Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_73

tripitaka_73

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:44

Description: tripitaka_73

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 571ฯ เป ฯ ตณหฺ าน ขยมชฌฺ คา ทรงเห็นพระราชโอรสกรุงยสวดสี องพระองคพระนามวา พรหมเทวะ และ อทุ ยะ พรอมดว ยบรวิ าร ถงึ พรอมดว ยอุปนสิ ัยสมบัติเสด็จไปทางอากาศ เสด็จลงทย่ี สวดีมคิ ทายวนั โปรดใหพ นกั งานเฝา พระราชอุทยานเชิญพระราชโอรสมาแลว ทรงยังหม่ืนโลกธาตุใหเ ขาใจดวยพระสรุ เสยี งดงั พรหมไมพ ราไพเราะซาบซึง้ ประกาศพระธรรมจักรแกพระราชโอรสทัง้ สองพระองคน ้นั กบั ท้งั บริวาร คร้งั นนั้ ธรรมาภิสมยั ครัง้ ท่ี ๑ไดม ีแกสัตวรอยโกฏ.ิ ดว ยเหตุน้นั จึงตรสั วา ตอจากสมยั ของพระสทิ ธตั ถพุทธเจา พระพุทธเจา พระนามวา ติสสะ ผไู มมีผเู สมอ ไมมีผูเ ทียบ มีพระ- เดชไมม ีทีส่ ดุ มีพระบรวิ ารยศหาประมาณมิได เปน ผูนําเลศิ แหง โลก. พระมหาวีระผูประกอบดวยความเอน็ ดู ผูม ีจักษุ ทรงกาํ จัดอนธการคือความมดื ยังโลกทง้ั เทวโลกให สวาง ทรงอุบัติขนึ้ แลวในโลก. พระวรฤทธ์ขิ องพระองค กช็ ่ังไมไ ด ศีลและ สมาธิกช็ ่งั ไมได ทรงบรรลุพระบารมใี นธรรมท้งั ปวง ทรงใหพระธรรมจักรเปน ไปแลว . พระพุทธเจาพระองคน ั้น ทรงประกาศพระวาจา อันสะอาด ใหสัตวร อยโกฏใิ นหม่ืนโลกธาตตุ รสั รูธ รรม ในการแสดงธรรมคร้ังท่ี ๑. แกอรรถ บรรดาบทเหลาน้นั บทวา สพพฺ ตถฺ ความวา ถงึ ฝงในธรรมทัง้ปวง. บทวา ทสสหสฺสมิ ฺหิ ก็คอื ทสสหสสฺ ยิ  ในหมน่ื โลกธาต.ุ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 572 ภายหลังสมัยตอ มา ในสมยั ทพี่ ระมหาบุรษุ ทรงละการอยูเปนหมูแลวเสด็จเขา ไปยังโคนโพธิพฤกษ ภิกษทุ บ่ี วชกบั พระตสิ สศาสดาจํานวนโกฏหิ นง่ึก็แยกไปเสียท่ีอื่นแลว คร้ันภิกษุโกฏหิ นึ่งน้นั ทราบขาววา พระติสสสัมมาสมั -พุทธเจาทรงประกาศพระธรรมจักร ก็พากนั มาท่ยี สวดมี คิ ทายวนั ถวายบงั คมพระทศพลแลว ก็นงั่ ลอ มพระองค พระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงธรรมโปรดภิกษุเหลาน้นั ครั้งนน้ั อภสิ มัยครง้ั ท่ี ๒ ไดม แี กส ัตวเ กา สิบโกฏิ. ตอมาอีกในมหามงคลสมาคม ในเม่อื จบมงคล อภิสมัยครั้งที่ ๓ กไ็ ดม ีแกสัตวหกสบิ โกฏ.ิดว ยเหตนุ ัน้ จงึ ตรสั วา อภสิ มัยครงั้ ที่ ๒ การตรัสรูธ รรม ไดมแี กส ัตว เกา สบิ โกฏิ อภสิ มยั ครัง้ ที่ ๓ การตรสั รูธ รรมไดม ีแก สัตวห กสบิ โกฏิ ในครง้ั นั้น พระติสสพุทธเจา ทรง เปล้อื งสัตวคือมนษุ ยแ ละเทวดาท้ังหลายจากเครือ่ งผกู . แกอรรถ บรรดาบทเหลานนั้ บทวา ทุตโิ ย นวตุ โิ กฏนิ  ความวา อภิสมัยครงั้ ท่ี ๒ ไดมแี กสตั วเกาสบิ โกฏิ. บทวา พนฺธนาโต กค็ ือ พนฺธนโตแปลวา จากเคร่ืองผกู ความวา ทรงเปล้ืองจากสังโยชน ๑๐. บดั น้ี เม่ือจะทรงแสดงถึงสตั วที่ทรงเปล้อื ง โดยสรปุ จึงตรสั วา นรมร.ู บทวา นรมรูกค็ ือ นรามเร ไดแ ก มนษุ ยและเทวดา. ไดยินวา พระตสิ สพุทธเจา อันพระอรหันตทบี่ วชภายในพรรษา ในยสวดีนครแวดลอมแลว ทรงปวารณาพรรษาแลว นั้น เปน สนั นบิ าตครั้งที่ ๑. เมื่อพระโลกนาถพระผูมพี ระภาคเจาเสด็จถึง นาริวาหนนคร นาริ-วาหนกมุ าร โอรสของ พระเจา สชุ าตะ ผูเกดิ ดที งั้ สองฝา ย พรอมดว ย

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 573บรวิ าร เสดจ็ ออกไปรบั เสด็จ นมิ นตพ ระทศพลพรอ มท้งั ภิกษุสงฆ ถวายอสทิสทาน ๗ วนั จึงมอบราชสมบัตขิ องพระองคแ กพระโอรส พรอ มดว ยบรวิ ารก็ทรงผนวชดว ยเอหิภิกขบุ รรพชา ในสาํ นกั ของพระติสสสมั มาสัมพทุ ธ-เจาผูเ ปน ใหญแหงโลกท้งั ปวง. นยั วา การบรรพชาของพระองคป รากฏโดง ดังไปทกุ ทิศ. เพราะฉะนน้ั มหาชนมาจากทิศนนั้ ๆ บวชตามเสดจ็ พระนารวิ าหน-กมุ าร ครง้ั น้ัน พระตถาคตเสด็จไปทา มกลางภิกษุเกา ลาน ทรงยกปาติ-โมกขขน้ึ แสดง น้ันเปน สนั นิบาตครั้งท่ี ๒. ตอมาอกี ชนแปดลา นฟง ธรรมกถาเรือ่ งพทุ ธวงศ ในสมาคมพระญาติ กรงุ เขมวดี ก็พากันบวชในสาํ นักของพระองคแ ลว บรรลพุ ระอรหตั . พระสคุ ตเจา อนั ภกิ ษุเหลาน้ันแวดลอ มแลว ทรงยกปาตโิ มกขข ึน้ แสดง น้นั เปน สนั นิบาตครัง้ ท่ี ๓. ดวยเหตุนน้ัจึงตรสั วา พระตสิ สพุทธเจา ผูแสวงคณุ ยิ่งใหญ ทรงมี สนั นบิ าตประชุมพระสาวกขณี าสพ ผไู รม ลทิน มีจติ สงบ คงที่ ๓ ครั้ง. การประชุมพระสาวกขณี าสพแสนหน่ึง เปน สนั นิบาตครง้ั ท่ี ๑ ประชุมพระสาวกขณี าสพเกาลา น เปนสนั นบิ าตครง้ั ที่ ๒. ประชมุ พระสาวกขณี าสพ ผูไรม ลทนิ ผูบ าน แลวดวยวมิ ตุ ติแปดลาน เปนสนั นบิ าตครั้งที่ ๓. สมัยน้ัน พระโพธิสัตวของเรา เปนพระราชาพระนามวา สุชาตะกรุงยสวดี ทรงสละราชอาณาจักรทีม่ น่ั คงรุงเรือง กองทรัพยหลายโกฏิ และคนใกลชิดท่ีมีใจจงรกั ภักดี สังเวชใจในทุกขม ชี าตทิ ุกขเปนตน จึงออกผนวชเปน

พระสตุ ตนั ตปฎก ขทุ ทกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 574ดาบส มฤี ทธานภุ าพมาก สดบั ขา ววา พระพุทธเจา อุบัตขิ ้ึนแลวในโลก ก็มีพระวรกายอนั ปติ ๕ อยางถูกตองแลว มีความยาํ เกรง ก็เขา เฝา พระผูมพี ระภาคเจาติสสะถวายบังคมแลวดาํ ริวา จาํ เราจกั บูชาพระผูมพี ระภาคเจาดว ยดอกไมทิพย มดี อกมณฑารพ ดอกปาริฉัตตกะ เปนตน ครัน้ ดาํ รอิ ยา งน้นั แลว ก็ไปโลกสวรรคดวยฤทธ์ิ เขาไปยงั สวนจิตรลดา บรรจุผอบ ทีส่ าํ เรจ็ ดวยรัตนะขนาดคาวุตหนงึ่ ใหเ ต็มดว ยดอกไมท ิพยมดี อกปทมุ ดอกปาริฉัตตกะและดอกมณฑารพ เปน ตน พามาทางทอ งนภากาศ บูชาพระผมู ีพระภาคเจา ดว ยดอกไมท ิพยทม่ี ีกลน่ิ หอม และกนั้ ดอกปทุมตา งฉัตรคันหนึ่ง ซึง่ มีดา มเปน มณี มีเกสรเปน ทอง มใี บเปนแกวทบั ทมิ เหมือนฉตั รทส่ี าํ เรจ็ ดวยเกสรหอม ไวเ หนอืพระเศียรของพระผมู ีพระภาคเจา ยนื อยูทา มกลางบรษิ ัท ๔. ครง้ั นน้ั พระผูมีพระภาคเจา ทรงพยากรณพระโพธสิ ตั วนน้ั วาเกา สบิ สองกปั นบั แตกัปนี้ จกั เปนพระพุทธเจา พระนามวา โคตมะ. ดวยเหตุน้นั จงึ ตรสั วา สมัยนัน้ เราเปน กษตั รยิ นามวา สชุ าตะ สละ โภคสมบัตยิ ่งิ ใหญ บวชเปนฤษี. เมือ่ เราบวชแลว พระผนู าํ โลกกอ็ ุบัตเิ พราะสดับ เสียงวาพทุ โธ เราก็เกดิ ปติ. เราใชม ือทง้ั สองประคองดอกไมท ิพย คือดอก มณฑารพ ดอกปทุม ดอกปาริฉตั ตกะ สะบัดผา คากรองเขา ไปเฝา. เราถือดอกไมน้ัน กนั้ พระติสสชินพทุ ธเจา ผู นําเลิศแหงโลก อันบรษิ ทั ๔ แวดลอมแลวไวเหนือ พระเศยี ร.

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 575 พระพทุ ธเจา พระองคนนั้ ประทับนัง่ ทามกลาง ชน ทรงพยากรณเ ราวา เกา สบิ สองกัปนับแตกัปน้ี ทานผนู ี้จกั เปนพระพุทธเจา. พระตถาคตทรงทาํ ความเพยี ร ฯ ล ฯ จกั อยูตอ หนา ของทานผนู ้ี. เราฟงพระดาํ รสั ของพระองคแลว กย็ ิง่ เลอ่ื มใส จึงอธิษฐานขอ วตั รยง่ิ ยวดข้ึนไป เพือ่ บําเพ็ญบารมี ๑๐ ใหบ ริบูรณ. แกอรรถ บรรดาบทเหลานัน้ บทวา มยิ ปพพฺ ชิเต ไดแ ก เมือ่ เราเขาถงึความเปนนกั บวช. อาจารยทง้ั หลายเขียนไวในคัมภรี วา มม ปพฺพชิตสนตฺ  ปาฐะนน้ั พึงเห็นวา เขยี นพลั้งเผลอ. บทวา อปุ ปชชฺ ถ กค็ ืออปุ ฺปชชฺ ติ ถฺ อุบัตขิ ึ้นแลว . บทวา อุโภ หตฺเถหิ ก็คอื อุโภหิหตเฺ ถห.ิ บทวา ปคคฺ ยหฺ แปลวา ถอื แลว . บทวา ธนุ มาโน ไดแกสะบัดผาเปลอื กไม. บทวา จาตุวณฺณปริวุต แปลวา อนั บริษัท ๔แวดลอ มแลว อธิบายวา อันบรษิ ัทคอื กษัตริย พราหมณ คฤหบดแี ละสมณะแวดลอ มแลว อาจารยบ างพวกกลา ววา จตุวณฺเณหิ ปริวตุ  อนั วรรณะ ๔แวดลอมแลว . พระผมู ีพระภาคเจาพระองคน้นั ทรงมพี ระนครช่ือ เขมะ พระชนกพระนามวา พระเจาชนสนั ธะ พระชนนีพระนามวา พระนางปทุมา คูพระอคั รสาวกชือ่ วา พระพรหมเทวะ และ พระอุทยะ พระพทุ ธอุปฏฐาก ชอ่ื วาพระสมังคะ คูพระอคั รสาวิกาชอ่ื พระผุสสา และ พระสทุ ัตตา โพธิ-

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 576พฤกษ ช่อื อสนะตนประดู พระสรรี ะสงู ๖๐ ศอก พระชนมายุแสนป พระอัครมเหสีพระนามวา พระนางสุภัททา พระโอรสพระนามวา อานนั ทะเสดจ็ ออกอภเิ นษกรมณด ว ยยานคือมา. ดว ยเหตุนั้น จึงตรัสวา พระตสิ สพทุ ธเจา ผแู สวงคุณยิ่งใหญ ทรงมี พระนครช่ือเขมกะ พระชนกพระนามวา ชนสันธะ พระชนนพี ระนามวา พระนางปทมุ า. พระติสสพทุ ธเจา ผแู สวงคณุ ยิ่งใหญ มีพระอคั ร สาวก ชื่อพระพรหมเทวะ และพระสุทตั ตาโพธิพฤกษ ของพระผูมพี ระภาคเจาพระองคนนั้ เรียกวา อสนะ ตน ประดู. พระชินพทุ ธเจา พระองคน ้ัน โดยสว นสงู ๖๐ ศอก ไมม ีผูเปรยี บ ไมม ีผูเสมือน ปรากฏดังภูเขา หมิ วนั ต. พระผูม จี ักษุดํารงอยูในโลก แสนป พระผมู ี พระเดชไมมผี ูเ ทยี บพระองคน ้นั กม็ ีพระชนมายุเทา นั้น. พระองคท ้งั พระสาวก เสวยพระยศยงิ่ ใหญ อัน สงู สุด เลศิ ประเสริฐ รุง เรอื งแลว ก็ปรินพิ พานไป ดงั กองไฟทดี่ บั ไปฉะน้ัน. พระองคท ั้งพระสาวกก็ปรนิ ิพพานไป เหมือน พลาหกเมฆฝน หายไปเพราะลม เหมอื นนํ้าคางเหือด หายไปเพราะดวงอาทติ ย เหมือนความนดิ หายไปเพราะ ดวงประทีปฉะน้นั .

พระสุตตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 577 แกอ รรถ บรรดาบทเหลาน้นั บทวา อุจจฺ ตฺตเน ก็คอื อุจฺจภาเวน โดยสว นสงู . บทวา หิมวา วยิ ทิสสฺ ติ ไดแก ปรากฏเดนเหมอื นภเู ขาหิมวันตหรือปาฐะก็อยา งนี้เหมือนกนั ความวา หมิ วนั ตป ญ จบรรพต สงู รอยโยชนปรากฏเดน ชดั นา รื่นรมยย่งิ เพราะแมแตอ ยูไ กลแสนไกล ก็สูง และสงบเรียบรอย ฉนั ใด แมพ ระผูมพี ระภาคเจา ก็ปรากฏเดน ชัดฉันนัน้ . บทวาอนตุ ฺตโร ไดแ ก ไมยืนนัก ไมส้ันนกั อธิบายวา พระชนมายุแสนป. บทวาอุตฺตม ปวร เสฏ เปนไวพจนของกันและกัน. บทวา อุสสฺ โว ไดแ กหยาดหมิ ะ อธิบายวา พระผูมพี ระภาคเจา ท้งั พระสาวกอันลมดวงอาทติ ยและดวงประทปี คอื ความเปน อนิจจัง เบียดเบียนแลว ก็ปรนิ พิ พาน เหมอื นพลาหกนํ้าคางและความมืด อนั ลมดวงอาทิตยและดวงประทปี เบียดเบยี นกเ็ หอื ดหายไป ไดย ินวา พระผูมีพระภาคเจา ตสิ สะ เสด็จดับขันธปรินพิ พาน ณพระวหิ ารสนุ นั ทาราม กรุงสนุ นั ทวดี คําทเี่ หลือในคาถาทงั้ หลายทกุ แหง ชดัแลว ทัง้ นั้นแล. จบพรรณนาวงศพระติสสพุทธเจา

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 578 ๑๘. วงศพระปสุ สพทุ ธเจาท่ี ๑๘ วาดวยพระประวัตขิ องพระปสุ สพุทธเจา [๑๙] ในมัณฑกัปน้นั นนั่ เอง กไ็ ดมีพระศาสดา พระนามวา ปุสสะ ผูย อดเย่ียม ไมม ีผเู ปรียบ ไมมผี ู เสมอ พระผนู าํ เลิศของโลก. แมพ ระองค ก็ทรงกําจัดความมดื ทุกอยา ง ทรงสางรกชัฏขนาดใหญ เม่ือทรงยังโลกท้ังเทวโลกใหอ ่มิก็ทรงหล่ังนํา้ อมฤตใหตกลงมา. เม่ือพระปุสสพุทธเจา ทรงประกาศพระธรรม-จักรในสมยั นักขัตมงคล อภสิ มยั ครั้งที่ ๑ ก็ไดมแี กสตั วแปดลาน. อภสิ มยั ครั้งท่ี ๒ ก็ไดม ีแกส ัตวเ กา ลา น อภสิ มยั - ครง้ั ที่ ๓ กไ็ ดมีแกส ตั วแ ปดลา น. พระปสุ สพทุ ธเจา ผแู สวงคณุ ยงิ่ ใหญ ทรงมีสันนบิ าต ประชุมพระสาวกขีณาสพ ผไู รม ลทนิ มีจติสงบ คงท่ี ๓ ครั้ง. ประชมุ พระสาวกหกลาน เปนสนั นบิ าตครัง้ท่ี ๑ ประชมุ พระสาวกหา ลาน เปนสนั นิบาตคร้ังที่ ๒. ประชุมพระสาวก ผูห ลดุ พนเพราะไมยดึ ม่ัน ผูขาดปฏสิ นธแิ ลว สี่ลา น เปนสนั นิบาตครง้ั ท่ี ๓.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 579 สมยั นน้ั เราเปน กษัตรยิ  นามวา พระเจา วิชิตะ(วชิ ติ าวี) ละราชสมบตั ิใหญ บวชในสาํ นักของพระ-องค. พระปสุ สพุทธเจา ผนู าํ เลิศแหงโลกพระองคน้ันทรงพยากรณเ ราวา เกาสบิ สองกัปนบั แตกัปนไี้ ป ทา นผนู ี้จกั เปน พระพทุ ธเจา . พระตถาคต ออกอภเิ นษกรมณ จากกรงุ กบิล-พัสดุอนั นารน่ื รมย ทรงต้งั ความเพียร ทาํ ทกุ กรกริ ยิ า. พระตถาคต ประทบั นั่ง ณ โคนตนอชปาล-นิโครธ ทรงรบั ขา วมธุปายาส ณ ทีน่ ้นั แลว เสด็จเขาไปยงั แมน้ําเนรญั ชรา. พระชินเจา พระองคนน้ั เสวยขาวมธุปายาสท่ีรมิ ฝง แมน าํ้ เนรัญชรา เสด็จดาํ เนินตามทางอันดีทเี่ ขาจดั แตงไว ไปทโ่ี คนโพธพิ ฤกษ. แตน ัน้ พระผมู ีพระยศย่ิงใหญ ทรงทําประทกั -ษิณโพธิมณั ฑสถานอนั ยอดเยย่ี ม ตรสั รู ณ โคนโพธิพฤกษ ชอ่ื ตน อสั สตั ถะ. ทานผนู ี้ จกั มีพระชนนีพระนามวา พระนางมายาพระชนก พระนามวา พระเจาสุทโธทนะ ทา นผนู ้ีจกัมพี ระนามวา โคตมะ. จกั มีพระอัครสาวกชื่อวา พระโกลิตะ และ พระอุปติสสะ ผไู มมีอาสวะ ปราศจากราคะ มจี ิตสงบ

พระสตุ ตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 580ตง้ั มนั่ พระพุทธอุปฏ ฐาก ชื่อวาพระอานนั ทะ จกับํารงุ พระชนิ เจา พระองคน ้.ี จกั มีพระอคั รสาวิกา ชอ่ื วา พระเขมา และพระอบุ ลวรรณา ผไู มม ีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมน่ั โพธิพฤกษของพระผมู พี ระภาคเจา พระองคน นั้เรยี กวา ตน อสั สตั ถะ. จักมีอัครอปุ ฏฐาก ซึ่งจติ ตะ และ หัตถกะอาฬวกะอัครอุปฏ ฐายกิ า ช่ือ นนั ทมาตา และ อตุ ตรา พระ-โคดม ผมู พี ระยศ มีพระชนมายุ ๑๐๐ ป. มนษุ ยและเทวดาท้ังหลาย ฟงพระดํารัสน้ี ของพระปสุ สพุทธเจา ผไู มมีผเู สมอ ผูแสวงคณุ ยิง่ ใหญแลว กป็ ลาบปลื้มใจวา ทานผนู เี้ ปน หนอพทุ ธางกูร. หม่นื โลกธาตุ ทง้ั เทวโลก ก็พากันโหร อ ง ปรบมือ หัวรอราเริง ประคองอัญชลีนมสั การกลาววา ผิวา พวกเราจักพลาดพระศาสนา ของพระ-โลกนาถพระองคน ้ไี ซร ในอนาคตกาล พวกเรากจ็ ักอยตู อ หนา ของทา นผนู ี.้ เราฟง พระดาํ รสั ของพระองคแ ลว ก็ย่งิ เลือ่ มใสจงึ อธษิ ฐานขอ วัตรยง่ิ ยวดขนึ้ ไป เพือ่ บาํ เพญ็ บารมี ๑๐ใหบริบรู ณ. เราเลา เรียนพระสตู ร พระวนิ ยั และนวังคสตั ถุ-ศาสนทุกอยา ง ยังพระศาสนาของพระชนิ พทุ ธเจาใหงาม.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 581 เราอยอู ยางไมประมาทในพระศาสนานน้ั เจริญพรหมวิหารภาวนา ถึงฝง ในอภญิ ญา กไ็ ปสูพรหม-โลก. พระปสุ สพทุ ธเจา ผูแ สวงคณุ ยิ่งใหญ ทรงมีพระนครชือ่ กาสิกะ พระชนก พระนามวา พระเจาชยั เสน พระชนนพี ระนามวา พระนางสิริมา. พระองคทรงครองฆราวาสวิสยั อยูเกาพนั ป มีปราสาทชั้นเยีย่ ม ๓ หลัง ช่อื วา ครุฬะ หงั สะ สุวณั ณ-ดารา. มีพระสนมนารี สามหม่ืนสามพนั นาง พระอัครมเหสีพระนามวา พระนางกสี าโคตมี พระโอรสพระนามวา อานันทะ. พระผเู ปนยอดบุรุษ ทรงเหน็ นิมิต ๔ ทรงออกอภเิ นษกรมณดวยยานคือชาง ทรงบาํ เพ็ญเพียร ๗ วัน. พระมหาวรี ปสุ สพทุ ธเจา ผนู ําเลศิ แหงโลกผูสงู สุดในนรชน อนั ทา วมหาพรหมทูลอาราธนาแลวทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ปา มคิ ทายวนั . พระปุสสพทุ ธเจา ผูแสวงคณุ ย่ิงใหญ มพี ระอคั รสาวกชื่อวา พระสุรักขติ ะ และ พระธมั มเสนะพระพทุ ธอุปฏฐาก ชอ่ื วา พระสภยิ ะ. มพี ระอคั รสาวิกาชอื่ พระจาลา และพระอุปจาลาโพธิพฤกษข องพระผมู พี ระภาคเจาพระองคนัน้ เรยี กวาตนอามลกะ.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 582 มีอคั รอุปฏฐาก ซึ่งวาธนญั ชยะ และวสิ าขะ อคั รอปุ ฏ ฐายกิ าชอื่ วา ปทมุ า และสริ ินาคา. พระมหามุนพี ระองคนนั้ สงู ๕๘ ศอก ทรงงามเหมอื นดวงอาทิตย เต็มเหมอื นดวงจนั ทร. ในยคุ นั้น มนุษยมีอายเุ กา หมืน่ ป พระปุสส-พทุ ธเจา พระองคน้ัน ทรงมีพระชนมย นื ถงึ เพยี งนน้ัจงึ ทรงยงั ชนเปน อันมากใหข ามโอฆะ. พระศาสดาแมพ ระองคนน้ั ทรงสงั่ สอนสตั วเปน อนั มาก ยังชนเปน อันมากใหข า มโอฆะ พระองคทงั้ พระสาวก มีพระยศทไ่ี มม ใี ครเทียบ กย็ ังปร-ินพิ พาน. พระศาสดา ชินวรปสุ สพทุ ธเจา เสดจ็ ดบั ขันธ-ปรินิพพาน ณ พระวิหารเสนาราม พระบรมสารีริกธาตุก็แผกระจายไปเปน สว น ๆ ในประเทศนนั้ ๆ. จบวงศพ ระปสุ สพทุ ธเจา ที่ ๑๘

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 583 พรรณนาวงศพระปุสสพทุ ธเจาที่ ๑๘ ภายหลังตอ มาจากสมัยของพระผูมีพระภาคเจา ติสสะพระองคน ้ัน เมอ่ืมนษุ ยท้ังหลาย เสือ่ มลงโดยลําดับและเจรญิ ขึ้นอีก จนมีอายุมากหาประมาณไมได แลว กเ็ สอื่ มลงโดยลาํ ดบั จนมอี ายุไดเ กา หมื่นป ในกัปน้ันนนั่ เอง พระ-ศาสดาพระนามวา ปุสสะ กอ็ ุบัตขิ ึ้นในโลก พระผูม พี ระภาคเจา แมพ ระองคนั้น ทรงบาํ เพ็ญบารมที ้งั หลาย กบ็ งั เกดิ ในสวรรคช ั้นดุสติ จุติจากนัน้ แลว ก็ทรงถอื ปฏสิ นธิในพระครรภข อง พระนางสริ มิ าเทวี อคั รมเหสขี องพระเจาชัยเสนะ กรุงกาสี ถว นกาํ หนดทศมาส ก็ประสตู จิ ากพระครรภพ ระชนนี ณสิริมาราชอุทยาน พระองคทรงครองฆราวาสวสิ ัยอยเู กาพนั ป ไดยนิ วา ทรงมปี ราสาท ๓ หลัง ช่อื วา ครฬุ ปก ขะ หงั สะ และ สุวรรณภาระ. ปรากฏพระสนมกํานลั สามหมน่ื นาง มี พระนางกีสาโคตมี เปน ประมุข เมอื่ พระโอรสพระนามวา อนูปมะ ของ พระนางกสี าโคตมี ทรงสมภพ พระมหาบรุ ุษทรงเห็นนมิ ติ ๔ ก็ขึ้นทรงชางพระท่นี ่ังทป่ี ระดับแลวเสดจ็ ออกมหาภิเนษกรมณท รงผนวช ชนโกฏหิ นึ่งออกบวชตามเสด็จ พระองคอนั ภกิ ษเุ หลา นั้นแวดลอ มแลว ทรงบําเพญ็ เพยี ร ๖ เดอื น แตนั้น ก็ทรงละหมู ทรงเพมิ่ ความประพฤติแตล าํ พงั พระองคอยู ในวันวสิ าขบูรณมี เสวยขาวมธุปายาสที่ นางสริ วิ ัฑฒา ธิดาของเศรษฐผี หู นึง่ ณ นครแหง หนง่ึ ถวายทรงยับยงั้ พกั กลางวัน ณ ปา สสี ปาวนั เวลาเย็น ทรงรบั หญา ๘ กําทอ่ี ุบาสกช่อื สิรวิ ฑั ฒะ ถวาย เสดจ็ เขา ไปยงั โพธิพฤกษช่ือ อามลกะคือ ตน มะขามปอ ม ทรงกําจดั กองกาํ ลงั มาร พรอ มทัง้ ตวั มาร บรรลุพระสพั พญั ุตญาณทรงเปลงพระอุทานวา อเนกชาตสิ  สาร ฯ เป ฯ ตณฺหาน ขยมชฺฌคายับยัง้ อยูใ กลต นโพธิพ์ ฤกษ ๗ วนั ทรงเห็นภกิ ษโุ กฏหิ นง่ึ ซ่ึงบวชกับพระองค

พระสุตตันตปฎก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 584เปนผูสามารถแทงตลอดธรรมไดจงึ เสดจ็ ไปทางอากาศ ลงท่ีอสิ ปิ ตนะมิคทายวันสังกสั สนคร ทรงประกาศพระธรรมจักร ทา มกลางภกิ ษเุ หลาน้นั ครั้งน้ันอภสิ มัยครงั้ ที่ ๑ ไดม ีแกส ตั วแ สนโกฏ.ิ ดว ยเหตนุ นั้ จึงตรัสวา ในมณั ฑกปั นน้ั น่นั เอง ไดมีพระศาสดาพระนาม วา ปุสสะ ผูยอดเย่ยี ม ไมมผี ูเปรียบ เสมอดว ยพระ- พทุ ธเจาผไู มมีผเู สมอ ผูนําเลศิ ของโลก. แมพ ระองค ทรงกาํ จดั ความมืดท้ังหมดแลวทรง สางรกชฏั ขนาดใหญ เมื่อทรงยังโลกท้ังเทวโลกใหอ่มิ ทรงหลั่งนา้ํ อมฤตใหตกลงมา. เมอื่ พระปสุ สพทุ ธเจา ทรงประกาศพระธรรมจักร ในสมัยนกั ขตั มงคล อภสิ มยั ครง้ั ที่ ๑ ก็ไดมีแกส ัตว แสนโกฏ.ิ แกอ รรถ บรรดาบทเหลานนั้ บทวา ตตฺเถว มณฑฺ กปปฺ มหฺ ิ ความวาในกัปใด มพี ระพทุ ธเจาทรงอุบตั ิ ๒ พระองค กปั นั้นเราเรยี กมาแตหนหลงั วามัณฑกัป. บทวา วิชเฏตวฺ า ไดแ ก แก. คาํ วา ชฏา ในคําวา มหาชฏน้ี เปน ชื่อของตัณหา ทา นกลาววา จริงอยตู ัณหาน้ัน ชื่อวา ชฏา เพราะเปน เหมือนชฏั กลา วคือขนมรา งแหทร่ี อ ยดวยกลุมดาย เพราะเกิดบอยๆ รอยไวดวยตัณหา เบอื้ งลางเบื้องบนในอารมณท ้งั หลายมีรูปเปน ตน ซ่ึงรกชัฏขนาดใหญนั้น. บทวา สเทวก ไดแก โลกทัง้ เทวโลก. บทวา อภิวสฺสิแปลวา ใหต กลงมาแลว. บทวา อมตมฺพนุ า ความวา เมอ่ื ใหอ ม่ิ จงึ หลง่ัน้ําคือธรรมกถา กลาวคืออมตธรรม ใหตกลงมา.

พระสตุ ตันตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 585 คร้ัง พระเจา สริ ิวฑั ฒะ กรุงพาราณสี ทรงละกองโภคสมบตั ิใหญ ทรงผนวชเปน ดาบส ไดม ีดาบสทบ่ี วชกับพระองคจํานวนเกา ลานพระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงธรรมโปรดดาบสเหลาน้ัน ครั้งน้ัน อภิสมยั ครงั้ท่ี ๒ ไดม แี กสตั วเ กา ลา น สวนครง้ั ทรงแสดงธรรมโปรดอนปุ มกมุ าร พระโอรสของพระองค ธรรมาภิสมยั ครงั้ ที่ ๓ ไดม แี กส ตั วแ ปดลา น. ดวยเหตุน้นั จึงตรัสวา อภสิ มัยคร้งั ท่ี ๒ ไดมแี กส ตั วเกา ลาน อภสิ มยั คร้ังที่ ๓ ไดมแี กสตั วแปดลา น. แตน ้ัน สมัยตอมา พระสุรกั ขติ ะราชโอรส และธมั มเสนกุมาร บตุ รปุโรหิต ณ กัณณกชุ ชนคร เม่อื พระปสุ สสมั มาสมั พุทธเจา เสด็จถึงนครของตนก็ออกไปรบั เสดจ็ พรอ มดวยบรุ ษุ หกลา น ถวายบงั คมแลว นมิ นตถ วายมหาทาน๗ วัน สดบั ธรรมกถาของพระทศพลแลว เลอ่ื มใส พรอมกบั บรวิ ารก็พากนั บวชแลวบรรลพุ ระอรหัต. พระผูมีพระภาคเจา ทรงยกปาตโิ มกขข น้ึ แสดง ทามกลางภิกษหุ กลา นเหลา น้นั นนั้ เปน สันนิบาตครั้งท่ี ๑. ตอ มาอกี พระผมู ีพระภาคเจา ทรงแสดงพทุ ธวงศ ในสมาคมพระญาตปิ ระมาณหกสิบ ของพระเจาชยั เสน กรงุ กาสี ชนหาลานฟง พทุ ธวงศน ัน้ พากันบวชดว ยเอหิภิกขบุ รรพชา แลวบรรลพุ ระอรหตั พระผูมีพระภาคเจาทรงอยูในทามกลางภิกษุเหลาน้ัน ทรงยกปาติโมกขข้ึนแสดง. น้นั เปน สนั นบิ าตครัง้ ท่ี ๒.ตอมาอีก บุรษุ สล่ี า นฟงมงคลกถาในมหามงคลสมาคมพากนั บวชแลว บรรลุพระอรหตั พระสคุ ตเสด็จอยูในทา มกลางภกิ ษุเหลา นั้น ทรงยกปาตโิ มกขขน้ึแสดง นั้น เปน สนั นิบาตคร้ังท่ี ๓. ดวยเหตนุ ้นั จงึ ตรัสวา

พระสุตตนั ตปฎก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 586 พระปสุ สพุทธเจา ผแู สวงคุณยิง่ ใหญ ทรงมี สันนบิ าตประชุมพระสาวกขีณาสพ ผไู รม ลทิน มจี ิต สงบ คงที่ ๓ ครงั้ . ประชุมพระสาวกหนึ่งลา น เปนสันนิบาตครงั้ ที่ ๑ ประชมุ พระสาวกหาลาน เปนสันนิบาตครัง้ ที่ ๒. ประชุมพระสาวก ผหู ลดุ พนเพราะไมยึดมัน่ ผู ขาดปฏิสนธิแลว สลี่ า น เปน สันนบิ าตคร้ังท่ี ๓. ครัง้ น้ัน พระโพธิสตั วของเรา ทรงเปน กษัตริยพระนามวา พระเจาวชิ ิตาวี นครอรินทมะ ทรงสดับธรรมของพระปุสสพทุ ธเจาพระองคน ั้น ทรงเลือ่ มใสในพระผูมพี ระภาคเจา ถวายมหาทานแดพระองค ทรงละราชสมบัติใหญทรงผนวชในสํานักพระผูมีพระภาคเจา ทรงเรยี นพระไตรปฎ กทรงพระไตรปฏ ก ตรสั ธรรมกถาแกมหาชน และทรงบาํ เพญ็ ศลี บารมี พระปสุ ส-พุทธเจาแมพ ระองคน น้ั กท็ รงพยากรณพระโพธสิ ตั วน ้ันวา จักเปนพระพทุ ธเจาดว ยเหตุนั้น จึงตรัสวา สมัยนั้น เราเปน กษัตริยน ามวา วิชิตาวี ละราช- สมบัตใิ หญ บวชในสํานกั ของพระองค. พระปุสสพุทธเจา ผนู ําเลศิ แหงโลกพระองคน ้ัน ทรงพยากรณเ ราวา เกาสิบสองกปั นปั แตกัปน้ี ทา นผู น้จี กั เปน พระพทุ ธเจา. พระตถาคตทรงตั้งความเพียร ฯ ล ฯ เพือ่ บาํ เพญ็ บารมี ๑๐ ใหบ ริบูรณ.

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 587 เราเลา เรียนพระสตู ร พระวนิ ยั และนวงั คสัตถ-ุ ศาสนท งั้ หมด ยังพระศาสนาของพระชนิ พุทธเจาให งาม. เราอยอู ยา งไมประมาท ในพระศาสนาน้นั เจริญ พรหมวิหารภาวนา ถึงฝง แหงอภญิ ญากไ็ ปสพู รหม- โลก. พระผูมพี ระภาคเจา พระองคน้ัน ทรงมีพระนครชื่อวา กาสี พระชนกพระนามวา พระเจา ชัยเสน พระชนนพี ระนามวา พระนางสิรมิ า คพู ระอัครสาวกชอ่ื วา พระสรุ กั ขิตะ และ พระธมั มเสนะ พระพุทธอปุ ฏ ฐากชือ่ วาพระสภยิ ะ คูพระอคั รสาวกิ า ช่ือวา พระจาลา และ พระอปุ จาลา โพธิ-พฤกษช อื่ วา อามลกะ คอื ตน มะขามปอม พระสรรี ะสงู ๕๘ ศอก พระชนมายุเกาหมนื่ ป พระอัครมเหสีพระนามวา พระนางกีสาโคตมี พระโอรสพระนามวา พระอนปุ มะ เสด็จออกอภิเนษกรมณดว ยยานคือชาง. ดว ยเหตนุ ้ัน จึงตรัสวา พระปุสสพุทธเจา ผแู สวงคุณยงิ่ ใหญ มีพระนคร ชื่อกาสี พระชนกพระนามวาพระเจาชยั เสน พระชนนี พระนามวา พระนางสริ ิมา ฯ ล ฯ โพธพิ ฤกษข องพระ ผมู พี ระภาคเจาพระองคน้นั เรยี กวาอามณั ฑะ ตน มะขามปอม ฯ ล ฯ . พระมุนแี มพระองคน ั้นสงู ๕๘ ศอก งามเหมือน ดวงอาทิตย เต็มเหมอื นดวงจนั ทร. ในยคุ น้นั มนุษยม อี ายเุ กา หมน่ื ป พระปุสส- พุทธเจา พระองคน นั้ เมอื่ ทรงพระชนมถ ึงเพยี งนัน้ จึง ทรงยังหมูช นเปนอันมากใหขามโอฆะ.

พระสุตตนั ตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 588 พระศาสดา แมพ ระองคน ั้น ทรงสั่งสอนสัตว เปนอันมาก ใหช นเปน อนั มากขา มโอฆะ พระองคทงั้ พระสาวก มีพระยศที่ไมม ีผเู ทยี บ กย็ งั ปรนิ พิ พาน. แกอ รรถ บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา อามณโฺ ฑ๑ แปลวา ตนมะขามปอม.บทวา โอวทติ ฺวา ไดแ ก ใหโอวาท อธบิ ายวา พราํ่ สอน. บทวา โสปสตฺถา อตลุ ยโส ความวา พระศาสดา ผูมีพระยศทช่ี ่งั มไิ ด แมพระองคน ้ัน. ปาฐะวา โส ชหติ วฺ า อมิตยโส ดังนีก้ ม็ ี ปาฐะนน้ั มีความวา พระองคจําตอ งละคณุ วเิ ศษดังกลาวแลว ทุกอยา ง. ไดยินวา พระปุสสสมั มาสมั พุทธเจา ดับขนั ธปรินิพพาน ณ พระวหิ ารเสนาราม กรุงกสุ นิ ารา ไดยนิ วา พระบรมสารีริกธาตุของพระองคแผก ระจายไป. ในคาถาท่เี หลอื ทกุ แหงชดั แลว ทัง้ นั้นแล. จบพรรณนาวงศพระปสุ สพทุ ธเจา๑. บาลเี ปน อามลโก

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 589 ๑๙. วงศพระวปิ ส สีพุทธเจา ๑๙ วา ดวยพระประวัติของพระวปิ สสีพุทธเจา [๒๐] ตอ จากสมยั ของพระปุสสพุทธเจา พระ- สมั พุทธเจาพระนามวา วิปส สี ผสู งู สุดแหง สัตวส อง เทา พระผมู ีจักษุ กท็ รงอบุ ัตขิ นึ้ ในโลก. ทรงทาํ ลาย กะเปาะไขค อื อวชิ ชา๑ บรรลพุ ระสมั - โพธิญาณ เสด็จไปกรุงพันธุมดี เพอ่ื ประกาศพระ ธรรมจกั ร. พระผนู ํา ทรงยังพระโอรส และ บตุ รปุโรหิตทง้ั สองใหต รัสรู อภสิ มยั ครั้งที่ ๑ กลาวไมไ ดถ ึงจํานวน ผูตรัสรูธรรม. ตอ มาอีก พระผมู ีพระยศหาประมาณมิได ทรง ประกาศสัจจะ ณ เขมมคิ ทายวนั น้นั อภสิ มยั ครัง้ ที่ ๒ ไดม แี กสัตวแปดหมืน่ ส่ีพัน. บรุ ุษแปดหมื่นส่ีพนั บวชตามเสด็จพระสัมพุทธ- เจา พระผมู พี ระจักษุทรงแสดงธรรมโปรดบรรพชิต เหลา นั้นที่มาถงึ พระอาราม. บรรพชติ แมเหลา นั้น ฟง ธรรมของพระองค ซงึ่ ตรสั ประทานโดยอาการทง้ั ปวง กบ็ รรลุธรรมอนั ประเสริฐ อภิสมัยคร้งั ท่ี ๓ กไ็ ดมแี กบ รรพชิตเหลาน้นั .๑. อรรถกถาวา อวชิ ชาทง้ั ปวง

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 590 พระวิปสสพี ุทธเจา ผูแสวงคุณย่ิงใหญ ทรงมีสันนบิ าตประชมุ พระสาวกขีณาสพ ผไู รม ลทนิ มจี ติสงบ คงท่ี ๓ ครง้ั . ประชุมพระสาวกแสนแปดหม่นื หกพนั เปนสนั -นิบาต คร้ังท่ี ๑ ประชุมพระสาวกแสนหน่ึงเปน สันน-ิบาตครงั้ ท่ี ๒. ประชมุ พระสาวกแปดหมนื่ เปนสนั นบิ าตคร้ังที่๓ พระสัมพุทธเจาทรงรงุ โรจนอ ยทู ามกลางหมภู ิกษุ ณเขมมคิ ทายวนั น้ัน. สมยั นัน้ เราเปนพญานาค ชือ่ วา อตุละ มีฤทธ์ิมากมีบญุ ทรงรศั มรี งุ โรจน แวดลอมดว ยนาคหลายโกฏิบรรเลงดนตรที ิพย เขาไปเฝา พระผเู จรญิ ทส่ี ุดในโลก. ครั้นเขาเฝาแลว ก็นิมนตพระวปิ สสีสมั พุทธเจา พระพทุ ธเจา แมพ ระองคน ้ัน ประทับนง่ั ทามกลางสงฆ ทรงพยากรณเราวา เกาสิบเอด็ กปั นปั แตก ัปนี้ ทา นผูนจ้ี กั เปน พระพุทธเจา. พระตถาคตออกอภเิ นษกรมณ จากกรุงกบิลพัสดุอันนา รน่ื รมย ทรงต้ังความเพยี ร ทาํ ทุกกรกริ ิยา. พระตถาคต ประทบั นั่งทีโ่ คนตน อชปาลนโิ ครธทรงรับขาวมธปุ ายาสแลว เสด็จเขา ไปยงั แมนา้ํ เนรัญ-ชรา.

พระสตุ ตันตปฎก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 591 พระชนิ เจา พระองคน ั้น เสวยขา วมธุปายาสที่ริม ฝง แมน า้ํ เนรญั ชรา เสดจ็ ดาํ เนินตามทางอันดที ่เี ขาจัดแตงไว เขา ไปยังโคนโพธพิ ฤกษ. แตน้ัน พระผูม ีพระยศใหญ ทรงทาํ ประทกั ษณิโพธิมณั ฑสถานอนั ยอดเยย่ี ม ตรัสรู ณ โคนโพธิพฤกษ ช่ืออสั สตั ถะ. ทา นผนู ี้จักมพี ระชนนพี ระนามวา พระนางมายาพระชนกพระนามวา พระเจาสุโธทนะ ทานผูน้ีจกั มีพระนามวา โคตมะ. จกั มีพระอัครสาวก ช่อื วา พระโกลติ ะ และ พระอปุ ตสิ สะ ผูไมมอี าสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตงั้มั่น พระพทุ ธอุปฏ ฐาก ช่ือวา พระอานนั ทะ จกั บํารงุพระชินเจา ผนู ้ี. จกั มอี คั รสาวิกา ช่อื วา พระเขมา และ พระอุบล-วรรณา ผไู มม อี าสวะ ปราศจากราคะ มจี ิตสงบตง้ั มั่น โพธิพฤกษของพระผมู ีพระภาคเจา พระองคนน้ัเรียกวาตน อัสสตั ถะ. อัครอุปฏฐาก ชื่อวา จติ ตะ และ หัตถะอาฬวกะอคั รอปุ ฏฐายิกา ชอ่ื วา นันทมาตา และ อุตตรา พระ-โคดมผูม พี ระยศพระองคน ั้น มพี ระชนมายุ ๑๐๐ ป. มนษุ ยแ ละเทวดาทั้งหลาย ฟง พระดาํ รัสน้ีของพระวปิ ส สีพุทธเจา ผไู มมีผูเสมอ ผูแสวงคุณย่ิงใหญ กป็ ลาบปลื้มใจวา ทา นผนู เ้ี ปน หนอ พทุ ธางกูร.

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 592 หมื่นโลกธาตุ ทัง้ เทวโลก ก็โหร อ ง ปรบมือหัวรอรา เริง ประคองอญั ชลีนมัสการ กลา ววา ผิวา พวกเราพลาดพระศาสนาของพระโลกนาถพระองคน ไ้ี ซร ในอนาคตกาล พวกเรากจ็ กั อยูตอ หนาของทานผนู ้ี. มนษุ ยท้งั หลาย เมอื่ ขามแมน ้าํ พลาดทา น้าํ ขา งหนา ก็ถือเอาทา นา้ํ ขา งหลงั ขามแมน ํ้าใหญ ฉันใด. พวกเราท้งั หมด ผวิ า ผา นพนพระชินพทุ ธเจาพระองคน ไ้ี ซร ในอนาคตกาล พวกเรากจ็ กั อยูต อ หนาของทานผูน้ี ฉันน้ัน. เราฟง พระดาํ รสั ของพระองคแลว ก็ย่ิงมจี ติ เลื่อมใส จงึ อธษิ ฐานขอวัตรย่ิงยวดข้ึนไป เพื่อบาํ เพ็ญบารมี ๑๐ ใหบ ริบรู ณ. พระวิปสสพี ุทธเจา ผูแสวงคุณยง่ิ ใหญ ทรงมี พระนคร ช่ือวาพนั ธมุ ดี พระชนกพระนามวา พระเจาพนั ธุมะ พระชนนพี ระนามวา พระนางพันธุมดี. พระองคทรงครองฆราวาสวิสยั อยูแ ปดพันป มีปราสาทช้ันเยย่ี ม ๓ หลงั ชื่อวา นันทะ สนุ ันทะ และสิริมา มีพระสนมกาํ นัลทีแ่ ตง กายงามสีห่ มืน่ สามพนั นางมีพระอคั รมเหสพี ระนามวา พระนางสทุ ัสสนา [สตุ นู]มพี ระโอรสพระนามวา พระสมวฏั ฏขันธะ.

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 593 พระชนิ พทุ ธเจา ทรงเห็นนมิ ิต ๔ ทรงออกอภ-ิเนษกรมณด วยยานคอื รถ ทรงตง้ั ความเพียร ๘ เดือนเตม็ . พระมหาวรี ะ วิปสสี ผนู ําโลก สูงสุดในนรชนอันทาวมหาพรหมทลู อาราธนาแลว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มคิ ทายวนั . พระวปิ สสพี ุทธเจา ผแู สวงคุณยิง่ ใหญ ทรงมีพระอคั รสาวกชื่อวา พระขัณฑะ และ พระตสิ สะ พระพทุ ธอปุ ฏฐาก ชือ่ วาพระอโสกะ. มพี ระอัครสาวกิ าชือ่ วา พระจนั ทา และ พระจนั ท-มติ ตา โพธิพฤกษของพระผมู ีพระภาคเจาพระองคน้ันเรยี กวา ตนปากลี. มีอคั รอปุ ฏ ฐากชื่อวา ปุนพั พสุมิตตะ และนาคะมีอัครอปุ ฏ ฐายกิ า ชื่อ สริ ิมา และอุตตรา. พระวิปส สพี ุทธเจา ผนู ําโลก สงู ๘๐ ศอกพระรัศมีของพระองคแ ผซา นไปโดยรอบ ๗ โยชน. ในยุคนน้ั มนษุ ยม อี ายแุ ปดหม่นื ป พระพุทธเจามพี ระชนมย ืนตลอดกาลเทา นน้ั จงึ ทรงยังหมชู นเปนอนั มากใหข า มโอฆะ. ทรงเปลื้องเทวดาและมนษุ ยจากเครอื่ งผูก และทรงบอกปุถชุ นนอกน้นั ถงึ ทางและมใิ ชท าง.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ที่ 594 พระองคท ้งั พระสาวก คร้ันแสดงแสงสวางแลวจึงทรงแสดงอมตบท รุงเรอื งแลว กด็ บั ขันธปรินพิ พานเหมอื นกองไฟลกุ โพลงแลว ดับฉะนน้ั . พระวรฤทธ์อิ นั เลิศ พระบุญญาธกิ ารอันประเสรฐิพระวรลกั ษณอันบานเต็มทีแ่ ลว ท้ังส้ินนั้น ก็อนั ตรธานไปสนิ้ สังขารทัง้ ปวงกว็ างเปลา แนแ ท. พระวิปสสีพทุ ธเจา ผเู ลิศในนรชน ทรงเปน วรี -บรุ ุษเสด็จดบั ขันธปรินพิ พาน ณ พระวหิ ารสมุ ิตตารามพระวรสถปู ของพระองค ณ พระวิหารนั้น สูง ๗ โยชน. จบวงศพ ระวปิ ส สพี ทุ ธเจา ท่ี ๑๙

พระสุตตันตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนา ท่ี 595 พรรณนาวงศพ ระวิปสสีพทุ ธเจาที่ ๑๙ ภายหลงั ตอ มาจากสมยั ของ พระปสุ สพุทธเจา กปั นัน้ พรอมทง้ัอนั ตรกัปลวงไป ในเกาสบิ เอด็ กัปนัปแตกัปน้ไี ป พระศาสดาพระนามวาวิปส สี ผเู ห็นแจงในธรรมทั้งปวง ทรงทราบกปั ทง้ั ปวง ทรงมีความดาํ ริยินดีแตป ระโยชนข องสตั วอ่นื อุบตั ิขน้ึ ในโลก. พระองคทรงบาํ เพ็ญบารมีท้ังหลายและบังเกิดในภพสวรรคช ้นั ดุสติ อนั เปนทรี่ งุ โรจนด ว ยแสงซา นแหง รตั นะมณีเปนอนั มาก จตุ จิ ากน้นั แลว กท็ รงถอื ปฏสิ นธิในพระครรภข อง พระนางพนั ธมุ ดี อคั รมเหสีของ พระเจา พันธุมะ ผมู ีพระญาติมาก กรงุ พนั ธมุ ดีถว นกําหนดทศมาส พระองคก ็ประสตู ิจากพระครรภพระชนนี ณ เขมมคิ -ทายวนั เหมอื นดวงจันทรเพญ็ ออกจากกลบี เมฆสเี ขยี วคราม ในวนั รบั พระ-นามของพระองคโ หรผูท ํานายลักษณะ และพระประยูรญาตทิ ั้งหลาย แลเห็นพระองคห มดจด เพราะเวนจากความมดื ทเี่ กิดจากกระพรบิ ตา ในระหวางๆ ท้งักลางวนั ท้งั กลางคนื จึงเฉลิมพระนามวา วิปสสี เพราะเห็นไดดวยตาทเี่ ปด แลวอาจารยบ างพวกกลา ววา หรอื พระนามวา วิปสสี เพราะพึงวิจัยคน หายอ มเห็นพระองคท รงครองฆราวาสวิสยั อยแู ปดพนั ป ทรงมีปราสาท ๓ หลงั ช่ือวา นันทะสนุ นั ทะและสริ ิมา มีพระสนมกํานัลแสนสองหม่ืนนาง มพี ระนางสุทสั สนาเทวีเปน ประมขุ . พระนางสุทัสสนา เรยี กกันวา พระนางสตุ นู ก็มี. ลว งไปแปดพันป เมอ่ื พระโอรสของพระนางสตุ นูเทวี พระนามวาทรงสมภพ พระองคก ็ทรงเห็นนิมติ ๔ จึงเสดจ็ ออกมหาภเิ นษ-กรมณ ดวยรถเทียมมา ทรงผนวช บุรษุ แปดหมน่ื สีพ่ นั คน ออกบวชตามเสดจ็ พระมหาบรุ ุษน้นั อันภิกษเุ หลานนั้ แวดลอ มแลว ทรงบําเพ็ญเพยี ร ๘

พระสุตตันตปฎ ก ขุททกนิกาย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 596เดอื น ในวันวสิ าขบรู ณมเี สวยขา วมธปุ ายาส ท่ี ธิดาสทุ ัสสนเศรษฐี ถวายทรงพกั กลางวัน ณ สาลวนั ที่ประดับดวยดอกไม ทรงรับหญา ๘ กาํ ทีค่ นเฝา ไรขา วเหนียวชือ่ สชุ าตะ ถวาย ทรงเหน็ โพธิพฤกษช อ่ื วา ปาฏลี คือตนแคฝอย ทีอ่ อกดอก จงึ เสด็จเขา ไปยงั โพธิพฤกษนั้น ทางทิศทกั ษิณ วนั น้ันลาํ ตนอันเกลากกลมของตนปาฏลีน้นั ชะลูดข้นึ ไป ๕๐ ศอก กง่ิ ๕๐ ศอก สูง๑๐๐ ศอก วันนั้นนั่นเอง ตนปาฏลนี ้ัน ออกดอกดารดาษไปหมดทัง้ ตน เริ่มแตโคนตน ดอกท้งั หลายมกี ล่นิ หอมอยา งยิง่ เหมอื นผูกไวเปนชอ มใิ ชปาฏลีตน น้ีตนเดียวเทาน้ัน ท่ีออกดอกในเวลานั้น ตน ปาฏลที ง้ั หมดในหมน่ื จักรวาล ก็ออกดอกดว ย มิใชต น ปาฏลอี ยางเดยี วเทานน้ั แมไมต นไมกอและไมเ ถาทงั้หลายในหม่ืนจกั รวาลก็ออกดอกบาน. แมม หาสมทุ ร กด็ ารดาษไปดว ยปทมุบวั สาย อุบล และโกมทุ ๕ สี มนี ้าํ เย็นอรอ ย ระหวา งหมน่ื จกั รวาลท้งั หมดก็เกลอื่ นกลน ไปดวยธงและมาลัย พ้ืนแผน ธรณีอกั ตกแตง ดวยดอกไมกล่ินหอมนานาชนิด กเ็ กลื่อนกลน ดวยพวงมาลัย มืดมวั ไปดว ยจุรณแหงธปู พระองคเสดจ็ เขา ไปยังตนปาฏลีนัน้ ทรงลาดสนั ถัตหญากวา ง ๕๓ ศอก ทรงอธษิ ฐานความเพียรประกอบดว ยองค ๔ ประทบั น่งั ทาํ ปฏิญาณวา ยงั ไมเปน พระพทุ ธ-เจา เพยี งใด กจ็ ะไมย อมลกุ จากทีน่ ี้เพียงนน้ั ครน้ั ประทบั นั่งอยางน้ีแลว ทรงกาํ จดั กองกําลังมาร พรอ มท้ังตวั มาร ทรงทาํ มรรคญาณ ๔ โดยลาํ ดับมรรคผลญาณ ๔ ในลาํ ดับตอ จากมรรค ปฏสิ มั ภิทา ๔ จตโุ ยนปิ ริจเฉทกญาณญาณเครื่องกําหนดรูคติ ๕ เวสารชั ชญาณ ๔ อสาธารณญาณ ๖ และพระพทุ ธคุณทั้งสิน้ ไวในพระหตั ถ ทรงมคี วามดํารบิ ริบรู ณ ประทับนงั่ เหนอื โพธบิ ัลลังกนน่ั เอง ทรงเปลง พระอทุ านอยางนวี้ า

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 597อเนกชาติส สาร ฯ ล ฯ ตณหฺ าน ขยมชฺฌคา.อโยฆนหตสเฺ สว ชลโต ชาตเวทโสอนปุ ุพฺพูปสนฺตสฺส ยถา น ายเต คต.ิใครๆ ยอ มไมร ูคติ ความไปของดวงไฟ ทีล่ กุโพลง ถูกฟาดดวยคอนเหล็ก แลวสงบลงโดยลําดบัฉนั ใด.เอว สมฺมา วมิ ุตตฺ าน กามพนฺโธฆตารินปฺ าเปตุ คตี นตฺถิ ปตฺตาน อจล สขุ  .ไมมีใครจะลว งรคู ตคิ วามไป ของทานผูหลุดพนโดยชอบ ผขู ามพันธะและโอฆะ คอื กาม ผูถ ึงสุขอนัไมหวน่ั ไหวไดก็ฉนั น้ัน.ทรงยบั ยัง้ อยู ๗ สปั ดาห ใกลโ พธพิ ฤกษน นั่ เอง ทรงรบั อาราธนาของทาวมหาพรหม ทรงตรวจดอู ปุ นิสสัยสมบตั ิ ของ พระขัณฑกมุ าร กนษิ ฐภาดาตา งพระมารดาของพระองค และ ตสิ สกุมาร บตุ รปโุ รหติ เสด็จไปทางอากาศ ลงท่ี เขมมิคทายวนั ทรงใชพ นักงานเฝา อุทยานไปเรยี กทานท้งั สองนนั้ มาแลว ทรงประกาศพระธรรมจกั ร ทา มกลางบริวารเหลานัน้ คร้งั นั้นธรรมาภิสมัยไดแกเทวดาทง้ั หลาย ประมาณมไิ ด. ดว ยเหตุนั้น จงึ ตรสั วาตอ จากสมยั ของพระปสุ สพทุ ธเจา พระสมั พทุ ธ-เจาพระนามวา วิปส สี ผูส ูงสุดแหงสตั วส องเทา ผมู ีจกั ษุ กอ็ ุบัติขึน้ ในโลก.ทรงทาํ ลาย อวิชชาท้ังหมด๑ บรรลุพระโพธ-ิญาณอันสงู สดุ เสดจ็ ไปยงั กรุงพันธุมดี เพ่อื ประกาศพระธรรมจักร.๑. บาลีวา อวิชฺชณฺฑ กะเปาะไขคืออวชิ ชา

พระสตุ ตันตปฎ ก ขุททกนิกาย พุทธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 598 พระผนู ํา ครัน้ ทรงประกาศพระธรรมจกั รแลว ยงั กุมารท้ังสองใหตรสั รูแ ลว อภิสมยั ครง้ั ท่ี ๑ ไมจาํ ตองกลา วจํานวนผูบรรลุ. แกอ รรถ บรรดาบทเหลาน้นั บทวา ปทาเลตวฺ า แปลวา ทาํ ลาย อธบิ ายวาทาํ ลายความมืดคอื อวชิ ชา. ปาฐะวา วตฺเตตฺวา จกกฺ มาราเม ดังนีก้ ม็ ีปาฐะนน้ั บทวา อาราเม ความวา ณ เขมมิคทายวนั . บทวา อุโภ โพเธสิไดแ ก ทรงยังกมุ ารทงั้ สองคอื พระขัณฑราชโอรส กนษิ ฐภาดาของพระองคและตสิ สกมุ าร บุตรปโุ รหิต ใหต รสั ร.ู บทวา คณนา น วตฺตพโฺ พความวา ไมมีการกําหนดจํานวนเทวดาและมนษุ ยท ้ังหลาย โดยอภิสมยั . สมัยตอมา ทรงยงั ภิกษแุ ปดหมนื่ ส่ีพนั ซึง่ บวชตามพระขัณฑราช-โอรส และตสิ สกมุ ารบตุ รปุโรหิตใหด ม่ื อมฤตธรรม นน้ั เปน อภสิ มัยครั้งท่ี ๒ดว ยเหตนุ ้ัน จงึ ตรสั วา ตอ มาอีก พระผมู พี ระยศประมาณมิได ทรง ประกาศสจั จะ ณ เขมมคิ ทายวันนั้น อภิสมัยครงั้ ที่ ๒ ไดมแี กส ัตวแ ปดหมนื่ ส่พี ัน. แกอ รรถ บรรดาบทเหลา น้นั บทวา ตตถฺ ไดแก ณ เขมมคิ ทายวนั ในคาํ วา จตุราสีติสหสฺสานิ สมพฺ ทุ ฺธมนุปพฺพชุ น้ี บรุ ุษท่ีนบั ไดแ ปดหมืน่ สี่พนั เหลา น้ี กค็ อื พวกบุรุษที่รบั ใชพ ระวิปส สกี มุ ารนนั่ เอง บรุ ษุ เหลานน้ั ไปยังท่ีรับใชพระวปิ ส สีกมุ ารแตเชา ไมเห็นพระกุมาร กก็ ลบั ไปเพ่ือกนิ

พระสุตตนั ตปฎ ก ขทุ ทกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาท่ี 599อาหารเชา กินอาหารเขาแลว ถามกันวา พระกุมารอยูไ หน แตน น้ั ไดฟงขา ววา เสด็จไปยงั ท่รี าชอทุ ยาน จึงพากนั ออกไปดว ยหวังวาจักพบพระองค ณทรี่ าชอทุ ยานน้นั เห็นสารถขี องพระองคกลบั มา ฟงวาพระราชกุมารทรงผนวชแลว กเ็ ปลอื้ งอาภรณทัง้ หมดในท่ีฟงขา วนน่ั เอง ใหน าํ ผากาสายะมาจากภายในตลาด ปลงผมและหนวดพากนั บวช บุรษุ เหลาน้นั คร้ันบวชแลว กพ็ ากนั ไปแวดลอมพระมหาบรุ ุษ. แตน ้ัน พระวปิ ส สีโพธิสตั ว ทรงพระดํารวิ า เราเมอื่ จะบําเพ็ญความเพียร ยงั คลกุ คลอี ยู ขอ นไี้ มส มควร คนเหลา น้ี แตกอ น เปน คฤหัสถก็พากันมาแวดลอ มเราอยางนัน้ ประโยชนอ ะไรดวยคนหมูน้ี ทรงระอาในการคลุกคลีดวยหมู ทรงพระดํารวิ า จะไปเสียวนั น้แี หละ ทรงพระดําริอกี วา วันนีย้ งั ไมใชเ วลา ถาเราจกั ไปในวนั นี้ คนเหลา นน้ั จกั รกู นั หมด พรุงนีจ้ ึงจักไป ในวันนน้ั นนั่ เอง มนษุ ยช าวบาน ในบา นตาํ บลหนง่ึ เชน เดยี วกับอรุ เุ วลคาม ไดจัดแจงขาวมธปุ ายาสอยางเดยี ว เพอ่ื บรรพชิตแปดหมื่นส่ีพนั เหลาน้นั และ พระ-มหาบรุ ุษ. ในวนั รุงข้ึน เปน วันวิสาขบรู ณมี พระวปิ สสมี หาบรุ ุษ เสวยภตั ตาหารกับชนทบ่ี วชเหลา นั้นในวันนั้นแลว ก็เสด็จไปยังสถานทปี่ ระทบั อยู ณ ที่นน้ับรรพชิตเหลา นั้น แสดงวัตรปฏบิ ัติแดพระมหาบรุ ุษแลว ก็พากนั เขาไปยังสถานท่ีอยูก ลางคืนและทพ่ี กั กลางวันของตนๆ. แมพ ระโพธิสัตว ก็เสด็จเขาไปสบู รรณศาลา ประทับน่งั ทรงพระดําริวา น้เี ปน เวลาเหมาะที่จะออกไปได จงึ เสดจ็ ออกอภเิ นษกรมณ ทรงปดประตูบรรณศาลา เสด็จบายพระพักตรไ ปยังโพธมิ ณั ฑสถาน นยั วา บรรพชติ เหลานน้ั เวลาเยน็ ก็พากันไปยังทป่ี รนนิบัตพิ ระโพธสิ ัตว น่งั ลอ มบรรณศาลา กลาววา วกิ าลมดื คํ่าแลว ตรวจกนั ดูเถิด จึงเปด ประตูบรรณศาลากไ็ มพบพระองค

พระสตุ ตนั ตปฎ ก ขุททกนกิ าย พทุ ธวงศ เลม ๙ ภาค ๒ - หนาที่ 600คดิ กันวา พระมหาบรุ ษุ เสดจ็ ไปไหนหนอ ยงั ไมพากันติดตาม คิดแตว าพระมหาบุรษุ เหน็ ทจี ะเบอ่ื การอยูเปน หมู ประสงคจ ะอยูแตล ําพงั เราจะพบพระองคเ ปน พระพุทธเจา เทา นนั้ จึงพากันออกจารกิ มงุ หนาไปภายในชมพทู วปีลําดับน้ัน บรรพชิตเหลา น้ันฟง ขาววา เขาวา พระวปิ สสถี งึ ความเปนพระพุทธเจาแลว ประกาศพระธรรมจักร จึงประชมุ กันทีเ่ ขมมิคทายวัน กรุงพนั ธุมดีราชธานี โดยลําดบั . แตน้ัน พระผมู ีพระภาคเจากท็ รงแสดงธรรมโปรดบรรพชิตเหลานนั้ ครัง้ น้นั ธรรมภสิ มัย ไดม ีแกภ ิกษแุ ปดหมืน่ ส่พี นั นน้ั เปนอภสิ มยั คร้งั ท่ี ๓. ดว ยเหตุน้นั จงึ ตรสั วา บรุ ุษแปดหมน่ื สี่พัน บวชตามเสด็จพระวิปสสี สัมพุทธเจา พระผูมีจักษุทรงแสดงธรรมโปรดบรรพ- ชิตเหลานัน้ ซ่ึงมาถงึ อาราม. บรรพชิตแมเ หลานน้ั ฟงธรรมของพระองค ซ่ึง ตรสั ประทาน โดยอาการทั้งปวง ก็บรรลุธรรมอัน ประเสริฐ อภสิ มัยครั้งที่ ๓ กไ็ ดม แี กบ รรพชิตเหลา- น้นั . แกอรรถ ในคําวา จตรุ าสตี สิ หสฺสานิ สมฺพทุ ฺธ อนุปพพฺ ชุ นี้ ในคาถานัน้ พงึ ทราบวา ทานทําเปน ทตุ ิยาวภิ ัตติวา สมพฺ ทุ ธฺ  โดยประกอบนคิ คหติไว ความวา บวชภายหลงั พระสมั พุทธเจา พงึ ถือลกั ษณะตามศัพทศาสตรปาฐะวา ตตฺถ อารามปตตฺ าน ดังนก้ี ม็ ี. บทวา ภาสโต แปลวา ตรัสอยู.บทวา อุปนสิ าทิโน ความวา ผเู สดจ็ ไปประทานธรรมทานถามอปุ นสิ สัย !เตป ไดแ ก บรรพชิตนับไดแปดหมน่ื สี่พันเหลา น้ัน เปน ผรู บั ใชพระวปิ สสี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook