนรวํ มของประชาชน การจัดการแหลํงทํองเทยี่ วชุมชน การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 578

ABSTRACT This research is on the purpose to study general community tourism, participation of community tourist attraction, and to find the participation management development method of community tourist attractionat MeungKao community in Phuket. The data was collected from 400 populations who live in MuengKao community, Phuket Province, by 0.89 reliability questionnaire. Analyzed by basic statistics; frequency, percentage, average, standard deviation. Tested statistics were T statistic and one-way variance analysis. The research result shows that community tourist attraction participation level of MeungKao community is high. When considered by fields separately, the highest result was in community organization field, and the result was in high in three fields. Ordered by descending order as followed; management, learning, natural resource and culture respectively. Community tourist attraction management development method participation factor which affects people’s opinions is mostly at the high level. When considered by fields, they are all at the high level. Ordered by descending order as followed; co-evaluation, co- planning, cooperation. In the field of Policy performance decision, the population’s opinions toward community tourism management comparison result, separated by personal factors shows that; gender, age, and the monthly salary significantly different at level 0.05. The population’s opinions toward community tourism management comparison result separated by personal factors, generally found that gender and monthly salary are significantly different at level 0.05, but in fields, it is different only in community organization field, management field, and learning field. KEYWORDS: Community tourist attraction, community participation, community tourist attraction management การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 579

บทนา กระแสการเปล่ียนแปลงรปู แบบการทอํ งเที่ยวโลก สงํ ผลกระทบตอํ ทิศทางการทอํ งเทย่ี วของประเทศ ในหลาย ๆ ด๎าน อีกท้ังประเทศไทยมีการสํงเสริมแหลํงทํองเท่ียวทางด๎านธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอันงดงาม โบราณสถานและวิถีชีวิตดั้งเดิม กํอให๎เกิดรายได๎จานวนมากมหาศาลเข๎าสูํประเทศ รัฐบาลในแตํละสมัยได๎พยายามวางแผนการจัดการเพ่ือท่ีจะผลักดันประเทศไทยให๎ตอบรับกับกระแสการ ทํองเทยี่ วทีเ่ กดิ ขนึ้ พยายามนาสิง่ ตาํ ง ๆ ไมํวําจะเป็นสภาพทางธรรมชาติที่โดดเดํนสวยงาม ความสวยงาม นําสนใจแปลกใหมํของวัฒนธรรมและประเพณตี ําง ๆ ของหลายพืน้ ทใ่ี นประเทศมาเป็นจุดขายท่ีจะกํอให๎เกิด รายได๎จากการทํองเท่ียวมากยิ่งขึ้น อุตสาหกรรมการทํองเท่ียวเป็นรายไ ด๎ท่ีสาคัญย่ิงตํอประเทศไทย และรัฐบาลมนี โยบายผลกั ดันใหม๎ กี ารทอํ งเที่ยวทีม่ ากยิง่ ขึน้ ไปเรอ่ื ย ๆ แตผํ ลกระทบทต่ี ามมามิได๎มีเพียงแตดํ า๎ น บวกเทํานั้นการทํองเท่ียวนับเป็นอุตสาหกรรมที่เจริญเติบโตและมีความสาคัญอยํางย่ิงตํอการพัฒนาทาง เศรษฐกิจและสังคมประเทศไทย รัฐบาลจึงมีนโยบายสํงเสริมการทํองเที่ยวโดยการทํองเท่ียวเริ่มเข๎ามา มีบทบาทสาคัญในการพัฒนาประเทศอยํางจริงจังเป็นครั้งแรกเม่ือมีการบรรจุแผนการพัฒนาการทํองเที่ยว ไว๎ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหํงชาติฉบับที่ 4 เปน็ ต๎นมาจนถงึ ปจ๓ จบุ ัน (นรินทร๑ สงั ข๑รกั ษาและคณะ, 2553 : 1) ท้ังน้ีวัตถุประสงค๑หลักของการพัฒนาด๎านการทํองเที่ยวจะมีลักษณะที่สอดรับกับแผนพัฒนา เศรษฐกจิ และสงั คมแหํงชาติฉบับตําง ๆ คือ มํุงเน๎นความเจริญเติบโตทางด๎านเศรษฐกิจเป็นเปูาหมายแรก ทั้งนเ้ี พือ่ ให๎เกดิ การจา๎ งงาน การสร๎างรายไดแ๎ ละถาํ ยทอดความเจรญิ ไปสภูํ ูมิภาค สวํ นวตั ถุประสงค๑รองจะเน๎น ด๎านสังคมและวัฒนธรรมโดยมํุงท่ีจะอนุรักษ๑ฟื้นฟูสิ่งแวดล๎อมและศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียม อันดงี ามและโบราณสถานตําง ๆ ทาให๎ป๓จจุบันมีนักทํองเที่ยวจากประเทศตําง ๆ เดินทางเข๎ามาทํองเที่ยว ในประเทศเปน็ จานวนมาก ประเทศไทยจึงเป็นประเทศเปูาหมายท่ีนักทํองเท่ียวให๎ความสนใจที่จะเดินทาง เข๎ามาพักผํอน เนื่องจากมีศักยภาพด๎านการทํองเที่ยวท่ีโดดเดํน มีการเดินทางที่สะดวกสบาย ปลอดภัย และเป็นศูนย๑กลางในหลาย ๆ ด๎าน (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาการทํองเที่ย ว, 2551 : 1)การทํองเที่ยว โดยชมุ ชนถือเป็นอีกรูปแบบการทอํ งเที่ยวหน่ึงทีเ่ ปน็ กลไกสนบั สนุนชุมชนในกระบวนการพฒั นาแบบมสี วํ นรวํ ม ดแู ลรักษาสิง่ แวดลอ๎ มหรือธรรมชาตทิ ่เี ป็นแหลํงทํองเที่ยวอนุรักษ๑ฟื้นฟูสืบทอดศิลปวัฒนธรรมและภูมิป๓ญญา ท๎องถนิ่ รวํ มรับประโยชน๑จากกิจกรรมการทํองเท่ียวทั้งทางตรงและทางอ๎อมมสี วํ นรวํ มกบั การกาหนดแนวทาง เพ่ือพัฒนาตอบสนองความต๎องการทางด๎านเศรษฐกิจ สังคม และสุนทรียภาพ ในขณะเดียวกันก็คงไว๎ซ่ึง บรู ณภาพทางวฒั นธรรม กระบวนการนเิ วศวทิ ยาทจ่ี าเป็นความหลากหลายทางด๎านชีวภาพและระบบตําง ๆ ท่เี อ้ือตอํ ชีวติ สงิ่ สาคัญอีกอยํางหนง่ึ ของการทํองเท่ียวโดยชมุ ชน คือ การสร๎างเครอื ขาํ ยพัฒนาการทํองเที่ยว กับท๎องถ่ินเพื่อให๎การพัฒนายกระดับคุณภาพในการดาเนินงานในสถานท่ีทํองเที่ยวในชุมชนให๎มีศักยภาพ เพิม่ ข้ึน ทัง้ ทางด๎านเศรษฐกจิ สงั คม และสง่ิ แวดล๎อมโดยมุํงเน๎นใช๎ทรัพยากรธรรมชาติอยํางรู๎คุณคํา มีการ บารุงรักษาเพื่อจะได๎มีทรัพยากรคงอยูํกับชุมชนอยํางย่ังยืน ซึ่งผู๎รับผิดชอบในการพัฒนาการทํองเท่ียว จาเป็นต๎องประสานงานกบั องค๑กรปกครองทอ๎ งถ่ินและหนํวยงานราชการท่ีเก่ียวข๎อง ในการสํงเสริมกิจกรรม การทํองเที่ยวแบบยั่งยืนในชุมชน(การทํองเท่ียวแหํงประเทศไทย, 2555)จังหวัดภูเก็ต จึงได๎รับความสนใจ และเปน็ ที่นิยมของนกั ทํองเทีย่ วท้งั ชาวไทยและชาวตํางชาติอยาํ งมาก ทาให๎มีการขยายตัวทางด๎านส่ิงอานวย การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 580

ความสะดวกและสิ่งที่บริการนักทํองเท่ียว ด๎านที่พัก ร๎านอาหาร ร๎านจาหนํายของท่ีระลึก รวมทั้ งการ ดาเนนิ การของภาครฐั ในด๎านสาธารณปู โภคและบริการ เชนํ ไฟฟาู ประปา ถนนทาํ เรอื การจัดเก็บขยะมูล ฝอย การรักษาความปลอดภัย เป็นต๎น สิ่งตําง ๆ เหลําน้ีมีความจาเป็นเพ่ือตอบสนองความต๎องการ ของนักทํองเทีย่ วและประชาชนในทอ๎ งถิ่น หากส่ิงบริการพ้ืนฐานเหลํานี้ไมํเพียงพอนอกจากจะเป็นผลที่ไมํดี ตํอการพัฒนาด๎านการทํองเท่ยี วแลว๎ ยงั กอํ ให๎เกดิ ผลเสยี หรืออุปสรรคตํอการพัฒนาอตุ สาหกรรมการทํองเทีย่ ว จากสถานการณ๑ดงั กลําวเปน็ เหตใุ หจ๎ ังหวัดภเู ก็ตก๎าวเข๎าสกํู ารเป็นเมืองทอํ งเทีย่ วอยํางเต็มตัว และต๎องรองรับ ผลกระทบที่เมืองทํองเท่ียวสํวนใหญํท่ีจะหลีกเล่ียงไมํได๎ ไมํวําจะเป็นผลกระทบทางด๎านธรรมชาติหรือ ทางสังคม และท่ีสาคัญคือระบบนิเวศทางธรรมชาติที่ทรุดโทรมลงไป และยังสํงผลถึงสภาพทางเศรษฐกิจ ของคนในชุมชนที่เปลี่ยนไปจากการเก้ือกูลชํวยเหลือกันกลับไปเป็นในลักษณะสัมพั นธ๑แบบธุรกิจมากข้ึน ซึ่งหากขาดความรวํ มมือจากประชาชนในชุมชน และผท๎ู ี่เกย่ี วข๎องแล๎ว ผลกระทบจากปญ๓ หาสิ่งแวดลอ๎ มตาํ ง ๆ ก็ยากท่ีจะบูรณการขึ้นมาใหมํได๎ ฉะน้ันป๓ญหาตําง ๆ เหลําน้ีล๎วนแล๎วแตํต๎องมีการรํวมมือจากทุก ๆ ฝุาย ในการแก๎ไขอยํางจริงจังเพื่ อให๎ทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรแวดล๎อมยังคงอยูํอีก ตํอไป (สานักงานวัฒนธรรมจังหวัดภูเก็ต. 2557)การทํองเที่ยวโดยแหลํงชุมชน กรณีศึกษา ชุมชนเมืองเกําภูเก็ต จังหวัดภูเกต็ เปน็ ยํานชมุ ชนทคี่ รอบคลมุ ถนนท้ังหมดเป็น 6 ชํวงด๎วยกัน ได๎แกํ ชวํ งท่ี 1 บรเิ วณถนนภูเก็ต ถนนรษั ฎา ถนนระนอง ชวํ งที่ 2 บริเวณถนนกระบ่ี ถนนสตูล ชํวงท่ี 3 บริเวณถนนดีบุก ถนนเยาวราช ชวํ งที่ 4 ถนนถลาง ซอยรมณีย๑ ชํวงที่ 5 ถนนพังงา ถนนภูเก็ต ชํวงที่ 6 ถนนเทพกษัตรีย๑ ถนนมนตรี ซ่ึงท้งั หมดน้เี ปน็ ถนนเส๎นทางหลกั ของยํานชุมชนเมอื งเกําภูเก็ตท่ีมสี ถาป๓ตยกรรมและชุมชนความเป็นเมืองเกํา สามารถถาํ ยทอดเรือ่ งราวและประวตั ิความเปน็ มาของจังหวดั ภูเกต็ ได๎เป็นอยํางดี (เทศบาลนครภูเก็ต. 2554) ทงั้ นผี้ ู๎วิจัยเหน็ วาํ แนวทางการพัฒนาการจัดการการมีสํวนรํวมของแหลํงทํองเท่ียวชุมชน ชุมชนยํานเมือ งเกํา ภเู ก็ต จังหวัดภูเก็ต สามารถพัฒนาเพมิ่ ศกั ยภาพของรากฐานทางเศรษฐกิจ ได๎แกํ ด๎านทรัพยากรธรรมชาติ และวัฒนธรรม ดา๎ นการจดั การ ด๎านการมสี ํวนรวํ ม และด๎านการเรียนร๎ู ท้ังน้ีข้ึนอยํูกับกระบวนการจัดการ ไมํวําจะเป็นทง้ั ทางภาครฐั บาล ภาคเอกชน และภาคประชาชนนกั ทํองเทยี่ ว ที่สามารถเขา๎ มามสี ํวนรวํ มให๎กบั การพฒั นาของทุก ๆ ภาคสวํ นเข๎ามาจัดการโดยมีการรํวมแสดงความคิดเห็นและกระบวนการอ่ืน ๆ เพ่ือให๎ แหลํงทอํ งเที่ยวชุมชน ยํานเมอื งเกําภเู กต็ กลบั มาคกึ คักและเพ่มิ ความเป็นเมืองภูเก็ตอีกคร้ัง ท้ังน้ีผู๎วิจัยจึงมี แนวทางการพฒั นาการจดั การการมีสวํ นรํวมของแหลงํ ทอํ งเที่ยวชุมชน ชมุ ชนยํานเมืองเกาํ ภเู กต็ จังหวัดภูเก็ต ให๎มเี ศรษฐกจิ และการมีสวํ นรวํ มของประชาชนท่ีสามารถบูรณการแหลํงทํองเที่ยวชุมชนให๎เป็นการทํองเท่ียว อยาํ งย่งั ยืนอกี ด๎วย วัตถปุ ระสงค์ 1. เพอื่ ศึกษาสภาพท่ัวไปในแหลงํ ทอํ งเทยี่ วชมุ ชนยํานเมอื งเกาํ ภูเกต็ จังหวดั ภเู ก็ต 2.เพือ่ ศึกษาระดับการจดั การการทอํ งเที่ยวชมุ ชนยาํ นเมอื งเกําภูเกต็ จังหวดั ภเู กต็ 3.เพือ่ ศึกษาระดับการมสี ํวนรํวมในแหลํงทอํ งเท่ียวชมุ ชนยํานเมอื งเกาํ ภูเก็ต จงั หวดั ภูเกต็ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 581

4. เพอื่ หาแนวทางการพฒั นาการจัดการการมสี ํวนรวํ มของแหลงํ ทอํ งเท่ยี วชุมชนยาํ นเมอื งเกาํ ภูเก็ต จงั หวดั ภูเก็ต สมมติฐาน 1. ป๓จจัยสํวนบุคคลตาํ งกนั มผี ลตอํ การมสี วํ นรวํ มในแหลงํ ทํองเทย่ี วชมุ ชนยํานเมอื งเกาํ จงั หัดภูเกต็ แตกตาํ งกนั 2.ป๓จจยั ดา๎ นการจดั การแหลงํ ทํองเทย่ี วชุมชนตํางกนั มีผลตอํ การมสี วํ นรํวมในแหลํงทอํ งเทีย่ วชุมชน ยํานเมอื งเกํา จงั หวดั ภเู ก็ตแตกตาํ งกนั ประโยชน์ทไ่ี ด้รับ 1. ทราบถงึ สภาพท่ัวไปในแหลํงทอํ งเทยี่ วชุมชนยํานเมืองเกาํ ภเู กต็ จงั หวดั ภูเกต็ 2. ทราบถึงระดับการจัดการการทอํ งเทยี่ วชมุ ชนยํานเมืองเกาํ ภูเกต็ จงั หวัดภูเก็ต 3. ทราบถึงระดบั การมสี วํ นรํวมในแหลงํ ทอํ งเที่ยวชมุ ชนยํานเมืองเกําภเู กต็ จังหวัดภเู ก็ต 4. ทราบแนวทางการพฒั นาการจัดการการมสี ํวนรํวมของแหลงํ ทอํ งเทีย่ วชมุ ชนยํานเมอื งเกําภเู กต็ จงั หวดั ภเู กต็ แนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจยั ท่เี กีย่ วขอ้ ง แผนยุทธศาสตร์การท่องเท่ียวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน พ.ศ. 2559 – 2563 (องค์การบริหารการ พฒั นาพ้นื ทพี่ เิ ศษเพอ่ื การท่องเทย่ี วอย่างย่งั ยนื . 2559) วิสัยทัศน๑ การทอํ งเท่ยี วโดยชุมชนของไทยพัฒนาสูํสากลอยํางมีเอกภาพบนฐานการรักษาและจัดการ ทรัพยากรชุมชนอยํางยง่ั ยืนสํูชุมชนแหงํ ความสขุ ประเด็นยุทธศาสตรท๑ ี่ 1 เสริมสรา๎ งคุณภาพทกั ษะและความสามารถของทรัพยากรมนษุ ยใ๑ นชุมชนให๎ มีศกั ยภาพในการจัดการทอํ งเทีย่ วโดยชุมชนแบบพง่ึ พาตนเองบนฐานความพอเพยี งและความรู๎ ประเด็นยุทธศาสตรท๑ ่ี 2 สงํ เสรมิ การเพิ่มมลู คําและมูลคาํ ของตน๎ ทนุ ทรพั ยากรชุมชนสํูการเป็นสินค๎า และบริการบนฐานอัตลักษณ๑ เอกลักษณ๑ และการมีสํวนรํวมของชุมชนสูํต๎นแบบการเป็นแหลํงเรียนร๎ูการ พัฒนาและจดั การการทอํ งเท่ยี วโดยชุมชนในระดับตาํ ง ๆ ประเดน็ ยุทธศาสตรท๑ ี่ 3 พัฒนาการบริหารจัดการการตลาดการทํองเที่ยวชุมชนท่ีมุ๎งเน๎นการสร๎าง สมดุลของความสขุ ของคนท้ังในชมุ ชนและนักทอํ งเทยี่ ว ประเดน็ ยทุ ธศาสตรท๑ ี่ 4 พฒั นากลไกการขบั เคลือ่ นระบบการบรหิ ารจดั การและการทางานเชื่อมโยง ทม่ี เี อกภาพมั่นคงและยั่งยืน ประเดน็ ยทุ ธศาสตรท๑ ี่ 5 พัฒนาขีดดัชนีชว้ี ดั ความสุขระหวาํ งชุมชนและนักทํองเท่ียวตลอดจนพัฒนา ไปสูํการเป็นแหลงํ เรยี นรใู๎ นภูมิภาคอาเซียน การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 582

จากประเด็นยุทธศาสตร๑การทํองเท่ียวโดยชุมชน สามารถนามาพัฒนาการทํองเที่ยวท้ัง 5 ยทุ ธศาสตร๑ ได๎แกํ เสริมสร๎างคุณภาพทักษะของทรัพยากรในชุมชน สร๎างมูลคํ าต๎นทุนทรัพยากรในชุมชน บรหิ ารการจัดการตลาดของชุมชน พัฒนากลไกเพ่ือความมั่นคงและยั่งยืน และชี้วัดความสุขระหวํางชุมชน นักทํองเที่ยว แ และกระบวนการเรียนร๎ู ยุทธศาสตร๑เหลําน้ีเป็นการยกระดับฐานชุมชนและทรัพยากรการ ทอํ งเที่ยวของชุมชนน้นั เพือ่ ตํอยอดการทอํ งเท่ียวให๎มคี ุณภาพมากยิง่ ข้ึนตอํ ไป แนวคดิ เกย่ี วกับการทอ่ งเทีย่ วโดยชุมชน องค๑ประกอบหลกั ของการทํองเท่ยี วโดยชุมชน มอี ยํู 4 ด๎าน ไดแ๎ กํ (สถาบันการทํองเทย่ี วโดยชุมชน , 2554) 1.องค๑ประกอบด๎านทรัพยากรธรรมชาติและวฒั นธรรม ชุมชนมีฐานทรัพยากรธรรมชาติท่ีอุดมสมบูรณ๑และมีวิถีการผลิตที่พ่ึงพาและใช๎ทรัพยากรธรรมชาติ อยาํ งยัง่ ยนื และมวี ฒั นธรรมประเพณที ีเ่ ป็นเอกลักษณเ๑ ฉพาะถิน่ 2. องค๑ประกอบดา๎ นองค๑กรชุมชน ชุมชนมีระบบสังคมท่ีเข๎าใจกัน มีปราชญ๑หรือผู๎มีความร๎ูและทักษะในเรื่องตําง ๆ หลากหลาย มคี วามร๎ูสกึ เป็นเจ๎าของและเขา๎ มามสี ํวนรํวมในกระบวนการพัฒนา 3. องคป๑ ระกอบด๎านการจดั การ ชมุ ชนมีกฎ กติกา ในการจดั การสิ่งแวดลอ๎ ม วัฒนธรรม และการทํองเท่ียวมีองคก๑ รหรือกลไกในการ ทางานเพื่อจัดการการทํองเที่ยวและสามารถเชื่อมโยงการทํองเที่ยวกับการพัฒนาชุมชนโด ยรวมได๎ มีการ กระจายผลประโยชนท๑ ี่เป็นธรรม และมกี องทนุ ที่เอ้อื ประโยชน๑ตอํ การพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมของชุมชน 4. องค๑ประกอบด๎านการเรยี นรู๎ ลักษณะของกจิ กรรมการทํองเที่ยวของชุมชนสามารถสร๎างการรับร๎ู และความเข๎าใจในวิถีชีวิตและ วฒั นธรรมท่ีแตกตาํ ง มีระบบการจัดการให๎เกดิ กระบวนการเรยี นรร๎ู ะหวํางชาวบา๎ นกับผ๎มู าเยอื นสรา๎ งจติ สานกึ เรอื่ งการอนรุ กั ษ๑ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมทงั้ ในสํวนของชาวบา๎ นและผม๎ู าเยอื น จากที่กลาํ วมา การทอํ งเทยี่ วโดยชมุ ชนนัน้ ชมุ ชนตอ๎ งมกี ารจัดการการทํองเท่ียวชุมชนอยํางถูกต๎อง โดยต๎องให๎คนในชุมชนเปน็ เจา๎ ของทรพั ยากรมสี วํ นรํวมในทุก ๆ ดา๎ นและตอ๎ งเกิดจากการยอมรบั เกดิ จากการ เห็นชอบและเกิดจากความตอ๎ งการของคนในชุมชนน้ันเอง แนวคดิ การมีสว่ นรว่ ม พะยอม ธรรมบุตร (2549) ได๎กาหนดบทบาทของชุมชนในการมีสํวนรํวมของการพัฒนาการ ทอํ งเทย่ี วระดบั ทอ๎ งถิ่นไว๎ 4 ระดบั คอื 1. การมสี วํ นรํวมระดบั การตัดสินใจ (Decision Making Level) ชมุ ชนท๎องถิน่ ควรมีโอกาสเข๎ารํวม ตัดสินใจ กํอนเร่ิมการพัฒนาการทํองเที่ยวในพื้นที่ของตน โดยชุมชนควรได๎รับข๎อมูลเกี่ยวกับผลกระทบ ทั้งทางบวกและทางลบทจ่ี ะเกิดข้ึนตํอชุมชน ถ๎ามีการพัฒนาการทํองเที่ยวภายในชุมชนควรจะมีการประชุม การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 583

แลว๎ ลงความเหน็ รวํ มกันในการตัดสินใจวําควรหรือไมํควรพัฒนาการทํองเท่ียวและถ๎าจะพัฒนาควรพัฒนาไป ในลักษณะใด 2. การมีสํวนรํวมระดับการวางแผน (Planning Level) ชุมชนควรรํวมกันวางแผนพัฒนาการ ทํองเทย่ี วของชุมชน เพราะชุมชนเป็นเจ๎าของทรัพยากร มีหน๎าท่ีดูแลรักษาทรัพยากร การรํวมวางแผนคือ การรวํ มรบั ผิดชอบในบทบาทและหน๎าท่ีตาํ ง ๆ ของการพัฒนา 3. การมสี ํวนรวํ มในการปฏบิ ตั กิ ารด๎านการพัฒนาการทํองเทย่ี ว (Implementation Level) ชุมชน ควรเปน็ เจา๎ ของธรุ กิจขนาดกลาง และขนาดยํอมด๎านการทํองเท่ียว เชํน ท่ีพักแรม โฮมสเตย๑ ร๎านอาหาร ทอ๎ งถนิ่ ร๎านขายสนิ ค๎า OTOP บริการนาเท่ยี ว บรกิ ารรถเชํา เชาํ เรือดาน้า เป็นต๎น 4. การมีสํวนรํวมในการประเมนิ ผลการพัฒนาการทํองเที่ยวในชุมชน (Evaluation Level) ชุมชน ควรเรมิ่ ประเมินผลของการพัฒนาการทอํ งเที่ยวในชุมชนเพือ่ การปรบั ปรงุ แผนพัฒนาใหย๎ ง่ั ยืนและระยะยาว การมสี ํวนรวํ มของชุมชนในทัง้ 4 ระดบั ดงั กลาํ ว ทาใหช๎ มุ ชนเปน็ ศูนยก๑ ลางของการพัฒนาและสร๎าง ความเป็นเจ๎าของ (Ownership) ของธุรกิจชุมชน ทาให๎ชุมชนสามารถพ่ึงพาตนเองได๎และเป็นชุมชน ที่เขม๎ แข็งตํอไป การบรหิ ารจัดการทอ่ งเทย่ี วโดยชุมชน สถาบันการทํองเที่ยวโดยชุมชน (2556) อธิบายวํา เจตนารมณ๑ของการทํองเที่ยวโดยชุมชน คือ การใช๎การทํองเท่ียวเป็นเครือ่ งมอื ในการพัฒนาชมุ ชนและอนุรักษ๑สิ่งแวดลอ๎ ม กระบวนการมีสวํ นรํวมของ คนในชุมชนเป็นหัวใจสาคัญของการจัดการการทํองเที่ยวโดยชุมชน ซ่ึงเริ่มจากกระบวนการรํวมกันคิด รํวมกันทา รํวมกนั ตดั สินใจ ในการกาหนดทิศทางและการเปลี่ยนแปลงตําง ๆ ที่จะเกิดข้ึน โดยมีการแบํง บทบาทหน๎าทขี่ องสมาชกิ เพือ่ ทาให๎งานคลอํ งตัว นอกจากนยี้ งั เป็นการเปิดโอกาสให๎คนหลากหลายกลุํมวัยได๎ แสดงบทบาทและศกั ยภาพของตนในการทางาน ในการบริหารจดั การทอํ งเท่ียวชุมชนที่ควรจะมีลักษณะดังน้ี (ระพพี รรณ ทองหอํ และคณะ, 2551 : 14) 1. สร๎างการมีสํวนรํวมในการบริหารจัดการทุกข้ันตอนอยํางเป็นระบบ เร่ิมตั้งแตํรํวมประชุม ระดมสมอง การวางแผน การตัดสินใจ การดาเนนิ การ การแบํงป๓นผลประโยชน๑และการติดตามประเมนิ ผล 2. มกี ารบรหิ ารจดั การท่ีเปน็ ระบบ โปรงํ ใส ยุติธรรม และสามารถตรวจสอบได๎ รวมท้ังมีการแบํง บทบาทหน๎าท่ีความรับผิดชอบที่ชัดเจน 3. มีกฎระเบยี บและแนวปฏบิ ัติในการปูองกันและแก๎ไขป๓ญหาท่ีอาจจะสํงผลกระทบตํอชุมชนท้ังใน ด๎านสงั คม วฒั นธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ๎ ม รวมทั้งคุณภาพชีวิตของคนในชมุ ชน 4. มีการแบงํ ปน๓ และกระจายผลประโยชนท๑ เี่ ปน็ ธรรมและทว่ั ถึง 5. มกี ารตดิ ตาม ตรวจสอบการดาเนินการเพ่ือนาไปสํูการปรับปรุงแก๎ไขและพัฒนาการจัดการการ ทํองเทย่ี วของชุมชนอยูํเสมอ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 584

การจัดการการทํองเที่ยวชนบทภายใต๎กิจกรรมด๎านการทํองเที่ยว ในจังหวัดภูเก็ตได๎พิจารณา สาระสาคญั ดังน้ี 1. การจัดการทรัพยากร จาเปน็ ต๎องมกี ารจดั การทด่ี ีและมีประสทิ ธภิ าพ 2. ความตอ๎ งการทางเศรษฐกจิ โดยคานึงวําการทอํ งเทย่ี วเปน็ กจิ กรรมเศรษฐกจิ ชนิดหน่งึ ท่จี าเป็นต๎อง มีความสามารถในการสร๎างกาไรเพือ่ ความอยํรู อดและผลประโยชน๑ของชุมชน 3.การตอบสนองความต๎องการหรือพันธะทางสังคมเป็นการให๎ความเคารพตํอวิถีชีวิตและวัฒนธรรม ของชมุ ชนตาํ ง ๆ ตลอดจนความหลากหลายและมรดกทางวัฒนธรรม 4.สุนทรียภาพเป็นองค๑ประกอบท่ีสาคัญของส่ิงแวดล๎อมและวัฒนธรรมตําง ๆ ไมํวําสถานท่ีน้ันจะมี ความยิง่ ใหญํเพียงใดหรือมีชื่อเสยี งมากนอ๎ ยเพียงไร การธารงไว๎ซ่ึงสุนทรียภาพของสถานที่เหลําน้ันคือภารกิจ สาคญั ของการพัฒนาการทํองเท่ียว 5.การคานึงถึงกระบวนการและขอบเขตทางนิเวศวิทยา เพ่ือให๎การพัฒนาความสามารถดารง สภาพแวดล๎อมตาํ ง ๆ ท้ังทางกายภาพและชวี ภาพท่ีเปราะบางไว๎ 6.การรกั ษาไวซ๎ ง่ึ ความหลากหมายทางชีวภาพของพืชพรรณและสัตว๑ตําง ๆ เพราะเป็นทรัพยากรท่ี สาคญั ของการทอํ งเท่ียว 7.การดารงไวซ๎ ง่ึ ระบบสนับสนุนชวี ติ ซ่ึงจะชวํ ยใหม๎ นษุ ยแ๑ ละสง่ิ มชี วี ิตทงั้ หมดในโลกสามารถอยไํู ดต๎ ํอไป (สานกั งานวัฒนธรรมจังหวดั ภเู กต็ . 2559) ดงั นัน้ ผว๎ู จิ ยั เห็นวาํ การทอํ งเทย่ี วในแหลํงชุมชนเป็นการทํองเทยี่ วที่มีประชาชนในพื้นท่ีเข๎ามามีสํวน รํวมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อนาไปสํูการทํองเที่ยวที่ใช๎ประโยชน๑จากทรัพยากรธรรมชาติ สังคมและวัฒนธรรมอยํางสมดุลมากขึ้น นอกจากนี้การทํองเท่ียวชุมชนยังสํงเสริมให๎ประชาชนในพื้นท่ี ได๎เรียนรู๎ด๎านการจัดการทํองเที่ยวเพื่อกระจายรายได๎เข๎าสูํชุมชนเพ่ือย กระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ในพ้นื ทอี่ ีกดว๎ ย กรอบแนวคิดการวจิ ัย การศึกษาเรื่อง แนวทางการพฒั นาการจัดการการมีสํวนรํวมของประชาชนในแหลํงทํองเที่ยวชุมชน ยํานเมืองเกํา จงั หวัดภเู กต็ ผ๎ศู กึ ษาได๎รวบรวมแนวคิดและทฤษฎี งานวิจยั ทีเ่ กีย่ วขอ๎ ง และสรุปได๎เป็นกรอบ แนวคิดในการวจิ ัยดังนี้ การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 585

ตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม ปจ๓ จยั ขอ๎ มลู พื้นฐาน การมสี ว่ นร่วมในแหลง่ ท่องเท่ียวชุมชน ยา่ น 1. เพศ เมืองเก่าภเู ก็ต จงั หวดั ภูเกต็ 2. อายุ 1. การค๎นหาปญ๓ หาและประเดน็ ปญ๓ หารํวมกนั 3. ระดบั การศกึ ษา 2. การวางแผนรวํ มกนั 4. สถานภาพสมรส 3. การตัดสินใจในการดาเนนิ นโยบาย 5. อาชพี 4. การปฏบิ ตั ิรวํ มกนั 6. รายได๎เฉลย่ี ตอํ เดอื น 5. การประเมนิ ผลรวํ มกัน การจัดการแหลง่ ท่องเที่ยวชมุ ชน แนวแนวทางการพฒั นาการจดั การการมีส่วน 1. ดา๎ นทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละวฒั นธรรม ร่วมของประชาชนในแหล่งท่องเทีย่ วชุมชน 2. ด๎านการมสี วํ นรํวม ย่านชุมชนเมืองเก่า จงั หวัดภเู ก็ต 3. ดา๎ นการจัดการ 4. ด๎านการเรียนรู๎ ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดการวิจยั วธิ ีดาเนนิ การวิจัย ประชากรและตัวอยา่ ง การศกึ ษาครง้ั นีแ้ บงํ ประชากรออกเป็น ดังน้ี ประชากรทใี่ ชใ๎ นการศึกษาวจิ ยั ครัง้ น้ี คือ ประชากรที่อาศัยอยํูในเทศบาลนครภูเก็ต เขตชุมชนยําน เมอื งเกําภเู กต็ จานวน 935 คน (เทศบาลนครภูเก็ต. 2559) การกาหนดขนาดของกลํุมตัวอยํางโดยใช๎สูตร ของยามาเนํ (Taro Yamane. 1973 อ๎างถึงในศิริพงศ๑ พฤทธิพันธ๑, 2553 หน๎า 203) ซึ่งในการคานวณหา ขนาดของกลํุมตวั อยํางทน่ี ๎อยทสี่ ดุ ทย่ี อมรับในการเปน็ ตัวอยาํ งประชากรได๎มสี ูตรดังนี้ คือ n(p) = N 1+ N (e)2 โดย n คือ ขนาดของกลุํมตัวอยําง N คือ จานวนหนํวยประชากร การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 586

e คือ ความคาดเคลอ่ื นที่ยอมรบั ไดข๎ องกลํมุ ตัวอยาํ งเทาํ กบั 0.05 แทนคํา = 935 1 + 935 (0.05)2 = 399.572 กลํุมตัวอยํางทคี่ านวณได๎มีคาํ เทํากบั 399.572 ตวั อยําง กาหนดให๎มคี วามคลาดเคลอ่ื นท่ยี อมรับได๎ท่ี ระดับความเชอื่ มั่น 95% เพื่อลดความคลาดเคลอื่ นและเพือ่ ความเหมาะสมในการทาการเกบ็ ขอ๎ มูล ผู๎วิจัยจึง ใช๎กลุํมตวั อยํางทัง้ หมด 400 ตวั อยาํ ง 1.1 ขนาดกลํุมตวั อยาํ งเชงิ ปริมาณ กลุํมตัวอยํางเชิงปริมาณท่ีผู๎วิจัยใช๎ในการวิจัย คือ ประชากรท่ีอาศัยอยํูในเทศบาลนครภูเก็ต เขตชุมชนยาํ นเมืองเกาํ ภูเกต็ จานวน 935 คน (เทศบาลนครภูเกต็ . 2559) การเลือกกลมุ่ ตวั อย่างเชงิ ปริมาณ การสํุมตัวอยาํ งในการทาการวจิ ยั คร้งั น้ี ผวู๎ ิจยั กาหนดสัดสํวนขนาดของกลํุมตัวอยํางจาก ในจังหวัด ภูเก็ตทม่ี พี ้นื ท่แี หลงํ ทอํ งเทยี่ วโดยชมุ ชน กรณีศึกษาชมุ นยํานเมอื งเกํา จังหวดั ภูเก็ต ผ๎ูวิจยั ใชว๎ ิธีการเลอื กกลํุม ตัวอยํางแบบโควต๎า (Quota Sampling) โดยเกบ็ แบบสอบถามจานวน 400 ชุด ในบริเวณชุมชนยํานเมือง เกํา จังหวดั ภูเก็ต ทั้งนใี้ นการดาเนินการเกบ็ รวบรวมขอ๎ มูล ผูว๎ จิ ัยจะใชว๎ ิธีการสํุมอยํางงํายจนได๎จานวนกลํุม ตัวอยํางครบตามจานวนทต่ี ๎องการท้ังหมด 400 ชุด เครื่องมือ เคร่ืองมือวิจัยที่ใช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) มีดังตํอไปน้ี1. การวิจัยเชิง ปรมิ าณ ผ๎ูวิจยั ใชแ๎ บบสอบถาม (Questionnaire) เปน็ เครอื่ งมอื ทีใ่ ชเ๎ ก็บรวบรวมข๎อมูลในการวจิ ยั เชิงปริมาณ โดยเก็บข๎อมูลกับประชาชนท่ัวไปท่ีอาศัยอยํูในเทศบาลนครภูเก็ต ชุมชนยํานเมืองเกํา จังหวัดภูเก็ต แบบสอบถามแบํงเป็น 4 ตอนดังนี้ตอนท่ี 1 ป๓จจัยสํวนบุคคล ได๎แกํ เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพทางสงั คม อาชพี และรายไดเ๎ ฉล่ยี ตํอเดือน ลักษณะคาถามเป็นแบบการเลือกตอบ (Check List) ตอนท่ี 2 มีการมีสํวนรํวมของประชาชนในแหลํงทํองเที่ยวโดยชุมชน ชุมชนยํานเมืองเกํา จังหวัดภูเก็ต ไดแ๎ กํ การมสี ํวนรํวมในการวางแผน การมสี วํ นรวํ มในการตดั สนิ ใจการมีสวํ นรวํ มในการปฏบิ ตั ิ และการมีสํวน รวํ มในการปฏบิ ัติด๎านการพัฒนาการทํองเท่ียว ลักษณะคาถามซึ่งเป็นแบบมาตราสํวนประมาณคํา ( Rating Scale) ซึ่งเป็นแบบเลือกตอบ 5 ระดับตอนที่ 3 แบบสอบถามเก่ียวกับระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการ ความร๎ูความเข๎าใจในการจัดการทํองเท่ียวโดยชุมชน ลักษณะของแบบสอบถามที่สร๎างขึ้นเป็นคาถามแบบ การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 587

มาตราสํวนประมาณคํา (Rating Scales) ลักษณะคาถามประกอบด๎วยข๎อความที่เป็นการให๎ความสาคัญ ในการมสี ํวนรวํ มตํอปจ๓ จัยในแตํละด๎านโดยในแตํละข๎อคาถามมีคาตอบให๎เลือก 5 ระดับตอนท่ี 4 คาถาม ปลายเปิด เก่ียวกับการแสดงความคิดเห็น เร่ืองการมีสํวนรํวมของประชนในแหลํงทํองเท่ียวโดยชุมชน กรณีศกึ ษา ชุมชนยํานเมอื งเกาํ จังหวัดภเู ก็ต การตรวจสอบคุณภาพเคร่อื งมอื เพือ่ ให๎การศึกษาเป็นไปอยาํ งถูกต๎องและเชื่อถอื ได๎ กํอนท่ีจะนาเคร่ืองมอื ไปใชใ๎ นการเก็บขอ๎ มลู ผว๎ู จิ ยั ไดท๎ าการตรวจสอบขอ๎ มูล โดยการนาแบบสอบถามท่ีสร๎างขึ้นเสนอกรรมการที่ปรึกษาและผู๎เชี่ยวชาญได๎ทา การพิจารณาตรวจสอบ จานวน 3 ทําน หลังจากน้ันนาเคร่ืองมือที่ได๎รับในการตรวจสอบจากผู๎เชี่ยวชาญ เสนอคณะกรรมการควบคุมการวิจัย เพอื่ ตรวจสอบความถูกต๎องให๎ครอบคลุมถึงวัตถุประสงค๑ เพื่อขอความ อนุเคราะห๑ในการเก็บขอ๎ มูลกํอนนาไปเก็บข๎อมลู จรงิ ซ่ึงแบบสอบถามที่ใชม๎ ี ดังนี้ 1. การสร๎างแบบสอบถาม เครื่องมือท่ีใช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูลเพ่ือใช๎ในการศึกษา ใช๎แบบสอบถามเก่ียวกับการมีสํวนรํวมของประชานในแหลํงทํองเท่ียวโดยชุมชน ชุมชนยํานเมืองเกําภูเก็ต จงั หวัดภูเกต็ ผ๎ูวจิ ัยได๎สร๎างเคร่อื งมอื ในการหาขอ๎ มูลเพอ่ื นามาวเิ คราะห๑ โดยมีขั้นตอนการสร๎างดังน้ี 1.1 ทาการศึกษาค๎นคว๎าเอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวข๎อง 1.2 นาแบบสอบถามให๎ประธานและคณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ๑ และผ๎ูทรงคุณวุฒิ ตรวจสอบความถูกตอ๎ ง 1.3 ปรับปรุงแก๎ไขข๎อบกพรํองของแบบสอบถามตามที่คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ๑ และผ๎ทู รงคุณวุฒิแนะนา 2. การหาคําความเท่ยี งตรง 2.1 นาแบบสอบถามท่ปี รบั ปรุงแลว๎ ให๎ผทู๎ รงคุณวุฒิจานวน 3 ทําน พิจารณาตรวจสอบ ความเท่ียงตรงของเนอ้ื หา 2.2 นาแบบสอบถามที่ผํานการปรับปรุงแก๎ไขตามท่ีผ๎ูเช่ียวชาญเสนอแนะแล๎ว ทดลองใช๎ (Try-out) กบั กลมํุ ท่ีมีลักษณะใกลเ๎ คียงกับกลมํุ ตัวอยาํ งทีจ่ ะศึกษาจานวน 30 คน 2.3 นาแบบสอบถามทผ่ี เู๎ ชยี วชาญตรวจสอบแล๎วมาหาคําดัชนีความสอดคลอ๎ ง IOC (Index of Congruency) โดยคดั เลือกเฉพาะขอ๎ คาถามทีม่ คี าํ ดัชนคี วามสอดคลอ๎ งต้งั แตํ 0.5 ข้นึ ไป ท้ังนผ้ี ูว๎ จิ ัยเลือกขอ๎ คาถามทมี่ คี ํา IOC มากกวํา 0.5 มาใชเ๎ ปน็ ขอ๎ คาถามจากผเู๎ ช่ียวชาญท้ัง 5 ทําน ซง่ึ ไดต๎ รวจแบบสอบถามแล๎วเหน็ วํา แบบสอบถามทุกข๎อของผ๎ูวิจัยสร๎างขึ้นมีความเที่ยวตรงตํอเน้ือหาคลอบ คลุมในแตํละด๎าน และครอบคลุมวัตถุประสงค๑ของการวิจัย นาแบบสอบถามที่ผู๎วิจัยสร๎างข้ึน ไปให๎ ผู๎เชี่ยวชาญตรวจสอบเพ่ือหาคํา Validity โดยใช๎ IOC ซึ่งจะต๎องไมํต่ากวํา 0.5 ผลสรุปคําดัชนีมีความ สอดคล๎องของข๎อคาถามในแบบสอบถามอยํูระหวําง 0.60 – 1 ผู๎ศึกษาจึงนาแบบสอบถามไปทดสอบความ เช่ือมัน่ ในข้นั ตํอไป การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 588

3. การหาคําความเช่อื ม่นั (Reliability) โดยผ๎วู จิ ยั นาแบบสอบถามไปทดสอบ (Pretest) กับกลุํม ตัวอยํางทม่ี ลี ักษณะใกล๎เคยี งกบั กลุํมท่จี ะศึกษาจานวน 30 คน โดยการนาไปวิเคราะห๑หาความเชื่อม่ันเป็น รายข๎อ (Item Analysis) หาความเชื่อมั่นรวมโดยใช๎วิธีของ Cronbach (1984, p.161 อ๎างถึงใน กัลยา วาณิชย๑บญั ชา, 2548) เพ่ือให๎เกิดความชัดเจนของข๎อคาถาม โดยใช๎โปรแกรมทางสถิติในการคานวณ ได๎คํา ความเชอ่ื ม่นั ท่ี 0.89 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู การวิเคราะหค๑ วามคดิ เห็นของประชาชนดา๎ นการจดั การการทํองเท่ียวชุมชน ชุมชนยํานเมืองเกาํ ภเู กต็ จงั หวดั ภเู ก็ต จากตารางวเิ คราะหค๑ าํ เฉลีย่ และสวํ นเบี่ยงเบนมาตรฐานตํอความคิดเห็นของประชาชนด๎านการ จัดการการทํองเที่ยวทอํ งเทย่ี วชุมชน ชุมชนยํานเมอื งเกําภูเก็ต จงั หวดั ภเู ก็ต ตารางท่ี 1 ความคิดเห็นของประชาชนด๎านการจัดการการทํองเท่ียวชุมชน ยํานเมืองเกําภูเก็ต ความคดิ เห็นของประชาชนดา้ นการจดั การการ  S.D. ระดับความ จังหวั ท่องเท่ียวชมุ ชน ชมุ ชนยา่ นเมอื งเกา่ จังหวดั ภเู กต็ คดิ เห็น ด ด๎านทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละวัฒนธรรม 4.28 0.32 มาก ภเู ก็ต ด๎านองค๑กรชมุ ชน 4.51 0.36 มากทีส่ ุด ด๎านการจัดการ 4.31 0.42 มาก ดา๎ นการเรียนร๎ู 4.31 0.44 มาก รวม 4.35 0.27 มาก จ จากตารางที่ 1 พบวําคําเฉลี่ยและสํวนเบี่ยงเบนมาตรฐานตํอความคิดเห็นของประชาชน ดา๎ นการจัดการการทอํ งเทยี่ วชมุ ชนยาํ นเมอื งเกํา จงั หวัดภเู กต็ โดยรวม พบวํา ในภาพรวมประชาชนเห็นด๎วย อยํูในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด๎าน พบวํา อยูํในระดับมากที่สุด 1 ด๎าน คือ ด๎านองค๑กรชุมชนและ ระดับมาก 3 ด๎าน เรียงลาดับจากมากไปหาน๎อย ได๎แกํ ด๎านการจัดการ ด๎านการเรียนร๎ู และ ด๎าน ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละวัฒนธรรมตามลาดบั การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวิจยั คดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 589

การวเิ คราะห์ปัจจัยเก่ยี วกบั การมีส่วนร่วมในการจัดการการท่องเท่ียวชุมชน ชุมชนย่านเมืองเก่า จงั หวัดภูเก็ต ตารางที่ 2 การวิเคราะห๑คําเฉลี่ยและสวํ นเบี่ยงเบนมาตรฐานตํอป๓จจัยเก่ียวกับการมีสํวนรํวมในการ จดั การการทอํ งเท่ยี วชุมชน ชมุ ชนยํานเมอื งเกาํ จงั หวดั ภเู ก็ต การมสี ว่ นร่วมในการจัดการการทอ่ งเทย่ี วชุมชน  S.D. ระดบั การมี สว่ นร่วม 1. การวางแผน 3.58 0.47 มาก 2. การตัดสนิ ใจดาเนินนโยบายรํวมกัน 3.59 0.53 มาก 3. การปฏิบตั งิ านรวํ มกนั 3.55 0.48 มาก 4. การติดตามและประเมนิ ผลรํวมกนั 3.69 0.57 มาก รวม 3.60 0.45 มาก จากตารางที่ 2 พบวําคําเฉลย่ี และสํวนเบยี่ งเบนมาตรฐานตํอป๓จจัยเกี่ยวกับการมีสํวนรํวมในการ จดั การการทอํ งเที่ยวชุมชน โดยรวม พบวํา ในภาพรวมประชาชนมสี ํวนรวํ มอยูํในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็น รายด๎าน พบวํา อยํูในระดับมากทุกด๎าน เรียงลาดับจากมากไปหาน๎อย ได๎แกํ การติดตามและประเมินผล รวํ มกันการปฏบิ ตั ิงานรํวมกันการตัดสินใจดาเนินนโยบายรํวมกัน และ การวางแผน ตารางที่ 3การวิเคราะหค๑ าํ เฉลยี่ และสํวนเบีย่ งเบนมาตรฐานตอํ ความคิดเหน็ ของประชาชนดา๎ นการจัดการการ ทํองเทีย่ วชมุ ชน ด๎านการจดั การ ด้านการจดั การ  S.D. ระดบั ความ คิดเห็น 1. ชมุ ชน ละหนํวยงานทเ่ี กยี่ วขอ๎ งมีการรักษา มาตรฐานทรพั ยากรชมุ ชนและความสมดุลของ แหลงํ ทอํ งเทย่ี วยํานเมอื งเกํา 4.35 0.56 มาก 2. ชุมชนและหนํวยงานทเี่ ก่ยี วขอ๎ งมกี ารวางแผน ปรบั ปรงุ พฒั นากฎระเบยี บระหวาํ ง ผปู๎ ระกอบการ ภาครัฐ เอกชน ประชาชน และเปดิ โอกาสใหม๎ ีการดาเนินการอยาํ งเสมอ ภาคกนั 4.24 0.51 มาก 3. ชุมชนและหนวํ ยงานทเี่ กยี่ วข๎องมกี ารสรา๎ ง สภาพแวดล๎อมบรเิ วณแหลงํ ทอํ งเท่ียวชมุ ชนที่ดี เพอื่ ยกระดับคุณภาพชีวิตและการพฒั นาที่ ยัง่ ยนื 4.29 0.60 มาก 4. ชมุ ชนแหละหนวํ ยงานทเ่ี ก่ียวขอ๎ งมีการ 4.36 0.66 มาก การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 590

ดา้ นการจดั การ  S.D. ระดบั ความ คิดเห็น วเิ คราะหแ๑ หลงํ ทํองเทย่ี วถึงจุดแขง็ จุดอํอน 4.31 โอกาสและอปุ สรรค ทเ่ี หมาะแกกํ ารพฒั นาขดี 0.42 มาก ความสามารถในการจัดการการทํองเทยี่ วชุมชน ยํานเมอื งเกํา รวม จากตารางท่ี 3 พบวําคาํ เฉล่ียและสํวนเบย่ี งเบนมาตรฐานตํอความคิดเห็นของประชาชนด๎านการ จัดการการทํองเท่ียวชุมชนด๎านการจดั การพบวํา ในภาพรวมประชาชนเห็นด๎วยอยูํในระดับมาก เมื่อพิจารณา เป็นรายด๎าน พบวํา อยํูในระดับมากทุกด๎าน เรียงลาดับจากมากไปหาน๎อย ได๎แกํ ชุมชนแหละหนํวยงานที่ เกี่ยวข๎องมีการวิเคราะห๑แหลํงทํองเท่ียวถึงจุดแข็ง จุดอํอน โอกาสและอุปสรรค ท่ีเหมาะแกํการพัฒนาขีด ความสามารถในการจัดการการทํองเที่ยวชุมชน ยํานเมืองเกําชุมชน ละหนํวยงานท่ีเกี่ยวข๎องมีการรักษา มาตรฐานทรัพยากรชุมชนและความสมดลุ ของแหลงํ ทํองเท่ียวยํานเมืองเกําชุมชนและหนํวยงานท่ีเกี่ยวข๎องมี การสรา๎ งสภาพแวดลอ๎ มบริเวณแหลํงทํองเท่ยี วชุมชนท่ีดเี พือ่ ยกระดับคุณภาพชวี ติ และการพฒั นาท่ียง่ั ยนื และ ชุมชนและหนํวยงานท่เี ก่ียวข๎องมีการวางแผน ปรับปรุง พัฒนากฎระเบียบระหวํางผ๎ูประกอบการ ภาครัฐ เอกชน ประชาชน และเปิดโอกาสให๎มกี ารดาเนนิ การอยํางเสมอภาคกัน การวิเคราะหข์ อ้ มูลเพือ่ เปรยี บเทียบปจั จัยทมี่ ผี ลตอ่ การมีส่วนร่วมในการจัดการการท่องเทย่ี วชมุ ชน ตารางท่ี 4 เปรยี บเทยี บความคิดเห็นของประชาชนตอํ การมีสํวนรํวมในการจดั การทอํ งเท่ียวชมุ ชน ประเด็น เพศชาย เพศหญิง t sig X S.D. X S.D. 1. การคน๎ หาป๓ญหาและ ประเด็นปญ๓ หารวํ มกัน 3.61 0.46 3.53 0.47 1.48 0.89 3.62 0.54 3.55 0.52 1.19 0.63 2. การวางแผนรํวมกัน 3. การตดั สินใจดาเนิน 3.58 0.51 3.50 0.43 1.59 0.02* 3.71 0.58 3.65 0.56 0.97 0.42 นโยบาย 3.63 0.46 3.56 0.43 1.47 0.33 4. การประเมินผลรวํ มกนั รวม *sig < 0.05 การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพร่ผลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 591

จากตารางท่ี 4 พบวําผลการเปรยี บเทยี บความคิดเห็นของประชาชนตํอการมีสํวนรํวมในการจัดการ ทํองเท่ียวชุมชน จาแนกตามป๓จจัยสํวนบุคคล ด๎านเพศพบวําโดยรวมไมํแตกตําง หากพิจารณาเป็นรายด๎าน พบวํา เพศชายและหญิงมีสํวนรํวมในการตัดสินใจดาเนินนโยบาย แตกตํางกันอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ ทรี่ ะดบั 0.05 สรุปผลการวจิ ัย 1. ข๎อมูลท่ัวไปของผ๎ูตอบแบบสอบถาม พบวํา ผ๎ูตอบแบบสอบถามสํวนใหญํเป็นเพศชาย มีอายุ ระหวาํ ง 41 - 50ปี สถานภาพ สมรส การศกึ ษาระดบั ปริญญาตรี หรอื สูงกวําประกอบอาชีพรับราชการ เป็น หัวหน๎าครวั เรือน และ มีรายได๎เฉลีย่ ตํอเดอื น 20,001 – 30,000 บาท 2. ความคิดเห็นของประชาชนด๎านการ จัดการการทอํ งเทย่ี วชุมชน พบวํา เห็นด๎วยอยํใู นระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด๎าน พบวํา อยํูในระดับมาก ทส่ี ดุ 1 ด๎าน และ ระดบั มาก 3 ดา๎ น เรียงลาดับจากมากไปหาน๎อย ได๎แกํ ด๎านองค๑กรชุมชน ด๎านการจัดการ ดา๎ นการเรียนรู๎ และ ดา๎ นทรพั ยากรธรรมชาติและวัฒนธรรมตามลาดับ3. ป๓จจัยเกี่ยวกับการมีสํวนรํวมในการ จัดการการทํองเที่ยวชุมชน ทีมีผลตํอความคิดเห็นประชาชน โดยรวม พบวําเห็นด๎วยอยูํในระดับมาก เมื่อ พิจารณาเป็นรายด๎าน พบวํา อยํูในระดับมากทุกข๎อ เรียงลาดับจากมากไปหาน๎อย ได๎แกํ การติดตามและ ประเมินผลรวํ มกนั การวางแผนรวํ มกนั การปฏิบัติงานรํวมกนั รวํ มกันและ การตัดสินใจดาเนินนโยบาย4. สรุปผล เปรยี บเทยี บความคิดเห็นของประชาชนตอํ การมีสํวนรํวมในการจัดการทํองเท่ียวชุมชนจาแนกตามป๓จจัยสํวน บุคคล โดยรวม พบวาํ เพศ อายุ สถานภาพ รายไดเ๎ ฉลี่ยตํอเดอื นและ แตกตํางอยาํ งมนี ยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 5. สรปุ ผล เปรียบเทยี บความคิดเห็นของประชาชนตํอการจัดการทํองเท่ียวชุมชนจาแนกตามป๓จจัยสํวน บุคคล โดยรวม พบวาํ เพศ และรายไดเ๎ ฉล่ยี ตํอเดอื นแตกตํางอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.05 สํวนราย ดา๎ นแตกตาํ งกันเฉพาะดา๎ น องคก๑ รชุมชน ด๎านการจดั การ และ ดา๎ นการเรียนร๎ู อภิปรายผล การศกึ ษา แนวทางการพัฒนาการมสี ํวนรํวมของประชาชนในแหลํงทํองเที่ยวชุมชน ยํานเมืองเกํา จังหวดั ภูเก็ตในคร้งั น้ี ได๎ศกึ ษาตามแนวคดิ ปจ๓ จัยการมสี วํ นรํวมจากผลการศกึ ษาพบวํา ความคิดเห็นของประชาชนด๎านการจัดการการแหลํงทํองเที่ยวชุมชนพบวํามีความคิดเห็นอยูํใน ระดบั มาก เม่ือพจิ ารณาเป็นรายด๎าน พบวํา อยูํในระดับมากท่ีสุด 1 ด๎าน และ ระดับมาก 3 ด๎าน เรียงลาดับ จากมากไปหาน๎อย ไดแ๎ กํ ดา๎ นองคก๑ รชุมชน ด๎านการจดั การ ดา๎ นการเรียนร๎ู และ ดา๎ นทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ วัฒนธรรม ซึ่งสอดคลอ๎ งกับงานวิจัยของ อภิวฒั น๑ ภูริศวิ ารกั ษ.๑ (2553) ศึกษาเรื่อง การจัดการทํองเท่ียวโดย ชมุ ชน : ศึกษาพ้นื ท่ี บ๎านฝง่๓ ทํา หมํู 5 ตาบลวังก๑พง อาเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ๑ พบวําการ บริหารจดั การ แบงํ ตามกิจกรรมตําง ๆ ของชมรม ได๎แกํ กิจกรรมเรือนาเทยี่ ว ลํองแมนํ า้ ปราณ กิจกรรมท่ี พัก Home Stay และอุทยานวังมัจฉา มีการระดมทุนในการดาเนินกิจกรรมตําง ๆ จากชาวบ๎านกันเอง และได๎รบั การสนับสนนุ จากหนํวยงานภายนอกบ๎าง การรับผลตอบแทนจะได๎รับในลักษณะตําง ๆ กัน ตาม การประชุมทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศกึ ษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อดุ มศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 592

การมสี ํวนรํวม เชํน ถ๎าเป็นเจ๎าของเรือนาเที่ยวจะได๎รับคําตอบแทนจากนักทํองเที่ยวโดยตรง แล๎วหักเป็น เงินกองทนุ ของชมรม สวํ นกจิ กรรม Home Stay และกิจกรรมอุทยานวังมจั ฉาจะได๎รับคําตอบแทนจากเงิน ป๓นผลทไ่ี ดล๎ งหนุ๎ เอาไว๎ ผ๎วู ิจยั มีความคดิ เห็นวาํ ที่ประชาชนสวํ นใหญมํ ีระดับความคิดเห็นอยํใู นระดบั มาก อาจเป็นเพราะวํา ประชาชนสวํ นใหญํเลง็ เหน็ ความสาคัญของการทํองเท่ยี วชมุ ชน และมีความตอ๎ งการทจี่ ะรกั ษาทรพั ยากรชุมชน ท๎องถ่ินและสภาพแวดล๎อมของชุมชนให๎คงสภาพเดิมมากที่สุดเพื่อเป็นการทํองเท่ียวที่อยํูบนพื้นฐานของ ส่ิงแวดล๎อมทางธรรมชาติ ทางกายภาพ ชีวภาพ รวมถึงวัฒนธรรม จะต๎องมีการปฏิบัติการในขอบเขต ความสามารถของ ชุมชน ขนบธรรมเนยี ม ประเพณวี ฒั นธรรม ที่มตี อํ กระบวนการทอํ งเที่ยว และ สนับสนุน การพัฒนาพ้ืนท่ีชุมชนและวัฒนธรรมที่เก่ียวเนื่องกับกับการพัฒนาอยํางย่ังยืนในเขตชุมชนให๎เป็นแหลํง ทํองเท่ยี วอยาํ งมปี ระสทิ ธิภาพ ขอ้ เสนอแนะ จากผลการศึกษาเกีย่ วกบั แนวทางการพฒั นาการบริหารจัดการการมีสํวนรํวมของประชาชนในแหลํง ทํองเท่ียวชุมชน ชุมชนยํานเมืองเกํา จังหวัดภูเก็ตพบวํา มีสํวนรํวมในการจัดการการทํองเท่ียวชุมชนหรือ ป๓จจัยทุกตัวจากผลการวิจัยไปประยุกต๑ในกา รวางแผนและกาหนดยุทธศาสตร๑เพื่อให๎เกิดประโยชน๑และ ศักยภาพโดยเนน๎ กระบวนการมีสํวนรวํ มใหก๎ บั ชมุ ชน ผ๎ูวิจยั มขี อ๎ เสนอแนะเพ่อื การนาไปใช๎ ดงั นีข้ อ๎ เสนอแนะแกํ สานักงานการทํองเท่ียวแหํงประเทศไทย และองค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่ินเพ่ือการนาไปใช๎ด๎าน ทรัพยากรธรรมชาติและวัฒนธรรม 1. ควรมีการสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ชุมชนและวัฒนธรรมประเพณีที่ เก่ียวเน่ืองกับแหลํงทํองเที่ยวชุมชน ยํานเมืองเกํา2. ควรมีกฎระเบียบการทํองเที่ยว กฎเกณฑ๑ ให๎ต้ังอยูํใน ขอบเขตความสามารถของพื้นที่ชุมชนด๎านองค๑กรชุมชน 1. ยอมรับให๎ประชาชนทุกสํวนเข๎ามามีสํวนรํวม และ ได๎รับผลประโยชนท๑ างเศรษฐกิจทเี่ กิดจากการทอํ งเทย่ี วชุมชนอยาํ งเสมอภาค2. จัดระบบการทํองเท่ียวตามวิถี ชีวิตของคนในท๎องถิ่นและชุมชนในพ้ืนที่ด๎านการจัดการ 1. ควรมีการวางแผน ปรับปรุง พัฒนากฎระเบียบ ระหวํางผปู๎ ระกอบการ ภาครฐั และ ภาคเอกชน รวมถงึ ประชาชน โดยการเปิดโอกาสใหม๎ ีการดาเนินการอยําง เสมอภาคเทําเทียมกัน 2. มีการจัดการท่ีย่ังยืนครอบคลุมถึงการอนุรักษ๑ทรัพยากรการจัดการส่ิงแวดล๎อมใน ชุมชน การปูองกนั มลพิษ ควบคมุ และพัฒนาการทํองเทยี่ วอยาํ งย่ังยืนด๎านการเรียนรู๎ 1. สร๎างกิจกรรมที่สร๎าง โอกาสให๎นกั ทอํ งเทย่ี วได๎ใกล๎ชิดกับธรรมชาติและได๎รบั ประโยชน๑โดยตรงจากชมุ ชนและวถิ ชี ีวติ 2. ใหค๎ วามรู๎ดา๎ น การจดั การทํองเท่ียวชมุ ชนอยํางยง่ั ยนื เพอื่ ให๎เกดิ ความร๎ูใหมํ ๆ ทันเหตกุ ารณ๑เสมอ เอกสารอ้างองิ การทํองเที่ยวแหงํ ประเทศไทย.(2555). รายงานประจาปี 2555 การท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย.กรุงเทพฯ : การทํองเทยี่ วแหํงประเทศไทย. การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 593

กัลยา วาณชิ ยบ๑ ัญชา. (2548). การใช้ SPSS for windows ในการวเิ คราะห์ข้อมูล.พิมพ์คร้ังท่ี 7 : ภาควิชา สถติ ิคณะพาณชิ ย๑ศาสตรแ๑ ละการบญั ชี จฬุ าลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. เทศบาลนครภูเกต็ . (2554).บรรยายสรปุ ข้อมูลจงั หวัดภูเกต็ 2554. _______ . (2559). โครงการฟน้ื ฟอู นุรักษช์ มุ ชนย่านเมืองเกา่ ภูเก็ต 2559. นรินทร๑ สงั ข๑รักษาและคณะ.(2553). รายงานการวิจัยการศึกษาส ภาพการท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรมจังหวัด นครปฐม. นครปฐม : คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปกร พะยอม ธรรมบุตร. (2549).เอกสารประกอบการเรียนการสอน เรื่อง การวางแผนยุทธศาสตร์ด้านการ ทอ่ งเทีย่ ว. กรุงเทพ. ระพีพรรณ ทองหํอ. (2551).รายงานการวิจัย การสร้างเครือข่ายการท่องเท่ียวโดยชุมชนด้วยกระบวนกร วจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารมีส่วนร่วมในกลุ่มจงั หวดั ภาคกลาง. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาแหง. ศิริพงศ๑ พฤทธพิ นั ธ.๑ (2557).ระเบียบวิธวี จิ ยั สาหรบั ธุรกจิ .กรงุ เทพฯ: ฮาซันพร้ินติง้ . สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาการทํองเท่ียว.(2551). เอกสารชุดโครงการวิคราะห์บริบทเช่ือมโยงการพัฒนา ตราสนิ ค้าของผลิตภณั ฑ์ทางการเกษตรกับการส่งเสริมการท่องเท่ียวจังหวัดนครปฐม. กรุงเทพฯ : สานกั งานกองทนุ สนับสนนุ การวิจยั . สถาบันการทอํ งเทยี่ วโดยชมุ ชน. (2554).การท่องเทยี่ วโดยชุมชน. ________. (2556).ชมุ ชนการทอ่ งเทย่ี ว. องคก๑ รการบรหิ ารการพฒั นาพื้นท่ีพิเศษเพ่อื การทํองเที่ยวอยาํ งยงั่ ยืน. (2559).การพัฒนาการท่องเท่ียวอย่าง ย่ังยืน. กรุงเทพมหานคร การประชุมทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคดั สรรสาขาวิชาศึกษาศาสตรร์ ะดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 594

การบริหารความเสี่ยงของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาจังหวัด ปทมุ ธานี Risk Management of Small Schools under the Office of Pathum Thani Education Service Area ชื่อผแู้ ตง่ ธัญญารตั น์ สายใหม่ หนว่ ยงานทีส่ งั กดั คณะครุศาสตรอ์ ุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี e-mail : [email protected] บทคัดย่อ การวิจัยครัง้ นม้ี ีวตั ถุประสงคเ๑ พอ่ื 1) ศกึ ษาระดับการบริหารความเสี่ยงของผู๎อานวยการสถานศึกษา และครูของโรงเรยี นขนาดเลก็ สงั กัดสานกั งานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาจังหวัดปทมุ ธานี และ 2) เปรียบเทียบการ บริหารความเสี่ยงของผู๎อานวยการสถานศึกษาและครูของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาจังหวัดปทุมธานี กลุํมตัวอยํางที่ใช๎ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ประชากรท้ังหมดท่ีเป็นผ๎ูอานวยการ สถานศึกษาและครูสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาปทุมธานี จานวน 336 คน จาแนกเป็นผ๎ูอานวยการ สถานศึกษา จานวน 41 คน และครู จานวน 295 คน เคร่ืองมือท่ีใช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูล เป็น แบบสอบถาม มี 2 ตอน คือ ตอนท่ี 1 แบบสอบถามความคิดเห็นของสถานภาพของผู๎ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 แบบสอบถามระดับการบริหารความเสี่ยง มีลักษณะข๎อคาถามเป็นแบบมาตราสํวนประมาณคํา 5 ระดับ สถิติท่ีใช๎ ในการวิเคราะห๑ข๎อมูล คือ ความถ่ี คําร๎อยละ คําเฉลี่ย คําสํวน เบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบวํา 1) การบริหารความเสี่ยงของผอ๎ู านวยการสถานศึกษาและครูของโรงเรียนขนาดเล็ก สงั กัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาจังหวดั ปทมุ ธานี มีระดับการปฏบิ ัติการบริหารความเสี่ยงเฉลี่ยอยํูในระดับ มาก และ 2) การบริหารความเส่ียงของผ๎ูบริหารสถานศึกษาและครูโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขต พ้ืนที่การศกึ ษาจังหวดั ปทุมธานี พบวาํ การบริหารความเส่ยี งดา๎ นการเงนิ แตกตํางกันมากทสี่ ดุ โดยที่ผบ๎ู ริหาร สถานศึกษามีคําเฉลี่ยเทํากับ 3.30 (µ=3.30) สํวนเบี่ยงเบนมาตรฐานเทํากับ 0.61 ( =0.61) และครูมี คําเฉล่ียเทํากบั 3.44 (µ=3.44) สวํ นเบย่ี งเบนมาตรฐานเทาํ กบั 0.79 ( =0.79) คาสาคัญ: การบริหารความเสย่ี ง โรงเรียนขนาดเลก็ จงั หวดั ปทุมธานี การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจัยคดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 595

ABSTRACT The purposes of this study were to 1) investigate risk management level of directors and teachers in small schools under the Office of Pathum Thani Education Service Area, and 2) compare their risk management. The samples included 336 people comprising 41 directors and 295 teachers working under the Office of Pathum Thani Education Service Area. An opinionnaire was employed as a research instrument consisting of 2 parts. Part 1 focused on personal information while Part 2 contained 5-level rating scale questions about risk management. The collected data were then analyzed by percentile, mean, and standard deviation. The results showed that 1) risk management level of directors and teachers in small schools under the Office of Pathum Thani Education Service Area was at a high level, and 2) the risk management of these two groups in the area of financial risk management is the most different. by directors had an average of 3.30 (µ=3.30) standard deviation of 0.61 ( =0.61) and teachers had an average of 3.44 (µ=3.44) standard deviation of 0.79 ( =0.79) KEYWORDS: risk management, small schools, Pathum Thani Province บทนา ในปจ๓ จบุ ันหนํวยงานราชการได๎ให๎ความสาคัญกับการบริหารความเส่ียง ซึ่งคณะกรรมการพัฒนา ระบบราชการได๎กาหนดให๎หนํวยงานราชการตํางๆจัดทาแผนบริหารความเสี่ยงตามแผนยุทธ๑ศาสตร๑อันเป็น กลไกในการสรา๎ งความเขม๎ แข็งใหก๎ บั หนํวยงานราชการเพื่อให๎สามารถบรรลุเปาู ประสงคต๑ ามทไ่ี ด๎กาหนด อีกทงั้ สอดคล๎องกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 และ ระเบียบคณะกรรมการตรวจเงินแผํนดิน วําด๎วยการกาหนดมาตรฐานการควบคุมภายใน พ.ศ. 2544 ที่ กาหนดให๎สํวนราชการต๎องมีการประเมนิ ความเสี่ยงและปรับปรงุ ระบบควบคุมภายใน รวมไปถึงสอดคล๎องกับ นโยบายของรฐั บาล สถานศึกษาทกุ แหงํ จงึ จาเป็นต๎องจดั ทาการบรหิ ารความเสีย่ งในสถานศึกษาทกุ ระดับ เพ่ือ ลดมูลเหตุท่ีจะเกิดความเส่ียง ให๎ระดับและขนาดของความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอยํูในระดับท่ียอมรับ ควบคุม ประเมนิ และตรวจสอบได๎อยาํ งมรี ะบบโดยคานงึ ถึงการบรรลเุ ปาู หมายตามภารกิจหลกั ของสถานศกึ ษา และ เปูาหมายตามแผนปฏบิ ตั ิการราชการประจาปขี องตน๎ สงั กัด ดังนนั้ สานกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ าร จงึ นาหลักการบริหารความเสี่ยงตามแนวทาง ของ COSO (The Committee of Sponsoring Organizations of the Tread way Commission) กิตติพันธ๑ คงสวัสด์ิเกียรติ (2554, น.1-3) ได๎มาเป็นกรอบในการบริหาร ความเสีย่ ง และแนวทางการตรวจสอบและประเมนิ ผลภาคราชการ (สานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กลุํม การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 596

ตรวจสอบภายในระดับกระทรวง, 2556) โรงเรียนขนาดเล็กในสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาจังหวัดปทมุ ธานี มี ป๓ญหาทีส่ าคญั หลายประการคอื 1) งบประมาณไมพํ อเพยี งสาหรับการจัดการศึกษาให๎มีคุณภาพ เนื่องจาก โรงเรียนจะไดร๎ บั งบประมาณตามจานวนหัวของนักเรียน เม่ือจานวนนักเรียนน๎อยงบประมาณที่ได๎รับก็น๎อย ตามไปด๎วยทาให๎มีป๓ญหาขาดแคลนทั้งครุภัณฑ๑และอุปกรณ๑การเรียนการสอนที่จาเป็น โดยเฉพาะการขาด แคลนหนงั สือเรยี นและสมุดแบบฝกึ หัด 2) จานวนครไู มคํ รบชน้ั และไมํครบสาระวิชาตามหลกั สูตร ปจ๓ จุบนั ครู ระดับประถมศึกษาท้ังระบบก็อยูํในสภาวะขาดแคลนอยูํแล๎ว ดังน้ันโรงเรียนขนาดเล็กจึงได๎รับอัตราครูตาม สัดสํวนของนักเรียนเทาํ นัน้ โดยมิไดค๎ านงึ ถึงจานวนชน้ั และจานวนสาระวิชาท่มี ีในหลักสูตรแตํอยํางใด ป๓จจัย นี้มีผลกระทบตํอคุณภาพการศึกษามากท่ีสุด โดยเฉพาะอยํางยิ่งการมีครูไมํครบชั้นทาให๎ครูดูแลนักเรียนไมํ ทว่ั ถงึ และการมีครูไมํครบสาระวิชาทาให๎ครูต๎องสอนในวชิ าทีต่ นเองไมมํ ีความเชยี่ วชาญ 3) ขาดโอกาสที่จะได๎ เรยี นรูก๎ ารใชเ๎ ทคโนโลยีสมยั ใหมํเชํนคอมพวิ เตอร๑เป็นต๎น ทั้งน้ีเพราะโรงเรียนขาดแคลนงบประมาณและขาด แคลนครทู ีม่ ีความรู๎ในการใช๎เทคโนโลยดี งั กลําว และโรงเรยี นบางสํวนอยูํในถ่ินทุรกันดารที่ไมํมีไฟฟูาเข๎าถึง 4) ผปู๎ กครองเดก็ ขาดความเอาใจใสํลูกหลานของตน โดยเฉพาะอยํางยิ่งเด็กบางสํวนถูกพํอแมํท้ิงให๎อยํูกับปูุยํา หรือกับตายายเพื่อไปทางานในเมือง เด็กเหลํานี้จึงขาดการดูแลอยํางใกล๎ชิดทั้งจากครอบครัวและจากครู ปญ๓ หาดังกลาํ วทงั้ หมดทาใหเ๎ ดก็ ท่ศี กึ ษาอยูํในโรงเรยี นขนาดเล็กกลายเป็นเด็กด๎อยโอกาสทางการศึกษาไปโดย ปริยายและเมอื่ เตบิ โตขึ้นมาก็กลายเป็นกาลงั คนท่ีไมมํ ีคุณภาพของชาติหรือเป็นได๎เพียงแรงงานไร๎ฝีมือเทําน้ัน (สานกั งานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษาจงั หวัดปทุมธานี) ผว๎ู จิ ยั สนใจศกึ ษาการบรหิ ารความเส่ียงของโรงเรียนขนาดเล็ก สงั กดั สานักงานเขตพืน้ ท่กี ารศึกษาจังหวดั ปทุมธานี โดยการบริหารความเส่ียงตามขอบขํายการบริหารความ เสย่ี งของสานกั งานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ตามมาตรฐาน COSO (The Committee of Sponsoring Organization of the Tread way Commission) ทง้ั 4 ด๎านไดแ๎ กํ ความเสี่ยงดา๎ นกลยุทธ๑ ความเส่ียงด๎านการดาเนินงาน ความเสี่ยงด๎านการเงิน และ ความเสี่ยงด๎านการปฏิบัติตามกฎหมาย/ กฎระเบยี บขอ๎ บังคบั ตาํ งๆ ที่สํงผลตํอการบริหารความเสี่ยงของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาจังหวัดปทุมธานี ผลการศึกษาครั้งนี้คาดหวังวําจะเป็นประโยชน๑ตํอการบริหารความเสี่ยงของ สถานศึกษา และเปน็ แนวทางในการดาเนนิ งานขององค๑กรใหบ๎ รรลุเปาู หมายที่วางไว๎เพ่อื เพิม่ ประสทิ ธภิ าพและ ประสิทธิผลใหม๎ ากยิง่ ขนึ้ ตํอไป วัตถุประสงค์ของการวจิ ยั 1. เพอื่ ศึกษาระดบั การบริหารความเส่ียงของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา จังหวัดปทมุ ธานี การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวิจยั คัดสรรสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจัดการศึกษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอุดมศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 597

2. เพ่อื เปรียบเทียบการบริหารความเส่ยี งของโรงเรียนขนาดเลก็ สงั กดั สานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษา จังหวัดปทมุ ธานี จาแนกตามตาแหนงํ วิธดี าเนินการวจิ ัย ประชากร ประชากร ไดแ๎ กํ ประชากร ได๎แกํ ผบ๎ู ริหารสถานศึกษาขนาดเลก็ ในจงั หวัดปทุมธานี จานวน 41 คน ครูสถานศกึ ษาขนาดเลก็ ในจงั หวดั ปทมุ ธานี จานวน 295 คน รวมทัง้ สนิ้ 336 คน เครอื่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย เครื่องมือทีใ่ ช๎ในการเก็บรวบรวมข๎อมูลในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบสอบถามเก่ียวกับการบริหารความ เสี่ยงของโรงเรียนขนาดเล็กสานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาจังหวัดปทมุ ธานี ซง่ึ แบํงออกเป็น 2 ตอน ดงั น้ี ตอนท่ี 1 แบบสอบถามเกี่ยวกบั ข๎อมลู ทวั่ ไปของผตู๎ อบแบบสอบถามความคิดเห็น มีลักษณะคาถาม เป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) ตอนท่ี 2 แบบสอบถามความคิดเหน็ การบรหิ ารความเส่ียงของโรงเรยี นขนาดเลก็ สานักงานเขตพ้นื ที่ การศึกษาจังหวัดปทุมธานี โดยมีลักษณะข๎อคาถามเป็นมาตราสํวนประมาณคํา 5 ระดับ ตามแนวคิดของ ลิเคอร๑ท (Likert’s five ratingscale) การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครื่องมอื การสรา๎ งเครอื่ งมอื ที่ใชใ๎ นการศกึ ษาทีเ่ ป็นแบบสอบถามความคดิ เห็น ตามขนั้ ตอน ดงั น้ี 1. ศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วข๎องกับการบรหิ ารความเสยี่ งของโรงเรยี นขนาดเลก็ สานักงานเขต พนื้ ที่การศกึ ษาจังหวัดปทุมธานี ในดา๎ นตํางๆ 2. กาหนดกรอบเคร่ืองมือในการวิจัยจากข๎อมูลท่ีศึกษาจากเอกสารตารา และงานวิจัยที่เก่ียวข๎อง 3. สร๎างแบบสอบถามความคิดเห็นที่ใช๎ในการวิจัย แล๎วให๎ผ๎ูเชี่ยวชาญ เพื่อตรวจสอบความตรงเชิง เน้อื หา (Content Validity) โดยการตรวจสอบความสอดคลอ๎ งระหวาํ งขอ๎ คาถามกับจุดมงํุ หมายทีต่ อ๎ งการวัด (Item Objective Congruence: IOC) ความครอบคลมุ ของข๎อคาถาม และความชัดเจนของภาษาเกณฑ๑การพิจารณา เลอื กข๎อคาถาม โดยพิจารณาจากข๎อคาถามทม่ี ีคาํ ดัชนีความสอดคล๎องตั้งแตํ 0.60 ข้ึนไปถ๎าข๎อคาถามใดมีคํา ดชั นคี วามสอดคล๎องตา่ กวํา 0.60 ต๎องนาไปปรบั ปรุงแก๎ไขตามข๎อเสนอแนะกํอนท่จี ะนาไปทดลองใช๎ 4. นาแบบสอบถามท่ผี าํ นการพิจารณาของผเ๎ู ชย่ี วชาญมาปรับปรุงแก๎ไขตามข๎อเสนอแนะ 5. นาแบบทดสอบไปทดลองใช๎ ( Try-out ) กบั บคุ คลทไี่ มํใชํประชากรในในการวจิ ัย 30 คน 6. นาแบบสอบถามท่ีทดลองใช๎ มาวิเคราะห๑หาคําความเชื่อมนั่ ของแบบสอบถามท้งั ฉบับโดยวิธวี ธิ ีการ หาสัมประสทิ ธ์แิ อลฟา ( Alpha coefficient ) ตามวิธขี องครอนบาค (Cronbach) มคี ําเทาํ กบั 0.97 การประชมุ ทางวชิ าการ และเผยแพร่ผลงานวจิ ัยคัดสรรสาขาวชิ าศึกษาศาสตร์ระดับชาติ : ความท้าทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบันอดุ มศกึ ษาเอกชนแหง่ ประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 598

7. จดั พิมพแ๑ บบสอบถามฉบบั สมบรู ณ๑ เพือ่ นาไปเกบ็ รวบรวมข๎อมลู กบั ประชากรตํอไป วิธเี กบ็ รวบรวมข้อมลู 1. ผู๎วิจัยขอหนังสืออนุญาตเก็บรวบรวมข๎อมูลเพ่ือการวิจัย เสนอตํอสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา จังหวัดปทุมธานี เพ่อื ขอความอนุเคราะห๑ในการเกบ็ รวบรวมข๎อมลู 2. ผ๎ูวิจัยทาการเก็บรวบรวมข๎อมูลจากประชากรโดยผ๎ูวิจัยแจกแบบสอบถามความคิดเห็นให๎กับ ประชากรตามที่กาหนดให๎ ผู๎วิจัยทาการเก็บรวบรวมคืนด๎วยด๎วยตนเองและทางไปรษณีย๑ ตามวัน เวลาท่ี กาหนด การวเิ คราะหข์ อ้ มูล ผู๎วิจัยดาเนินการวิเคราะห๑ข๎อมูลโดยใช๎ โปรแกรมสาเร็จรูป ท่ีสอดคล๎องกับจุดมํุงหมายและการ ทดสอบสมมตฐิ านของการศึกษาวิจยั ดงั น้ี 1. เม่ือได๎แบบสอบถามความคิดเห็นคืนแล๎ว ผ๎ูวิจัยได๎นามาตรวจสอบความสมบูรณ๑ให๎คะแนน นา้ หนักคะแนนแตํละขอ๎ เพอ่ื นาไปวเิ คราะหข๑ ๎อมูล 2. ข๎อมูลที่ได๎จากการตอบแบบสอบถามความคิดเห็น ตอนที่ 1 เกี่ยวกับสถานภาพผ๎ูตอบ แบบสอบถามใช๎วิธแี จกแจงความถี่ (Frequency) และหาคาํ รอ๎ ยละ (Persentage) 3. ข๎อมูลท่ีได๎จากการตอบแบบสอบถามความคิดเห็นตอนท่ี 2 เกี่ยวกับความคิดเห็นของ ผ๎อู านวยการสถานศึกษาและครู ท่ีมีตํอสภาพและป๓ญหาการบริหารความเสี่ยง ผู๎วิจัยนาข๎อมูลดังกลําวมาหา คําเฉลยี่ () สํวนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ( ) โดยใชเ๎ กณฑส๑ าหรับแปลผล บุญชม ศรีสะอาด (2556,น.83) ดงั น้ี 4.51 – 5.00 หมายถงึ การบรหิ ารความเสย่ี งอยูํในระดับปฏบิ ัติมากทีส่ ุด 3.51 – 4.50 หมายถึง การบริหารความเส่ยี ง อยใํู นระดับปฏิบัติมาก 2.51 – 3.50 หมายถงึ การบริหารความเสยี่ ง อยํใู นระดับปฏบิ ตั ปิ านกลาง 1.51 – 2.50 หมายถึง การบรหิ ารความเส่ยี ง อยูใํ นระดบั ปฏิบตั ินอ๎ ย 1.00 – 1.50 หมายถงึ การบริหารความเสี่ยง อยูใํ นระดับปฏิบัติน๎อยท่สี ุด 4. สถติ ทิ ีใ่ ชใ๎ นวิเคราะหข๑ ๎อมลู ผู๎วิจัยดาเนนิ การวเิ คราะหข๑ ๎อมูลโดยใช๎โปรแกรมสาเร็จรปู เพือ่ วเิ คราะหข๑ ๎อมลู ดงั น้ี 1. คาํ ความถี่ (Frequency) 2. คําร๎อยละ (Percentage) 3. คําเฉลย่ี (Mean) การประชมุ ทางวิชาการ และเผยแพรผ่ ลงานวจิ ยั คดั สรรสาขาวชิ าศกึ ษาศาสตร์ระดับชาติ : ความทา้ ทายการจดั การศกึ ษาไทยยคุ 4.0ประจาปี 2560 สมาคมสถาบนั อุดมศกึ ษาเอกชนแห่งประเทศไทย (สสอท.) หนา้ 599


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook