Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_73

tripitaka_73

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_73

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 101 ลาํ ไฟแลบออกจากพระโลมาแตล ะเสน ทอ นาํ้ไหลออกจากพระโลมาแตล ะเสน , ลาํ ไฟแลบออกจากขมุ พระโลมาแตละขมุ ทอ นาํ้ กไ็ หลออกจากขุมพระโลมาแตล ะขุม มวี รรณะ ๖ คอื เขยี ว เหลอื ง แดง ขาว แดงเขม เล่ือมพราย. พระผมู พี ระภาคเจาทรงดําเนิน พระพทุ ธเนรมติประทับยืนบาง ประทับนง่ั บาง บรรทมบางพระผมู พี ระภาคเจาประทับยืน พระพทุ ธเนรมิตทรงดําเนินบาง ประทบั นงั่ บา ง บรรทมบาง,พระผูมพี ระภาคเจา ประทบั นงั่ พระพทุ ธเนรมิต ทรงดําเนนิ บาง ประทับยนื บาง บรรทมบา ง. พระผมู ีพระภาคเจาบรรทม พระพทุ ธเนรมิต ทรงดําเนนิ บา งประทบั ยนื บาง ประทับนง่ั บาง. พระพทุ ธเนรมติ ทรงดําเนนิ พระผมู พี ระภาคเจาประทับยนื บา ง ประทับน่ังบา ง บรรทมบาง. พระ-พุทธเนรมติ ประทบั ยนื พระผูมีพระภาคเจาก็ทรงดํา-เนินบา ง ประทบั น่งั บาง บรรทมบา ง พระพุทธเนรมติประทบั นัง่ พระผมู ีพระภาคเจาทรงดําเนนิ บางประทับยืนบา ง บรรทมบา ง พระพุทธเนรมิตบรรทม พระผูมพี ระภาคเจากท็ รงดําเนินบา ง ประทบั ยืนบาง ประทับน่งั บา ง. น้พี ึงทราบวา ญาณในยมกปาฏหิ ารยิ ของพระตถาคต.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 102 แตพ ึงทราบวา ท่ที านกลา ววา ลําไฟแลบออกจากพระกายเบอ้ื งลาง ทอน้ําไหลออกจากพระกายเบ้อื งบน ดังนี้ กเ็ พ่อื แสดงวา ลําไฟแลบออกจากพระกายเบ้อื งบน ของพระผูมีพระภาคเจา นั้น ก็โดยเตโชกสิณสมาบตั ิ ทอ นํ้าไหลออกจากพระกายเบือ้ งลาง ก็โดยอาโปกสิณสมาบตั ิ เพอ่ื แสดงอกี วา ลาํ ไฟยอ มแลบออกไปจากท่ี ๆ ทอ นํ้าไหลออกไป ทอนา้ํ กไ็ หลออกไปจากท่ี ๆ ลําไฟแลบออกไป. แมใ นบททเี่ หลือกน็ ยั นเี้ หมอื นกนั . ในขอนลี้ ําไฟก็ไมป นกบั ทอน้ํา ทอน้าํ ก็ไมปนกบั ลาํ ไฟเหมือนกัน. สว นบรรดารัศมที ้ังหลาย รัศมที ีส่ อง ๆยอมแลนไปในขณะเดยี วกัน เหมือนเปน คูก บั รัศมตี น ๆ. กธ็ รรมดาวาจติ สองดวงจะเปน ไปในขณะเดยี วกนั ยอมไมม ี. แตสําหรับพระพุทธเจาทง้ั หลาย รัศมีเหลา น้ี ยอ มแลบออกไปเหมอื นในขณะเดยี วกัน เพราะทรงเปนผเู ชี่ยวชาญโดยอาการ ๕ เหตกุ ารพกั แหง ภวังคจติ เปน ไปรวดเรว็ . แตการนกึ การบริกรรมและการอธษิ ฐานรัศมนี ้ัน เปนคนละสว นกนั ทเี ดียว. จรงิ อยู เมอื่ ตองการรศั มีเขียว พระผมู ีพระภาคเจายอมทรงเขานลี กสณิ สมาบตั ิ. เมื่อตอ งการรัศมสี ีเหลืองเปน ตน ก็ยอ มทรงเขา ปต กสณิ สมาบัตเิ ปน ตน. พระผูม พี ระภาคเจา เมือ่ ทรงทาํ ยมกปาฏหิ าริยอ ยูอยางน้ี ก็ไดเปนเหมือนกาลที่เทวดาในหมื่นจกั รวาล แมท้งั ส้ิน ทําการประดับองคฉะน้นั .ดว ยเหตุนน้ั ทานพระสงั คีตกิ าจารยท้ังหลายจึงกลา ววา พระศาสดา ผสู งู สุดในสัตว ผูยอดเยี่ยม ผเู ปน นายกพิเศษ ไดเปนผูอันเทวดาและมนุษยบ ูชาแลว เปนผมู ีอานุภาพ มีลักษณะบญุ นบั รอ ย กท็ รงแสดง ปาฏิหารยิ ม หัศจรรย.

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 103 แกอรรถ บรรดาบทเหลา น้นั บทวา สตตฺ ุตฺตโม ไดแ ก ชอ่ื วา สัตตุตตมะเพราะเปนผูส ูงสดุ ลาํ้ เลิศ ประเสริฐสุด ในสตั วท ้งั หมด ดว ยพระคณุ ทง้ั หลายมีศลี เปน ตน ของพระองค หรือวาเปนผสู ูงสดุ แหง สัตวท ั้งหลาย ชือ่ วาสตั ตตุ ตมะความจริง คําวา สัตตะ เปน ชอ่ื ของญาณ. ชื่อวา สัตตุตตมะ เพราะทรงเปนผปู ระเสรฐิ สดุ สงู สุด ดว ยพระญาณ [สตั ตะ] กลาวคอื ทศพลญาณและจตเุ วสารชั ชญาณ อนั เปนอสาธารณญาณนัน้ . หรอื ทรงเปน สัตวสูงสดุ โดยทรงทําย่ิงยวดดว ยพระญาณที่ทรงมีอยู ชื่อวา สัตตตุ ตมะ. ถาเปนดัง่ น้ัน กค็ วรกลาวโดยปาฐะลง อุตตมะ ศพั ทไวขางตนวา อุตฺตมสตโฺ ต แตความตางอันน้ีไมพ งึ เห็น โดยบาลเี ปน อนั มากไมนยิ มเหมือนศัพทว า นรตุ ตมะปรุ สิ ตุ ตมะ และ นรวระ เปน ตน. อีกนยั หน่งึ ญาณ [สตั ตะ]อนั สงู สุด มแี กทา นผูใ ด ทา นผูนั้นช่ือวา สัตตุตตมะ มญี าณอันสงู สดุ .แมในที่น้ี กล็ ง อตุ ตมะ ศพั ทไ วข า งตน โดยปาฐะลงวเิ สสนะไวขา งตน วา อุตฺตมสตฺโต เหมอื นในคาํ น้วี า จติ ฺตคู ปทฺธคู เหตุน้ันศัพทน ้ีจงึ ไมม ีโทษ. หรอื พึงเห็นโดยวเิ สสนะทั้งสองศพั ท เหมอื นปาฐะมีวาอาหิตคคฺ ิ เปน ตน. บทวา วินายโก ไดเเกช่อื วา วินายกะ เพราะทรงแนะนาํ ทรงฝก สัตวท ้ังหลายดวยอุบายเครื่องแนะนาํ เปน อนั มาก. บทวา สตถฺ าไดแก ชอ่ื วาศาสดา เพราะทรงพรา่ํ สอนสตั วท ัง้ หลายตามความเหมาะสม ดว ยประโยชนป จ จุบันและประโยชนภายหนา. บทวา อหู แปลวา ไดเปน แลว.บทวา เทวมนสุ ฺสปชู ิโต ความวา ชอ่ื วา เทพ เพราะระเริงเลนดวยกามคุณ ๕ อนั เปน ทพิ ย. ชื่อวา มนษุ ย เพราะใจสูง. เทวดาดว ย มนษุ ยดวย ชื่อวาเทวดาและมนุษย ผูอ ันเทวดาและมนษุ ยท ั้งหลายบชู าแลว ชอ่ื วาเทวมนสุ สปชู ิตะ อันเทวดาและมนษุ ยบ ชู าดว ยการบชู าดวยดอกไมเ ปน ตน

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 104และการบูชาดวยปจ จยั [ ๔ ] อธบิ ายวา ยาํ เกรงแลว . ถามวา เพราะเหตไุ รทานจงึ ถอื เอาแตเทวดาและมนษุ ยเทาน้ันเลา สัตวท ง้ั หลายที่เปน สัตวเดียรจั ฉานเชน ชา งชื่ออารวาฬะ กาฬาปลาละ ธนปาละ ปาลเิ ลยยกะ เปนตน ก็มี ท่เี ปนวินปิ าติกะเชน ยักษช ่อื สาตาคริ ะ อาฬวกะ เหมวตะ สจู โิ ลมะ ขรโลมะเปนตนก็บชู าพระผูมีพระภาคเจา ท้ังน้นั มิใชหรอื . ตอบวา ขอ น้นั ก็จรงิ ดอก แตคาํ นพี้ งึ เห็นวา ทานกลาวโดยกาํ หนดอยางอกุ ฤษฏ และโดยกาํ หนดเฉพาะภพั พบคุ คล. บทวา มหานภุ าโว ไดแ ก ผูป ระกอบแลว ดวยพระพทุ ธานภุ าพยิง่ ใหญ. บทวา สตปุฺลกขฺ โณ ความวา สัตวทัง้ หมดในอนนั ตจักรวาลพงึ ทาํ บญุ กรรมอยางหนึง่ ๆ ตั้งรอ ยครงั้ พระโพธสิ ัตวลําพังพระองคเอง กท็ ํากรรมท่ีชนทง้ั หลายมีประมาณเทา นั้นทําแลว เปนรอ ยเทา จึงบงั เกิด เพราะฉะนนั้ทานจึงเรยี กวา สตปุ ฺลกขฺ โณ ผมู ีลกั ษณะบญุ นับรอย. แตอาจารยบ างพวกกลาววา ทรงมลี ักษณะอยา งหนึ่งๆ ท่ีบังเกิดเพราะบุญกรรมเปน รอยๆคาํ นน้ั ทานคัดคา นไวในอรรถกถาวา เม่อื เปน เชนน้ัน ผูใดผูหนง่ึ กพ็ งึ เปนพระพุทธเจาไดนะสิ. บทวา ทสเฺ สสิ ความวา ทรงแสดงยมกปาฏิหาริยที่ทาํความประหลาดใจยงิ่ แกเ ทวดาและมนษุ ยทั้งปวง. คร้ังน้นั พระศาสดาคร้นั ทรงทาํ ปาฏิหารยิ ใ นอากาศแลว ทรงตรวจดูอาจาระทางจติ ของมหาชน มพี ระพุทธประสงคจ ะทรงจงกรมพลาง ตรัสธรรมกถาพลาง ท่เี ก้ือกลู แกอธั ยาศัยของมหาชนนน้ั จึงทรงเนรมิต รตั นจง-กรมทส่ี าํ เรจ็ ดวยรตั นะทง้ั หมด กวา งเทา หมืน่ จักรวาลในอากาศ ดว ยเหตนุ ัน้ทานพระสังคตี กิ าจารยทั้งหลายจงึ กลาววา

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 105 พระศาสดาพระองคนัน้ เปน ผูมีพระจกั ษุ สงู สดุ ใน นรชน ผูนําโลก อันเทวดาผปู ระเสริฐทลู ออนวอนแลว ทรงพจิ ารณาถึงประโยชนแลว ในครั้งน้ัน จงึ ทรงเนร- มิตท่จี งกรม อนั สรางดวยรัตนะท้ังหมดสําเรจ็ ลงดว ยดี. แกอรรถ บรรดาบทเหลานั้น บทวา โส ไดแก พระศาสดาพระองคน น้ั . บทวายาจิโต ความวา ถูกทูลออ นวอนขอใหท รงแสดงธรรมในสัปดาหท แี่ ปด เปนครงั้ แรกทีเดยี ว. บทวา เทววเรน ไดแ ก อันทา วสหัมบดพี รหม. ในคาํ วาจกฺขุมา น.้ี ชื่อวาเปน ผูม ีพระจกั ษุ เพราะทรงเหน็ อธิบายวา ทรงเหน็แจมแจงซง่ึ ทเี่ รยี บและไมเรียบ. กจ็ ักษุนนั้ มี ๒ อยา งคอื ญาณจกั ษแุ ละมงั สจักษุ. บรรดาจักษุท้งั สองนนั้ ญาณจกั ษุมี ๕ อยา งคือ พุทธจักษุ ธันมจกั ษุ สมันตจกั ษุ ทพิ พจกั ษุปญ ญาจักษุ. บรรดาจกั ษุทงั้ ๕ นั้น ญาณทหี่ ยง่ั รูอาสยะและอนุสยะ และญาณที่หยัง่ รูความหยอนและย่ิงแหงอนิ ทรยี  ซึ่งมาในบาลีวา ทรงตรวจดูโลกดวยพระพทุ ธจกั ษุ ช่อื วา พทุ ธจกั ษ.ุ มรรค ๓ ผล ๓ เบอ้ื งตํา่ ทีม่ าในบาลวี า ธรรมจกั ษทุ ่ีปราศจากกเิ ลสดจุ ธลุ ี ปราศจากมลทนิ เกิดขึ้นแลว ช่อื วา ธัมมจักษ.ุ พระสพั พญั ุตญาณท่มี าในบาลีวา ขาแตพ ระผมู ีปญ ญาดี ผูม ีจักษโุ ดยรอบ โปรดเสด็จขึ้นสูปราสาทที่สําเรจ็ ดวยธรรม กอ็ ุปมาฉนั นั้นเถิด ชอ่ื วา สมันตจักษุ. ญาณท่ปี ระกอบพรอมดว ยอภิญญาจติ ท่ีเกิดขนึ้ ดวยการเจรญิ อาโลก-กสณิ สมาบตั ิ ท่ีมาในบาลีวา ดวยทพิ ยจกั ษอุ นั บริสุทธ์ิ ชอ่ื วา ทิพพจักษ.ุญาณทม่ี าแลว วา ปญ ญาจักษุ มปี ุพเพนวิ าสญาณเปน ตน ที่มาในบาลีน้วี า จกั ษุเกิดข้นึ แลว ญาณเกดิ ข้ึนแลว ชื่อวา ปญ ญาจกั ษุ.

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 106 มังสจกั ษุเปน ทอี่ าศัยของประสาท ทม่ี าในบาลีนว้ี าอาศยั จกั ษุและรูปดงั นี้ชอ่ื วา มงั สจักษ.ุ กม็ งั สจักษุนน้ั มี ๒ คือ สสัมภารจักษุ ปสาทจกั ษ.ุ บรรดาจักษทุ ง้ั ๒ น้ัน ชิ้นเน้อื นี้ใด อันชน้ั ตาทัง้ หลายลอ มไวในเบาตา ในชิ้นเนือ้ ใด มีสวนประกอบ ๑๓ สวนโดยสังเขป คอื ธาตุ ๔ สี กลนิ่ รส โอชะสมั ภวะ ชวี ติ ภาวะ จกั ษปุ ระสาท กายประสาท แตโดยพิศดาร มีสวนประกอบ คือ สมุฏฐาน ๔ ทช่ี อ่ื วา สมั ภวะ สมฏุ ฐาน ๓๖ และกัมมสมุฏ-ฐาน ๔ คือ ชวี ติ ภาวะ จักษปุ ระสาท กายประสาทอันนี้ ช่ือวา สสมั ภาร-จักษุ. จกั ษุใดต้ังอยูใ นวงกลม ' เหน็ ' [เล็นซ] ซง่ึ ถูกวงกลมคําอันจาํ กดั ดว ยวงกลมขาวลอมไว เปน เพียงประสาทสามารถเห็นรูปได จกั ษนุ ้ี ชื่อวาปสาท-จกั ษุ. กจ็ ักษเุ หลานนั้ ทั้งหมด มีอยางเดียว โดยความไมเทย่ี ง โดยมปี จจยัปรุงแตง. มี ๒ อยาง โดยเปนไปกบั อาสวะ และไมเ ปน ไปกับอาสวะ, โดยโลกิยะและโลกุตระ. จักษมุ ี ๓ อยา ง โดย ภูมิ โดย อปุ าทินนติกะ, มี ๔อยางโดย เอกนั ตารมณ ปริตตารมณ อัปปมาณารมณและอนิยตารมณ. มี๕ อยา ง คือ รูปารมณ นิพพานารมณ อรุปารมณ สัพพารมณและอนารัมม-ณารมณ. มี ๖ อยาง ดว ยอาํ นาจพุทธจกั ษเุ ปน ตน จักษดุ ังกลา วมาเหลาน้ี มีอยูแกพระผูมีพระภาคเจา พระองคนนั้ เหตนุ น้ั พระผูมีพระภาคเจา ทานจงึ เรยี กวา จักขมุ า ผูมีพระจักษุ. บทวา อตฺถ สเมกขฺ ิตวฺ า ความวา ทรงเนรมิตทีจ่ งกรม อธิบายวาทรงพิจารณาใครค รวญถึงประโยชนเ กื้อกลู แกเทวดาและมนษุ ยทั้งหลาย อันเปน นมิ ิตแหง การทรงแสดงธรรม. บทวา มาปยิ แปลวา ทรงเนรมิต. บทวาโลกนายโก ไดแ ก ทรงช่อื วาผูนําโลก เพราะทรงแนะนําสตั วโ ลกมงุ หนาตรง

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 107ตอ สวรรคแ ละนิพพาน. บทวา สุนฏิ  ติ  แปลวา สาํ เรจ็ ดวยดี อธิบายวาจบสิ้นแลว . บทวา สพฺพรตนนมิ ฺมติ  ไดแ ก สาํ เรจ็ ดวยรตั นะ ๑๐ อยา ง. บดั นี้เพ่อื แสดงความถึงพรอมดว ยปาฏหิ ารยิ  ๓ อยางของพระผมู ีพระภาคเจา ทา นพระสงั คตี กิ าจารยจงึ กลา ววา พระผมู พี ระภาคเจา ผนู ําโลก ทรงเชย่ี วชาญใน ปาฏหิ าริย ๓ คือ อิทธปิ าฏิหารยิ  อาเทศนาปาฏหิ าริย และอนุสาสนปี าฏิหารยิ  จงึ ทรงเนรมิตทีจ่ งกรม อัน สรา งสรรดว ยรตั นะท้ังหมด สาํ เร็จลงดวยด.ี แกอ รรถ บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา อิทฺธึ ไดแก การแสดงฤทธิ์ ชื่อวาอทิ ธปิ าฏิหารย, อิทธปิ าฏหิ ารยิ นัน้ มาโดยนัยเปน ตนวา แมคนเดียวกเ็ ปน มากคนบาง แมม ากคน กเ็ ปนคนเดยี วไดบ า ง. บทวา อาเทสนาไดแ ก การรูอ าจาระทางจิตของผอู ่ืนแลว กลา ว ชื่อวา อาเทสนาปาฏหิ ารยิ .อาเทสนาปาฏหิ าริยนัน้ กค็ ือการแสดงธรรมเปน ประจําของพระสาวกทัง้ หลายและของพระพุทธเจา ทง้ั หลาย. บทวา อนสุ าสนี กค็ ือ อนุสาสนปี าฏิหารยิ อธิบายวา โอวาทอนั เก้อื กูลแกอัธยาศยั ของมหาชนนน้ั ๆ. ปาฏิหาริย ๓ เหลาน้ี มีดงั กลา วมาฉะนี้. บรรดาปาฏหิ าริย ๓ เหลาน้ัน อนสุ าสนปี าฏหิ ารยิ ด วยอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ  เปน อาจณิ ปฏิบตั ขิ องทา นพระโมคคลั ลานะ. อนุสาสนปี าฏิหาริยดว ยอาเทสนาปาฏหิ ารยิ  เปน อาจิณปฏิบัติของทานพระธรรมเสนาบดี [สารีบุตร].สว นอนสุ าสนีปาฏิหารยิ  เปน การแสดงธรรมเปนประจาํ ของพระพุทธเจา ทงั้ หลาย.บทวา ติปาฏิหเี ร ความวา ในปาฏิหาริย ๓ เหลาน้นั . คาํ วา ภควา นี้

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 108เปนชือ่ ของทา นผูค วรคารวะอยางหนกั ผสู ูงสดุ ในสัตว ประเสรฐิ ดวยพระคุณสมจรงิ ดังทที่ า นโบราณาจารยก ลาวไวว า ภควาติ วจน เสฏ  ภควาติ วจนมตุ ฺตม คุรคารวยุตฺโต โส ภควา เตน วุจจฺ ติ. คําวา ภควา เปน คาํ ประเสริฐสดุ คําวา ภควา เปนคําสงู สดุ ทานผคู วรแกค ารวะอยางหนักพระองคน ั้น ดว ยเหตนุ นั้ ทานจึงเรียกวา ภควา. บทวา วสี ไดแก ผูถงึ ความเปนผชู าํ นาญในปาฏิหารยิ  ๓ อยา งน้ี.อธิบายวา ความชํานาญท่สี ่งั สมไว. วสี ๕ คือ อาวชั ชนวสี สมาปช ชนวสีอธิษฐานวสี วุฏฐานวสี และปจ จเวกขณวสี ช่ือวา วส.ี บรรดาวสเี หลานั้น พระผูม ีพระภาคเจา ทรงนึกถึงฌานใด ๆ ตามความปรารถนา ตามเวลาปรารถนา เทาทีป่ รารถนา ความเนิ่นชา ในการนึกไมมีเลยเหตนุ นั้ ความท่ที รงสามารถนกึ ไดเร็ว จึงชอ่ื วา อาวชั ชนวส.ี ทรงเขา ฌานใด ๆ ตามความปรารถนา ฯลฯ ก็เหมอื นกนั ความเนิน่ ชา ในการเขา ฌานไมมีเลย เหตุน้นั ความทีท่ รงสามารถเขาฌานไดเรว็ จงึ ชือ่ วา สมาปช ชนวส.ีความท่ที รงตั้งอยไู ดต ลอดกาลนาน ชอื่ วา อธิษฐานวสี. ความท่ที รงสามารถออกจากฌานไดเ ร็วกเ็ หมอื นกนั ช่อื วา วฏุ ฐานวสี. สว นปจ จเวกขณวสี ยอมเปน ปจ เจกขณชวนะจติ ท้ังนนั้ ปจ จเวกขณชวนะจิตเหลา นนั้ ยอมเกิดขนึ้ ในลาํ ดับตอ จากอาวัชชนจติ นั่นแล เหตุนน้ั ทานจงึ กลาวไวโดยอาวัชชวสเี ทาน้ันความทีท่ รงเปนผเู ชยี่ วชาญในวสี ๕ เหลา น้ี ยอ มชื่อวาทรงเปนผูชาํ นาญ ดวยประการฉะน้ี ดว ยเหตุน้ัน ทา นพระสังคีติกาจารยท ัง้ หลายจงึ กลา ววา พระ-ผูมพี ระภาคเจาทรงเปนผชู าํ นาญในปาฏิหาริย ๓ ดังนี.้

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 109 บัดนี้ เมื่อจะแสดงวธิ เี นรมติ รัตนจงกรมนน่ั ทานจงึ กลาวคาถาเปนตนวา จึงทรงแสดงยอดสิเนรบุ รรพต ในหมน่ื โลกธาตุ เปนประหน่งึ เสาตงั้ เรยี งรายกันเปน รตั นจงกรม ทีจ่ ง- กรมสําเรจ็ ดว ยรตั นะ. แกอ รรถ บรรดาบทเหลา น้นั บทวา ทสสหสฺสีโลกธาตยุ า ไดแก ในหมน่ืจกั รวาล. บทวา สิเนรปุ พพฺ ตตุ ฺตเม ไดแ ก ทรงทาํ ภูเขาอนั ประเสรฐิ สุดที่เรียกกนั วามหาเมรุ. บทวา ถมเฺ ภว ความวา ทรงทําสิเนรุบรรพตในหมืน่ จกั รวาล ใหเปนประหนึง่ เสาตง้ั อยเู รียงรายเปน ระเบยี บ ทรงทาํ ใหเปนดังเสาทองแลว ทรงเนรมติ ท่ีจงกรมเบอื้ งบนเสาเหลา นัน้ แสดงแลว. บทวา รตนาม-เย ก็คือ รตนมเย แปลวา สาํ เรจ็ ดวยรัตนะ. บทวา ทสสหสสฺ ี อตกิ ฺกมมฺ ความวา กพ็ ระผมู ีพระภาคเจาเมื่อทรงเนรมติ รัตนจงกรม ก็ทรงเนรมติ ทาํ ปลายขา งหนึง่ ของรัตนจงกรมนนั้ต้งั ล้ําขอบปากจักรวาลดา นทศิ ตะวันออกทา ยสุดทัง้ หมด ทาํ ปลายอีกขา งหน่ึงตั้งลํา้ ขอบปากจักรวาลดานทิศตะวนั ตก. ดว ยเหตนุ ัน้ ทา นพระสงั คีติกาจารยท้งั หลายจึงกลา ววา พระชินพุทธเจา ทรงเนรมติ รัตนจงกรมลาํ้ หมื่น โลกธาตุ ตวั จงกรมเปน รตั นะ พื้นทส่ี องขางเปน ทอง หมด.

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 110 แกอ รรถ บรรดาบทเหลานัน้ บทวา ชโิ น ไดแ ก ช่ือวา ชินะ เพราะทรงชนะขา ศึกคือกิเลส. บทวา สพพฺ โสณณฺ มยา ปสฺเส ความวา ทส่ี องขา งของที่จงกรมทที่ รงเนรมิตนน้ั มีพื้นทอ่ี นั เปนขอบคันเปนทองนา รน่ื รมยอยางย่ิง.อธิบายวา ตรงกลางเปน แกว มณี. บทวา ตลุ าสงฆฺ าฏา ไดแก จนั ทันคู. จนั ทนั คนู นั้ พงึ ทราบวากเ็ ปนรัตนะตา ง ๆ. บทวา อนุวคคฺ า ไดแก สมควร. บทวา โสวณณฺ -ผลกตฺถตา แปลวา ปดู วยแผน กระดานทีเ่ ปน ทอง. อธิบายวา หลงั คาไมเลยี บท่เี ปนทอง เบ้ืองบนจันทันขนาน. บทวา เวทิกา สพฺพโสวณฺณาความวา ไพรที [ชกุ ช]ี ก็เปน ทองทง้ั หมด สว นไพรทีล่ อ มทจี่ งกรม กม็ ีไพรทที่ องอยางเดยี ว ไมป นกบั รตั นะอนื่ ๆ. บทวา ทภุ โต ปสฺเสสุ นิมฺมติ าแปลวา เนรมิตทที่ ้ังสองขาง. ท อกั ษรทาํ บทสนธติ อ บท. บทวา มณมิ ุตตฺ าวาลกุ ากิณณฺ า แปลวา เร่ยี รายดวยทรายทีเ่ ปนแกวมณีและแกว มกุ ดา. อกี นยั หนง่ึ แกว มณีดวย แกวมกุ ดาดว ย ทรายดวยช่ือวา แกวมณแี กว มุกดาและทราย. เรย่ี รายคอื ลาดดวยแกว มณแี กวมกุ ดาและทรายเหลา นนั้ เหตุนั้น จึงช่อื วาเรีย่ รายดว ยแกว มณแี กว มุกดาและทราย.บทวา นิมมฺ โิ ต ไดแ ก เนรมติ คือทาํ ดวยอาการน้.ี บทวา รตนามโยไดแก สําเรจ็ ดว ยรัตนะทัง้ หมด. อธบิ ายวาที่จงกรม. บทวา โอภาเสติ ทสิ าสพพฺ า ความวา สอ งสวา งกระจา งตลอดทัว่ ทงั้ ๑๐ ทิศ. บทวา สตร สีวไดแ ก เหมอื นดวงอาทิตยพนั แสงฉะน้นั . บทวา อคุ ฺคโต แปลวา อุทัยแลวอธิบายวา กด็ วงอาทิตย [พนั แสง] อุทยั ข้นึ แลว ยอมสองแสงสวา งตลอดท่วั ทง้ั๑๐ ทศิ ฉนั ใด ทจี่ งกรมท่เี ปนรตั นะท้งั หมดแมนี้ ก็สอ งสวางฉันน้นั เหมอื นกัน.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 111 บัดน้ี เมอื่ ทีจ่ งกรมสําเร็จแลว เพ่อื แสดงความเปน ไปของพระผูม-ีพระภาคเจา ณ ท่จี งกรมนั้น ทานพระสังคตี ิกาจารยท้งั หลาย จงึ กลา วคาถาวา พระชินสัมพทุ ธเจาจอมปราชญ ผทู รงพระมหา- ปุรสิ ลักษณะ ๓๒ ประการ เมื่อทรงรงุ โรจน ณ ท่ี จงกรมนั้น ก็เสด็จจงกรม ณ ที่จงกรม. เทวดาทงั้ หมดมาประชุมกนั พากันโปรยดอก มณฑารพ ดอกปทมุ ดอกปารฉิ ตั ตกะ อนั เปนของ ทิพยล งเหนือท่จี งกรม. หมูเทพในหมืน่ โลกธาตุ ก็บันเทงิ พากนั ชม พระสมั พทุ ธเจา พระองคน นั้ ตางยนิ ดีราเรงิ บนั เทิงใจ พากนั มาชมุ นุมนมัสการ. แกอรรถ บรรดาบทเหลา นั้น บทวา ธโี ร ไดแก ผปู ระกอบดว ยธิตปิ ญญา.บทวา ทฺวตตฺ ึสวรลกฺขโณ ความวา ผูทรงประกอบดวยพระมหาปุรสิ ลกั ษณะ๓๒ ประการ มฝี า พระบาทตง้ั ลงดวยดี. บทวา ทพิ ฺพ ไดแก ดอกไมท ่ีเกิดในเทวโลก ชอื่ วา ของทิพย. บทวา ปาริฉตั ตกะ ความวา ตนปารฉิ ัตตกะท่นี าชมอยางย่งิ ขนาดรอยโยชนโดยรอบ บังเกดิ เพราะผลบุญแหงการถวายตนทองหลางของทวยเทพช้ันดาวดงึ ส. เมือ่ ปารฉิ ตั ตกะตนใดออกดอกบานแลว ท่ัวท้งั เทพ-นครจะอบอวลดวยกล่ินหอมเปน อยางเดียวกัน. วิมานทองใหมทัง้ หลาย ท่ีกลาดเกลอ่ื นดวยละอองดอกของปารฉิ ตั ตกะตน นนั้ จะปรากฏเปนสแี ดงเรือ่ ๆ.และดอกของตน ปารฉิ ัตตกะน้ี ทานเรยี กวา ปาริฉัตตกะ. บทวา จงกฺ มเนโอกิรนฺติ ความวา ยอมโปรยลง ณ ทีร่ ตั นจงกรมน้ัน บูชาพระผมู พี ระ-

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 112ภาคเจา ซ่ึงกําลงั เสดจ็ จงกรม ณ ท่จี งกรมน้ัน ดวยดอกไมด งั กลาวนน้ั . บทวาสพฺเพ เทวา ไดแ ก เทวดาท้งั หลาย มีเทวดาท่เี ปนกามาวจรเปน ตน . ดว ยเหตุน้ัน ทา นจึงกลาววา ปสสฺ นฺติ ต เทวสงฺฆา หมเู ทพทง้ั หลายกพ็ ากนัชมพระผมู พี ระภาคเจา พระองคน ้นั . อธิบายวา หมเู ทพพากันชมพระผมู ีพระ-ภาคเจา พระองคน ั้น ซง่ึ เสด็จจงกรม ณ รตั นจงกรม แมในสุราลยั ทั้งหลายของตนเอง. บทวา ทสสหสฺสี เปน ปฐมาวภิ ัตติ ลงในอรรถสัตตมวี ิภตั ติ.อธบิ ายวา หมเู ทพในหม่นื โลกธาตุ ชมพระผูม พี ระภาคเจาน้นั . บทวาปโมทติ า แปลวา บันเทิงแลว . บทวา นปิ ตนฺติ ไดแก ประชมุ กัน.บทวา ตุฏ หฏ า ไดแ ก ยินดีราเรงิ .ดว ยอาํ นาจปติ พงึ เหน็ การเชื่อมความ บทวา ปโมทติ า วา บันเทิงกบั เทวดาทัง้ หลาย มเี ทวดาชน้ั ดาว-ดงึ สเ ปน ตน ที่พงึ กลา ว ณ บดั นี้. การเชื่อมความนอกจากน้ี ก็ไมพน โทษคอืการกลา วซํา้ . อีกอยา งหนง่ึ ความวา เทวดาทง้ั หลายบนั เทิงแลว ชมพระผู-มีพระภาคเจา พระองคน ้ัน ยนิ ดีราเรงิ บันเทิงใจแลว ก็พากนั ประชุม ณ ที่นน้ั ๆ. บดั นี้ เพอ่ื แสดงถึงเหลา เทพท่ชี มทป่ี ระชุมกันโดยสรุป ทานพระสงั คี-ติกาจารยทงั้ หลายจึงกลา วคาถาเหลานวี้ า เหลาเทวดาชัน้ ดาวดึงส เทวดาชั้นยามา เทวดา ช้ันดสุ ติ เทวดาชัน้ นมิ มานรดี เทวดาช้ันปรนมิ มิต- วสวตั ดี มจี ติ โสมนสั มใี จดีพากันชมพระผนู ําโลก. เหลานาค สบุ รรณและเหลา กนิ นรพรอ มทง้ั เทพ คนธรรพมนุษยแ ละรากษส พากันชมพระผูมีพระภาค- เจา ผทู รงเกอ้ื กูลและอนุเคราะหโลกพระองคน นั้ เหมือนชมดวงจันทรซ ึง่ โคจร ณ ทองนภากาศฉะนน้ั .

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 113 เหลาเทวดาชั้นอาภสั สระ ชน้ั สุภกิณหะ ช้นั เวหัปผลา และชนั้ อกนฏิ ฐะ ทรงครองผา ขาวสะอาด พากันยืนประคองอัญชลี. พากนั โปรย ดอกมณฑารพ ๕ สี ประสมกับ จรุ ณจันทน โบกผาท้งั หลาย ณ ภาคพ้นื อัมพรในครั้ง นนั้ อุทานวา โอ ! พระชนิ เจา ผูเกอื้ กูลและอนุเคราะห โลก. แกอ รรถ บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา อุทคฺคจติ ตฺ า ไดแ ก ผมู ีจิตเบกิ บานดว ยอํานาจปติโสมนัส. บทวา สมุ นา ไดแก ผมู ีใจดี เพราะเปนผูมจี ติ เบิกบาน.บทวา โลกหิตานุกมปฺ ก ไดแก ผูเก้อื กูลโลก และผูอนุเคราะหโลก หรือผอู นเุ คราะหดวยประโยชนเกอื้ กูลแกโ ลก ชอื่ วาโลกหิตานกุ ัมปกะ. บทวา นเภวอจจฺ ุคคฺ ตจนทฺ มณฺฑล ความวา พากนั ชมพระผมู พี ระภาคเจา ผูร ุงโรจนดวยพุทธสิริ ที่ทําความช่นื ม่ืนแกด วงตา เหมอื นชมดวงจนั ทรใ นฤดูสารทท่ีพน จากอุปทวะทั้งปวง เตม็ ดวง ซ่ึงอทุ ัยใหม ๆ ในอากาศน้ี. บทวา อาภสฺสรา ทา นกลาวโดยกําหนดภูมทิ สี่ งู สดุ . เทพชั้นปรติ ตาภา อปั ปมาณาภาแล ะอาภสั สระ ทบ่ี งั เกิดดว ยทตุ ยิ ฌาน อันตางโดยกําลังนอ ย ปานกลางและประณตี พงึ ทราบวาทานถือเอาหมด. บทวา สภุ กิณฺหาทานกก็ ลา วไวโดยกาํ หนดภมู ทิ ่ีสูงสุดเหมือนกัน เพราะฉะน้นั เทพช้นัปริตตสุภา ช้นั อปั ปมาณสุภา และชัน้ สภุ กณิ หะ ทบ่ี งั เกิดดวยตติยฌาน อนัตางโดยกําลังนอยเปนตน กพ็ ึงทราบวาทา นถอื เอาหมดเหมือนกนั . บทวาเวหปผฺ ลา ไดแก ช่ือวา เวหปั ผลา เพราะมผี ลไพบูลย. เทพช้นั เวหปั ผลา

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 114เหลา น้ัน อยูช ั้นเดยี วกับเทพที่เปน อสญั ญสตั วทัง้ หลายเพราะเกิดดว ยจตุตถฌาน.แตเ ทพทีน่ ับเน่อื งในหมูพ รหมเปนตนซงึ่ บงั เกดิ ดวยปฐมฌานทา นแสดงไวใ นภูมเิ บอ้ื งตํา่ เพราะฉะนนั้ ทานจงึ ไมแ สดงไวใ นทนี่ ี้. อสญั ญสัตว และอรูปสัตวทา นมิไดยกขน้ึ แสดงในท่ีนี้ เพราะไมมีจักษุและโสตะ. บทวา อกนฏิ  า จเทวตา ทา นกลาวไวแมใ นทน่ี ีก้ ็โดยกําหนดภมู ิสูงสดุ เหมือนกัน. เพราะฉะน้นั เทพชัน้ สุทธาวาสทัง้ ๕ คอื อวิหา อตปั ปา สทุ สั สา สทุ สั สแี ละอกนฏิ ฐะพึงทราบวา ทา นก็ถอื เอาดวย. บทวา สุสุทฺธสุกฺกวตถฺ วสนา ความวาผา ท้งั หลายอนั สะอาดดว ยดี คือหมดจดดอี ันขาว คือผอ งแผว ผาอันขาวสะอาดดี อนั เทพเหลาใดนงุ และหม แลว เทพเหลานน้ั ช่ือวา ผูน งุ หม ผา ขาวอันสะอาดดี อธิบายวาผคู รองผา ขาวบริสุทธิ์ ปาฐะวา สสุ ุทธฺ สกุ ฺกวสนาดังน้ีก็ม.ี บทวา ปชฺ ลีกตา ความวา ยืนประคองอัญชลี คอื ทําอัญชลเี สมือนดอกบวั ตมู ไวเหนอื เศียร. บทวา มุ จฺ นตฺ ิ ไดแก โปรย. บทวา ปุปฺผ ปน ไดแก กด็ อกไม ปาฐะวา ปปุ ฺผานิ วา ดงั นก้ี ็มี พงึ เหน็ วาเปน วจนะวปิ ลาสะ แตใ จความของคาํ นน้ั ก็อยางนั้นเหมอื นกนั . บทวา ปจฺ วณณฺ กิ  แปลวา มีวรรณะ ๕. วรรณะ ๕ คอืสเี ขยี ว เหลอื ง แดง ขาว และแดงเขม . บทวา จนทฺ นจุณณฺ มิสสฺ ติ  แปลวาประสมดวยจุรณจนั ทน. บทวา ภเมนฺติ เจลานิ แปลวา โบกผาทั้งหลาย.บทวา อโห ชโิ น โลกหติ านุกมฺปฺโต ไดแก เปลง คําสดุดีเปน ตนอยางนี้วาโอ ! พระชินเจา ผูเก้อื กลู โลก โอ ! พระผเู กอื้ กูลอนเุ คราะหโ ลก โอ ! พระผูมีกรุณา. เชอื่ มความวาโปรยดอกไม โบกผาท้ังหลาย. บัดนี้ เพ่ือจะแสดงคําสดุดที ่เี ทพเหลา น้นั ประกอบแลว พระสังคีติกา-จารยทั้งหลาย จงึ กลา วคาถาเหลาน้วี า

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 115 พระองคเปน ศาสดา เปน ทยี่ ําเกรง เปนธง เปนหลกั เปน ท่พี าํ นัก เปน ท่พี ึ่ง เปน ประทีปของสตั วมีชวี ติ ทงั้ หลาย เปนผูส งู สดุ ในสัตวส องเทา . เทวดาทง้ั หลายในหมนื่ โลกธาตผุ มู ีฤทธิ์ ผยู ินดีรา เริงบันเทงิ ใจ หอ มลอ มนมสั การ. เทพบตุ รและเทพธิดา ผเู ลือ่ มใส ยนิ ดรี า เรงิพากันบูชาพระนราสภ ดว ยดอกไม ๕ ส.ี หมเู ทพเล่ือมใสยินดีรา เรงิ ชมพระองคพ ากนั บชู าพระนราสภ ดว ยดอกไม ๕ สี. โอ ! นาปรบมือในโลก นา ประหลาด นา ขนชูชันอศั จรรย ขนลกุ ขนชนั เชนน้ี เราไมเคยพบ. เทวดาเหลา น้นั นั่งอยใู นภพของตน ๆ เหน็ ความอศั จรรยใ นนภากาศ กพ็ ากันหวั เราะดวยเสยี งดงั . อากาศเทวดา ภมุ มเทวดาและเทวดาผูป ระจาํยอดหญา และทางเปลีย่ ว กย็ ินดีราเริงบนั เทิงใจประคองอญั ชลนี มสั การ. พวกนาคที่มอี ายุยืน มีบญุ มีฤทธ์ิ บนั เทงิ ใจแลวก็พากนั นมัสการบชู าพระนราสภ. เพราะเหน็ ความอัศจรรยในนภากาศ เครือ่ งสงั คตีดดี สีท้ังหลายกบ็ รรเลง เครือ่ งดนตรีหมุ หนงั กป็ ระโคมในอมั พรภาคพโยมหน.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 116 เพราะเหน็ ความอัศจรรยใ นนภากาศ สงั ข บัณเฑาะวแ ละกลองนอ ย ๆ เปน อันมากก็พากันบรรเลง ในทองฟา. ในวนั น้ี ความทข่ี นชูชนั นา อศั จรรยเ กิดข้ึน แลว หนอ เราจกั ไดค วามสาํ เร็จ ประโยชนแ นแ ท เรา ไดขณะกนั แลว . เพราะไดย ินวา พุทฺโธ เทพเหลาน้ันกเ็ กดิ ปต ิใน ทนั ใด พากันยืนประคองอญั ชลี กลา ววา พุทฺโธ พทุ ฺโธ. หมเู ทพตา งๆ ในทองฟา พากันประคองอัญชลี เปลงเสยี ง หึ หึ เปลงเสียงสาธุ โหร องเอกิ องึ ลงิ โลด ใจ. เทพทง้ั หลาย พากันขบั กลอ มประสานเสียง บรรเลง ปรบมอื และฟอ นราํ โปรยดอกมณฑารพ ๕ สี ประสมกับจรุ ณจนั ทน. ขา แตพระมหาวีระ ดวยประการไรเลา ลกั ษณะ จกั ร ทีพ่ ระบาททัง้ สองของพระองค จึงประดับดว ย ธง วชิระ ประฏาก เครอื่ งแตงพระองค ขอชา ง. แกอรรถ ในคาถานัน้ ท่ีช่อื วาสตฺถาพระศาสดา เพราะทรงสอนประโยชนเกอ้ื กลู ในโลกน้ีและโลกหนา . บทวา เกตุ ไดแ ก ช่อื วา เกตุ เพราะทรงเปนเหมือนธง เพราะอรรถวา ธงพึงเปนของท่ีพงึ ยําเกรง. บทวา ธโช ไดแก

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 117เปน ธงองคอนิ ทร พระองคท รงเปนเหมือนธง เพราะอรรถวา ยกขึ้น และเพราะอรรถวานา ชม เหตนุ ั้นจึงชื่อวาเปน ธชะ ธง. อีกนัยหน่ึง เหมือนอยา งวา เขาเห็นธงของผูห น่ึงผูใด กร็ ูวา นธ้ี งของผมู ีช่ือนี้ เหตนุ ้ันผนู ี้ชื่อวา ผมู ีธง คือธชี ดวยเหตุนั้น ทานจงึ กลา ววา ธโช ยูโป จ อธบิ ายวา พระองคทรงเปนหลัก ทเ่ี ขายกขึน้ เพอื่ บชู ายญั ทงั้ หลายทัง้ ปวง ทม่ี ที านเปน ตนมอี าสวกั ขยญานเปน ที่สุด ดังท่ีตรัสไวในกฏู ทนั ตสตู ร. บทวา ปรายโน ไดแ ก เปน ทพ่ี าํ นัก.บทวา ปตฏิ า ไดแก แมพระองคกท็ รงเปนท่พี ึง่ เหมอื นแผนมหาปฐพี เปนทีพ่ ึ่งพาอาศัย เพราะเปน ท่ีรองรับสัตวท ั้งหลายทง้ั ปวงฉะนัน้ . บทวา ทีโป จ ไดแก เปน ประทีป. อธิบายวา ประทปี ท่เี ขายกข้ึนสาํ หรบั สตั วทัง้ หลายทอี่ ยูในความมืดมีองค ๔ ยอมสองใหเห็นรปู ฉนั ใด พระองคกท็ รงเปน ประทีปสอ งใหเห็นปรมตั ถธรรม สาํ หรบั เหลาสตั วท อี่ ยูในความมืดคืออวชิ ชาฉันน้นั . อกี นยั หน่ึง แมพระองคก ท็ รงเปน เหมอื นเกาะ ของสตั วทั้งหลายผูจมลงในสาครคอื สงั สารวฏั อนั เปนทีพ่ ่ึงไมไ ด เหมือนเกาะกลางสมุทร เปนทพ่ี ่ึงของสตั วท ้งั หลาย ทเี่ รืออัปปางในมหาสมุทรฉะน้นั เหตุนัน้จึงชอ่ื วา ทีปะ เปนเกาะ. บทวา ทวฺ ปิ ทตุ ฺตโม ไดแก ผสู งู สดุ แหงสตั วสองเทา ช่ือวา ทวปิ -ทุตตมะ. ในคาํ น้ี ไมคดั คา นฉัฏฐีสมาส เพราะไมมลี ักษณะแหงนทิ ธารณะ จึงสําเร็จรูปเปน สมาสแหงฉัฏฐีวภิ ตั ติทมี่ ีนิทธารณะเปน ลกั ษณะ. ถา จะพงึ มีคําถามวา กพ็ ระสมั มาสัมพุทธเจา ทรงเปนผสู ูงสดุ แหง สตั วท ้ังหลายทไี่ มม เี ทา มีสองเทา มีสี่เทา มีเทา มาก มีรูป ไมมีรปู มสี ญั ญา ไมมีสัญญา ท่มี ีสัญญาก็ไมใชไ มมีสญั ญาก็ไมใ ช แตเ พราะเหตไุ ร ในท่ีน้ที านจงึ กลาววา สูงสดุ แหงสตั วสองเทา เลา พงึ ตอบวา โดยเหตทุ ี่ทรงเปน ผปู ระเสรฐิ กวา. จริงอยู

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 118ธรรมดาผปู ระเสริฐสุดโนโลกนีเ้ มอื่ เกิด ยอมไมเกดิ ในประเทศของสตั วไมม เี ทาและสตั วสเ่ี ทา ทา นผนู ีย้ อมเกิดในเหลา สัตวสองเทาเทา นัน้ ถามวา ในเหลาสัตวสองเทา ประเภทไร. ตอบวาในเหลา มนุษยแ ละเทวดาทง้ั หลาย. เมือ่ เกดิ ในเหลามนษุ ยย อ มบังเกิดเปน พระพทุ ธเจา ผูสามารถทําสามพนั โลกธาตุ มากพนัโลกธาตใุ หอยูในอํานาจได เมื่อเกดิ ในเหลา เทวดายอ มบงั เกิดเปนทาวมหา-พรหม ซ่ึงมีอาํ นาจในหมื่นโลกธาตุได. ทาวมหาพรหมน้ัน ยอมพรอมทีจ่ ะเปนกปั ปยการกหรอื อารามิกของพระพุทธเจานนั้ ดังนนั้ พระพุทธเจาทานจึงเรียกวา สูงสดุ แหง สตั วส องเทา โดยเหตุท่ที รงเปนผูประเสรฐิ กวาทา วมหาพรหมแมนนั้ . บทวา ทสสหสสฺ โี ลกธาตยุ า ไดแก โลกธาตุท่ีนบั ไดหมน่ื หน่งึ .บทวา มหิทธฺ ิกา ไดแก ประกอบดวยฤทธ์อิ ยา งใหญ. อธิบายวามีอานุภาพมาก.บทวา ปรวิ าเรตวฺ า ไดแ ก หอ มลอมพระผมู พี ระภาคเจา โดยรอบ. บทวาปสนนฺ า ไดแก เกิดศรทั ธา. บทวา นราสภ ไดแ กทรงเปนผปู ระเสรฐิ สุดในนรชน. ในบทวา อโห อจฺฉริย น้ี ชื่อวา อจั ฉรยิ ะ เพราะไมมเี ปนนิตยเหมือนอยา งคนตาบอดขน้ึ เขา หรือช่อื วา อจั ฉริยะ เพราะควรแกการปรบมือ. อธิบายวา ควรเพอื่ ปรบมือวา โอ ! นน้ี า ประหลาดจรงิ . บทวา อพภฺ ตุ ไดแก ไมเคยเปน ไมเปน แลว เหตุนน้ั จงึ ชือ่ อัพภตุ ะ. แมสองคํานีก้ เ็ ปนชื่อของความประหลาดใจ. บทวา โลมห สน ไดแก ทําความทโี่ ลมชาตมิ ปี ลายข้นึ [ชชู ัน]. บทวา น เมทสิ  ภตู ปุพพฺ  ความวา เร่อื งทีไ่ มเ คยเปน ไมเปน เชน นี้ เราไมเคยเห็น. พงึ นําคําวา ทิฏ เห็น มาประกอบไวดว ย.บทวา อจเฺ ฉรก แปลวา อศั จรรย.

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 119 บทวา สกสกมหฺ ิ ภวเน ไดแก ในภพของตนๆ. บทวา นิสีทิตฺวาไดแ ก เขา ไปน่ังใกล. ก็คาํ วา เทวตา นี้พึงทราบวา เปน คาํ กลา วทวั่ ไปทั้งแกเทพบุตร ทัง้ แกเทพธดิ า. บทวา หสนฺติ ตา ความวา เทวดาเหลา นนั้หัวเราะลั่น ไมทําความแยม ยิ้ม หวั รอสน่นั ไหว เพราะหวั ใจตกอยใู ตอาํ นาจปต ิ. บทวา นเภ ไดแก ในอากาศ. บทวา อากาสฏ า ไดแก เทวดาทีอ่ ยู ณ วมิ านเปน ตน ในอากาศ.แมในเทวดาท่อี ยภู าคพนื้ ดนิ ก็นยั นเ้ี หมือนกนั . บทวา ตณิ ปนถฺ นวิ าสโิ นไดแก ที่อยูป ระจาํ ยอดหญา และทางเปลี่ยว. บทวา ปุ ฺวนฺโต ไดแก ผูมีบุญมาก. บทวา มหทิ ฺธกิ า ไดแก ผูม ีอานุภาพมาก. บทวา สงคฺ ตี โิ ยปวตเฺ ตนฺติ ไดแก เคร่ืองสงั คีตของเทพนาฏกะก็บรรเลง อธิบายวา ประกอบข้ึนเพือ่ บชู าพระตถาคต. บทวา อมพฺ เร แปลวา ในอากาศ. บทวาอนลิ ชฺ เส แปลวา ทางอากาศ. ทานกลาววา อนลิ ชฺ เส ก็เพราะอากาศเปน ทางอเนกประสงค. เปนไวพจนข องคาํ ตน . บทวา จมมฺ นทฺธานิ แปลวาทีห่ ุมดว ยหนงั . หรือปาฐะก็อยางนี้เหมือนกนั อธิบายวา กลองทิพย. บทวาวาเทนฺติ ความวา เทวดาท้ังหลายยอ มประโคม. บทวา สงขฺ า ไดแ ก สังขเปา. บทวา ปณวา ไดแก เคร่อื งดนตรีพเิ ศษตรงกลางคอด. กลองขนาดเลก็ ๆ ทา นเรียกวา ฑณฑฺ มิ า. บทวาวชชฺ นฺติ แปลวา ประโคม. บทวา อพฺภโุ ต วต โน แปลวา นา อัศจรรยจริงหนอ. บทวา อปุ ปฺ ชชฺ ิ แปลวา เกดิ แลว . บทวา โลมห สโน ไดแ กทาํ ขนชูชนั . บทวา ธุว อธิบายวา เพราะเหตทุ ่พี ระศาสดาพระองคน ีอ้ ัศจรรยอุบัติในโลก ฉะนัน้ พวกเราจักไดค วามสาํ เร็จประโยชนโดยแทแนนอน. บทวาลภาม แปลวา จกั ได. บทวา ขโณ ความวา ขณะที่ ๙ เวน จาก

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 120อขณะ ๘. บทวา โน แปลวา อนั เราท้ังหลาย. บทวา ปฏิปาทิโต แปลวาไดแ ลว. บทวา พทุ ฺโธติ เตส สตุ ฺวาน ความวา ปต ิ ๕ อยา งเกิดแกเทพเหลานัน้ เพราะไดยินคํานว้ี า พุทโฺ ธ. บทวา ตาวเท แปลวา ในทนั ท.ี บทวาหงิ ฺการา ไดแ ก เสยี งท่ที าํ วา หึหึ. ยกั ษเ ปนตน ยอมทาํ เสยี งวา หึ หึ ในเวลารา เริง. บทวา สาธกุ ารา ไดแ ก เสยี งทาํ วา สาธุ กเ็ ปน ไป. บทวา อุกุฏ ิไดแ ก เสียงโหแ ละเสียงกกึ กอง. เทวดาเปน ตน ทานประสงควา ปชา. อาจารยบางพวกกลา ววา ธงประฏากตา งๆ กเ็ ปนไปในทองฟา. บทวา คายนฺติ ไดแกขบั รองเพลงทีป่ ระกอบพระพทุ ธคณุ . บทวา เสเฬนตฺ ิ ไดแก ทาํ เสยี งประสานดวยปาก. บทวา วาทยนฺติความวา พณิ มีพณิ ช่อื วาวิปญจกิ าและมกรมขุ เปนตนขนาดใหญ และดนตรีทั้งหลายก็บรรเลงประกอบข้นึ เพ่อื บชู าพระตถาคต. บทวา ภุชานิ โปเถนตฺ ิแปลวา ปรบมือ. พึงเห็นวา เปนลงิ ควิปลาส. บทวา นจจฺ นตฺ ิ จ ไดแ กใชใหผ ูอนื่ ฟอนดวย ฟอนเองดวย. ในคาํ วา ยถา ตยุ หฺ  มหาวีร ปาเทสุ จกกฺ ลกขฺ ณ นี้ ยถาแปลวา โดยประการไรเลา . ช่ือวา มหาวีระ เพราะทรงประกอบดว ยความเพียรอยา งใหญ. บทวา ปาเทสุ จกฺกลกฺขณ ความวา ทีฝ่ า พระบาททั้งสองของพระองค มีลกั ษณะจักร [ลอ] มซี ก่ี ํามีกงมดี มุ บริบูรณด วยอาการทุกอยางงดงาม. ก็ จักกศัพทน้ี ปรากฏใชในอรรถมีสมบตั ,ิ สว นของรถ, อริ ยิ าบถ,ทาน, รัตนจักร, ธรรมจักร, ขรุ จกั ร, และลักษณะเปน ตน. ทใ่ี ชในอรรถวาสมบัติ ไดในบาลีเปนตนวา จตตฺ าริมานิ ภกิ ขฺ เว จกฺกานิ เยหิสมนฺนาคตาน เทวมนุสฺสาน ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย สมบตั ิ ๔ ที่เม่อื เทวดา

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 121และมนษุ ยประกอบพรอ มแลว. ทีใ่ ชใ นอรรถวาสว นแหงรถไดใ นบาลเี ปน ตนวา จกฺก ว วทโต ปท เหมือนลอ เกวยี นทแ่ี ลนตามเทา โคทีก่ ําลังนําเกวียนไป. ท่ใี ชใ นอรรถวา อริ ิยาบถ ไดในบาลีเปนตน วา จตุจกกฺ  นวทวฺ ารมอี ริ ิยาบถ ๔ มที วาร ๙. ท่ีใชในอรรถวา ทาน ไดใ นบาลนี ้วี า ทท ภุ ชฺ จมา จ ปมาโท จกกฺ  วตฺตย สพฺพปาณีน ทานเมอื่ ใหทาน กจ็ งใชสอยอยา ประมาทจงบําเพ็ญทานแกส ตั วทั้งปวง. ทีใ่ ชในอรรถวา รตั นจกั ร ไดในบาลนี ี้วา ทพิ ฺพ จกกฺ รตน ปาตภูต จกั รรตั นะทิพย ปรากฏแลว . ที่ใชในอรรถวา ธรรมจกั ร ไดใ นบาลีนวี้ า มยา ปวตฺติต จกฺก ธรรมจกั รอันเราใหเ ปนไปแลว . ทใี่ ชใ นอรรถวา ขรุ จักร อธบิ ายวา จกั รสําหรบัประหาร ไดในบาลนี ีว้ า อิจฺฉาหตสฺส โปสสสฺ จกกฺ  ภมติ มตถฺ เกจกั รคมหมุนอยบู นกระหมอมของบุรษุ ผทู ถี่ กู ความอยากครองงาํ แลว . ทีใ่ ชใ นอรรถวา ลกั ษณะ. ไดใ นบาลีน้ีวา ปาทตเลสุ จกกฺ านิ ชาตานิ ลักษณะทัง้ หลายเกิดแลว ที่ฝาพระบาททง้ั สอง. แมใ นที่นี้ พึงเห็นวา ใชในอรรถวาจกั รคือลกั ษณะ. บทวา ธชวชิรปฏากา วฑฺฒมานงกฺ ุสาจิต ความวาลกั ษณะจกั รทีพ่ ระบาททัง้ สอง รวบรวม ประดับ ลอ มไวด ว ยธชะ [ธงชาย]วชริ ะ [อาวุธพระอินทร] ปฏาก [ธงผา ] วัฑฒมานะ [เคร่ืองแตงพระองค]และองั กุส [ขอชา ง] เมอื่ ทานถอื เอาลกั ษณะจักรแลว ก็เปน อนั ถือเอาลกั ษณะทเ่ี หลอื ไวดวย. พระอนพุ ยญั ชนะ ๘๐ และพระรศั มี ๑ วา ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น พระวรกายของพระผูม ีพระภาคเจา ทีป่ ระดับพรอมดว ยพระมหาปรุ สิ -ลกั ษณะ ๓๒ พระอนพุ ยญั ชนะ ๘๐ และพระรศั มี ๑ วา กเ็ ปลง พระพทุ ธรศั มมี ีพรรณะ ๖ ซ่งึ แลน ฉวดั เฉวียนไป จึงงดงามอยางเหลอื เกิน เหมอื นตนปาริ-ฉัตตกะดอกบานสะพรง่ั ไปท้ังตน เหมอื นดงบัว ทม่ี ดี อกบัวหลวงแยมแลว

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 122เหมือนเสาระเนียดทองใหม สวยงามดวยรัตนะตา งชนดิ เหมอื นทอ งฟา งามระยบั ดว ยดวงดาว. บัดนี้ เพอื่ แสดงสมบัติคอื รปู กายและธรรมกายของพระผมู ีพระภาค-เจา ทา นพระสงั คีตกิ าจารยท ้ังหลายจงึ กลาวคาถาน้วี า พระผูมพี ระภาคเจา ไมม ีผูเสมอเหมอื นในพระ รูป ในศลี สมาธิ ปญ ญาและวิมุตติ ทรงเสมอกับ พระพุทธเจาท่ไี มม ีใครเสมอในการประกาศพระธรรม- จกั ร. แกอ รรถ รปู ศพั ทน้ีวา รูเป ในคาถานนั้ ปรากฏใชในอรรถมี ขนั ธ ภพนมิ ติ ปจจัย สรรี ะ วรรณะและทรวดทรงเปนตน. เหมือนอยางทีท่ า นกลา วไววา รปู ศัพททใ่ี ชในอรรถวา รูปขนั ธ ไดใ นบาลีนว้ี า ยงกฺ ิจฺ ิ รปู อตตี านาคตปจฺจปุ ปฺ นน รปู ขนั ธอยางหน่งึ อยางใด ท่เี ปน อดตี อนาคตปจ จบุ นั . ทใี่ ชในอรรถวา รูปภพ ไดใ นบาลนี ว้ี า รปู ูปปตตฺ ยิ า มคคฺ ภาเวติ ยอมเจริญมรรค เพ่อื เขา ถึงรปู ภพ. ท่ใี ชใ นอรรถวา กสิณนมิ ิต ไดในบาลนี ว้ี า อชฌฺ ตฺต อรูปสฺ ี พหิทฺธา รปู านิ ปสสฺ ติ สําคัญอรูปภายใน ยอมเหน็ กสณิ นมิ ิตภายนอก. ทใี่ ชในอรรถวา ปจ จยั ไดใ นบาลนี ว้ี าสรปู า ภกิ ฺขเว อุปปฺ ชฺชนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา โน อรูปาดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย อกศุ ลบาปธรรมมปี จ จัยหรือไมมปี จจัยจงึ เกิดขนึ้ . ที่ใชในอรรถวา สรีระ ไดใ นบาลนี ี้วา อากาโส ปริวารโิ ต รปู นเฺ ตวฺ ว สงฺขคจฺฉติ อากาศท่หี อ มลอม ก็นบั ไดวา สรรี ะ. ท่ีใชในอรรถวา วรรณะ ไดใ นบาลีนี้วา จกฺขุ ฺจ ปฏิจฺจ รเู ป จ อุปฺปชชฺ ติ จกขฺ ุวิฺ าณ อาศยั

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 123จกั ษแุ ละวรรณะ จกั ขวุ ิญญาณจงึ เกดิ . ที่ใชในอรรถวา ทรวดทรง ไดใ นบาลีน้ีวา รูปปปฺ มาโณ รูปปฺปสนฺโน ถอื ทรวดทรงเปน ประมาณ เลื่อมใสในทรวดทรง. แมในทีน่ ี้ ก็พึงเห็นวา ใชใ นอรรถวา ทรวดทรง. บทวา สเี ลไดแ ก ในศลี ๔ อยา ง. บทวา สมาธมิ หฺ ิ ไดแก ในสมาธิ ๓ อยาง. บทวาปฺ าย ไดแก ในปญญาที่เปนโลกยิ ะและโลกุตระ. บทวา อสาทิโส แปลวาไมม ใี ครเหมือน ไมมีใครเปรียบ. บทวา วิมตุ ฺตยิ า ไดแ ก ในผลวิมุตติ.บทวา อสมสโม ความวา อดีตพระพุทธเจาทงั้ หลาย ไมมใี ครเสมอ พระ-องคก ท็ รงเสมอกบั พระพทุ ธเจาท้ังหลายทไี่ มมใี ครเสมอเหลา นั้น โดยพระคุณทง้ั หลายมศี ีลเปนตน เหตุน้ันพระองคจ ึงชื่อวา ผูเสมอกับพระพุทธเจาท่ไี มมีใครเสมอ ทานแสดงสมบตั ิคือพระรูปกาย ของพระผูม พี ระภาคเจาดวยกถาเพยี งเทาน้.ี บดั น้ี เพอ่ื แสดงกาํ ลังพระกายเปนตนของพระผมู ีพระภาคเจา ทานพระสังคตี กิ าจารยท้งั หลายจงึ กลาววา กําลงั พระยาชา ง ๑๐ เชอื ก เปนกาํ ลังปกติใน พระกายของพระองค พระองคไมมีใครเสมอดวยกาํ ลงั พระวรฤทธิ์ ในการประกาศพระธรรมจักร. แกอรรถ บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา ทสนาคพล ไดแก กําลงั พระยาชางฉัททนั ต ๑. เชือก. จริงอยูกําลงั ของพระตถาคตมี ๒ คือ กาํ ลงั พระกาย ๑กําลงั พระญาณ ๑. บรรดากาํ ลังทั้งสองน้ัน กําลงั พระกาย พึงทราบตามแนวตระกลู ชา ง. คืออะไร พงึ ทราบชาง ๑๐ ตระกลู เหลาน้ี.

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 124 กาฬาวกฺจ คงฺเคยฺย ปณฺฑร ตมฺพปง ฺคล คนธฺ มงฺคลเหมสจฺ อโุ ปสถฉทฺทนฺติเม ทส. ชาง ๑๐ ตระกลู เหลา น้ีคือ กาฬาวกะ คงั เคยยะ ปณฑระ ตัมพะ ปง คละ คนั ธะ มังคละ เหมะ อโุ ปสถะ ฉทั ทนั ตะ. กาฬวกะไดแก ตระกลู ชา งปกติ. กาํ ลังกายของบุรุษ ๑๐ คน เปน กาํ ลงัของชา งตระกูลกาฬาวกะ ๑ เชอื ก. กาํ ลังของชา งตระกลู กาฬาวกะ ๑๐ เชอื กเปนกําลงั ของชา งตระกลู คังเคยยะ ๑ เชอื ก พึงนาํ กาํ ลังของชา งตระกลู ตางๆโดยอุบายดังกลา วมานี้จนถงึ กาํ ลงั ของชางตระกลู ฉทั ทันตะ กําลังของชา งตระกูลฉัททนั ตะ ๑๐ เชือก เปน กําลังของพระตถาคตพระองคเ ดยี ว. กําลังของพระ-ตถาคตนี้นีแ่ ลเรยี กกันวา กาํ ลังนารายณ กําลังวชริ ะ. กําลังของพระตถาคตน้ีน้นั เทากับกาํ ลังชางโกฏพิ ันเชือกโดยนับชา งตามปกติ เทา กับกําลังของบรุ ษุสบิ โกฏิพนั คน. กําลงั พระวรกายปกติของพระตถาคตมดี งั นี้กอ น. สวนกาํ ลังพระญาณ หาประมาณมไิ ด กําลงั พระญาณมีเปนตนอยา งนค้ี ือ พระทศพล-ญาณ พระจตเุ วสารัชญาณ พระอกมั ปนญาณในบรษิ ทั ๘ พระจตุโยนปิ ร-ิเฉทกญาณ พระปญจคติปริเฉทกญาณ พระพุทธญาณ ๑๔. แตในทนี่ ้ี ประสงคเอากาํ ลงั พระวรกาย. บทวา กาเย ตยุ หฺ  ปากติก พล ความวา กําลงัตามปกติในพระวรกายของพระองคนนั้ เพราะฉะนน้ั บทวา ทสนาคพลจึงมคี วามวา เทา กับกาํ ลงั ของพระยาชา งตระกลู ฉัททนั ต ๑๐ เชือก. บัดน้ี เม่ือแสดงกาํ ลังพระญาณ ทา นจงึ กลาววา พระองคไมม ีผเู สมอดว ยกาํ ลงั พระวรฤทธใ์ิ นการประกาศพระธรรมจกั ร. บรรดาบทเหลานั้น บทวาอทิ ฺธิพเลน อสโม ไดแก ไมมผี เู สมอ ไมมีผเู สมือน ไมมผี เู ปรียบ.บทวา ธมมฺ จกกฺ ปปฺ วตตฺ เน ความวา ไมมีผเู สมอแมในพระเทศนาญาณ.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 125 บดั น้ี เพ่ือแสดงการประกอบในการนอบนอ มพระตถาคตวา พระ-ศาสดาพระองคใดประกอบพรอ มดวยพระคุณมีดงั กลาวมาน้เี ปน ตน พระศาสดาพระองคน ้นั ทรงเปนนายกเอกของโลกทั้งปวง ขอทานทงั้ หลาย จงนมัสการพระศาสดาพระองคนน้ั ทานพระสังคีติกาจารยทัง้ หลาย จึงกลาววา ทานทั้งหลาย จงนมัสการพระศาสดา ผูประกอบ ดวยพระคณุ ทุกอยา ง ประกอบดวยองคคณุ ทง้ั ปวง เปน พระมหามนุ ี มีพระกรุณา เปนนาถะของโลก. แกอรรถ ในคาถานั้น ศพั ทว า เอว เปนนิบาตลงในอรรถชีแ้ จงอยางที่กลาวมาแลว . ศัพทน ีว้ า สพฺโพ ในคําวา สพฺพคณุ ฺเปต นี้ เปน ศัพทก ลา วถงึไมเ หลอื เลย. คุณ ศัพทน ้วี า คุโณ ปรากฏใชใ นอรรถเปน อนั มาก. จริงอยางนัน้ คุณ ศัพทน้ี ใชใ นอรรถวา ชัน้ ไดในบาลนี ว้ี าอนุชานามิ ภิกฺขเว อหตาน วตฺถาน ทิคณุ  สงฆฺ าฏึ ดูกอ นภกิ ษุทง้ัหลาย เราอนุญาตผาสงั ฆาฏสิ องชนั้ สําหรับผาทั้งหลายทใ่ี หม. ท่ีใชใ นอรรถวากลุม ไดในบาลีน้วี า อจฺเจนตฺ ิ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย วโยคุณาอนุปพุ พฺ  ชหนตฺ ิ กาลก็ลว งไป ราตรกี ็ลวงไป กลุมแหง วยั กล็ ะลําดบั ไป. ท่ีใชในอรรถวา อานสิ งส ไดในบาลนี ีว้ า สตคุณา ทกฺขิณาปาฏิกงฺขติ พพฺ า พึงหวงั ทักษิณา มอี านสิ งสเ ปนรอย. ทใี่ ชในอรรถวา พวงไดใ นบาลนี ี้วา กยิรา มาลาคเุ ณ พหู พึงทําพวงมาลยั เปน อันมาก. ที่ใชในอรรถวา สมบตั ิ ไดในบาลนี วี้ า อฏ คุณ สมุเปต อภิ ฺ าพลมาหรึนํามาซึง่ กาํ ลังแหง อภิญญา อนั ประกอบพรอ มดว ยสมบตั ิ ๘. แมในทีน่ กี้ ็พึง

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 126เห็นวา ใชในอรรถวา สมบัติ เพราะฉะนน้ั จึงมคี วามวา เขาถงึ ประกอบพรอ มแลว ดวยคณุ ทเ่ี ปน โลกิยะและโลกุตระทั้งปวงคอื ดวยสมบัติทุกอยาง. บทวาสพพฺ งคฺ สมปุ าคต ไดแ ก เขา มาถึงแลว ประกอบพรอ มแลว ดว ยพระพทุ ธ-คณุ หรือดวยองคคณุ ทัง้ ปวง. บทวา มหามุนี ไดแ ก ช่ือวา มุนีใหญเ พราะยิง่ กวา มนุ ที ้งั หลาย มพี ระปจเจกพุทธเจา เปน ตน อนื่ ๆ เหตนุ ัน้ จงึ เรยี กวา มหามุน.ี บทวา การุณกิ  ไดแก ช่ือวาผูมีกรุณา เพราะประกอบดวยกรุณาคุณ.บทวา โลกนาถ ไดแ ก เปนนาถะเอกของโลกท้ังปวง. อธบิ ายวา อันโลกท้ังปวงมงุ หวงั อยางน้ีวา ทา นผูน้ี เปนผูก าํ จดั เปน ผรู ะงบั ความเดือดรอนคือทุกขของพวกเรา ดังน.้ี บัดน้ี เพอื่ แสดงความท่ีพระทศพล ทรงเปนผูควรแกการเคารพนบนอบทกุ อยาง ทา นพระสงั คีตกิ าจารยท ้ังหลายจงึ กลาววา พระองคค วรการกราบไหว การชมการสรรเสรญิ การนบนอบบชู า. ขา แตพ ระมหาวรี ะ ชนเหลาหนึ่งเหลาใดเปน ผู ควรแกการไหวในโลก ชนเหลาใด ควรซง่ึ การไหว พระองคเ ปนผปู ระเสริฐสดุ กวา ชนเหลานั้นท้งั หมด ชน เสมอเหมือนพระองคไมม ีเลย. แกอรรถ บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา อภวิ าทน ไดแก ใหผ อู ืน่ ทําการกราบตน. บทวา โถมน ไดแก ชมลับหลัง. บทวา วนฺทน ไดแ ก นอบนอ ม.บทวา ปส สน ไดแก สรรเสริญตอหนา . บทวา นมสสฺ น ไดแก ทําอญั ชลี

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 127หรือนอบนอมดวยใจ. บทวา ปูชน ไดแ ก และการบูชาดว ยมาลยั ของหอมและเครอ่ื งลบู ไลเ ปน ตน . บทวา สพฺพ ความวา พระองคทรงสมควรเหมาะสมสกั การะวเิ ศษดังกลาวแลวน้ันทกุ อยาง. บทวา เย เกจิ โลเก วนทฺ เนยยฺ าความวา ชนเหลา หน่ึงเหลาใด ควรกราบ ควรไหว ควรซ่ึงการไหวในโลก.บทวา เย ไดแก อน่งึ ชนเหลาใด ควรซึ่งการไหวใ นโลก. ก็บทนเ้ี ปน ไวพจนของบทตนน้ันแล. บทวา สพพฺ เสฏโ ความวา ขาแตพ ระมหาวรี ะ พระ-องคเ ปนผปู ระเสริฐสุด สงู สุดกวา ชนเหลา นน้ั ทงั้ หมด ชนไรที่เสมอเหมือนพระองค ไมม ใี นโลก. คร้งั นน้ั เมื่อพระผูมพี ระภาคเจา ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย ทรงเนรมติ รตั นจงกรมเสด็จจงกรม ณ รตั นจงกรมนั้นอยู ทานพระสารบี ตุ รพรอมดวยภกิ ษุบริวาร ๕๐๐ รูป อยู ณ เขาคมิ ฌกฏู กรุงราชคฤห คร้ังนน้ั พระเถระตรวจดูพระผูม ีพระภาคเจา ก็เห็นพระองคเสด็จจงกรม ณ รตั นจงกรมในอากาศ กรงุ กบลิ พศั ด.ุ ดว ยเหตุน้นั ทานพระสังคีติกาจารยทงั้ หลายจึงกลา วคําเปน ตน วา ทา นพระสารีบุตร ผูม ปี ญ ญามาก ผฉู ลาดใน สมาธิและฌาน อยทู เ่ี ขาคชิ ฌกูฏ กเ็ ห็นพระผูเปนนายก ของโลก. แกอ รรถ บรรดาบทเหลานั้น บทวา สารปิ ตุ โฺ ต ไดแ ก ชื่อวา สารบี ุตร เพราะเปนบุตรของพราหมณชี ่ือวา สาร.ี บทวา มหาปโฺ  ไดแ ก ชอื่ วา มีปญ ญามาก เพราะเปน ผูป ระกอบดว ยปญ ญา ๑๖ อยา งใหญ. ในคําวา สมาธิชฺฌาน-

พระสุตตันตปฎก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 128โกวโิ ท นี้. บทวา สมาธิ ไดแก ชือ่ วา สมาธิ เพราะบรรจงต้ัง คอื วางจิตไวส มาํ่ เสมอในอารมณ. สมาธินัน้ มี ๓ คอื ชนิดมีวิตกมวี ิจาร ชนิดไมมีวิตกมเี พียงวิจาร ชนิดทไี่ มมวี ติ กไมมีวิจาร. บทวา ฌาน ไดแ กปฐมฌานทตุ ิยฌาน ตตยิ ฌาน จตตุ ถฌาน แมฌานอ่นื มเี มตตาฌานเปน ตนก็เปนอันทา นสงเคราะหด ว ยฌานที่กลาวมาแลวนี้ มีปฐมฌานเปนตน . แมฌานก็มี ๒ อยา ง คือ ลกั ขณปู นชิ ฌาน อารมั มณูปนชิ ฌาน.บรรดาฌานท้ัง ๒ น้นั วปิ สสนาญาณ เรียกวา ลักขณปู นชิ ฌาน เพราะเขา ไปเพงลกั ษณะมอี นจิ จลักษณะเปน ตน สว นฌานมีปฐมฌานเปนตน เรียกวา ฌานเพราะเขา ไปเพงอารมณ หรอื เผาธรรมที่เปนขาศกึ . ผฉู ลาดในสมาธิดวย ในฌานดวย เหตนุ ัน้ จึงช่อื วา ผูฉ ลาดในสมาธิและฌาน. บทวา คชิ ฌฺ กเู ฏความวา ยนื อยูที่ภเู ขามีช่ืออยางนี้นีแ่ ล. บทวา ปสสฺ ติ ไดแก เหน็ แลว. บทวา สผุ ุลฺล สาลราช ว เชือ่ มความกับบทวา อาโลก อยา งนีว้ าทานพระสารบี ุตรตรวจดูพระทศพลผูเปนดงั ตนพระยาสาลพฤกษ ซ่งึ มศี ีลเปนราก มีสมาธิเปนลาํ ตน มีปญ ญาเปน กิ่ง มอี ภญิ ญาเปนดอก มวี ิมตุ ติเปน ผลเหมือนตนพระยาสาละ มีลาํ ตน กลมกลงึ มีก่ิงประดับดวยตาตมู ผลใบออนและหนอ ท่ีอวบขึน้ ดก มีดอกบานสะพรัง่ ทั่วตน . บทวา จนทฺ  ว คคเน ยถาความวา ตรวจดูพระมุนผี ูประเสรฐิ ดังดวงจนั ทร ผูทําการกําจัดความมดื คอืกเิ ลสทง้ั ปวง ผูท าํ ความแยม แกด งโกมุทคอื เวไนยชน ดุจดวงจนั ทรเตม็ ดวงในฤดูสารทอนั หอมลอ มดวยหมูดาว หลุดพน จากอุปสรรค คือ หมอก หมิ ะควนั ละออง และราห.ู บทวา ยถา เปน เพยี งนบิ าต . บทวา มชฺฌนหฺ ิเกวสรู ยิ  ความวา รงุ โรจนอยดู จุ ดวงอาทิตย ทส่ี อ งแสงเปน ชอชั้น ดว ยสริ ิเวลาเท่ียงวัน. บทวา นราสภ ไดแก ผูสูงสดุ ในนรชน.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 129 บทวา ชลนฺต แปลวา รงุ เรืองอยู อธบิ ายวา พระวรสรีระประดับพรอมดว ยพระมหาปรุ ิสลกั ษณะและพระอสตี อิ นุพยญั ชนะ มีพระพกั ตรด งั ทองงาม มีสิรดิ ังพระจันทรเ ต็มดวงในฤดสู ารท รงุ เรอื งอยดู ว ยพระพทุ ธสิรอิ ยา งยงิ่ .บทวา ทปี รุกฺข ว ไดแ ก ประดุจตนประทปี ท่เี ขายกประทีปไว. บทวา ตรณุ -สรุ ย ว อุคฺคต ไดแ ก ประดุจดวงอาทิตยอุทยั ใหม ๆ อธบิ ายวา รุงเรอื งอยูโดยภาวะเรยี บรอ ย. ก็ทา นเรียกดวงอาทติ ยออนๆ เพราะเหตอุ ทุ ัยขน้ึ . ไมม ีลดแสงหรอื เพ่ิมแสงเหมอื นดวงจนั ทร [เพราะดวงอาทติ ยไ มมีข้ึนแรม]. บทวาพฺยามปปฺ ภานรุ ชฺ ิต ไดแ ก อันพระรัศมวี าหนง่ึ เปลง แสงจบั แลว . บทวา ธรี ปสฺสติ โลกนายก ความวา เหน็ พระผนู าํ ซ่งึ เปนปราชญเ อกของโลกท้งั ปวง. ลาํ ดบั นัน้ ทานพระธรรมเสนาบดี ยนื อยู ณ เขาคิชฌกฏู ซ่ึงมียอดจรดหมูธ ารนํ้าเยน็ สนิทมียอดอบอวลดวยดอกของตนไมท่มี ีกล่ินหอมนานาชนดิมยี อดวจิ ิตรงามอยา งย่ิง แลเห็นพระผมู ีพระภาคเจา อนั หมูเ ทวดาและพรหมซึง่ มาแตห มนื่ จักรวาลแวดลอ มแลว ซงึ่ เสด็จจงกรม ณ ที่จงกรมเปน รตั นะลว น ดว ยพระพุทธสิริอนั ยอดเยย่ี ม ดว ยพระพุทธลีลาอันหาท่ีเปรยี บมไิ ดจึงคิดวา เอาเถิด จําเราจักเขาเฝา พระผูม ีพระภาคเจา ทูลขอพระพุทธวงศเทศนาอันแสดงพระพุทธคุณ จงึ ประชุมภิกษุ ๕๐๐ รปู ซึ่งอยกู ับตน. ดว ยเหตุนัน้พระสงั คีตกิ าจารยท้ังหลายจงึ กลาววา ทานพระธรรมเสนาบดี จึงประชุมภิกษุ ๕๐๐ รูป ซง่ึ ทํากิจเสร็จแลว ผคู งที่ ส้ินอาสวะแลว ปราศจาก มลทิน ทันท.ี

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 130 แกอรรถ บรรดาบทเหลานนั้ บทวา ปจฺ นฺน ภิกขุสตาน ไดแก ภิกษุ๕๐๐ รูป. ฉฏั ฐีวิภตั ติ พึงเห็นวา ทานใชในอรรถทุติยาวภิ ตั ติ. บทวา กตกิจ-ฺจาน ความวา ผูจ บโสฬสกิจแลว คือ ปริญญากจิ ปหานกจิ สจั ฉิกริ ยิ ากจิและภาวนากจิ ดวยมรรค ๔ ในสจั จะ ๔. บทวา ขณี าสวาน ไดแก ผูส้ินอาสวะ ๔. บทวา วิมลาน ไดแก ผปู ราศจากมลทิน หรอื ชื่อวา มมี ลทินไปปราศแลว อธบิ ายวา มจี ิตสนั ดานอนั บริสทุ ธิ์อยางยิง่ เพราะเปน ผูมอี าสวะส้ินแลว . บทวา ขเณน ไดแ ก ในทันใดนั่นเอง. บทวา สนนฺ ิปาตยิ แปลวาใหป ระชุมกนั แลว . บดั น้ี เพอ่ื แสดงเหตใุ นการประชุมและในการไปของภกิ ษุเหลา นัน้ทานพระสงั คตี ิกาจารยทงั้ หลายจึงกลา วคาถาเหลานนั้ วา พระผูม พี ระภาคเจา ทรงแสดงปาฏิหาริย ชอ่ื โลกปสาทนะทาํ โลกใหเ ล่อื มใส แมพ วกเรากไ็ ปในท่ี นนั้ เราจกั ถวายบงั คมพระชนิ พทุ ธเจา . มาเถดิ เราท้งั หมดจะพากนั ไป เราจักทูลถาม พระพทุ ธชินเจา พบพระผูนาํ โลกแลว กจ็ กั บรรเทา ความสงสัยเสยี ได. แกอรรถ บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา โลกปปฺ สาทน นาม ความวา ทา นเรยี กปาฏิหาริยวา โลกปสาทนะ เพราะทาํ ความเลื่อมใสแกส ัตวโ ลก. ปาฐะวาอลุ ฺโลกปปฺ สาทน ดังน้ีกม็ .ี ความวา ชือ่ ปาฏหิ าริยว า พระพทุ ธเจา เปด โลก.

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 131ปาฏหิ าริยนั้นทานกลาววา อธิษฐานการทําสัตวแมทัง้ หมด เบื้องบนต้ังแตอกนษิ ฐภพ เบ้อื งตา่ํ ถึงอเวจี ทาํ ใหเ ปน แสงสวา งอนั เดยี วกันในระหวางนใ้ี หเ ห็นซ่ึงกันและกนั ในระหวางน้.ี บทวา นทิ สฺสยิ แปลวา แสดงแลว . บทวา อมฺเหป แปลวา แมเ ราท้งั หลาย. บทวา ตตถฺ ความวา ไปในทีพ่ ระผูม ีพระภาคเจาประทับอย.ู บทวา วนทฺ สิ สฺ าม ความวา พวกเราจกัถวายบังคมพระบาทของพระผูม ีพระภาคเจา ดวยเศยี รเกลา . แตในคาํ วา อมเฺ หปน้พี ึงเหน็ การเช่ือมความแหงศัพท ๒ ศพั ทน้วี า มย ศัพทต น เชอ่ื มความกับกิรยิ าเดนิ ไป มย ศัพทห ลัง เช่อื มความกับกริ ิยาถวายบงั คม. ความจริง ความนอกจากนี้ก็ไมพ น โทษคอื การกลาวซํ้า. บทวา เอถ แปลวา มาเถดิ . ในคาํ วา กงฺข วิโนทยิสฺสาม น้ีผทู ักทวงกลา ววา ข้ึนช่ือวา ความสงสยั แมไ รๆ ของพระขีณาสพท้งั หลายไมม ีเหตไุ ร พระเถระจึงกลาวอยา งน้ี. ตอบวา ขอน้นั เปน ความจริงทเี ดียว ความสงสยั ขาดไปดวยปฐมมรรคเทา น้นั เหมอื นอยางทที่ า นกลาวไววา ทสั สเนนปหาตพั พธรรม (ธรรมทพี่ งึ ประหาณดวยโสดาปต ติมรรค)คอื อะไรบา ง คือจิตตปุ บาททส่ี ัมปยตุ ดว ยทฏิ ฐิ ๔ ดวง จติ ตุปบาททสี่ หรคตดวยวิจกิ ิจฉา ๑ ดวงและ โลภะ โทสะ โมหะ มานะทพ่ี าไปอบาย และกิเลสท้ังหลาย ซ่งึ ตั้งอยฐู านเดยี วกบั จติ เหลา นั้น. แตค วามสงสยั นน้ั ไมใ ช ทีเ่ รยี กวาวจิ ิกจิ ฉา. กอ็ ะไรเลา ชอ่ื วา การไมร ูบัญญตั ิ. แตพ ระเถระประสงคจ ะทูลถามพระผมู พี ระภาคเจา ถงึ พทุ ธวงศ ดวยวา พุทธวงศน้นั เปนวสิ ัยของพระพุทธ-เจา ทั้งหลายเทานน้ั มใิ ชว สิ ัยของพระปจเจกพุทธเจา และพระสาวกท้ังหลายเพราะฉะนัน้ จึงควรทราบวา พระเถระกลา วอยา งน้ี กเ็ พราะพทุ ธวงศมใิ ชวิสยั . บทวา วิโนทยสิ สฺ าม แปลวา จักบรรเทา.






































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook