Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 64 รายงานผลการวิจัย

64 รายงานผลการวิจัย

Published by วิจัย แม่โจ้, 2022-06-10 04:17:13

Description: 64 รายงานผลการวิจัย

Search

Read the Text Version

79 แสดงออกแห่ง พ่อพระแม่พระผูห้ น่ึง และรักมากราวกนั พ่อแม่ของตนจริง ๆ ย่ิงมีผู้ใหญ่เป็ นคนดีจำนวน ความเจริญรุ่งเรือง มำกเพยี งไร กเ็ ป็ นกำรแสดงออกแห่งควำมเจริญรุ่งเรืองของหม่ชู นมำกเพยี งน้ัน ศาสนาและ ของหมชู่ นมาก ผูป้ ระกาศสอนธรรมการสงเคราะห์โลกดว้ ยวิธีต่างๆ โดยไม่คิดค่าตอบแทนในอามิสและ เพียงน้นั สินจ้างรางวัลใดๆ ซ่ือว่าผูส้ ร้างความกระหย่ิมปริ่มด้วยความเมตตาวิหารธรรม และ อนั มีศาสนาเป็น จงรักภักดีแก่ประชำชนได้รับไม่มีวันจืดจำงอิ่มพอ หลับและตื่นเขำย่อมระลกึ บูชำเป็ นขวญั แหล่งผลติ คนดี ตำขวัญใจอยู่ตลอดเวลำ ไปท่ีไหนไม่เป็นภยั แก่โลก นอกจากสร้างบุญสร้างคุณแก่ผูอ้ ่ืนให้ เพราะศาสนาเป็ น เต็มต้ืนไปดว้ ยความปี ติยินดีโดยทวั่ กนั ถ่ายเดียวเท่าน้ัน 72ศาสนากบั ผูส้ งเคราะห์โลกด้วย แหล่งแห่งความดี ธรรมและอามิส จึงเป็นเหมือนนายแพทยแ์ ละนางพยาบาลท่ีมีความสงสารเมตตาเท่ียวแจก ท้งั มวล ยาและรักษาโลกให้หมู่ชนจาเป็ นท่ีชีวิตอย่กู บั ยาและหมอ แมเ้ ขาหายโรคแลว้ แต่บุญคุณที่ ทาประโยชน์แก่ เขาระลึกตอ่ หมอผมู้ ีคณุ น้นั จะไม่มีวนั ลืมเลย น่ีแลอานาจของความดี ไม่เลือกชาติช้นั วรรณะ หมู่ชน ย่อมมีความปรารถนาทวั่ หน้ากัน ควำมดีและศำสนำจึงมิได้เป็ นของล้ำสมัยดังท่ีบำงคน อริยสัจของจริงอนั เข้ำใจ ท้ังที่เขำก็ยังหวังพ่ึงผู้อื่นอยู่ด้วย ควำมกระหำยต่อควำมเมตตำอำรีของท่ำนผู้ใจบุญ ประเสริฐ ท้ังหมด อนั มีศาสนาเป็ นแหล่งผลิตคนดี เพราะศาสนาเป็ นแหล่งแห่งความดีท้งั มวล ถา้ มิใช่คนดีจะนาศาสนาออกสอนโลกไมไ่ ดแ้ น่นอน หลกั ศาสนาอยา่ งนอ้ ยกค็ อื หวั ใจของคนดี ร่มเงาแห่งใจที่ขาว นน่ั แล ยง่ิ กว่าน้นั ก็คือ หัวใจของท่ำนที่บริสุทธ์ิวิมุติธรรมท้ังดวง ดงั ศาสดาของศาสนาพทุ ธ สะอาดของท่านผู้ เป็นตน้ 73จะเป็นใครอื่นมาจากท่ีไหนท่ีจะมีแก่ใจและความสามารถใครบ้ำงท่ีมแี ก่ใจเสียสละ ไมเ่ ห็นแกต่ วั เพ่ือหมู่ชนเหมือนหวั ใจของเจา้ ของศาสนาผ้นู ำธรรมออกสอนโลก ดงั พระพุทธเจา้ ท้งั หลาย งานประจาของ ท่ีทรงเสียสละเต็มพระทยั แล้ว และพระสาวกอรหันต์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ท่ี ทำ อวชิ ชาไม่มีรังเกียจ ประโยชน์แก่หมู่ชน ถา้ ไม่ใช่ท่านผูม้ ีใจขาวสะอาดปราศจากความเห็นแก่ตวั แลว้ จะยอม พอใจท้งั รักท้งั ชงั เสียสละทุกอย่ำงเพื่อโลกไม่ได้เลย ขอ้ น้ีน่าเชื่อเหลือเกิน แมไ้ ม่มีใครเช่ือดว้ ยก็ยอมโง่เช่ือคน พอใจท้งั เกลียดท้งั เดียว เพราะเราท่านเกิดมาในโลกน้ีก็นานพอจะทราบความคับแคบ ความกว้างขวาง โกรธ ความเห็นแก่ตวั ความเห็นแต่ผอู้ ่ืนเพ่ือนฝูงที่เป็ นมนุษยด์ ว้ ยกนั ไดด้ ี เพราะต่างก็อยโู่ ลกอนั เดียวกนั ความทุกขส์ ุกดิบเก่ียวเนื่องกนั อยทู่ ุกวนั เวลาอยา่ งแยกไม่ออก จะไมท่ ราบเรื่องของ กิเลสทาลายคน กนั น้นั เป็นไปไม่ได้ ตอ้ งทราบแน่นอน 74คนท่ีเบื่อหน่ายเกลียดชงั กนั เพราะทรำบเร่ืองของ ทาลายความเพยี ร กัน คนที่รักชอบใจตายใจเชื่อสนิทต่อกันก็เพราะทราบเรื่องของกัน การแสดงออกแห่ง ของนกั ปฏิบตั ิ ศาสนาของศาสดาแต่ละองค์ซ่ึงเป็ นกำรสะเทือนโลกธำตุ เพราะการปลุกปลอบใจสัตว์ ท้งั หลายใหต้ ่ืนจากหลบั ท่ีเคยจมอยใู่ นกองกิเลสท้งั หลายใหฟ้ ้ื นตื่นตวั ดว้ ยธรรมจกั รท่ีหมุ่น ไปดว้ ยอริยสัจของจริงอนั ประเสริฐ ทาไมจะทราบไมไ่ ดว้ า่ บคุ คลเช่นไรเป็นผปู้ ระกาศ และ ประกาศดว้ ยอัธยำศัยท่ีสัมปยุตดว้ ยอะไร ถา้ ไม่สัมปยุตดว้ ยพระเมตตำตำมหำคุณล้นโลก แลว้ ผเู้ ขียนกไ็ ม่ทราบจะเรียนอยา่ งไรจึงจะสมใจของทา่ นผอู้ า่ นท้งั หลาย ถา้ ทา่ นเป็นเสมือน เราๆ ท่านๆ ท่ีขดุ คน้ ดูในตวั ในใจเห็นแต่ควำมคบั แค้นตีบตวั ควำมเหน็ แก่ตัวแบบเข้ำกับใคร ไม่ได้น้ีแลว้ ศาสนาและศาสดาจะไม่มีวนั อุบตั ิข้ึนมาให้โลกไดก้ ราบไหวบ้ ูชาเป็ นขวญั ตา ขวญั ใจไดเ้ ลย 75เท่าที่โลกยงั เป็นโลกและมีคนดีคนชวั่ ปนกนั อยู่ ไม่สูญปราชญร์ าชบณั ฑิต ไปจากพนั ธุ์มนุษย์ ก็เพราะอำศัยร่มเงำแห่งใจที่ขำวสะอำดของท่ำนผู้ไม่เห็นแก่ตัวกลัวคน

80 อ่ืนจะดีกว่ำ มาชุบเล้ียงชโลมไวด้ ว้ ยศาสนธรรมนนั่ เอง จึงพอมีคนดีไวป้ ระดบั โลก การเกิด มาเป็นมนุษยจ์ ึงไมค่ วรคิดเอางา่ ย ๆ วา่ เป็นภพที่เกิดไดง้ า่ ยและตายยาก แต่อาจเป็นภาพท่ีเกิด ง่ายตามง่าย และเกิดยากตายง่ายเช่นเดียวกับสัตวท์ ่วั ไป เพราะชีวิตเป็ นอยู่กับธาตุขนั ธ์ เหมือนกัน ลมหายใจหยุดหมดความสืบต่อก็คือคนสัตว์ตายนั่นแล จะเรียกอย่างไรให้ ยิ่งกว่าน้นั ไปอีกได้ จะมีความเท่ียงทนถาวนท่ีไหนพอจะประมาณนอนใจไม่คิดอ่านเรื่อง ของตวั พอเป็นสุคตินิสยั สืบไปในอนาคต 76รักชงั เกลียดโกรธ เป็นงานประจาของอวิชชาไม่ มีรังเกียจพอใจท้งั รักท้งั ชัง พอใจท้งั เกลียดท้งั โกรธ แมจ้ ะมีความทุกข์ทรมารแก่ผูร้ ับใช้ เพียงไร อวิชชาเป็ นไม่ยอมให้ถอด ยุให้รักให้ชงั ให้เกลี่ยให้โกรธ จนผูร้ ับผลเกิดความฉิบ หายป่ นป้ี ไปเพราะสิ่งเหล่าน้ี อวิชชาก็ไม่ยอมเห็นใจและสงสาร บงั คบั ให้ทาจนผูร้ ับใช้ แหลกลาญไปกบั มนั นนั่ แลคือความเป็นธรรมของอวิชชาทกุ ๆ อวิชชาที่มีอยใู่ นใจสัตวโ์ ลก งานที่อวิชชาพาให้ทาน้นั ไม่มีวนั ส้ินเสร็จสาเร็จเหมือนงานอ่ืนๆ นอกจากแตกแขนงกว้ าง ขวางออกไปเร่ือยๆ ไม่มีวนั เวลาเป็นกฎเกณฑ์ขอบเขตเทา่ น้นั 77กเิ ลสทำลำยคนทำลำยควำม เพียรของนักปฏิบัติ มนั ทาลายต่อหน้าต่อตาและทาเอาอยา่ งสดๆ ร้อนๆ ดว้ ยวิธีกล่อมหลบั สนิทขณะทาลงั ทาความเพียรนน่ั เอง ถา้ อยากทราบวา่ กิเลส ประเภทต่างๆ มีความสามารถ อาจเอ้ือมเพียงไรย่อมจะทราบไดท้ ุกระยะ แมข้ ณะเร่ิมจะทาความเพยี รก็ทราบไดไ้ ม่ยากเยน็ อะไรแลย แต่โดยมากไม่อยากทราบกนั อยำกทรำบแต่สมำธิสมบัติมรรคผลนิพพำนอย่ำง เดียว หาทราบไมว่ า่ ธรรมเหล่าน้ีจะปรากฏข้ึนมาไดเ้ พราะอะไร ถา้ ไม่ใช่เพราะสติกบั ปัญญา เป็ นเคร่ืองมือบุกเบิกอนั สาคญั หาใช่เพราะความเผอเรอไม่ พอท่ีจะไม่สนใจระวงั มนั อนั เป็นตวั ทาลายธรรมท้งั หลายท่ีตนพงึ ประสงค์ ตารางที่ 4.1.2 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “ประสบกำรณ์โลกทิพย์ในกำรออกธุดงค์” ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงป่ มู น่ั ภรู ิทตั โต แนกตามแนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั N2] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ 78“พุทโธ” หายประสบการณ์โลกทิพย์ ชาวบา้ นมาถามว่า ตวั เจา้ เดินกลบั มา และหลบั ตานิ่ง ตามหา พทุ โธ หาย เรำตำมหำพุทโธ ดวงแกว้ อนั วิเศษ สุดประเสริฐ พุทโธ ตวั เจา้ หายมานาน “พุทโธ” หายแเดิน แลว้ เหรอ ถา้ พวกเจา้ ช่วยกนั หา พุทโธ เป็ นดวงแกว้ ใหญ่หรือไม่ ใครหำพบ คนน้ันเป็ นผู้ กลบั มา และหลบั ตานิ่ง ประเสริฐเป็ นตำทิพย์ มองเหน็ ได้ ลกู ตายเมียตาย ผวั ตาย ดวงแกว้ สวา่ งมากยง่ิ กวา่ แสดงพระ ตามหา พทุ ดวงแกว้ อาทิตย์ เห็นหมดดง่ั นรกสวรรค์ ผูห้ ญิงก็ช่วยกนั หาได้ เด็กก็หาได้ ดวงแกว้ พุทโธประเสริฐ อนั วเิ ศษ สุดประเสริฐ ผีกลวั พุทโธมาก 79พุทโธเป็ นดวงแกล้วสว่ำงไสว มีหลายสี นบั ไม่ถว้ น เป็นองคแ์ ห่งความรู้ พทุ โธ ใครหาพบ เป็น สว่างไสว เป็ นหาไม่เจอ หาไม่เจอ ถา้ พวกสูเจา้ พุทโธให้ช่วย พำกันน่ังไม่ส่งจิตออกนอก ผปู้ ระเสริฐเป็นตาทพิ ย์ กำย การนงั่ หรือเดินหาพุทโธ ใหน้ งั่ หรือเดินเท่าใด หมอ้ ขา้ วเดือด เทา่ น้นั ตอนแรก เอาเทา่ น้ี มองเห็นได้ ก่อน พุทโธเป็ นดวงแกลว้ สวา่ งไสว เป็นองคแ์ ห่ง ความรูส้ วา่ ง พทุ โธให้ ช่วย พากนั นง่ั ไมส่ ่งจติ ออกนอกกาย การนงั่ หรือ เดินหาพทุ โธ

81 หลกั กำร 80พระอาจารยม์ นั่ ไดอ้ รรถาพากนั กลบั ไปเม่ือเขาจะไปก็ลุกไปเฉย ๆ พวกชาวบา้ นหัวหนา้ หมู่บา้ น เร่ืองดวงแก้วพุทโธ เป็ นของดีของวิเศษพำกันไปท่อง พุทโธ กันท่องในใจหำพุทโธ พากนั ไปทอ่ ง พุทโธ ได้ ชาวบา้ นป่ า เป็นคนซื่อโดยกาเนิด ปรากฏวา่ ไม่นาน ชาวป่ าคนหน่ึงประสบเข้ำธรรมะ กนั ทอ่ งในใจหาพุทโธ เข้ำสงบเล่ำพระอำจำรย์ม่ัน ว่าเห็นพระอาจารยเ์ อาเทียนไปจุดสวา่ งไสว ไปหมด มีความสุข ได้ ทางใจอยา่ งบอกไม่ถูก 81พระอาจารยบ์ อกให้ฝึ กข้ันสูงตำมลำดับ สำมำรถบังคับดวงแก้วให้ ใหภ้ าวนาพทุ โธให้ ขนำดใหญ่ขนำดเล็ก และล่วงรู้จิตใจผู้อื่น มีควำมเศร้ำงหมองและแจ่มใจเพียงใด พระ จิตใจสว่าง “พุทโธ” อาจารยม์ น่ั ชอบใจ จิตของเราเป็นอยา่ งไร จิตของทา่ นสวา่ งไสว พระมีประเสริฐที่สุดในโลก หายใหต้ ามหาพุทโธ ตุ๊เจา้ มาอยู่นาน ทาไมไม่สอนเราบา้ ง จะใหเ้ ราสอนอยา่ งไร เราไม่รู้วา่ เป็นผวู้ ิเศษ ตุ๊เจา้ นงั่ ใหฝ้ ึกข้นั สูงตามลาดบั หลบั ตามทาไม “พุทโธ” หำยให้ตำมหำพุทโธ ดวงแกว้ สว่างไสว เป็ นอุบายอนั ฉลาด 82ให้ บงั คบั ดวงแกว้ ให้ ภาวนาพุทโธให้จิตใจสว่างไสว ให้เราไดบ้ ุญใหญ่ประเสริฐมีจิตใจในตนเอง มีอำนำจจิต ขนาดใหญ่ขนาดเล็ก อภิญญำ เห็นจิตผอู้ ่ืน ๆ ได้ แต่ไม่สามารถเห็นจิตใจสูง แต่เพราะอาจารยใ์ ห้เห็นได้ ผไู้ ด้เจ และลว่ งรู้จิตใจผอู้ ื่น มี โตปริยญำณ จากดั ตามช้นั อภิญญาตรวจสอบจิต โสดาบนั ไดอ้ ภิญญา ตรวจสอบได้ เพราะ ความเศร้างหมอง ไดอ้ ำนำจโลกตุ ตรธรรม และรู้ต่ากวา่ ตนได้ แต่จะรู้สูงกวา่ ตนไมไ่ ด้ และแจ่มใจ ภาวนาพุทโธให้จิตใจ 83ตวั อยา่ ง โยคี แสดงฤทธ์ิไดห้ ลายประการ อภิญญาไดฌ้ านโยคีเท่าน้นั คนโลกอยเู่ หนือโลก สวา่ ง อานาจจิต ประการท้งั ปวง หลวงป่ มู น่ั มีสถานที่หน่ึง อาเภอแม่แตง เชียงใหม่ ชาวบา้ นท้งั หมู่บา้ นเป็ น อภญิ ญา เห็นจิตผอู้ ่ืน ๆ โรคเร้ือนมาอยูร่ วมกนั ดวั ยเหตุวา่ รังเกียจและติดต่อ บริเวณแม่งดั พบหลวงป่ ูสิน ธรรมจา ได้ ไดเ้ จโตปริยญาณ โร และได้แสวงวิเวกต่อไป หลวงป่ ูมน่ั ร่วมอาศัยอยู่ด้วย ชาวบ้านมีความยินดียอย่างย่ิง อภญิ ญาตรวจสอบจิต ชาวบา้ นมีโอกาสทาบุญทาทาน นิมนตม์ าอยู่กนั นาน ปฏิบตั ิศาสนากิจตามอตั ภาพ ไม่ได้ ไดอ้ านาจโลกุตตร แสดงอาการรังเกรียจ มีน้าเหลืองไหลเย้ือม หลวงป่ ูขบฉันทต์ ามปกติ ชาวบา้ นน้าเหลืองใส่ ธรรม บาตร หลวงป่ ไู มร่ ังเกียจพวกตนจริงเหรอ พวกคนไดเ้ ห็นหลวงป่ ปู ฏิบตั ิแลว้ ขบฉนั ทอ์ าหาร ไม่กลวั ติดโรค สัตว์ท้ังหลำยมีกรรมเป็ นของ ของ ตนเรำทำกรรมร่วมกับใคร เรำชื่อกรรม วธิ ีกำร เชื่อปผลของกรรม เรำไม่เกดิ ควำมรังเกยี จใด ๆ น่ังสมำธิเดินจงกลม ข้อวตั ร เดนิ จงกลมอยู่ หลวงป่ ูมีเสือคราม เราจะเดินจงกรมอยู่ท่ีน้ี จะกินก็กินเสือก็เดินจากไป หลวงป่ ูเกิดปี ติ ไม่ สัตวท์ ้งั หลายมี กลวั ความตาย ปฏิบตั ิอย่างแทจ้ ริง หลวงป่ ูอยู่เดือน พระอาจารย์ ไปอาศยั อยู่ชาวบา้ นโรค กรรมเป็นของ ของ เรือน พระอาจารยเ์ นียมเรียนว่า ท่านเหรียญไปอยู่กบั คน ข้ีทูต หลวงป่ ูกล่าวพระอาจารย์ ตนเราทากรรม เนียม หมู่คณะไม่คลายรังเกียจกลวั ติดโรคเรือนจากหลวงป่ ู 84เทวดามาเยี่ยมหลวงป่ ูมน่ั ร่วมกบั ใคร เราช่ือ เทวดำมีควำมสุขมำกเพราะกระแสแผ่เมตตำ บอกไม่ถูกอศั จรรย์ ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย กรรมเชื่อปผลของ ทา่ นพกั อยทู่ ่ีไหน ยอ่ มสะเทือนใครอยทู่ ี่ไหนไดย้ นิ ไดเ้ ห็น หลวงป่ ูมนั่ หวั หนา้ เทวดา กเ็ ป็น กรรม มนุษย์ไม่เห็นได้ยินกันบ้าง มนุษย์เขำจะรู้เร่ืองอะไร ตำหูจมูกลิ้นกำย เขำไม่ได้สนใจ ศีลธรรม มีน้อยทาน้อยชีวิตน้อยนิดเดียว มนุษยต์ ามกี่ร้อยคร้ัง มนุษย์มีควำมประมำทมำก นง่ั สมาธิเดินจง มนุษย์ไม่รู้จักศีลธรรม ทำช่ัวฝ่ ำยเดียว พอลมหายใจไปแลว้ เวลามนุษยต์ ามแลว้ กุสลำธัมมำ กลม ขอ้ วตั ร พอตำยแล้วกรรมชั่วก็มัดวิญญำณเขำไปแล้ว ไม่สนใจฟังเทศน์ฟังธรรม เวลาท่านสาธยาย กุสรำธัมมำ มนุษย์ไม่สนใจศำสนำ สัตวเ์ ดรัจฉาบางตวั ไม่อย่างฟัง ชอบอย่างไม่มีวนั เบ่ือ เทวดามาเย่ียม หลวงป่ ูมน่ั เทวดา มีความสุขมาก เพราะกระแสแผ่ เมตตา บอกไม่ถกู อศั จรรย์ กสุ ราธมั มา มนุษยไ์ ม่สนใจ ศาสนา เทวดาเป็นผมู้ ีตา ทิพยด์ ีชวั่ ไดด้ ีกว่า มนุษย์

ผล 82 ฆราวาส ตอ้ งปฏิบตั ิ พวกเทวดาสนใจรู้เรื่องมนุษยไ์ ด้ ดี ท่านรู้ดีกว่าคนเป็นไหน ๆ เทวดา จึงยอมกราบไหวท้ า่ น กายเทวดา มใี จผ่องใส 85เทวดำเป็ นผู้มีตำทิพย์ดีชั่ว ได้ดีกว่ำมนุษย์ ไม่ตดั เตือนกนั บา้ ง เทวดา ไม่เห็นวา่ มีก่ีมนุษย์ จึงเห็นได้ เทวดาเห็น เป็นสมภูมิ ในโลกน้ี มีสัตวห์ ลายประเภทอยูด่ ว้ ยกนั มนุษยย์ อมรับวา่ มีเทวดา นบั แต่เกิดมา สาปคาวมนุษย์ มนุษย์ นบั แต่มนุษยไ์ มส่ นใจกบั เทวดา นอกจากเห็นอะไรผิด ผีกนั ท้งั น้นั จะเห็นดชี อบอย่ำงเทวดำ ท่มี ีศีลธรรมหอมหวน เทวดาจะตกั เตือนไดอ้ ยา่ งไร ปลอ่ ยไป เทวดากเ็ หมือนกนั พวกเทวดารู้นิพพานกนั ดว้ ยเหรือ ไม่น่ารงั เกียจ พระพุทธเจา้ องคใ์ ดมาสั่งสอนโลก สอนไปนิพพานกนั นิพพานพวกเทวดาจาไดอ้ ย่างติดใจ เทวดามีกรรมหนา ไม่ไดไ้ ปนิพพานกัน สิ้นควำมทุกข์มีส่วนกรรมดีกรรมช่ัว มีมากน้อย กาหนดพิจารณาอีก พระที่พดู กบั เทวดารู้เรื่องกนั โดยมาเป็นพระท่ีชอบบาเพญ็ ในป่ าเขา จิตรวมลงไป เขา้ ถึง 86 ส่วนฆราวาส ต้องปฏิบตั ิ กายเทวดา มีใจผ่องใสจึงเห็นได้ เทวดาเห็นสาปคาวมนุษย์ เอกคั คตาญาณเกิดบุ มนุษย์ที่มีศีลธรรมหอมหวนไม่น่ำรังเกยี จ มนุษยเ์ บ่ือศีลธรรมน่ารังเกียจ จึงไม่อย่างเขา้ ใกล้ เพนิวาสนุสติญาณ เทวดามีความรู้สึกดงั เดิมมาอยา่ งน้ี 87หลวงตาทองคาไดก้ ล่าวถึงรายละเอียด เลา่ กาเนิดหลวง ป่ ูมน่ั เกิดความรู้เห็นชาติภพ บุพเพนิวำสนุสติญำณ ท่านกาหนดพิจารณาอีกจิตรวมลงไป ฝนตกน้านองจิตเขา้ ถึงเอกัคคตำญำณเกิดบุเพนิวำสนุสตญิ ำณ ปัจจุบนั เราเป็นอยา่ งน้ี เราเกิด บา้ นเมือง มีผิวพรรณ มีความสุขเป็นเสนาบดี เป็นเวลาผ่านมา การระลึกชาติได้ ท่านเล่าไว้ ในที่อื่น ช่วงการบรรลุธรรม บางคร้ังหลวงป่ ูเล่ากาเนิดชาติภพก่อน ชาติหน่ึง น้องสาวเคย ช่วยเหลือ นางนุ่มสร้างวดั ป่ าสุทธาวาสให้ เกิดพม่า พระอาจารยเ์ สาร์เป็นผจู้ ดั การ อีกชาติ ลงั กาบวชเป็นพระสงั คยานะ กบั ภิกษุ ท่านวิริยงั คส์ หาย อีกชาติหน่ึงท่านเจา้ คุณ หลานชาย หัวด้ือ เทสก์ เทศรังสี ท่านไดฟ้ ังธรรมเฉพาะพระพุทธเจา้ ต้งั ใจส่วางไสว ความพิจารณา ธรรม ความปรารถนาสัมโพธิญาณของท่าน ตารางที่ 4.1.3 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “มุตโตทยั (ฉบับรวม)” ตามแนวทาง ปฏิบตั ิหลวงป่ ูมนั่ ภรู ิทตั โต จาแนกตามแนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั N3] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด 88กำรปฏิบัติเป็ นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธ์ิ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงแสดง เพยี รเรียนพระ ว่าธรรมของพระตถาคต เมื่อเขา้ ไปประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแลว้ ย่อมกลายเป็ น ปริยตั ิยงั ใชก้ าร ของปลอม (สัทธรรมปฏิรูป) แต่ถา้ เขา้ ไปประดิษฐานในจิตสันดานของพระอริยเจา้ แลว้ ไม่ไดด้ ี ตอ่ เมอื่ มา ไซร้ ยอ่ มเป็นของบริสุทธ์ิแทจ้ ริง และเป็นของไมล่ บเลือนดว้ ย เพราะฉะน้นั เมื่อยงั เพียรแต่ ฝึกหดั ปฏิบตั ิจิตใจ เรียนพระปริยัติถ่ำยเดียว จึงยังใช้กำรไม่ได้ดี ต่อเม่ือมำฝึ กหัดปฏิบัติจิตใจกำจัดเหล่ำ กาจดั เหล่า กะปอมก่ำ คือ อุปกิเลส แลว้ น่นั แหละ จึงจะยงั ประโยชน์ให้สาเร็จเต็มท่ี และทาให้พระ อปุ กิเลส สัทธรรมบริสุทธ์ิ ไม่วิปลาสคลาดเคลื่อนจากหลกั เดิมดว้ ย89“สติปัฏฐำน” เป็ น ชัยภูมิ คือ สนำมฝึ กฝนตน พระบรมศาสดาจารยเ์ จา้ ทรงต้งั ชยั ภูมิไวใ้ นธรรมขอ้ ไหน? เมื่อพิจารณา “สตปิ ัฏฐาน” เป็น ปัญหาน้ีไดค้ วามข้ึนว่า พระองค์ทรงต้ังมหำสติปัฏฐำนเป็ นชัยภูมิ อุปมาในทางโลก การ ชยั ภูมิ คอื สนาม รบทพั ชิงชยั มุ่งหมำยชัยชนะจำต้องหำชัยภูมิ ถา้ ได้ชยั ภูมิท่ีดีแล้วย่อมสามารถป้องกนั ฝึกฝนตน พระบรม ศาสดาจารยเ์ จา้ ทรง ต้งั ชยั ภูมไิ วใ้ นธรรม

83 ต้งั มหาสติปัฏฐาน อาวุธของขา้ ศึกไดด้ ี ณ ท่ีน้นั สามารถรวบรวมกาลงั ใหญ่เขา้ ฆ่าฟันขา้ ศึกให้ปราชยั พ่ายแพ้ เป็นชยั ภูมิ ไปได้ ท่ีเช่นน้ันท่านจึงเรียกว่ำ ชัยภูมิ คือท่ีท่ีประกอบไปด้วยค่ำยคูประตูและหอรบอัน มน่ั คงฉันใด อุปไมยในทางธรรมก็ฉันน้นั 90ที่เอำมหำสตปิ ัฏฐำนเป็นชยั ภูมิก็โดยผทู้ ี่จะเขา้ ตอ้ งพิจารณากายา สู่สงครามรบขา้ ศึก คือ กิเลส ต้องพิจำรณำกำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำนเป็ นต้นก่อน เพราะ นุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน คนเราที่จะเกิด กามราคะ เป็ นตน้ ข้ึนก็เกิดท่ีกายและใจ เพราะตาแลไปเห็นกำยทำให้ใจ เป็นตน้ กอ่ นกายทาให้ กำเริบ เหตุน้นั จึงไดค้ วามว่า กำยเป็ นเคร่ืองก่อเหตุ จึงตอ้ งพิจารณากายน้ีก่อน จะไดเ้ ป็ น ใจกาเริ บกายเป็ นเคร่ื อง เครื่องดับนิวรณ์ทำให้ใจสงบได้ ณ ที่น้ีพึง ทาให้มาก เจริญใหม้ าก คือพิจารณาไม่ตอ้ งถอย กอ่ เหตุจึงตอ้ งพิจารณา เลยทีเดียว 91ในเมื่ออคุ คหนิมติ ปรำกฏ จะปรากฏกายส่วนไหนก็ตามใหพ้ ึงถือเอำกำยส่วนที่ กายน้ีก่อนเป็ นเครื่อง ได้เหน็ น้นั พจิ ำรณำให้เป็ นหลกั ไว้ไม่ต้องย้ำยไปพจิ ำรณำท่ีอื่น จะคดิ วา่ ที่นี่เราเห็นแลว้ ท่ีอ่ืน ดบั นิวรณท์ าให้ใจสงบ ยงั ไม่เห็นก็ตอ้ งไปพิจารณาที่อื่น เช่นน้ีหาควรไม่ 92ถึงแมจ้ ะพิจารณาจนแยกกำยออกมำ ได้ เป็ นส่วนๆ ทุกๆอำกำรอนั เป็ นธำตุ ดนิ นำ้ ลม ไฟ ไดอ้ ยา่ งละเอียด ที่เรียกวา่ ปฏิภำคกต็ าม ก็ อคุ คหนิมติ ปรากฏ ใหพ้ ิจารณากายที่เราเห็นทีแรกดว้ ยอุคคหนมิ ติ น้นั จนชานาญ ที่จะชำนำญได้กต็ ้องพจิ ำรณำ ถอื เอากายส่วนท่ไี ด้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ณ ท่ีเดียวน้นั เอง เหมือนสวดมนต์ฉะน้ัน อันกำรสวดมนต์เมื่อเรำท่องสูตรนี้ เห็นพจิ ารณาเป็นหลกั ได้แล้ว ทิง้ เสียไม่เล่าไม่สวดไวอ้ ีก ก็จะลืมเสียไม่สาเร็จประโยชน์อะไรเลย เพราะไม่ทาให้ ไม่ตอ้ งยา้ ยไปพิจารณา ชานาญดว้ ยความประมาทฉนั ใด กำรพจิ ำรณำกำยกฉ็ ันน้นั เหมือนกัน เมื่อไดอ้ คุ คหนิมิตใน ทีอ่ น่ื ท่ีใดแลว้ ไม่พิจารณาในท่ีน้ันให้มากปล่อยทิ้งเสียดว้ ยความประมำทก็ไม่สำเร็จประโยชน์ พิจารณาแยกกายเป็ น อะไรอยา่ งเดียวกนั ส่วนๆ ทกุ ๆอาการเป็น 93กำรฝึ กตนดีแล้วจึงฝึ กผู้อ่ืน ช่ือว่าทาตามพระพุทธเจา้ ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺ ธาตุ ดิน น้า ลม ไฟ ได้ สาน พทุ ฺโธ ภควา สมเดจ็ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงทรมานฝึกหดั พระองคจ์ น อยา่ งละเอยี ดท่ีจะ ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็ น พุทฺโธ ผูร้ ู้ก่อน แล้วจึงเป็ น ภควำ ผูท้ รง ชานาญไดก้ ต็ อ้ ง จาแนกแจกธรรมส่ังสอนเวไนยสัตว์ สตฺถำ จึงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็ นผ้ฝู ึ กบุรุษผู้ พจิ ารณาซ้าแลว้ ซ้าอกี มีอุปนิสัยบำรมีควรแก่การทรมานในภายหลงั จึงทรงพระคุณปรากฏวา่ กลฺยาโณ กิตฺติสทฺ โท อพภฺ ุคคฺ โต ช่ือเสียงเกียรติศพั ทอ์ นั ดีงามของพระองคย์ อ่ มฟ้งุ เฟื่ องไปในจตรุ ทิศจนตราบ หลกั กำร เท่าทุกวนั น้ี แมพ้ ระอริยสงฆ์สำวกเจ้ำท้งั หลายท่ีล่วงลบั ไปแล้วก็เช่นเดียวกัน ปรากฏว่า ท่ำนฝึ กฝนทรมำนตนได้ดีแล้ว จึงช่วยพระบรมศำสดำจำแนกแจกธรรม สั่งสอนประชุม การฝึกตนดี จึงฝึก ชนในภายหลงั ท่านจึงมีเกียรติคุณปรากฏเช่นเดียวกบั พระผูม้ ีพระภาคเจา้ ถา้ บุคคลใดไม่ ผูอ้ ่นื ทา่ นพระอริย สงฆส์ าวกเจา้ ฝึกฝน ทรมำนตนให้ดีก่อนแล้ว และทำกำรจำแนกแจกธรรมส่ังสอนไซร้ กจ็ ักเป็ นผ้มู ีโทษ ปรำกฏ ทรมานตนไดด้ ีแลว้ ว่ำ ปำปโกสทฺโท คือเป็ นผูม้ ีชื่อเสียงชั่วฟุ้งไปในจตุรทิศ เพราะโทษท่ีไม่ทำตำมพระ จึงช่วยพระบรม สัมมำสัมพุทธเจ้ำ และพระอริยสงฆส์ าวกเจา้ ในก่อนท้งั หลาย94มูลมรดกอันเป็ นต้นทุนทำ ศาสดาจาแนกแจก กำรฝึ กฝนตน เหตุใดหนอ ปราชญท์ ้งั หลาย จะสวดกด็ ี จะรับศีลก็ดี หรือจะทาการกศุ ลใดๆ ธรรม ก็ดี จึงตอ้ งต้งั นโม ก่อน จะทิ้ง นโม ไม่ไดเ้ ลย เม่ือเป็นเช่นน้ี “นโม” ก็ต้องเป็ นสิ่งสำคญั จึง ยกขึ้นพิจำรณำ ไดค้ วามว่า น คือธำตุน้ำ โม คือ ธำตุดิน พร้อมกบั บาทพระคาถา ปรากฏ มลู มรดกอนั เป็นตน้ ทนุ ทาการฝึกฝนตนตอ้ งต้งั ข้ึนมาวา่ มาตาเปติกสมภุ โว โอทนกมุ มฺ าสปจจฺ โย สัมภวธาตขุ องมารดาบิดาผสมกนั จึงเป็น นโม กอ่ น“นโม” ตอ้ ง เป็นส่ิงสาคญั จึงยกข้ึน พิจารณา น คือธาตนุ ้า โม คือ ธาตดุ ิน ธาตุ พ คือลม ธ คือไฟ จิตเขา้ ไปอาศยั กลละ ค่อย เจริญเป็น อมั พชุ ะ คือ เป็นกอ้ นเลอื ด “มโน” แปลว่าใจ เป็น ด้งั เดิม เป็นมหาฐาน ใหญ่ จะทาจะพดู อะไรกย็ อ่ มเป็นไป จากใจท้งั หมด ธรรม

84 ท้งั หลายมใี จถึงก่อน ตวั ตนข้ึนมาได้ น เป็นธาตุของ มารดา โม เป็นธาตุของ บิดา ฉะน้นั เม่ือธาตุท้งั 2 ผสมกนั มใี จเป็นใหญ่ สาเร็จ เข้าไป ไฟธำตุของมำรดำเคี่ยวเขา้ จนได้นามว่า กลละ คือ น้ำมันหยดเดียว ณ ที่น้ีเอง แลว้ ดว้ ยใจ ใจ คือ ปฏสิ นธวิ ิญญำณเข้ำถือปฏิสนธิได้ จิตจงึ ได้ถือปฏสิ นธิในธำตุ นโม น้นั เมื่อจิตเข้ำไปอำศัย มหาฐาน แล้ว กลละ ก็ค่อยเจริญขึน้ เป็ น อัมพุชะ คือเป็ นก้อนเลือด เจริญจากกอ้ นเลือดมาเป็น ฆนะ มหาปัฏฐาน เป็น คอื เป็นแท่ง และ เป็นสี คอื ชิ้นเน้ือ แลว้ ขยายตวั ออกคลา้ ยรูปจิง้ เหลน จึงเป็นปัญจสาขา คือ อนนั ตนยั ปฏิบตั คิ อื แขน 2 ขา 2 หวั 1 ส่วนธำตุ พ คือลม ธ คือไฟ น้นั เป็นธำตเุ ข้ำมำอำศัยภำยหลังเพราะจิตไม่ ตวั มหาเหตแุ จม่ กระ ถือ เม่ือละจำกกลละน้นั แลว้ กลละก็ตอ้ งทิง้ เปลา่ หรือสูญเปลา่ ลมและไฟกไ็ ม่มี คนตำย ลม จา่ งสว่างโร่แลว้ ยอ่ ม และไฟก็ดบั หำยสำปสูญไป จึงว่ำเป็ นธำตอุ ำศัย ขอ้ สาคญั จึงอยทู่ ่ีธาตทุ ้งั 2 คือ นโม เป็นเดิม สามารถรู้อะไรๆ ท้งั 95ในกาลต่อมาเม่ือคลอดออกมาแลว้ ก็ตอ้ งอาศยั “น” มารดา “โม” บิดา เป็ นผู้ทะนุถนอม ภายในและภายนอก กล่อมเกลีย้ งเล้ียงมาดว้ ยการให้ขา้ วสุกและขนมกุมมาส เป็ นตน้ ตลอดจนการแนะนำส่ัง ทกุ ส่ิงทกุ ประการ สอนควำมดีทุกอย่าง ท่านจึงเรียกมำรดำบิดำว่ำ บุพพำจำรย์ เป็นผสู้ อนก่อนใครๆ ท้งั ส้ิน มลู การของ มารดาบิดาเป็นผมู้ ีเมตตาจิตต่อบุตรธิดาจะนบั จะประมาณมิได้ มรดกท่ีทาใหก้ ล่าวคอื “รูป สังสารวฏั ฏ์ จิต กำย” น้ีแล เป็ นมรดกด้ังเดิมทรัพยส์ ินเงินทองอนั เป็ นของภายนอกก็เป็ นไปจากรูปกายน้ี ด้งั เดิมคอื อาการ เอง ถา้ รูปกายน้ีไม่มีแลว้ ก็ทาอะไรไมไ่ ด้ ช่ือวา่ ไมม่ ีอะไรเลยเพราะเหตุน้นั ตวั ของเราท้งั ตวั อวิชชาเกิดข้ึน มี น้ีเป็น \"มูลมรดก\" ของมารดาบิดาท้งั สิ้น จึงว่าคุณท่านจะนบั จะประมาณมิไดเ้ ลย ปราชญ์ อวิชชาเป็นปัจจยั ให้ ท้งั หลายจึงหาไดล้ ะทิง้ ไม่ เราตอ้ งเอาตวั เราคอื นโม ต้งั ข้ึนก่อนแลว้ จึงทากิริยานอ้ มไหวล้ ง ปรุงแตง่ เป็นสังขาร ภายหลงั นโม ท่านแปลว่านอบน้อมน้นั เป็นการแปลเพียงกิริยา หาไดแ้ ปลตน้ กิริยาไม่ มูล พร้อมกบั ความเขา้ มรดกน้ีแลเป็นตน้ ทุน ทาการฝึกหดั ปฏิบตั ิตนไม่ตอ้ งเป็นคนจนทรัพยส์ าหรับทาทุนปฏิบตั ิ ไปยึดถอื จึงเป็นภพ มูลฐำนสำหรับทำกำรปฏิบัติ “นโม” น้ี เมื่อกลา่ วเพียง 2 ธาตุเท่าน้นั ยงั ไม่สมประกอบหรือ ชาติ ยงั ไม่เต็มส่วน ตอ้ งพลิกสระพยญั ชนะดงั น้ี คือ เอาสระอะจากตวั “น” มาใส่ตวั “ม” เอา สระ “โอ” จากตวั “ม” มาใส่ตวั “น” แลว้ กลบั ตวั “มะ” มาไวห้ น้าตวั “โน” เป็ น “มโน” สร้างสมเอาสมบตั ิ แปลว่ำใจ เมื่อเป็นเช่นน้ีจึงไดท้ ้งั กายท้งั ใจเต็มตามส่วน สมควรแก่การใชเ้ ป็นมูลฐานแห่ง ภายในคอื มรรคผล การปฏิบตั ิได้ “มโน” คือใจนี้เป็ นด้ังเดิม เป็ นมหำฐำนใหญ่จะทำจะพูดอะไรก็ย่อมเป็ นไป นิพพานธรรมวเิ ศษ จำกใจนีท้ ้ังหมด ไดใ้ นพระพุทธพจน์ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรม ไดก้ าเนิดเกิดเป็น ท้งั หลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็ นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ พระบรมศาสดาจะทรงบญั ญตั ิพระ มนุษย์ ซ่ึงเป็นชาติ ธรรมวินัย ก็ทรงบญั ญตั ิออกไปจาก ใจ คือมหำฐำน น้ีท้งั ส้ิน เหตุน้ีเม่ือพระสำวกผู้ได้มำ สูงสุด ต้งั อยใู่ น พิจำรณำตำมจนถึงรู้จัก “มโน” แจ่มแจ้งแล้ว มโน สุดบัญญัติ คือพน้ จากบญั ญตั ิท้งั ส้ิน ฐานะอนั เลิศคอื มี สมมติท้ังหลำยในโลกนี้ต้องออกไปจำกมโนท้ังสิ้น ของใครก็ก้อนของใคร ต่างคนต่าง กายสมบตั ิ วจี ถือเอากอ้ นอนั น้ี ถือเอำเป็ นสมมตบิ ัญญัตติ ำมกระแสแห่งน้ำโอฆะจนเป็นอวชิ ชา ตวั ก่อภพ สมบตั ิ ก่อชาติดว้ ยการไม่รู้เท่า ดว้ ยการหลง หลงถือว่าเป็ นตวั เรา เป็ นของเราไปหมด 96 มูลเหตุ แห่งสิ่งท้ังหลำยในสำกลโลกธำตุ พระอภิธรรม ๗ คมั ภีร์ เวน้ มหาปัฏฐาน มีนัยประมาณ เท่าน้นั เท่าน้ี ส่วนคมั ภีร์มหาปัฏฐาน มีนัยหำประมำณมิได้เป็ น \"อนันตนัย\" เป็นวิสัยของ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ เท่าน้นั ที่จะรอบรู้ได้ เม่ือพิจารณาพระบาลีที่ว่า เหตุปจฺจโย น้ันได้

85 ความว่า เหตุซ่ึงเป็ นปัจจยั ด้งั เดิมของส่ิงท้งั หลายในสากลโลกธาตุน้นั ไดแ้ ก่ มโน นน่ั เอง มโน เป็ นตวั มหาเหตุเป็ นตวั เดิม เป็ นสิ่งสาคญั นอกน้ันเป็ นแต่อาการเท่าน้ัน อารมฺมณ จนถึงอวิคฺคต จะเป็นปัจจยั ไดก้ เ็ พราะมหาเหตุคือใจเป็นเดิมโดยแท้ ฉะน้นั มโนซ่ึงกล่าวไว้ ในข้อ 4 ก็ดี ฐีติ ภูต ซ่ึงจะกล่าวในข้อ 6 ก็ดี และมหาเหตุซ่ึงกล่าวในข้อน้ีก็ดี ย่อมมี เนื้อควำมเป็นอนั เดียวกนั พระบรมศาสดาจะทรงบญั ญตั ิพระธรรมวนิ ยั ก็ดี รู้อะไรๆ ไดด้ ว้ ย ทศพลญำณ กด็ ี รอบรู้ สรรพเญยฺยธรรม ท้งั ปวงกด็ ี ก็เพราะมีมหาเหตุน้นั เป็นด้งั เดิมทีเดียว จึงทรงรอบรู้ไดเ้ ป็นอนนั ตนยั แมส้ าวกท้งั หลายก็มีมหาเหตุน้ีแลเป็นเดิม จึงสามารถรู้ตาม คาสอนของพระองคไ์ ดด้ ว้ ยเหตุน้ีแลพระอสั สชิเถระผูเ้ ป็นท่ี 5 ของพระปัญจวคั คียจ์ ึงแสดง ธรรมแก่ อุปติสฺส (พระสารีบุตร) ว่า เย ธมฺมา เหตุปภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิ โรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ ความวา่ ธรรมท้งั หลายเกิดแต่เหต.ุ ..เพราะวา่ มหาเหตุน้ีเป็ นตวั สาคญั เป็นตวั เดิม เม่ือท่านพระอสั สชิเถระกล่าวถึงท่ีน้ี (คือมหาเหตุ) ท่านพระสารีบุตรจะ ไม่หยง่ั จิตลงถึงกระแสธรรมอยา่ งไรเล่า? เพราะอะไร ทุกส่ิงในโลกก็ตอ้ งเป็นไปแต่มหา เหตุถึงโลกตุ ตรธรรม กค็ ือมหาเหตฉุ ะน้นั มหาปัฏฐาน ท่านจึงวา่ เป็น อนนั ตนยั ผมู้ าปฏิบตั ิ ใจคือตวั มหาเหตุจนแจ่มกระจ่างสว่างโร่แลว้ ยอ่ มสามารถรู้อะไรๆ ท้งั ภายในและภายนอก ทกุ สิ่งทุกประการ สุดจะนบั จะประมาณไดด้ ว้ ยประการฉะน้ี 97มลู กำรของสังสำรวัฏฏ์ ฐีติ ภูต อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา อุปาทาน ภโว ชาติ คนเราทุกรูปนำมที่ได้กำเนิดเกิดมำเป็ น มนุษย์ลว้ นแลว้ แต่มีที่เกิดท้งั สิ้น คือมีบิดำมำรดำเป็ นแดนเกิด ก็แลเหตุใดท่านจึงบญั ญตั ิ ปัจจยาการแต่เพียงว่า อวิชฺชา ปจฺจยา ฯลฯ เท่าน้ัน อวิชชา เกิดมาจากอะไรฯ ท่านหาได้ บญั ญตั ิไวไ้ ม่ พวกเราก็ยงั มีบิดามารดาอวิชชาก็ตอ้ งมีพ่อแม่เหมือนกนั ไดค้ วามตามบาท พระคาถาเบ้ืองตน้ วา่ ฐีติภูต นน่ั เองเป็ นพ่อแม่ของอวิชชา ฐีติภูต ไดแ้ ก่ จิตด้ังเดิม เม่ือฐีติ ภูต ประกอบไปด้วยความหลง จึงมีเคร่ืองต่อ กล่าวคือ อำกำรของอวิชชำเกิดข้ึน เมื่อมี อวิชชำแล้วจึงเป็ นปัจจัยให้ปรุงแต่งเป็ นสังขำรพร้อมกับควำมเข้ำไปยึดถือ จึงเป็ นภพชำติ คือต้องเกิดก่อต่อกนั ไป ท่านเรียก ปัจจยาการ เพราะเป็ นอำกำรสืบต่อกัน วิชชาและอวิชชา กต็ อ้ งมาจากฐีติภตู เช่นเดียวกนั เพราะเมื่อฐีติภตู กอปรดว้ ยวิชชาจึงรู้เทา่ อาการท้งั หลายตาม ความเป็ นจริง นี่พิจารณาด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา รวมใจความว่า ฐีติภูต เป็ นตัวกำร ด้ังเดิมของสังสำรวัฏฏ์ (กำรเวียนว่ำยตำยเกิด) ท่านจึงเรียกช่ือว่า \"มูลตนั ไตร\" (หมายถึง ไตรลกั ษณ์) เพราะฉะน้นั เม่ือจะตดั สังสารวฏั ฏใ์ หข้ าดสูญ จึงตอ้ งอบรมบ่มตวั การด้งั เดิมให้ มีวิชชารู้เท่าทนั อาการท้งั หลายตามความเป็ นจริง ก็จะหายหลงแลว้ ไม่ก่ออาการท้งั หลาย ใดๆ อีก ฐีติภูต อนั เป็ นมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวฏั ฏ์ด้วย ประการฉะน้ี 97อรรคฐำน เป็ นทตี่ ้งั แห่งมรรคนิพพำน อคฺค ฐาน มนุสฺเสสุ มคฺค สตฺตวิสุทธิ ยา ฐานะอนั เลิศมีอยู่ในมนุษย์ ฐานะอนั ดีเลิศน้นั เป็ นทางดาเนินไปเพ่ือควำมบริสุทธ์ิของ สัตว์ โดยอธิบายวา่ เราไดร้ ับมรดกมาแลว้ จาก นโม คอื บิดามารดา กล่าวคือตวั ของเราน้ีแล อนั ไดก้ าเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ ซ่ึงเป็นชาติสูงสุด เป็นผเู้ ลิศต้งั อยู่ในฐำนะอันเลศิ ด้วยดคี ือมี กำยสมบัติ วจีสมบัติ แลมโนสมบตั ิบริบูรณ์ จะสร้างสมเอาสมบตั ิภายนอก คือ ทรัพยส์ ิน

86 วธิ ีกำร เงินทองอยา่ งไรก็ได้ จะสร้ำงสมเอำสมบัติภำยในคือมรรคผลนิพพำนธรรมวเิ ศษก็ได้ พระ พุทธองคท์ รงบญั ญตั ิพระธรรมวินยั ก็ทรงบญั ญตั ิแก่มนุษยเ์ ราน้ีเอง มิไดท้ รงบญั ญตั ิแก่ พิจารณากาย ในการ ช้าง มา โค กระบือ ฯลฯ ท่ีไหนเลย มนุษยน์ ้ีเองจะเป็ นผูป้ ฏิบตั ิถึงซ่ึงความบริสุทธ์ิได้ บวชเบ้ืองตน้ ตอ้ ง ฉะน้นั จึงไม่ควรน้อยเน้ือต่าใจว่า ตนมีบุญวำสนำน้อย เพรำะมนุษย์ทำได้ เม่ือไม่มี ทำให้มี บอกกรรมฐาน 5 ได้ เม่ือมีแล้วทำให้ยิ่งได้ สมดว้ ยเทศนานยั อนั มาในเวสสันดรชาดกวา่ ทานํ เทติ สีลํ รกขฺ ติ ไม่กาหนดกายส่วน ใดส่วนหน่ึงไมม่ ี ภาวนํ ภาเวตฺวา เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ นิสฺสํสยํ เม่ือไดท้ ากองการกุศล “พหิทฺธา” แผน่ ดิน คือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ตามคาสอนของพระบรมศาสดาจารยเ์ จา้ แลว้ บางพวก ภายนอก “อชั ฌตั ติ ทาน้อยก็ตอ้ งไปสู่สวรรค์ บางพวกทามากและขยนั จริงพร้อมท้งั วาสนาบารมีแต่หนหลงั กา” แผน่ ดินภายใน ประกอบกนั ก็สามารถเขา้ สู่พระนิพพานโดยไม่ตอ้ งสงสัยเลย พวกสัตวด์ ิรัจฉานท่านมิได้ จงพิจารณา กล่าววา่ เลิศ เพราะจะมาทาเหมือนพวกมนุษยไ์ ม่ได้ จึงสมกบั คาวา่ มนุษย์นีต้ ้ังอยู่ในฐำนะ ไตร่ตรองใหแ้ ยบ คาย กระทาใหแ้ จง้ อันเลศิ ด้วยดี สำมำรถนำตนเข้ำสู่มรรคผล เข้ำสู่พระนิพพำนอันบริสุทธ์ิได้แล แทงให้ตลอด การ 98กำรพิจำรณำกำยน้ีมีท่ีอา้ งมาก ดง่ั ในการบวชทุกวนั น้ี เบ้ืองตน้ ตอ้ งบอกกรรมฐำน ๕ คือ พิจารณากายผทู้ ่ีพน้ กายน้ีเอง ก่อนอื่นหมดเพราะเป็ นของสาคญั ท่านกล่าวไวใ้ นคมั ภีร์พระธรรมบทขุทฺทก ทุกขท์ ้งั หมด ลว้ น นิกายวา่ อำจำรย์ผู้ไม่ฉลำดไม่บอกซ่ึงกำรพจิ ำรณำอำจทำลำยอปุ นิสัยแห่งพระอรหันต์ของ แต่ตอ้ งพิจารณากาย กุลบุตรได้ เพราะฉะน้นั ในทุกวันนี้จึงต้องบอกกรรมฐำน 5 ก่อน อีกแห่งหน่ึงท่านกล่าววา่ ท้งั สิ้น มหาสติปัฏ พระพุทธเจา้ ท้งั หลาย พระขีณาสวเจา้ ท้งั หลาย ช่ือวา่ จะไม่กาหนดกายส่วนใดส่วนหน่ึงไม่ ฐานมกี ายานุปัสส มี ในส่วนแห่ง โกฏฐาส (คือการพิจารณาแยกออกเป็ นส่วนๆ) ใดโกฏฐาสหน่ึงมิไดม้ ีเลย นา ปฏิบตั ิตามหลกั จึงตรัสแก่ภิกษุ 500 รูปผกู้ ล่าวถึงแผ่นดินวา่ บา้ นโนน้ มีดินดาดินแดงเป็นตน้ น้นั วา่ นน่ั ชื่อ มหาสติปัฏฐานจน ว่า “พหิทฺธำ” แผ่นดินภำยนอก ให้พวกท่านท้งั หลายมาพิจารณา “อัชฌัตติกำ” แผ่นดิน ชานาญแลว้ จง ภำยใน กล่าวคือ อัตตภำพร่ำงกำยน้ี จงพจิ ำรณำไตร่ตรองให้แยบคำย กระทาใหแ้ จง้ แทงให้ พจิ ารณาความเป็น ตลอด เมื่อจบการวิสัชชนาปัญหาน้ี ภิกษุท้งั 500 รูปก็บรรลุพระอรหันตผล เหตุน้ัน กำร จริงตามสภาพแห่ง พิจำรณำกำยจึงเป็ นของสำคัญผู้ท่ีจะพ้นทุกท้ังหมดล้วนแต่ต้องพิจำรณำกำยนี้ท้ังสิ้น จะ ธาตทุ ้งั หลายดว้ ย รวบรวมกาลงั ใหญ่ไดต้ อ้ งรวบรวมดว้ ยกำรพจิ ำรณำกำย แมพ้ ระพุทธองคเ์ จา้ จะไดต้ รัสรู้ที อุบายแห่งวิปัสสนา แรกก็ทรงพจิ ำรณำลม ลมจะไม่ใช่กำยอย่ำงไร? เพราะฉะน้นั มหำสติปัฏฐำนมีกำยำนุปัสส นำเป็นตน้ จึงชื่อวา่ \"ชยั ภมู ิ\" เมื่อเราไดช้ ยั ภมู ิดีแลว้ กลา่ วคือปฏบิ ัตติ ำมหลกั มหำสติปัฏฐำน จนชำนำญแล้ว ก็จงพิจารณาความเป็ นจริงตามสภาพแห่งธาตุท้ังหลายด้วยอุบายแห่ง วิปัสสนา ซ่ึงจะกล่าวขา้ งหนา้ 99อบุ ำยแห่งวปิ ัสสนำ อันเป็ นเครื่องถ่ำยถอนกิเลส ธรรมชำติ ของดที ้ังหลำย ย่อมเกิดมำแต่ของไม่ดี อุปมำดั่งดอกปทุมชำติอนั สวยๆ งำมๆ เกดิ ขึน้ มำจำก โคลนตมอันเป็ นของสกปรก ปฏิกูลน่ำเกลียด แต่ว่ำดอกบัวน้ัน เม่ือขึ้นพ้นโคลนตมแล้ว ย่อมเป็ นส่ิงท่ีสะอำด เป็ นที่ทดั ทรงของพระราชา อุปราช อามาตย์ และเสนาบดี เป็ นต้น และดอกบวั น้นั ก็มิไดก้ ลบั คืนไปยงั โคลนตมน้ันอีกเลย ขอ้ น้ีเปรียบเหมือนพระโยคาวจร เจ้ำ ผู้ประพฤติพำกเพียรประโยคพยำยำม ย่อมพิจำรณำซึ่ง สิ่งสกปรกน่ำเกลียดน้ันจิตจะ พ้นส่ิงสกปรก ก็คือตัวเรำนี้เอง ร่ำงกำยนี้เป็ นท่ีประชุมแห่งของโสโครกคือ อุจจำระ

87 อุบายแห่งวปิ ัสสนา ปัสสำวะ (มตู รคูถ) ท้ังปวง สิ่งทอี่ อกจำกผม ขน เล็บ ฟัน หนงั เป็นตน้ ก็เรียกวา่ ขี้ ท้งั หมด อนั เป็นเครื่องถ่าย เช่น ข้ีหวั ขเลบ็ ข้ีฟัน ข้ีไคล เป็นตน้ เม่ือสิ่งเหลา่ น้ีร่วงหล่นลงสู่อาหาร มีแกงกบั เป็นตน้ ก็ ถอนกิเลส ประพฤติ รังเกียจ ตอ้ งเททิ้ง กินไม่ได้ และร่างกายน้ีตอ้ งชาระขดั สีอยเู่ สมอจึงพอเป็นของดูได้ ถา้ หา พากเพียรพิจารณาสิ่ง ไม่ก็จะมีกล่ินเหม็นสาป เขา้ ใกลใ้ ครก็ไม่ได้ ของท้งั ปวงมีผา้ แพรเครื่องใช้ต่างๆ เม่ืออยู่ สกปรกน่าเกลียดจิต นอกกายของเราก็เป็ นของสะอาดน่าดู แต่เมื่อมาถึงกายน้ีแลว้ ก็กลายเป็ นของสกปรกไป จะพน้ ส่ิงสกปรก คือ เมื่อปล่อยไวน้ านๆ เขา้ ไม่ซักฟอกก็จะเขา้ ใกลใ้ ครไม่ไดเ้ ลย เพราะเหม็นสาบ ดงั่ น้ีจึงได้ ตวั เราร่างกายเป็นที่ ความว่าร่ำงกำยของเรำนี้เป็ นเรือนมูตร เรือนคูถ เป็ นอสุภะของไม่งำม ปฏิกูลน่ำเกลียด ประชุมแห่งของ เม่ือยงั มีชีวิตอยเู่ ป็นถึงปานน้ี เมื่อชีวติ หาไมแ่ ลว้ ยง่ิ จะสกปรกหาอะไรเปรียบเทียบมิไดเ้ ลย โสโครกคอื อุจจาระ เพราะฉะน้นั พระโยคาวจรเจา้ ท้งั หลายจึงพจิ ำรณำร่ำงกำยอันนีใ้ ห้ชำนิชำนำญด้วย โยนิโส ปัสสาวะ (มูตรคถู ) มนสิกำร พิจารณาโดยแยบคาย ต้งั แต่ต้นมาทีเดียว คือขณะเม่ือยงั เห็นไม่ทันชัดเจนก็ ท้งั ปวง ส่ิงทอี่ อกจาก พิจารณาส่วนใดส่วนหน่ึงแห่งกายอนั เป็นที่สบายแก่จริตจนกระทง่ั ปรำกฏเป็ นอคุ คหนิมติ ผม ขน เล็บ ฟัน หนงั คอื ปรากฏส่วนแห่งร่างกายส่วนใดส่วนหน่ึงแลว้ ก็กำหนดส่วนน้ันให้มำก เจริญให้มำก ทา พิจารณาร่างกายให้ ใหม้ าก การเจริญทาให้มากน้นั การเจริญทาใหม้ ากพึงทราบอย่างน้ี อนั ชาวนาเขาทานาเขา ชานิชานาญดว้ ย ก็ทาที่แผ่นดิน ไถที่แผ่นดินดาลงไปในดิน ปี ต่อไปเขาก็ทาท่ีดินอีกเช่นเคย เขา้ ไม่ไดท้ าใน โยนิโสมนสิการ อากาศกลางหาว คงทาแต่ที่ดินอย่างเดียว ขา้ วเขาก็ไดเ้ ต็มยุง้ เต็มฉางเอง เม่ือทำให้มำกใน พิจารณาโดยแยบคาย จงพิจารณากายในที่ ทดี่ นิ น้นั แลว้ ไม่ต้องร้องเรียกว่ำ ข้ำวเอ๋ยข้ำว จงมาเตม็ ยงุ้ เนอ้ ข้ำวก็จะหล่งั ไหลมำเอง และ เคยพจิ ารณากายอนั จะหา้ มวา่ ขา้ วเอ๋ยขา้ ว จงอยา่ มาเตม็ ยงุ้ เต็มฉางเราเน้อ ถา้ ทานาในที่ดินน้นั เองจนสาเร็จแลว้ ถกู นิสัย ข้าวก็มาเต็มยุง้ เต็มฉางเอง ฉันใดดีพระโยคาวจรเจ้าก็ฉันน้ัน จงพิจำรณำกำยในที่เคย พิจำรณำกายอนั ถูกนิสัยหรือที่ปรากฏมาใหเ้ ห็นคร้ังแรก อย่าละทิ้งเลยเป็นอนั ขาด การทา ใหม้ ีสติพจิ ารณาใน ให้มากน้นั 100มิใช่หมายแต่การเดินจงกรมเท่าน้นั ให้มีสติหรือพิจำรณำในที่ทุกสถำนใน ที่ทุกสถานในกาล กำลทุกเม่ือ ยืน เดิน นัง่ นอน กิน ด่ืม ทำ คิด พูด ก็ให้มสี ตริ อบคอบในกำยอย่เู สมอจึงจะชื่อ ทกุ เมื่อ ยืน เดิน นงั่ ว่า ทาให้มาก เมื่อพิจารณาในร่างกายน้ันจนชัดเจนแล้ว ให้พิจำรณำแบ่งส่วนแยกส่ วน นอน กิน ด่ืม ทา คดิ ออกเป็ นส่วนๆ ตามโยนิโสมนสิการ ตลอดจนกระจำยออกเป็ นธำตุดิน ธำตุนำ้ ธำตไุ ฟ ธำตุ พูด ใหม้ สี ติ ลม และพิจารณาให้เห็นไปตามน้นั จริงๆ อุบายตอนน้ีตามแต่ตนจะใคร่ครวญออกอุบำย รอบคอบในกายอยู่ ตำมที่ถูกจริตนิสัยของตน แต่อย่าละทิ้งหลักเดิมที่ตนได้รู้คร้ังแรกนั่นเทียว 101พระ เสมอใหพ้ จิ ารณา โยคาวจรเจ้าเม่ือพิจารณาในท่ีน้ี พึงเจริญให้มำก ทำให้มำก อย่ำพิจำรณำคร้ังเดียวแล้ว แบง่ ส่วนแยกส่วน ปล่อยทงิ้ ต้งั คร่ึงเดือน ต้งั เดือน ใหพ้ ิจารณากา้ วเขา้ ไป ถอยออกมาเป็น อนุโลม ปฏิโลม คือ ออกเป็ นส่วนๆ เข้ำไปสงบในจติ แล้วถอยออกมำพจิ ำรณำกำย อยา่ พจิ ารณากายอยา่ งเดียวหรือสงบที่จิตแต่ พิจารณาใหเ้ ห็นไป อยา่ งเดียว พระโยคาวจรเจา้ พจิ ารณาอยา่ งน้ีชานาญแลว้ หรือชานาญอยา่ งยงิ่ แลว้ คราวน้ีแล ตามจริงๆ ตามแต่ เป็ นส่วนที่จะเป็ นเอง คือ จิต ย่อมจะรวมใหญ่ เมื่อรวมพ่ึบลง ย่อมปรากฏวา่ ทุกสิ่งรวมลง ตนจะใคร่ครวญ เป็ นอนั เดียวกนั คือหมดท้ังโลกย่อมเป็ นธำตุท้ังสิ้น นิมิตจะปรำกฏขึน้ พร้อมกันว่ำโลกนี้ ออกอบุ ายตามที่ถกู รำบเหมือนหน้ำกลอง เพราะมีสภาพเป็นอนั เดียวกนั ไมว่ า่ ป่ าไม้ ภเู ขา มนุษย์ สตั ว์ แมท้ ี่สุด จริตนิสยั ตวั ของเราก็ตอ้ งลบราบเป็ นท่ีสุดอย่างเดียวกนั พร้อมกบั ญำณสัมปยุตต์ คือรู้ข้ึนมาพร้อม เขา้ ไปสงบในจิต แลว้ ถอยออกมา พิจารณากาย เขา้ ไป สงบในจิต แลว้ ถอย ออกมาพิจารณากาย ยถาภูตญาณทสั สน วิปัสสนา คือท้งั เห็น ท้งั รู้ตามความเป็น จริง พงึ เจริญให้มาก ทา ให้มาก เพอ่ื ความรู้

88 ยิง่ อีกจนรอบ จน กนั ในที่น้ี ตดั ความสนเท่ห์ในใจไดเ้ ลย จึงชื่อวา่ ยถำภูตญำณทัสสนวิปัสสนำ คือท้ังเห็น ชานาญเห็นแจง้ ชดั ท้ังรู้ตำมควำมเป็ นจริง ข้นั น้ีเป็ นเบ้ืองตน้ ในอนั ที่จะดาเนินต่อไป 102ไม่ใช่ที่สุดอนั พระ วา่ สังขารความปรุง โยคาวจรเจา้ จะพึงเจริญให้มำก ทำให้มำก จึงจะเป็ นเพ่ือควำมรู้ยิ่งอีกจนรอบ จนชำนำญ แตง่ อนั เป็นความ เห็นแจ้งชัดว่า สังขำรควำมปรุงแต่งอันเป็ นควำมสมมติวา่ โน่นเป็ นของของเรา โน่นเป็ น สมมติ เป็นความไม่ เรา เป็ นความไม่เท่ียงอำศัยอุปำทำนควำมยึดถือจึงเป็ นทุกข์ ก็แลธาตุท้งั หลาย เขาหากมี เท่ียงอาศยั อุปาทาน หากเป็นอยู่อย่างน้ีต้งั แต่ไหนแต่ไรมา เกิด แก่ เจ็บ ตำย เกิดข้ึนเสื่อมไปอยู่อย่างน้ีมาก่อน ความยดึ ถือจึงเป็น เราเกิดต้งั แต่ดึกดาบรรพก์ ็เป็นอยอู่ ย่างน้ี อาศยั อำกำรของจิต ของขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนำ ทกุ ขอ์ าศยั อาการ สัญญำ สังขำร วิญญำณไปปรุงแต่งสาคญั มน่ั หมายทุกภพทุกชาติ นบั เป็นอเนกชาติเหลือ ของจิต ของขนั ธ์ 5 ประมาณมาจนถึงปัจจุบนั ชาติ จึงทาให้จิตหลงอยู่ตามสมมติ ไม่ใช่สมมติมาติดเอาเรา ไดแ้ ก่ รูป เวทนา เพราะธรรมชาติท้งั หลายท้งั หมดในโลกน้ี จะเป็นของมีวิญญาณหรือไม่ก็ตาม เม่ือว่าตาม สัญญา สังขาร ความจริงแลว้ เขาหากมีหากเป็น เกิดข้นึ เส่ือมไป มีอยอู่ ยา่ งน้นั ทีเดียว โดยไมต่ อ้ งสงสยั เลย วิญญาณไปปรุงแต่ง จึงรู้ข้ึนว่า ปุพฺเพสุ อนนุสฺสุเตสุ ธมฺเมสุ ธรรมดาเหล่าน้ี หากมีมาแต่ก่อน ถึงวา่ จะไม่ไดย้ นิ สาคญั มนั่ หมายทกุ ไดฟ้ ังมาจากใครก็มีอย่อู ยา่ งน้นั ทีเดียว 103ฉะน้นั ในความขอ้ น้ี พระพุทธเจา้ จึงทรงปฏิญาณ ภพทุกชาติ พระองคว์ า่ เราไม่ไดฟ้ ังมาแต่ใคร มิไดเ้ รียนมาแต่ใครเพราะของเหล่าน้ีมีอยู่ มีมาแต่ก่อน พระองคด์ งั น้ี ไดค้ วามวา่ ธรรมดำธำตุท้ังหลำยย่อมเป็ นย่อมมีอยู่อย่ำงน้ัน อำศัยอำกำรของ ธรรมดาธาตุท้งั หลาย จิตเข้ำไปยึดถือเอำส่ิงท้งั ปวงเหล่ำน้นั มำหลำยภพหลำยชำติ จงึ เป็ นเหตใุ ห้เป็ นไปสมมติน้นั ยอ่ มเป็นยอ่ มมีอยู่ เป็ นเหตุอนุสัยครอบงำจิตจนหลงเช่ือไปตำม จึงเป็นเหตใุ หก้ ่อภพก่อชาติดว้ ยอาการของจิต อยา่ งน้นั อาศยั อาการ ของจิตเขา้ ไปยดึ ถอื เขา้ ไปยดึ ฉะน้นั พระโยคาวจรเจา้ มาพจิ ารณา โดยแยบคายลงไปตามสภาพวา่ สพฺเพ สฺงขา เอาส่ิงท้งั ปวงเหล่าน้นั รา อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารความเขา้ ไปปรุงแต่ง คือ อำกำรของจิตนั่นแลไม่ มาหลายภพหลายชาติ เท่ียง สัตวโ์ ลกมีอยู่เป็ นอยู่อย่างน้ัน ให้พิจารณาโดย อริยสัจจธรรมท้ัง 4 เป็ นเคร่ืองแก้ จึงเป็ นเหตุให้เป็ นไป อาการของจิตให้เห็นแน่แท้ ว่า ตวั อาการของจิตน้ีเองมนั ไม่เท่ียง เป็ นทุกข์ จึงหลงตาม สมมตนิ ้นั เป็นเหตุ สังขาร เม่ือเห็นจริงลงไปแล้วก็เป็ นเคร่ืองแก้อาการของจิต จึงปรากฏข้ึนว่า สงฺขารา อนุสัยครอบงาจิตจน สสฺสตา นตฺถิ สังขำรท้ังหลำยท่ีเท่ียงแท้ไม่มี สังขารเป็ นอาการของจิตต่างหาก เปรียบ หลงเชื่อไปตาม เหมือนพยบั แดด ส่วนสัตวเ์ ขาก็อยปู่ ระจาโลกแต่ไหนแต่ไรมา เม่ือรู้โดยเง่ือน 2 ประการ สังขารความเขา้ ไป ปรุงแตง่ คือ อาการ คือรู้ว่าสัตวก์ ็มีอยูอ่ ยา่ งน้นั สังขารก็เป็นอาการของจิต เขา้ ไปสมมติเขาเท่าน้นั ฐีติภูตํ จิต ของจิตนน่ั แลไม่เทีย่ ง ต้งั อยูเ่ ดิมไม่มีอาการเป็นผูห้ ลุดพน้ ไดค้ วามวา่ ธรรมดาหรือธรรมท้งั หลายไม่ใช่ตน จะใช่ ญาณสมั ปยตุ ต์ รวม ตนอย่างไรของเขาหากเกิดมีอยา่ งน้นั ท่านจึงวา่ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมท้งั หลายไม่ใช่ ทวนกระแสแก้ ตน 104ให้พระโยคาวจรเจา้ พึงพิจารณาให้เห็นแจง้ ประจกั ษต์ ามน้ีจนทาใหจ้ ิตรวมพ่ึบลงไป อนุสัยสมมติเป็ น ให้เห็นจริงแจง้ ชดั ตามน้นั โดย ปัจจักขสิทธิ พร้อมกบั ญำณสัมปยุตต์ รวมทวนกระแสแก้ วมิ ุตติ ดว้ ยการ อนุสัยสมมติเป็นวิมุตติ หรือรวมลงฐีติจิต อนั เป็นอยมู่ ีอยู่อยา่ งน้นั จนแจง้ ประจกั ษใ์ นที่น้นั ปฏิบตั ิเขม้ แขง็ ไม่ ดว้ ยญาณสัมปยตุ ตว์ า่ ขีณา ชาติ ญาณ โหติ ดงั น้ี ในท่ีน้ีไมใ่ ช่สมมติไม่ใช่ของแตง่ เอาเดาเอา ทอ้ ถอย พจิ ารณา ไม่ใช่ของอนั บุคคลพึงปรารถนาเอาได้ เป็ นของที่เกิดเอง เป็ นเอง รู้เอง โดยส่วนเดี ยว โดยแยบคายดว้ ย เท่าน้นั เพราะด้วยกำรปฏิบัติอนั เข้มแข็งไม่ท้อถอย พิจารณาโดยแยบคายดว้ ยตนเอง จึงจะ ตนเอง จิตเดิมเป็ นธรรมชาติ ใสสว่าง แต่มืดมวั ไป เพราะอุปกิเลส จิต เ ล่ื อ ม ป ภัส ส ร แ จ้ง สว่างมาเดิม แต่อาศยั อุ ป กิ เล สเค รื่ อ ง เศ ร้ า หมองเป็ นอาคนั ตุกะ สัญจรมาปกคลุมหุ้ม ห่อ

89 การทรมานตนของ เป็นข้ึนมาเอง ท่านเปรียบเหมือนตน้ ไมต้ ่างๆ มีตน้ ขา้ วเป็นตน้ เม่ือบารุงรักษาตน้ มนั ให้ดี ผบู้ าเพญ็ เพียร ตอ้ ง แลว้ ผลคือรวงข้ำวไม่ใช่ส่ิงอันบุคคลพึงปรำรถนำเอาเลย เป็ นข้ึนมาเอง ถา้ แลบุคคลมา ใหพ้ อเหมาะกบั ปรารถนาเอาแต่รวงขา้ วแต่หาไดร้ ักษาตน้ ขา้ วไม่ เป็นผเู้ กียจคร้าน จะปรารถนาจนวนั ตาย อปุ นิสัย รวงขา้ วก็จะไม่มีข้ึนมาให้ฉันใด วิมฺตติธรรม ก็ฉันน้ันน่ันแล มิใช่สิ่งอันบุคคลจะพึง ปรำรถนำเอาได้ คนผปู้ รารถนาวมิ ุตติธรรมแตป่ ฏิบตั ิไมถ่ ูกตอ้ งหรือไมป่ ฏิบตั ิมวั เกียจคร้าน เคา้ มูลรากเหงา้ จนวนั ตายจะประสบวิมุตติธรรมไม่ไดเ้ ลย ดว้ ยประการฉะน้ี 105จิตเดิมเป็ นธรรมชำติใส ราคะ โทสะ โมหะ สว่ำง แต่มืดมวั ไปเพรำะอปุ กิเลส ปภสฺสรมิท ภิกฺขเว จิตฺต ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ เครื่องแกก้ ็มี 3 คอื อุปกฺกิลิฏฐ ภิกษุท้งั หลาย จิตนีเ้ ล่ือมปภัสสรแจ้งสว่ำงมำเดิม แต่อาศยั อุปกิเลสเคร่ืองเศร้า ศลี สมาธิ ปัญญา หมองเป็นอาคนั ตุกะสัญจรมาปกคลุมหุ้มห่อจึงทาใหจ้ ิตมิส่องแสงสวา่ งได้ กิเลสท้งั หลาย ไม่ใช่ของจริงเป็ นสิ่งสัญจรเขา้ มา ในทวำรท้ัง 6 นับร้อยนับพัน กิเลสท้งั หลายไม่เกิดข้ึน บุคคลผมู้ จี ิตไม่ นับทวีข้ึนทุกวนั เมื่อไม่แสวงหาทางแก้ ธรรมชำติของจิตเป็ นของผ่องใส แต่อำศัยของ กาเริบในกิเลสท้งั ปลอมท้ังหมดแต่อำศัยอุปกิเลสท่ีสัญจร เข้ำมำปกคลุมจึงทาใหบ้ ดรัศมี ดุจพระอาทิตยเ์ มื่อ ปวง เป็นผสู้ งบ เมฆบดบงั อยา่ เขา้ ใจวา่ พระอาทิตยเ์ ขา้ ไปหาเมฆ เมฆมาบดบงั พระอาทิตยต์ า่ งหาก ฉะน้นั ระงบั บริบรู ณ์ดว้ ย ผบู้ าเพญ็ เพียรท้งั หลายเม่ือรู้โดยปริยายน้ีแลว้ พงึ กำจัดของปลอมดว้ ยการพิจารณาโดยแยบ หิริโอตตปั ปะ คายตามท่ีอธิบายแลว้ ในอุบายแห่งวิปัสสนา น้นั เถิด 106กำรทรมำนตนของผู้บำเพ็ญเพียร ต้องให้พอเหมำะกับอุปนิสัย นายสารถีผฝู้ ึกมา้ มีช่ือเสียงคนหน่ึง มาเฝ้าพระพุทธเจา้ ทูลถาม สจั ธรรม 4 คือ ทกุ ข์ ถึงวิธีทรมานเวไนย พระองคท์ รงยอ้ นถามนายสารถีก่อนถึงการทรมาณมา้ เขาทูลวา่ มา้ มี 4 สมทุ ยั นิโรธ มรรค ชนิด คอื 1.ทรมานง่าย 2.ทรมานอยา่ งกลาง 3.ทรมานยากแท้ 4.ทรมานไม่ไดเ้ ลย ตอ้ งฆา่ เสีย ยงั เป็นกิริยา เพราะแต่ พระองคจ์ ึงตรัสวา่ เราก็เหมือนกนั 1.ผทู้ รมานง่าย คือผปู้ ฏิบตั ิทาจิตรวมง่ายให้กินอาหาร ละสจั จะๆ ยอ่ มมี เพียงพอ เพ่ือบารุงร่างกาย 2.ผู้ทรมำนอย่ำงกลำง คือผู้ปฏิบัติทำจิตไม่ค่อยจะลง ก็ให้กิน อาการตอ้ งทา ทกุ ข-์ อำหำรแต่น้อยอย่ำให้มำก 3.ทรมานยากแท้ คือผูป้ ฏิบตั ิทาจิตลงยากแท้ ไม่ต้องให้กิน ตอ้ งกาหนดรู้ สมุทยั - อาหารเลย แต่ต้องเป็ น อตฺตญฺญู รู้กาลงั ของตนว่าจะทนทานไดส้ ักเพียงไร แค่ไหน 4. ตอ้ งละ นิโรธ-ตอ้ งทา ทรมานไม่ได้เลย ต้องฆ่าเสีย คือผูป้ ฏิบตั ิทาจิตไม่ได้ เป็ น ปทปรมะ พระองค์ทรงชัก ให้แจง้ มรรค-ตอ้ ง สะพานเสีย กล่าวคือไม่ทรงรับสั่งสอน อุปมาเหมือนฆ่าทิ้งเสียฉะน้นั 107 มูลติกสูตร “ติก” เจริญให้มาก เป็น แปลว่า 3 มูลแปลว่าเคา้ มูลรากเหงา้ รวมความว่าสิ่งซ่ึงเป็ นรากเหงา้ เคา้ มูลอย่างละ 3 คือ อาการทจ่ี ะตอ้ งทา ราคะ โทสะ โมหะ ก็เรียก 3 อกุศลมูล ตณั หา ก็มี 3 คือ กามตณั หา ภวตณั หา วิภวตณั หา ท้งั หมด โอฆะและอาสวะกม็ ีอยา่ งละ 3 คือ กามะ ภาวะ อวิชชา ถา้ บุคคลมาเป็นไปกบั ดว้ ย 3 เช่นน้ี จิตใจก็เป็ นธรรมชาติ ติปริวตฺตํ ก็ตอ้ งเวียนไปเป็น3 ก็ตอ้ งเป็นโลก 3 คือ กำมโลก รูปโลก อรูปโลก อย่อู ยา่ งน้นั มีลกั ษณะเหมอื น 0 แล เพราะ 3 น้นั เป็นเคา้ มูลโลก 3 เคร่ืองแกก้ ม็ ี 3 คอื ศีล สมำธิ ปัญญำ เม่ือบคุ คลดาเนินตน (ศูนย)์ เม่อื นาไปต่อ ตามศีล สมาธิ ปัญญา อนั เป็นเครื่องแก้ น ติปริวตฺต ก็ไม่ตอ้ งเวียนไปเป็น 3 3 ก็ไม่เป็นโลก เขา้ กบั เลขตวั ใด ยอ่ ม 3 ช่ือว่าพน้ จากโลก 3 แล 108วิสุทธิเทวำเท่ำน้ันเป็ นสันตบุคคลแท้ อกุปฺป สพฺพธมฺเมสุ ทาใหเ้ ลขตวั น้นั เพม่ิ เญยฺยธมฺมา ปเวสฺสนฺโต บุคคลผูม้ ีจิตไม่กาเริบในกิเลสท้งั ปวง รู้ธรรมท้งั หลายท้งั ท่ีเป็นพ ค่าข้นึ อีกมาก หมด หิทธาธรรม ท้งั ที่เป็น อชั ฌตั ติกาธรรม สนฺโต จึงเป็นผูส้ งบระงับ สันตบุคคลเช่นน้ีแลที่จะ สมมติบญั ญตั คิ ือ สภาพ 0 (ศูนย)์

90 บริบูรณ์ดว้ ย หิริโอตตัปปะ มีธรรมบริสุทธ์ิสะอาด มีใจมนั่ คงเป็ นสัตบุรุษผูท้ รงเทวธรรม ตามความในพระคาถาวา่ หิริโอตฺตปฺปสมฺปนฺนา สุกฺกธมฺมสมาหิตา สนฺโต สปฺปุริสา โลเก เทวธมฺมาติ วุจฺจเร อุปัตติเทวา ผพู้ ร่ังพร้อมดว้ ยกามคุณวุ่นวายอยดู่ ว้ ยกิเลส เหตุไฉนจึงจะ เป็ นสันตบุคคลได้ ความในพระคาถาน้ีย่อมต้องหมายถึงวิสุทธิเทวำ คือพระอรหันต์ แน่นอน ท่านผูเ้ ช่นน้นั เป็นสันตบุคคลแท้ สมควรจะเป็ นผู้บริบูรณ์ด้วยหิริโอตตัปปะ และ สุกฺกธรรม คือ ความบริสุทธ์ิแท้ 109อกิริยำเป็ นท่ีสุดในโลก สุดสมมติบัญญัติ สจฺจาน จตุโร ปทา ขีณาสวา ชุติมนฺโต เต โลเก ปรินิพฺพุตา สัจธรรมท้งั 4 คือ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค ยงั เป็นกิริยา เพราะแตล่ ะสัจจะๆ ยอ่ มมีอาการตอ้ งทาคอื ทกุ ข์-ตอ้ งกาหนดรู้ สมทุ ยั -ตอ้ งละ นิโรธ-ตอ้ งทาให้แจง้ มรรค-ตอ้ งเจริญให้มาก ดงั น้ีลว้ นเป็ นอำกำรที่จะต้องทำท้ังหมด ถา้ เป็นอาการที่จะตอ้ งทา กต็ อ้ งเป็ นกริ ิยำเพราะเหตุน้นั จึงรวมความไดว้ า่ สัจจะท้ัง 4 เป็ นกิริยำ จึงสมกบั บาทคาถาขา้ งตน้ น้นั ความวา่ สัจจะท้งั 4 เป็นเทา้ หรือเป็นเครื่องเหยียบกา้ วข้ึนไป หรือกา้ วข้ึนไป ๔ พกั จึงจะเสร็จกิจ ต่อจากน้นั ไปจึงเรียกวา่ อกิริยา อุปมา ดงั เขียนเลข 1 2 3 4 5 6 7 8 9 0 แลว้ ลบ 1 ถึง 9 ทิ้งเสีย เหลือแต่ 0 (ศูนย)์ ไม่เขียนอีกต่อไป คงอ่านวา่ ศูนย์ แต่ไม่มีค่าอะไรเลย จะนาไปบวกลบคูณหารกบั เลขจานวนใดๆ ไม่ไดท้ ้งั สิ้นแต่จะปฏิเสธ วา่ ไม่มีหาไดไ้ ม่ เพราะปรากฏอยู่ว่า ๐ (ศูนย)์ นี่แหละ คือปัญญำรอบรู้ เพรำะลำยกิริยำ คือ ควำมสมมติ หรือวา่ ลบสมมติลงเสียจนหมดสิ้น ไม่เข้ำไปยึดถือสมมติท้งั หลำย คาวา่ “ลบ” คือทาลายกิริยา กล่าวคือ ความสมมติ มีปัญหาสอดข้ึนมาว่า เม่ือทาลายสมมติหมดแลว้ จะ ไปอยทู่ ี่ไหน? แกว้ า่ ไปอย่ใู นที่ไม่สมมติ คือ อกริ ิยำ นน่ั เอง เน้ือความตอนน้ีเป็นการอธิบาย ตามอาการของความจริง ซ่ึงประจกั ษแ์ ก่ผูป้ ฏิบตั ิโดยเฉพาะ อนั ผูไ้ ม่ปฏิบตั ิหาอาจรู้ได้ไม่ ต่อเม่ือไรฟังแลว้ ทาตามจนรู้เองเห็นเองนนั่ แลจึงจะเขา้ ใจได้ ความแห่ง 2บาทคาถาต่อไป วา่ พระขีณาสวเจา้ ท้งั หลายดบั โลกสามรุ่งโรจนอ์ ยู่ คอื ทาการพิจารณาบาเพญ็ เพียรเป็น ภาวิ โต พหุลีกโต คือทำให้มำก เจริญให้มำก จนจิตมีกำลังสำมำรถพิจำรณำสมมติท้ังหลำย ทาลายสมมติท้งั หลายลงไปไดจ้ นเป็ นอกิริยำ ก็ย่อมดบั โลกสามได้ การดบั โลกสามน้ัน ท่านขีณาสวเจา้ ท้งั หลายมิไดเ้ หาะข้ึนไปบนกามโลก รูปโลก อรูปโลกเลยทีเดียว คงอยู่กบั ท่ีนน่ั เอง แมพ้ ระบรมศาสดาของเราก็เช่นเดียวกนั พระองค์ประทบั นั่งอยู่ ณ ควงไมโ้ พธิ พฤกษแ์ ห่งเดียวกนั เม่ือจะดบั โลกสาม ก็มิไดเ้ หาะข้ึนไปในโลกสาม คงดบั อยู่ที่จิต ท่ีจิต น้นั เองเป็นโลกสาม ฉะน้นั ท่านผตู้ อ้ งการดบั โลกสาม พึงดบั ท่ีจิตของตนๆ จงึ ทำลำยกิริยำ คือตัวสมมติหมดสิ้นจำกจิต ยงั เหลือแต่อกิริยา เป็นฐีติจิต ฐีติธรรมอนั ไม่รู้จกั ตาย ฉะน้ีแล 110สัตตำวำส 9 เทวาพิภพ มนุสสโลก อุบำยโลก จัดเป็ นกำมโลก ท่ีอยู่อำศัยของสัตว์เสพ กามรวมเป็ น 1 รูปโลก ที่อยู่อาศยั ของสัตวผ์ ูส้ าเร็จรูปฌานมี 4 อรูปโลก ที่อยู่อาศยั ของ สัตวผ์ สู้ าเร็จอรูปฌานมี 4 รวมท้งั ส้ิน 9 เป็นท่ีอยอู่ าศยั ของสัตว์ ผมู้ ารู้เท่าสัตตาวาส 9 คือ พระขีณาสวเจ้าท้งั หลาย ย่อมจากท่ีอยู่ของสัตว์ ไม่ตอ้ งอยู่ในท่ี 9 แห่งน้ีและปรากฏใน สามเณรปัญหาขอ้ สุดทา้ ยวา่ ทส นาม กึ อะไรช่ือวา่ 10 แกว้ า่ ทสหงฺ เคหิ สมนฺนาคโต พระ ขีณาสวเจา้ ผปู้ ระกอบดว้ ยองค์ 10 ย่อมพน้ จากสัตตาวาส 9 ความขอ้ น้ีคงเปรียบไดก้ บั การ

91 ผล เขียนเลข 1 2 3 4 5 6 7 8 9 0 นนั่ เอง 1 ถึง 9 เป็นจานวนที่นบั ได้ อ่านได้ บวกลบคูณหาร กนั ได้ ส่วน 10 ก็คือ เลข 1 กบั 0 (ศูนย)์ เราจะเอา 0 (ศนู ย)์ ไปบวกลบคูณหารกบั เลขจานวน ตวั เรา คอื ธาตุของ ใดๆ ก็ไมท่ าใหเ้ ลขจานวนน้นั มีคา่ สูงข้นึ และ 0 (ศูนย)์ น้ีเม่ืออยโู่ ดยลาพงั ก็ไมม่ ีคา่ อะไร แต่ โลก หวนั่ ไหวเพราะ จะวา่ ไม่มีกไ็ มไ่ ด้ เพราะเป็นส่ิงปรากฏอยู่ ความเปรียบน้ีฉนั ใด จิตใจก็ฉนั น้นั เป็นธรรมชาติ เห็นในของที่ไม่เคย มีลกั ษณะเหมือน 0 (ศูนย)์ เมื่อนาไปต่อเขา้ กบั เลขตวั ใด ยอ่ มทาใหเ้ ลขตวั น้นั เพ่ิมค่าข้ึนอีก เห็น โลกธรรมเกิดท่ี มาก เช่น เลข 1 เมื่อเอาศูนยต์ ่อเขา้ ก็กลายเป็น 10 (สิบ) จิตใจเราน้ีก็เหมือนกนั เม่ือต่อเขา้ เรา มี 8 มรรคเครื่อง กบั ส่ิงท้งั หลายก็เป็ นของวิจิตรพิสดารมากมายข้ึนทนั ที แต่เม่ือไดร้ ับการฝึ กฝนอบรมจน แกโ้ ลกธรรม บาเพญ็ ฉลาดรอบรู้สรรพเญยฺยธรรมแลว้ ย่อมกลบั คืนสู่สภาพ ๐ (ศูนย)์ คือ วา่ งโปร่ง พน้ จากการ เพียรพยายามทาสมาธิ นบั การอ่านแลว้ มิไดอ้ ยใู่ นที่ 9 แห่งอนั เป็นท่ีอยู่ของสัตว์ แต่อยู่ในที่หมดสมมติบญั ญตั ิคือ จิตสงบสบายดีเตม็ ท่ีดี สภาพ 0 (ศนู ย)์ หรืออกิริยาดงั กล่าว ใจ เมื่อจิตนึกคดิ 111ควำมสำคญั ของปฐมเทศนำ มชั ฌิมเทศนำ และปัจฉิมเทศนำ พระธรรมเทศนาของสมเด็จ ฟ้งุ ซ่านราคาญก็ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใน 3 กาล มีความสาคญั ยิ่ง อนั พุทธบริษทั ควรสนใจพิจารณาเป็ น เสียใจ ความดีใจ คือ พิเศษ คือ ก. ปฐมโพธิกำล ไดท้ รงแสดงธรรมแก่พระปัญจวคั คีย์ ท่ีป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั กามสุขลั ลิกา ความ เมืองพาราณสี เป็ นคร้ังแรกเป็ นปฐมเทศนา เรียกว่า ธรรมจกั รเบ้ืองต้นทรงยกส่วนสุด 2 เสียใจ คือ อตั ตกิลม อยา่ งอนั บรรพชิตไม่ควรเสพ ข้ึนมาแสดงวา่ เทว เม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา ถา ความดีใจเป็น ภิกษุท้งั หลาย ส่วนท่ีสุด 2 อย่างอนั บรรพชิตไม่พึงเสพ คือ กามสุขัลลิกา และอัตตกิลมถา ราคะ ความเสียใจเป็น อธิบายว่า กามสุขลั ลิกา เป็ นส่วนแห่งความรัก อตั ตกิลมถา เป็ นส่วนแห่งความชงั ท้งั 2 โทสะ ความไม่รู้เท่า ส่วนน้ีเป็นตวั สมุทยั เมื่อผบู้ าเพญ็ ตบะธรรมท้งั หลายโดยอยซู่ ่ึงส่วนท้งั สองน้ี ชื่อวา่ ยงั ไมเ่ ขา้ ในราคะ โทสะ ท้งั ทางกลาง เพราะเม่ือบำเพญ็ เพยี รพยำยำมทำสมำธิจิตสงบสบำยดเี ตม็ ที่ก็ดีใจ คร้ันเมื่อจิตนึก สองเป็ นโมหะ คดิ ฟุ้งซ่ำนรำคำญก็เสียใจ ความดีใจน้นั คอื กำมสุขลั ลิกำ ความเสียใจน้นั แล คือ อตั ตกลิ มถำ พงึ เป็นผทู้ าจิตใหย้ ิง่ การทจี่ ะทาจิตใหย้ งิ่ ควำมดใี จกเ็ ป็ นรำคะ ควำมเสียใจก็เป็ นโทสะ ควำมไม่รู้เท่ำในรำคะ โทสะ ท้งั สองนีเ้ ป็ นโมหะ ไดต้ อ้ งเป็นผูส้ งบ ฉะน้นั ผูท้ ่ีพยายามประกอบความเพียรในเบ้ืองแรก ตอ้ งกระทบส่วนสุดท้งั สองน้นั แลก่อน ระงบั ตอ้ งเป็นผู้ ถา้ เม่ือกระทบส่วน 2 น้นั อยู่ ช่ือวา่ ผิดอยแู่ ต่เป็นธรรมดาแทท้ ีเดียว ตอ้ งผิดเสียก่อนจึงถูก แม้ ปฏบิ ตั ิ เจริญ พระบรมศาสดาแต่ก่อนน้นั พระองคก์ ็ผิดมาเต็มที่เหมือนกนั แมพ้ ระอคั รสาวกท้งั สองก็ซ้า กรรมฐานต้งั ตน้ แต่ เป็ นมิจฉำทิฐิมำก่อนแล้วท้ังส้ิน แม้สาวกท้ังหลายเหล่าอ่ืนๆ ก็ล้วนแต่ผิดมำแล้วท้งั น้ัน การเดินจงกรม นงั่ ต่อเม่ือพระองค์มาดาเนินทางกลาง ทาจิตอยู่ภายใตร้ ่มโพธิพฤกษ์ ได้ญำณ 2 ในสองยาม สมาธิ ทาให้มากเจริญ ใหม้ าก ในการ เบ้ืองตน้ ในราตรี ได้ญำณท่ี 3 กล่าวคือ อำสวักขยญำณในยามใกลร้ ุ่ง จึงได้ถูกทำงกลำงอัน พิจารณามหาสตปิ ัฏ แท้จริงทาจิตของพระองคใ์ ห้พน้ จากความผิด กล่าวคือส่วนสุดท้งั สองน้ัน พ้นจำกสมมติ ฐาน มีกายนุปัสสนา โคตร สมมตชิ ำติ สมมตวิ ำส สมมติวงศ์ และสมมตปิ ระเพณี ถึงความเป็นอริยโคตร อริยชาติ สตปิ ัฏฐาน เป็น อริยวาส อริยวงศ์ และอริยประเพณี ส่วนอริยสาวกท้งั หลายน้นั เลา่ ก็มารู้ตามพระองค์ ทาให้ เบ้ืองแรก พงึ พจิ ารณา ไดอ้ ำสวักขยญำณพน้ จากความผิดตามพระองคไ์ ป ส่วนเราผปู้ ฏิบตั ิอยใู่ นระยะแรกๆ ก็ตอ้ ง ผิดเป็นธรรมดา แต่เมื่อผิดก็ต้องรู้เท่ำแล้วทำให้ถูก เม่ือยงั มีดีใจเสียใจในการบาเพญ็ บุญกศุ ล อยู่ก็ตกอยูใ่ นโลกธรรม เมื่อตกอยู่ในโลกธรรม จึงเป็นผูห้ วนั่ ไหวเพราะความดีใจเสียใจนน่ั แหละ ชื่อว่าความหวน่ั ไหวไปมา อุปฺปนฺโน โข เม โลกธรรมจะเกิดที่ไหนเกิดท่ีเรา โลก

92 ส่วนแห่งร่างกาย โดย ธรรมมี 8 มรรคเครื่องแกก้ ็มี 8 มรรค 8 เครื่องแกโ้ ลกธรรม 8 ฉะน้นั พระองคจ์ ึงทรงแสดง อาการแห่งบริกรรม มชั ฌิมาปฏิปทาแกส้ ่วน 2 เมื่อแกส้ ่วน 2 ไดแ้ ลว้ ก็เขา้ สู่อริยมรรค ตดั กระแสโลก ทาใจให้ เป็นจาโค ปฏินิสฺสคฺโค มตุ ฺติ อนาลโย (สละ สลดั ตดั ขาด วางใจ หายห่วง) รวมความวา่ เม่ือ พจิ ารณามหาสตปิ ัฏฐาน มี ส่วน 2 ยงั มีอยู่ในใจผูใ้ ดแล้ว ผูน้ ้ันก็ยงั ไม่ถูกทาง เมื่อผูม้ ีใจพน้ จากส่วนท้งั 2 แลว้ ก็ไม่ กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน หวนั่ ไหว หมดธุลี เกษมจากโยคะ จึงว่าเน้ือความแห่งธรรมจักรสาคญั มาก พระองค์ทรง เป็นเบ้ืองแรก พงึ พจิ ารณา แสดงธรรมจักรน้ียงั โลกธาตุให้หวนั่ ไหว จะไม่หวน่ั ไหวอย่างไร เพราะมีใจความสาคญั ส่วนแห่งร่างกาย ใจไมห่ ่าง อย่างน้ี โลกธาตุก็มิใช่อะไรอื่น คือตวั เราน้ีเอง ตัวเรำก็คือธำตุของโลก หวนั่ ไหวเพราะเห็น จากกาย ทาให้รวมงา่ ย เมื่อ ในของท่ีไมเ่ คยเห็น เพราะจิตพน้ จาก ส่วน 2 ธาตขุ องโลก จึงหวนั่ ไหว หวนั่ ไหวเพราะจะไม่ ทาให้มาก ในบริกรรม มาก่อธาตุของโลกอีกแล 112ข. มัชฌิมโพธิกำล ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกขใ์ นชุมชนพระ สวนะแลว้ จกั เกิดข้ึนซ่ึง อรหันต์ 1,250 องค์ ณ พระราชอุทยานเวฬุวนั กลนั ทกนิวาปสถาน กรุงราชคฤห์ใจความ อคุ คหนิมติ ให้ชานาญในที่ สาคญั ตอนหน่ึงว่า อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอต พุทฺธาน สาสน พึงเป็ นผู้ทำจิตให้ย่ิง กำรที่จะทำ น้นั จนเป็นปฏภิ าค ชานาญ จิตให้ย่ิงได้ต้องเป็ นผู้สงบระงับ อิจฺฉา โลภสมาปนฺโน สมโณ กึ ภวิสฺสติ เมื่อประกอบดว้ ย ในปฏิภาคโดยยงิ่ แลว้ จกั ควำมอยำกดิน้ รนโลภหลงอยู่แล้วจักเป็ นผู้สงบระงับได้อย่ำงไร ต้องเป็ นผู้ปฏิบัติคือปฏิบตั ิ เป็นวปิ ัสสนา พระวินยั เป็นเบ้ืองตน้ และเจริญกรรมฐานต้งั ตน้ แต่การเดินจงกรม นงั่ สมาธิ ทาให้มากเจริญ ให้มาก 113ในกำรพิจำรณำมหำสติปัฏฐำน มีกำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน เป็ นเบื้องแรก พึง จงเป็นผไู้ ม่ประมาท พิจารณาส่วนแห่งร่างกาย โดยอาการแห่งบริกรรมสวนะคือ พิจำรณำโดยอำกำรคำดคะเน พิจารณาสงั ขารท่ี ว่ำส่วนน้นั เป็ นอย่ำงน้นั ด้วยกำรมสี ติสัมปชัญญะไปเสียก่อน เพราะเมื่อพิจารณาเช่นน้ีใจไม่ ห่างจากกาย ทำให้รวมง่ำย เมื่อทาใหม้ าก ในบริกรรมสวนะแลว้ จกั เกิดข้นึ ซ่ึงอุคคหนิมิตให้ เกิดข้ึนแลว้ เสื่อมไป ชำนำญในท่ีน้นั จนเป็นปฏิภาค ชำนำญในปฏภิ ำคโดยยิ่งแล้วจกั เป็ นวิปัสสนำ เจริญวิปัสสนา สงั ขารเกิดข้ึนที่จิต จนเป็นวิปัสสนาอยา่ งอุกฤษฏ์ ทาจิตเขา้ ถึง ฐีติภูตํ ดงั กล่าวแลว้ ในอุบายแห่งวิปัสสนาช่ือว่า ของเรา เป็นอาการ ปฏิบตั ิ เม่ือปฏิบตั ิแลว้ โมกฺข จึงจะขา้ มพน้ จึงพ้นจำกโลกชื่อวา่ โลกุตตรธรรม เขม จึงเกษม ของจิตพาให้เกิดข้ึน จากโยคะ (เครื่องร้อย) ฉะน้ัน เน้ือความในมชั ฌิมเทศนาจึงสาคญั เพราะเล็งถึงวิมุตติธรรม ซ่ึงสมมติท้งั หลาย ดว้ ยประการฉะน้ีและฯ 114ค. ปัจฉิมโพธิกำล ทรงแสดงปัจฉิมเทศนาในท่ีชุมชนพระอริย สังขารน้ีแลเป็ น สาวก ณ พระราชอุทยานสาลวนั ของมลั ลกษตั ริย์ กรุงกุสินารา ในเวลาจวนจะปรินิพพานวา่ ตวั การสมมติ หนฺทานิ อามนฺตยามิ โว ภิกฺขเว ปฏิเวทยามิ โว ภิกฺขเว ขยวยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺ บญั ญตั ิจึงมี ราคะ ปาเทถ เราบอกท่านท้งั หลายว่าจงเป็ นผู้ไม่ประมำท พิจำรณำสังขำรท่ีเกิดขึน้ แล้วเสื่อมไป โทสะ โมหะ เม่ือท่านท้งั หลายพิจารณาเช่นน้นั จกั เป็ นผูแ้ ทงตลอด พระองค์ตรัสพระธรรมเทศนาเพียง เกิดข้นึ ทาจิตด้งั เดิม เท่าน้ีก็ปิ ดพระโอษฐ์มิไดต้ รัสอะไรตอ่ ไปอีกเลย จึงเรียกวา่ ปัจฉิมเทศนา อธิบายความต่อไป ให้หลงตามไป เกิด วา่ สังขำรมันเกิดขึน้ ที่ไหน อะไรเป็นสังขำร สงั ขารมนั ก็เกิดข้ึนที่จิตของเรำเอง เป็นอาการ แก่ เจ็บ ตาย เวียน ของจิตพาใหเ้ กิดข้ึนซ่ึงสมมติท้งั หลาย สังขำรนี้แลเป็ นตัวกำรสมมติบัญญัติ ส่ิงท้งั หลายใน โลก ความจริงในโลกท้งั หลาย หรือธรรมธำตุท้ังหลำยเขามีเขาเป็ นอยู่อย่างน้ัน แผ่นดิน วา่ ยไปไม่มที ี่ส้ินสุด ตน้ ไม้ ภูเขา ฟ้า แดด เขาไม่ไดว้ า่ เขาเป็นน้นั เป็นน้ีเลย มนุษยเ์ ป็นทาสของโลก เขาไม่ไดว้ า่ พระอรหนั ตท์ กุ เป็นนนั่ เป็นน่ี เจ้ำสังขำรตัวกำรนีเ้ ข้ำไปปรุงแต่งว่ำ เขำเป็ นน้ันเป็ นนีจ้ นหลงกันว่ำเป็ นจริง ประเภทบรรลทุ ้งั เจ ถือเอาว่าเป็ นตวั เรา เป็ นของๆ เราเสียสิ้น จึงมี ราคะ โทสะ โมหะ เกิดข้ึน ทาจิตด้งั เดิมให้ โตวมิ ุตติ ท้งั ปัญญา วมิ ุตติ มรรค ประกอบองค์ 8 ท้งั สัมมาทิฏฐิ ท้งั สมั มาสมาธิ บรรลุ วิมุตติธรรมบาเพญ็ มรรค 8 บริบูรณ์

93 หลงตามไป เกิด แก่ เจบ็ ตำย เวยี นว่ำยไปไม่มที ่ีสิ้นสุด เป็นอเนกภพ อเนกชาติ เพราะเจา้ ตวั สังขารน้นั แลเป็นตวั เหตุ จึงทรงสอนใหพ้ ิจารณาสังขารวา่ สพฺเพ สงขฺ ารา อนจิ ฺจา สพเฺ พ สงฺ ขารา ทกุ ฺขา ใหเ้ ป็นปรีชาญาณชดั แจง้ เกิดจากผลแห่งการเจริญ ปฏิภาคเป็นส่วนเบ้ืองตน้ จน ทำจิตให้เข้ำภวังค์ เม่ือกระแสแห่งภวงั ค์หายไป มีญาณเกิดข้ึนว่า \"น้ันเป็ นอย่ำงน้ัน เป็ น สภำพไม่เที่ยง เป็ นทุกข์\" เกิดข้ึนในจิตจริงๆ จนชานาญ เห็นจริงแจง้ ประจกั ษ์ ก็รู้เท่าสงั ขาร ได้ สังขำรก็จะมำปรุงแต่งให้จิตกำเริบอีกไม่ได้ ไดใ้ นคาถาว่า อกุปฺป สพฺพธมฺเมสุ เญยฺยธมฺ มา ปเวสฺสนฺโต เมื่อสังขารปรุงแต่งจิตไมไ่ ดแ้ ลว้ กไ็ มก่ าเริบรู้เท่าธรรมท้งั ปวง สนฺโต ก็เป็นผู้ สงบระงับถึงซ่ึงวิมุตติธรรม ด้วยประการฉะน้ี ปัจฉิมเทศนาน้ีเป็ นคาสาคญั แท้ ทาให้ผู้ พิจารณารู้แจง้ ถึงท่ีสุด พระองคจ์ ึงไดป้ ิ ดพระโอษฐ์แต่เพียงน้ี พระธรรมเทศนาใน 3 กาลน้ี ย่อมมีความสาคญั เหนือความสาคญั ในทุกๆ กาล ปฐมเทศนาก็เล็งถึงวิมุตติธรรม มชั ฌิม เทศนาก็เล็งถึงวิมุตติธรรม ปัจฉิมเทศนาก็เล็งถึงวิมุตติธรรม รวมท้งั 3 กาล ลว้ นแต่เล็งถึง วิมุตติธรรมท้งั สิ้น ด้วยประการฉะน้ี 115พระอรหันต์ทุกประเภทบรรลุท้ังเจโตวิมุตติ ท้ัง ปัญญำวิมุตติ อนาสว เจโตวิมุตฺตึ ปญฺญาวิมุตฺตึ ทิฏเฐว ธมฺเม สย อภิญฺญา สจฺฉิกตวา อุปปฺ สมฺปชฺช วิหรติ พระบาลีน้ีแสดงวา่ พระอรหนั ตท์ ้งั หลายไมว่ า่ ประเภทใด ยอ่ มบรรลทุ ้งั เจโตวิมุตติ ท้งั ปัญญาวิมุตติ..ที่ปราศจากอาสวะในปัจจุบนั หาไดแ้ บ่งแยกไวว้ า่ ประเภทน้นั บรรลุแต่เจโตวิมุตติ หรือปัญญาวิมุติไม่ ที่เกจิอาจารยแ์ ต่งอธิบายไวว้ า่ เจโตวิมุตติเป็ นของ พระอรหันต์ผูไ้ ด้สมาธิก่อน ส่วนปัญญาวิมุตติเป็ นของพระอรหันต์สุกขวิปัสสกผู้เจริญ วิปัสสนาลว้ นๆ น้ัน ย่อมขดั แยง้ ต่อมรรค มรรคประกอบดว้ ยองค์ 8 มีท้งั สัมมำทิฏฐิ ท้ัง สัมมำสมำธิ ผูจ้ ะบรรลุวิมุตติธรรมจำต้องบำเพ็ญมรรค 8 บริบูรณ์ มิฉะน้นั ก็บรรลุวิมุตติ ธรรมไม่ได้ ไตรสิกขาก็มีท้ังสมาธิ งปัญญา อันผูจ้ ะได้อำสวักขยญำณจำต้องบำเพ็ญ ไตรสิกขำใหบ้ ริบูรณ์ท้งั 3 ส่วน ฉะน้นั จึงวา่ พระอรหนั ตท์ กุ ประเภทตอ้ งบรรลุท้งั เจโตวิมุตติ ท้งั ปัญญาวิมตุ ติดว้ ยประการฉะน้ีแลฯ ตารางที่ 4.1.4 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “แนะนำให้ฟังเป็ นอย่ำงยงิ่ หลวงป่ มู ั่นสอน ปฏบิ ตั ิกรรมฐำนแบบเริ่มต้นจนถงึ ละเอยี ด” ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงป่ มู นั่ ภรู ิทตั โต จาแนกตามแนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั N4] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ 116วิธีเจริญกรรมฐำน 40 กองและวิปัสสนาโดยหลวงป่ ูมน่ั จะแสดงวิธีเจริญกรรมฐาน ภาวนา เพื่อโยคาวจรกุลบุตรไดศ้ ึกษาและปฏิบตั ิสืบไป โยคาวจรผใู้ ดจะเจริญกรรมฐาน วิธีเจริญกรรมฐาน 40 กอง ภาวนาพึงตรวจดูจริตของตนให้รู้ชัด ว่า ตนเป็ นคนมีจริตอย่ำงใดแน่นอนก่อนแล้วพึง และวปิ ัสสนา ตรวจดจู ริต เลือกเจริญกรรมฐำนอันเป็ นท่ีสบำยแก่จริตน้ันๆ ดังได้แสดงไวแ้ ล้วน้ันเถิด อน่ึงพึง ตนให้รู้ชดั วา่ ตนเป็นคนมี ทราบคำกำหนดความดังต่อไปน้ีไวเ้ ป็ นเบ้ืองต้นก่อน คือ 117บริกรรมนิมิต หมายเอา จริตอยา่ งใดแน่นอนกอ่ น อารมณ์ของกรรมฐานท่ีนามากาหนดพิจารณา อุคคหนิมิต หมายเอำอำรมณ์ของ แลว้ พึงเลือกเจริญกรรมฐาน อนั เป็นท่ีสบายแก่จริตน้นั ๆ บริกรรมนิมิต หมายเอาอารมณ์ ของกรรมฐานมากาหนด

94 พจิ ารณา อคุ คหนิมติ หมายเอา กรรมฐำนอนั ปรากฏข้ึนในมโนทวาร ขณะท่ีกาลงั ทาการเจริญภาวนาอยู่อย่างชัดแจ้ง อารมณ์ของกรรมฐานอนั คลา้ ยเห็นดว้ ยตาเน้ือ ปฏิภำคนิมิต หมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานอนั ปรกฏแจ่มแจ้งแก่ ปรากฏข้นึ ในมโนทวาร ขณะที่ ใจของผูเ้ จริญภาวนาย่ิงข้ึนกว่าอุคคหนิมิต และพึงทราบลาดับแห่งภาวนาดังน้ี 118 กาลงั ทาการเจริญภาวนาอยู่ บริกรรมภำวนำ หมายการเจริญกรรมฐานในระยะแรกเริ่มใช้สติประคองใจกาหนด อยา่ งชดั แจง้ คลา้ ยเห็นดว้ ยตา พิจารณาในอารมณ์ กรรมฐานอนั ใดอนั หน่ึง อุปจำรภำวนำ หมายการเจริญกรรมฐาน เน้ือ ปฏิภาคนิมติ หมายเอา ในขณะเมื่ออุคคหนิมิต เกิดปรากฏในมโนทวาร อัปปนำภำวนำ หมายการเจริญภาวนา อารมณ์ของกรรมฐานอนั ปรกฏ ในขณะเมื่อปฏิภาคนิมิตปรากฏ จิตเป็ นสมาธิแนบเนียน มีองค์ฌำณปรำกฏขึ้นครบ แจม่ แจง้ แกใ่ จของผเู้ จริญ บริบูรณ์ ภาวนายงิ่ ข้นึ กวา่ อคุ คหนิมติ บริกรรมภาวนา หมายการเจริญ 119บริกรรมภำวนำได้ท่ัวไปในกรรมฐานท้ังปวง อุปจำรภำวนำได้ในกรรมฐำน 10 กรรมฐานในระยะแรกเริ่มใช้ ประกำร คอื อนุสสติ 8 ต้งั แตพ่ ทุ ธานุสสติ ถึงมรณสั สติ กบั อาหาเรปฏิกูลสัญญา และจตุ สติประคองใจกาหนดพิจารณา ธาตุววัตถาน เพราะเป็ นกรรมฐานสุขุมละเอียดย่ิงนัก ส่วนอัปปนำภำวนำ ได้ใน ในอารมณ์ กรรมฐานอนั ใด กรรมฐำน 30 คือ กสิณ 10 อสุภะ 10 อานาปานสติ 1 กายคตาสติ 1 พรหมวิหาร 4 และ อนั หน่ึง อปุ จารภาวนา หมาย อรูปกรรมฐาน 4 กรรมฐำน 11 คอื อสุภะ 10 กบั กายคตาสติ 1 ใหส้ าเร็จแตเ่ พยี ง รูปาว การเจริญกรรมฐานในขณะเมอื่ จร ปฐมฌำณ พรหมวิหาร 3 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา ให้สาเร็จรูปาวจรฌาณท้ัง 4 อุคคหนิมิต เกิดปรากฏในมโน ประการ อุเบกขำพรหมวิหำร ใหส้ าเร็จแต่บญั จมรูปาวจรฌาณอยา่ งเดียว อรูปกรรมฐาน ทวาร อปั ปนาภาวนา หมาย 4 ใหส้ าเร็จแต่ อรูปาวจรฌาณอยา่ งเดียวฯ การเจริญภาวนาในขณะเมือ่ 120( 1 ) วิธเี จริญปฐวกี สิณ กลุ บุตรผมู้ ีศรัทธาปรารถนาจะเจริญกรรมฐานภาวนา อนั ช่ือวา่ ปฏิภาคนิมิตปรากฏ จติ เป็น ปฐวีกสิณ พึงตดั ปลิโพธกงั วลห่วงใยน้อยใหญ่เสียให้ส้ินแลว้ ไปยงั ท่ีเงียบสงัด เพ่ง สมาธิแนบเนียน มีองคฌ์ าณ พิจำรณำดินท่ีตนตกแต่งเป็ นดวงกสิณเป็ นอำรมณ์ หรือจะเพ่งพิจำรณำดินท่ีแผ่นดิน ปรากฏข้นึ ครบบริบรู ณ์ หรือที่ลานขา้ วเป็นตน้ เป็นอารมณ์ก็ได้ เมื่อจะพจิ ำรณำดินที่มไิ ด้ตกแต่งไว้เป็ นดวงกสิณ น้ัน พึงกาหนดให้มีท่ีสุดโดยกลมเท่าตะแกรง กวา้ งคืบ 4 นิ้ว เป็นอยา่ งใหญ่หรือเล็กกวา่ หลกั กำร กาหนดน้ี แลว้ พงึ บริกรรมภาวนาวา่ “ปฐวๆี ดินๆ” ดงั น้ีร่าไป ถา้ มีวาสนาบารมีเคยไดส้ ั่ง อบรมมาแต่ชาติก่อนๆ แลว้ ก็อาจไดส้ าเร็จฌำณ ถา้ หากวำสนำบำรมีมิได้ ก็ยำกที่จะ บริกรรมภาวนาได้ สำเร็จฌำณด้วยกำรเพ่งแผ่นดินอยา่ งวา่ น้ี จาจะตอ้ งทาเป็นดวงกสิณ เม่ือจะทา พึงหาดิน ทว่ั ไปในกรรมฐาน สีแดงดงั แสงพระอาทิตยแ์ รกอุทยั มาทาอยา่ ทาในท่ีคนสัญจรไปมาพลุกพล่าน พึงทาใน ท้งั ปวง อุปจาร ท่ีสงัดเป็ นท่ีลับที่กำบัง ดวงกสิณน้ันจะทาต้งั ไวก้ ะที่ทีเดียว หรือจะทาชนิดยกไปได้ก็ ภาวนาไดใ้ น ตาม ดินที่ทำดวงกสิณน้ัน พึงชาระใหห้ มดจด ทาเป็นวงกลม กวา้ งคืบ 4 นิ้ว ขดั ใหร้ าบ กรรมฐาน 10 เสมอดงั หนา้ กลองพึงปัดกวาดท่ีน้นั ใหเ้ ตียนสะอาด ปราศจากหยากเย่ือเฟ้ื อฝอยแลว้ พึง ประการส่วนอปั ป ชำระกำยให้หมดเหงื่อไคล เม่ือจะนง่ั ภำวนำ พึงนง่ั บนตงั่ ท่ีมีเทา้ สูง คืบ 4 นิ้ว นง่ั ห่างดวง นาภาวนานนั่ ไดใ้ น กรรมฐาน 30 วธิ ีกำร 1) วธิ ีเจริญปฐวีกสิณ เพง่ พิจารณาดิน เป็น ดวงกสิณเป็ น อารมณ์ บริกรรม ภาวนาว่า “ปฐวๆี ดินๆ” 2) วธิ ีเจริญอาโป กสิณ เพ่งดูน้า คา บริกรรมภาวนาใน อาโปกสิณวา่ “อาโป ๆ น้า ๆ” 3) วธิ ีเจริญเตโช กสิณ เพ่งเปลวไฟ ในที่ใดที่หน่ึง

บริกรรมภาวนาว่า 95 “เตโชๆ ไฟ ๆ” 4) วธิ ีเจริญวาโยกสิณ กสิณออกไปประมาณ 2 ศอกคืบ พงึ นั่งขัดสมำธิเท้ำขวำทับเท้ำซ้ำย มือขวำทับมือซ้ำย ใหเ้ พ่งลมท่ีพดั อนั ต้งั กายใหต้ รง ผนิ หนา้ ไปทางดวงกสิณ แลว้ พงึ พิจารณาโทษกามคุณต่าง ๆ และต้งั จิตไว้ ปรากฏอยทู่ ี่ยอดออ้ ย ให้ดีในฌำนธรรมอันเป็ นอุบำยที่จะยกตนออกจากกามคุณ และจะล่วงพน้ กองทุกข์ท้งั ยอดไผ่ ยอดไม้ หรือ ปวง แลว้ พึงระลึกถึงพทุ ธคุณ ธรรมคณุ สังฆคณุ ยงั ปรีดาปราโมทยใ์ หเ้ กิดข้ึนแลว้ พึงทา ปลายผมท่ถี ูกลมพดั จิตให้เคารพรักใคร่ในพิธีทางปฏิบตั ิให้มน่ั ใจว่าปฏิบตั ิดังน้ี ได้ชื่อว่าเนกขัมมปฏิบัติ ไหวอยอู่ ยา่ งใดอยา่ ง พระอริยเจา้ ท้งั หลายมีพระพุทธเจา้ เป็นตน้ จะไดล้ ะเวน้ หามิได้ ลว้ นแต่ปฏิบตั ิดงั น้ีทุกๆ หน่ึง แลว้ พงึ ต้งั สตไิ ว้ พระองค์คร้ันแลว้ พึงจิตว่า เรำจะได้เสวยสุขอันเกิดแต่วิเวกด้วยปฏิบัติอันนี้โดยแท้ ยงั ว่า ลมพดั ตอ้ งในทนี่ ้ี ความอุตสาหะให้เกิดข้ึนแลว้ จึงลืมจกั ษุข้ึนดูดวงกสิณ เม่ือลืมจกั ษุข้ึนน้นั อย่าลืมข้ึนให้ หรือลมพดั เขา้ มาใน กวา้ งนกั จะลาบากจกั ษุ อน่ึงมณฑลกสิณจะปรากฏแจง้ เกินไป คร้ันลืมลืมจกั ษุข้ึนน้อย ช่องหนา้ ตา่ ง หรือช่อง นกั มณฑลกสิณก็จะปรากฏแจง้ จิตท่ีจะถือเอากสิณนิมิตเป็ นอารมณ์น้ัน ก็จะย่อหย่อน ฝา ถกู ตอ้ งกายในทีใ่ ด ทอ้ ถอยเกียจคร้านไป เหตุฉะน้ีจึงพึงลืมจักษุขนาดส่องเงาหน้าในกระจก อน่ึง เม่ือแลดู กพ็ งึ ต้งั สติไวใ้ นท่ีน้นั ดวงกสิณน้นั อยา่ พิจารณาสี พงึ กำหนดว่ำสิ่งนเี้ ป็ นดินเท่ำน้ัน แตส่ ีดินน้นั จะละเสียก็มิได้ แลว้ พึงบริกรรมวา่ เพราะวา่ สีดินกบั ดวงกสิณเน่ืองกนั อยู่ ดูดวงกสิณก็เป็ นอนั ดูสีอยู่ดว้ ย เหตุฉะน้ี พึงรวม “วาโยๆ ลมๆ” ดวงกสิณกบั สีเขา้ ดว้ ยกนั และดูดวงกสิณกบั สีน้ันให้พร้อมกนั กาหนดว่า สิ่งน้ีเป็ นดิน 5) วธิ ีเจริญนีลกสิณ แลว้ จึงบริกรรมภำวนำว่ำ ปฐวีๆ ดินๆ ดงั น้ีร่าไป ร้อยคร้ังพนั คร้ัง เม่ือกระทำบริกรรม เจริญนีลกสิณพึง ภำวนำว่ำ “ปฐวี ๆ” อยู่น้ันอย่าลืมจกั ษุเป็ นนิตย์ พึงลืมจกั ษุดูอยู่หน่อยหน่ึงแลว้ หลบั ลง พจิ ารณานิมิตสีเขียว เสีย หลบั ลงสักหน่อย แลว้ พึงลืมข้ึนดูอีก พึงปฏิบตั ิโดยทานองน้ีไปจนกวา่ จะได้ อุคคห เป็นอารมณ์ เพยี งแต่ นิมติ กก็ สิณนิมติ อันเป็ นอำรมณ์ทตี่ ้ังแห่งจติ ในขณะท่ีทาการบริกรรมวา่ ปฐวี น้นั ช่ือวา่ เพง่ ดูดอกไมส้ ีเขยี ว บริกรรมภำวนำ เม่ือต้งั จิตในกสิณนิมิต กระทาบริกรรมว่าปฐวีๆ น้นั ถา้ กสิณนิมิตมา หรือผา้ เขียว ปรากฏในมโนทวาร หลบั จกั ษุลงกสิณนิมิตก็ปรากฏอยใู่ นมโนทวารดงั ลืมจกั ษแุ ลว้ กาล ใด ช่ือวา่ ไดอ้ คุ คหนิมิต ณ กาลน้นั เม่ือได้ อคุ คหนิมิตแลว้ พึงต้งั จิตอยใู่ นอคุ คหนิมิตน้นั 6) วิธีเจริญปี ตกสิณ กาหนดให้ยิ่งวิเศษข้ึนไป เม่ือปฏิบตั ิอยู่ดงั น้ี ก็จะข่มนิวรณธรรมโดยลาดบั ๆ กิเลสก็จะ บริกรรมว่า “ปี ตกๆ สงบระงบั จากสันดาน สมาธิก็จะแก่กลา้ เป็ นอุปจำรสมำธิ ปฏิภาคนิมิตก็จะปรากฏข้ึน เหลอื งๆ” อุคคหนิมิตกบั ปฏิภาคนิมิต มีลกั ษณะต่างกนั คือ อุคคหนิมิต ยงั ประกอบดว้ ยกสิณโทษ คอื ยงั ปรากฏเป็นสีดินอยอู่ ยา่ งน้นั ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏบริสุทธ์ิงดงามดงั แวน่ กระจก 7) วิธีเจริญโลหิต ท่ีบุคคลถอดออกจากฝักจากถุงฉะน้นั จาเดิมแต่ปฏิภาคนิมิตเกิดข้ึนแลว้ นิวรณ์ท้งั สิ้นก็ กสิณ เพง่ สีแดง ระงบั ไปจิตก็ต้ังมั่นเป็ นอุปจำรสมำธิ สาเร็จเป็ นกามาพจรสมาธิภาวนา เม่ือไดอ้ ุปจำร บริกรรมว่า “โลหิตๆ”แดงๆ สมำธิแล้ว ถ้ำพำกเพียรพยำยำมต่อขึน้ ไปไม่หยุดหย่อน ก็จะได้สำเร็จอัปปนำสมำธิซ่ึง เป็ นรูปำวจรฌำณ และเม่ือกระทาเพียรจนบรรลุถึงอปั นาฌาณ เกิดข้ึนในสันดานแลว้ ก็ 8) วิธีเจริญ โอทาตก พึงกาหนดไว้ว่า 1) เราประพฤติอิริยาบถอย่างน้ีๆ 2) อยู่ในเสนาสนะอย่างน้ีๆ 3) สิณ เพง่ สีขาว โภชนาหารอนั เป็นที่สบายอย่างน้ีๆ จึงไดส้ าเร็จฌาน การท่ีให้กาหนดไวน้ ้ี เผ่ือว่าฌาณ บริกรรมว่า “โอ เสื่อมไปกจ็ ะไดเ้ จริญสืบต่อไปใหมโ่ ดยวธิ ีเก่า ฌาณที่เสื่อมไปน้นั กจ็ ะเกิดข้ึนไดโ้ ดยง่าย ทาตๆ ขาวๆ” ในสันดานอีก คร้ันเม่ือได้สำเร็จปฐมฌำณแล้วพึงปฏิบัติในปฐมฌำณน้ันให้ชานาญ คล่อง แคล่วด้วยดีก่อนแล้ว จึงเจริญทุติยฌาณสืบต่อข้ึนไปก็ปฐมฌาณท่ีชานาญ 9) วธิ ีเจริญอาโลก กสิณ เพง่ ดแู สง พระจนั ทร์หรือแสง พระอาทิตย์ หรือ ช่องหนา้ ต่างเป็นตน้ ที่ปรากฏเป็ นวงกลม อยทู่ ่ีฝาหรือท่ีพ้ืน น้นั ๆ บริกรรมว่า “อาโลโกๆ แสง สวา่ งๆ”

10) วธิ ีเจริญอากาศ 96 กสิณ เพียงแตเ่ พง่ ดู ช่องฝา ช่องดาน คล่องแคล่วดว้ ยดี ตอ้ งประกอบดว้ ยวสีท้งั 5 คือ ( 1 ) อำวัชชนวสี ชานาญคล่องแคล่ว หรือช่องหนา้ ต่าง ในการนึก ถา้ ปรารถนาจะนึกถึงองค์ฌำณที่ตนได้ ก็นึกไดเ้ ร็วพลนั มิไดเ้ น่ินชา้ มิตอ้ งรอ “อากาโสๆ นานถึงชวนจิตท่ี 4-5 ตกลง ยงั ภวงั คจ์ ิต 2-3 ขณะถึงองคฌ์ าณท่ีตนได้ (2) สมำปัชชนวสี อากาศๆ” คือ ชานาญคล่องแคล่วในการท่ีจะเขา้ ฌาณอาจเขา้ ฌาณได้ในลาดับอาวชั ชนจิต อัน พิจารณาซ่ึงอารมณ์คือปฏิภาคนิมิตมิไดเ้ น่ินชา้ (3) อธิษฐำนวสี คือชานาญในอนั ดารง 11) วิธีเจริญอทุ รักษาฌานจิตไว้ มิใหต้ กภวงั ค์ ต้งั ฌาณจิตไวไ้ ดต้ ามกาหนด ปรารถนาจะต้งั ไวน้ านเท่าใด ธุมาตกะอสุภ ก็ต้งั ไวไ้ ดน้ านเท่าน้นั (4) วุฎฐำนวสี คือชานาญคล่องแคล่วในการออกฌาณ กาหนดไว้ กรรมฐาน ผูกจิตไว้ วา่ เวลาน้นั ๆ จะออกก็ออกไดต้ ามกาหนดไม่คลาดเวลาท่ีกาหนดไว้ (5) ปัจจเวกขณวสี ในอารมณค์ อื อสุภะ คือชานาญคล่องแคล่วในการพิจารณาองค์ฌาณท่ีตนไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว มิไดเ้ น่ินชา้ ถา้ ไม่ น้นั ไวใ้ หม้ นั่ ดว้ ยคดิ ชานาญในปฐมฌาณแลว้ อยา่ พึงเจริญทุติยฌาณก่อน ต่อเมื่อชำนิชำนำญคล่องแคล่วใน ว่า จะไดพ้ น้ ชาติ ปฐมฌำณดว้ ยวสีท้งั 5 ดงั กล่าว แลว้ จึงควรเจริญทุติยฌำณสืบต่อข้ึนไป เมื่อชานาญใน ชรา มรณทุกขด์ ว้ ย ทุติยฌาณจึงเจริญตติยฌาณ จตุตถฌาณ และปัญจมฌาณข้ึนไปตามลาดบั องค์ของฌำณ วธิ ีปฏิบตั ิ เป็นดงั น้ี ปฐมฌำณมอี งค์ 5 คือ วติ ก ความตรึกคิดมีลกั ษณะยกจิตข้ึนสู่อารมณ์เป็นองคท์ ี่ 1 วิจำรณ์ ความพิจารณามีลกั ษณะไตร่ตรองอารมณ์เป็ นองคท์ ่ี 2 ปิ ติ เจตสิกธรรมท่ียงั 12) วิธีเจริญวินีลกอสุภ กายและจิตใจใหอ้ ิ่มเตม็ มีประเภท 5 คือ (1) ขทุ ทกาปิ ติ กายและจิตอิ่มจนขนพองชูชนั ทา กรรมฐาน วินีลกอสุภะ ใหน้ ้าตาไหล (2) ขณิกาปิ ติ กายและจิตอิ่มมีแสงสวา่ งดงั ฟ้าแลบปรากฎในจกั ษุทวาร (3) น้นั คือ ซากศพกาลงั พอง โอกกนติกาปิ ติ กายและจิตอิ่ม ปรากฏดง่ั คลื่นและละลอกทาให้ไหวให้สั่น (4) อุพเพง เขยี ว คาปิ ติ กายและจิตอิ่มและกายเบาเลื่อนลอยไปได้ (5) ผรณาปิ ติ กายและจิตอ่ิม เยน็ สบาย ซาบซ่านทวั่ สรรพางค์กาย ปิ ติท้ัง 5 น้ีอนั ใดอนั หน่ึงเป็ นองค์ที่ 3 สุขอนั เป็ นไปในกาย 13) วิธีเจริญวบิ พุ พก และจิตเป็นองคท์ ่ี 4 และเอกคั คตา ความที่จิตมีอารมณ์เดียวไม่ฟุ้งซ่านไปมา จดั เป็นองค์ อสุภกรรมฐาน วิ คอื ครบ 5 ฌาณที่พร้อมด้วยองค์ 5 น้ีชื่อว่าปฐมฌาณฯ ทุตยฌาณ มีองค์ 3 คือปิ ติสุข ซากศพมีน้าหนอง เอกคั คตา ตติฌาณมีองค์ 2 คือสุข เอกคั คตา จตุตถฌาณมีองค์ 2 คือเอกคั คตา อุเบกขา น้ี ไหล จดั โดยฌาณจุกกนยั ถา้ จดั โดยฌาณปัญจกนยั เป็นดงั น้ี ปฐมฌำณมีองค์ 5 คือ วิตก วิจำร สุข เอกคั คตำ ทุตติฌาณ มีองค์ 4 คอื วจิ าร ปิ ติ สุข เอกคั คตา ตติยฌำณมีองค์ 3 คอื ปิ ติ สุข 14) วธิ ีเจริญวิฉิทท เอกัคคตา จตุตถฌำณมีองค์ 2 คือ สุข เอกัคคตา ปัญจมฌำณมีองค์ 2 คือ เอกัคคตา กอสุภกรรมฐาน อสุ อุเบกขา กุลบุตรผูเ้ จริญ กสิณนี้อำจได้สำเร็จฌำณสมำบัติโดยจตุกกนัย หรือปัญจกนัย ภะน้ี ไดแ้ ก่ ซากศพ ดังกล่าวมาน้ี 121(2) วิธีเจริญอำโปกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผูม้ ีศรัทธาปรารถนาจะเจริญ ท่ีถกุ ตดั ออกเป็น อาโปกสิณ ถา้ เป็ นผูม้ ีวาสนาสั่งสมอาโปกสิณมาแต่ชาติก่อนๆ แลว้ ถึงจะมิไดต้ กแต่ง ทอ่ นๆ ท้งั อยใู่ นที่มี กสิณเลยเพียงแต่ เพ่งดูน้ำ ในท่ีใดท่ีหน่ึงเช่นในสระในบ่อ ก็อาจสาเร็จอุคคหนิมิตและ สนามรบหรือป่ าชา้ ปฏิภำคนิมิตโดยง่าย ถา้ กุลบุตรอนั หาวาสนาในอาโปกสิณมิได้ พึงเจริญอาโปกสิณใน ปัจจุบนั ชาติน้ี ก็พึงทาเอาอาโปกสิณดว้ ยน้าที่ใสบริสุทธ์เอาน้าใส่ภาชนะ เช่นบาตรหรือ 15) วิธีเจริญวิขายิตก ขนั ให้เตม็ เพียงขอบปาก ยกไปต้งั ไวใ้ นที่กาบงั ต้งั มา้ ส่ีเหลี่ยมสูงคืบ 4 นิ้ว กระทาพิธีท้งั อสุภกรรมฐาน ให้ ปวงโดยทานองที่กล่าวไวใ้ นวิธีเจริญปฐวีกสิณน้นั เถิด คาบริกรรมภาวนาในอาโปกสิณ โยคาวจรพจิ ารณา วา่ “อำโป ๆ นำ้ ๆ” พึงบริกรรมดงั น้ีร่าไปร้อยคร้ังพนั คร้ัง จนกวา่ จะไดส้ าเร็จอคุ คหนิมิต ซากศพอนั สตั ว์ มีแร้ง กา และสุนขั เป็นตน้ กดั กินแลว้ อวยั วะขาดไป ต่างๆ 16) วธิ ีเจริญวขิ ติ ต กอสุภกรรมฐาน นามาเองหรือให้ ผอู้ ื่นนามาซ่ึงซาก อสุภะที่ตกเรี่ยราย อยใู่ นท่ีต่างๆ แลว้ มา กองไวใ้ นที่เดียวกนั 17) วิธีเจริญหต วิขิตตอสุภ

กรรมฐาน นาเอามา 97 หรือใหผ้ ูอ้ ืน่ นาเอา มา ซ่ึงซากอสุภะที่ ปฏิภาคนิมิต และอปั ปนาฌาณ โดยลาดบั ก็อุคคหนิมิตในอาโปกสิณน้ีปรำกฏดุจไหว ๆ คนเป็นขา้ ศกึ สับฟัน กระเพื่อม ๆ อยู่ ถา้ น้าน้นั ประกอบดว้ ยกสิณโทษคือเจือปนดว้ ยเปลือกตมหรือฟอง กจ็ ะ กนั เป็นทอ่ นท่อน ปรากฏในอุคคหนิมิตด้วย ส่วนปฏิภาคนิมิต ปรากฏปราศจากกสิณโทษ เป็นดุจกาบข้วั ใหญ่ทิ้งไวใ้ นที่ ตาลแกว้ มณีที่จะประดิษฐานในอากาศ มิฉะน้นั ดุจมณฑลแวน่ แกว้ มณี เม่ือปฏิภาคนิมิต ตา่ งๆ ลาดบั เขา้ ให้ เกิดแลว้ โยคาวจรกุลบุตรทาปฏิภาคนิมิตให้เป็ นอารมณ์ บริกรรมไปว่า อาโป ๆ น้า ๆ ห่างกนั ประมาณนิ้ว ดงั น้ี จะไดถ้ ึงจตตุถฌาณหรือปัญจมฌาณตามลาดบั 122(3) วิธีเจริญเตโชกสิณ โยคาวจร มอื หน่ึง กุลบุตรผูม้ ีวาสนาบารมี เคยเจริญเตโชกสินมาแลว้ ในชาติก่อนเพียงแต่เพ่งเปลวไฟในที่ ใดท่ีหน่ึง บริกรรมภำวนำว่ำ “เตโชๆ ไฟ ๆ” ดงั น้ี อาจไดส้ าเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภำค 18) วธิ ีเจริญโลหิตกอ นิมิตโดยง่าย ถา้ ผูไ้ ม่เคยบาเพญ็ มาแต่ชาติก่อน ปรารถนาจะเจริญเตโชกสิณ พึงหาไม้ สุภกรรมฐาน พจิ ารณา แก่นท่ีสนดีมาตากไวใ้ ห้แห้ง บนั่ ออกไวเ้ ป็นท่อนๆ แลว้ นาไปใตต้ น้ ไม้ หรือที่ใดท่ีหน่ึง ซากศพทค่ี นประหารสับ ซ่ึงเป็นที่สมควร แลว้ กองฟื นเป็นกองๆ ดงั จะอบบาตร จุดไฟเขา้ ใหร้ ุ่งเรือง แลว้ เอาเส่ือ ฟันในอวยั วะ มมี อื แล ลาแพน หรือแผ่นหนงั หรือแผ่นผา้ มาเจาะเป็นช่องกลมกวา้ งประมาณคืบ 4 นิ้ว แลว้ เอา เทา้ เป็นตน้ มีโลหิตไหล ขึงไวต้ รงหนา้ นง่ั ตามพธิ ีท่ีกลา่ วไวใ้ น ปฐวีกสิณแลว้ ต้งั จิตกาหนดวา่ อนั น้ีเป็น เตโชธำตุ ออกอยแู่ ละทิง้ ไวใ้ นที่ แล้วจึงบริกรรมว่ำ “เตโชๆ ไฟๆ” ดงั น้ีร่าไปจนกว่าจะไดส้ าเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาค ท้งั หลายมสี นามรบเป็น นิมิต โดยลาดบั ไป อุคคหนิมิตในเตโชกสิณน้ี ปรำกฏดุจเปลวเพลิวลุกไหม้ไหว ๆ อยู่ ตน้ หรือพจิ ารณาอสุภะ เสมอ ถา้ มิไดท้ าดวงกสิณพิจารณาไฟในเตาเป็นตน้ เมื่ออุคคหนิมิตเกิดข้ึน กสิณโทษก็ ท่ีมโี ลหิตไหลออกจาก จะปรากฏดว้ ย ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏมิไดห้ วนั่ ไหว จะปรากฏดุจท่อนผา้ กาพลแดง แผล มีแผลฝีเป็นตน้ ก็ได้ อนั ประดิษฐานอยู่บนอากาศ หรือเหมือนกาบข้วั ตาลทองคาฉะน้ัน เมื่อปฏิภาคนิมิต ปรากฏแลว้ โยคาวจรก็จะไดส้ าเร็จฌาณตามลาดบั จนถึงจตุตถฌาณ ปัญจมฌาณ 123(4) 19) วิธีเจริญปฬุ วุ ก วิธเี จริญวำโยกสิณ ใหเ้ พ่งลมที่พดั อนั ปรำกฏอยู่ท่ียอดออ้ ย ยอดไผ่ ยอดไม้ หรือปลายผม อสุภกรรมฐาน ให้ ที่ถูกลมพดั ไหวอยอู่ ยา่ งใดอยา่ งหน่ึง แลว้ พึงต้งั สติไวว้ า่ ลมพดั ตอ้ งในท่ีน้ี หรือลมพดั เขา้ โยคาวจรพิจารณา มาในช่องหนา้ ต่าง หรือช่องฝา ถูกต้องกำยในท่ีใดกพ็ ึงต้ังสติไว้ในที่น้นั แลว้ พึงบริกรรม ซากศพของมนุษย์ วา่ “วำโยๆ ลมๆ” ดงั น้ีร่าไป จนกวา่ จะสาเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภำคนิมิต อุคคหนิมิตใน หรือสัตว์ มีสุนขั เป็น วาโยกสิณน้ี จะปรำกฏไหว ๆ เหมือนไอแห่งขา้ วปายาส อนั บุคคลปลงลงจากเตาใหม่ๆ ตน้ ท่ีมีหนอนคลาน ปฏิภาคนิมิตจะปรากฏอยู่เป็ นอนั ดีมิได้หวน่ั ไหว เม่ืออุคคหนิมิตเกิดแล้ว โยคาวจร คร่าอยู่ กุลบุตรก็จะไดส้ าเร็จฌานโดยลาดบั 124(5) วิธีเจริญนีลกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผมู้ ีศรัทธา ปรารถนาจะเจริญนีลกสิณพึงพิจารณานิมิตสีเขียวเป็ นอำรมณ์ ถา้ เป็ นผูม้ ีวาสนาบารมี 20) วิธีเจริญอฏั ฐิกอ เคยไดเ้ จริญนีลกสิณมาแต่ชาติก่อนๆ แลว้ เพียงแต่เพ่งดูดอกไม้สีเขียวหรือผา้ เขียวเป็ น สุภกรรมฐาน ซ่ึงซากศพ ตน้ กอ็ าจไดอ้ คุ คหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ส่วนผพู้ ่งึ จะเจริญนีลกสิณในชาติปัจจุบนั น้ี พงึ ทเี่ หลือแต่กระดูกอยา่ ง ทาดวงกสิณก่อน พึงเอาดอกไมอ้ ยา่ งใดอย่างหน่ึงท่ีมีสีเขียวลว้ นอยา่ งเดียว มาลาดบั ลง เดียว จะพจิ ารณาร่าง ในผอบ หรือฝากล่องให้เสมอขอบปาก อย่าให้เกสรแลกา้ นปรากฏ ใหแ้ ลเห็นแต่กลีบสี กระดูกท่ีติดกนั อยู่ เขียวอยา่ งเดียว หรือจะเอาผา้ เขียวขึงท่ีปากผอบหรือฝากล่องทาให้เสมอดงั หนา้ กลองก็ ท้งั หมดยงั ไมเ่ คลือ่ น ได้ หรือจะเอาของท่ีเขียวเช่นคราม เป็นตน้ มาทาเป็นดวงกสิณเหมือนอยา่ งปฐวีกสิณก็ หลุดไปจากกนั เลยกไ็ ด้ ได้ เม่ือทาดวงกสิณเสร็จแลว้ พึงปฏิบตั ิพิธีโดยทานองท่ีกล่าวไวใ้ นปฐวีกสิณน้นั เถิด พึง จะพจิ ารณาร่างกระดกู ท่ี เคลอ่ื นหลุดไปจากกนั แลว้ โดยมากยงั ติดกนั อยู่ บา้ งกไ็ ด้ จะพิจารณา ท่อนกระดกู อนั เดียวกไ็ ด้ ตามแต่จะเลอื กพิจารณา (21-30) วิธีเจริญ อนุสสติ 10 ประการ คอื พทุ ธานุสสติ ระลึกถงึ คณุ พระพุทธเจา้ ธมมา นุสสติ ระลกึ ถึงคุณ

พระธรรม สงฆา 98 นุสสติ ระลกึ ถึงคณุ พระสงฆ์ สีลานุสส บริกรรมภาวนาว่า “นีลๆ เขียวๆ” ดงั น้ีร่าไป จนกว่าอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตจะ ติ ระลึกถงึ คุณศีล จา เกิดข้ึน อุคคหนิมิตในนีลกสิณน้ีมีกสิณโทษอนั ปรากฏ ถา้ กสิณน้นั กระทาดว้ ยดอกไมก้ ็ คานุสสติ ระลึกถงึ เห็นเกสร-กา้ น และระหวา่ งกลีบปรากฏ ส่วนปฏิภาคนิมิตจะปรากฏดุจกาบข้วั ตาลแกว้ คณุ ทาน เทวตานุสส มณีต้ังอยู่ในอากาศ เม่ือปฏิภาคนิมิตเกิดแล้ว อุปจารฌาณและอัปปนาฌาณก็จะเกิด ติ ระลึกถึงคุณเทวดา ดงั กล่าวแลว้ ในปฐมกสิณ125(6-7-8) วิธีเจริญปี ตกสิณ 7-โลหิตกสิณ 8-โอทำตกสิณ วิธี อปุ สมานุสสติ ระลึก เจริญกสิณท้งั 3 น้ี เหมือนกบั นีลกสิณทกุ อยา่ ง ปี ตกสิณเพง่ สีเหลือง บริกรรมวา่ “ปี ตกๆ ถงึ คณุ พระนิพพาน เหลืองๆ” โลหิตกสิณเพ่งสีแดง บริกรรมว่า “โลหิตๆ”แดงๆ โอทาตกสิณ เพ่งสีขาว มรณสสติ ระลึกถงึ บริกรรมว่า “โอทาตๆ ขาวๆ” ดังน้ีร่าไป จนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ความตาย กายคตา ลกั ษณะอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตก็เหมือนในนีลกสิณ ต่างกนั แต่สีอยา่ งเดียวเท่าน้นั สติ ระลึกไปในกาย 126(9) วิธีเจริญอำโลกกสิณ โยคาวจรกลุ บตุ รผเู้ จริญอาโลกกสิณน้ี ถา้ เป็นผมู้ ีวาสนาบารมี ของตน อานาปาน เคยไดเ้ จริญมาแตช่ าติก่อนๆ แลว้ เพียงแต่เพ่งดูแสงพระจนั ทร์หรือแสงพระอาทิตย์ หรือ สติ ระลกึ ถงึ ลม ช่องหน้าต่างเป็นตน้ ที่ปรากฏเป็นวงกลมอยทู่ ี่ฝาหรือท่ีพ้ืนน้นั ๆ ก็อาจสาเร็จอุคคหนิมิต หายใจเขา้ ออก และปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ส่วนโยคาวจรที่พึงจะเจริญกสิณในชาติปัจจุบนั น้ี เม่ือจะเจริญ 31-40) วิธีกรรมฐาน ตอ้ งทำดวงกสิณก่อน พึงหาหมอ้ มาเจาะใหเ้ ป็ นช่องกลมประมาณคืบ 4 นิ้ว เอาประทีป อกี 6 ประการ คือ ตามไวข้ า้ งใน ปิ ดปากหมอ้ เสียใหด้ ี ผินช่องหมอ้ ไปทางฝา แสงสวา่ งที่ออกทางช่องหมอ้ อปั ปมญั ญา พรหม ก็จะปรากฏเป็นวงกลมอยูท่ ่ีฝา พึงนง่ั พิจารณาตามวิธีท่ีกล่าวไวใ้ นปฐวีกสิณ บริกรรมวา่ วิหาร 4 อาหาเรปฏิกูล “อำโลโกๆ แสงสว่ำงๆ” ดังน้ีร่าไป จนกว่าจะได้สาเร็จอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต สัญญา 1 จตุ อุคคหนิมิตในอาโลกกสิณน้ี ปรากฏดุจวงกลมอนั ปรากฏท่ีฝาน่ันแล ส่วนปฏิภาคนิมิต ธาตุววฏั ฐาน 1 ปรากฏผ่องใสเป็ นแท่งทึบ ดังดวงแห่งแสงสว่างฉะน้ัน 127(10) วิธีเจริญอำกำศกสิณ โยคาวจรกุลบุตรผูป้ รารถนาจะเจริญอากาศกสิณน้ี ถา้ เป็นผมู้ ีวาสนาบารมี เคยสั่งสมมา แลว้ แต่ชาติก่อน เพียงแต่เพ่งดูช่องฝำ ช่องดำน หรือช่องหน้ำต่ำงเป็ นตน้ ก็อาจสาเร็จ อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิตโดยง่าย ถา้ ไม่มีวาสนาบารมีในกสิณ ขอ้ น้ีมาก่อนตอ้ งทา ดวงกสิณก่อน เมื่อจะทาดวงกสิณ พึงเจาะฝาเจาะแผ่นหนังหรือเส่ือลาแพนให้เป็ นวง กวา้ งคืบ 4 นิ้ว ปฏิบตั ิการท้งั ปวง โดยทานองท่ีกล่าวไวใ้ นปฐวีกสิณบริกรรมว่า “อำกำ โสๆ อำกำศๆ” ดงั น้ีร่าไปจนกว่าจะเกิดอุคคหนิมิต และปรากฏรูปวงกลมอากาศ แต่มี ที่สุดฝาเป็นตน้ เจือปนอยบู่ า้ ง ส่วนปฏิภาคนิมิต ปรากฏเป็นวงกลมอากาศเท่ากบั วงกสิณ เด่นอยู่ และสามารถแผ่ออกให้ใหญ่ไดต้ ามตอ้ งการ 128(11) วิธีเจริญอุทธุมำตกะอสุภ กรรมฐำน โยคาวจรกุลบุตร ผมู้ ีศรัทธาปรารถนาจะเจริญกรรมฐานน้ี พึงไปสู่ที่พิจารณา อทุ ธุมาตกะอสุภนิมิตอยา่ ไปใตล้ ม พงึ ไปเหนือลม ถา้ ทางขา้ งเหนือลมมีร้ัวและหนามก้นั อยู่ หรือมีโคลนตมเป็นตน้ ก็พึงเอาผา้ หรือมือปิ ดจมูกไป เม่ือไปถึงแลว้ อยา่ เผลอและดู อสุภนิมิตก่อน พึงกำหนดทิศก่อน ยืนอยู่ในทิศใดเห็นซากอสุภะไม่ถนดั น้าจิตไม่ควร แก่ภาวนากรรม พึงเวน้ ทิศน้ันเสีย อย่ายืนทิศน้นั พึงไปยืนในทิศที่เห็นซำกอสุภะถนัด น้าจิตก็ควรแก่กรรมฐาน อน่ึงอย่ำยืนในที่ใต้ลม กล่ินอสุภะจะเบียดเบียน อย่ายืนขา้ ง เหนือลม อมนุษย์ที่สิงอยู่ในซำกอสุภะจะโกรธเคือง พึงหลีกเล่ียงเสียสักหน่อย อน่ึงอยา่

99 ใกลน้ กั ไกลนกั ยนื ไกลนกั วากอสุภะไม่ปรากฏแจง้ ยนื ใกลน้ กั จะไม่สบายเพราะกลิ่นอสุ ภะและปฏิกูลดว้ ยซากศพ ยืนชิดเทา้ นัก ชิดศีรษะนัก จะไม่เห็นซากอสุภะหมดท้งั กาย พึงยนื ในท่ีท่ามกลางตวั อสุภะในที่ท่ีสบาย เมื่อยนื อยูด่ งั น้ี ถา้ กอ้ นศิลาจอมปลวกตน้ ไม้ หรือกอหญ้าเป็ นต้น ปรากฏแก่จักษุ จะเล็กใหญ่ ขาวดา ยาวส้ัน สูงต่าอย่างใด ก็พึง กำหนดรู้อย่ำงน้ันๆ แลว้ ต่อไปพึงกาหนดอุทธุมาตกะอสุภะน้ี โดยอำกำร 6 อย่ำง คือ สี เภท สัณฐำน ทิศ ที่ต้ังอยู่ในปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย กาหนดสัณฐานอสุภะน้ี เป็ น ร่างกายของคนดา คนขาวเป็นตน้ กาหนดเภทน้นั คือกาหนดวา่ ซากอสุภะน้ีเป็นร่างกาย ของคนท่ีต้งั อยู่ในปฐมวยั มชั ฌิมวยั ปัจฉิมวยั กาหนดสัณฐานน้นั คือ กาหนดว่า นี่เป็ น สัณฐานศีรษะ-ทอ้ ง-สะเอว-เป็นตน้ กาหนดทิศน้นั คือ กาหนดวา่ ในซากอสุภะน้ีมีทิศ 2 คือ ทิศเบ้ืองต่า-เบ้ืองบน ท่านกายต้งั แต่นาภีลงมาเป็นทิศเบ้ืองต่า ต้งั แต่นาภีข้ึนไปเป็ น ทิศเบ้ืองบนกาหนดที่ต้งั น้ัน คือ กาหนดว่ามืออยู่ขา้ งน้ี เทา้ อยู่ขา้ งน้ี ศีรษะอยู่ขา้ งน้ี ท่ามกลางกายอยู่ที่น้ี กาหนดปริเฉทน้นั คือกาหนดวา่ ซากอสุภะน้ีมีกาหนดในเบ้ืองต่า ดว้ ยพ้ืนเทา้ มีกาหนดในเบ้ืองบนคือปลายผม มีกาหนดในเบ้ืองขวางดว้ ยหนังเต็มไป ดว้ ยเครื่องเน่า 31 ส่วน โยคาวจรพึงกาหนดพิจารณาอุทธุมาตกะ อสุภนิมิตน้ี ไดเ้ ฉพาะ แต่ซากอสุภะ อนั เป็นเพศเดียวกบั ตน คือถา้ เป็นชาย กพ็ ึงพจิ ารณาเพศชายอยา่ งเดียว เม่ือ พิจารณาอุทธุมาตกอสุภะน้นั จะนงั่ หรือยืนก็ได้ แลว้ พึงพิจารณาให้เหน็ อำนิสงส์ในอสุภ กรรมฐำนพึงสำคัญประหน่ึงดวงแก้ว ต้ังไว้ซ่ึงควำมเคำรพรักใคร่ย่ิงนัก ผูกจิตไวใ้ น อารมณ์คือ อสุภะน้ันไวใ้ ห้มนั่ ด้วยคิดว่า อำตมำจะได้พ้นชำติ ชรำ มรณทุกข์ด้วยวิธี ปฏิบัติดงั น้ีแลว้ พึงลืมจกั ษุข้ึนแลดูอสุภะ ถือเอาเป็นนิมิต แลว้ เจริญบริกรรมภาวนาไป ว่า อุทธุมำตก ปฏิกูล ซากศพพองข้ึน เป็นของน่าเกลียดดงั น้ีร่าไป ร้อยคร้ัง พนั คร้ัง ลืม จักษุดูแล้วพึงหลับ จักษุพิจำรณำ ทาอยู่ดังน้ีเรื่อยไป จนเมื่อหลับจักษุดู ก็เห็นอสุภะ เหมือนเม่ือลืมจักษุดูเมื่อใด ช่ือว่ำได้อุคคหนิมิตในกำลเมื่อน้ัน คร้ันไดอ้ ุคคหนิมิตแลว้ ถ้าไม่ละความเพียรพยายามก็จะได้ปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตปรากฏเห็นเป็ นของพึง เกลียดพึงกลัว และแปลกประหลาดย่ิงนกั ปกิภาคนิมิตปราฏกดุจบุรุษมีกายอนั อว้ นพี กินอาหารอิ่มแลว้ นอนอยฉู่ ะน้นั เม่ือไดป้ ฏิภาคนิมิตแลว้ นิวรณธรรมท้งั 5 มกี ำมฉันทะ เป็ นต้น ก็ปราศจากสันดำนสำเร็จอุปจำรฌำณ และอัปปนำฌำณ และควำมชำนำญ แคล่วคล่องในฌำณโดยลาดบั ไปฯ129(12) วิธีเจริญวินีลกอสุภกรรมฐำน วินีลกอสุภะน้นั คือ ซำกศพกำลังพองเขียว วิธีปฏิบตั ิท้งั ปวงเหมือนในอุทธุมาตกอสุภะ แปลกแต่คา บริกรรมว่า วินีลก ปฏิกูล อสุภะข้ึนพองเขียวน่าเกลียด ดังน้ี อุคคหนิมิตในอสุภะน้ี ปรากฏมีสีต่างๆ แปลกกนั ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็ นสีแดง ขาว เขียว เจือกนั 130(13) วิธี เจริญวิบุพพกอสุภกรรมฐำน วิบุพพกอสุภะน้ี คือซำกศพมีน้ำหนองไหล วิธีปฏิบตั ิ เหมือนในอุทธุมาตกอสุภะทกุ ประการ แปลกแต่คาบริกรรมวา่ วิปุพพก ปฏิกลู ซากศพมี น้าหนองไหลน่าเกลียดดังน้ีเท่าน้ัน อุคคหนิมิตในอสุภะน้ีปรากฏเหมือนมีน้าหนอง น้าเหลืองไหลอยมู่ ิขาด ส่วนปฏิภาคนิมิตน้นั ปรากฏเหมือนดงั่ ร่างอสุภะสงบนิ่งอยมู่ ิได้

100 หวน่ั ไหว 131(14) วิธีเจริญวิฉิททกอสุภกรรมฐำน อสุภะน้ี ไดแ้ ก่ ซำกศพท่ีถุกตัดออก เป็ นท่อนๆ ท้งั อยใู่ นท่ีมีสนามรบหรือป่ าชา้ เป็นตน้ วิธีปฏิบตั ิท้งั ปวงเหมือนในอุทธุมาต กอสุภะ แปลกแต่คาบริกรรมว่า วิฉิททก ปฏิกูล ซากศพขาดเป็ นท่อนๆ น่าเกลียดดงั น้ี เทา่ น้นั อคุ คหนิมิตปรากฏเป็นซากอสุภะขาดเป็นท่อนๆ ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏเหมือน มีอวยั วะครบบริบูรณ์ มิเป็ นช่องขาดเหมือนอย่างอุคคหนิมิต 132(15) วิธีเจริญวิขำยิตก อสุภกรรมฐำน ใหโ้ ยคาวจรพิจารณาซากศพอนั สัตว์ มีแร้ง กา และสุนขั เป็นตน้ กดั กิน แลว้ อวยั วะขาดไปต่างๆ บริกรรมว่า วิขายิตก ปฏิกูล ซากศพท่ีสัตวก์ ดั กินอวยั วะต่างๆ เป็นของน่าเกลียด ดงั น้ีร่าไปกวา่ จะไดส้ าเร็จอุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต ก็อุคคหนิมิต ในอสุภะน้ี ปรากฏเหมือนซากอสุภะ อันสัตว์กัดกินกลิ้งอยู่ในที่น้ันๆ ปฏิภาคนิมิต ปรากฏบริบูรณ์สิ้นท้งั กาย จะปรากฏเหมือนที่สัตวก์ ดั กินน้นั มิได้ 133(16) วิธีเจริญวิขิตต กอสุภกรรมฐำน ใหโ้ ยคาวจร พึงนามาเองหรือใหผ้ อู้ ื่นนามาซ่ึงซำกอสุภะทต่ี กเรี่ยรำยอยู่ ในท่ีต่ำงๆ แลว้ มากองไวใ้ นที่เดียวกนั แลว้ กาหนดพิจารณา บริกรรมวา่ วิขิตตกํ ปฏิกูลํ ซำกศพอันซัดไปในท่ีต่ำงๆ เป็ นของน่ำเกลียด ดงั น้ีร่าไป จนกว่าจะไดอ้ ุคคหนิมิตและ ปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะน้ี ปรากฏเป็ นช่องๆ เป็ นระยะๆ เหมือนร่างอสุภะ น้นั เอง ปฏิภาคนิมิตปรากกเหมือนกายบริบูรณ์จะมีช่องมีระยะหามิไดฯ้ 134(17) วิธีเจริญ หตวิขิตตอสุภกรรมฐำน ให้โยคาวจรพึงนาเอามาหรือใหผ้ ูอ้ ื่นนาเอามา ซ่ึงซำกอสุภะท่ี คนเป็ นข้ำศึก สับฟันกันเป็ นท่อนท่อนใหญ่ทิง้ ไว้ในทีต่ ่ำงๆ ลาดบั เขา้ ใหห้ ่างกนั ประมาณ นิ้วมือหน่ึง แลว้ กาหนดพิจารณาบริกรรมว่า หตวิขิตตกํ ปฏิกูลํ ซำกศพขำดเป็ นท่อน น้อยท่อนใหญ่ เป็ นของน่าเกลียดดังน้ีร่าไป กว่าจะได้อุคคหนิมิต และปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตในอสุภะน้ี ปรากฏดุจรอยปากแผลอนั บุคคลประหาร ปฏิภาคนิมิตปรากฏดงั เต็มบริบูรณ์ท้งั กาย มิไดเ้ ป็ นช่องเป็ นระยะฯ135(18) วิธีเจริญโลหิตกอสุภกรรมฐำน ให้ โยคาวจรพิจารณาซากศพที่คนประหารสับฟันในอวยั วะ มีมือแล เทา้ เป็ นต้น มีโลหิต ไหลออกอยู่และทิ้งไวใ้ นท่ีท้งั หลายมีสนามรบเป็นตน้ หรือพจิ ารณาอสุภะที่มีโลหิตไหล ออกจากแผล มีแผลฝี เป็ นตน้ ก็ได้ บริกรรมว่า โลหิตกํ ปฏิกูลํ อสุภะน้ีโลหิตไหลเปรอะ เปื้ อนเป็นของน่าเกลียดดงั น้ีร่าไป กว่าจะไดอ้ ุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต อุคคหนิมิตใน อสุภะน้ี ปรากฏดุจจะผา้ แดงอนั ตอ้ งลมแลว้ แลไหวๆ อยู่ ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นอนั ดีจะ ไดไ้ หวหามิได้ 136(19) วิธีเจริญปุฬุวกอสุภกรรมฐำน ให้โยคาวจรพิจารณาซากศพของ มนุษยห์ รือสัตว์ มีสุนขั เป็นตน้ ท่ีมีหนอนคลานคร่าอยู่ บริกรรมวา่ ปุฬุวกํ ปฏิกูลํ อสุภะ ท่ีหนอนคลำนคร่ำอยู่ เป็นของน่าเกลียดดงั น้ีร่าไป กวา่ จะไดอ้ ุคคหนิมิต แลปฏิภาคนิมิต อคุ คหนิมิตในอสุภะน้ี ปรากฏมีอาการหวนั่ ไหว ดงั่ หมู่หนอนอนั สญั จรคลานอยู่ ปฏิภาค นิมิตปรากฏมีอาการอนั สงบเป็นอนั ดีดุจกองขา้ วสาลีอนั ขาวฉะน้นั ฯ137(20) วธิ ีเจริญอฏั ฐิ กอสุภกรรมฐำน ใหโ้ ยคาวจรพจิ ารณาซ่ึงซากศพที่เหลือแต่กระดูกอยา่ งเดียว จะพิจารณา ร่างกระดูกที่ติดกนั อยทู่ ้งั หมดยงั ไมเ่ คลื่อนหลุดไปจากกนั เลยกไ็ ด้ จะพจิ ารณาร่างกระดูก

101 ท่ีเคล่ือนหลุดไปจากกนั แล้วโดยมากยงั ติดกันอยู่บา้ งก็ได้ จะพิจารณาท่อนกระดูกอนั เดียวก็ได้ ตามแต่จะเลือกพิจารณา แลว้ พึงบริกรรมว่า อฏฐิกํ ปฏิกูลํ กระดูกเป็ นของน่ำ เกลียด ดงั น้ีร่าไป กวา่ จะสาเร็จอคุ คหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ถา้ โยคาวจรพิจารณาแต่ท่อน กระดูกอนั เดียว อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็ นอย่างเดียวกัน ถ้าโยคาวจร พิจารณากระดูกท่ียงั ติดกนั อยู่ท้งั สิ้น อุคคหนิมิตปรากฏปรากฏเป็ นช่องๆ เป็ นระยะๆ ปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นร่างกายอสุภะบริบูรณ์ส้ินท้งั น้นั ฯ138(21-30) วิธีเจริญอนุสสติ 10 ประกำร คือ พุทธำนุสสติ ระลึกถึงคณุ พระพุทธเจ้ำ ธมมำนุสสติ ระลึกถึงคณุ พระธรรม สังฆำนุสสติ ระลึกถึงคุณพระสงฆ์ สีลำนุสสติ ระลึกถึงคุณศีล จำคำนุสสติ ระลึกถึงคณุ ทำน เทวตำนุสสติ ระลึกถึงคุณเทวดำ อุปสมำนุสสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพำน มรณสส ติ ระลึกถึงควำมตำย กำยคตำสติ ระลึกไปในกำยของตน อำนำปำนสติ ระลึกถึงลม หำยใจเข้ำออก ในอนุสสติ 10 ประกำรน้ี จะอธิบายพิสดารเฉพำะอำนำปำนสติ ดงั ต่อไปน้ี โยคาวจรกุลบุตรผเู้ จริญอานาปานสติกรรมฐานพึงเขา้ ไปอาศยั อยใู่ นป่ า หรือ โคนไม้ หรืออยใู่ นเรือนโรงศาลากฏุ ิวิหารอนั วา่ งเปลา่ เป็นที่เงียบสงดั แห่งใดแห่งหน่ึง อนั สมควรแก่ภาวนานุโยคแลว้ พึงน่ังคู้บัลลังค์ขัดสมำธิเท้ำขวำทับเท้ำซ้ำย มือขวำทับ มือซ้ำย ต้ังกำยให้ตรงดำรงสติไว้ให้ม่ัน คอยกำหนดรู้ลมหำยใจเข้ำและลมหำยใจออก อยา่ ให้ลืมหลง เมื่อหายใจเขา้ ก็พึงกาหนดรู้วา่ หายใจเขา้ เมื่อหายใจออกก็พึงกาหนดรู้ว่า หายใจออก เม่ือหายใจเขา้ ออกยาวหรือส้นั กพ็ ึงกาหนดรู้ประจกั ษช์ ดั ทกุ ๆ คร้ังไปอยา่ ลืม หลง อน่ึงท่านสอนให้กำหนดนับดว้ ย เมื่อลมหายใจเขา้ และออกอนั ใดปรากฏแจง้ ก็ให้ นึกนบั วา่ หน่ึง ๆ รอบที่สองนบั วา่ สองๆ ไปจนถึงหา้ ๆ เป็นปัญจกะ แลว้ ต้งั ตน้ หน่ึงๆ ไป ใหม่ไปจนถึงหกๆ เป็นฉกั กะ แลว้ นบั ต้งั ตน้ ใหม่ไปถึงเจ็ดๆ เป็นสัตตกะ แลว้ นบั ต้งั ตน้ ใหม่ไปจนถึงแปดๆ เป็นอัฏฐกะ แลว้ นบั ต้งั แต่ตน้ ใหม่ไปจนถึงเกา้ ๆ เป็นนวกะ แลว้ นบั ต้งั ตน้ ใหม่ไปจนถึงสิบๆ เป็ นทสกะแลว้ กลบั นับต้งั ต้นใหม่ต้งั แต่ปัญจกะหมวด 5 ไป ถึงทสกะหมวด 10 โดยนัยน้ีเรื่อยไป เมื่อกาหนดนับลมที่เดินโดยคลองนาสิกด้วย ประการดงั น้ี ลมหายใจเขา้ ออกก็จะปรากฏแก่โยคาวจรกุลบุตรชดั และเร็วเขา้ ทุกที อยา่ พึงเอาสติตามลมเขา้ ออกน้นั เลย พึงคอยกาหนดนับให้เร็วตามลมเขา้ ออกน้นั วา่ 1. 2. 3. 4. 5. /1. 2. 3. 4. 5. 6. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. /1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. / 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. / พึงนับตามลมหายใจเขา้ ออกดงั น้ีร่าไป จิตก็จะเป็ นเอกัคคตำ ถึงซ่ึงความเป็ นหน่ึง มีอารมณ์เดียวด้วยกาลงั อันนับลมน้ันเทียว บางองค์ก็เจริญแต่ มนสิการกรรมฐานน้ีดว้ ยสามารถถอนนับลมน้ัน ลมอสั สาสะ-ปัสสาสะ ก็ดับไปโดย ลาดบั ๆ กระวนกระวายก็ระงบั ลง จิตก็เบาข้ึน แลว้ กายก็เบาข้ึนดว้ ยดุจถึงซ่ึงอาการอนั ลอยไปในอากาศ เมื่อลมอสั สาสะ-ปัสสาสะหยาบดบั ลงแลว้ จิตของโยคาวจรน้นั ก็มีแต่ นิมิตคลิ มอสั สาสะ-ปัสสาสะสุขมุ ละเอียดเป็นอารมณ์ เม่ือพยายามต่อไปลมสุขุมก็ดบั ลง เกิดลมสุขุมละเอียดย่ิงข้ึนประหน่ึงหายไปหมดโดยลาดบั ๆ คร้ันปรากฏเป็นเช่นน้นั อยา่ พึงตกใจและลุกหนีไป เพราะจะทาให้กรรมฐานเส่ือมไป พึงทาความเขา้ ใจไวว้ ่า ลม

102 หายใจไม่มีแก่คนตาย คนดาน้า คนเข้าฌาณ คนอยู่ในครรภ์มารดาดังน้ีแล พึงเตือน ตนเองวา่ บดั น้ีเราก็มิไดต้ ายลมละเอียดเขา้ ต่างหาก แลว้ พึงคอยกาหนดลมในที่ๆ มนั เคย กระทบเช่นปลายจมูกไว้ ลมก็มาปรากฏดังเดิม เม่ือทาความกาหนดไปโดยนัยน้ี มิช้า อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตก็จะปรากฏโดยลาดบั ไป อุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิต ในอ นาปานสติกรรมฐานน้ีย่อมปรากฏแก่โยคาวจรต่างๆ กนั บางองคป์ รากฏดงั ปุยนุ่นบา้ ง ปุยสาลีบ้าง บางองค์ปรากฏเป็ นวงช่องรัศมีบา้ ง ดวงแกว้ มณีแกว้ มุกดาบ้างบางองค์ ปรากฏมีสัมผสั หยาบ คือเป็ นดงั เมล็ดในฝ้ายบา้ ง ดงั เส้ียนสะเก็ดไมแ้ ก่นบา้ ง บางองค์ ปรากฏดงั ดา้ ยสายสังวาลยบ์ า้ ง เปลวควนั บา้ ง บางองคป์ รากฏดงั ใยแมลงมุมอนั ขึงอยู่บา้ ง แผน่ เมฆและดอกบวั หลวง และจกั รรถบา้ ง บางทีปรากฏดงั ดวงพระจนั ทร์พระอาทิตยก์ ็ มี การที่ปรากฏนิมิตต่างๆ กนั น้ันเป็ นด้วยปัญญาของโยคาวจรต่างกัน อน่ึงธรรม 3 ประกำร คือ ลมเข้ำ 1 ลมออก 1 นิมติ 1 จะไดเ้ ป็นอารมณ์ของจิตอนั เดียวกนั หามิไดล้ มเขา้ ก็เป็นอารมณ์ของจิตอนั หน่ึง ลมออกกเ็ ป็นอารมณ์ของจิตอนั หน่ึง นิมิตก็เป็นอารมณ์ของ จิตอนั หน่ึง เมื่อรู้ธรรม 3 ประการน้ีแจง้ ชดั แลว้ จึงจะสาเร็จอุปจารฌาณและอปั ปนาฌาณ เม่ือไม่รู้ธรรม 3 ประการก็ย่อมไม่สาเร็จ อานาปานสติกรรมฐานน้ีเป็นไปเพ่ือตดั เสียซ่ึง วิตกต่างๆ เป็ นอย่างดีด้วยประการฉะน้ีฯ 139(31-40) ส่วนกรรมฐำนอีก 6 ประกำรคือ อปั ปมัญญำ พรหมวิหำร 4 อำหำเรปฏิกลู สัญญำ 1 จตธุ ำตวุ วฏั ฐำน 1 จะไมอ่ ธิบาย จะ ไดอ้ ธิบายแต่อรูปกรรมฐาน 4 ดงั ต่อไปน้ี โยคาวจรกุลบุตรผเู้ จริญอรูปกรรมฐำนท่ีหน่ึง พึงกสิณท้งั 9 มีปฐวกี สิณเป็นตน้ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง เวน้ อากาศกสิณเสีย เมื่อสาเร็จ รูปำว จรฌำณอนั เป็นท่ีสุดแลว้ เจริญอรูปาวจรฌาณในอรูปกรรมฐานต่อไป พึงเพิกกสิณ น้นั เสีย คืออยา่ กาหนดนึกหมายเอากสิณนิมิตเป็นอารมณ์ พึงต้งั จิตเพ่งนึกพิจารณาอากาศท่ี ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแลว้ เหลืออยแู่ ต่อากาศ ที่ดวงกสิณเกาะหรือเพิกแลว้ เหลืออยู่แต่ อากาศเปล่าเป็นอารมณ์ พจิ ารณาไปๆ จนอากาศเปล่าเทา่ วงกสิณปรากฏในมโนทวารใน กาลใด ในกาลน้นั ให้โยคาวจรพิจารณาอากาศอนั เป็ นอารมณ์ บริกรรมว่า อนนโต อา กาโส อากาศไมม่ ีที่ส้ินสุดดงั น้ีร่าไป เม่ือบริกรรมนึกอยดู่ งั น้ีเนืองๆ จิตก็สงบระงบั ต้ังม่ัน เป็ นอุปจำรสมำธิไปจนถึงอัปปนำสมำธิโดยลาดบั สาเร็จเป็ นอรูปฌาณที่ 1 ช่ือว่า อำ กำสำนัญจำยตนฌำณ เม่ือจะเจริญอรูปกรรมฐานท่ี 2 ต่อไป พึงละอากาศนิมิตท่ีเป็ น อารมณ์ของอรูปฌำณท่ีแรกน้นั เสีย พงึ กาหนดจิตท่ียดึ หน่วงเอาอากาศเป็นอารมณ์น้นั มา เป็นอารมณ์ต่อไป บริกรรมวา่ อนนต วิญญาณ วิญญาณไม่มีที่สุดดงั น้ี ร่าไปจนกวา่ จะได้ สาเร็จอรูปฌาณท่ี 2 ชื่อวา่ วิญญำณัญจำยตนฌำณ เมื่อจะเจริญอรูปฌาณท่ี 3 ต่อไป พึง ละอรูปวญิ ญาณทีแรกท่ีเป็นอารมณ์ของอรูปฌาณท่ี 2 น้นั เสีย มายดึ หน่วงเอาความที่ไม่มี ของอรูปฌาณทีแรก คือกาหนดวา่ อรูปวิญญาณแรกน้ีไม่มีในท่ีใด ดงั น้ีเป็นอารมณ์แลว้ บริกรรมวา่ นตถิกิญจิๆ อรูปวิญญาณทีแรกน้ีมิไดม้ ีมิไดเ้ หลือติดอยใู่ นอากาศดงั น้ี เนืองๆ ไปก็ะไดส้ าเร็จอรูปฌาณท่ี 3 ช่ือวา่ อากิญจญั ญายตนฌาณ เมื่อจะเจริญอรูปกรรมฐำนที่ 4 ต่อไป พึงปล่อยวางอารมณ์ของอรูปฌาณที่ 3 คือ ที่สาคญั มนั่ ว่าอรูปฌาณทีแรกไม่มี

ผล 103 พิจารณาความเป็ นไป ดังน้ีเสีย พึงกาหนดเอาแต่ความละเอียดปราณีตของอรูปฌาณท่ี 3 เป็ นอารมณ์ทา แห่งสงั ขารท้งั หลาย บริกรรมว่า สนตเมต ปณีตเมต อรูปฌาณที่ 3 น้ีละเอียดนกั ประณีตนกั จะว่ามีสัญญาก็ ยอ่ มเห็นความเกิด ไม่ใช่ ไมม่ ีสญั ญาก็ไม่ใช่ ดงั น้ีเนืองๆ ไป ก็จะไดส้ าเร็จอรูปฌาณที่ 4 ชื่อวา่ เนวสัญญำนำ ความแก่ ความเจ็บไข้ สัญญำยตนฌำณ จะอธิบายฌำณและสมำบัติต่อไป ฌาณน้นั ว่าโดยประเภทเป็น 2 อย่าง และความตายใน คือ รูปฌานและอรูปฌาน อยา่ งละ 4 ฌาน เป็นฌำณ 8 ประกำร ฌาณท้งั 8 น้ี เป็นเหตุให้ สังขารท้งั หลาย เกิดสมาบตั ิ 8 ประการ บางแห่งท่านก็กล่าววา่ ผลสมาบตั ิ ต่อได้ฌำณมีวสี ชานาญดีแลว้ จึงทาใหส้ มาบตั ิบริบูรณ์ข้ึนดว้ ยดีได้ เพราะเหตุน้ีสมาบตั ิจึงเป็นผลของฌำณ ก็สมาบตั ิ 8 ประการน้ี ในภายนอกพระพุทธศาสนาก็มี แต่ไม่เป็นไปเพ่ือดบั กิเลส ทาใหแ้ จง้ ซ่ึงพระ นิพพาน ไดแ้ ต่เป็ นไปเพ่ือทิฏฐธรรมสุขวิหารและเป็ นไปเพื่อเกิดในพรหมโลกเท่าน้นั เหมือนสมาบตั ิของอาฬารดาบส และอุทุกดาบสฉน้นั ส่วนสมาบตั ิพระพุทธศาสนาน้ี ย่อมเป็นไปเพื่อรางบั ดบั กิเลส ทาใหแ้ จง้ ซ่ึงพระนิพพานได้ ว่าโดยประเภทเป็น 2 อยา่ ง คือ ผลสมำบัติและนิโรธสมำบัติ ผลสมาบตั ิน้นั ยอ่ มสาธารณะทว่ั ไปแก่พระอริยเจา้ สอง จาพวกคือ พระอนาคามีกบั พระอรหันตท์ ่ีได้สมำบัติ 8 เท่าน้นั อน่ึงฌาณและสมาบตั ิน้ี ถ้าว่าโดยอรรถก็เป็ นอนั เดียวกัน ต่างกนั แต่พยญั ชนะเท่าน้ัน เพราะฌาณน้ันเป็ นที่ถึง ดว้ ยดีของฌานลาภีบุคคล จริงอยู่ในอรรถกถาท่านกล่าวไวว้ า่ ฌานลาภีบุคคล ถึงดว้ ยดี ซ่ึงสมาบตั ิ คือฌาณเป็ นที่ถึงดว้ ยดี มีปฐมฌาณเป็ นตน้ ดงั น้ี อน่ึง ในพระบาลีแสดง อนุ บุพพวิหำรสมำบัติ 9 ไว้ คือปฐม ทุติย ตติย จตุตถฌาณ อากาสานญั จายตน วิญญาณัญ จายตนะ อากิญจญั ญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาณ และสัญญาเวทยติ นิโรธ เป็น สมาบตั ิที่อยูต่ ามลาของฌาณลาภีบุคคลดงั น้ี อน่ึงท่านแสดง อนุบุพพนิโรธสมบตั ิ 9 ไว้ วา่ ฌาณลาภีบุคคลเมื่อถึงดว้ ยปฐมฌาณ วิตก วิจารณ์ดบั ไป เมื่อถึงดว้ ยดีซ่ึงตติยฌาณ ปิ ติ ดับไป เม่ือถึงด้วยดี ซ่ึงจตุตถฌาณ ลมอัสสาสะปัสสาสะดับไป เมื่อถึงด้วยดีซ่ึง อำ กำสำนัญจำยตนฌำณ รูปสัญญาดบั ไปเม่ือถึงดว้ ยดีซ่ึงวิญญาณัญจายตนฌาณ สัญญาใน อากาสานัญจายตนฌาณดับไป เม่ือถึงด้วยดีซ่ึงอากิญจัญญายตนฌาณ สัญญาใน วิญญานญั จายตนฌาณดบั ไป เม่ือถึงดว้ ยดีซ่ึงเนวสัญญานาสัญญยตนฌาณสัญญาในอา กิญจญั ญายตนฌาณดบั ไป เม่ือถึงดว้ ยดีซ่ึงสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาดับไป ธรรม9 อยา่ งน้ีชื่อ อนุบุพพนิโรธสมาบตั ิ สมาบตั ิเป็นที่ดบั หมดแห่งธรรมอนั เป็นปัจจนึก แก่ตนตามลาดับฉะน้ี คาในอรรถกถาและบาลีท้งั 2 น้ีส่องความให้ชัดว่า ฌาณและ สมาบตั ิ สมาบตั ิเป็นผล วิเศษแปลกกนั แต่เท่าน้ี 140บุคคลใดปฏิบตั ิชอบแลว้ บุคคลน้นั ย่อมพิจำรณำควำมเป็ นไปแห่งสังขำรท้งั หลาย ย่อมเห็น ความเกิด ความแก่ ความเจบ็ ไข้ และความตายในสังขารท้งั หลายเหลา่ น้นั ยอ่ มไม่เห็นความสุข ความยินดีน้อยหน่ึงในสังขารท้งั หลายเหล่าน้นั ไม่เห็นซ่ึงอะไรๆ ในเบ้ืองตน้ ท่ามกลาง หรือ ที่สุดในสังขารท้งั หลายเหล่าน้นั ซ่ึงจะเขา้ ถึงความเป็นของไม่ควรถือเอา อุปมาเหมือนบรุ ุษไม่ เห็นซ่ึงที่แห่งใดแห่งหน่ึง ในเบ้ืองตน้ ท่ามกลาง หรือท่ีสุด ในกอ้ นเหล็กแดงอนั ร้อนอยูต่ ลอด วนั ที่เขา้ ถึงความเป็นของควรจบั ถือสักแห่งเดียวฉนั ใด บุคคลพิจารณาเห็นความเกิด ความแก่

เหล่าน้นั ยอ่ มไม่เห็น 104 ความสุข ความยินดี นอ้ ยหน่ึงในสังขาร ความเจ็บไข้ และความตายในสังขารท้งั หลายน้ัน ย่อมไม่เห็นความสุข ความยินดีในสังขาร ท้งั หลาย เหลาน้นั แมน้ อ้ ยหน่ึงฉนั น้นั เมื่อบุคคลพิจารณาเห็นวา่ เป็นของร้อนพร้อม ร้อนมาแตต่ น้ ตลอด เอาศีลวิสุทธิและจิตต โดยรวบ มีทกุ ขม์ ากมีคบั แคน้ มาก ถา้ ใครมาเห็นไดซ้ ่ึงความไม่เป็นไปแห่งสังขารท้งั หลายไซร้ วสิ ุทธิ มาเป็นรากฐาน ธรรมชาติน้ีคือธรรมชำติเป็ นที่ระงับแห่งสังขำรท้ังปวง ธรรมชาติเป็นท่ีสลดั คืนแห่งอุปธิท้งั มีปฏิจจสมุปบาทเป็ น ปวง ธรรมชาติเป็นท่ีสิ้นแห่งตณั หา ธรรมชาติเป็นที่ปราศจากเครื่องยอ้ ม ธรรมชาติเป็นท่ีระงบั ท่ีสุดไดเ้ ป็นพ้ืน ความกระหาย ธรรมชาติเป็นที่ดบั ทุกข์ ธรรมชาติน้นั เป็นท่ีสงบ เป็นของปราณีตดงั น้ี ฐานท่ีต้งั แห่งธรรมอนั อุดมน้ีคือ ศีล บุคคลต้งั มน่ั ในศีลแลว้ เม่ือกระทาในใจโดยชอบแลว้ จะอยู่ในท่ี ใดๆ ก็ตามปฏิบตั ิชอบแลว้ ย่อมทาใหแ้ จง้ ซ่ึงพระนิพพานดว้ ยประการฉะน้ี 141เมื่อโยคาวจรต้งั ธรรม 6 กอง มีขนั ธ์ 5 เป็นตน้ มีปฏิจจสมุปบำทเป็นท่ีสุดไดเ้ ป็นพ้ืน คือพิจารณาใหร้ ู้จกั ลกั ษณะ แห่งธรรม 6 กอง ยึดหน่วงเอาธรรม 6 กองไวเ้ ป็นอารมณ์ไดแ้ ลว้ ลาดบั น้นั จึงเอาศีลวิสุทธิและ จิตตวิสุทธิ มาเป็ นรากฐาน ศีลวิสิทธิน้ันไดแ้ ก่ปาฏิโมกขสังวรศีล จิตตวิสุทธิน้นั ไดแ้ ก่อฏั ฐ สมาบตั ิ 8 ประการ เมื่อต้งั ศีลวิสุทธิ และจิตตวิสุทธิเป็ นรากฐานแลว้ ลาดบั น้ันโยคาวจรพึง เจริญวสิ ุทธิท้งั 5 สืบต่อไปโดยลาดบั ๆ เอำทฏิ ฐิวิสุทธิและกงั ขำวิตรณวิสุทธิเป็นเทา้ ซา้ ยเทา้ ขวา เอามคั คามคั คญาณทสั สนวสิ ุทธิ และปฏิปทาญาณทสั สนวิสุทธิเป็นมือซา้ ยมือขวา เอาญาณทสั สนวิสุทธิเป็ นศีรษะเถิด จึงจะอาจสามารถยกตนออกจากวฏั ฏสงสารได้ ทิฏฐิวิสุทธิ น่นั คือ ปัญญาอนั พิจารณาซ่ึงนามและรูปโดยสามญั ลกั ษณะ มีสภาวะเป็นปริณามธรรมมิไดเ้ ที่ยงแท้ มี ปกติแปรผนั เป็นตน้ เป็นปัญญาเครื่องชาระตนให้บริสุทธ์ิจากความเห็นผิดตา่ งๆ โยคาวจรเจา้ ผู้ ปรารถนาจะยงั ทิฏฐิวิสุทธิให้บริบูรณ์ พึงเขา้ สู่ฌาณสมาบตั ิตามจิตประสงค์ ยกเวน้ เสียแต่เนว สัญญานาสญั ญายตนสมาบตั ิ เพราะละเอียดเกินไป ปัญญาของโยคาวจรจะพิจารณาไดโ้ ดยยาก พึงเขา้ แต่เพียงรูปฌาณ 4 อรูปฌาณ 3 ประการน้นั เถิด เม่ืออกจากฌาณสมาบตั ิอนั ใดอนั หน่ึง แลว้ พงึ พิจารณาองคฌ์ าณ มีวิตกวิจารณ์เป็นตน้ แลว้ เจตสิกธรรมอนั สมั ปยตุ ตด์ ว้ ยองคฌ์ าณน้นั ให้แจง้ ชดั โดยลกั ษณะ กิจ ปัจจุปัฏฐานและอาสนั นการณ์ แลว้ พึงกาหนดกฏหมายว่า องคฌ์ าณ และธรรมอนั สัมปยุตตด์ ว้ ยองคฌ์ าณน้ีลว้ นแต่เป็นนามธรรม เพราะเป็นสิ่งท่ีนอ้ มไปสู่อารมณ์ สิ้นดว้ ยกนั แลว้ พึงกาหนดพิจารณาท่ีอยู่ของนามธรรม จนเห็นแจง้ ว่า หทยั วตั ถุ เป็นที่อยูแ่ ห่ง นามธรรม อุปมาเหมือนบุรุษเห็นอสรพิษภายในเรือน เม่ือติดตามสกดั ดูก็รู้ว่าอสรพิษอยทู่ ี่น่ีๆ โยคาวจรผูแ้ สวงหาท่ีอยู่แห่งนามธรรมฉันน้นั คร้ันแลว้ พึงพิจารณารูปธรรมสืบ ต่อไป จน เห็นแจง้ ว่า หทยั วตั ถุน้นั อาศยั ซ่ึงภูตรูปท้งั 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ แมอ้ ุปาทานรูปอ่ืนๆ ก็อาศยั ภูต รูปสิ้นด้วยกัน รูปธรรมน้ีย่อมเป็ นสิ่งฉิบหายดว้ ยอันตรายต่างๆ มีหนาวร้อนเป็ นตน้ เม่ือ โยคาวจรมาพิจารณารู้แจง้ ซ่ึงนามและรูปฉะน้ีแลว้ พึงพิจารณาธาตทุ ้งั 4 คือ ดิน น้า ไฟ ลม ให้ เห็นแจง้ ดว้ ยปัญญาโดยสังเขปหรือพิสดารก็ได้ ตามแต่ปัญญาของโยคาวจรจะพึงหยง่ั รู้หยงั่ เห็น คร้ันพิจารณาธาตุแจ่มแจง้ แลว้ พึงพิจารณาอาการ 32 ในร่างกาย มีเกสา โลมา เป็ นตน้ จนถึงมตั ถลงุ คงั เป็นที่สุด ให้เห็นชดั ดว้ ยปัญญา โดย วณโณ สี คนโธ กลิ่น รโส รส โอช ความ ซึมซาบ สณฐาโน สัณฐาน ส้ันยาวใหญ่น้อย แลว้ พึงประมวลรูปธรรมท้งั ปวงมาพิจารณาในที เดียวกนั ว่า รูปธรรมท้งั ปวงลว้ นมีลกั ษณะฉิบหายเหมือนกนั จะมนั่ จะคง จะเท่ียง จะแท้ สักส่ิง หน่ึงก็มิไดม้ ี เม่ือโยคาวจรเจา้ พิจารณาเห็นกองรูปดงั น้ีแลว้ อรูปธรรมท้งั 2 คือจิต เจตสิก ก็ ปรากฏแจง้ แก่พระโยคาวจรดว้ ยอานาจทวาร คือ จกั ษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย ใจ เพราะว่าจิต

105 และเจตสิกน้ีมีทวารท้งั 6 เป็นท่ีอาศยั เม่ือพิจารณาทวารท้งั 6 แจง้ ประจกั ษแ์ ลว้ ก็รู้จกั จิตและ เจตสิกอนั อาศยั ทวารท้ัง 6 น้ันแน่แท้ จิตที่อาศยั ทวารท้ัง 6 น้ันจัดเป็ นโลกีย์ คือทวิปัญจ วิญญาณ 10 มโนธาตุ 3 มโนวิญญาณธาตุ และเจตสิกที่เกิดพร้อมกบั โลกียจิต คือผสั โส เวทนา สัญญา เจตนา เอกคั คตา ชีวิต อินทรีย์ มนสิการ ท้งั 7 น้ีเป็นเจตสิกท่ีสาธารณะทว่ั ไปในจิตท้งั ปวง การกล่าวดงั น้ีมิไดแ้ ปลกกนั เพราะจิตท้งั ปวงน้นั ถา้ มีเจตสิกอนั ทวั่ ไปแก่จิตท้งั ปวงเกิด พร้อมย่อมมีเพียง 7 ประการเท่าน้ี เม่ือโยคาวจรบุคคลมาพิจารณา นามและรูปอนั กล่าวโดย สรุปคือ ขนั ธ์ 5 แจง้ ชดั ดว้ ยปัญญาญาณตามความเป็นจริงแลว้ ยอ่ มถอนความเห็นผิด และตดั ความสงสัยในธรรมเสียได้ ยอ่ มรู้จกั ทางผิดหรือถูกความดาเนินและไม่ควรดาเนิน แจ่มแจง้ แก่ ใจยอ่ มสามารถถอนอาลยั ในโลกท้งั สามเสียได้ ไม่ใยดีติดอยใู่ นโลกไหนๆ จิตใจของโยคาวจร ยอ่ มหลดุ พน้ จากอาสวกิเลส เป็นสมจุ เฉทประหารไดโ้ ดยแน่นอนดว้ ยประการฉะน้ีแล [2] พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) 4.2.1) ประวัติ : พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ประวัติโดยย่อ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) เกิดวนั ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2427 มรณภาพ 3 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2502 อายุ 74 ปี วดั ปากน้า ภาษีเจริญ ในบรรดาหมู่ผูศ้ รัทธานบั ถือมกั เรียกท่านดว้ ยชื่อ \"หลวงพ่อวดั ปากน้า\" ท่านเป็ นผูม้ ีชื่อเสียงในฐานะพระวิปัสสนาจารย์ผูฟ้ ้ื นฟูและสืบทอดการปฏิบตั ิ กรรมฐานพุทธานุสติโบราณ เรียกว่า วิชชาธรรมกาย โดยเฉพาะคาว่า \"ธรรมกาย\" ที่มีปรากฏใน พระไตรปิ ฎก แต่ไม่ได้บอกวิธีการเข้าถึง พวกเราได้มีโอกาสรู้จกั คาว่า \"ธรรมกาย\" และวิธีการเข้าถึง ธรรมกาย ก็เพราะพระเดชพระคุณหลวงป่ ู ท่านคน้ พบวิธีการเขา้ ถึงพระธรรมกายยืนยนั ว่า ผูท้ ี่ไดเ้ ขา้ ถึง พระธรรมกายสามารถไปนรกก็ได้ ไปสวรรคก์ ็ได้ ไปจบั มือถือแขนพูดคุยกบั สตั วน์ รก หรือเอาบุญไปใหไ้ ด้ บุคคลผรู้ ู้เห็นเช่นน้ี ย่อมยืนยนั ว่าสวรรค์ นรก มีจริง บาป บุญ มีจริง พระคุณบิดา มารดามีจริง ฯลฯ และกลา้ กล่าวยืนยนั พร้อมสอนวิธีการเข้าถึงพระธรรมกาย ท่ีทาให้เราสามารถไปพิสูจน์คาพูดคาสอนของพระ สัมมาสัมพุทธเจา้ ได้ ทาให้เราสามารถเลือกภพภูมิหลงั ความตายไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง และช่วยให้เรายบั ย้งั ชง่ั ใจ ละอายความชว่ั กลวั การทาบาป เนื่องจากเห็นวา่ กรรมแมเ้ พียงเลก็ นอ้ ยก็มีผล บคุ คลผเู้ กรงกลวั ต่อบาปจะเร่ง ทาความดีเพื่อให้ใจใสบริสุทธ์ิยงิ่ ๆ ข้ึนไป บุคคลผูย้ นื ยนั คาสอนของพระพุทธองค์ เรื่องนรก สวรรคว์ า่ มีจริง และสามารถไปถึงไดด้ ว้ ยพระธรรมกายน้ัน ท่านยืนยนั ว่า พระรัตนตรัยน้นั อยู่ภายในตวั ของมนุษยท์ ุกคน สามารถเขา้ ถึงไดด้ ว้ ยการทาใจหยดุ นิ่งไวท้ ี่ศูนยก์ ลางกายฐานที่เจ็ด 4.2.2) ธรรมบรรยำยคำสอน : พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ตารางที่ 4.2 ขอ้ มูลธรรมบรรยายเกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) ผา่ นช่องทาง YouTube จาแนกตามรหสั รูปภาพและรายละเอียดแหล่งที่มาขอ้ มูล

106 รหสั ภาพ แหลง่ ขอ้ มูล O 1 https://www.youtube.com/watch?v=-GtYH2hSpmU นำนงั่ สมำธิ ฉบบั สมบูรณ์ ความยาว : 44.53 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 24 ม.ค. 2014 จานวนการดู : 1,112,345 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 5 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2564 O 2 https://www.youtube.com/watch?v=3xUSBlVxBSg สมาธิ หยดุ เป็นตวั สาเร็จ เทศนา ระยะเวลา : 9.52 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 14 ก.ค. 2018 จานวนการดู : 6,379 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 5 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.2564 จากตารางที่ 4.2 แสดงรหัส ภาพ และแหล่งขอ้ มูลจากออนไลน์ช่องทาง youtube ธรรมบรรยาย เกี่ยวกับเรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ของพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) จานวน 2 คลิปข้อมูล ประกอบดว้ ยการบรรยายเรื่อง “นานงั่ สมาธิ ฉบบั สมบรู ณ์” “สมาธิ หยดุ เป็นตวั สาเร็จ เทศนา” ผลการศึกษา ดงั แสดงจากตารางที่ 4.2.1 ถึงตารางท่ี 4.2.2 ตารางที่ 4.2.1 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “นำน่ังสมำธิ ฉบบั สมบูรณ์” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระมงคลเทพมนุ ี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) จาแนกตามแนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั O1] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด O1-1ศึกษาในพุทธศาสนาเป็นกิจส่วนตวั สาคญั ทางพระพุทธศาสนา พระพุทธศำสนำแปลว่า พระพทุ ธเจา้ สอนให้ คาสอนของพระพุทธเจา้ พระพุทธเจา้ สอนให้สัตวโ์ ลกท้งั หมดละชวั่ ดว้ ยกายวาจาใจ ทา สัตวโ์ ลกท้งั หมดละ ความดีดว้ ยกายวาจาใจ ทาใจใหใ้ ส 3 ขอ้ เป็นคาสอนของพระพุทธเจา้ ทุก ๆ พระองค์ ท้งั อดีต ชว่ั ดว้ ยกายวาจาใจ ปัจจุบัน อนาคต ยืนยันเหมือนกันหมด เหตุน้ันท่านท้ังหลายเมื่อต้ังใจม่ันลงใน ทาความดีดว้ ยกาย พระพุทธศาสนาเช่นน้ี ก็เพื่อจะทาใจของตนใหด้ ีตามประสงคใ์ นทางพระพุทธศาสนา การท่ี วาจาใจ ทาใจใหใ้ ส จะทาใจใหด้ ีน้ี มีบาลีเป็นตารับตาราวา่ หลกั กำร 2เทวฺ เม ภิกฺขเว วิชฺชานาภาคิยา ดูก่อนภิกษุท้งั หลาย วิชชามี 2 อย่าง กตเม ทฺว 2 อย่าง อะไรบา้ ง สมโถ จ สมถะ ควำมสงบระงบั อยา่ ง 1 วปิ สฺสนา จ วิปัสสนำควำมเหน็ แจ้งอยา่ ง 1 3 วชิ ชามี 2 อยา่ ง สมโถ ภำวิโต กิมตฺถมนุโภติ สมถะเป็นข้ึนแลว้ ตอ้ งการอะไร จิตฺต กิมตฺถมนุโภติ จิตเป็นข้ึน สมถะ ความสงบ

107 ระงบั วิปัสสนา แลว้ ตอ้ งการอะไร โย ราโค โส ปหียติ ความกาหนดั ยินดีอนั ใดท่ีมีอยู่ในจิตใจ ความกาหนดั ความเห็นแจง้ ยนิ ดีอนั น้นั ก็หมดไปดว้ ยสมถะ ควำมสงบระงับ 4วิปสฺสนา ภาวิตา กิมตฺถมนุโภติ วิปัสสนา สมถะเป็นข้นึ แลว้ เป็นข้ึนแลว้ ตอ้ งการอะไร ปญฺญา ภาวิยติ ตอ้ งการทาปัญญาให้เป็นข้ึน ปญฺญา ภาวิตา กิมตฺ ตอ้ งการอะไร ความ ถมนุโภติ ปัญญาเป็นข้นึ แลว้ ตอ้ งการอะไร ยา อวิชฺชา สา ปหียติ ความไม่รู้จริงอนั ใดที่มีอยู่ กาหนดั ยินดีในจิตใจ ในจิตใจ ความไม่รู้จริงอนั น้นั หมดไปดว้ ยความเห็นแจง้ คือ วิปัสสนำ 5ทางพระพุทธศำสนำ หมดไปดว้ ยสมถะ มีวชิ ชำ 2 อย่ำงน้ีเป็นขอ้ สาคญั นกั บดั น้ีทา่ นท้งั หลายที่เสียสละเวลา กเ็ พื่อมาเรียนสมถวิปัสส ความสงบระงบั นำท้งั สองอย่างน้ี สมถะ เป็ นวิชชาเบ้ืองตน้ พุทธศาสนิกชนตอ้ งเอาใจใส่ คือ แปลความวา่ วปิ ัสสนาเป็นข้นึ สงบระงับใจ เรียกว่ำ สมถะ วิปัสสนา เป็ นช้นั สูงกว่าสมถะ ซ่ึงแปลว่า เห็นแจง้ เป็ นธรรม แลว้ ตอ้ งการอะไร เบื้องสูง เรียกว่ำ วิปัสสนำ สมถวิปัสสนา 2 อย่างน้ี เป็ นธรรมอันสุขุมลุ่มลึกในทาง ทาปัญญาใหเ้ ป็นข้นึ พระพุทธศาสนา ผพู้ ูดน้ีไดศ้ ึกษามาต้งั แต่บวช พอบวชออกจากโบสถแ์ ลว้ ไดว้ นั หน่ึง รุ่งข้ึน ความไม่รู้จริงอนั ใด อีกวนั หน่ึงก็เรียนทีเดียว เรียนสมถะทีเดียวไม่ไดห้ ยุดเลย จนกระทง่ั ถึงบดั น้ี บดั น้ีเรียนดว้ ย ที่มีอยใู่ นจิตใจ ความ ท้งั สอนดว้ ย ในฝ่ ายสมถวปิ ัสสนาท้งั 2 อยา่ งน้ี ไมร่ ู้จริงอนั น้นั หมด ไปดว้ ยความเห็น 6สมถะมีภูมิแค่ไหน สมถะมีภูมิ 40 กสิณ 10 อสุภะ 10 อนุสติ 10 พรหมวิหาร 4 อาหาแร แจง้ คือ วปิ ัสสนา ปฏิกูล สัญญา 1 จตุธาตุววฏั ฐาน อรุปฌาน 4 ท้งั 40 น้ีเป็ นภูมิของสมถะ 7วิปัสสนามีภูมิ 6 พระพุทธศาสนามี ขนั ธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาทธรรม 12 (ธรรมอาศยั ซ่ึงกนั วชิ ชา 2 อยา่ ง สงบ และกันเกิดข้ึน) น้ีเป็ นภูมิของวิปัสสนา ภูมิสมถวิปัสสนาท้ัง 2 น้ี เป็ นตารับตาราในทาง ระงบั ใจ เรียกว่า พระพุทธศาสนาไดใ้ ชก้ นั สืบมา 7แต่ ภูมขิ องสมถะ ตอ่ ไปน้ี เร่ิมต้นต้องทำใจให้หยดุ จงึ จะเข้ำ สมถะ วิปัสสนา ภูมิของสมถะได้ ถา้ ทาใจให้หยุดไม่ไดก้ ็เขา้ ภูมิสมถะไม่ได้ “สมถะ” แปลว่ำ สงบ แปลว่ำ เป็นช้นั สูงกวา่ สมถะ หยุด แปลว่ำนิ่ง ต้องทำใจให้หยุด ใจของเรา 8อะไรท่ีเรียกว่ำ “ใจ” เห็นอย่ำง1 จำอย่ำง1 คิด แปลว่า เห็นแจง้ เป็น อย่ำง1 รู้อย่ำง1 4 อยา่ งน้ีรวมเข้ำเป็ นจุดเดยี วกนั นน่ั แหละเรียกวา่ ใจ 9อยทู่ ่ีไหนอยใู่ นเบาะน้า ธรรมเบ้อื งสูง เล้ียงหัวใจ คือ ควำมเห็นอยู่ท่ีท่ำมกลำงกำย ความจาอยู่ท่ีท่ามกลางเน้ือหัวใจ ความคิดอยู่ เรียกวา่ วิปัสสนา ท่ามกลางดวงจิต ความรู้อยทู่ ่ามกลางดวงวิญญาณ เห็น จา คิด รู้ 4 ประการน้ีหมดท้งั ร่างกาย ส่วนเห็นเป็ นต้นของรู้ ส่วนจำเป็ นต้นของเนื้อหวั ใจ ส่วนคิดเป็ นต้นของดวงใจ ส่วนรู้เป็ นต้น วิธกี ำร ของวิญญำณ 10ดวงวิญญำณเท่าดวงตาดาขา้ งใน อยู่ในกลางดวงจิต ดวงจิต เท่าดวงตามดา ขา้ งนอก อยใู่ นกลางเน้ือหวั ใจ ดวงจำกวา้ งออกไปอีกหน่อยหน่ึง เทา่ ดวงตาท้งั หมด ดวงเห็น สมถะภูมิ 40 กสิณ อยู่ในกลางกาย โตกว่าดวงตาออกไป น่ันเป็ นดวงเห็น ดวงเห็นน่ันแหละ ธาตุเห็นอยู่ 10 อสุภะ 10 ศูนยก์ ลางดวงน้นั นนั่ แหละเรียกวา่ เห็น เห็นอยใู่ นธาตุเห็นน้นั ดวงจา ธาตุจาอยใู่ นศูนยกลาง อนุสติ 10 พรหม ดวงน้นั ความจาอยทู่ ี่นนั่ ดวงคดิ ธาตคุ ิดอยศู่ ูนยก์ ลางดวงน้นั ดวงรู้ ธาตรุ ู้อยใู่ นศูนยก์ ลางดวง วหิ าร 4 อาหาแร น้นั เห็น จำ คิด รู้ 4 อย่ำงน้ีแหละ เอำเข้ำมำรวมเป็ นจุดเดียวกัน เรียกว่ำ “ใจ” 11ของลึกซ้ึง ปฏิกลู สญั ญา 1 จตุ ธาตวุ วฏั ฐาน อรุป ฌาน 4 ท้งั 40 เป็น ภมู ิสมถะ วปิ ัสสนาภมู ิ 6 ขนั ธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาท ธรรม 12 เป็นภมู ิ ของวปิ ัสสนา ภมู ขิ องสมถะ เริ่มตน้ ตอ้ งทาใจ ให้หยดุ จึงจะเขา้ ภูมิของสมถะได้ ถา้ ทาใจใหห้ ยดุ

108 ไม่ไดก้ เ็ ขา้ ภูมิ อยา่ งน้ี เห็นไหมละ คาที่เรียกว่า “ใจ” นน่ั แหละ เวลำนี้เรำน่ังอยู่ที่นี่ ส่งใจไปถึงบ้ำนก็ได้ ส่ง สมถะไมไ่ ด้ ใจไปถึงนรกก็ได้ ส่งใจไปถึงสวรรค์ก็ได้ ส่งใจไปถึงนิพพำนก็ได้ (เรำนึก) ส่งใจไปได้มนั “สมถะ” แปลวา่ ลึกซ้ึงอยา่ งน้ี เห็นไหมละ ใจน้ีเป็นของลึกซ้ึง ถา้ วา่ รู้แคบก็ส่งไปไดแ้ คบ ถา้ รู้กวา้ งก็ส่งไปได้ สงบ แปลว่าหยดุ กวา้ ง ถ้ารู้ละเอียดก็ส่งไปได้ละเอียด ถ้ารู้หยาบก็ส่งไปได้หยาบ แล้วแต่ความรู้ของมัน แปลวา่ น่ิง ตอ้ งทา ความเห็นของมนั สาคญั นกั 12คาท่ีเรียกวา่ “ใจ” เรำต้องบงั คับให้หยุดเป็ นจุดเดียวกัน เหน็ จำ ใจให้หยดุ ใจของ คิด รู้ 4 อย่ำงน้ี ตอ้ งมารวมหยุดเป็ นจุดเดียวกันอยู่กลำงกำยมนุษย์ สะดือทะลุหลงั ขวาทะลุ เรา ซา้ ย กลางกก๊ั ขา้ งใน สะดือทะลุหลงั เป็นดา้ ยกลมุ่ ไปเส้นหน่ึงตึง ขวาทะบซุ า้ ยเป็นดา้ ยกลมุ่ ไป เส้นหน่ึงตึงตรงกนั ตึงท้งั สองเส้น ตรงกลางจรดกนั ที่กลางจรดกนั นนั่ แหละ เรียกวา่ กลำง “ใจ” ประกอบเห็น กก๊ั กลางกกั๊ นนั่ แหละถกู กลำงดวงธรรมท่ที ำให้เป็ นกำยมนุษย์ ใสบริสุทธ์ิเท่าฟองไขแ่ ดงของ จา คิด รู้ รวมเขา้ ไข่ไก่ ถูกกลางดวงพอดี ท่ีสอนให้เอาพระของขวญั ไปจรดไวท้ ี่กลางดวงน้ัน คือกลางกั๊ก เป็ นจุดเดียวกนั นนั่ เอง เราเอาใจของเราไปจรดที่กลางกก๊ั นนั่ เห็น จา คิด รู้ 4 อยา่ ง จรดอย่กู ลางกกั๊ น้นั กลาง ดวงธรรมที่ทาให้กายมนุษยท์ ีท่ีต้งั แต่งเดียวเท่าน้ัน “ใจ” 13เขาบอกว่า “ต้ังใจ” ๆ น้ัน เรำ เห็นเป็นตน้ ของรู้ จะต้องเอำใจไปหยุดตรงน้ันทีเดียวถึงจะถูกเป้ำหมำยใจท่ีเขาบอกว่า ต้งั ใจ เวลาน้ีเราจะ จาเป็นตน้ ของเน้ือ ทาบุญ ทากุศล เราก็ตอ้ งต้งั ใจตรงน้ัน บดั น้ีเราจะรักษำศีลก็ตอ้ งต้งั ใจตรงน้ัน บดั น้ีเราจะ หวั ใจ คิดเป็นตน้ เจริญภำวนำ เรำก็ต้องต้ังใจตรงน้ันเหมือนกัน ตอ้ งเอาใจไปหยุดตรงกลางน้ัน เมื่อเอาใจไป ของดวงใจ รู้เป็น หยุดตรงกลางน้ันได้แล้ว ก็ใช้สัญญำจำให้ม่ัน หยุดนิ่ง บังคับให้น่ิง ถ้าไม่น่ิงก็ต้องใช้คำ ตน้ ของวญิ ญาณ บริกรรมภำวนำบังคับไว้ บังคับให้ใจหยุด บังคับหนักเข้ำ พอถูกส่วนเขา้ ใจหยุดน้ีง ใจหยดุ ๆ พอใจหยดุ เท่าน้นั ถูกตวั สมถะแลว้ หยุดนั่นแหละเป็ นตัวสมถะ หยุดนั่นเองเป็ นตัวสำเร็จ ท้งั เห็น จา คิด รู้ 4 ทางโลกและทางธรรมสาเร็จลง โลกท่ีจะไดร้ ับความสุข ใจตอ้ งหยดุ ตามส่วนของโลก ธรรม อยา่ ง เอาเขา้ มารวม ท่ีจะไดร้ ับความสุข ใจตอ้ งหยุดตามส่วนของธรรม ท่านไดแ้ นะนาไวต้ ามพระบาลีว่า นตฺถิ เป็นจดุ เดียวกนั เรียกว่า “ใจ” สนฺติ ปรํ สุขํ สุขอื่นนอกจำกหยุดจำกนิ่งไม่มี หยดุ นน่ั เองเป็ นตวั สำคัญ เรากต็ อ้ งหยดุ ในหยดุ ๆ ไม่มีถอยหลงั กลบั หยดุ ในหยุดๆๆ อยู่นน่ั เอง 14ใจท่ีหยุดน้นั ตอ้ งถูกกลาง ถา้ ไม่ถูกกลำงใช้ ใจเป็นของลกึ ซ้ึง ไม่ได้ ตอ้ งหยดุ เขา้ สิบ เข้ำศูนย์ ถูกสิบ ถูกศูนย์ ถูกส่วน ถา้ หยดุ กลางกายเช่นน้นั ถกู สิบ พอถูก เวลาน้ีนง่ั อยทู่ ี่นี่ ส่ง สิบเท่าน้นั ไม่ชา้ จะเขา้ ถึงศูนย์ พอถูกสิบแลว้ ก็จะเขา้ ถึงศูนยท์ ีเดียว โบราณท่านพูดกันว่า ใจไปถึงบา้ นก็ได้ “เห็นสิบแล้วเห็นศูนย์ เป็ นเค้ำมูลสืบกันมำ เพียงแท้แน่นักหนำ ต้ังอนิจจำเป็ นอำจิณ จุติแล้ว ส่งใจไปถงึ นรกก็ ปฏสิ นธิ ย่อมเวยี นวนอยู่ท้ังสิ้น สังขำรำไม่ยืนยนิ รำคีสิ้นเป็ นตัวมำ” สิบศนู ยน์ ้ีเป็นตวั สาคญั ได้ ส่งใจไปถึง นกั สตั วโ์ ลกจะเกิดในโลกได้ ตอ้ งอาศยั เขา้ สิบแลว้ ตกศูนยจ์ ึงเกิดได้ ถา้ เขา้ สิบไม่ตกศูนยแ์ ลว้ สวรรคก์ ไ็ ด้ ส่งใจ เกิดไม่ได้ โลกกบั ธรรมตอ้ งอาศยั กนั อยา่ งน้ี ส่วนทางธรรมเล่าก็ตอ้ งเขา้ สิบ เขา้ สิบแลว้ ก็ตก ไปถงึ นิพพานก็ได้ ศูนย์ “ตกศูนย์” คือ “ใจหยุด” พอใจหยุดเรียกว่า เขา้ สิบแลว้ เห็นเป็ นดวงใสเท่าดวงจนั ทร์ (เรานึก) ดวงอาทิตยผ์ ดุ ข้นึ ที่ใจหยดุ น้นั นนั่ ตกศนู ยแ์ ลว้ เขา้ สิบแลว้ เห็นศูนยแ์ ลว้ เรียกวา่ “เข้ำสิบแล้ว เห็นศูนย์” 15พอเห็นศูนย์ใจก็หยุดกลำงศูนย์น้นั กลางดวงใจเท่าดวงจนั ทร์ดวงอาทิตยน์ ้ัน “ใจ” เราตอ้ งบงั คบั ดวงน้นั แหละเรียกว่า “ดวงธัมมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน” เป็ นทางไปของพระพุทธเจา้ พระ ให้หยดุ เป็นจุด อรหันตท์ ้งั หมดในสำกลโลกธรรม พระพุทธเจา้ พระอรหันตจ์ ะเข้ำไปสู่นิพพำน ต้องไปทำง เดียวกนั เห็น จา คิด รู้ 4 อยา่ ง เอาใจ ไปจรดท่ีกลางกกั๊ กลางดวงธรรมท่ี ทาใหก้ ายมนุษย์ “ต้งั ใจ” ตอ้ งเอาใจ ไปหยดุ ตรงน้นั เจริญภาวนา ตอ้ ง ต้งั ใจตรงน้นั ตอ้ ง เอาใจไปหยดุ ตรง กลาง ใชส้ ัญญาจา ให้มน่ั หยดุ น่ิง บงั คบั ให้นิ่งถา้ ไม่

109 น่ิงกต็ อ้ งใชค้ า นที้ ำงเดียว ไม่มีทางแตกแยกจากกนั ไปแนวเดยี วทำงเดียวกนั หมด แตว่ า่ การไปน้นั บางทา่ น บริกรรมภาวนา เร็ว บางท่านชา้ ไม่เหมือนกนั คาที่ว่า ไม่เหมือนกนั น้ีแหละ ถึงจะไดช้ ่ือวา่ ไม่ซ้ำกัน คาว่า ไม่ บงั คบั ไว้ บงั คบั ให้ ซ้ำกนั เพรำะเร็วกว่ำกัน ช้ำกว่ำกัน แลว้ แต่นิสัยวาสนาของตนที่สั่งสมอบรมไว้ แตว่ า่ ทางไป ใจหยดุ น้นั เป็นทางเดียวกนั หมด เป็นเอกายมรรค หนทางเส้นเดียว เม่ือไปตอ้ งหยุด นี่ก็แปลก ทาง ใจท่ีหยดุ ตอ้ งหยดุ โลกเขาจะไปตอ้ งข้ึนเรือบิน เรือยนตร์ ถยนตไ์ ปถึงจะเร็วจึงจะถึง แต่ทำงธรรมไม่เป็ นเช่นน้ัน กลางกาย เขา้ ศูนย์ เม่ือจะไปต้องหยุด ถ้ำหยุดจึงจะเร็วจึงจะถึง น่ีแปลกอยา่ งน้ี ฉะน้นั ต้องเอำใจหยุดจึงจะเร็ว ถกู สิบ ถูกศูนย์ ถกู จึงจะถงึ หยดุ อยู่กลำงดวงธรรมที่ทาใหเ้ ป็นเป็นกายมนุษย์ พอหยดุ ถูกส่วนก็เห็นดวงใจ ดวง ส่วน “ตกศนู ย”์ คอื ใสน้นั แหละเรียกวา่ เอกำยนมรรค หรือเรียกว่ำ ปฐมมรรค หรือเรียกว่ำ ธัมมำนุปัสสนำสติ “ใจหยดุ ” ปัฏฐำน โตเท่าดวงจนั ทร์ดวงอาทิตย์ ใจก็หยุดน่ิงอยู่กลางดวงน้นั 16พอหยุดน่ิงถูกส่วนเขา้ เท่าน้นั หยุดในหยุดๆๆ กลางของหยดุ เร่ือยเขา้ ไป กลางของกลางๆๆๆ ที่หยดุ น้ีพอถูกส่วนเขา้ ศนู ยใ์ จ หยดุ กลาง เห็นดวงอีกดวงหน่ึงเท่าๆ กันอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน นั่น เรียกว่า ดวงศีล ศนู ย์ เรียกว่า หยดุ อยกู่ ลางดวงศีล นนั่ พอถกู ส่วนเขา้ เห็นอีกดวงหน่ึงเท่าๆ กนั เรียกวา่ ดวงสมาธิ หยดุ อยู่ “ดวงธมั มานุปัสส กลางดวงสมาธินนั่ พอถูกส่วนเขา้ เห็นอีกดวงหน่ึง เรียนกว่า ดวงปัญญา ดวงเท่าๆ กนั หยดุ นาสติปัฏฐาน” อยู่กลางดวงปัญญา น่นั พอถูกส่วนเขา้ เห็นอีกดวงหน่ึง เรียกว่า ดวงวิมุตติ ใสสะอาดเหนกั เป็ นทางไปของ ข้นึ ไป หยดุ อยกู่ ลางดวงวิมตุ ตินน่ั พอถกู ส่วนเขา้ เห็นอีกดวงหน่ึง เรียกวา่ ดวงวมิ ุตติญาณทสั พระพทุ ธเจา้ เป็น สนะ หยดุ อยกู่ ลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ พอถูกส่วนเขา้ เห็นตวั กายมนุษยข์ องเราท่ีนอนฝัน เอกายมรรค ออกไป ที่ไปเกิดมาเกิด เขาเรียกว่า กำยมนุษย์ละเอียด พอเราไปเห็นเขา้ เท่าน้ันเราก็รู้ได้ หนทางเส้นเดียว เ ทีเดียวว่า ออ้ กายน้ีเวลาฝันเราเคยเห็นเคยไปกบั มนั ในเวลาทากิจหนา้ ที่น้นั เวลาตื่นแลว้ ไม่รู้ หยดุ ในหยดุ ๆๆ ไปอยู่ท่ีไหน บดั น้ีเราเห็นแลว้ อยู่กลำงดวงวิมุตติญำณทัสสนะนัน่ เอง17เม่ือเห็นแลว้ ทาให้ กลางดวงธมั มา กำยมนุษย์ละเอียดนน่ั นั่งเข้ำเหมือนกำยมนุษย์หยำบขา้ งนอกน่ี เมื่อนัง่ ถูกส่วนเขา้ แลว้ ใจ นุปัสสนาสติปัฏ มนุษยล์ ะเอียดก็หยุดน่ิงอยู่ท่ีศูนยก์ ลางดวงธรรมท่ีทาให้เป็ นกายมนุษยล์ ะเอียด พอถูกส่วน ฐาน ดวงศีล ดวง เขา้ หยุดถูกส่วนเขา้ เท่าน้ัน ก็เห็นดวงธัมมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน หยุดอยู่กลางดวงธัมมา สมาธิ ดวงปัญญา นุปัสสนาสติปัฏฐาน พอถูกส่วนเขา้ ก็เห็นดวงศีล หยุดอยกู่ ลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ เห็นดวง เห็นทาให้กาย สมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ พอถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กกลางดวงปัญญาถูก มนุษยล์ ะเอียด นง่ั ส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยดุ อยู่ศูนยก์ ลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติญาณทสั สนะ เขา้ เหมือนกาย หยุดอยู่ศูนยก์ ลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ ก็เห็น กำยทิพย์ 17ให้กำยทิพย์นั่งแบบ มนุษยห์ ยาบขา้ ง นอกดวงธมั มา เดียวกับกำยมนุษย์ละเอียดน่ัน ใจของกายทิพย์ หยุดนิ่งอยู่ศูนยก์ ลางดวงธรรมท่ีทาให้เป็ น นุปัสสนาสติปัฏ กำยทิพย์ พอถูกส่วนเขา้ เห็นดวงธัมมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน หยุดอยู่ศูนยก์ ลางดวงธัมมา ฐาน ดวงวมิ ตุ ติ นุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงศีล หยุดอยกู่ ลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงสมาธิ ดวงวมิ ุตติญาณทสั หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา พอหยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเขา้ สนะ ถกู ส่วนเขา้ ก็ เห็นดวงวิมุตติ หยดุ อยกู่ ลางดวงวิมุตติ ถกู ส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตตญิ ำณทัสสนะ หยดุ อยกู่ ลาง เห็น กายทิพย์ ดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ เห็น กำยทิพย์ละเอียด 18ใจกำยทิพย์ละเอียดก็น่ิงอยู่ที่ ให้กายทิพยน์ ง่ั ศูนยก์ ลางดวงธรรม ที่ทาใหเ้ ป็นกายทิพยล์ ะเอียด ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏ แบบเดียวกบั กาย ฐาน หยุดอยูก่ ลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงศีลอยกู่ ลางดวงศีล ถูก มนุษยล์ ะเอียดนนั่ ใจของกายทิพย์ หยดุ น่ิงอยู่ ศูนยก์ ลางดวง ธรรมท่ีทาให้เป็ น กายทิพย์ ใจกายทิพยล์ ะเอียด นิ่งอยทู่ ี่ศูนยก์ ลาง

110 ดวงธรรม เห็นกาย ส่วนเขา้ เห็นดวงสมาธิ หยุดอยูก่ ลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยดุ อยู่กลางดวง รูปพรหม ปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมตุ ติ หยดุ อยกู่ ลางดวงวิมตุ ติ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวมิ ตุ ติญาณทสั ใจกายรูปพรหม สนะ หยุดอย่กู ลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ เห็นกำยรูปพรหม 19ใจกำยรูปพรหม น่ิงอยศู่ นู ยก์ ลาง นิ่งอยู่ศูนยก์ ลางดวงธรรมที่ทาให้กายรูปพรหม พอถูกส่วนเขา้ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติ ดวงธรรม เห็นกาย ปัฏฐาน ใจกาย รูปพรหมเม่ือหยุดนิ่งอยู่ท่ีศูนยก์ ลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วน รูปพรหมละเอียด เขา้ เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูก ใจกายรูปพรหม ส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยดุ อยกู่ ลางดวงปัญญา ถกู ส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยกู่ ลางดวง ละเอยี ด หยดุ อยู่ วมิ ตุ ติ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมตุ ติญาณทสั สนะ หยดุ อยกู่ ลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วน ศนู ยก์ ลางดวง เขา้ เห็นกำยรูปพรหมละเอียด 20ใจกำยรูปพรหมละเอียด หยุดอยู่ศูนยก์ ลางดวงธรรมท่ีทาให้ ธรรม เห็น กาย เป็ นกายรูปพรหมละเอียด ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลาง อรูปพรหม ดวงธัมมนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ ใจกายอรูปพรหม เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ก็หยดุ นิ่งอยทู่ ่ี ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยดุ อย่กู ลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ศูนยก์ ลางดวง หยดุ อยู่กลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ ก็เห็น กำยอรูปพรหม 21ใจกำยอรูปพรหม ธรรม เห็นกายอรูป ก็หยดุ น่ิงอยทู่ ่ีศนู ยก์ ลางดวงธรรมที่ทาใหเ้ ป็นกายอรูปพรหม พอถูกส่วนเขา้ ก็เห็นดวงธัมมำ พรหมละเอยี ด นุปัสสนำสติปัฏฐำน หยดุ น่ิงอย่ทู ี่ศูนยก์ ลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเขา้ เห็น ใจกายอรูปพรหม ดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ ละเอียด เห็น กาย เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยุดอย่กู ลางดวงวิมุตติ ธรรม รูปเหมอื น ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติญาณทสั สนะ หยุดอยกู่ ลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ ก็ พระปฏิมากร ดวง เห็นกำยอรูปพรหมละเอียด 22ใจกำยอรูปพรหมละเอียด ก็หยดุ อยูศ่ ูนยก์ ลางดวงธรรม ท่ีทา ธรรมที่ทาให้เป็ น ใหเ้ ป็นกายอรูปพรหมละเอียด ถกู ส่วนเขา้ เห็นดวงธัมมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน หยดุ อยทู่ ่ีศูนย์ ธรรมกายเป็ น หลางดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเจา้ เห็นดวงศีล หยดุ อยกู่ ลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ ธรรมรัตนะ เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยดุ อยกู่ ลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ใจพทุ ธรัตนะ อยทู่ ี่ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะถูกส่วนเขา้ ก็เห็น กำยธรรม รูปเหมือนพระปฏิมากร ศูนยก์ ลางดวง เกตุดอกบวั ตมู ใสเป็นกระจกส่องเงาหนา้ หนา้ ตกั โตเลก็ ตามส่วน หนกั ตักเท่ำไหน ดวงธรรม ธรรมที่ทาให้เป็ น ธรรมกาย เห็นกาย ท่ีทำให้เป็ นธรรมกำย ก็โตเท่ำน้ัน กลมรอบตัว อยู่กลำงกำยธรรมกำยน่ัน ธรรมกำยเป็ นตัว ธรรมละเอยี ด พุทธรัตนะ ดวงธรรมท่ีทำให้เป็ นธรรมกำยเป็ นธรรมรัตนะ 23ใจพุทธรัตนะ ก็หยุดอยู่ท่ี ใจกายธรรม ศนู ยก์ ลางดวงธรรมท่ีทาใหเ้ ป็นธรรมกาย พอหยดุ ถกู ส่วนเขา้ เห็นดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏ ละเอียดหยดุ น่ิงอยู่ ฐาน หยดุ อยกู่ ลางดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงศีล หยดุ อยกู่ ลางดวงศีล กบั ศนู ยล์ างดวง ถูกส่วนเจา้ เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลาง ธรรมที่ทาใหเ้ ป็น ดวงปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ กายธรรมละเอียด ญาณทสั สนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ ก็เห็นกำยธรรมละเอียด โตก ใจกายพระ วา่ ธรรมกายท่ีเห็นแลว้ น้นั 5 เท่า 24ใจกำยธรรมละเอยี ดก็หยดุ น่ิงอยกู่ บั ศูนยล์ างดวงธรรมที่ทา โสดาบนั เห็นกาย ธรรมพระโสดา ละเอยี ด อยใู่ น กลางดวงวมิ ุตติ ญาณทสั สนะของ พระโสดา ใจของกายพระ โสดาละเอยี ด ก็

111 เห็น กายพระ ใหเ้ ป็นกำยธรรมละเอียด ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ขยายส่วนใดหนกั สกิทาคา ข้นึ ไป ใจกห็ ยดุ น่ิงอยทู่ ่ีศูนยก์ ลางดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถกู ส่วนเขา้ เห็นดวงศีล หยดุ ใจพระสกิทาคาก็ อยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวง หยดุ อยทู่ ่ีศนู ยก์ ลาง ปัญญา หยดุ อยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วน ดวงธรรมถกู ส่วน เขา้ เห็นดวงวิมุตติญาณทสั สนะ หยดุ อยูก่ ลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ ก็เห็นกาย เขา้ ก็เห็น กายพระ ธรรมพระโสดาหน้าตกั 5 วา สูง 5 วา เกตุดอกบวั ตูมในหนกั ข้ึน 25ใจกำยพระโสดำบันกห็ ยดุ สกิทาคาละเอียด น่ิงอยทู่ ี่ศูนยก์ ลางดวงธรรมที่ทาใหก้ ายพระโสดา ถกู ส่วนเขา้ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏ ใจของพระ ฐาน หยดุ อยกู่ ลางดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถกู ส่วนเขา้ เห็นดวงศีล หยดุ อยกู่ ลางดวงศีล สกิทาคาละเอียดก็ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงสมาธิ หยดุ อยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยดุ อยกู่ ลาง เห็น กายพระ ดวงปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ อนาคา ญาณทสั สนะ หยดุ อยกู่ ลางวิมุตติญาณทสั สนะ ถกู ส่วนเขา้ ก็เห็นกายธรรมพระโสดาละเอียด ใจของพระอนาคา อยู่ในกลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะของพระโสดาน้นั หน้าตกั 5 วา 26ใจของกายพระโสดำ ก็หยดุ น่ิงอยทู่ ่ี ละเอียด หยดุ น่ึงอยทู่ ี่กลางดวงธรรมท่ีทาใหก้ ายพระโสดาละเอียด ถกู ส่วนเขา้ เห็นดวงธมั มา ศูนยก์ ลางดวง นุปัสสนาสติปัฏญาน หยุดน่ิงอยู่ที่ศูนยก์ ลางดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเขา้ เห็น ธรรมเห็น กายพระ ดวงศีล หยุดอยู่กลางดวงศึล ถูกส่วน เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็น อนาคาละเอียด ดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูก ใจพระอนาคา ส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติญาณทสั สนะ หยดุ อยกู่ ลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ ก็เห็น ละเอยี ดกห็ ยดุ อยทู่ ่ี กายพระสกิทาคา หนา้ ตกั 10 วา สูง 10 วา เกตดุ อกบวั ตมู ใสหนกั ข้ึน ศนู ยก์ ลางดวง ธรรมเห็นกายพระ 27ใจของพระสกิทำคำก็หยดุ อยู่ท่ีศูนยก์ ลางดวงธรรมท่ีทาให้พระสกิทาคา ถูกส่วน อรหตั เขา้ เห็นดวงธัมมานุปัสสนสติปัฏฐาน ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงศีล หยดุ อยูก่ ลางดวงศีล ถูกส่วน เขา้ เห็นดวงสมาธิ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวง ใจพระอรหตั ก็ ปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ ก็เห็น หยดุ อยทู่ ่ีศนู ยก์ ลาง กายพระสกิทาคาละเอียด หน้าตกั 10 วา สูง 10 วา เกตุดอกบวั ตูมใสหนักข้ึน 28ใจของพระ ดวงธรรมหลดุ สกิทำคำละเอียด หยุดอยู่ท่ีกลางดวงธรรมที่ทาให้พระสกิทาคาละเอียด ถูกส่วนเขา้ เห็น กิเลสหมด ไมม่ ี ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยู่กลางดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเขา้ เห็น กิเลสเลย เสร็จกิจ ดวงศีล หยุดอยกู่ ลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยดุ อยกู่ ลางดวงปัญญา ถูกส่วนเขา้ ในพุทธศาสนาท้งั เห็นดวงวิมุตติ หยดุ อยกู่ ลางดวงวิมตุ ติ ถกู ส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติญาณทสั สนะ หยดุ อยกู่ ลาง สมถวปิ ัสสนา ดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ ก็เห็น กายพระอนาคา หน้าตกั 15 วา สูง 15 วา เกตุดอก ตลอด บวั ตูมใสหนักข้ึน 29ใจของพระอนำคำก็หยุดน่ิงอยู่ท่ีศูนยก์ ลางดวงธรรม ที่ทาให้เป็ นพระ อนาคา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยดุ อยกู่ ลางดวงธมั มานุปัสสนาสติ ปัฏฐาน ถกู ส่วนเขา้ เห็นดวงศีล หยดุ อยกู่ ลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงสมาธิ หยดุ อยกู่ ลาง ดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ ญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ ก็เห็น กายพระอนาคาละเอียด หน้าตกั 15 วา สูง 15 วา เกตุดอก

112 ผล บวั ตูมใจหนกั ข้ึน 30ใจของพระอนำคำละเอียดก็หยุดอยู่ที่ศูนยก์ ลางดวงธรรมทาให้เป็ นกาย พระอนาคาละเอียด ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หยุดอยกู่ ลางดวงธัมมา กายมนษุ ยถ์ ึงกายอรูปพรหม นุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงศีล หยดุ อย่กู ลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงสมาธิ ละเอียด เรียกวา่ ข้นั สมถะ หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา หยุดอยกู่ ลางดวงปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็น ต้งั แตก่ ายธรรมโคตรภู ท้งั ดวงวิมุตติ หยุดอยกู่ ลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติญาณทสั สนะ หยุดอยกู่ ลางดวง หยาบท้งั ละเอียดจนกระทง่ั วิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ เห็นกายพระอรหตั หน้าตกั 20 วา สูง 20 วา เกตุดอกบวั ตูม ถงึ กายพระอรหัต เป็น ข้นั ดวงธรรมก็ทาให้เป็ นพระอรหัต ก็ 20 วา กลมรอบตวั 31ใจพระอรหัตก็หยุดอยู่ที่ศูนยก์ ลาง วิปัสสนา ดวงธรรม ท่ีทาให้พระอรหตั ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน วดั ผ่าเส้นกลาง 20 วา กลมรอบตวั เหมือนกนั หยดุ อยกู่ ลางดวงธัมมนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเขา้ เห็น ดวงศีล วดั ผ่าเส้นศูนยก์ ลาง 20 วา กลมรอบตวั เหมือนกนั หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงสมาธิ วดั ผ่าเส้นศูนยก์ ลาง 20 วา กรมรอบตวั เหมือนกนั หยุดอยกู่ ลางดวงสมาธิ ถูก ส่วนเขา้ เห็นดวงปัญญา วดั ผ่าเส้นศูนยก์ ลาง 20 วา กลมรอบตวั เหมือนกนั หยุดอยกู่ ลางดวง ปัญญา ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติ วดั ผ่าเส้นศนู ยก์ ลาง 20 วา กลมรอบตวั เหมือนกนั หยุดอยู่ กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเขา้ เห็นดวงวิมุตติญาณทสั สนะ วดั ผ่าเส้นศูนยก์ ลาง 20 วา กลม รอบตวั เหมือนกัน หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ เห็นกายพระอรหัต ละเอียด สวยงามมาก น่ีเป็นกายท่ี 18 เม่ือถึงพระอรหตั น้ีแลว้ หลุดกิเลสหมด ไม่มีกิเลสเลย เสร็จกิจในพระพุทธศาสนาท้งั สมถวปิ ัสสนาตลอด 32ต้งั แต่กำยมนุษย์ถึงกำยอรูปพรหมละเอียด แต่น้นั เรียกวา่ ข้นั สมถะ ต้งั แต่กายธรรมโคตรภู ท้งั หยาบท้งั ละเอียดจนกระทง่ั ถึงกายพระอรหตั ท้งั หยาบท้งั ละเอียดน้ี เป็น ข้นั วิปัสสนำ ท้งั น้นั ตารางท่ี 4.2.2 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “สมำธิ หยุดเป็ นตวั สำเร็จ วิชำธรรมกำย” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) จาแนกตามแนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั O2] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ O2-33วิธีกำรทำสมถวิปัสสนำตอ้ งมี บริกรรมภำวนำและบริกรรมนิมิต เป็ นคู่กนั 34 บริกรรม นิมิต ให้กาหนดเครื่องหมาย เขา้ ดวงใสเหมือนเพรชลูกท่ีเจียระไนแลว้ ไม่มีขนแมว โตเท่า วิธีการทาสมถวปิ ัสสนา แกว้ ตา ผูห้ ญิงกาหนดเขา้ ปากช่องจมูกซ้าย ผูช้ ายกาหนเขา้ ปากช่องจมูกขวา อย่าให้ล้าให้ ตอ้ งมี บริกรรมภาวนา เหล่ือม ใจของเรำที่ยืดไปยืดมำ แวบไปแวบมำ ให้เข้ำไปอย่เู สียในบริกรรมนิมิต ปากช่องจมูก และบริกรรมนิมิต เป็น หญิงซ้าย ชายขวา ขา้ งนอกดวงโตเท่าแกว้ ตา ขา้ งในโตเท่าเมล็ดพุทธรักษา ใสขาวเหมือน คู่กนั กระจกส่องเงาหนา้ หญิงกาหนดปากช่องจมูกซา้ ย ชายกาหนดปากช่องจมูกขวา บริกรรมนิมติ ให้ กาหนดเคร่ืองหมายใจ ของเราทยี่ ืดไปยดื มา แวบไปแวบมา ให้เขา้ ไปอยเู่ สียในบริกรรม นิมติ

113 หลกั กำร 35แล้วให้บริกรรมภำวนำประคองบริกรรมนมิ ิต น้นั ไวว้ า่ “สัมมำอะระหัง” ตรึกถึงดวง ท่ีใส ใจหยดุ อยกู่ ลางดวงที่ใส “สัมมำอะระหงั ” ตรึกถึงดวงท่ีใส ใจหยดุ กลางดวงท่ีใส ฐานท่ี 1 ให้ “สัมมำอะระหัง” ตรึกถึงดวงที่ใส ใจหยดุ อยกู่ ลางดวงท่ีใส น่ิงอยทู่ ี่นนั่ ฐำนท่ี 1 บริกรรมภาวนา ประคองบริกรรม นิมิตว่า “สมั มาอะระหงั ” ตรึกถึงดวงท่ีใส ใจหยดุ อยกู่ ลาง ดวงที่ใส “สัมมาอะระหงั ” วธิ ีกำร 36ฐำนท่ี 2 เลื่อนไปท่ีเพลาตา หญิงอยู่ซีกซ้าย ชายอยู่ซีกขวา ตรงหัวตาท่ีมูลตาออก ตามช่องลมหายใจเขา้ ออกขา้ งใน แลว้ บริกรรมประคองเครื่องหมายที่เพลาตาน้ันว่า ฐานท่ี 2 เล่อื นไปที่ “สัมมำอะระหัง สัมมำอะระหัง สัมมำอะระหัง” 3 คร้ังแบบเดียวกัน แล้วเล่ือน เพลาตา แลว้ บริกรรม เครื่องหมายตรงลาดับเพลาตาเขา้ ไปกลางกก๊ั ศรีษะขา้ งในไม่ให้ค่อนซ้าย-ขวา-หน้า- ประคองเคร่ืองหมายท่ี หลงั -ล่าง-บน กลาง กั๊กพอดี เรียกว่า 37ฐำนท่ี 3 แล้วบริกรรมประคองเคร่ืองหมำยที่ เพลาตาน้นั วา่ กลำงก๊กั ศรีษะข้ำงในว่า “สัมมำอะระหัง สัมมำอะระหัง สัมมำอะระหัง” 3 คร้ัง ตรงน้ี “สมั มาอะระหงั มีลทั ธิพิธี ตอ้ งกลบั ตาไปขา้ งหลงั ใหต้ าคา้ งเหมือนคนซกั จะตาย เราหลบั ตาอยู่ ตาซอ้ น สมั มาอะระหัง ข้ึนขา้ งบนเหลือบข้ึนขา้ งบน เหลือบไป ๆ จนคา้ งแน่น ให้ความเห็นกลบั ไปขา้ งหลงั สัมมาอะระหงั ” 3 คร้งั แลว้ ค่อย ๆ ให้เห็นกลบั เขา้ ขา้ งใน พอตาเห็นกลบั เขา้ ขา้ งใน ก็เลื่อนเครื่องหมายจาก ฐานท่ี 3 แลว้ ฐานที่ 3 ไป 38ฐานท่ี 4 ที่ปากช่องเพดาน ท่ีรับประทานอาหารสาลกั อยา่ ใหล้ ้าใหเ้ หล่ือม บริกรรมประคอง พอดี แลว้ บริกรรมประคองเคร่ืองหมายในฐานที่ 4 น้นั ว่า “สัมมำอะระหัง สัมมำอะ เครื่องหมายทก่ี ลาง ระหัง สัมมำอะระหัง” 3 คร้ัง 35แลว้ เลื่อนเคร่ืองหมายจากฐานท่ี 4 ไปฐำนที่ 5 ท่ีปำก กก๊ั ศรีษะขา้ งใน ช่องคอเหนือลูกกระเดือก เหมือนกลางกั๊กปากถว้ ยแก้ว ต้งั ไวป้ ากช่องคอ บริกรรม ฐานท่ี 4 ทปี่ ากช่อง ประคองเคร่ืองหมายที่ปากช่องคอน้ันว่า “สัมมาอะระหัง สัมมาอะระหัง สัมมาอะ เพดาน ทรี่ ับประทาน ระหัง” 3 คร้ัง แลว้ เล่ือนเคร่ืองหมายลงไป 36ฐำนท่ี 6 กลำงตัวสุดลมหำยใจเข้ำออก อาหารบริกรรม สะดือทะลหุ ลงั ขวาทะลุซา้ ย กลางกกั๊ ขา้ งใน ตรงกลางดวงธรรมท่ีทาใหเ้ ป็นกายมนุษย์ ประคองเครื่องหมาย ท่ีใจหยดุ นน่ั ทีเดียว ต้งั ตรงน้นั เอาใจเราจรดเขา้ ท่ีดวงใสน้นั แลว้ บริกรรมว่า “สมั มาอะ ระหงั สัมมาอะระหงั สัมมาอะระหงั ” 3 คร้ัง แลว้ ถอยหลงั จากฐานที่ 6 มาท่ีเหนือกลาง ฐานท่ี 5 ที่ปากช่อง ตวั เราน้ีข้ึนมา 2 นิ้วมือ ฐานน้นั เรียกวา่ ฐานท่ี 7 37ฐานท่ี 7 มีศนู ย์ 5 ศูนย์ 1) ศูนยก์ ลาง 2) คอเหนือ ศูนยข์ า้ งหนา้ 3)ศูนยข์ า้ งขวา 4)ศูนยข์ า้ งหลงั 5) ศูนยข์ า้ งซ้าย ศูนยก์ ลางคือ อากาศธาตุ ลกู กระเดือก ศูนยข์ า้ งหน้าธาตุน้า ศูนยข์ า้ งขาวธาตุดิน ศูนยข์ า้ งหลงั ธาตุไฟ ศูนยข์ า้ งซ้ายธาตุลม บริกรรมประคอง เครื่องหมายใสสะอาดตรงช่องอากาศกลางตรงน้นั เรียกวา่ “ศูนย์” เคร่ืองหมาย ฐานท่ี 6 กลางตวั สุด ลมหายใจเขา้ ออก สะดือทะลุหลงั ขวา ทะลุซ้าย กลางกกั๊ ขา้ งใน ตรงกลางดวง ธรรมที่ทาให้เป็ น กายมนุษย์ ที่ใจหยดุ ฐานท่ี 7 มีศูนย์ 5 ศูนย์ ศนู ยก์ ลางคือ อากาศ ธาตุ ศนู ยข์ า้ งหนา้ ธาตุ น้า ศูนยข์ า้ งขาวธาตดุ ิน ศนู ยข์ า้ งหลงั ธาตไุ ฟ ศูนยข์ า้ งซ้ายธาตลุ ม เครื่องหมายใสสะอาด ตรงช่องอากาศกลาง ตรง เรียกวา่ “ศูนย”์

114 ผล 38ทาไมถึงเรียกว่า “ศูนย์” ตรงน้นั เวลาสัตวไ์ ปเกิดมาเกิดแลว้ ก็มาอยู่ที่ สิบ อยู่กลางดวงน้นั กำยละเอียดอยู่ในกลำงดวงน้นั เม่ือพ่อแม่ประกอบธาตุธรรมถูกส่วนเขา้ แลว้ ก็ตกศูนยท์ ีเดียว กายละเอียดอยใู่ น พอตกศนู ยก์ ็ลอยข้ึนมาหนือกลางตวั 2 นิ้วมือ (เป็นดวงกลมใส) โตเทา่ ฟองไข่แดงของไก่ ใส กลางดวงเวลาสัตว์ เป็ นกระจกส่องเงาหน้า น้ีมนั จะเกิดละ เรียกว่ำ ศูนย์ ศูนย์น้ันเป็ นสำคัญนัก จะเกิดมำใน ไปเกิดมาเกิดแลว้ มา มนุษย์โลกก็ต้องเกิดด้วยศูนย์น้นั จะไปนิพพานก็ตอ้ งเขา้ ศูนยน์ ้นั ไปเหมือนกนั จะไปสู่มรรค อยทู่ ่ีสิบ อยกู่ ลางดวง ผลนิพพานก็ตอ้ งเขา้ ศูนยน์ ้นั เหมือนกนั แบบเดียวกนั 39จะตำยจะเกิดเดินตรงกนั ขา้ ม ถา้ วา่ จะ น้นั กายละเอยี ดอยู่ เกิดก็ต้องเดินนอกออกไป ถ้าว่าจะไม่เกิดก็ต้องเดินในเขา้ ไป กลางเขา้ ไว้ หยุดเขา้ ไว้ ไม่ ในกลางดวงจะไป นิพพานตอ้ งเขา้ ศูนย์ คลาดเคล่ือนน้ีตายเกิดอยา่ งน้ี ใหร้ ู้หลกั อยา่ งน้ี เมื่อรู้จกั หลกั ดงั น้ีแลว้ ก็รู้ทีเดียวพอรุ่งข้ึนเชา้ น้ี ไปเหมือนกนั ที่ใจเราวุน่ วายอยนู่ ี่ มนั ทาอะไร? มนั ต้องกำรเลิกเวยี นว่ำยตำยเกิด เราก็รู้ตวั ของเราอยู่ เราไม่ ตอ้ งงอ้ ใคร เรารู้แล้ว เราเรียนแลว้ เราเขา้ ใจแลว้ เราต้องทาใจของเราให้น่ิง ทาใจให้หยุด ตอ้ งการเลิกเวยี น ศูนย์กลำงนน่ั กลางของกลางๆๆๆ ซา้ ย ขวา หนา้ หลงั ล่าง บน นอก ใน ไม่ไป เขา้ กลางของ ว่ายตายเกิดตอ้ งทา กลางๆๆ นิ่งแน่นหนกั ข้นึ พอถกู ส่วนเขา้ เทา่ น้นั พอถกู ส่วนเขา้ เท่าน้นั เห็นดวงใสแจม่ บงั เกิด ใจให้นิ่ง ทาใจให้ ข้นึ เทา่ ดวงจนั ทร์ดวงอาทิตย์ หยดุ ศูนยก์ ลาง [3] พระธรรมโกศำจำรย์ (พทุ ธทำสภิกข)ุ 4.3.1) ประวัติ : พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภกิ ขุ) พระธรรมโกศำจำรย์ (พทุ ธทำสภิกขุ) (ระหวา่ งวนั ท่ี 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 ถึง 8 กรกฏาคม พ.ศ. 2536 อายุ 87 ปี ) ประวัติโดยย่อ พระธรรมโกศาจารย์ (เงื่อม อินทปัญโญ) หรือรู้จกั ในนาม ท่านพุทธทาส ภิกขุ เป็นชาวอาเภอไชยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อปี พ.ศ. พุทธศกั ราช 2449 เร่ิมบวชเรียนเมื่ออายไุ ด้ 20 ปี ท่ีวดั บา้ นเกิด จากน้ันไดเ้ ขา้ มาศึกษาพระธรรมวินัยต่อท่ีกรุงเทพมหานคร จนสอบไดเ้ ปรียญธรรม 3 ประโยค ท่านไดต้ ดั สินใจมาปฏิบตั ิธรรมที่อาเภอไชยา ซ่ึงเป็นภูมิลาเนาเดิมของท่านพร้อมปวารณาตนเอง เป็น พุทธทาส เนื่องจากตอ้ งการถวายตวั รับใชพ้ ระพุทธศาสนาใหถ้ ึงที่สุด ผลงานเด่นของทาสพทุ ธทาสคือ งานหนงั สือ อาทิ หนงั สือพุทธธรรม ตามรอยพระอรหันต์ และคู่มือมนุษย์ และยงั มีผลงานอื่นๆ อีกมากมาย นบั ไม่ถว้ นซ่ึงลว้ นเป็นประโยชน์ต่อชนรุ่นหลงั ในการศึกษาศาสนาพุทธเป็นอยา่ งยงิ่ นอกจากน้ี ท่านยงั เป็น พระสงฆไ์ ทยรูปแรกท่ีบุกเบิกการใชโ้ สตทศั นูปกรณ์สมยั ใหมส่ าหรับการเผยแพร่ธรรมะ ท่านพุทธทาส ภิกขุ 1) กำเนิดแห่งชีวิต62 ท่านพุทธทาสภิกขุ มีนามเดิมวา่ เงื่อม นามสกุล พานิช เกิด เมื่อวนั อาทิตย์ ข้ึน 7 ค่า เดือน 7 ปี มะเมีย วนั ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 ในสกลุ ของพ่อคา้ ที่ตลาดพุมเรียง ไช ยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี บิดาชื่อ เซ้ียง มารดาชื่อ เคล่ือน มีนอ้ ง 2คน เป็นชายชื่อ ยีเ่ กย (ธรรมทาส) และเป็น หญิงช่ือ กิมซ้อย บิดาของท่านมีเช้ือสายจีน ประกอบอาชีพคา้ ขายของชา เฉกเช่นที่ชาวจีนนิยมทากนั ทว่ั ไป 62 ทา่ นพทุ ธทาสภิกข.ุ ประวตั ิ.[ออนไลน]์ เขา้ ถึงไดจ้ าก : http://www.bia.or.th/html_th/index.php/site- content/65-archives/746-00 . 2020.

115 แต่อิทธิพลท่ีท่านไดร้ ับจากบิดากลบั เป็นเรื่องของความสามารถทางดา้ นกวี และทางดา้ นช่างไม้ ซ่ึงเป็นงาน อดิเรกที่ช่ืนชอบของบิดา ส่วนอิทธิพลท่ีไดร้ ับจากมารดาคือ ความสนใจในการศึกษาธรรมะอย่างลึกซ้ึง อุปนิสัยท่ีเนน้ เร่ืองความประหยดั ความละเอียดลออในการใชจ้ ่ายและการทาทุกส่ิงใหด้ ีท่ีสุด และตอ้ งทาให้ ดีกวา่ ครูเสมอ ทา่ นไดเ้ รียนหนงั สือถึงช้นั ม.3 แลว้ ตอ้ งออกมาคา้ ขายแทนบิดาซ่ึงเสียชีวติ ดว้ ยโรคลมปัจจุบนั คร้ันท่านอายุครบ 20 ปี ก็ได้บวชเป็ นพระตามคตินิยมท่ีวดั อุบล (วดั นอก) ไชยา ได้รับนามฉายาว่า “อินทปัญโญ” แปลวา่ ผมู้ ีปัญญาอนั ย่งิ ใหญ่ เดิมท่านต้งั ใจจะบวชเรียนตามประเพณีเพียง 3 เดือน แต่ความ สนใจ ความซาบซ้ึง ความรู้สึกเป็นสุข สนุกในการศึกษา และเทศน์แสดงธรรม ทาใหท้ ่านไมอ่ ยากสึก เลา่ กนั ว่า เจา้ คณะอาเภอเคยถามท่านขณะที่เป็นพระเง่ือมว่า มีความคิดเห็นอยา่ งไรในการใชช้ ีวิต ท่านตอบวา่ “ผม คิดว่าจะใชช้ ีวิตให้เป็ นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษยม์ ากที่สุด” 2) อุดมคติแห่งชีวิต พระเง่ือมได้เดินทางมา ศึกษาธรรมะต่อที่กรุงเทพฯ สอบไดน้ กั ธรรมเอก แลว้ เรียนภาษาบาลี จนสอบไดเ้ ปรียญธรรม 3 ประโยค ระหวา่ งที่เรียนเปรียญธรรม 4 ประโยคอยนู่ ้นั ดว้ ยความที่ทา่ นเป็นคนรักการศึกษาคน้ ควา้ พระไตรปิ ฎก และ ศึกษาคน้ ควา้ ออกไปจากตาราถึงเร่ืองการปฏิรูปพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลงั กา อินเดีย และการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาในโลกตะวนั ตก ทาใหท้ ่านรู้สึกขดั แยง้ กบั วิธีการสอนธรรมะท่ียึดถือรูปแบบตามระเบียบ แบบแผนมากเกินไป ความยอ่ หยอ่ นในพระวินยั ของสงฆ์ ตลอดจนความเช่ือที่ผิดๆ ของพุทธศาสนิกชนใน เวลาน้นั ทาให้ท่านมีความเชื่อมนั่ วา่ พระพุทธศาสนาท่ีสอน ท่ีปฏิบตั ิกนั น้นั คลาดเคลื่อนไปมากจากท่ีพระ พุทธองค์ทรงช้ีแนะ ท่านจึงตดั สินใจหันหลงั ให้กบั การศึกษาของสงฆ์เวลาน้ัน กลบั ไชยาเพื่อศึกษาและ ทดลองปฏิบตั ิตามแนวทางท่ีท่านเช่ือมน่ั โดยร่วมกบั นายธรรมทาสและคณะธรรมทานจดั ต้งั สถานปฏิบตั ิ ธรรม “สวนโมกขพลาราม” ข้ึน เม่ือปี พ.ศ. 2475 จากน้ันท่านไดศ้ ึกษาและปฏิบตั ิธรรมะอย่างเขม้ ขน้ จน เชื่อมน่ั วา่ ทา่ นมาไม่ผิดทาง และไดป้ ระกาศใชช้ ื่อนาม “พุทธทาส” เพอ่ื แสดงใหเ้ ห็นถึงอุดมคติสูงสุดในชีวิต ของท่าน 3)ปณิธำนแห่งชีวิต อุดมคติท่ีหยงั่ รากลึกลงแลว้ น้ี ทาให้ท่านสนใจใฝ่ หาความรู้ทางธรรมะ ตลอดเวลา ไม่เฉพาะแต่พระพุทธศาสนาฝ่ ายเถรวาทแต่ครอบคลุมไปถึงพระพุทธศาสนาแบบมหายานและ ศาสนาอ่ืน เช่น คริสต์ อิสลาม ฮินดู สิกข์ เป็ นตน้ จากความรอบรู้ที่กวา้ งขวางและลึกซ้ึงน้ีเอง ทาให้ท่าน สามารถประยุกตว์ ิธีการสอนและปฏิบตั ิธรรมะไดอ้ ย่างหลากหลาย ใหค้ นไดเ้ ลือกปฏิบตั ิท่ีสอดคลอ้ งกบั พ้ืน ความรู้และอุปนิสยั ของตนโดยไมจ่ ากดั ชนช้นั เช้ือชาติ และศาสนา เพราะท่านเช่ือวา่ มนุษยท์ กุ คนก็คือ เพือ่ น ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตายดว้ ยกนั หมดท้งั สิ้น และหัวใจของทุกศาสนากเ็ หมือนกนั หมด คือ ตอ้ งการให้มนุษยพ์ น้ จากความทุกข์ ท่านจึงต้งั ปณิธานไว้ 3 ขอ้ คือ 1. ให้พุทธศาสนิกชน หรือศาสนิกแห่งศาสนาใดก็ตาม เขา้ ถึง ความหมายอนั ลึกซ้ึงที่สุดแห่งศาสนาของตน 2. ทาความเขา้ ใจอนั ดีระหว่างศาสนา 3. ดึงเพื่อนมนุษยใ์ ห้ ออกมาเสียจากวตั ถุนิยม 4) ผลงำนแห่งชีวิต ตลอดชีวิตท่านย้าอยู่เสมอว่า “ธรรมะคือหนา้ ท่ี” เป็ นการทา หนา้ ท่ีเพื่อความอยู่รอดท้งั ฝ่ ายกายและฝ่ ายวิญญาณของมนุษย์ และท่านไดท้ าหนา้ ที่ในฐานะทาสผซู้ ่ือสัตย์ ของพระพุทธเจา้ ผลงานหนงั สือของท่านมีท้งั ท่ีท่านประพนั ธ์ข้ึนเอง งานท่ีถอดจากการบรรยายธรรมของ ท่าน และงานแปลซ่ึงท่านแปลจากภาษาองั กฤษ เกี่ยวกบั งานหนงั สือน้ี ท่านเคยใหส้ ัมภาษณ์กบั พระประชา ปสนฺนธมฺโม ว่า “เราไดท้ าสิ่งท่ีมนั ควรจะทา ไม่เสียค่าขา้ วสุกของผูอ้ ่ืนแลว้ เช่ือว่ามนั คุม้ ค่า อย่างน้อยผม

116 กลา้ พูดไดอ้ ยา่ งหน่ึงว่า เด๋ียวน้ีไม่มีใครในประเทศไทยบ่นไดว้ า่ ไม่มีหนงั สือธรรมะอ่าน ก่อนน้ีไดย้ ินคนพูด จนติดปากวา่ ไม่มีหนงั สือธรรมะจะอ่าน เราก็ยงั ติดปาก ไม่มีหนงั สือธรรมะจะอ่าน ตอนน้ีบ่นไม่ไดอ้ ีกแลว้ ” ในระดบั นานาชาติ ทุกมหาวิทยาลยั ท่ีมีแผนกสอนวิชาศาสนาสากลท้งั ในยุโรปและอเมริกาเหนือ ลว้ นศึกษา งานของท่าน หนงั สือของท่านกว่า 140 เล่ม ไดร้ ับการแปลเป็ นภาษาองั กฤษ กว่า 15 เล่มเป็นภาษาฝร่ังเศส และอีก 8 เล่มเป็นภาษาเยอรมนั ยงั แปลเป็นภาษาจีน อินโดนีเซีย ลาว และตากาลอ็ ก อีกดว้ ย 5)เกียรติคุณ แห่งชีวิตได้รับพระราชทานสมณศักด์ิเป็ นพระครูอินทปัญญษจารย์ พระอริยนันทมุนี พระราชชัยกวี พระเทพวิสุทธิเมธี และพระธรรมโกศาจารย์ ตามลาดบั แต่ท่านจะใชก้ ็ต่อเมื่อมีความจาเป็นตอ้ งติดต่อทาง ราชการเท่าน้ัน ถา้ เป็นเร่ืองอ่ืนแลว้ ท่านจะใชช้ ่ือว่า “พุทธทาส อินฺทปญฺโญ” เสมอ แสดงให้เห็นความอ่อน น้อมถ่อมตวั ของท่าน และช่ือพุทธทาสน้ีก็เป็ นท่ีมาแห่งอุดมคติของท่านนั่นเอง ท่านได้รับปริญญาดุษฎี บัณฑิตกิตติมศักด์ิจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยรามคาแหง มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒมหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั ในสาขาวิชาต่างๆ ท่านพุทธทาสภิกขุไดล้ ะสังขารกลบั คืนสู่ธรรมชาติอย่าง สงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวนั ท่ี 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 สิริรวมอายุ 87 ปี นบั ได้ 67 พรรษา คงเหลือไว้ แต่ผลงานท่ีทรงคุณค่าแทนตวั ท่านให้อนุชนรุ่นหลงั ไดส้ ืบสานปณิธานของท่าน รับมรดกความเป็น “พุทธ ทาส” เพ่ือพทุ ธทาสจะไดไ้ ม่ตายไปจากพระพทุ ธศาสนา ในปี พ.ศ. 2548 องคก์ ารการศึกษาวิทยาศาสตร์และ วฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ก็ไดป้ ระกาศยกย่องใหท้ ่าน “พุทธทาสภิกข”ุ เป็นบุคคลสาคญั ของโลก นบั วา่ เป็นอีกหน่ึงเกียรติประวตั ิท่ีช่วยยนื ยนั วา่ “พทุ ธทาสจกั อยไู่ ปไม่มีตาย” อยา่ งแน่นอน 4.3.2) ธรรมบรรยำยคำสอน : พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภิกข)ุ ตำรำงที่ 4.3 ขอ้ มลู ธรรมบรรยายเกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ รหสั พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภิกขุ) ผา่ นช่องทาง YouTube จาแนกตามรหสั รูปภาพ R1 และรายละเอียดแหลง่ ที่มา [รหสั R1-15 ] รูปภำพ แหล่งที่มำ https://www.youtube.com/watch?v=FHQqEcf7veI “โพธปิ ักขยิ ธรรมประยกุ ต์ สตปิ ัฏฐำนสี่ประยุกต์ กำยำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน” ความยาว : 1 ชว่ั โมง 24 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 22 เม.ย. 2013 จานวนการดู : 16,762 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 26 มกราคม พ.ศ. 2564

117 R2 https://www.youtube.com/watch?v=eYKr78w70yA “ธรรมะในฐำนะเป็ นเครื่องมือ สติปัฏฐำนสี่” ความยาว : 1 ชว่ั โมง 6 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 25 ส.ค. 2017 จานวนการดู : 2,513 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564 R3 https://www.youtube.com/watch?v=SBqhMzhhQ64 “กำรปฏิบัติอำนำปำนสตหิ มวดท่ี 4 ธมั มำนุปัสสนำ” ความยาว : 1 ชว่ั โมง 6 นาที จานวนการดู : 6,472 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 4 ก.ย. 2017 วนั ที่คน้ หา : 10 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 R4 https://www.youtube.com/watch?v=cnHX5zp7mBs “อำนำปำนสติ กำรปฏิบตั ิหมวดท่ี 3 จิตตำนุปัสสนำ” ความยาว : 58 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 21 ส.ค. 2012 จานวนการดู : 5,812 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564 R5 https://www.youtube.com/watch?v=0s339tsQWuo “กำรปฏิบัตอิ ำนำปำนสติหมวดท่ี 2 เวทนำนุปัสสนำ” ความยาว : 57 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 4 ก.ย. 2017 จานวนการดู : 11,394 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 10 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 R6 https://www.youtube.com/watch?v=yVomtWi20Vc “อำนำปำนสติในอริ ิยำบถ” ความยาว : 50 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 14 มี.ค. 2015 จานวนการดู : 279 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564

118 R7 https://www.youtube.com/watch?v=uSkn7iZq4qY “ศึกษำพทุ ธศำสนำจำกเวทนำ” ความยาว : 1 ชว่ั โมง 15 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 15 ส.ค. 2017 จานวนการดู : 29 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564 R8 https://www.youtube.com/watch?v=s0RCX1HcsNA “ทุกเร่ืองต้งั ต้นมำจำกเวทนำ” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 8 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 15 ส.ค. 2017 จานวนการดู : 135 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564 R9 https://www.youtube.com/watch?v=KCMHXq_BgGs “สรุปกำรปฏบิ ัติอำนำปำนสติ” ความยาว : 57 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 4 ก.ย. 2017 จานวนการดู : 30,670 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 11 มิถุนายน พ.ศ. 2564 R10 https://www.youtube.com/watch?v=exyeamP-aZI “กำรปฏิบตั อิ ำนำปำนสตหิ มวดท่ี 1 ภำคทฤษฎี” ความยาว : 1 ชว่ั โมง วนั ที่เผยแพร่ : 4 ก.ย. 2017 จานวนการดู : 18,724 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 R11 https://www.youtube.com/watch?v=AMDemqcTAPA “กำรปฏิบัตอิ ำนำปำนสติหมวดท่ี 1 ภำคปฏิบตั ิ” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 4 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 4 ก.ย. 2017 จานวนการดู : 15,756 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564

119 R12 https://www.youtube.com/watch?v=nNdHSytr3rw “สนทนำเรื่องสติปัฏฐำน” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 59 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 29 ก.ค. 2014 จานวนการดู : 10,530 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 11 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 R13 https://www.youtube.com/watch?v=rEkb-3iZ1nA “เวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน” ความยาว : 1 ชวั่ โมง จานวนการดู : 15,824 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 8 มิถนุ ายน 2564 R14 https://www.youtube.com/watch?v=JapDSrY9_Kk “จิตตำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน” ความยาว : 1 ชว่ั โมง 28 นาที จานวนการดู : 19,592 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 8 มิถนุ ายน 2564 R15 https://www.youtube.com/watch?v=rdO2Gx3KS8Y “ธมั มำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 3 นาที จานวนการดู : 19,775 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 8 มิถุนายน 2564 จากตารางท่ี 4.3 ขอ้ มลู ธรรมบรรยายเกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิพระธรรม โกศำจำรย์ (พทุ ธทำสภิกข)ุ ผา่ นช่องทาง YouTube (แปลภาษาไทย) จาแนกตามรหสั รูปภาพ และรายละเอียด แหล่งท่ีมาขอ้ มูล [รหัส R1-15] จากการรวบรวมข้อมูล จานวน 15 คลิปขอ้ มูล ได้แก่ “โพธิปักขิยธรรม ประยุกตส์ ติปัฏฐานสี่ประยุกต์ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน” “ธรรมะในฐานะเป็ นเคร่ืองมือ สติปัฏฐานส่ี” “การปฏิบตั ิอานาปานสติหมวดท่ี 4 ธมั มานุปัสสนา” “อานาปานสติ การปฏิบตั ิหมวดที่ 3 จิตตานุปัสสนา” “การปฏิบตั ิอานาปานสติหมวดท่ี 2 เวทนานุปัสสนา” “อานาปานสติในอิริยาบถ” “ศึกษาพุทธศาสนาจาก เวทนา” “ทุกเร่ืองต้งั ตน้ มาจากเวทนา” “สรุปการปฏิบตั ิอานาปานสติ” “การปฏิบตั ิอานาปานสติหมวดที่ 1

120 ภาคทฤษฎี” “การปฏิบตั ิอานาปานสติหมวดท่ี 1 ภาคปฏิบตั ิ” “สนทนาเรื่องสติปัฏฐาน” “เวทนานุปัสสนา สติปัฏฐาน” “จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน” “ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน” ผลการศึกษาจากธรรมบรรรยาย เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) ดงั แสดงในตารางท่ี 4.3.1 ถึง ตารางท่ี 4.3.15 พบวา่ ตารางที่ 4.3.1 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “โพธิปักขิยธรรมประยกุ ต์ สติปัฏฐำนส่ี ประยกุ ต์ กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมโกศำจำรย์ (พทุ ธทำสภกิ ขุ) จาแนกตามแนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั R1] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ R1-1การบรรยายวา่ สตปิ ัฏฐำน 4 ประยุกต์ โดยสังเขปวา่ กาลงั พดู กนั ถึงเร่ือง โพธิปักขยิ ธรรม ธรรมะ 7 หมวดเป็ นไปเพื่อให้เกิด “โพธิ” เป็ นไปเพ่ือตรัสรู้ ได้ความรู้มา “ประยุกต์” โพธิปักขยิ ธรรม ธรรมะ หมายความว่า เอำมำใช้ประโยชน์ให้ได้ เหมือนมีเรือแจวไม่เป็ นพายไม่เป็ น ถ้าจะใช้ 7 หมวด เป็นไปเพอื่ ตรัส ประโยชน์ไดอ้ ยา่ งไร มีเรือมีมากแต่พายไม่เป็ นน่าหัวแต่มนั มากไปกว่าน้นั น่าสงสาร น่า รู้ ไดค้ วามรู้มา ประยกุ ต์ ทุเรศสังเวช ตอ้ งสนใจในสิ่งที่เรียกว่า ประยุกต์ มีอะไรเอามาใชใ้ ห้เป็นประโยชน์ใหไ้ ด้ มี ปริยตั มิ ากกมาย ตอ้ ง ปริยตั ิมากกมาย ตอ้ งประยุกตส์ ิ่งท่ีเรียกวา่ ปฏิบตั ิ มีผลเป็นปฏิเวธ มา สาหรับ โพธิปักขิย ประยกุ ตส์ ิ่งท่เี รียกวา่ ธรรม ธรรมคดั เลือกเป็นหมวดหม่รู วบรัด 7 หมวด ซ่ึงผทู้ ี่อยวู่ ดั ก็รู้วา่ ไดแ้ ก่อะไรบา้ ง แต่ผทู้ ่ี ปฏบิ ตั ิ มีผลเป็นปฏเิ วธ ไม่ทราบไม่เคยอยวู่ ดั ก็มีอยู่มาก ดงั น้นั พูดกนั ถึงหวั ขอ้ 2สติปัฏฐำน 4 กำยำนุปัสสนำสติปัฏ ฐำน เวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน จิตตำนุปัสสนำสติปัฏฐำน ธรรมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน ถา้ เป็นบทต้งั แมบ่ ท สติปัฏ ท่านเป็นนกั ศึกษาโดยแทจ้ ริง จะรู้วา่ เป็ นบทต้ังแม่บท 3หมวดนอกน้นั เป็ นอธิบำยเคร่ืองมือ ฐาน 4 กายานุปัสสนาสติ ประกอบ หมวดต่อไปประธำนควำมเพียรเพียรไปจนกว่าสติปัฏฐานสาเร็จ เป็ นอิทธิบำท ปัฏฐาน เวทนานุปัสสนา เทคนิจน่าอศั จรรยใ์ ห้สำเร็จบรรลุผลสติปัฏฐำนท้ัง 4 หมวดพละ 5 อินทรีย์ 5 เป็ นอุปกรณ์ สตปิ ัฏฐาน จิตตานุปัสส เครื่องมือ กำลังในนามว่า พละ เป็ นสิ่งสาคัญทาให้เด่น เรียกว่า อินทรีย์ ต่อไปหมวด นาสตปิ ัฏฐาน ธรรมา โพชฌงค์ แสดงลักษณะธรรมเน่ืองไปตามลาดบั อย่างไรในการปฏิบตั ิ หมวดสุดทา้ ย คือ นุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน อริยมรรคมอี งค์ 8 องค์ท้งั 8 เป็ นกำรปฏบิ ัตทิ ถ่ี ูกต้องในขณะที่เจริญสติปัฏฐานท้งั 4 ถา้ ท่านรู้ เพียรไปจนกวา่ สติปัฏ เร่ืองน้ีดี ก็ตอ้ งรู้โดยไม่มีใครบอก 9เม่ือเจริญสติปัฏฐำน 4 อย่ำงถูกต้องครบถ้วนอยู่ก็ต้องมี ฐานสาเร็จ เป็นอทิ ธิบาท เทคนิจน่าอศั จรรยใ์ ห้ โพชฌงค์ 7 มรรค 8 อย่อู ย่ำงน้ัน ๆ ครบบริบูรณ์อยู่ในปฏิบัติธรรมเพยี งข้อเดยี ว เรียกว่ำ สติ สาเร็จบรรลุผลสติปัฏ ปัฏฐำน 4 เป็ นแม่บทมำข้ำงหน้ำ เหมือนกบั บทต้งั เป็ นหมวดธรรมทีส่ มบูรณ์อยู่ในตัวต้ังแต่ ฐานท้งั 4 หมวดพละ 5 ต้นจนถึงท่ีสุด 10หมวดกำยทำให้มีศีลมีสมำธิ มีหมวดเวทนำ หมวดจิต เป็ นกำรฝึ กเก่ียวกบั อนิ ทรีย์ 5 เป็นอปุ กรณ์ จิตจนรู้อนิจจัง ลักษณะที่ต้องรู้ของสังขำรท้ังปวง มีรำคะ โลภะเป็ นตัวสำคัญ เป็ นผลการ เครื่องมือ โพชฌงค์ ปฏิบตั ิเร่ิมสาเร็จจนสาเร็จยงั มีการสละกิเลสและความทุกข์ออกไปไดแ้ ละเห็นอยู่ ขอให้ ทบทวนดูโพธิปักขิยธรรม ท้ัง 7 หมวด ไม่ใช่แค่ท่องได้ยงั งมอยู่ท่องจานวนโพธิปักขิย อริยมรรคมีองค์ 8 ธรรมได้ เตม็ ไปหมดไม่รู้ต้องทำอย่ำงไรเป็ นอย่ำงไร มนั เหมือนกนั ไปไปหมดท้งั 37 ขอ้ ทา หน้าท่ีอย่างเดียวกนั เด๋ียวน้ีจะช้ีให้เห็นว่ำ 37 ข้อ 7 หมวด เป็ นบทต้ังเป็ นบทประธำนของ สตปิ ัฏฐาน 4 เป็นแมบ่ ท มาขา้ งหนา้ เหมือนกบั บทต้งั เป็นหมวดธรรมท่ี สมบูรณ์อยใู่ นตวั ต้งั แต่ ตน้ จนถงึ ที่สุด โพธิปักขิยธรรม วา่ 37 ขอ้ 7 หมวด เป็นบทต้งั บทประธานเรื่อง และ หมวดอื่นๆ ช่วยเสริม เป็นเคร่ืองมอื ใหห้ มวด ต้งั เป็นไปถงึ ทสี่ ุดคอื มี สติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ สติ คอื ระลกึ ได้ อาการ ระลกึ ไดท้ นั ตลอดเวลา

121 เจริญท้งั 4 เรียกวา่ กาย เร่ือง และหมวดอ่ืนๆ จะช่วยพยงุ ส่งเสริมเป็นเคร่ืองมือให้หมวดต้งั เป็ นไปถึงท่ีสุดคือมีสติ เวทนา จิต ธรรม ปัฏฐาน 4 โดยสมบูรณ์ 11พูดถึงสติปัฏฐานน้นั โดยตรง คาวา่ สติ คือ ระลึกได้ อำกำรระลกึ โพธิปักขยิ ธรรม พูดถึง ได้ทันควันตลอดเวลำ เด๋ียวน้ี เจริญท้ัง 4 เรียกว่ำ กำย เวทนำ จิต ธรรม 12โพธิปักขิยธรรม หมวดแรกเรื่องกาย กอ่ น พูดถึงหมวดแรกเร่ืองกำย ก่อน มีช่ือเต็มวา่ กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน คาแรกตอ้ งเขา้ ใจกนั กายานุปัสสนาสตปิ ัฏ คาว่า “กาย” ได้พูดกนั มาหลายหนแล้ว ทบทวนควำมจำและควำมเข้ำใจว่า คาว่า “กาย” ฐาน หมายถงึ กายเป็น แปลว่าอะไร หมวดกำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน หมำยถึง กำยเป็ นเนื้อหนังรูปร่ำงภำยนอก เน้ือหนงั รูปร่างภายนอก ของเรา รวมถึงกำยลม ลมหำยใจทาไมช่ือว่า กำย เพรำะลมหำยใจปรุงแต่งกำย ข้ึนอยู่กบั รวมถึงกายลม ลมหายใจ กาย สัมผสั ไดภ้ ายนอกเหมือนกบั กาย กายมีความมุ่งหมายเหมือนกนั ส่ิงท่ีกายขาดไมไ่ ด้ กำย กาย เพราะลมหายใจ แปลว่ำ หมู่ตำมธรรม หมู่คนหมู่สัตว์ เรียกวา่ กาย ช่ือของธรรมะ เวทนากาย ตณั หากาย หมู่ ปรุงแตง่ กาย แห่งเวทนา หมแู่ ห่งตณั หา เป็นความหมายหมู่ กายคนมีความเป็นหมู่อยา่ งไร กำยเป็ นหมู่คือ กายเน่ืองอยกู่ บั ลม ประกอบขึน้ ด้วย ธำตุดิน น้ำ ลม ไฟ ร่ำงกำยคน เป็นหมเู่ ป็นที่รวมของส่ิงหลายส่ิง เป็นธาตุ หายใจร่างกายเน้ือหนงั หลำยธำตุประกอบกันขึน้ เป็ นอวัยวะหลำยอย่ำง ชาวบา้ นรู้ว่า อำกำร 32 เป็ นหมู่ เรียกเป็ น แยกออกจากกนั ไม่ได้ กาย 13ลมหำยใจเป็ นหมู่ เป็นหมู่อยา่ งไร ลมหายใจเป็น 2 พวก หำยใจเข้ำเอำออกซิเจน กำย เน้ือหนงั ร่างกายลม สดช่ือ หำยใจออกเอำอำกำศเสียไปทิง้ ลมหายใจเรียบกายเรียบ ลมหายใจออกหยาบไปดว้ ย หายใจอยา่ งหน่ึงรวม ไม่มีการหายใจมากนับประมาณท้งั หมดเรียกว่า หมู่แห่งกำรหำยใจลมหำยใจ ความหมาย เป็ นสองกาย หมู่ เรียก ลมหำยใจวา่ กำยเนื่องอยู่กบั ลมหำยใจร่ำงกำยเนื้อหนัง ขำดออกจำกกันไม่ได้ แยก ออกจำกกันไม่ได้ เนื้อหนังร่ำงกำยลมหำยใจอย่ำงหนง่ึ รวมเป็ นสองกำย หลกั การ 14กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน อนุปัสสนำ คือ อะไร หมำยถึง กำรมองตำมมัน เป็นคาสาคญั ท่ี ทุกคนเขา้ ใจถูกตอ้ งจึงจะประยุกต์ได้ อนุปัสสนำ มองตำม มองดู ดูเท่ำน้ันอย่าไปคิดไป อนุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน ฟ้งุ ซ่าน “อนุ” แปลว่ำ ตำม “ปัสสนำ” เหน็ เป็ นผลของกำรดู ไมด่ ูก็ตอ้ งเห็นไมเ่ ห็นอยา่ งใด ระลกึ ไดด้ ว้ ยการ อย่างหน่ึง ตามดู อนุปัสสนำสติปัฏฐำน แปลว่าอะไร ระลึกได้ด้วยกำรกำหนดจิตติดตำม กาหนดจิตตดิ ตามดว้ ย ด้วยลมหำยใจ ลมหำยใจกำหนดอยู่ 15“สติ” แปลว่ำ ระลึกได้ถึงส่ิงใดสิ่งหน่ึงอยู่ โดยกำร ลมหายใจ ลมหายใจ กำหนดหรือพจิ ำรณำก็ได้ แต่ในที่น้ี ให้ “สติเป็ นผู้ดู” สติอนุปัสสนำ ตำมดู “สติ” ท่ีตำมดู กาหนดอยู่ “ปัฏฐำน” แปลว่ำอะไร (คุณ ประยูร) ปัฏฐาน หมายถึงท่ีตั้งอยู่อย่างถูกที่ ปัฏฐานสาหรับ “สต”ิ แปลวา่ ระลึกได้ ภาษาบาลีมีพิเศษ รูปศพั ทเ์ ดียวน้นั แสดงไดท้ ้งั ฝ่ ายกิริยาอาการ 16“ปัฏฐำน” แปลว่ำ กำรต้ัง ถงึ ส่ิงใดส่ิงหน่ึงอยู่ ไม่ใช่ท่ีต้ัง แยก “ปัฏ” ต้งั ฐาน ทว่ั ปะฏิ แปลวา่ รวมควำมต้ังไว้เฉพำะอย่ำงท่ัวครบถ้วนลง โดยการกาหนดหรือ ไปสิ่งใดส่ิงหนึ่งเฉพำะ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน แปลวา่ มีสติมองเห็นกายในกาย เกินบาลี พิจารณา ให้ “สติเป็น ละ อย่ำให้เกินตัวหนังสือไล่แต่ตน้ การต้งั ไวอ้ ย่ำงท่ัวถึงซ่ึงสติเฉพำะในการตามเห็นซ่ึงกาย ผูด้ ู” สติอนุปัสสนา กำรต้ังสติในกำรตำมเห็นซ่ึงกำยอย่ำงครบถ้วนเฉพำะเจำะจงลงไป รู้ความหมายของคาตอ้ ง ตามดู “สต”ิ นึกไดใ้ นการประยุกต์ กำรต้ังสติอย่ำงครบถ้วน ที่เรียกว่า อนั ได้เนื้อหนัง อนั ไดแ้ ก่ ลม “ปัฏฐาน” แปลว่า การ หายใจอยา่ งหน่ึง 17หวั ขอ้ การปฏิบตั ิหมวดน้ี ช่ือวา่ สตปิ ัฏฐำน มี 4 กนั อยา่ งไร ในฐานะเขา้ ต้งั ไมใ่ ช่ทตี่ ้งั รวม วดั มานานแลว้ สติปัฏฐาน 4 คอื 4 คือ 4 อะไร การมีสติตามมองเห็นสี่อยา่ ง สี่อยา่ งอะไรบา้ ง ความต้งั ไวเ้ ฉพาะ 18หมวดให้มองเหน็ กำยในกำย หมวดท่ีสองมองเห็นเวทนา เวทนาไมใ่ ช่กาย ในกายแบ่งเป็น อยา่ งทว่ั ครบถว้ นลง ไปส่ิงใดสิ่งหน่ึง เฉพาะ กายานุปัสสนา สติปัฏฐาน แปลวา่ มี สติมองเห็นกายในกาย การต้งั ไวอ้ ยา่ งทว่ั ถงึ ซ่ึงสติเฉพาะ การต้งั

122 สติในการตามเห็นซ่ึง 4 ใหม้ องเห็นวา่ ลมหำยใจยำว เป็ นอย่ำงไร ลมหายใจส้ันเป็นอยา่ งไร และให้มองเห็นกาย กายอยา่ งครบถว้ น ท้งั หลาย กำรปรุงแต่งกำย หมวดท่ี 4 ทาควำมระงับของกำรปรุงแต่งกำย การรู้คาท้งั 4 คาให้ เฉพาะเจาะจงลงไป ชดั เจนถูกตอ้ งมีประโยชน์จาเป็ นท่ีจะปฏิบตั ิธรรมะขอ้ น้ี ที่เรียกว่า กำยำนุปัสสนำสติปัฏ สติปัฏฐาน 4 คือ การ ฐำน กำหนดต้ังสติตำมดูกำยอย่ำงครบถ้วนทั่วถึง อย่างที่ว่า กำยำนุปัสสนำ ตำมดูกำย ดู มีสติตามมองเห็นสี่ หวั ขอ้ ดูลมหำยใจยำว ดูลมหายใจส้ันและ 19กำรดูกำยท้ังสองกำยกระทำแก่กันและกัน ทา อยา่ ง การระงับกำย กำย1 คือ กำยลม เพราะว่ากำยเนื้อหนังสงบระงับไปด้วย ตามตวั หนงั สือท่ี ให้มองเห็นกายในกาย ท่านท่องบ่นกนั ลมหำยใจยำวลมหำยใจส้ัน กำยท้ังปวง ระงับกำยสังขำรอยู่ กายท้งั ปวง ลมหายใจยาว เป็น ระงบั ลมหายใจ เพราะว่า ทำกำยสังขำรให้ระงับกำยสังขำรคืออะไร มาประยกุ ตใ์ นแง่ปริยตั ิ อยา่ งไร การปรุงแตง่ วา่ 4 อยา่ ง คือ ให้ดูลงไปทลี่ มหำยใจยำว อยา่ งหน่ึง ดูลมหำยใจส้ันอย่ำงหนง่ึ ดูลงไปกายท้งั กาย ทาความระงบั กา สองกระทาแตกกนั และกนั อยา่ งหน่ึง กำรทำให้กำยลมหำยใจระงบั ลงไป และกำยเนื้อหนังก็ ยานุปัสสนาสติปัฏ ระงับตำมลงไปดว้ ย พอเขา้ ใจแลว้ พูดให้ชดั อีก ดูลมหำยใจยำว ดูลมหายใจยาวน้ันเป็ น ฐาน กาหนดต้งั สติ อย่างไร ดูๆไปๆ เด๋ียวจะเห็นข้ึนมาว่า ลมหำยใจไปถึงกำย ลมหายใจยาวร่างกายสบาย ตามดกู ายอยา่ ง ร่างกายปกติ ลมหายใจยาวเป็นอย่างน้ีเอง ดูลมหายใจส้ัน ดูไปๆๆ สังเกตว่า กำรหำยใจส้ัน ครบถว้ นทวั่ ถงึ ตามดู มันเป็ นอย่ ำงไร กายมันกระสับกระส่ ายมันไม่ปกติ ดู ร่ ำงกำยดูลมหำยใจส้ั นดู กาย ดูลมหายใจ กระสับกระส่ำย เรียกวา่ ดูลมหายใจยาวใหร้ ู้จกั ธรรมชาติหนา้ ที่อิทธิพลลมหายใจ ดูตามกาย การดกู ายท้งั สองกาย ท้งั ปวง ดูกายสองกายมนั ทาอะไรแก่กนั กระทาแก่กนั และกนั 20 การที่อำศัยหนังสือฉบับใดฉบบั หน่ึงเป็ นที่พ่ึงต้องรู้ว่ำ แปลผิดหรือถูกต้องรู้ว่ำ กำยเนื้อ ระงบั กายลม กายเน้ือ ท้ังหมด ไม่ไดแ้ ปลว่าท้งั ปวง ท้งั สองกาย ท้งั หมดหรือท้งั สิ้น All ท้งั หมดของสิ่งน้นั ไม่ใช่ หนงั สงบระงบั ไปดว้ ย ท้งั หมดของทุกสิ่ง จึงรู้ว่ากำยมีสองกำย กำยเนื้อหนัง อย่างหน่ึง กำยลมหำยใจอย่างหน่ึง แยกออกจำกกันไม่ได้มีอยู่สองกำย กายท้งั สองกระทาแก่กนั อยา่ งไร อยา่ งท่ีวา่ มาแลว้ เห็น วิธกี ำร ดว้ ยการสังเกตว่ำ กำยลมนี้ ปรุงแต่งกำยเนื้อ กำยเนื้อขึน้ อยู่กับกำยลม กายเน้ือเป็นอวยั วะ สาหรับลมหายใจทาหน้าท่ี ลมหายใจทาหน้าที่บารุงกายเน้ือให้ต้งั ใหไ้ ด้ ท้งั กายกระทาซ่ึง กายมสี องกาย กาย กนั และกนั อยา่ งน้ี อาศยั ซ่ึงกนั และกนั ถา้ ไม่มีร่างกายเน้ือคนเราหายใจไดอ้ ย่างไร ก็ไม่ตอ้ ง เน้ือหนงั อยา่ งหน่ึง หายใจ ถา้ ไม่มีกายเน้ือแลว้ ไม่มีการหายใจ ก็อยไู่ ม่ได้ บาลีกล่าวว่า รู้กำยท้ังปวง คือ รู้กำย กายลมหายใจอย่าง สองกำยกระทำซ่ึงกันอย่ำงนี้ กาหนดรู้อยู่อย่างน้ี เรียกว่า ขอ้ ท่ี 3 ขอ้ ท่ี 4 21ทากำยสังขำร คือ หน่ึง กายลมปรุง แตง่ กายเน้ือ กาย ลมหำยใจเป็ นสิ่งท่ีทำบำรุงกำยเข้ำไว้ เรียกว่ำ กำยสังขำร คือ สังขำรแห่งกำย เคร่ืองบำรุง เน้ือข้นึ อยกู่ บั กาย ส่งเสริมและปรุงแต่งคือลมหำยใจ กายสังขารระงบั ลงๆ ดว้ ยกำรปฏิบัติของผู้น้ัน จึงรู้ว่า ลม รู้กายท้งั ปวง กำยลมระงับ กำยเนื้อหนังระงับ ๆ ลงไปเป็ นสมำธิ รู้ความเป็นสมาธิ รู้กายท้งั สองระงบั ลง คือ รู้กายสองกาย ไปมีความเยน็ ตามแบบสมาธิ 22กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน ตำมดูกำยใน 4 วิธี สรุปความให้ กระทาซ่ึงกนั อยา่ ง ส้ันท่ีสุดเพื่อการท่องจา 4 วิธีคือย่างไร คุณประยูร หน่ึงมองให้รู้ว่ำลมหำยใจยำวว่ำเป็ น น้ี กาหนดรู้ อย่ำงไร สองมองให้รู้ว่ำลมหำยใจส้ันว่ำมีลักษณะเป็ นอย่ำงไร สาม ลมหำยใจปรุงแต่ง กายสังขาร คือ ลม ร่ำงกำยอย่ำงไร อย่างท่ีส่ี เราจะทำร่ำงกำยให้ระงับด้วยกำรทำลมหำยให้ระงับ ใจความมี หายใจเป็ นสิ่งท่ีทา อยา่ งน้ี ถา้ ไมเ่ ขา้ ใจใจความน้ี ถ้ำผ้ใู ดปฏิบัติให้กรรมฐำนวปิ ัสสนำเรียกว่ำ สตปิ ัฏฐำน 4 ตอ้ ง บารุงกายเขา้ ไว้ เรียกว่า กายสงั ขาร คือ สงั ขารแห่งกาย เครื่องบารุง ส่งเสริมและปรุง แตง่ คอื ลมหายใจ กายสงั ขาร คอื สงั ขารแห่งกาย เคร่ืองบารุง

ส่งเสริมและปรุง 123 แต่งคือลมหายใจ กายสงั ขารระงบั เขา้ ใจหวั ขอ้ ท้งั สี่ น้ี ตวั ประยกุ ตห์ รือปฏิบตั ิตามหวั ขอ้ ท้งั ส่ีน้ี 22 เท่าที่อาตมาได้พยายาม ลงๆ ดว้ ยการ สังเกตหลำยสิบปี จากการแนะนาส่ังสอน จำกกำรลองทำดูเองก็ดีได้พบวิธีที่จะดูง่ายในการ ปฏิบตั ิของผูน้ ้นั จึง ปฏิบตั ิซ่ึงพอจะวำงรูปโครงได้ดงั ต่อไปน้ี เริ่มขึน้ ด้วยกำรบี้ตำมลม บ้ีตามลมคนทวั่ ไปอาจ รู้ว่า กายลมระงบั เขา้ ใจได้ เพราะเราก็หายใจเขา้ กาย หายใจออกยาวบา้ งส้ันบา้ ง ตามเหตุการณ์แวดลอ้ ม แต่มี กายเน้ือหนงั ระงบั การหายใจออกเขา้ อยู่ บ้ีตำมลมหำยใจเหมือนกันสติเอง กำหนดลมหำยใจเข้ำอยู่ออกอยู่ ๆ ลงไปเป็นสมาธิ เหมือนกบั เป็ นคนๆ หนงึ่ บ้ีตามลมหายใจเขา้ ออกอยอู่ ยา่ งไม่ละไปจากสายตา ไมล่ ะไป จาก การกาหนดนน่ั เม่ือปฏิบตั ิตอ้ งลองหายใจใหป้ กติ โดยที่ไดต้ ระเตรียมทุกอยา่ งมาดีแลว้ จมูก กายานุปัสสนาสติปัฏ กด็ ี เตรียมมาดีแลว้ ไม่มีการหายใจมาเป็นปกติตามแบบมาตรฐานของธรรมชาติก็เริ่มหำยใจ ฐาน ตามดูกายใน 4 เข้ำหำยใจเข้ำสุดมันหยุดอยู่ก็รู้ว่ำมันหยุดอยู่ ออกก็ตำมมันจนออกๆ ไปหมดหำยไป ก็เริม วธิ ี 1)มองใหร้ ู้ว่าลม เข้ามาอีกก็กาหนดว่ามันเริ่มเข้ำมำอีกวิ่งตำมอยู่อย่างน้ี ขอ้ แรก ในพระคมั ภีร์เปรียบ หายใจยาววา่ เป็น เหมือนว่า คนเลีย้ งเด็กไกวเปลให้เด็กนอน เมื่อเด็กไม่หลบั ผูเ้ ล้ียงตอ้ งแหงนหนา้ ไปทางน้ีที อยา่ งไร 2) มองให้รู้วา่ ทางน้ีที ไม่ง้นั เด็กตกจากเปล ถา้ เขา้ ใจก็จะเขา้ ใจตามบ้ีลมหายใจ เปลเป็ นเด็กตกลงมาได้ ลมหายใจส้นั ว่ามี อาจรอกว่าเด็กนอนหลงั ตอ้ งเผา้ ดูแหงนหน้าไปทางน้ีทีทางน้นั ทีคือ การว่ิงตามลมออกเขา้ ลกั ษณะเป็นอยา่ งไร 3) อยู่ออกเขา้ อยู่ พยายามทาจนไดใ้ นระยะน้ี ในข้นั น้ีก่อน ตอ้ งทาข้นั แรกไดก้ ่อนจึงทาข้ัน ลมหายใจปรุงแต่ง ต่อไปตามลาดบั อย่างชิงทาขา้ มไปท้งั ท่ีทาข้นั แรกไม่ได้ อยากรู้เร็วๆ ทาไม่ได้ กำหนดลม ร่างกายอยา่ งไร 4) ทา หำยใจเข้ำออกเข้ำออกเหมือนว่ิงตำมให้ได้เสียก่อนจะกินเวลาเท่าใดสุดแท้ ถา้ ทาไดใ้ นการ ร่างกายให้ระงบั ดว้ ย ว่ิงตามก็เปลี่ยนบทเรียนเป็นบทท่ีสองคือเฝ้ำดู เด็กง่วงนอนลงไปแลว้ ไม่มีทางตก ดูกลางก็ การทาลมหายให้ระงบั ได้ ดูสุดขา้ งน้ีขา้ งน้นั เด๋ียวเปลมาให้ดูไม่ตอ้ งแหงนไปมาแลว้ ดูที่สุดในจุดหน่ึง 23 ในการ กำหนดลมหำยใจที่จมูกท่ีช่องจมูก เม่ือลมหำยใจแรงๆ กระทบท่ีช่องจมูกที่ปลำยจมูก เอา เริ่มข้นึ ดว้ ยการบ้ี ตรงน้ันเป็ นท่ีเฝ้าดูที่ตรงน้ัน ต้องเฝ้ำจริงๆ ถา้ เฝ้าไม่จริงมนั จะมีโอกาสสติเสีย เฝ้ำดูที่ลม ตามลม บ้ีตามลม หำยใจเข้ำออก เมื่อเฝ้าดูอยู่ที่จุดเดียวจุดน้นั ตอ้ งรู้เทจ็ จริง ลมผ่ำนอยู่เสมอเม่ือหำยใจลมผ่ำน หายใจเหมอื นกนั จุดน้ันจุดเดียวตลอดเวลำกว่ำสิ้นจุดลมหำยใจเข้ำ ว่างไประยะหน่ึง หำยใจออกลมหำยใจ สติเอง กาหนดลม ต้องผ่ำนจุดท่ีเรำกำหนดว่ำงนิดหนึ่งแล้วหำยใจ กาหนดโดยแยกคายอย่างน้ี จิตไม่มีโอกำส หายใจเขา้ ออกเขา้ จะหนีไปได้ ถา้ กาหนดว่างยาวเกินไปสติหนีไปเสียไม่ถูก ถา้ กาหนดโดยละเอียดลมหายใจ ออกเหมือนวงิ่ ตาม ผา่ นตรงน้นั เร่ือยไป จนส้ินสุดลมหายใจอยู่ สติจะเรียกก็ไมม่ ีโอกาสหนีไปไดม้ ีซ้าอย่ทู ่ีเดียว ให้ได้ วิ่งตามก็ วิ่งไปว่ิงมา วิ่งตำมว่ิงเข้ำว่ิงออกมันซ้ำอยู่ท่ีเดียวมีส่ิงที่กำหนดไม่ขำดระยะส่ิงเฝ้ำดูอยู่ที่จุด เปลยี่ น เฝ้าดู น้ัน เน้นแล้วเน้นอีก ตรงน้ันเป็ นจุดสำคัญจุดหนึ่งต่อไปมีเร่ืองอะไรมากที่สุดน้ันเอง 24 เปลี่ยนบทเรียนต่อไปอีก เราจะพูดใหเ้ ขา้ ไปตลอดวา่ เมื่อเรากำหนดอย่ำงวิ่งตำม วิ่งตามอยู่ก็ กาหนดลมหายใจ ดีหรือเฝ้ำดูอยู่จุดน้ันก็ดี เราจะรู้ควำมท่ีลมหำยใจเป็ นของยำวได้มย๊ั ได้ เราจะรู้ควำมลม ที่จมกู ท่ีช่องจมูก หำยใจเนื่องไปอย่กู ับกำย หายใจยาวสบายดี หำยใจส้ันไม่สบำย หายใจยาวกายระงบั หายใจ เม่อื ลมหายใจแรงๆ ส้ันกายกระสับกระส่าย รู้ไปคราวน้นั กำหนดลมหำยใจรู้ได้ เดำ หรือใช้ใจเห็น เคยเห็นมนั กระทบท่ีช่องจมูก เป็นอยา่ งน้นั ต้องเข้ำใจด้วย ตอ้ งรู้จากการที่ไดเ้ คยกระทามาแลว้ ดว้ ย เพยี งแตเ่ ราฝึกบทเรียน ท่ีปลายจมูก เอา ว่ิงตามมนั ยงั รู้ความที่ลมหายใจลมหายใจส้ันได้ ท่ีกาหนดเฝ้าดูอยา่ งละเอียดลออท่ีสุด ก็จะ เป็นที่เฝ้าดทู ่ีตรง น้นั ตอ้ งเฝ้าจริงๆ กาหนดอยา่ งวิง่ ตาม หรือเฝา้ ดูอยู่ หายใจ ยาวกายระงบั หายใจ ส้นั กาย กระสบั กระส่ายพบ ความที่ลมหายใจ ปรุงแตง่ เน้ือหนงั ร่างกาย ทากายสงั ขารระงบั อยู่ คือ ทาลม

หายใจให้ละเอยี ด 124 ลง สร้างมโนภาพ พบควำมที่ลมหำยใจปรุงแต่งเนื้อหนังร่ำงกำยดว้ ย เพียงแต่เราปฏิบตั ิวิ่งตามและเฝ้าดู เรา สาหรับสติได้ ปฏิบัติกำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน 3 ข้ันแรกเสร็จไป คือ รู้ลมหายใจยาว รู้ลหมายใจส้ัน รู้ลม กาหนด กาหนดลง หายใจปรุงแต่งร่างกาย รู้ตามเฝ้าดู เม่ือทาละเอียดอย่างรอบครอบถูกตอ้ ง สุขุม จะรู้ว่าลม ไปท่ีลมหายใจเป็ น หายใจยาวเป็ นอย่างไร มีอิทธิพลอย่างไรต่อร่างกาย จะรู้ขอ้ เท็จจริงของธรรมชาติแยก นิมิตตามธรรมดา ออกเป็นสองฝ่ ายเน้ือหนงั ร่างกายอยา่ งหน่ึง ฝ่ ำยลมหำยใจเลีย้ งร่ำงกำยกระทำต่อกัน 25กำยำ คือ ตวั ลม สร้างมา นุปัสสนำสติปัฏฐำน มี 4 ข้ัน ทาเสร็จไปแลว้ สามช้นั ข้นั สุดทา้ ยหวั ขอ้ ทากายใหร้ ะงบั ไม่ใช่ ท่ีลมหายใจกระทบ แต่เป็ นทำกำยสังขำรให้ระงับ อย่าใช้คาลวกๆ ท่านจะขาดไปมาก ทากายระงบั กบั ทากาย เรียกว่า มโนภาพ สังขารระงบั ทำข้ันทำกำยสังขำรระงับอยู่ คือ ทำลมหำยใจให้ละเอียดลง เพ่ือทำให้กำย อุคคนิมิต คือ นิมติ สังขำรละงับลง ไปสองข้นั ปฏิบตั ิแลว้ วิ่งตำมกับเฝ้ำดู 26ข้นั ต่อไปบทเรียนท่ีสาม จุดเฝ้าดู ที่จิตสร้างข้นึ มาได้ ใชเ้ ป็นจุดฝึกบทเรียนยากข้นึ ไปท่ีจะสร้ำงมโนภำพสำหรับสตไิ ด้กำหนดตอนน้ีกาหนดลงไป หมายความว่าที่ ทีล่ มหำยใจเป็ นนิมิตตำมธรรมดำคือ ตัวลม นน่ั เอง เป็ นนิมติ สาหรับสติกาหนดตลอดเวลา เฝ้าดู ดตู ามท่ีลม ที่ว่ิงตามเฝ้าดู แต่สร้างนิมิตที่ไม่ใช่ลมหายหายใจ สร้างมา ท่ีลมหายใจกระทบเรียกว่า มโน ผา่ นมาผ่านไป ภาพ ภาพท่ีจิตสร้างข้ึนไม่ไดเ้ ป็ นอยูจ่ ริงอยู่ลมหายใจ จุดเป็ นภาพ เป็ นดวงเป็ นสี เป็ นแสง แลว้ แต่จะเป็น เอาตามท่ีสะดวก เรียกวา่ อุคคนิมิต คือ นิมิตที่จิตสร้ำงขึน้ มำได้ หมายความ สร้างนิมติ มโน ว่ำที่เฝ้ำดู ดูตำมที่ลมผ่ำนมำผ่ำนไป ตรงน้นั มีอะไรงอกข้ึนมาเป็นดวง เป็นภาพท่ีจิตที่สร้าง ภาพ ให้เห็นชดั อยู่ ข้ึนเป็ นกอ้ นขาว เป็ นควนั ไฟ เหมือนเมฆ เหมือนสาสี ดวงเล็ก ๆ เหมือนเพรช เหมือน ดว้ ยตาขา้ งใน น้าคา้ งกลางแสงแดด เหมือนใยแมงมุมทอแสงอยู่ที่น้นั อะไรก็ได้ แลว้ แต่วา่ มนั เกิดข้ึนมา สร้างนิมิต มโน โดยสะดวก อำศัยกำรน้อมนึกบ้ำงก็ได้ ไดภ้ ำพท่ีสร้ำงขึ้นมำ คือ ภำพลวง ไม่ใช่ของจริง ภาพ เห็นชดั อยู่ สร้างข้นึ มา ไม่ใช่วา่ เราตอ้ งการภาพลวงหรือของลวง แต่เราต้องกำรฝึ กจติให้มันละเอียดลง ดว้ ยตาขา้ งใน นอ้ ม ไป ลมหำยใจเป็ นของหยำบ เป็ นของวัตถุ ธาตุเป็ นของกระดา้ งเป็ นวตั ถุ จิตกระดา้ ง ภำพ จิตอนั ละเอยี ดสุขมุ เป็ นอำรมณ์จิตกำหนดละเอียดกว่ำ เปลี่ยนอำรมณ์ให้ละเอียดลงไป ๆ เป็ นกำรสร้ำงอำรมณ์ ตอ้ งการจิตละเอียด มโนภำพขึน้ มำ 27 บทเรียนข้ันที่ 3 สร้ำงนิมิต มโนภำพ ให้เห็นชัดอยู่ด้วยตำข้ำงในแม้ ประณีต วอ่ งไวต่อ หลบั ตาอยใู่ นที่มืดมองเห็นวดั ตวั นิมิตสร้างดว้ ยมโนภาพ ยงิ่ ทาเก่งยง่ิ ชดั มากข้ึน เปลยี่ นจำก การงานแน่วแน่บริ นิมิตรูปธรรมตำมปกติมำเป็ นนิมิตตำมนำมธรรมซ่ึง ละเอียดกว่ำ เห็นได้มำแล้ว เกิดความ สุทิธ์ิ เป็นผล มจี ิต ลาบากของมนั ละเอียดลึกซึ้งลำบำกในกำรรักษำ ต้องประคองจิตดี สมำธิดี สติดี ถึงรักษาไว้ วอ่ งไว แขง็ แรง ได้ มันอาจจะหายไป ต้องทาให้กลับมาอีกล้มลุกคลุกคลานเพ่ือให้แน่นอนยิ่งไปอีก กาหนดความรู้สึก เปลี่ยนเป็นบทเรียนที่ 3 รวมอยบู่ ทเรียนท่ี 4 รวมในบทเรียนที่ 3 เกี่ยวกบั นิมิตเป็นมโนภาพ ที่เป็นองคฌ์ าน แลว้ แต่ใครอยากแยก สร้างนิมิตข้ึนมาสาเร็จแลว้ สมมติว่าเป็ ยปุยสาลีสีขาวอยู่ที่จุด น้ัน ตอ้ งเลอื กเอานิมิต บงั คบั ใหน้ ิมิตเปล่ียน น้อมจติ อนั ละเอียดสุขุมไปให้มันเปลี่ยน แลว้ มนั กจ็ ะเปล่ียน กอ้ นขาว กาหนดใหแ้ น่วแน่ เล็ก ๆ ให้มันใหญ่ข้ีนไปอีกกลับลงมากใหญ่เล็ก เปลียนขนาดเปลี่ยนสีดูบ้าง เปลี่ยน อยู่ แลว้ ทาสอบ อิริยาบถ หรือมนั ลอยออกไปไดแ้ ลว้ กลบั มาอีกให้มนไปลอยเล่นได้ กลบั มาอีก นอ้ มจิต มนั ความรู้สึก หรือ จะเปลี่ยนไปตำมกำรน้อมของจิต คนเจตนาไม่สุจริต อยากไดม้ ีฤทธ์ิมีเดช จะไดบ้ า้ กนั ไป สถานะของจิตหา้ ตรงน้ี แตเ่ ราไมบ่ า้ เพราะเราไมต่ อ้ งการผลเห็นวตั ถุ เพยี งต้องกำรจติ สงบระงบั ละเอียดลงไป องค์ มีวิตก วจิ าร ปี ติ สุข เอกคั คตา วติ กคอื การตรึก การกาหนดท่ีจิต ไปกาหนดอยทู่ ี่ นิมิต วจิ ารคือการ ที่จิตอยเู่ พลดิ เพลนิ ปี ติ คอื ความรู้สึก

เพลนิ เพลนิ สบาย 125 ใจของจิตต่อนิมิต เอกคั คตา หมายถงึ ถ้าไม่ไดล้ ม้ เหลวก็ทาอีก ทาอีกลม้ เหลวทาอีก จนกระทง่ั บงั คบั ได้ กลายเป็ นคนเก่ง คือ ความที่จิตเป็ นหน่ึง บงั คบั จิตได้ คือ บงั คบั นิมิตได้ เราไม่ตอ้ งการเสิ่งเหล่าน้ัน เราต้องกำรจิตละเอียดประณีต จิตกาหนดอารมณ์ ว่องไวต่อกำรงำนแน่วแน่บริสุทธิ ์ิ เป็ นผลเรำมีจิตว่องไวกว่ำเดิม แขง็ แรงกว่ำเดมิ เป็ นผล ถา้ จิตรู้สึกเป็ นสุข ทาต่อไปอีก 28ถึงบทเรียนกำหนดควำมรู้สึกท่ีเป็ นองค์ฌำน ตอ้ งเลือกเอำนิมิตรูปใดรูปหน่ึง อารมณ์อนั ดบั แรก ท่ีไม่เปลี่ยนอีกต่อไป กำหนดให้แน่วแน่อยู่ แล้วทำสอบควำมรู้สึก หรือสถำนะของจิต เวลา ปฐมฌาน น้นั มีครบ ท้งั 5 องคห์ รือเปล่ำ ห้ำองค์ มีวิตก วิจำร ปี ติ สุข เอกัคคตำ 29มีคาวดั วิตกคือกำร ตรึกกำรกำหนดทจ่ี ติ ไปกำหนดอยู่ที่นมิ ิต วติ กคอื การตรีกนึกคิด (ไมถ่ กู ) วติ กความที่ การท่ี กาหนดกายา จิตกาหนดนิมิตความที่จิตสามารถกาหนดลงไปท่ีไปท่ีนิมิต อารมณ์น้นั วิจำรคือกำรทีจ่ ติ อยู่ นุปัสสนาอาศยั เพลิดเพลิน คือ จิตอยู่รู้สึกอยู่อย่ำงทั่วถึงอยู่นิมิต ถา้ เปลี่ยน วิตกคือไปแตะ วิจารคือลูบคลา ร่างกายกระทาตอ่ อยา่ งทว่ั ถึง ลูบคลามือไปติดสิ่งน้นั วิตกมือไปลูบคลาไปสิ่งน้นั คือวิจาร จิตกาหนดอยทู่ ่ีน้นั กนั และกนั ความ จิตกาหนดอย่างทวั่ ถึง ปี ติ คือ อะไร ควำมรู้สึกเพลินเพลินสบำยใจของจิตต่อนิมิตอันน้ัน เป็นสมาธิ แทจ้ ริง คือ ควำมรู้สึกทรำบคิด ปี ติแปลว่ำ พอใจอ่ิมใจ เด๋ียวน้ีเราทาสาเร็จในการวิ่งตามเฝ้าดูสร้าง มโนภาพ บงั คบั มโนภาพ ถา้ สาเร็จตามตอ้ งการเราพอใจในสาเร็จน้ี เรารู้สึกสาเร็จในการทา จิตเป็ นสมาธิมี สาเร็จ ความสุขไดแ้ ก่ อะไร คล้ำยสุขมันสบำยใจในทำงสงบ ปี ติคือพอใจเพรำะประสบ คุณสมบตั ิความท่ี ควำมสำเร็จก็เนื่องควำมสุขเป็ นธรรมดำ กระแสสุขฟุ้งซ่านไม่ได้สงบน้ัน กระแสทา จิตบริสุทธ์ิต้งั มนั่ ความรู้สึกเป็นสุข พูดปี ติก่อน มาเป็นสุข มีความพอใจอย่ไู ม่ถึงกบั ฟุ้งซ่าน มีควำมรู้สึกเป็ น วิธีปฏิบตั ิเป็น สุขอยู่ ควำมท่ีจิตระงับสงบ เป็ นสุขตอ้ งไปทาดูเอง องคท์ ่ีห้าเรียกว่า เอกัคคตำ หมำยถึง บทเรียนกายา ควำมที่จิตเป็ นหน่ึง จิตหลายจิตคิดไปหลายอย่างไม่ไดอ้ ยู่เฉยๆ ไม่ไดอ้ ยู่ กาหนดสิ่งเดียว นุปัสสนา 5 ควำมทีจ่ ิตเป็ นจิตหน่ึงกาหนดส่ิงความท่ีจิตกาหนดส่ิงๆ เดียว อคั คะ ยอดสุดอันเดียว ความ ข้นั ตอน 1) ว่ิงตาม ที่จิตกาหนดอยูย่ อดสุดอนั เดียว ของแหลมเป็นกรวยสุดปลายแหลมเรียกว่ายอด ควำมที่จิต ลมหายใจ 2) เฝ้าดู เป็ นยอดไปอยู่ที่น้นั เรียกว่ำ จิต ทำสำเร็จจิตเป็นอยา่ งน้นั ยอดเดยี วของจิตคือ นมิ ิต ในช้นั น้ี มองจุดเดียว 3) เอำเป็ นอำรมณ์ของจิต เป็ นนิมิตเดียวน้ัน ท่ีกาหนดท่ีกาหนดของจิตมีจุดยอดอยู่ที่น้ัน สร้างนิมติ มโน แลว้ แต่คนน้นั จะใช้ในนิมิตเป็ นอยา่ งไร อยู่ท่ีสิ่งน้นั สิ่งเดียวอยู่ที่ยอดจิต จิตรวมเป็ นโฟกัส ภาพข้ึนที่จดุ 4) เป็ นยอดตรงนั่นคือนิมิตเป็ นเคร่ืองกำหนดควำมที่จิตยกอยู่ในที่เดียวกันเดียว เรียกว่า สร้างนิมิตให้ เอกัคคตำ ในขณะน้ันจิตกาหนดอารมณ์จิตรู้สึกเป็ นสุข อารมณ์อนั ดับแรก ปฐมฌาน 30 ละเอียดข้ึน ให้ กำหนดกำยำนุปัสสนำอำศัยร่ำงกำยกระทำต่อกันและกัน วิธีที่ท่านวางไวใ้ นที่สุดมีผลคือ เปลี่ยนรูปเปลีย่ น ควำมเป็ นสมำธิ เป็นอนั ดบั ที่หน่ึงเป็ นสมำธิอย่ำงแท้จริง อนั ดบั ที่หน่ึง แทล้ ดองค์ 5 เหลือ 3 ขนาดสี 2 ปฐมฌานเหลือกินเหลือใช้ 31เมื่อจิตเป็ นสมำธิมีคุณสมบัติควำมที่จิตบริสุทธ์ิต้ังม่ันอย่าง เคลอื่ นไหว 5 )การ หน่ึง ความท่ีจิตวอ่ งไวอย่างหน่ึง จิตบริสุทธ์และจิตต้ังม่ันคืออำรมณ์จิตว่องไว จิตฝึ กดีแลว้ ทาองคฌ์ านท้งั 5 กำหนดในกำรพจิ ำรณำ ประโยชนก์ ายานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นอยา่ งน้ี ทบทวนวธิ ีประยุกต์ ทาใหเ้ กิดสมาธิ จบั ตวั หนงั สือ 32กายานุปัสสนาสติปัฏฐานใหเ้ ป็นผลข้ึนมา มีการปฏิบตั ิเป็นบทเรียนกี่ข้นั ตอน เอานิมติ อนั หน่ึงมา วธิ ปี ฏิบตั ิเพ่ือเป็ นบทเรียนกำยำนุปัสสนำ มี 5ข้นั ตอน 1) ว่งิ ตามลมหายใจ ข้นั ตอนที่ 2 เฝ้าดู เฝ้ามองใหเ้ กิดองค์ มองที่จุดจุดเดียว 3.สร้างนิมิตมโนภาพข้ึนที่จุดน้ัน ข้นั ที่ 4 สร้างนิมิตให้ละเอียดข้ึนไปอีก แห่งฌาน 5 องค์ มี วติ ิ วจิ าร ปี ติ สุข เอกคั คตา บรรลุสมาธิอนั ดบั แรก คือ ปฐมฌาน เรียกวา่ ประยกุ ต์ สาเร็จประโยชน์ ได้ ผฝู้ ึกตอ้ งมี สติปัญญา

ผล 126 ปริยตั ิดว้ ยการ โดยใหเ้ ปลี่ยนรูปเปล่ียนขนาดสี เคล่ือนไหว 5 กำรทำองค์ฌำนท้งั 5 ทำให้เกดิ สมำธิ ในขณะ ปฏิบตั ิใหเ้ กิด ที่กาหนดมีนิมิตที่บงั คบั เปล่ียนแปลงไดเ้ ป็ นเครื่องทดสอบ ต่อมาเลือกเอานิมิตท่ีพอใจไป ปฏิเวท ผู้ หยดุ น่ิงมากาหนดอยู่ ถึงจะสามารถทดสอบวา่ องฌานมีครบหรือยงั กาหนดดูองคฌ์ านท้งั 5 ประยกุ ต์ 2 ระดบั มีนิมิตอยา่ งใดยอยา่ งหน่ึงพอใจที่สุดท่ีหยดุ อยแู่ ลว้ ไม่เปลี่ยนสีเปล่ียนอิริยาบถ 5 ข้นั ตอนคือ คือ ระดบั พวกท่ีติด อะไร ข้นั ท่ี 1) วิ่งตำมดูลมหำยใจตลอดเวลำ 2) เฝ้ำดูลมหำยใจท่ีจุดใดจุดหน่ึง 3) สร้ำงนิมิต อยใู่ นทางมตี วั ตน มโนภำพที่จุดน้ัน 4)เป็ นกำรทำนิมิตให้เปล่ียนรูปหรือเคล่ือนไหวได้ตำมพอใจ 5) จับเอำ เรียกว่า ทาไป นิมิตอันใดอันหนึ่งมำสำหรับเฝ้ำมองให้เกิดองค์แห่งฌำน 5 องค์ มีวิติ วิจำร ปี ติ สุข ในทางโลกียะทาง เอกัคคตำ 33ปฏิบตั ิให้ไดต้ ามน้นั เรียกว่าประยุกต์ในกำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำนไดส้ าเร็จตาม โลก ส่วนหวงั สมควรแก่เหตุปัจจยั ของบุคคลในเวลาน้นั จะไดเ้ ต็มที่หรือคลอนแคล่น แลว้ แต่การกระทา กา้ วหนา้ ไปไกล ของบุคคลน้นั หลกั เกณฑ์มีอย่างน้ี ไม่มีหลกั เกณฑ์อย่างอ่ืน ทาไปอย่างระมดั ระวงั อย่างดี เป็นระดบั โลกุตระ ที่สุด มีความหวงั จะเป็นไปได้ บรรลุสมำธิอันดับแรก คือ ปฐมฌำนเรียกว่ำ ประยุกต์สำเร็จ เพ่ือไปสู่พระ ประโยชน์ได้ อุปมาการประยกุ ตส์ าเร็จประโยชน์ไดเ้ หมือนกนั มีเรือแลว้ พอใชเ้ รือไปได้ มา้ นิพพาน พอขี่ไดบ้ า้ ง ยังไม่ถึงควำมเป็ นสมำธิ มีเรือแจวเรือไดใ้ ช้ มา้ ใชม้ า้ ไดเ้ ต็มท่ีในการข่ี อะไรที่ ฆราวาสขา้ งนอก เปรียบไดก้ บั เรือหรือมา้ คือ ร่ำงกำย พร้อมกับจติ นำมรูปกบั จิตร่ำงกำย ต้องทำด้วยกัน นาม เป็นฆราวาส แต่ใจ รูปคือใจกายแยกกันไม่ได้ ถ้าแยกคือ ตาย ถ้าไม่แยกคือ ไม่ตาย ม้าก็ดี เรือก็ดีเปรียบ จิตใจอยากเป็ น เหมือนกบั กาย ถา้ เราจะแยกก็แยกไดใ้ นกรณีอย่างอ่ืน ร่างกายเหมือนกนั มา้ หรือเรือ จิตผู้ บรรพชิต ตอ้ ง แจวเรือหรือผขู้ ี่มา้ ไม่ถูกนกั เป็ นกำยล้วนๆ ทำอะไรไม่ได้ต้องมีกำยกับจิต ถูกฝึ กได้เหมือน เรือม้ำ ผู้ฝึ กจึงต้องมีสติปัญญำ เป็ นคุณสมบัติอันหน่ึงของจิตให้มันพัฒนำๆ สูงเป็ น ประโยชน์ท่สี ุดเรียกว่ำประยกุ ต์ 34ปริยตั ิดว้ ยการปฏิบตั ิให้เกิดปฏิเวท เราจะใชป้ ระยกุ ตใ์ นหมู่พทุ ธบริษทั เรา พายเรือไม่เป็น ขมี่ า้ ไม่เป็น อยใู่ นฐานตอ้ งประยกุ ต์ ผปู้ ระยกุ ตจ์ ดั เป็น 2 ระดบั คือ ระดบั พวกที่ตดิ อย่ใู นทำง มีตัวตนเรียกว่ำ ทำไปในทำงโลกียะทำงโลก ส่วนพวกที่หวงั ก้ำวหน้ำไปไกลเป็ นระดับ โลกุตระเพื่อไปสู่พระนิพพำน เปรียบเหมือนดอกบวั พน้ น้า กลางน้า อยใู่ นน้า ดอกท่ีจมท่ี ตม ในการบรรยายว่า คร้ังที่ 1 และ 2 ไม่ได้ว่าอย่างน้ัน พุทธบริษทั เราพยายามด้ินรน พยายามอยู่เพ่ือเอาตวั รอด 3 ระดบั ฆรำวำสแท้ ครองบ้ำนเรือนทำมำหำกิน มีบุตรสามี ผู้ ครองเรือนระดบั หน่ึง ระดบั ที่สาม คือ เป็ นบรรพชิตออกไปบวชทงิ้ เรือนออกไปปฏบิ ตั อิ ย่ำง เคร่งครัด 35ระดบั ท่ีสองพวกที่บวชที่บา้ น คือ ท่ีฆรำวำสข้ำงนอกเป็ นฆรำวำส แต่ใจจิตใจ อยำกเป็ นบรรพชิต มีอยจู่ ริงหรือไม่ในโลกน้ี พอหาไดบ้ า้ งคนท้งั สามประเภทต้องประยุกต์ กำยำนุปัสสติตำมแบบของตนๆ ตำมระดับของตนๆ ฆราวาสเต็มยศ บรรพชิตเต็มยศ ระดบั กลางที่สองตามภาษาบาลี มีคาแปลกเรียกว่า36 โคตรภู (หมำยถึง ผู้ต้ังอยู่ในญำณซ่ึง เป็ นลำดับที่จะถึงอริยมรรค ผู้อยู่ในหัวต่อระหว่ำงควำมเป็ นปุถุชนกับควำมเป็ นอริยมรรค) ผูฟ้ ังท้งั หลาย โครตภูม คืออะไรเคยอธิบายแลว้ คือ ตามตวั หนง้ สือ แปลว่า ครอบงา โครต น้นั เปลี่ยนเป็นอนั หน่ึงไปสู่อนั หน่ึง เป็นโครตภู มีใชอ้ ยู่หลายกรณี เช่นใบไม้ เหลือง ไม่ใช่

ประยกุ ตก์ ายานุปัส 127 สติตามแบบของ ตนๆ ตามระดบั ใบไมเ้ ขียนและใบไมแ้ หง้ กาลงั จะเปล่ียนจากใบไมเ้ ขียวไปเป็นใบไมแ้ ห้ง เปล่ียนฆราวาส ของตนๆ ไปเป็นนกั นกั บวช ตรงน้ีเรียกว่า โครตภู มีหลายอย่างใชค้ า 37กาลงั บรรลุมรรคผลครบถว้ น โครตภญู าณ (หมายถึง ญาณครอบโคตร คอื ปัญญาที่อยใู่ นลาดบั จะถึงอริยมรรค หรืออยใู่ น โคตรภู (หมายถงึ หวั ต่อท่ีจะขา้ มพน้ ภาวะปุถุชนข้ึนสู่ภาวะเป็นอริยะ ) เป็นอริยเจา้ ไป เรียกคฤหัสถบ์ างพวก ผูต้ ้งั อยใู่ นญาณซ่ึง เอามาใชเ้ ป็นหลกั เกณฑ์ ฆำรำวำสที่เข้ำเป็ นโคตรภู มีเนื้อตัวเป็ นอยู่อย่ำงฆรำวำสแต่จิตใจ เป็นลาดบั ท่ีจะถงึ เบ่ือหน่ำยควำมเป็ นฆรำวำสอยำกเป็ นบรรพชิต ไดค้ าสามคา ฆรำวำส โคตรภู บรรพชิต อริยมรรค ผอู้ ยใู่ น บุคคลที่เป็นปัญหาในการประยุกต์ ทุกคนเป็นฆราวาสส่วนมากเป็นโครตถูเป็นบางเวลา เรา หวั ตอ่ ระหวา่ ง ใชค้ าเป็ นมาตรฐานสาหรับอธิบายธรรมะต่อไปในขา้ งหน้า พุทธบริษทั มี 3 ประเภท 38ใน ความเป็นปถุ ชุ น ฐำนะที่เป็ นฆรำวำส ประยุกต์กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำนได้อย่ำงไร กายานุปัสสนาสติปัฏ กบั ความเป็น ฐาน 4 ข้นั อยา่ งเตม็ ท่ี ท้งั ในรูปแบบบรรพชิตโดยสมบูรณ์ การใชส้ าหรับฆราวาสก็ได้ ใน อริยมรรค) ฆารา ฐานเป็นฆราวาสนาสติปัฏฐาน มาใช้ปฏบิ ตั ใิ นควำมเป็ นฆรำวำสอย่ำงไรเท่ำไร (คณุ ประยรู ) วาสท่ีเขา้ เป็นโคตร ว่าตามความรู้สึก 5 ข้ันในการปฏิบัติสติปัฏฐานนามาใช้ได้หมด 5 ข้ันไม่มีอะไรเป็ น ภู มเี น้ือตวั เป็นอยู่ อุปสรรค ยกตวั อย่างว่ำ เวลำตอนเช้ำมืดก่อนนอนว่ำงจำกกำรงำนแล้ว มีเรื่องยุ่งเรำมำ อยา่ งฆราวาสแต่ จิตใจเบ่ือหน่าย ปฏิบัติสติปัฏฐำนกำยำนุปัสสนำ ได้จิตสงบหลับไปได้สบำย กำรยับย้ังจิตใจในเวลำมีอะไร ความเป็ นฆราวาส เกิดขึน้ ผิดปกติโลภ โกรธ หลง ทานาอยู่ท่ีนา พอใจทางานสิ่งน้นั ไปเพ่ือความสาเร็จ มนั ไม่ อยากเป็ นบรรพชิต ชัด มีทางประยุกต์มันได้อย่างไร เวลาว่างก่อนนอนตื่นนอน อยู่ที่ออพพิตทาการงาน ประยุกต์เอามาใชเ้ ป็ นประโยชน์อย่างไร ทานา ที่นาถา้ เหนื่อยข้ึนมาทาอย่างไร ถา้ เหน่ือย เป็ นฆราวาส ข้ึนมาเราก็ร่างกายหยดุ พกั ผ่อนแลว้ ก็คิดถึงหลกั ท่ีว่าทำงำนด้วยจิตว่ำง เลยไปสูง เอาสมาธิ ประยกุ ตก์ ายา เอาหลกั มาใชง้ านทางานเหนื่อยมานงั่ คน่ั นา หายใจยาวหายเหนื่อยเร็ว สงบระงบั เร็วกวา่ ไม่ นุปัสสนาสติปัฏ โมโหโกรธ กำรปฏิบัติตำมลมหำยใจ หำยใจหำยเหน่ือยป้องกันอำรมณ์ร้ำยเวลำว่ำง ว่ิงไป ฐานไดอ้ ย่างไร หำอำนำปำนสติแก้ปัญหำได้ แก้อำรมณ์ร้ำยได้ มีจิตใจเหยือกเย็นมีปัญายุ่งยาก ทากายทาง ปฏิบตั ิสติปัฏฐาน จิตลองคดิ ถึงขอ้ น้ี ลองดีกวา่ ไม่มีหรือไม่ไดท้ า เหมือนไปอยคู่ นละโลก พอเราหนั มากาหนด กายานุปัสสนา ได้ ลมหายใจยาวส้ันเหมือนไปอย่คู นละโกเปล่ียนหมด ไม่เกิดเรื่อง อาจมีความสงบสุกพอใจ จิตสงบหลบั ไปได้ ไปในตวั เรื่องน้ัน ๆๆ การหายใจยาวแกเ้ หน่ือยได้ ฆรำวำสประยุต์สติปัฏฐำนโดยวิธีอำนำ สบาย การยบั ย้งั ปำนสตทิ ีต่ ำมดู เดก็ เลก็ ๆ เขา้ ปฐมฌานท่ีคนั นา ประยกุ ตไ์ ด้ เจา้ ชายสิทธตั ถะ เขา้ ปฐมฌาน จิตใจในเวลามี ได้ ตอนน้นั เจา้ ชายเป็นฆราวาส ไม่ถึงเป็นโคตภมู ิ ยงั เป็นฆราวาสเดก็ ทาได้ อยา่ เอาไปหมด อะไรเกิดข้ึน อยากใหเ้ ป็นวา่ แมอ้ ยใู่ นหอ้ งน้าหอ้ งส้วมให้มีจิตที่มีสติสัมปชัญญะเสมอไป ถา้ หำยไปเรียก ผดิ ปกติโลภ โกรธ มันมำด้วย อำนำปำนสติหมวดที่ 1 ชุดท่ี 1 แม่ครัวทางานในครัวมีเหตุการณ์อะไรบา้ งตอ้ ง หลง ฆราวาสประ ใชอ้ านาปานสติ ใชอ้ ยา่ งไรบา้ ง ตวั อยา่ งท่ีเห็นสังเกต เห็นแมค่ รัวตอ้ งเห็นกาหนดลมหายใจ ยตุ ส์ ติปัฏฐานโดย ผปู้ กฏิบตั ิรู้หรือไม่รู้มีการทาถา้ จิตวุ่นแลว้ งานทาไม่ได้ จิตวุ่นทาอะไรดีไม่ได้ แม่ครัวควรรู้ วิธีอานาปานสติท่ี จดั สารวมจิตปกติเสียบา้ ง ไม่ตาน้าพริกเขา้ ตา พอเองเห็นแม่ครัวใชอ้ านาปานสติอยา่ งไร หา ตามดู ใหม้ จี ิตที่มี ว่ามีอะไรไม่ครบก็ไม่เกิดโทสะหรือวิ่งวุดนในการหาจิตสงบปกติอยบู่ า้ งทางานไดด้ ี ไม่ข้ี สติสัมปชญั ญะ ลืมไม่หลงลืมอนั ตรายไม่เกิดข้ึน มีด ไฟ ไมม้ ือ หลายอยา่ งตอ้ งการสติที่สมบูรณ์จะปลอดภยั เสมอไป ถา้ หายไป เมื่ออยใู่ นครัวแม่ครัวหิวขา้ วแลว้ มาปรุงอาหารไม่มีสติอยู่กบั เน้ือกบั ตวั เอาขา้ วสารใส่หม้อ เรียกมนั มาดว้ ย อา นาปานสติ เป็นฆราวาสตอ้ งมี สติ ในโลกทุก ตอ้ งการความสติ สมควรแก่ฐานะ รูปแบบของตน ตอ้ งการมีสตินึกถึง

สติปัฏฐาน 128 ประยกุ ตก์ บั ฆราวาสตอ้ งมีสติ เกินความจาเป็นแลว้ เหลือ ขาดเกินไม่มีสติ ถา้ ทาอะไรตอ้ งไม่ขาดไม่เกิด 39 แม้เป็ นฆรำวำส แบบฝึกสติตอ้ งมี ต้องมีสติ ในโลกทุกต้องกำรควำมสติสมควรแก่ฐำนะรูปแบบของตน ต้องกำรมีสตินกึ ถึงสติ สติปัฏฐาน ปัฏฐำนประยุกต์กับฆรำวำส หรือเดก็ ทำจิตให้สงบระงบั ลงไปวธิ ีน้ีเป็นเด็กมีสุขภาพทางกาย ฆราวาสเห็นโคตร ดี เรียนหนงั สือดี มีมารยาทดี มีสติปัญญา มีวิญญาณดี ในอรรถกถาที่เขยี นไว้ ทำสตปิ ัฏฐำน ภู แมแ้ ต่นกขุนทองอย่างวา่ แต่คน ฆรำวำสต้องมีสติ แบบฝึ กสติต้องมีสติปัฏฐำน ฆราวาสที่ เห็นโคตรภู จิตใจตอ้ งการออกไปตอ้ งหาโอกาสเวลาว่าง ทำสติปัฏฐำนได้มำกกว่ำ ฆรำวำส ก่อนนอน ตืนนอน ก็ได้ แลว้ เมื่อใดก็ได้ ทาไดม้ ากไหลออกไป กวา่ ที่ธรรมดา อำจำรย์สอน วิปัสสนำกรรมฐำนที่เป็ นฆรำวำสก็มี โยคีท้งั หลายทาไปตามแบบสมบูรณ์ โยคีจะดีกว่า บรรพชิต บรรชิตข้ีเกียจก็มี สติปัฏฐำน 4 นีต้ ้องประยุกต์กนั ท้ังสำมระดับ วนั น้ีเพียงสติปัฏ ฐานเดียวหมดท้งั แลว้ เรียวแรงพดู ไดส้ ติปัฏฐานเดียวท่ีเหลือพูดไวว้ นั หลงั ตารางที่ 4.3.2 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “ธรรมะในฐำนะเป็ นเคร่ืองมือ สตปิ ัฏฐำนส่ี” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภิกขุ) จาแนกตามแนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั R2] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด R2-40อบรมพระนวกะในพรรษาปี 2512 คร้ัง 31 วนั ท่ี 20 กนั ยายน เป็นวนั อนั ดบั 54 แห่งระยะ การเขา้ พรรษา พระพุทธศกั ราช 2512 ในวนั น้ีพูดกนั ถึงโดยหัวขอ้ ว่า ธรรมะในฐานะเป็ น สติปัฏฐาน 4 เคร่ืองมือ ส่วนเร่ืองคือ สติปัฏฐำน 4 ธรรมะในฐำนะเป็ นเครื่องมือหรือเป็นฝักฝ่ ายแห่งโพธิ ธรรมะในฐานะ น้ี พูดกนั มาตามลาดบั ต้งั แต่ฆราวาสธรรม 4 อิทธิบาท 4 สัมมปั ธาน 4 วนั น้ีมาถึง สติปัฏ เป็นเคร่ืองมอื ท่ีใช้ ฐำน 4 ดูกันในฐำนะเป็ นเครื่องมือ แมว้ ่า มีช่ือต่ำงกันเป็ นเคร่ืองมือที่ใช้ต่ำงกัน เหมือน ตา่ งกนั เคร่ืองมือท่ีมี ๆ กนั อยู่ในบ้านในเรือน เมื่อเรียกชื่อต่างกัน ตามปกติในความมุ่งหมายที่ ต่างกันทบทวนดูบ้าง ได้ว่า สัจจะ ทมะ ขันติ จำคะ ใช้กนั อย่างไรใช้เป็ นสำรพัดนึกใน “สติปัฏฐาน” พื้นฐำนข้ันพื้นฐำนท่ัว ๆ ไป เหมือนเช่นมีดอย่างเดียว ใช้มากใช้เป็ นอาวุธ ยงั ได้ใช้เป็ น แปลวา่ 1)การต้งั เคร่ืองมือธรรมดาสามญั ไดแ้ มเ้ ป็ นเคร่ืองมือธรรมดำสำมัญ ยงั ใช้ไดห้ ลายอย่าง ตดั น่นั ตดั สติไวเ้ ฉพาะหรือ กระทง่ั ตดั ไมท้ าเรือนได้ ห่ันผกั แกงได้ เรียกว่า พ้ืนฐานทวั่ ไปหรือสารพดั นึก อิทธิบำท 4 อยา่ งทวั่ ถึง แปลวา่ สูงขึ้นไปโดยเฉพำะมุ่งควำมสำเร็จ หำกส่ิงใดสิ่งหน่ึงท่ีต้ังใจจะทำ คือกะให้รัดกุมเขา้ มา เฉพาะได้ ทว่ั ถงึ น่ันเองเฉพาะส่ิงที่ต้งั ใจจะทา แล้ว วำงไว้กว้ำง ๆ ว่ำเลือกไปใช้ส่ิงใด ยังได้ อธิบายให้ ได้ คาว่า “สติปัฏ ละเอียดออกไปตรงท่ีว่า จะต้องทำอย่ำงไร ท้ังควำมพอใจ ท้ังกำรใช้กำลังกำย ท้ังใช้กำลังจิต ฐาน” แปลได้ 2 ใช้กำลังปัญญำ ตรองให้ดี คาว่าใชก้ าลงั กาย ใชก้ าลงั จิต ใชก้ าลงั ปัญญา จะพูดถึงใชก้ าลงั จิต อยา่ งว่าต้งั สติไว้ หรือกาลงั สติปัญญาโดยเฉพาะกนั เป็ นพิเศษในคราวน้ี ส่วนควำมเพียร 4 คือสัมมัปธำน 4 เฉพาะ เฉพาะเรื่อง น้นั มุ่งหมายจะระบไุ ปยงั ลกั ษณะของควำมพยำยำมเป็นส่วนใหญ่ 41มาถึงสติปัฏฐำน 4 ท่ี ใดเรื่องหน่ึง กาลงั จะพูด สาหรับคนท่ียงั ไม่ทราบเร่ืองเสียเลยหรือทราบแต่น้อย ยงั ไม่ไดส้ นใจวา่ คาวา่ กาย เวทนา จิต ธรรม 4 อยา่ ง “ต้งั เขา้ ” คืออยา่ งใด อยา่ งหน่ึง ต้งั ไว้ อยา่ งพร้อม คอื ครบถว้ น “สติปัฏฐำน” น้ีแปลว่าอะไร ว่ากันตำมตัวหนังสือแท้ ๆ แปลว่ากำรต้ังสติไว้เฉพำะหรือ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook