Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_73

tripitaka_73

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_73

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 286 สงิ่ อื่นซึ่งเปน บนั ไดข้นึ สวรรคท่เี สมอดวยศีลจะมี แตไหน ก็หรอื วา ศลี เปน ประตูเขาไปยังนครคอื พระ- นพิ พาน, ทานทงั้ หลาย จงรอู านิสงสอนั ยอดเย่ียมของศลี ซ่งึ เปนมูลแหง คณุ ทงั้ หลาย กําจดั กาํ ลังแหงโทษทงั้ หลาย ดงั กลา วมาฉะนี้. พระผูมพี ระภาคเจา ครั้นทรงแสดงอานสิ งสแหง ศลี อยา งน้ีแลว เพอ่ืทรงแสดงวา อาศัยศลี นยี้ อมไดสวรรคนี้ จงึ ตรัสสคั คกถาในลาํ ดับตอจากศีลนน้ั ธรรมดาสวรรคนี้ นา ปรารถนา นาใคร นาชอบใจ มแี ตสุขสวนเดยี วเทวดาทัง้ หลายยอ มไดการเลน ในสวรรคน น้ั เปนนิตย ไดส มบตั ทิ ง้ั หลายเปนนิตย เหลาเทวดาชนั้ จาตมุ หาราช ยอ มไดสขุ ทพิ ย สมบตั ิทพิ ยต ลอดเกา ลานป เทวดาชนั้ ดาวดงึ สไ ดสามโกฏิหกลานป ตรัสกถาประกอบดวยคณุ แหงสวรรคดังกลาวมาน้ีเปนตน ครัน้ ทรงประเลา ประโลมดวยสัคคกถาอยา งน้แี ลว กท็ รงประกาศโทษตาํ่ ทราม ความเศรา หมองแหง กามท้งั หลาย และอานิสงสในเนก-ขมั มะวา สวรรคแมน้กี ไ็ มเทีย่ ง ไมย ่ังยนื ไมควรทาํ ความยนิ ดดี ว ยอํานาจความพอใจในสวรรคน นั้ แลว ตรัสธรรมกถาท่จี บลงดว ยอมตธรรม ครัน้ ทรงแสดงธรรมแกมหาชนน้ันอยางน้แี ลว ใหบ างพวกตัง้ อยูในสรณะ บางพวกในศลี ๕ บางพวกในโสดาปตติผล บางพวกในสกทาคามิผล บางพวกในอนา-คามผิ ล บางพวกในผลแมท้ัง ๔ บางพวกในวิชชา ๓ บางพวกในอภญิ ญา ๖บางพวกในสมาบตั ิ ๘ ลกุ จากอาสนะแลว เสดจ็ ออกจากรมั มนคร เขา ไปยังสุทสั สนะมหาวิหารน่ันแล ดวยเหตุน้นั จงึ ตรสั วา

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 287 คร้งั น้ัน อบุ าสกชาวรัมมนครเหลานน้ั ใหพ ระ โลกนาถพรอมทง้ั พระสงฆเสวยแลว ก็ถึงพระทีปง กร ศาสดาพระองคนัน้ เปน สรณะ. พระตถาคตทรงยงั บางคนใหตงั้ อยูในสรณคมน บางคนในศีล ๕ บางคนในศีล ๑๐. พระองคประทานสามญั ผล ๔ อันสงู สุดแกบาง คน ประทานปฏสิ ัมภทิ า ในธรรมทีไ่ มม ีธรรมอ่นื เสมอ แกบ างคน. พระนราสภประทานสมาบัติ ๘ อันประเสรฐิ แก บางคน ทรงประทานวิชชา ๓ อภิญญา ๖ แกบางคน. พระมหามุนี ทรงส่ังสอนหมูชน ดวยนยั นั้น เพราะพระโอวาทนัน้ ศาสนาของพระโลกนาถจึงได แผไปอยางกวา งขวาง. พระพุทธเจา มีพระนามวาทปี ง กร ผมู ีพระหนุ ใหญ มพี ระวรกายงาม ทรงยงั ชนเปนอนั มากใหขา ม โอฆสงสาร ทรงเปลอื้ งมหาชนเสียจากทคุ ติ. พระมหามุนี ทรงเหน็ ชนผคู วรตรัสรไู ดไกลถึง แสนโยชน ก็เสดจ็ เขา ไปหาในทนั ใด ทาํ เขาใหต รัสรู. แกอ รรถ บรรดาบทเหลานั้น บทวา เต ไดแก อบุ าสกชาวรัมมนครเหลานน้ั . พึงทราบสรณะ สรณคมน และผูถ งึ สรณะในคาํ วา สรณ น้ี คณุ ชาตใดระลกึ เบียดเบียนกําจดั เหตนุ ั้นคุณชาตนัน้ จึงชือ่ วา สรณะ. สรณะนัน้ คอื อะไร

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 288คือพระรัตนตรัย ก็พระรตั นตรยั น้นั ทา นกลา ววา สรณะ เพราะ ตัด เบยี ดเบียนกําจัด ภัย ความหวาดกลัว ทกุ ข ทคุ ติ ความเศรา หมอง ดวยสรณคมนนน้ั นนั่ แหละของเหลา ผูถ งึ สรณะ สมจริงดงั ทีต่ รัสไววา ชนเหลาใดเหลา หนงึ่ ถงึ พระพุทธเจา เปนสรณะ ชนเหลานัน้ จกั ไมไปอบายภมู ิ ละกายมนษุ ยไปแลว จกั ยังกายเทพใหบ รบิ รู ณ. ชนเหลาใดเหลาหน่งึ ถงึ พระธรรมเปน สรณะ ชนเหลานัน้ จักไมไ ปอบายภูมิ ละกายมนุษยไปแลว จักยงั กายเทพใหบริบรู ณ. ชนเหลาใดเหลา หน่งึ ถงึ พระสงฆเปนสรณะ ชนเหลา นนั้ จักไมไ ปอบายภมู ิ ละกายมนุษยไปแลว จักยังกายเทพใหบ รบิ รู ณ. จติ ตปุ บาท ทีเ่ ปนไปโดยอาการมพี ระรตั นตรยั เปนเบือ้ งหนา ชื่อวาสรณคมน. บุคคลผพู รอ มเพรียงดวยสรณคมนน้นั ชอ่ื วา ผถู งึ สรณะ. ๓ หมวดน้ี คอื สรณะ สรณคมน ผถู ึงสรณะ พงึ ทราบดังกลา วมานก้ี อน. บทวาตสสฺ ไดแก พระทีปง กรน้ัน. พงึ ทราบวา ฉฏั ฐวี ิภัตตลิ งในอรรถทุติยวภิ ัตติ.ปาฐะวา อปุ คจฺฉุ สรณ ตตถฺ ดังนีก้ ็มี. บทวา สตฺถโุ น ไดแกซ่ึงพระศาสดา. บทวา สรณาคมเน กจฺ ิ ความวา ยงั บุคคลบางคนใหตง้ั อยูในสรณคมน. ตรสั เปน ปจจบุ ันกาลก็จริง ถึงอยางนั้นกพ็ ึงถอื เอาความเปน อดีตกาล แมใ นบทที่เหลือ กน็ ยั น้ี ปาฐะวา กสสฺ จิ สรณาคมเน ดงั นกี้ ม็ ี.แมป าฐะนน้ั ความกอ็ ยา งนั้นเหมือนกนั . บทวา กฺจิ ปฺจสุ สเี ลสุ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 289ความวา ยงั บุคคลบางคนใหต้ังอยูในวริ ตศิ ีล ๕. ปาฐะวา กสสฺ จิ ปจฺ สุสีเลสุ ความกอ็ ยา งนัน้ แหละ. บทวา สเี ล ทสวเิ ธ ปร ความวา ยังบคุ คลอื่นอกี ใหตง้ั อยใู นศลี ๑๐ ขอ. ปาฐะวา กสฺสจิ กสุ เล ทส ดงั นีก้ ็มี ปาฐะนนั้ ความวา ยังบุคคลบางคนใหส มาทานกุศลธรรม ๑๐ โดยปรมัตถมรรคทา นเรยี กวาสามญั ญะ ในคาํ น้วี า กสสฺ จิ เทติ สามฺ เหมือนอยางท่ีตรสั ไววา ดูกอ นภิกษุทั้งหลาย สามญั ญะคืออะไร อริยมรรคมอี งค ๘นี้คือ สมั มาทฏิ ฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ดกู อนภกิ ษุทั้งหลายน้เี รยี กวา สามญั ญะ. บทวา จตุโร ผลมตุ ตฺ เม ความวา ผลสงู สดุ ๔. ม อกั ษรทําบทสนธิ ทานกลา วเปน ลงิ ควปิ ลาส ความวา ไดประทานมรรค ๔ และสามญั ญผล ๔ แกบ างคน ตามอปุ นสิ ยั . บทวา กสสฺ จิ อสเม ธมฺเมความวา ไดป ระทานธรรมคอื ปฏสิ ัมภทิ า ๔ ที่ไมม ธี รรมอืน่ เหมอื น แกบางคน. บทวา กสฺสจี วรสมาปตฺตโิ ย ความวา อนงึ่ ไดประทานสมาบัติ ๘ทีเ่ ปนประธาน เพราะปราศจากนีวรณแกบางคน. บทวา ติสโฺ ส กสฺสจิวิชฺชาโย ความวา วิชชา ๓ คือ ทพิ ยจกั ษญุ าณ ปุพเพนิวาสานสุ สติญาณและอาสวกั ขยญาณ โดยเปนอปุ นสิ ัยแกบุคคลบางคน. บทวา ฉฬภิ ฺ าปเวจฺฉติ ความวา ไดประทานอภญิ ญา ๖ แกบางคน. บทวา เตน โยเคน ไดแก โดยนัยนั้นและโดยลาํ ดบั น้นั . บทวาชนกาย ไดแก ประชุมชน. บทวา โอวทติ แปลวา สั่งสอนแลว พึงเห็นวาทานกลา วเปนกาลวิปลาส ในคําเชน น้ตี อแตน ้ีไป กพ็ งึ ถือความเปนอดตี กาลทัง้ นั้น. บทวา เตน วติ ถฺ ารกิ  อาสิ ความวา เพราะโอวาทคาํ พร่าํ สอนของพระผมู ีพระภาคเจาทปี งกรพระองคน ั้น พระศาสนาก็แผไป แพรไ ปกวา งขวาง.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 290 บทวา มหาหนุ ความวา เลา กนั วา พระมหาบรุ ุษทงั้ หลายมีพระหนุ [คาง] ๒ บริบูรณ มีอาการเสมือนดวงจันทรข น้ึ ๑๒ คา่ํ เหตุน้ันมหา-บุรุษพระองคใ ดมพี ระหนใุ หญ มหาบุรุษพระองคน น้ั ชอ่ื วา มีพระหนใุ หญทานอธบิ ายวา มพี ระหนดุ ังราชสหี . บทวา อุสภกขฺ นโฺ ธ ความวา มหาบรุ ษุ พระองคใ ดมีลําพระศอเหมือนโคอุสภ อธบิ ายวา มลี ําพระศองามเสมอื นแทง ทองกลมเกลา มีลาํ พระศองามกลมเสมอกัน. บทวา ทปี งกฺ รสนามโกไดแก พระนามวา ทีปงกร. บทวา พหู ชเน ตารยติ ความวา ยังชนทีเ่ ปน พุทธเวไนยเปน อนั มากใหขา มโอฆสงสาร. บทวา ปริโมจติ ไดแ กเปลอื้ งแลว. บทวา ทคุ คฺ ตึ แปลวา จากทคุ ติ ทตุ ยิ าวิภัตติ ลงในอรรถปญ จมวี ิภตั ติ. บัดน้ี เพอ่ื แสดงอาการคือทรงทําใหสัตว ขา มโอฆสงสารและเปล้ืองจากทุคติ จงึ ตรัสคาถาวา โพธเนยฺย ชน . ในคาถานนั้ บทวา โพธเนยยฺ ชน ไดแ ก หมูสตั วที่ควรตรัสรู หรือปาฐะกอ็ ยา งนีเ้ หมือนกนั . บทวา ทิสฺวาไดแ ก เหน็ ดว ยพทุ ธจกั ษหุ รอื สมนั ตจักษุ. บทวา สตสหสฺเสป โยชเนไดแก ซง่ึ อยไู กลหลายแสนโยชน. กค็ ําน้ี พงึ ทราบวา ทา นกลา วหมายถึงหมนื่โลกธาตนุ ่นั เอง. ไดย ินวา พระศาสดาทีปง กรทรงบรรลคุ วามเปนพระพทุ ธเจาแลวทรงยับย้งั อยู ๗ สปั ดาห ณ โคนโพธิพฤกษ ในสปั ดาหที่ ๘ กท็ รงประกาศพระธรรมจักร ณ สนุ นั ทาราม ตามปฏญิ ญาทที่ รงรบั อาราธนาแสดงธรรมของทาวมหาพรหม ทรงยงั เทวดาและมนษุ ยรอ ยโกฏิใหด ม่ื อมฤตธรรม นเี้ ปนอภิสมัย คือการตรสั รูธ รรมคร้ังแรก.

พระสตุ ตันตปฎก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 291 ตอ มา พระศาสดาทรงทราบวา พระโอรส ผมู ลี าํ พระองคก ลมเสมอกนั พระนามวา อสุ ภักขันธะ มีญาณแกกลาจึงทรงทําพระโอรสน้นั ใหเปนหัวหนาทรงแสดงธรรมเชนเดยี วกับราหโุ ลวาทสตู ร ทรงยังเทวดาและมนษุ ยถงึ เกา สบิโกฏใิ หด มื่ อมฤตธรรม นเ้ี ปนอภสิ มัย คือการตรัสรธู รรมคร้ังทส่ี อง. ตอ มา พระศาสดาทรงทาํ ยมกปาฏิหาริย ณ โคนตนซกึ ใหญใกลประตูพระนครอมรวดี ทรงทาํ การเปล้ืองมหาชนจากเครอื่ งผูกพัน อนั หมเู ทพหอ มลอ มแลว ประทบั นั่งเหนือพ้นื บัณฑกุ มั พลศลิ า ซง่ึ เย็นอยางยง่ิ ใกลโคนตนปาริฉัตตกะ ในภพดาวดึงส อนั เปน ภพแผซ า นแหงความโชติชว งเหลือเกนิ ดังดวงอาทิตย ทรงทําพระนางสเุ มธาเทวพี ระชนนีของพระองค ผูใ หเ กดิ ปตแิ กหมูเทพทั้งปวงเปนหัวหนา ทรงเปน วิสทุ ธิเทพท่ีทรงรูโลกท้ังปวง เปน เทพยงิ่ กวาเทพ ทรงทาํ ดวงประทีป ทรงจําแนกธรรม ทรงแสดงพระอภิธรรมปฏก๗ ปกรณ อนั ทาํ ความบรสิ ุทธแิ์ หง ความรู อันสขุ ุมลุมลกึ อยา งยงิ่ กระทาํประโยชนเ กอ้ื กูลแกส ัตวท ้ังปวง ยังเทวดาเกาหมนื่ โกฏิใหด มื่ อมฤตธรรม น้ีเปน อภสิ มยั คอื การตรสั รธู รรมครั้งทส่ี าม ดวยเหตุนั้น จงึ ตรสั วา ในอภิสมยั ครัง้ แรก พระพทุ ธเจา ทรงยังเทวดา และมนษุ ยใ หตรสั รรู อยโกฏิ ในอภสิ มัยครั้งที่สอง พระ โลกนาถทรงยงั เทวดาและมนษุ ยใ หต รัสรูเกา สิบโกฏิ. ในสมยั ใด พระพุทธเจา ทรงแสดงธรรมในภพ เทวดา แกเ ทวดาเกา หมนื่ โกฏิ สมยั นั้นเปน อภสิ มัย ครั้งทีส่ าม. การประชุมสาวกของพระผูมพี ระภาคเจาทีปง กรมี ๓ คร้ัง ใน ๓ครั้งนนั้ ครง้ั แรกประชมุ เทวดาและมนษุ ยแ สนโกฏิ ณ สนุ นั ทาราม ดว ยเหตุนั้นจึงตรสั วา

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 292 สาวกสันนิบาตของพระทีปง กรศาสดามี ๓ ครั้ง ครั้งที่หนึ่งประชมุ สัตวแ สนโกฏ.ิ สมยั ตอ ๆ มา พระทศพล อันภกิ ษุส่ีแสนรปู แวดลอม ทรงทาํการอนุเคราะหม หาชน ตามลาํ ดบั ตามนิคมและนคร เสด็จจารกิ มาโดยลําดบั ก็ลุถงึ ภเู ขาลูกที่นา รน่ื รมยอ ยา งยงิ่ ช่อื นารทกฏู มยี อดสูงจรดเมฆมียอดอบอวลดว ยไมตนไมด อกสงกล่ินหอมนานาชนิด มียอดที่ฝูงมฤคนานาพนั ธุทองเทย่ี วกนั อันอมนษุ ยห วงแหน นา กลัวอยา งยงิ่ เล่ืองลือไปในโลกทั้งปวง ทีม่ หาชนเชนสกั การะในประเทศแหงหนง่ึ เขาวาภูเขาลกู นน้ั ยักษมีชอ่ื นารทะหวงแหน ณ ท่ีนนั้ มหาชนนาํ มนุษยมาทําพลสี งั เวยแกย กั ษต นนั้นทกุ ๆ ป. ไดยินวา ครัง้ นัน้ พระผูมพี ระภาคเจา ทีปงกรทรงเหน็ อปุ นสิ ัยสมบตั ิของมหาชน แตนัน้ ก็ทรงสง ภกิ ษุไปสท่ี ิศ ไมมีเพอ่ื น ไมม ีสหาย มพี ระหฤทยัอันมหากรุณามีกําลังเขากาํ กับแลว เสด็จขนึ้ ภเู ขานารทะลูกนัน้ เพื่อทรงแนะนํายักษต นน้ัน. ลําดับน้นั ยักษท ม่ี มี นุษยเปน ภกั ษา ไมเ ล็งประโยชนเ กอื้ กูลแกตน ขยันแตฆาผูอ่ืนตนนน้ั ทนการลบหลไู มได มใี จอันความโกรธครอบงําแลว ประสงคจะใหพ ระทศพลกลัวแลวหนไี ปเสีย จึงเขยาภเู ขาลกู นั้น เลากนั วา ภูเขาลกู นัน้ ถกู ยักษตนนั้นเขยา กม็ ีอาการเหมอื นจะหลนทับบนกระ-หมอมยกั ษต นนน้ั น่ันแหละ เพราะอานภุ าพของพระผูมพี ระภาคเจา . แตนน้ั ยกั ษค นนน้ั กก็ ลวั คดิ วา เอาเถดิ เราจะใชไ ฟเผาสมณะน้ันแลว ก็บนั ดาลกองไฟทีด่ นู ากลวั ยิง่ กองใหญ ไฟกองนั้นกลบั ทวนลมกอทกุ ขแกตนเอง แตไมส ามารถจะไหมแ มเ พียงชายจีวรของพระผูมพี ระภาคเจา ไดฝา ยยักษต รวจดูวา ไฟไหมส มณะหรอื ไมไหม ก็เห็นพระผมู พี ระภาคเจา

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 293ทศพล เหมือนประทับน่ังเหนอื กลบี บัว ที่อยบู นผวิ นํา้ เยน็ ดจุ ดวงจนั ทร สองแสงนวลในฤดูสารททําความยนิ ดีแกชนทัง้ ปวง จงึ คิดไดว า โอ ! พระสมณะทานนมี้ ีอานภุ าพมาก เราทําความพินาศใด ๆ แกพ ระสมณะทา นน้ี ความพนิ าศน้นั ๆ กลบั ตกลงเหนอื เราผเู ดยี ว แตปลอ ยพระสมณะทา นนีไ้ ปเสยี เรากไ็ มม ีทพ่ี ่ึงทีช่ ักนาํ อยางอื่น คนทั้งหลายท่ีพล้งั พลาดบนแผน ดนิ ยังตอ งยนั แผน ดินเทานัน้ จงึ ลกุ ข้ึนได เอาเถิด จําเราจักถึงพระสมณะทา นน้ีแหละเปนสรณะ. ดงั นั้น ยักษต นนนั้ คร้ันคดิ อยา งนี้แลว จงึ หมอบศีรษะลงแทบเบือ้ งยคุ ลบาท ทฝ่ี า พระบาทประดับดว ยจกั รของพระผมู ีพระภาคเจา กราบทลู วาขา แตพระองคผูเ จรญิ ขา พระองคส ํานกึ ผิดในความลวงเกนิ ขอลุกะโทษพระ-เจา ขา แลว ไดถ งึ พระผูมพี ระภาคเจา เปนสรณะ. ลําดบั น้ัน พระผูม ีพระภาคเจากต็ รัสอนุบพุ พิกถาโปรดยกั ษต นนั้น จบเทศนา ยักษต นนน้ั กต็ ัง้ อยใู นโสดา-ปตตผิ ล พรอมดว ยยกั ษหนงึ่ หม่นื . ไดยนิ วาในวนั นั้น มนษุ ยส ิน้ ทง้ั ชมพทู วีปทาํ บุรุษแตล ะหมบู านๆ ละคนมาเพอ่ื พลสี งั เวยยกั ษต นนั้น และนําสิง่ อ่นื ๆ มีงา ขาวสาร ถัว่ พู ถวั่ เขียว และถ่วั เหลืองเปนตน เปนอนั มาก และมีเนยใสเนยขน นาํ้ มนั นํา้ ผง้ึ และนาํ้ ออย เปน ตน . ขณะนนั้ ยักษตนน้นั กใ็ หข องท้ังหมดทีน่ าํ มาวันนั้นคนื แกช นเหลาน้ัน แลว มอบมนษุ ยท ี่เขานาํ มาเพอ่ื พลสี งั เวยเหลาน้นั ถวายพระทศพล. ครั้งนนั้ พระศาสดาทรงใหม นษุ ยเ หลา น้นั บวชดวยเอหภิ กิ ษุอุป-สมั ปทา ภายใน ๗ วนั เทา นน้ั กท็ รงใหเ ขาตัง้ อยใู นพระอรหตั ทง้ั หมด ประทับทามกลางภิกษุรอยโกฏิ ทรงยกโอวาทปาติโมกขขึน้ แสดงในทีป่ ระชุมอันประ-กอบดว ยองค ๔ วันเพ็ญมาฆบูรณมี องค ๔ เหลานัน้ คือ ทกุ รปู เปน เอห-ิ

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 294ภิกขุ, ทกุ รปู ไดอภิญญา ๖, ทกุ รูปมิไดนัดหมายกัน มาเอง, และเปนวันอโุ บสถข้นึ ๑๕ คาํ่ ชือ่ วา มีองค ๔. น้เี ปนสนั นบิ าต การประชุมครัง้ ที่ ๒. ดวยเหตุนัน้ จึงตรัสวา เม่ือพระชนิ เจา ประทับสงดั ณ ภเู ขานารทกูฏ อีก ภิกษรุ อยโกฏิเปนพระขีณาสพ ปราศจากมลทนิ ก็ประชุมกนั . แกอรรถ บรรดาบทเหลา น้นั บทวา ปวเิ วกคเต ไดแก ละหมไู ป. บทวาสมึสุ แปลวา ประชมุ กันแลว. กค็ รัง้ ใด พระทีปง กรผนู ําโลก เสดจ็ จําพรรษา ณ ภเู ขาช่ือสทุ ัสสนะไดย นิ วา คร้ังน้นั มนษุ ยชาวชมพทู วปี จดั งานมหรสพกัน ณ ยอดเขา ทกุ ๆ ปเลากนั วา มนษุ ยที่ประชมุ ในงานมหรสพนั้น พบพระทศพลแลวก็ฟง ธรรม-กถา เล่ือมใสในธรรมกถานั้น ก็พากนั บวช ในวนั มหาปวารณา พระศาสดาตรัสวิปสสนากถา ทีอ่ นกุ ลู แกอ ธั ยาศัยของภกิ ษเุ หลา นั้น ภกิ ษเุ หลา นั้นฟง วิปส -สนากถานน้ั แลว พิจารณาสงั ขารแลว บรรลพุ ระอรหตั โดยลาํ ดบั วิปส สนาและโดยลําดับมรรคทุกรูป. ครัง้ นั้น พระศาสดาทรงปวารณาพรอมดว ยภกิ ษุเกาหมืน่ โกฏ.ิ นีเ้ ปนการประชุม คร้งั ท่ี ๓. ดวยเหตุนั้น จงึ ตรัสวา สมยั ใด พระมหาวีระผเู ปน มหามนุ ี ทรงปวารณา พรอ มดวยภกิ ษเุ กา หมื่นโกฏิ ณ ภูเขาสทุ สั สนะ. สมัยนนั้ เราเปนชฎลิ มตี บะสูง ถงึ ฝง ใน อภิญญา ๕ จารกิ ไปในอากาศ.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 295 คาถาน้ี ทา นเขียนไวใ นทปี ง กรพุทธวงศ กถาพรรณานทิ านของอรรถกถาธรรมสังคหะชือ่ อัฏฐสาลนิ ี แตใ นพทุ ธวงศน ้ีไมมี ก็การทีค่ าถาน้นั ไมมีน่นั แหละเหมาะกวา ถา ถามวา เพราะเหตุไร กต็ อบไดว า เพราะกลา วมาแลวในสเุ มธกถาแตหนหลัง. ไดย ินวา เม่ือพระผูมพี ระภาคเจา ทีปง กรทรงแสดงธรรม ธรรมาภ-ิสมยั การตรัสรูธรรมก็ไดมีแกส ัตวห นงึ่ หมน่ื และสองหม่นื แตที่สุดแหงการตรสั รูมิไดม โี ดยจํานวนหนึง่ คน สองคน สาม และสค่ี นเปน ตน เพราะฉะนั้นศาสนาของพระผูมีพระภาคเจาทีปง กร จึงแผไ ปกวางขวาง มีคนรูกันมากดว ยเหตนุ ้ัน จงึ ตรสั วา ธรรมาภสิ มัย ไดมเี เกส ตั วห นง่ึ หม่ืน สองหม่นื ไมนบั การตรสั รขู องสตั ว โดยจํานวนหนงึ่ คน สองคน. แกอ รรถ บรรดาบทเหลานัน้ บทวา ทสวสี สหสฺสาน ไดแ ก หนึง่ หม่นื และสองหมนื่ . บทวา ธมฺมาภิสมโย ไดแก แทงตลอดธรรม คอื สัจจะ ๔. บทวาเอกทวฺ นิ ฺน ความวา ไมน บั โดยนยั เปนตนวา หนึง่ คนและสองคน สามคนสี่คน ฯลฯ สิบคน. ศาสนาชือ่ วา แผไปกวางขวาง ถึงความเปนจาํ นวนมากเพราะการตรัสรนู ับไมถ วนอยางน้ี อนั เทวดาและมนุษยผ เู ปน บัณฑติ เปนอันมากรู พึงรูว าเปน นิยยานิกธรรม อนั เปน ความสาํ เร็จแลวดว ยอธิศีลสกิ ขาเปนตนและเจริญแลวดวยสมาธเิ ปนตน ดว ยเหตนุ น้ั จงึ ตรัสวา ศาสนาของพระผมู พี ระภาคเจาทปี งกร อนั พระ- องคทรงชาํ ระบรสิ ทุ ธ์ดิ ีแลว แผไปกวา งขวาง คนเปน อนั มากรูกัน สาํ เรจ็ แลว เจรญิ แลวในคร้ังนนั้ .

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 296 แกอ รรถ บรรดาบทเหลา น้นั บทวา สุวิโสธติ  ไดแก อนั พระผูม พี ระภาคเจา ทรงชําระแลว ทาํ ใหห มดจดดวยดี ไดยนิ วา ภิกษุผูมีอภิญญา ๖ มีฤทธิ์มาก สแี่ สนรปู แวดลอมพระทีปง กรศาสดาอยทู ุกเวลา อธิบายวา สมัยนั้นภิกษเุ หลาใดเปนเสกขะ ทาํ กาลกริ ยิ า [มรณภาพ] ภิกษเุ หลา นน้ั ยอมถูกครหาภกิ ษทุ งั้ หมดจึงเปน พระขณี าสพ ปรนิ ิพพาน เพราะฉะนัน้ แล ศาสนาของพระผมู ีพระภาคเจาพระองคนน้ั จงึ บานเตม็ ท่ี สําเร็จดวยดี งดงามเหลือเกินดว ยภกิ ษขุ ีณาสพทง้ั หลาย ดว ยเหตุนั้น จึงตรัสวา ภิกษุส่แี สนรูป มีอภิญญา ๖ มฤี ทธมิ์ ากยอม แวดลอ ม พระทศพลทีปง กร ผูรูแจงโลกทกุ เมือ่ . สมยั นน้ั ภกิ ษุเหลาใดเหลา หนึ่ง เปน เสขะยงั ไม บรรลุพระอรหัต ละภพมนุษยไ ป ภกิ ษเุ หลา นั้นยอ ม ถูกครหา. ปาพจนค อื พระศาสนา อันพระอรหนั ตผ ูค งท่ี เปนขีณาสพ ไรมลทิน ทาํ ใหบานเตม็ ที่แลว ยอ ม งดงามทกุ เม่ือ. แกอ รรถ บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา จตตฺ าริ สตสหสฺสานิ พึงถือความอยา งนว้ี า ทา นกลา ววา ฉฬภิฺ า มหิทธฺ กิ า ดังนก้ี เ็ พอ่ื แสดงวา ภิกษุเหลานี้ ท่ีทา นแสดงดว ยการนบั แลว มีจํานวนท่แี สดงไดอยางน้ี. อกี นัยหนึ่งคาํ วา ฉฬภิฺา มหทิ ธฺ กิ า พงึ ทราบวาเปน ปฐมาวิภตั ติ ลงในอรรถฉัฏฐวี ภิ ตั ติวา ฉฬภิฺาน มหิทธฺ กิ าน . บทวา ปรวิ าเรนตฺ ิ สพฺพทา

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 297ไดแ ก แวดลอ มพระทศพลตลอดกาลเปน นิตย อธบิ ายวา ไมล ะพระผมู ีพระ-ภาคเจา ไปเสียในท่ไี หน ๆ. บทวา เตน สมเยน แปลวา ในสมัยนัน้ ก็สมยศพั ทน ี้ ใชกนั ในอรรถ ๙ อรรถ มีอรรถวา สมวายะ เปนตน เหมอื นอยา งท่ที า นกลาวไววา สมยศัพท ใชใ นอรรถวา สมวายะ ขณะ กาล สมหู ะ เหตุ ทิฏฐิ ปฏิลาภะ ปหานะ และปฏเิ วธะ.แตใ นที่นี้ สมยศพั ทน้นั พงึ เห็นวาใชในอรรถวา กาล ความวา ในกาลนัน้ .บทวา มานุส ภว ไดแก ภาวะมนษุ ย. บทวา อปฺปตตฺ มานสา ความวา พระอรหตั อนั พระเสขะเหลา ใด ยังไมถ ึงแลวไมบ รรลุแลว. คําวา มานส เปนช่อืของราคะ ของจิต และของพระอรหัต. ก็ราคะทานเรียกวา มานสะ ไดใ นบาลนี ีว้ าอนฺตลิกขฺ จโร ปาโส ยฺวาย จรติ มานโส ราคะนนั้ ใด เปนบว ง เทยี่ วอยกู ลางหาว ยอมเทยี่ วไป. จติ ทานก็เรยี กวา มานสะ ไดใ นบาลีน้ีวา จติ ตฺ มโน มานส หทย ปณฑฺ ร แปลวา จิต ท้ังหมด. พระอรหัต ทานเรียกวามานสะ ไดในบาลนี ้วี า อปปฺ ตตฺ มานโส เสโข กาล กยริ า ชเนสตุพระเสขะมพี ระอรหัตอนั ยงั ไมบรรลุแลวจะพงึ ทาํ กาละเสยี พระชเนสุตะเจา ขา .แมใ นทน่ี ้ีกป็ ระสงคเอาพระอรหัต เพราะฉะนนั้ จงึ มคี วามวา ผูมีพระอรหตั -ผลอนั ยังไมบ รรลุแลว . บทวา เสขา ไดแ ก ชอื่ วาเสขะ เพราะอรรถวาอะไร.ช่อื วาเสขะ เพราะอรรถวาไดเสขธรรม. สมจริงดังทตี่ รสั ไววา ภิกษุทูลถามวาขา แตพระองคผ เู จรญิ ภกิ ษุเปน เสขะดว ยเหตเุ พยี งเทา ไร พระเจา ขา . ตรัสตอบวา ดกู อนภกิ ษุ ภกิ ษุในธรรมวนิ ัยนี้ ประกอบดว ยสมั มาทิฏฐิท่เี ปน เสขะฯลฯ ประกอบดวยสัมมาสมาธทิ ่เี ปนเสขะ ภกิ ษุเปน เสขะ ดว ยเหตุเพียงเทา นี.้อีกอยางหน่ึง ภกิ ษุทัง้ หลายยังศกึ ษาอยู เหตุนั้นจงึ ชอ่ื วาเสขะ. สมจริงดงั

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 298ทต่ี รัสไวว า ดกู อ นภกิ ษุ ภิกษยุ งั ศกึ ษาอยู ภกิ ษุยังศึกษาอยู ดงั น้แี ล เพราะฉะนั้น จึงเรยี กวาเสขะ ภกิ ษศุ กึ ษาอะไรเลา ภิกษศุ ึกษาอธศิ ลี บา ง ศกึ ษาอธจิ ิตบา ง ศกึ ษาอธปิ ญญาบาง ดังนี้แล ภกิ ษุ เพราะฉะนัน้ จงึ เรยี กวาเสขะ. บทวา สปุ ุปผฺ ติ  ไดแก แยมดวยดีแลว . บทวา ปาวจน ไดแ กคาํ อันบณั ฑติ สรรเสริญแลว หรอื คําท่ีถงึ ความเจรญิ แลว ชอ่ื วา ปาวจนะ. คาํเปนประธานนน้ั แล ชอื่ วา ปาวจนะ อธิบายวา พระศาสนา. บทวาอปุ โสภติ ไดแ ก เรอื่ งรองย่ิง รงุ โรจนยงิ่ . บทวา สพพฺ ทา ไดแ ก ทกุกาล. ปาฐะวา อปุ โสภติ สเทวเก ดงั นก้ี ็มี. พระผมู พี ระภาคเจา ทีปงกรพระองคน น้ั ทรงมพี ระนคร ชื่อวารัมมวดีมพี ระชนกเปนกษัตริย พระนามวาพระเจา สเุ ทวะ พระชนนเี ปนพระเทวพี ระ-นามวา พระนางสุเมธา มพี ระอคั รสาวกคู ชอ่ื สุมังคละ และ ติสสะ มพี ระอปุ ฏ ฐากชือ่ สาคตะ มพี ระอคั รสาวกิ าคู ช่ือนนั ทา และสุนนั ทา ตนไมเปน ที่ตรัสรขู องพระผมู ีพระภาคเจา พระองคน ้นั คอื ตน เลยี บ. พระองคสูง ๘๐ ศอกพระชนมายแุ สนป. ถา จะถามวา ในการแสดงนครเกดิ เปน ตนเหลา นี้มีประโยชนอะไร. ขอชี้แจงดงั น้ี ผิวาพระพทุ ธเจาพระองคใด ไมพงึ ปรากฏพระนครเกดิ ไมพงึ ปรา-กฏพระชนก ไมพ งึ ปรากฏพระชนนไี ซร พระพทุ ธเจา พระองคน ี้ กย็ อมไมปรากฏพระนครเกิด พระชนก พระชนน.ี ชนทง้ั หลาย เมื่อสําคญั วา ผนู ้ีเห็นจะเปนเทพ สักกะ ยักษ มาร หรือพรหม ปาฏหิ าริยเ ชน น้แี มข องเทวดาทั้งหลายไมอศั จรรย ก็จะไมพงึ สําคัญพระดาํ รัสวาควรฟง ควรเช่ือถอื แตน ัน้ การตรัสรูก ไ็ มม ี ความเกิดขนึ้ แหงพระพุทธเจาก็ไรป ระโยชน พระศาสนาก็จะไมน ําสัตวออกจากทุกข เพราะฉะนัน้ จงึ ควรแสดงปริจเฉทขนั้ ตอน มีนครเกิดเปน ตน ของพระพุทธเจา ทุกพระองค ดว ยเหตุนน้ั จงึ ตรสั วา

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 299 พระทปี ง กรศาสดา ทรงมีพระนครชอื่ วารัมมวดีพระชนกพระนามพระเจา สเุ ทวะ พระชนนีพระนามพระนางสเุ มธา. พระพิชติ มารทรงครอบครองอาคารสถานอยูหมนื่ ป ทรงมีปราสาทอันอดุ ม ๓ หลัง ชอ่ื วา หงั สาปราสาท โกญจาปราสาท และมยรุ าปราสาท. มสี นมนารี ๓ แสนนาง ลวนประดับประดาสวยงาม พระมเหสีพระนามวา ปทมุ า พระโอรสพระนามวา อสุ ภกั ขันธกุมาร. พระชนิ เจาทรงเห็นนมิ ิต ๔ ประการแลว ออกผนวชดวยคชยานคือ พระยาขา งตน ทรงบําเพ็ญเพยี รอยู ๑๐ เดอื นเตม็ . ครน้ั ทรงบาํ เพญ็ เพยี รแลว ก็ไดต รสั รพู ระสัม-โพธญิ าณ พระมหามนุ ที ีปง กร มหาวรี เจาอนั พรหมทลู อาราธนาแลว ทรงประกาศพระธรรมจักร ประทับอยทู น่ี นั ทาราม ประทับน่ังทีค่ วงไมซ ึก ทรงปราบปรามเดยี รถีย. พระทปี งกรศาสดา ทรงมีพระอัครสาวก ชอื่ วาสุมังคละ และติสสะ มีพทุ ธอปุ ฏฐาก ช่ือวา สาคตะ. พระอัครสาวิกา ชือ่ วา นนั ทาและสุนันทา ตน ไมตรัสรู ของพระผมู ีพระภาคเจา พระองคน ้นั เรียกกันวาตน เลียบ.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 300 พระทปี ง กรมหามนุ ี สูง ๘๐ ศอก สงา งาม เหมือนตนไมประจําทวีป เหมอื นตน พระยาสาละออก ดอกบานเตม็ ตน. พระผแู สวงคณุ ยง่ิ ใหญพระองคน นั้ มีพระชน- มายุแสนป พระองคพระชนมยืนถงึ เพยี งนั้น จงึ ทรง ยงั หมชู นเปน อันมากใหข า มโอฆสงสารแลว ก็เสดจ็ ดบั ขันธป รนิ ิพพาน ทง้ั พระสาวก เหมือนกองไฟลกุ โพลงแลวก็ดบั ไป. พระวรฤทธดิ์ วย พระยศดวย จกั รรัตนะท่ีพระ ยคุ ลบาทดว ย ทั้งน้ันกอ็ นั ตรธานไปส้นิ สงั ขารทุกอยา ง ก็วา งเปลา แนแท. พระทีปง กรชินศาสดา เสด็จนิพพาน ณ นันทา- ราม พระสถูปของพระชินเจา พระองคนั้น ทนี่ นั ทาราม สูง ๓๖ โยชน. พระสถปู บรรจุบาตร จวี ร บรขิ ารและเครื่อง บริโภคของพระศาสดาประดิษฐานอยทู โี่ คนโพธพิ ฤกษ ในกาลนนั้ สูง ๓ โยชน. แกอรรถ บรรดาบทเหลานน้ั บทวา สเุ ทโว นาม ขตฺติโย ความวา พระ-องคม ีพระชนกพระนามวา พระเจาสุเทวะ. บทวา ชนิกา ไดแ ก พระชนนี.บทวา ปปผฺ ลิ ไดแ ก ตนเลียบหรอื ตนมะกอกเปน ตน ไมเ ปนท่ตี รัสรู. บทวาอสีติหตฺถมุพเฺ พโธ แปลวาพระองคสงู ๘๐ ศอก. บทวา ทปี รุกโฺ ขว ความวา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook