479 ความเพยี รชอบ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลกั ขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม เช่นน้ีจึงจะเรียกวา่ ปชำนำติ 356การเล้ียงชีพชอบ (สมฺมาวายาโม) (สมฺมำอำชีโว) คือ : “อริยสาวโก มิจฺฉาอาชีว ปหาย สมฺมาอาชีเวน ชีวิตกปฺเปติ” การเลิกละ สรา้ งฉันทะ ระดม (ปหำย) การเล้ียงชีพในทางท่ีผิด (มิจฺฉำอำชีว) และเล้ียงชีวิตอยูด่ ว้ ยสัมมาอาชีพ 357ความเพียร ความเพยี ร เร้าจติ ชอบ (สมฺมำวำยำโม) มีส่ีประการด้วยกันคือ : “อนุปฺปนฺนาน ปาปกาน อกุสลาน ธมฺมาน ไว้ และมงุ่ มนั่ อนุปปฺ ทาย ... อุปปฺ นฺนาน ปาปกาน อกสุ ลาน ธมฺมาน ปหานาย ... อนุปฺปนฺนาน กสุ ลาน ธมฺมาน อุปฺปาทาย ... อุปฺปนนาน กุสลาน ธมฺมาน ฐิติยา อสมฺโมสาย ภิยฺโยภาวาย เวปุลฺลาย ภาวนาย ปา ผล ริปูริยา ....ฉนฺท ชเนติ วายมติ วรี ิย อารภติ จิตฺต ปคฺคณฺหาติ ปทหติ ...” การทาความเพียรควบคุม อกุศลธรรม (ปำปกำนอกุสลำนธมฺมำน) ที่ยงั ไม่เกิดข้ึน (อนุปฺปทำย) ไม่ให้เกิดข้ึน และอกุศล ความจริงอนั ธรรมใดท่ีเกิดข้ึนแลว้ (อุปฺปนฺนำน) ทาความเพียรเพ่ือละเสียกุศลธรรม (กุสลำน ธมฺมำน) ใดท่ี ประเสริฐของ ยงั ไม่เกิด ยอ่ มทาความเพยี รเพ่ือให้เกิดข้ึน กศุ ลธรรมใดเกิดข้ึนแลว้ ยอ่ มทาความเพยี รเพื่อใหค้ ง ความดบั ทกุ ข์ การ อยู่ และเพ่ิมไพบูลยจ์ นเต็มเปี่ ยม (ภำวนำย ปำริปูริยำ) ในแต่ละกรณีผปู้ ฏิบตั ิจะ “ สร้างฉนั ทะ วิเคราะหแ์ ยกแยะ (ฉนฺทชเนติ วำยมติ) ระดมความเพียร (วีริย อำรภติ) เร้าจิตไว้ (จิตต ปคฺคณฺหำติ) และมุ่งมน่ั ตา่ ง ๆ โดยใช้ (ปทหติ)” ความระลึกชอบ (สมมฺ ำสต)ิ ประสบการณจ์ าก 358ควำมจริงอันประเสริฐของควำมดับทุกข์ พระสูตรน้ีเตม็ ไปดว้ ยรายละเอียดในการวิเคราะห์ การปฏบิ ตั ิ แยกแยะต่าง ๆ โดยใช้ประสบกำรณ์จำกกำรปฏิบัติ จึงเป็ นไปไม่ไดเ้ ลยท่ีผูป้ ฏิบตั ิวิปัสสนาใน คาสอนการปฏิบตั ิ หลกั สูตรน้ีจะสามารถเขา้ ใจไดท้ ้งั หมด 359แต่พระสูตรน้ีเป็ นคำสอนกำรปฏิบัติท่ีสมบูรณ์ที่สุด ทส่ี มบรู ณท์ ีส่ ุด และผูท้ ี่รับฟังพระสูตรน้ีจากพระโอษฐ์ในขณะน้นั ยอ่ มมีท้งั ผทู้ ี่กาลงั อย่ใู นสภาวะนิพพานข้นั ที่ เวทนาหรือ 3 หรือ 4 คอื ข้นั อนาคามี หรือข้ัน อรหนั ต์ ในข้นั สูงเช่นน้นั รายละเอียดท้งั หลายจะแยกออกจาก ความรูส้ ึกทางกาย กนั ใหเ้ ห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจนโดยผปู้ ฏิบตั ิจะแยกแยะไดว้ า่ 360เวทนำหรือควำมรู้สึกทำงกำยทุกชนดิ ทุกชนิดทเ่ี กิดข้นึ ที่เกิดขึ้นเก่ียวข้องกับอำยตนะภำยในหรือทวำรน้ัน ๆ อย่างไร และเก่ียวข้องกับอายตนะ เก่ียวขอ้ งกบั ภายนอกน้ัน ๆ อย่างไรเขา้ ใจว่าตณั หาน้นั เกิดข้ึนโดยเกี่ยวขอ้ งกบั อำยตนะใดอำยตนะหนึ่งได้ อายตนะภายใน อย่างไร เกี่ยวขอ้ งกบั สัญญาเกี่ยวขอ้ งกบั สัญเจตนำและสังขำรอย่างไร 361รวมท้งั เขา้ ใจดว้ ยว่า หรือทวาร ตัณหำดับได้อย่างไรท้งั หมดน้ีเม่ือปฏิบตั ิไปถึงข้นั สูง ๆ ดงั ที่กล่าวมา เรา จะสามารถแยกแยะ เขา้ ใจดว้ ยวา่ ตณั หา ออกมาไดอ้ ย่างละเอียด แต่สาหรับการปฏิบตั ิในข้นั น้ีหรือในข้ันโสดำบัน ตาม ความจริงท่ี ดบั ไดอ้ ยา่ งไรเมอื่ ประสบแมจ้ ะเป็นความจริงท่ีลึกซ้ึง แต่ ยงั ไม่ลึกถึงข้นั ท่ีจะทาให้เป็นพระอรหันต์ไดก้ ารรู้วา่ เรา ปฏบิ ตั ไิ ปถงึ ข้นั สูง กาลงั มีความอยากหรือตณั หาเกิดข้ึน หรือมีความขดั เคืองหรือปฏิฆะเกิดข้ึน เพราะมีเวทนา ๆ บางอยา่ งเกิดข้ึน และมีความเขา้ ใจในความเป็นอนิจจงั ไปดว้ ย เทา่ น้ี เพยี งพอแลว้ ตารางที่ 4.10.7.2 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “ธรรมบรรยำยหลกั สูตรสติปัฏฐำน วันท่ี 7-2” ตาม แนวทางปฏิบตั ิทา่ นสัตยา นารายนั โกเอน็ กา้ จาแนกตามแนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั G7-2] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด G7-2-362“กาเย กายานุปสุสี วิหรติ ... เวทนาสุ เวทนานุปสฺสี วิหรติ ... จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ ... “สต”ิ กล่าวถงึ สตปิ ัฏ ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ อาตาปี สมฺปชาโน สติมา วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสส” เมื่อใด ฐาน 4 สัมปชญั ญะ คือการประจกั ษต์ อ่ ทรงอธิบายคาวา่ “สติ” กล่าวถึงสติปัฏฐำน 4 ทุกคร้ัง แสดงว่า สัมปชัญญะ คือการประจกั ษต์ ่อ
480 การเกดิ ดบั ของ กำรเกิดดับของเวทนำจะตอ้ งมีอยู่ดว้ ยเสมอ หากขาด สัมปชัญญะ เสียแลว้ สติจะเป็ นเพียงสติ เวทนาจะตอ้ งมอี ยู่ ธรรมดำของนกั กายกรรมไต่เส้นลวดเท่าน้นั เอง 363“อิติ อชฺฌตฺต วา ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ ดว้ ยเสมอ ... อตฺถิ ธมฺมาติ ... น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ” แลว้ ผปู้ ฏิบตั ิจะถึงสถานีต่าง ๆ เช่นที่เคยบรรยาย สติต้งั มน่ั อยสู่ จั ธรรม มาแลว้ สติต้ังม่ันอยู่ในสัจธรรม ไม่มีอะไรอ่ืน มีแต่ธรรมะ ไม่มีการยึดมนั่ ถือมนั่ ไม่มีอะไรที่จะ ไม่มอี ะไรอนื่ มี ยึดถืออีกแลว้ 364 ท้งั หมดต้องปฏิบัติเอง การอ่านพระสูตรไม่อาจจะทาให้เราเขา้ ใจได้อย่าง ธรรมะ ไม่มีการยดึ แทจ้ ริง ตอ้ งปฏิบตั ิเองจึงเขา้ ใจไดเ้ ม่ือเราปฏิบตั ิลึกลงไปยิง่ ข้นึ พระพุทธพจน์เหล่าน้ี จะกระจา่ ง มนั่ ถอื มนั่ ในใจเราเร่ือย ๆ และเมื่อบรรลุอรหตั ทุกส่ิงทกุ อยา่ ง จะกระจ่างแจง้ เพราะไดป้ ระจกั ษด์ ว้ ยตนเอง ตอ้ งปฏิบตั เิ องจึง จากการปฏิบตั ิ 365ผปู้ ฏิบตั ิบางคนเร่ิมตน้ ปฏบิ ัตดิ ้วยกำรเดินไปเดินมำ หรืออาจกล่าวคำซ้ำไปซ้ำ เขา้ ใจไดเ้ ม่ือปฏิบตั ิ มำในใจวา่ “ เดินหนอ” หรือ “ คนั หนอ” หรืออะไร ตาม การปฏิบตั ิดงั น้ีสามารถทาใหจ้ ิตต้งั มน่ั ลึกลงไปยง่ิ ข้นึ เป็นสมาธิได้ แมจ้ ะไม่มีปัญญำเกิดขึน้ ผทู้ ่ีมีความใคร่ทางกามารมณ์ อาจจะไปดูศพที่ป่ าชา้ หรือ พระพุทธพจนจ์ ะ ในสมยั ปัจจุบนั อาจไปดูการชาแหละศพท่ีโรงพยาบาลเพื่อให้จิตสมดุลข้ึนบ้าง แต่ไม่ว่าจะ กระจา่ งในใจเรื่อย เร่ิมตน้ การปฏิบตั ิดว้ ยวิธีใด 366ผปู้ ฏิบตั ิต้องตระหนักรู้เวทนำ กำรเกิดดับของเวทนำที่ร่ำงกำยตน ๆ ซ่ึงในข้นั น้ีอาจจะมีสัมปชัญญะอยู่ได้เพียงชั่ว 2-3 วินำที แลว้ ลืมมนั ไปเป็นเวลาหลาย ๆ นาที หรือหลายชวั่ โมง แต่ถา้ เฝ้าปฏิบตั ิต่อไป อาจจะลืมมนั ไปเพียงชวั่ ระยะเวลาส้ัน ๆ เท่าน้นั เอง ปฏิบตั ิดว้ ยการเดิน และเมื่อต้ังหน้ำปฏิบัติไปเร่ือย ๆ ท่ำนจะมีสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลำ ไมบ่ กพร่องเลยแมส้ ักขณะ ไปเดินมา หรืออาจ จิตเดียว ซ่ึงการท่ีจะปฏิบตั ิใหถ้ ึงข้นั น้นั อาจตอ้ งใชเ้ วลายาวนาน แต่หลงั จากน้ันแลว้ ท่านจะใช้ กล่าวคาซ้าไปซ้า เวลาอย่างมากท่ีสุดเพียงเจ็ดปี บรรลุธรรมได้ 367สุดทา้ ยกล่าววา่ “เอกายโน อย ภิกฺขเว มคฺโค มาทาใหจ้ ิตต้งั มนั่ สตฺตาน วิสุทฺธิยา โสกปริเทวาน สมติกฺกมาย ทุกฺขโทมนสฺสาน อตฺถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย เป็นสมาธิได้ แม้ นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิท จตฺตาโร สติปฏฺ ฐานาติ อิติ ยต วุตฺต อิทเมต ปฏิจฺจ วุตฺตนฺติ” ดว้ ย จะไม่มปี ัญญา เหตุน้ีแล จึงกล่าวว่า : “ นี้เป็ นหนทางเพียงทางเดียวเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ท้ังหลาย เพ่ือ เกิดข้ึน ความก้าวล่วงจากความเศร้าโศกคร่ําครวญ เพ่ือความดับทุกข์และโทมนัส เพ่ือก้าวเดินไปบน ตอ้ งตระหนกั รู้ เวทนาและการเกิด มรรคาแห่งสัจจะ เพอ่ื การทําพระนิพพานให้แจ้ง หนทางนี้คือสติปัฏฐาน 4” 368พระพุทธดารัส ดบั ของเวทนา ท้ังหมดในพระสูตรน้ีจะกระจ่ำงชัดแก่ใจของท่าน ต่อเม่ือท่ำนได้ปฏิบัติไปจนถึงจุดหมำย ร่างกายตน ปลำยทำงในข้นั น้ีอำจจะมีคำถำมเกดิ ขึน้ มากมาย และถึงแมว้ า่ ครูอำจำรย์อาจตอบคาถามท่านได้ โดยท่ีท่านอาจจะพอใจกับคาตอบเหล่าน้ัน ความสงสัยใด ๆ อาจหมดไป แต่แทจ้ ริงน้ันท่าน เป็นหนทางเพยี ง เพียงแค่ใช้จินตนำกำรในกำรทำควำมเข้ำใจเท่ำน้ันท่ำนไม่ได้ประจักษ์กับมันด้วยตนเอง 369จง ทางเดียวเพื่อความ ปฏิบัติ เพรำะคำตอบที่ท่ำนได้จำกกำรปฏิบัติของท่ำนเองเท่าน้นั จึงจะเป็นคาตอบที่แทจ้ ริงซ่ึง บริสุทธ์ิของสัตว์ จะทาให้ท่านหมดควำมสงสัย ทุกคร้ังที่มาเขา้ รับการฝึ กอบรม ท่านจะไดย้ ินแต่ธรรมบรรยาย ท้งั หลาย เพอ่ื ความ อย่างเดิมเสมอแต่กระน้ันท่านพบว่า ท่านได้รับควำมรู้ใหม่ ๆ ทุกคร้ังท่ีฟังและสำมำรถเข้ำใจ กา้ วลว่ งจากความ ธรรมะได้กระจ่ำงแจ้งขึน้ เพราะความเขา้ ใจท่ีแทจ้ ริงชดั เจนปราศจากความขอ้ งใจสงสัยใด ๆ เศรา้ โศกคร่าครวญ น้นั เกดิ ขึน้ ได้จำกประสบกำรณ์โดยตรงของตนเองเท่าน้นั เพอื่ ความดบั ทุกข์ และโทมนสั เพ่อื 370ต้งั แต่ก่อนสมยั พุทธกาลสมำธิหรือกำรทำจิตให้ต้ังมั่นแน่วแน่น้ันมีอยู่แล้วในประเทศอินเดีย กา้ วเดินไปบน พระบรมศาสดาเองไดเ้ สด็จไปศึกษากบั อาจารย์ 2 ท่านจนไดฌ้ ำน 7 และฌำน 8 แต่ในท่ีน้ีกลบั มรรคาแห่งสัจจะ เพื่อการทาพระ นิพพานใหแ้ จง้ หนทางสตปิ ัฏฐาน 4 กระจา่ งชดั แกใ่ จ ปฏิบตั ไิ ปมคี าถาม เกิดข้นึ ครูอาจารย์ ตอบคาถามพอใจ คาตอบ ความ สงสัยหมดไปแค่ ใชจ้ ินตนาการทา ความเขา้ ใจไม่ได้ ประจกั ษก์ บั ดว้ ย ตนเอง จงปฏบิ ตั ิ เพราะ คาตอบไดจ้ าก ปฏิบตั เิ ทา่ น้นั เป็น คาตอบแทจ้ ริงทา ให้ทา่ นหมดความ สงสยั หลกั กำร
481 สมาธิหรือการทา ทรงกล่าวถึง แต่เพียงฌาน 4 ข้ันเท่าน้ัน เพราะว่าในฌานท้ังหมดทรงศึกษามาน้ันไม่มี จิตให้ต้งั มนั่ แน่ว สัมปชัญญะอยู่ดว้ ยเลย 371 ซ่ึงทาให้ไม่สามารถลงไปถึงส่วนที่ลึกที่สุดของจิต และขจัดอนุสัย แน่อยู่แลว้ ฌาน กิเลสท่ีฝังอยู่ในระดับลึกได้ เพราะปราศจากสัมปชัญญะเสียแลว้ จะชาระกิเลสไดเ้ พียงแค่ส่วน ไมม่ ีสมั ปชญั ญะ พ้ืนผิวหรือท่ีอยลู่ ึกลงไปไม่มากนกั อนุสัยกิเลสท่ีทำให้เกิดชำติภพจึงยังคงอยู่ และเป็ นเหตุให้ อยดู่ ว้ ย ส่วนลกึ จิต ต้องวนเวียนอยู่ในสังสำรวัฏ แต่บดั น้ีเมื่อปฏิบตั ิถึงฌาน 4 ไดร้ ู้เห็นกำรเกิดดับคือ สัมปชัญญะ อนุสยั กิเลสฝังอยู่ ได้ต้ังแต่ในฌำน 3 372“เอกำยโน มคฺโค” เป็ นกฎธรรมชำติอันเป็ นสำกลเพราะเป็ นมรรคาที่ทุก ในระดบั ลึกได้ คนสำมำรถประจกั ษ์ได้ด้วยตนเอง จำกกำรปฏบิ ัติของตนเอง โดยมีเวทนำเป็ นเคร่ืองช่วยในกำร ปราศจาก ปฏิบัติ จนอยเู่ หนือเวทนาและหลุดพ้นจำกควำมทุกข์ได้ ไม่วา่ จะมีพระพุทธเจา้ อุบตั ิข้ึนหรือไม่ สมั ปชญั ญะชาระ กฏน้ีมีอยแู่ ลว้ กำรเกิดขนึ้ ของควำมทกุ ข์และกำรขจัดทุกข์ เป็ นกฎสำกล เหมือน ๆ กบั การท่ีกา๊ ซ กิเลสไดเ้ พยี งแค่ ไฮโดรเจน 2 ส่วนกบั กา๊ ซออกซิเจน 1 ส่วนมารวมกนั เขา้ ทาให้เกิดเป็นน้า 373เราตกอยใู่ นหว้ งลึก ส่วนพ้ืนผิว แห่งอวชิ ชาจะมีปฏิกริ ิยำตอบโต้กบั เวทนำด้วยตัณหำหรือปฏิฆะ ทำให้ควำมทุกข์เกดิ ขนึ้ คือกฎ อนุสยั กิเลสเกิด ไม่ใช่เป็นกฎเฉพาะของชาวฮินดูชาวพุทธ หรือชาวคริสต์ หากมีสติระลึกรู้ถึงส่ิงที่กำลังเกิดขึน้ ชาติภพยงั อยู่ และมีสัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์ จะไม่ทาการปรุงแต่งตอบโต้ แลว้ จะหลุดพน้ จากความทุกขไ์ ด้ เป็นเหตุตอ้ ง ความเขา้ ใจในระดบั เชาวน์ปัญญาอาจช่วยไดเ้ พียงแค่ใหค้ วามบนั ดาลใจ หรือให้แนวทางแต่ถา้ วนเวียน ไม่มีความเขา้ ใจแมใ้ นระดบั เชาวน์ปัญญา จะยงั จมอยู่ในอวิชชาและยึดติดอยู่กบั ความเชื่อหรือ สงั สารวฏั ขนบประเพณีต่าง ๆ บางคนอาจกล่าวว่าโลกน้ีแบน หรือกฎแห่งความโน้มถ่วงน้ันไม่มี และ เวทนาเป็ นเครื่อง ตลอดชีวิต อาจจะพร่าพูดเช่นน้ี แมก้ ระน้นั โลก ไม่อาจเปล่ียนเป็นแบน หรือกฎแห่งความโน้ม ปฏบิ ตั เิ ป็นกฎ ถ่วงไม่อาจจะเปล่ียนไป เพ่ือใหค้ วามเห็นของเขาถูกตอ้ งข้นึ มาได้ 374ถา้ เราเอามือแหย่เขา้ ไปใน ธรรมชาติอนั เป็น กองไฟ ไฟ จะไหมม้ ือของเราความจริงเช่นน้ี ประจกั ษไ์ ด้ หากไม่ตอ้ งการใหไ้ ฟไหมม้ ือ จะตอ้ ง สากลทุกคน เอามือออกห่างจากกองไฟ เช่นเดียวกนั กำรมีปฏิกิริยำตอบโต้เวทนำทำให้เกิดควำมทุกข์ ถ้ำเรำ ประจกั ษจ์ าก หยุดกำรปรุงแต่งตอบโต้และเพียงแต่เฝ้ำดูกำรเกิดดับของเวทนำเหล่ำน้ันอยู่เฉย ๆ การปฏิบตั ิ ปฏบิ ตั ิของตนเอง เช่นน้ันทำให้ควำมทุกข์ดับไปได้เองโดยธรรมชำติ เป็ นการดับไฟของตัณหาและปฏิฆะ อวชิ ชาจะมี เช่นเดียวกบั การท่ีน้าดบั ไฟไดต้ ามธรรมชาติ คือ “เอกำยโน มคฺโค” เป็นกฎ เป็นความจริง เป็น ปฏกิ ิริยาตอบโต้ ธรรมชาติสาหรับคนทกุ คน กบั เวทนาดว้ ย 375ความต้งั มน่ั ชอบ (สมฺมำสมำธิ) คือ การปฏิบตั ิสมาธิตามแนวฌาน 4 : “วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ ตณั หาทาให้ความ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ สวิตกฺก สวิจาร วิเวกช ปี ติสุข ... วิตกฺกวิจาราน วูปสมา อชฺฌตฺต สมฺปสาทน ทุกขเ์ กิดข้ึน เจตโสเอโกทิภาว อวิตกฺก อวิจาร สมาธิช ปี ติสุข ... ปี ติยา จ วิราคา อุเปกฺขโก จ วิหรติ สโต จ การมีปฏิกิริยาตอบ สมฺปชาโน สุขญฺจ กาเยน ปฏิสเวเทติ ยต อริยา อาจิกฺขนฺติ อุเปกฺขโก สติมา สุขาวิหารี ติ ... โตเ้ วทนาทาให้เกิด สุขสฺส จ ปหานา ทกุ ฺขสฺส จ ปหานา ปุพฺเพว โสมนสุสโทมนสุสาน อตฺถงฺคมา อทกุ ฺขมสุข อุเปกฺ ความทกุ ข์ ถา้ หยดุ ขาสติปาริสุทฺธิ์ ...” 376ในปฐมฌำนหรือฌานข้นั ที่หน่ึง ผูป้ ฏิบตั ิตดั ขาดจากกามท้งั หลาย (กำ ปรุงแต่งเพียงเฝา้ ดู เมห)ิ ตดั ขาดจากอกุศลธรรมท้งั หลาย บรรลุฌานอนั มีวติ กวิจาร (สวติ กกฺ สวจิ ำร) คือการที่จิตต้งั เกิดดบั เวทนาอยู่ มน่ั อยทู่ ี่อารมณ์กรรมฐานและมีสติจดจ่ออยู่กบั อารมณ์น้นั มีความวิเวก (วเิ วกช) มี ปี ติสุข คอื มี เฉย ๆ ความรู้สึกเอิบอ่ิมดื่มด่าใจ พร้อมท้งั ความสบายทางกายหรือสุขเวทนา และจิตต้งั มนั่ อยอู่ ยา่ งแน่ว แน่ น้ีคือปฐมฌำน 377วิตกและวิจารดบั ไป (วิตกฺกวจิ ำรำน วูปสมำ) ไมม่ ีความคดิ ใด ๆ หลงเหลือ วิธกี ำร ความต้งั มน่ั ชอบ (สมฺมา สมาธิ) คือ การปฏิบตั ิ สมาธิตาม แนวฌาน 4 ปฐมฌาน ขาด จากกาม ขาด จากอกุศล ธรรม การท่ี จิตต้งั มน่ั อยทู่ ่ี
482 อารมณ์ อยู่ มีแต่ความรู้สึกสุขทางกายและความผอ่ งใสในจิต คือฌานข้นั ท่ี 2 และในข้นั ที่ 3 ความเอิบ กรรมฐานและ อิ่มใจ (ปี ติ) จะหมดไปมี แต่ความสุขกายซ่ึงเกิดจากสมาธิ และในฌานข้นั สามจะมี สัมปชัญญะ มีสติจดจ่ออยู่ คือรู้ความจริงของการเกิดข้ึนดบั ไปเพ่ิมเขา้ ไป 378เมื่อปฏิบัติลึกลงไปในฌำนข้ันที่ 4 ความรู้สึก กบั อารมณ์ มี ท้งั สุขและทุกขจ์ ะไม่มีอีกแล้ว ไม่มีท้งั โสมนัส ความสุขใจและ โทมนัส ความทุกขใ์ จ เป็ น ความวิเวก มี ความรู้สึกไม่ทุกขไ์ ม่สุข มีแต่ความสงบ “อุเปกฺขำสติ ปำริสุทธ” (อุเบกขา สติ และการชาระจิต ความรู้สึกเอิบ ให้บริสุทธ์ิโดยสิ้นเชิง) ในฌานข้นั น้ีจะไม่มีการกล่าวถึงสัมปชญั ญะ เพราะฌำนข้ันที่ 4 จะมำ อมิ่ พร้อมกับสภำวะนิพพำนข้นั ท่ี 4 ของพระอรหนั ต์ และสัมปชัญญะ น่ีแหละคือสิ่งท่ีสมเด็จพระ ไม่มีความคดิ สัมมาสัมพุทธเจา้ ไดท้ รงมอบให้ เพื่อนำผู้ปฏิบัติให้หลุดพ้นจำกโลกแห่งนำมรูปและได้พบกับ ใด ๆ มแี ต่ สภำวะนิพพำน คือควำมจริงอันประเสริฐข้อที่ 4 379คำถำม ท่ีท่านอาจารย์กล่าวว่าให้เฝ้าสังเกต ความรู้สึกสุข ส่ิงที่เกิดขึน้ ในจิต แล้วเราควรจะทาอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึน้ ในจิตนั้น เช่น ความโกรธหรือว่า ทางกายและ ความเพ้อฝัน? คำตอบ การเฝ้าสังเกตความโกรธ ความกลวั ความใคร่ ความอวดดี หรือวา่ กิเลส ความผอ่ งใส ใด ๆ ท่ีเกิดข้ึนในจิตน้นั ไม่ไดห้ มายความวา่ ให้เราท่องอยใู่ นใจว่า โกรธหนอ หรือวา่ กลวั หนอ ในจิต คอื ฌาน หรืออะไรอย่างน้ัน แม้ว่าการทาเช่นน้ัน จะช่วยให้จิตมีสมำธิและเกิดควำมเข้ำใจได้บ้ำง แต่ ข้นั ท่ี 2 และ สัมปชัญญะจะขำดหำยไป สิ่งท่ีควรทาคือให้เพียง แต่รับรู้ว่ากาลงั มีอะไรเกิดข้ึนในจิต เช่น จิต ในข้นั ท่ี 3 กาลงั มีความโกรธ “สโทส วา สโทส จิตฺตนฺติ ปชานาติ” แลว้ ให้สังเกตดูเวทนำที่กาลงั ครอบงา ความเอิบอมิ่ อยู่ เฝ้ำสังเกตดูด้วยควำมเข้ำใจในกำรเกิดกำรดับของมนั เพราะเวทนำหรือควำมรู้สึกใด ๆ ที่ ใจ ฌานข้นั เกิดขึ้นในเวลำน้ัน ลว้ นแลว้ แต่เก่ียวขอ้ งกบั ความโกรธของเราท้งั สิ้น 380คำถำม กลาปะเกิดขึน้ สามจะมี จากท่ีไหน และดับไปเป็นอะไร? คำตอบ จกั รวาลน้ีเร่ิมตน้ ต้งั แต่เมื่อไร ? เกิดข้นึ มาไดอ้ ยา่ งไร ? สัมปชญั ญะ คาถามอย่างน้ีแหละท่ีทาให้เกิดปรัชญา อภิปรัชญาต่าง ๆ ซ่ึงคาตอบ เป็ นเพียงกำรคำดเดำเอำ คอื รู้ความจริง เท่าน้นั พระพุทธเจา้ ตรัสวา่ คาถามพวกน้ีเป็นอจินไตย คือส่ิงท่ีไม่พงึ คิด การรู้ในสิ่งเหล่าน้ีไม่มี ของการ ประโยชน์ เพราะไม่เก่ียวอะไรกบั ความทุกขส์ าเหตุท่ีทาใหเ้ กิดทุกข์ ความดบั ทุกข์ และหนทาง เกิดข้นึ ดบั ไป สู่ความดบั ทุกขเ์ ลย การสร้างเกิดข้ึนอย่ทู ุกขณะ ส่ิงต่าง ๆ ถูกสร้างข้ึนมา กลาปะถูกสร้างข้ึนมา เพิ่มเขา้ ไป มนั เกิดข้นึ แลว้ ดบั ไป เกิดดบั อยเู่ ช่นน้ี กำรไม่รู้ควำมเป็ นจริงของกำรเกิดดบั น้ีทำให้เกิดทกุ ข์เรา ปฏบิ ตั ลิ กึ ฌาน จึงน่าที่จะหาทางออกมาเสียจากความทุกข์ มากกว่าจะมานงั่ คิดว่าส่ิงต่าง ๆ เกิดข้ึนไดอ้ ย่างไร 4 อเุ บกขา สติ ชีวิตมนุษยน์ ้นั ส้ันมาก และมีงานใหญ่ที่จะตอ้ งทา คือการเปลี่ยนนิสัยความเคยชินของจิตเราใน รชาระจิต ระดบั ที่ลึกท่ีสุดเพ่ือให้บรรลุถึงความหลุดพน้ จงอย่ำเสียเวลำกับคำถำมทำงปรัชญำพวกน้ีเลย บริสุทธ์ิ ฌาน ขอใหต้ ้งั หนา้ ปฏิบตั ิไป แลว้ ความจริงท่ีไดพ้ บจากการปฏิบตั ิจะใหค้ าตอบแก่ท่านเอง 381คำถำม 4 พร้อมสภาวะ อะไรคือเหตุท่ีทาให้มีโลกของนามรูป ? คำตอบ อวิชชาสร้างสังขาร และสังขารทาใหอ้ วิชชา นิพพาน เพ่ิมพูนมากข้ึนเร่ือย ๆ ท้งั 2 ส่ิงน้ีต่าง สนบั สนุนซ่ึงกนั และกนั จกั รวาลท้งั หมด ถูกสร้างข้ึนดว้ ย รับรู้วา่ กาลงั มี อวิชชาและสังขารน้ีเอง ไมม่ ีอะไรอ่ืน 382คำถำม อวิชชาเร่ิมต้นมาอย่างไร ? ถ้าเร่ิมแรกมีแต่สัจ อะไรเกิดข้ึน ในจิต ให้ ธรรมความรัก ปัญญา และความรู้ อวิชชาย่อมไม่สามารถจะเกิดร่ วมกับสิ่งเหล่านีไ้ ด้ คำตอบ สงั เกตดู ถูกแลว้ ท่ีอวิชชาย่อมไม่สามารถจะเกิดร่วมกับสิ่งเหล่าน้ันได้ แต่กำรขจัดอวิชชำในขณะน้ี เวทนาท่ีกาลงั เพ่ือให้ความบริสุทธ์ิเหล่าน้ันเกิดข้ึนมาได้ มีความสาคญั มากกว่าท่ีจะมวั มานั่งคิดว่าอวิชชามี ครอบงาอยู่ เฝ้าสังเกตดู ดว้ ยความ เขา้ ใจในการ เกิดการดบั งานใหญ่ที่ จะตอ้ งทา คอื การเปลยี่ น นิสัยความเคย
483 ชินของจิตเรา กาเนิดมาอย่างไรเพราะมนั เป็นเพียงความคิดทางปรัชญา ซ่ึงจะไม่ช่วยอะไรท่านได้ 383คำถำม ในระดบั ที่ลึก พระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปเผยแผ่พระธรรมนอกประเทศอินเดียหรือไม่ เช่น ท่ีประเทศพม่า? ท่ีสุดเพ่อื ให้ คำตอบ ไม่มีหลกั ฐานปรากฏ เราทราบแต่เพียงว่าส่วนใหญ่แลว้ ทรงสอนอยู่แถบลุ่มแม่น้าคงคา บรรลถุ งึ ความ ยมุนา ในประเทศอินเดียตอนเหนือ 384คำถำม ขอถามด้วยความเคารพว่า เราจะกล่าวได้อย่างไร หลุดพน้ จง ว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาท่ีได้สูญหายไปในเมื่อพระองค์ได้รับการสอน อยา่ เสียเวลา ธรรมะจากพระพุทธเจ้าพระองค์แรกเม่ือครั้งท่ีทรงต้ังปณิธานท่ีจะเป็ นพระพุทธเจ้าต่อพระ กบั คาถามทาง พักตร์ พระพุทธเจ้าพระองค์แรกพระองค์นั้น ? คำตอบ มีผคู้ นจานวนมากท่ีเมื่อมีโอกำสได้อยู่ ปรัชญา เฉพำะพระพักตร์พระพุทธเจ้ำผูต้ รัสรู้ดีตรัสรู้ชอบ จะเกิดควำมบันดำลใจอย่ำงใหญ่หลวง มี ความปรารถนาช่วยมนุษยชาติตามรอยพระบาทพระพุทธเจา้ พระองค์ ไม่ตอ้ งการท่ีจะหลุดพน้ อวิชชาสร้าง ไปแต่เพียงผเู้ ดียว จึงต้ังควำมปรำรถนำที่จะตรัสรู้เองโดยชอบแล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตำมดว้ ย โดย สงั ขาร สังขาร กราบทูลพระพุทธเจา้ พระองคน์ ้นั ถึงความประสงคข์ องตน ซ่ึงพระพุทธเจา้ พระองคท์ รงสารวจ ทาใหอ้ วิชชา บุคคลด้วยพระญาณ หากทรงพบว่าบุคคลผูน้ ้ันได้บำเพ็ญบำรมีมำแล้วนับอสงไขยชำติ และ ทาใหม้ ีโลก สามารถที่จะบรรลุธรรมสาเร็จเป็นพระอรหนั ตห์ ากไดร้ ับประทานแนวทางการปฏิบตั ิวปิ ัสสนา นามรูป จากพระองค์ แมจ้ ะไดร้ ู้เช่นน้ัน บุคคลผูน้ ้นั ไม่ปรารถนาอรหัตตผล เพราะมุ่งพระโพธิญาณ แมว้ ่าจะต้องใช้เวลำในกำรสร้ำงบำรมีอีกนำนแสนนำน พระองค์จะไม่เพียงแต่อานวยพรให้ การขจดั เท่าน้นั หากยงั ทรงพยากรณ์ดว้ ยวา่ ตอ้ งใชเ้ วลาในการบาเพญ็ บารมีไปอีกนานเท่าใดจึงจะสาเร็จ อวชิ ชามี ดังปรารถนาเม่ือพระโคตมพุทธเจ้าทรงต้ังความปรารถนาในพุทธภูมิต่อพระทีปังกรน้ัน ความสาคญั พระองคไ์ ม่ไดร้ ับการสอนวิธีปฏิบตั ิ เพราะหากทรงรับการสอนเสีย แต่บดั น้ัน จะทรงบรรลุ เพื่อให้ความ ธรรมไดอ้ รหัตตผลทนั ที ในพระชาติสุดทา้ ยก่อนท่ีจะตรัสรู้น้นั เป็ นยุคที่มืดมากแมใ้ นคัมภีร์ บริ สุทธ์ ิเกิด เก่ำแก่ท่ีสุดของอินเดียคือคัมภีร์ฤคเวทจะมีการกล่าวถึงวิปัสสนาไวอ้ ย่างเลิศลอย แต่ เป็นเพียง ได้ บทสวดสรรเสริญวิปัสสนำเทา่ น้นั ผคู้ นต่ำงท่องบ่นคำสวดสรรเสริญวิปัสสนำเหลา่ น้นั แต่ไม่มี ใครรู้ว่ำวิปัสสนำเป็ นอย่ำงไรและวิธีกำรปฏิบัติเป็ นอย่ำงไร ดว้ ยพระบารมีท่ีไดท้ รงบาเพญ็ มา พระพุทธเจา้ อย่างมากมายในพระชาติก่อน ๆ ทาให้ทรงสามารถลงไปจนถึงส่วนลึกของจิตใจ และไดท้ รง ทรงสอนอยู่ คน้ พบวธิ ีการปฏิบตั ิน้ี แลว้ ตรัสวา่ “ ปพุ ฺเพ อนนฺสสุเตสุ ธมฺเมสุ จกฺข อุทปาทิ” ทรงมีธรรมจกั ษุ แถบลุ่มน้าคง คือดวงตาเห็นธรรมท่ีไม่ทรงเคยไดย้ นิ ไดฟ้ ังมาก่อน ภายหลงั ทรงเรียกวา่ “ ปุราโณ มคฺโค” ทาง คา ในประเทศ อนั เก่าแก่ท่ีไม่มีใครใช้และถูกลืม ซ่ึงทรงคน้ พบแลว้ นามาเผยแพร่ให้ผูอ้ ื่นไดท้ ราบ 385คำถำม อนิ เดียตอน เหนือ บคุ คลสามารถจะเลือกเกิดได้หรือไม่ ? หรือว่ามันถกู กาหนดไว้แล้วด้วยสังขารเก่า ๆ ? คำตอบ สังขารที่จะนา สังขำรที่จะนำเรำไปสู่ชีวิตใหม่ในอบายภูมิน้ันจะมีพลังแรงกล้ำมาก จนกระทงั่ ในขณะท่ีเรา เราไปสู่ชีวิต กาลงั จะตาย สังขารอย่างใดอย่างหน่ึงในประเภทน้ีจะปรากฏข้ึนมาในจิตสุดท้ำยและเกิดเป็ น ใหม่ พลงั แรง พลังสั่นสะเทือนท่ีจะเช่ือมโยงเขา้ กบั พลงั สั่นสะเทือนประเภทเดียวกนั ของภพใหม่ทาให้เกิด กลา้ ในจิต กระแสดึงดูดเราเขา้ ไปท่ีภพน้ัน ซ่ึงเท่ากบั เป็ นการฉุดเขา้ ไปสู่ห้วงแห่งความทุกข์ท่ีลึกย่ิงไป สุดทา้ ยเกิดเป็น กวา่ เดิม แต่ถา้ เราปฏิบัติวิปัสสนำได้อย่ำงถูกต้องถึงแมเ้ ราจะยงั มีสังขำรหนักเช่นน้นั อยู่ กระแส พลงั สั่นสะเทือนอันมีพลังสูงยงิ่ ของวิปัสสนาจะปรากฏข้ึนในจิตสุดทา้ ยของเราและเชื่อมโยงเข้ำกบั สน่ั สะเทอื น ภพใหม่ท่ีจะทาใหเ้ รามีโอกาสไดป้ ฏิบตั ิวิปัสสนาอีกแทนท่ีจะนาเราไปสู่ภพภูมิอนั ต่าชา้ ดงั น้นั เกิดกระแส ดึงดดู เเขา้ ไปที่ ภพ การไหล ต่อเน่ืองกนั ไป ของกระแส แห่งนามและ รูป สงั ขารเป็น ปัจจยั วญิ ญาณ สภาวะนิพพาน คอื ความตาย เป็นศลิ ปะ วปิ ัสสนาจะ
484 สอนใหห้ ยดุ จึงพอจะพูดไดว้ ่าเราอาจเลือกที่จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิได้ 386คำถำม ถ้า “ ฉัน” เป็นเพียงภาพ สร้างกิเลส และ ลวง ไม่มีตัวตนท่ีแท้จริง เหตุใดส่ิงที่ไม่มีตัวตนนีจ้ ึงไปเกิดใหม่ได้? คำตอบ ไม่มีอะไรเกิดใหม่ มชี ีวติ ทดี่ ีงาม แต่เป็ นกำรไหลต่อเนื่องกันไปของกระแสแห่งนำมและรูป “สงฺขารปจฺจยาวิญฺญาณ” เพราะ สังขำรเป็ นปัจจัย วิญญำณจึงมี เป็นอยา่ งน้ีอยู่ทุกขณะ และเมื่อตอนใกล้ตำย พลังของสังขำรที่ บคุ คลบรรลุ หนัก ๆ จะผลักดนั วิญญำณให้ไปเกดิ ในรูปใหม่ ร่ำงกำยใหม่ 387คำถำม ถ้ารางวลั สาหรับการได้ ธรรมเป็ นสภาวะ สภาวะนิพพานคือความตายทาไมเราจึงต้องฝึ กปฏิบัติเพ่ือที่จะตาย ? คำตอบ นิพพานไม่ใช่การ ที่พน้ จากโลก ทาลายลา้ ง แต่เป็นศิลปะแห่งการตายท่ีมหัศจรรยม์ าก และ เป็นศิลปะแห่งการดาเนินชีวิตดว้ ย แห่งนามรู ปเป็ น เพราะวิปัสสนำจะสอนให้หยุดสร้ำงกิเลส และมีชีวิตท่ีดีงำม สามารถเข้ำถึงสภำวะนิพพำนได้ สภาวะสูงสุดรู้ โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ในสภาวะเช่นน้นั แมว้ า่ ทวำรท้ัง 6 จะไม่ทำงำน จนดูเหมือนกบั ว่าไดต้ ายไป ไดเ้ มือ่ ประสบ แลว้ แต่แทจ้ ริงภายในตวั เราจะยนื อยอู่ ย่างเต็มที่ จงปฏิบัติเพื่อให้ได้ประจักษ์กับสภำวะน้นั แลว้ ดว้ ยตนเอง ท่านจะไดร้ ับคาตอบเองโดยอตั โนมตั ิ 388คำถำม เม่ือบุคคลบรรลธุ รรมได้เป็นพระอรหันต์แล้ว จะไม่กลับมาเกิดอีก ถ้าเช่นน้ันพระอรหันต์ตายแล้วไปไหน ? คำตอบ คาถามอยา่ งน้ีเป็นคาถาม ปฏบิ ตั ไิ ปเรื่อย ที่มีผูถ้ ามพระพุทธเจ้ามากท่ีสุดในสมยั พุทธกาล มีแต่พระอรหันต์เองเท่าน้ันท่ีรู้ว่าอะไรจะ ๆ ความรู้สึก เกิดข้ึนภายหลงั จากท่ีได้ดับขันธ์ ท้งั น้ีเพราะพระอรหันตย์ ่อมไดพ้ บกบั สภาวะน้นั ดว้ ยตนเอง ทางกามารมณ์ แลว้ เม่ือตอนที่ไดอ้ รหัตตผลคือได้ประจักษ์นิพพำนข้นั ท่ี 4 ในขณะที่ยงั มีชีวิตอยู่ ซ่ึงทาใหไ้ ดร้ ู้ ลดนอ้ ย และ ว่าสภาวะน้ันเป็ นสภำวะสูงสุด และจะเป็ นสภาวะเดียวกับที่จะไดพ้ บเมื่อส้ินชีวิตไป สภาวะ หมดไป เช่นน้ีไม่อาจจะอธิบายไดเ้ พราะเป็ นสภำวะที่พ้นจำกโลกแห่งนำมรูป พน้ จากโลกยภูมิ ซ่ึงจะ สามารถรู้ได้ ต่อเมื่อได้ประสบด้วยตนเอง และเราจะประสบกับสภาวะน้ีได้ ด้วยการปฏิบตั ิ การสร้างบารมี เท่าน้นั และเมื่อไดพ้ บกบั สภาวะน้ันแลว้ เราจะรู้เองวา่ พระอรหันตต์ ายแลว้ ไปไหน 389คำถำม สาคญั ทส่ี ุด คนที่แต่งงานแล้วถ้า บรรลุธรรมเป็ นพระอรหันต์จะสามารถมีบุตรได้หรือไม่? คำตอบ เม่ือ ลาดบั ก่อนหลงั ปฏิบัติไปเร่ือย ๆ ควำมรู้สึกทำงกำมำรมณ์จะลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ และหมดไปในท่ีสุดแม้ ไม่มี กระน้ันท่าน จะยงั รู้สึกเป็ นสุขและพอใจ ไม่มีปัญหาเร่ืองจะมีบุตรหรือไม่มี อย่าวิตกไปเลย ความสาคญั ขอให้ปฏิบัติถึงข้นั น้นั ก่อน แลว้ ขอ้ สงสัยท้งั หลาย จะไดร้ ับคาตอบเอง 390คำถำม บารมีท้ัง 10 นั้นมีลาดับในการทาก่อนหลังอย่างไร? คำตอบ กำรสร้ำงบำรมีเป็ นสิ่งสาคัญท่ีสุด ลำดับ การปฏบิ ตั ิ ก่อนหลงั ของบารมีไม่มคี วำมสำคัญอะไร 391คำถำม ในปัจจุบันนีม้ ีการปฏิบตั ิวิปัสสนากันอย่าง วิปัสสนายงั ไม่ แพร่ หลาย อยากทราบว่ามีพระโสดาบัน พระอนาคามี และพระอรหันต์บ้างหรือไม่? คำตอบ แพร่หลาย การปฏิบตั ิวิปัสสนายงั ไม่เรียกว่าแพร่หลาย เป็นเพียงแค่หยดน้าในมหาสมุทรเท่าน้นั เอง คนใน ปฏบิ ตั ิกนั อยแู่ ค่ โลกมีเป็นพนั ลา้ น มีสักกี่คนทไ่ี ด้ปฏิบัติ ? และคนท่ีปฏิบตั ิ ปฏิบัติกันอยู่แค่ข้นั อนุบำลเทา่ น้นั ถึง ข้นั อนุบาล กระน้ัน มีผูท้ ่ีสามารถประจกั ษ์ในพระนิพพานไดเ้ หมือนกนั แต่จานวนยงั น้อยมาก 392คำถำม กาลงั เดินอยบู่ น คาถามนีไ้ ม่ได้มีเจตนาท่ีจะลบหลู่แต่อย่างใดเพียง แต่อยากทราบว่าท่านอาจารย์เองได้บรรลุ หนทางทจ่ี ะ ธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วหรือยงั ? คำตอบ ขา้ พเจา้ ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่สิ่งที่ขา้ พเจา้ รู้แน่อยู่ นาไปสู่ความ อย่างหน่ึง คือว่า ขา้ พเจา้ กำลังเดินอยู่บนหนทำงที่จะนำไปสู่ควำมเป็ นอรหันต์ และเพราะเหตทุ ี่ เป็นอรหนั ต์ ขา้ พเจา้ ไดเ้ ดินบนหนทางน้ีมาเป็นระยะทางที่ยาวไกลกว่าท่านท้งั หลาย อยา่ งนอ้ ย สองสามกา้ ว เพ่อื ไปให้ถึง จดุ หมาย ปลายทาง เวทนาเป็ นมูล ฐานท่สี าคญั ย่งิ ของการปฏบิ ตั ิ ในวิธี การ ปฏบิ ตั วิ ธิ ีน้ีเนน้ ความสาคญั ท่ี เวทนา การเฝา้ สังเกตดู ความจริง ภายในร่างกาย ของตนเอง การ สวดแตล่ ะคา ตอ้ งมีสตริ ู้ เวทนา พร้อม ท้งั รู้อนิจจงั
485 และ ขา้ พเจา้ จึงสามารถมาสอนท่านได้ ขอให้ท่ำนจงเดินก้ำวหน้ำต่อไปบนหนทำงนี้ เพ่ือไปให้ถึง สัมปชญั ญะ จุดหมำยปลำยทำงเร่ืองน้ีเป็นเร่ืองที่สาคญั กว่าการท่ีจะมานงั่ ตรวจสอบครูของท่าน ! 393คำถำม ชดั เจน สร้าง อาจารย์ของท่านเลดี ซายาดอว์คือใคร ? และที่ท่านอาจารย์พูดเสมอว่า เวทนาเป็ นมูลฐานที่ กระแส สัน่ สะเทือน สําคัญยิง่ ของการปฏิบัตใิ นวิธีนี้ ถ้าเช่นนัน้ เรามีช่ือเรียกการปฏิบัติวิธีนีว้ ่ากระไร? คำตอบ ไม่ได้ เตม็ พลงั ธรรมะ มีการบนั ทึกประวตั ิไวท้ ่ีไหนเลย ท่านเลดีซายาดอว์กล่าวไว้ แต่เพียงว่าอาจารยข์ องท่านเป็ น จะกลายเป็ น พระภิกษุอยู่ท่ีเมืองมณั ฑเลย์ แมเ้ ราจะไม่ทราบช่ือของท่านแต่เรา ไดร้ ู้วา่ วิธีกำรปฏิบัติวิธีนที้ ี่ให้ ส่วนหน่ึงของ ควำมสำคัญแก่เวทนำน้ัน เป็ นวิธีกำรปฏิบัติที่มีมำแต่ด้ังเดิมก่อนสมยั ท่านเลดี ซายาดอว์ ศิษย์ การปฏบิ ตั ิ ของท่านเลดี ซายาดอวห์ ลายท่านไดน้ าเอาวิธีการปฏิบตั ิน้ีไปเผยแพร่ต่อ ในจานวนน้ัน มีท่าน เนื่องจาก ชายาเท็ต ผูซ้ ่ึงมีลูกศิษยม์ าเรียนการปฏิบตั ิจากท่านเป็ นจานวนมาก และหน่ึงในจานวนน้ันคือ สัมปชญั ญะมี ท่านอาจารย์ อูบาข่ิน ลูกศิษยข์ องท่านอาจารย์อูบาข้ึนคนหน่ึง คือขา้ พเจา้ ซ่ึงสอนโดยเน้น อยตู่ ลอดเวลา ความสาคญั ของเวทนาในการปฏิบตั ิเช่นกนั สรุปคือกำรปฏบิ ัติวธิ ีนี้เน้นควำมสำคัญท่ีเวทนำ 394 วปิ ัสสนาพา คำถำม แล้วเร่ืองการสวดมนต์ ... คำตอบ การสวดมนตเ์ ป็นหนา้ ท่ีของอาจารยผ์ สู้ อน เพ่ือให้เกิด ไปสู่ความจริง พลังที่ดีงำม และเพื่อป้องกันไม่ให้ความไม่ดีงามท้งั หลายมีโอกาสแทรกซึมเขา้ มารบกวนผู้ อนั สูงสุดคือ ปฏิบตั ิ หนา้ ที่ของผปู้ ฏิบตั ิคอื ต้งั หนา้ ปฏิบตั ิไป โดยกำรเฝ้ำสังเกตดคู วำมจริงภำยในร่ำงกำยของ ความจริงโดย ตนเอง น่ีคอื เหตุผลท่ีผปู้ ฏิบตั ิจะไม่ไดร้ ับการสอนใหส้ วดมนต์ ผปู้ ฏิบตั ิบางคนท่ีปฏิบตั ิไปไดถ้ ึง สภาวะ ข้นั ที่สูงพอสมควรแลว้ เทา่ น้นั จึงจะไดร้ ับการสอน เพราะในกำรสวดแต่ละคำผู้สวดมนต์จะต้อง มีสติรู้เวทนำ พร้อมท้ังรู้อนิจจังและสัมปชัญญะอย่ำงชัดเจน จึงจะเป็ นกำรสร้ำงกระแส ปฏิบตั ไิ ป จะ เขา้ ใจไดเ้ องว่า ส่ันสะเทือนท่ีเต็มไปด้วยพลังของธรรมะ แล้วกำรสวดมนต์ จะกลำยเป็ นส่วนหน่ึงของกำร พระพทุ ธเจา้ ปฏบิ ตั ิ เนื่องจำกสัมปชัญญะมอี ยู่ตลอดเวลำ หาไมแ่ ลว้ การสวดมนต์ จะกลายเป็นเพียงพิธีกรรม ทรงหมายความ อย่างหน่ึงเท่าน้ันเอง 395คำถำม ถ้าไม่มีอัตตาหรือตัวตนแล้วส่วนใดของสัตว์คือผู้ท่ีให้เมตตา ว่ากระไร หรือรับเมตตา ? (เสียงหวั เราะ) คำตอบ วิปัสสนำจะพำไปสู่ควำมจริงอันสูงสุดคือควำมจริงโดย ตอ้ งไปดูคา สภำวะ พระพุทธเจา้ ทรงตอ้ งการให้มีสติรู้ท้งั ความจริงโดยสมมติและความจริงโดยสภาวะ สอนที่แทจ้ ริง ตวั อยา่ งเช่น กาแพงตรงน้ีและศีรษะของขา้ พเจา้ ในความจริงโดยสภาวะหรือความจริงอนั สูงสุด ของ ล้วนเป็ นเพียงความสั่นสะเทือน แต่ในความจริงโดยสมมติน้ันท้งั สองเป็ นกลุ่มก้อนทึบ ถา้ พระพุทธเจา้ ขา้ พเจา้ เอาศีรษะโขกไปที่กาแพง ศีรษะของขา้ พเจา้ จะแตก ? ในความจริงโดยสภาวะน้นั สรรพ โดยคน้ หาเอา สัตวท์ ้งั หลายลว้ นไม่มีตวั ตน แต่เมื่อเราเริ่มการปฏิบตั ิภาวนา เราไดท้ ากุศลธรรมให้เกิดข้ึน โดย จากพระพุทธ ละเวน้ การกระทาอนั ไม่เป็ นกุศล เช่น ความโกรธ ความเกลียด ความไม่พอใจ ความมุ่งร้าย พจนใ์ น เพราะมนั เป็นการทาร้ายตวั เอง แต่การสร้างความเมตตา ความรัก ความกรุณา ความปรารถนาดี พระไตรปิ ฎก จะทาให้จิตของเราดีข้ึน ดีข้ึน และจะนาเราไปสู่จุดหมายปลายทาง 396คำถำม ดูเหมือนว่าการ อธิบายความในพระสูตรของท่านอาจารย์จะไม่ได้เป็นการแปลตรงไปตามตัวหนังสือ ท่านรู้ได้ เวทนาหมาย อย่างไรว่าการตีความของท่านถูกต้องตามพระพุทธพจน์ ? คำตอบ ภำษำที่พระพุทธเจ้ำทรงใช้ เฉพาะ น้นั มอี ำยถุ งึ 25 ศตวรรษแล้ว ความหมายจึงเปลี่ยนไปดว้ ย และถึงแมว้ า่ ความหมายจะไม่เปลี่ยน ความรู้สึกทาง แต่อาจจะไม่เขา้ ใจว่าพระพุทธวจนะหมายความว่าอย่างไร เพราะทรงกล่าวจากประสบการณ์ ใจ เป็นส่วน หน่ึงนามขนั ธ์ ส่วนประกอบ นามหรือจิต เวทนานุปัสส นา ควร หมายถึง เวทนาทางจิต สุขและทกุ ข์ ฐานะเป็ น เวทนาทาง
486 กาย โสมนสั ของพระองคเ์ อง ซ่ึงถา้ เรายงั ไปไม่ถึงข้นั ทีจ่ ะมีประสบกำรณ์อย่ำงเดียวกับพระองค์ ยอ่ มไมอ่ าจ โทมนสั ฐานะ เป็ นเวทนา ท่ีจะเขา้ ใจพระพุทธดารัสน้ัน ๆ ไดน้ อกจากน้ียังมีบำงคนท่ีแปลควำมในพระธรรมเทศนำของ ทางใจ พระพุทธเจ้ำโดยไม่เคยปฏิบัติเลย มี เราไม่ตอ้ งการที่จะโตเ้ ถียงหรือกล่าวโทษการตีความของ ผใู้ ด เมื่อท่ำนปฏบิ ตั ไิ ป ท่ำน จะเข้ำใจได้เองวา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงหมายความวา่ กระไรสาหรับเวลา สมั ปชญั ญะ คอื ความ น้ีทา่ นจะตอ้ งยอมรับในส่ิงที่ท่านกาลงั ประสบอยู่ 397อรรถกถาเขียนข้นึ เพ่ืออธิบำยควำมในพระ เขา้ ใจดว้ ย ธรรมเทศนาของพระพุทธองคเ์ ม่ือประมาณ 1,000 ถึง 1,500 ปี หลงั พุทธกาลไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ กนั ปัญญาท่ี ถูกตอ้ ง มา วิธีปฏิบัติวิปัสสนำอย่ำงบริสุทธ์ิถูกต้องน้ันไดห้ มดสิ้นไปจากประเทศอินเดียเมื่อประมาณ สมบูรณ์ รู้สึก 500 ปี หลงั พุทธกาลแลว้ แมว้ า่ จะมีอรรถกถาท่ีเขียนข้ึนในระยะ 500 ปี น้นั แตอ่ รรถกถาเหล่าน้นั ว่าเวทนากาลงั ไดส้ ูญหายไปหมด ท่ียงั เหลืออยู่น้นั เป็นฉบบั ภาษาสิงหล ซ่ึงมีพระอรรถกถาจารยจ์ ากประเทศ เกิดข้นึ ต้งั อยู่ อินเดียไปแปลกลบั มาเป็นภาษาบาลี โดยท่านไดต้ ีความตามความเขา้ ใจของท่านเองเช่นเดียวกนั และดบั ไป อรรถกถาดงั กล่าวเป็นส่ิงที่วิเศษมาก เพราะไดช้ ่วยคลายความสงสัยไม่เขา้ ใจในคาสอนหลาย ๆ แห่ง เราได้รู้ควำมหมำยของคำต่ำง ๆ และคำที่เรำเข้ำใจไม่ชัดเจน เพราะพระอรรถกถาจารย์ วิธีการปฏบิ ตั ิ ท่านไดใ้ หค้ าท่ีมีความหมายเหมือน ๆ กนั ซ่ึงใชใ้ นสมยั น้ันไวห้ ลาย ๆ คา นอกจากน้ีอรรถกถา อาศยั พระพทุ ธ เหล่าน้ันยงั ทาให้เราไดท้ ราบถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมทางการปกครอง ทางการศึกษา พจน์เป็ นหลกั ทางวฒั นธรรมทางศาสนา และทางปรัชญาในประเทศอินเดียสมยั น้นั แตก่ ระน้นั ตามเมื่อใดที่มี แตกต่างเกิดข้นึ ความเห็นไม่สอดคลอ้ งกนั เกิดข้ึน เช่น ประสบการณ์ในการปฏิบตั ิของเราเป็นอยา่ งหน่ึงและท่ี ระหวา่ ง อธิบายอยใู่ นคมั ภีร์อรรถกถาเป็นอีกอยา่ งหน่ึง ต้องไปดูคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้ำ โดย ประสบการณ์ท่ี คน้ หาเอาจากพระพุทธพจน์ในพระไตรปิ ฎก และหากเราไดพ้ บวา่ พระพุทธองคไ์ ดท้ รงอธิบาย ไดป้ ฏิบตั ิกบั ไวอ้ ย่างชดั เจนแลว้ เราย่อมถือเอาตามพระพุทธพจน์น้นั โดยไม่ไปกล่าวโทษเพื่อแกไ้ ขอรรถ วธิ ีการอ่ืน ๆ กถา แต่อย่างใด 398ตวั อย่างเช่นคาว่า เวทนา ในบางแห่ง มีผูก้ ล่าวว่า เวทนา น้นั หมายเฉพาะ คน้ หาคาตอบ ความรู้สึกทางใจซ่ึ ง ถูกตอ้ งเหมือนกนั เพราะเวทนาน้ันเป็ นส่วนหน่ึงของนามขนั ธ์ ในเม่ือ จาก เวทนาขนั ธ์เป็นส่วนประกอบของนามหรือจิต เม่ือเราปฏิบตั ิ เวทนานุปัสสนา เรา ควรหมายถึง พระไตรปิ ฎก เวทนาทางจิตดว้ ย แต่ถา้ เราไดศ้ ึกษาพระพุทธพจน์อยา่ งลึกซ้ึงแลว้ เราจะพบวา่ พระพุทธองคไ์ ด้ ซ่ึงเป็ นพระ ทรงกล่าวถึงสุขและทกุ ขใ์ นฐานะที่เป็นเวทนาทางกาย และโสมนสั กบั โทมนสั ในฐานะเวทนา พทุ ธพจน์ โดยตรง ทางใจ เช่น ในสติปัฏฐานสูตร เป็ นตน้ 399คาว่า สัมปชัญญะ เป็ นคำทำให้เกิดควำมสับสนมำก ศกึ ษาพระ เช่นกัน คาแปลในภาษาอังกฤษบางแห่งแปลว่า“ ควำมเข้ำใจชัดเจน” คาแปลเช่นน้ีทาให้ พทุ ธพจน์ สัมปชญั ญะมีความหมายเหมือนกบั สติ การมีเพียงสติรู้น้นั สาหรับข้นั เริ่มต้น นับว่าดีพอแล้ว ท้งั หมดโดย เช่น รู้สึกว่าคนั แลว้ กาหนดวา่ คนั หนอ คนั หนอ แต่ถา้ ไม่มีความเขา้ ใจในความเป็นอนิจจงั ของ ใชเ้ คร่ืองมอื และ มนั จะไม่เรียกว่ามีสัมปชญั ญะเพราะแทจ้ ริงน้ัน สัมปชัญญะ คือ ควำมเข้ำใจด้วยปัญญำท่ี เทคโนโลยี ถูกต้องสมบูรณ์ พระพุทธองคไ์ ดท้ รงให้ความหมายของสมั ปชญั ญะไวว้ ่า สัมปชัญญะ คือ “วิทิ สมยั ใหม่ ตา เวทนาอุปฺปชชนฺติ วิทิตา อปุ ฎฺ จหนฺติ วิทิตา อพฺภตฺถ คจฺฉนฺติ” เรารู้สึกวา่ เวทนากาลงั เกิดข้ึน ต้งั อยู่ และดบั ไป 400เช่นเดียวกบั คาวา่ สติ ปริมุข ซ่ึงมกั จะแปลวา่ “ ต้งั สติอยเู่ ฉพาะหนา้ ” คาแปล สิ่งใดท่ีขา้ พเจา้ น้ีทาให้เกิดความสับสนเพราะผูป้ ฏิบตั ิไปจินตนาการเอาว่า สติน้ันต้งั อยู่ขา้ งหน้าคือภายนอก ประสบสิ่งใดที่ ร่างกายแลว้ วิธีการปฏิบตั ิ กำเย กำยำนุปสฺสี เวทนำสุ เวทนำนุปสฺสี การสังเกตความจริงในกาย เขา้ ใจจากพระ พทุ ธพจน์ คอื ส่ิงทพี่ ูด และ ส่ิงที่พูด เป็นสิ่ง เดียวกบั ทีค่ รู อาจารยส์ อน ครูอาจารยท์ ่ี ปฏบิ ตั ไิ ปถงึ ข้นั สูง ๆ หลายท่าน
487 ลว้ นแต่มี ในเวทนา จะผิดไปหมด สาหรับวิธีกำรปฏิบตั ิของเราน้นั เราอำศัยพระพุทธพจน์เป็ นหลัก หาก ประสบการณ์ มีความแตกต่างเกิดข้ึนระหว่างประสบการณ์ที่ไดจ้ ากการปฏิบตั ิของเรากบั ความเช่ือในวิธีการ อยา่ งเดียวกนั อ่ืน ๆ หรือแมแ้ ต่กบั อรรถกถาเรา จะไปคน้ หาคาตอบจากพระไตรปิ ฎก ซ่ึงเป็ นพระพุทธพจน์ ส่ิงที่เราสอนกนั โดยตรง 401สถำบันวิปัสสนำวิจัยไดต้ ้งั ข้ึนเพ่ือท่ีจะศึกษำพระพุทธพจน์ท้ังหมดโดยใช้เคร่ืองมือ อยนู่ ้ีถูกตอ้ ง และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์เพื่อสืบคน้ ดูว่าคาน้ัน ๆ ทรงใช้ในความหมายว่า ตามท่ี กระไร และคอมพิวเตอร์ จะบอกว่าคา ๆ น้ีมีอยู่ท่ีใดบา้ งในพระไตรปิ ฎกซ่ึงเป็ นคมั ภีร์ท่ีบรรจุ พระพุทธเจา้ ทรง พระพุทธพจน์เล่มใหญ่จานวน 40-50 เล่ม โดยแต่ละเล่มมีความหนาประมาณ 300 ถึง 400 หนา้ สอน ให้ทา่ น จึงเป็ นเรื่องยากท่ีจะมีผูใ้ ดสามารถคน้ หาว่า มีคาว่า เวทนา อยู่ท่ีใดบา้ งและพระพุทธเจา้ ทรง ปฏบิ ตั มิ ากข้ึน กล่าวถึงเวทนาว่าอย่างไรบา้ ง เวลาน้ีคอมพิวเตอร์สามารถช่วยเราได้ และเรา สามารถรู้แลว้ ว่า เป็ นทางเดียวทา พระพุทธเจ้าทรงกล่าวถึงเวทนาว่าอย่างไร กล่าวถึง สมฺปชา ในว่าอย่างไร แม้จะยงั มีผูท้ ่ีมี ให้หายสงสัย ความเห็นแตกต่างออกไป เป็นเรื่องท่ีช่วยไม่ได้ ท้งั น้ีไม่ไดห้ มายความวา่ เราจะถือว่าเราถูกตอ้ ง ถา้ วิธีการปฏิบตั ิ แต่ผูเ้ ดียว หาไม่ เราจะไม่พูดว่า “อิท สจฺจ” คาพูดของขา้ พเจา้ เท่าน้ันคือความจริง เปล่าเลย ไม่ถกู กบั จริตไม่ ไม่ใช่เช่นน้นั เลย ขา้ พเจา้ ไม่มีความยดึ ติดใด ๆ 402ในสิ่งที่ขา้ พเจา้ กล่าวออกไป ขา้ พเจา้ พูดจาก เป็นเหตุผล หนั ประสบการณ์โดยตรงของขา้ พเจา้ ส่ิงใดที่ข้ำพเจ้ำประสบส่ิงใดท่ีข้ำพเจ้ำเข้ำใจจำกพระพุทธ ไปปฏิบตั ิวธิ ีอ่นื พจน์ สิ่งน้นั คือส่ิงท่ีขา้ พเจา้ พูด และสิ่งท่ีขา้ พเจา้ พูด เป็ นส่ิงเดียวกับท่ีครูอำจำรย์ของข้ำพเจ้ำ เหมาะสม และ สอน 403ซ่ึงในบรรดาครูอาจารยส์ ายน้ีของขา้ พเจา้ มีท่ำนที่ปฏิบัติไปถงึ ข้ันสูง ๆ หลายท่าน และ จงปฏิบตั ิไปให้ ท่านเหล่าน้นั แต่มปี ระสบกำรณ์อย่ำงเดียวกนั และ ยงั มีผคู้ นอีกเป็นจานวนหม่ืนแสนคนทว่ั โลก ถงึ จุดหมาย ท่ีไดม้ ีประสบการณ์แบบเดียวกนั ดว้ ย 404ขา้ พเจา้ จึงมีความเช่ือมน่ั วา่ ส่ิงที่เรำสอนกันอยู่นีถ้ ูกต้อง สูงสุด ตำมที่พระพุทธเจ้ำทรงสอน ถา้ ทา่ นยงั มีความสงสยั อยู่ ขา้ พเจา้ ขอแนะนำให้ท่ำนปฏบิ ัติมำกขึน้ ขอให้ปฏิบตั ิให้ เพรำะจะเป็ นทำงเดียวท่ีทำให้ท่ำนหำยสงสัยได้ 405แต่ถ้ำวิธีกำรปฏิบัตินีไ้ ม่ถูกกับจริตของท่ำน ลกึ ลงไป ลกึ ลง ไม่เป็ นเหตุเป็ นผลตำมควำมคิดของท่าน จงเลิกการปฏิบตั ิวิธีน้ีเสีย หันไปปฏิบัติวิธีอื่นท่ี ไป แลว้ จะไดพ้ บ เหมำะสมกับท่ำน และจงปฏิบัติไปให้ถึงจุดหมำยสูงสุด อยา่ ไดเ้ อาวิธีการต่าง ๆ มาผสมปนเป คาตอบในขอ้ กนั และอย่าไดเ้ ที่ยวไปลองปฏิบตั ิวิธีโน้นบา้ งวิธีน้ีบา้ ง 406 แต่ถา้ ท่านเห็นว่าวิธีการปฏิบตั ิที่น่ีมี สงสยั ท้งั หมด ผลดีต่อท่าน ขอให้ปฏิบัติต่อไปปฏิบัติให้ลึกลงไป ลึกลงไป แลว้ ท่าน จะได้พบคำตอบในข้อ ศกึ ษาภาษาบาลี สงสัยท้ังหมดของท่าน 407สักวนั หน่ึงเมื่อท่านปฏิบตั ิไปไดถ้ ึงข้นั หน่ึงแลว้ และมีโอกำสได้ศึกษำ พอเขา้ ใจ อ่าน ภำษำบำลีพอเข้ำใจ เมื่อได้อ่ำนพระพุทธพจน์ ทุกสิ่งทุกอย่ำง จะกระจ่ำงชัดสำหรับท่ำน รำวกบั พระพุทธพจน์ ทกุ ส่ิงทุกอยา่ ง พระพุทธเจ้ำได้ตรัสสอนท่ำนโดยตรง ทุกส่ิงทุกอย่ำงจะกระจ่ำงชัดด้วยประสบกำรณ์ตรงของ กระจ่างชดั ราว ตนเองเทา่ น้นั ไม่ใช่จากการโตเ้ ถียงอภิปราย หรือการขบคิดพิจารณาโดยไมจ่ าเป็น กบั พระพทุ ธเจา้ 408ท่ า น ม า เ ข้า ป ฏิ บัติ ใ น ห ลัก สู ต ร ส ติ ปั ฏ ฐ า น ไ ม่ ใ ช่ เ พี ย ง เ พ่ื อ ม า ฟั ง พ ร ะ ธ ร ร ม เ ท ศ น า ข อ ง ไดต้ รสั สอน พระพุทธเจา้ และฟังคาอธิบายของอาจารยค์ นน้ี แต่เพื่อท่ีจะได้ประจักษ์กับควำมจริงด้วยตัว โดยตรง ดว้ ย ของท่ำนเอง ท่านไดเ้ ขา้ ปฏิบตั ิหลกั สูตร 10 วนั มาแลว้ ไมต่ ่ากวา่ 3 คร้ัง ทา่ นจึงไดม้ ีโอกาสมาเขา้ ประสบการณ์ ปฏิบตั ิในหลกั สูตรน้ี 409ขอท่ำนจงต้ังหน้ำปฏิบัติให้ลึกย่ิงขึน้ ปฏิบัติให้ลึกยิ่งขึน้ 410จนกระทง่ั ตรงของตนเอง สามารถเขา้ ใจพระพุทธพจนไ์ ดอ้ ยา่ งแจม่ แจง้ ดว้ ยผลจากการปฏิบตั ิของทา่ นเอง 411จงปลดปล่อย ผล ไดป้ ระจกั ษ์ กบั ความจริง ดว้ ยตวั ของ ทา่ นเอง จงต้งั หนา้ ปฏิบตั ิใหล้ ึก
488 ยง่ิ ข้นึ ปฏิบตั ิ ตัวของท่ำนให้เป็ นอิสระจำกกำรปรุงแต่งท้ังมวล และไดป้ ระจกั ษ์กบั ความหลุดพน้ อนั แทจ้ ริง ให้ลกึ ยิง่ ข้ึน ขอใหท้ กุ ทา่ นจงกา้ วหนา้ ไปจนถึงจุดหมายปลายทาง คอื สภาวะนิพพานอนั สมบรู ณ์ 412อำนสิ งส์ เขา้ ใจพระ ในกำรเจริญสติปัฏฐำน ผปู้ ฏิบตั ิที่ไดเ้ จริญสติปัฏฐานตามน้ีจะไดบ้ รรลุผลอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงใน พุทธพจน์แจ่ม สองอย่างคือ : “ทิฏฺ เฐว ธมฺเม อญฺญา สติ วา อุปาทิเสเส อนาคามิตา” เขา้ ใจความเป็นจริงอยา่ งรู้ แจ้งแทงตลอด ทิฏฺ เฐว ธมฺเมอญฺญำ น่ันคือ ได้อรหัตตผล หรือได้ผลในข้นั ก่อนท่ีจะบรรลุ แจง้ ดว้ ยผล อรหันตห์ น่ึงข้นั คืออนาคามีภายใน 7 ปี 413 มีผูถ้ ามว่าได้ปฏิบัติมำนำนกว่ำ 7 ปี เสียดว้ ยซ้า แต่ ยงั ไม่ไดเ้ ป็ นพระอรหันต์ เราจะตอ้ งเขา้ ใจให้ถูกตอ้ งว่า การปฏิบตั ิน้นั จะตอ้ ง “เอว ภำเวยฺย” ปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิตรงตามท่ีพระพุทธองคท์ รงสอน ซ่ึงหมายความวา่ จะตอ้ งมี “สมปฺ ชญฺญ น ริญฺจต”ิ คอื มี ให้เป็นอสิ ระจาก สัมปชญั ญะอยูต่ ลอดทุกขณะ เวลาน้ีกำลังฝึ กหดั ท่ีจะปฏิบัติให้ถึงข้นั น้ี โดยพยำยำมรู้เวทนำ ไม่ การปรุงแต่ง จุดหมายปลายทาง ว่ำจะกำลังทำกิจกรรมทำงกำยอะไรอยู่ และตระหนักรู้กำรเกิดดับ เกิดดับของเวทนำอยู่ คอื สภาวะนิพพาน อนั สมบูรณ์ ตลอดเวลำหากทาไดเ้ ช่นน้ัน พระพุทธองค์ทรงรับรองว่ำเรำจะต้องได้รับผลดงั กล่าวอย่าง แน่นอน 414กล่าวอีกว่า แม้ในเวลา 6 ปี 5 ปี 4 ปี 3 ปี 2 ปี แม้แต่ในหน่ึงปี จะสำมำรถไปถึง เขา้ ใจความเป็น จริงอยา่ งรู้แจง้ แทง จุดหมำยสูงสุดได้ หรืออย่าว่า แต่ 1 ปี เลย 7 เดือน 6 เดือน 5 เดือน 4 เดือน 3 เดือน 2 เดือน 1 ตลอด เดือนคร่ึงเดือนหรือภายในเวลาเพียง 7 วนั เพียงพอที่จะไดอ้ รหัตตผลหรืออนำคำมิผล เวลาท่ี มีสมั ปชญั ญะอยู่ ตลอด พยายามรู้ แตกต่างกันเป็ นเพราะกิเลสเก่ำ ๆ ท่ีแต่ละบุคคลสะสมไว้ แต่ปำงก่อนมีไม่เท่ำกัน แม้จะมี เวทนา กิจกรรม ทางกายอะไรอยู่ รู้ สัมปชัญญะอยู่ตลอดทุกขณะ ตำม ผู้ปฏิบัติบำงคน อำจต้องใช้เวลำถึง 7 ปี ในขณะท่ีผปู้ ฏิบตั ิวธิ ี การเกิดดบั ของ เดียวกนั อาจสามารถบรรลุธรรมไดภ้ ายในเวลาไม่ก่ีนาที ตวั อย่างคือ ท่านพาหิยะผทู้ ี่เดินตลอด เวทนาตลอดเวลา ทางจากนครบอมเบยเ์ พ่ือมาเฝ้าพระบรมศาสดา ซ่ึงไดท้ รงสอนให้อย่างย่นย่อเพียง “ทิฏฺ เฐ ทิฏฺ ฐมตฺต ภวิสฺสติ” 415ท่านท้งั หลายไดก้ ้ำวเดินไปในทิศทำงอันถูกต้องบนมรรคอันชอบ แม้ ไดอ้ รหตั ตผลหรือ หนทางน้ีจะเป็นหนทางท่ียาวไกลเพียงไร ไม่สาคญั ท่านไดเ้ ร่ิมเดินกา้ วแรกและกา้ วที่สองแลว้ อนาคามิผล เวลา ถา้ ท่านเดินไปเรื่อย ๆ ทีละกา้ วทีละกา้ วท่าน จะต้องไปถึงจดุ หมำยปลำยทำงอย่ำงแน่นอน ขอให้ แตกต่างเพราะ ทุก ๆ ท่านจงไดพ้ บกบั ความสุขและความสงบอนั แทจ้ ริงที่เกิดจากความหลุดพน้ ขอให้สรรพ กิเลสเก่า ๆ สะสม สัตว์ทั้งหลายจงมีความสุข ไว้ แต่ปางก่อนไม่ เท่ากนั กา้ วเดินไปใน ทศิ ทางอนั ถูกตอ้ ง บนมรรคอนั ชอบ เดินไปเร่ือย ๆ ที ละกา้ วทลี ะกา้ ว จะตอ้ งไปถงึ จดุ หมายปลายทาง อยา่ งแน่นอน ตารางที่ 4.10.8 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “ธรรมบรรยำยหลกั สูตรสติปัฏฐำน วันท่ี 8” ตามแนวทางปฏิบตั ิท่านสัตยา นารายนั โกเอ็นกา้ จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ ผล [รหสั G8] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด G8-416หลกั สูตรสติปัฏฐานและเมตตาภาวนาคร้ังสุดทา้ ยเม่ือท่านปฏิบตั ิหลกั สูตรสติปัฏฐาน ท่านจะพบวา่ มีการปฏิบตั ิ เป็นเช่นเดียวกบั หลกั สูตรท่ีแลว้ แลว้ มารักษาศีล 8 พฒั นาสมาธิดว้ ย พฒั นาสมาธิดว้ ยการมี การมีสติอยู่กับลมหายใจพฒั นาปัญญาของท่านด้วยการมีสติอยู่กับเวทนาในกายและมี สตอิ ย่กู บั ลมหายใจ อุเบกขาเวทนา 417ชาระจิตให้บริสุทธ์ิและสลายอตั ตา ดว้ ยวิธีปฏิบตั ิ เกิดความรู้สึกสองอยา่ ง พฒั นาปัญญา การมีสติ อยู่กบั เวทนาในกายและ มอี เุ บกขาเวทนา ชาระจติ ใหบ้ ริสุทธ์ิและ สลายอตั ตา
489 การรับฟังพุทธพจน์ คือ 1)ช่วยผูอ้ ื่นโดยไม่หวงั ผลสิ่งตอบแทน 2)ความรู้สึกกตญั ญูรู้คุณ 418การรับฟังพุทธพจน์ โดยตรงชาระจติ ให้ โดยตรงชาระจิตใหบ้ ริสุทธ์ิเกี่ยวกบั วิธีการปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิธรรมเพอ่ื ความเจริญงอกงาม บริสุทธ์ิเก่ยี วกบั วิธกี าร ปฏบิ ตั ิ 419ศึกษาจากส่วนลึกของจิตใจคือวิธีกำรปฏิบัติในหลกั สูตร 420การได้รับฟังพระพุทธพจน์ โดยตรงจำกองค์พระศำสดำเก่ียวกับกำรปฏิบัติตำมวิธีกำรน้ีพระพุทธพจน์ไดศ้ ึกษาเขา้ ใจ หลกั กำร ปฏิบตั ิและคือสิ่งที่กาลงั ปฏิบตั ิอยเู่ กิดความบนั ดาลใจมากข้ึน 421ย่ิงปฏิบัติมำกขึน้ จะเข้ำใจคำ สอนได้อย่ำงถูกต้องข้ึนท้งั ในระดับเชาว์ปัญญาและในระดับปัญญาท่ีรู้แจ้งสาระสาคัญ ศึกษาส่วนลึกจิตใจ กระจ่างชดั ยง่ิ ข้นึ โดยไมม่ ีอะไรใหส้ งสยั 422เริ่มใหค้ วามสาคญั สาระธรรมะและนำธรรมะไป คือวธิ ีการปฏิบตั ิ ใช้ในชีวิตประจำวันเพียงแต่มาปฏิบตั ิตามหลกั สูตรการสอนน้ันจะไม่สามารถช่วยอะไรฉัน ฟังพระพทุ ธพจน์ ไดถ้ า้ ท่านไม่นาไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั การนาไปใชใ้ ห้ผลดีแก่ทางใหป้ ระโยชน์ไม่ใช่เป็ น โดยตรงจากองค์ หลบหลีกจากภารกิจชีวิตมาเขา้ ปฏิบตั ิธรรมเพ่ือเพิ่มพูนพลงั และให้พลงั แห่งธรรมะช่วยให้ พระศาสดา เผชิญหนา้ กบั ความผนั แปรตา่ งๆ 423ช่วยเผยแพร่ธรรมะใหผ้ อู้ ่ืนไดป้ ฏิบตั ิ เพอ่ื อนุเคราะห์โลก เกี่ยวกบั การปฏิบตั ิ เพ่ือความเมตตาต่อผอู้ ่ืน ทางานเพ่ือความดีงาม เพื่อประโยชน์ผอู้ ื่น ไม่หวงั ผลตอบแทนใดๆ ย่งิ ปฏิบตั มิ ากข้นึ 424อาจารยเ์ ป็นผชู้ ้ีแนวทางเจริญกา้ วหนา้ ในธรรม พอใจ ศิษยม์ ีความกา้ วหนา้ กวา่ อาจารย์ ช่วย จะเขา้ ใจคาสอนได้ เป็นตวั อยา่ งที่ดีทางธรรมเดินไปทางธรรม สนั ติสุข และสมานฉนั ธ์ อยา่ งถกู ตอ้ งข้นึ นาธรรมะไปใช้ 425ปฏิบตั ิธรรมเชา้ เยน็ คร้ังละ 1 ชวั่ โมง 426รักษาศีล พฒั นาการมีสติอย่กู บั ลมหายใจ พฒั นา ชีวิตประจาวนั ปัญญาของท่านดว้ ยการมีสติอยู่กบั เวทนาในกายและมีอุเบกขาเวทนา 427ในชีวิตท้งั หลาย เผยแพร่ธรรมะให้ ส่วนใหญ่ลว้ นมีครอบครัวมีภาระตอ้ งรับผิดชอบท้งั ครอบครัวและสังคมรอบขา้ งจะให้พลงั ผอู้ ่ืนไดป้ ฏิบตั ิ จะทาให้ท่านสามารถรับภาระอนั หนักหน่วงเหล่าน้ันไดพ้ ร้อมกับมีชีวิตท่ีดีผูใ้ ดท่ีมาเขา้ อาจารยผ์ ูช้ ้ีแนวทาง ปฏิบตั ิธรรมจะตอ้ งมีความรับผิดชอบอยู่ 2 ประการความรับผิดชอบประการแรกคือกำรต้อง เจริญกา้ วหนา้ ใน ทำให้ ตนเ องห ลุดพ้ น จ ำกค ว ำม ทุกข์ แ ละ มี ชี วิ ตท่ี สง บสุ ขแ ละ มี ควา มส มา น ฉัน ท์ค ว า ม ธรรม รับผิดชอบ อีกประการหน่ึงความรับผิดชอบคือการท่ีจะตอ้ งดาเนินชีวิตท่ีเป็นแบบอย่างแก่ ผอู้ ื่นแน่นอน ทา่ นจะตอ้ งระมดั ระวงั จะไมป่ ล่อยตนเองใหไ้ ปทาร้ายใครเขา้ ตอ้ งไม่ทาร้ายผใู้ ด วธิ ีกำร ไม่ว่าจะเป็ นทางกายหรือทางใจ ตอ้ งดาเนินชีวิตไปในทางให้ความบนั ดาลใจแก่ผูอ้ ่ืน 428 ปรับปรุงตวั เองให้ดีข้ึนเพ่ือปฏิบตั ิตามแนวทาง 429วิธีแสดงความกตญั ญูรู้คุณไดด้ ี ขอให้ต้งั ปฏิบตั ิธรรมเชา้ มน่ั อยู่ในธรรม จงต้งั มน่ั ในธรรม เพ่ือความดีงามของตวั เรา และเพื่อความดีงามของผอู้ ื่น ให้ เยน็ คร้ังละ 1 ผ้คู นท้งั หลำยเกิดควำมบันดำลใจ 430โอกาสไดพ้ บธรรมอนั บริสุทธ์ิ โอกาสไดม้ าปฏิบตั ิธรรม ชวั่ โมง งดงาม เป็ นตวั อย่างอนั ดีงามให้แก่บุคคลอ่ืน ที่กา้ วหน้าเดินบนเส้นทาง หลุดพน้ จากความ รักษาศีล ทุกขท์ ้งั หลายในโลก 431ตอ้ งดาเนินชีวิตไปในทางที่ใหค้ วามบนั ดาลใจแก่ผูอ้ ่ืนเพราะการใช้ พฒั นาการมสี ติ ชีวิตไปในทางท่ีไม่ชอบหรือถ้ามีชีวิตท่ีจะไปด้วยความทุกข์ความเดือดร้อน ผลของการ อยกู่ บั ลมหายใจ ปฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานมาเขา้ ปฏิบตั ิแลว้ กลายเป็ นอุปสรรคท่ีเป็ นตวั ปิ ดก้นั ไม่ใหผ้ ูอ้ ่ืนได้ พฒั นาปัญญา เขา้ ถึงธรรมะ ว่าชีวิตของท่านใดเปลี่ยนแปลงไปในทางท่ีดีข้ึนไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรง ของทา่ นดว้ ย ใดๆเกิดข้ึนกับท่านสามารถเผชิญกับมนั ได้ด้วยความสงบ 432ธรรมะในการดาเนินชีวิต การมสี ติอยกู่ บั กฎเกณฑ์การประพฤติปฏิบตั ิเป็นแนวทางชีวิตของคนเหล่าน้ัน คิดวา่ ดีเหลือเกิน เขาพฒั นา เวทนาในกาย และมีอุเบกขา เวทนา ตอ้ งทาให้ ตนเองหลดุ พน้ จากความทกุ ข์ มชี ีวติ ที่สงบสุข มีความ สมานฉนั ท์ ระวงั ไม่ทาร้าย ใครเขา้ ปรับปรุงตวั เอง
ขอใหต้ ้งั มน่ั อยู่ 490 ในธรรมให้ ผูค้ นท้งั หลาย คณุ ธรรมในตวั ของเขาข้ึนมาไดด้ ีเหลือเกินและคนเหล่าน้นั จะเกิดควำมบันดำลใจอยำกจะมำ เกิดความ เข้ำปฏิบัติบ้าง เราทุกคนล้วนแต่จะต้องปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นและการปฏิบตั ิธรรมใน บนั ดาลใจ แนวทางจะช่วยปรับปรุงตวั เราใหด้ ีข้ึนแต่ถา้ มีใครที่มาเขา้ ปฏิบตั ิธรรม 433หากพบผทู้ ่ีปฏิบตั ิ ตามแนวทางน้ีแล้วได้รับผลดีอย่างเห็นไดช้ ัดเขา จะคิดว่าน่าจะทดลองปฏิบตั ิดูบ้างการ ชีวติ เริ่มตน้ ท่ีสาคญั น้ันเริ่มในระดบั ครอบครัวก่อนหากมีสมาชิกคนหน่ึงคนในครอบครัวไดม้ า เปลี่ยนแปลง เขา้ หลกั สูตรปฏิบตั ิวิปัสสนาและปฏิบตั ิอย่างถูกตอ้ งทาให้มีความเปล่ียนแปลงอย่างใหญ่ ในทางที่ดีข้ึน หลวงเกิดข้ึนในชีวิตและสมาชิกคนอ่ืนๆในครอบครัวสังเกตเห็นไดค้ นเหลา่ น้นั จะเกิดความ ธรรมะในการ สนใจท่ีเขา้ ปฏิบตั ิบา้ งและจะพำกันมำทดลองปฏิบัติทีละคนสองคนจนในที่สุดสมาชิกทุก ดาเนินชีวติ คน จะเขา้ ปฏิบตั ิเรื่องเช่นน้ีเกิดข้ึนบ่อยๆประโยคส่ิงแรกที่ไดร้ ับในการเขา้ ปฏิบตั ิ คือการที่ กฎเกณฑก์ าร สมาชิกในครอบครัวท้งั หมดตามมาเขา้ ปฏิบตั ิดว้ ยและเม่ือสมาชิกทุกคนในครอบครัวผู้ ประพฤติปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิวิปัสสนา ควำมเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงภายในครอบครัวจะเห็นไดอ้ ยา่ งเด่นชดั เป็ นแนวทาง การที่มนุษยม์ าอยู่ร่วมกนั หลายๆคนเป็ นธรรมดาที่จะตอ้ งมีการกระทบกระทง่ั เขา้ ใจผิดมี ชีวติ ความไม่พอใจซ่ึงกนั และกนั บา้ งและเกิดบรรยากาศตึงเครียดจนบางคร้ังส่ิงเหล่าน้ี จะถูกชะ ล้ำงไปได้โดยง่าย 434หากคนเหล่าน้ันได้มาน่ังกันท้ังเช้าเย็นคร้ังละ 1 ชั่วโมงภาวนาใน ใหแ้ รงบนั ดาลใจ ตอนทา้ ยสักครู่หน่ึงทุกคน จะย้ิมแยม้ มีความสุขอีกคร้ังหน่ึงบรรยากาศในครอบครัว จะ แกผ่ อู้ ื่น ว่าชีวิต เปลี่ยนไปควำมตึงเครียดจะกลำยเป็ นอดีตไปแลว้ มีเหลืออยู่แต่ความสมคั รสมานคนเดียว เปล่ยี นแปลงไป ครอบครัวน้ันจะเป็ นครอบครัวอุดมคติในเมื่อครอบครัว จากครอบครัวหน่ึงไปยงั อีก ในทางดีข้นึ เผชิญ ครอบครัวหน่ึงและครอบครัวในชุมชนน้นั ท้งั ชุมชน จะมีแต่ความสุขและความสมคั รสมาน ดว้ ยความสงบ กลมเกลียวซ้ายไปเร่ือยๆจนในที่สุดท้งั ประเทศบรรยากาศแห่งสันติสุขและความสมัคร ธรรมดาเนินชีวติ สมานไปเร่ือยๆสิ่งเหล่าน้ีเกิดข้นึ ได้เร่ิมกับคนคนเดียวปฏิบัติภารกิจท่ียง่ิ ใหญ่ คือชีวิตจะต้อง กฎเกณฑ์ เกิดความ เปลี่ยนแปลงนับจากน้ีไปความดีงามของตวั ท่านเองเท่าน้ันและความดีงามของคนท้งั หลาย บนั ดาลใจ อยากเขา้ ดว้ ย 435หลงั จากเวลาผา่ นไปถึง 25 ศตวรรษเราท้งั หลายลว้ นโชคดีที่มีโอกำสมำพบกับธรรมะ มาปฏบิ ตั ิจะตอ้ ง บริสุทธ์ิ มิฉะน้นั แลว้ คงจะหลงงมงายอยกู่ บั พิธีกรรมต่างๆกบั ความเช่ือทางปรัชญาต่างๆลง ปรับปรุงตวั เองให้ มาอยู่กบั ลทั ธิธรรมเนียมต่างๆโดยคิดว่าส่ิงเหล่าน้ีเป็นธรรมะบดั น้ีได้รับธรรมบริสุทธ์ิแลว้ ดีข้นึ เป็นธรรมอันเป็ นสำกลและธรรมบริสุทธ์ิจะไดแ้ พร่หลายไปทวั่ โลกไดม้ าถึงแลว้ 436เราจะ เกิดความสนใจเขา้ ทาอย่างไรหนอเราจะช่วยทาให้ผลขยายไปไดอ้ ย่างไรหนอสามารถช่วยไดห้ ลายทางกาลงั ปฏบิ ตั จิ ะพากนั มา กายกาลงั สมองกาลงั กลบั และการช่วยที่ดีท่ีสุดคือ กำรเป็ นตัวอย่ำงท่ีดีในทำงธรรมเพราะสิ่ง ทดลองปฏบิ ตั กิ นั น้ีจะช่วยติดใจผูอ้ ื่นให้ปรารถนาท่ีจะกา้ วเดินไปบนเส้นทางแห่งธรรมะบา้ งเพื่อเขาได้เห็น ไดม้ านง่ั กนั ท้งั เชา้ วิถีทำงดำเนินชีวิตที่มีแต่ควำมสันติสุขและควำมสมำนฉันท์ของท่าน 437จงเป็ นผู้ประพฤติ เยน็ คร้ังละ 1 ธรรมย่อมเป็ นตัวอย่ำงท่ีดี ทางธรรมคือการช่วยเผยแพร่ธรรมะที่ดีท่ีสุด 438ได้ชำระจิตใจให้ ชวั่ โมงภาวนาชีวิต บริสุทธ์ิและสลายละลายอตั ตา ดว้ ยวธิ ีการปฏิบตั ิ เมื่อสิ้นสุดการอบรมจะเกิดความรู้สึกคือจะ จะตอ้ ง ช่ วยผู้อื่นโดยไม่ หวังสิ่ งตอบแทนได้อย่างไรและจะ ช่ วยผู้คนจำนวนมำกๆได้ มีโอก ำสมำ เปลย่ี นแปลง ปฏิบัติธรรมและหลุดพน้ ความทุกขไ์ ดอ้ ย่างไรเกิดความปรารถนาสิ่งใดมีความสงบสุข ไม่ โอกาสมาพบกบั หวงั ส่ิงตอบแทนใดๆความรู้สึกผิดคือควำมรู้สึกกตัญญูรู้คุณความรู้สึกท้งั สองประการเป็น ธรรมะบริ สุทธ์ ิ เป็นธรรมอนั เป็น สากล การเป็นตวั อยา่ งที่ดี ในทางธรรม จงเป็นผูป้ ระพฤติ ธรรมยอ่ มเป็น ตวั อยา่ งท่ีดี ทาง ธรรมคอื การช่วย เผยแพร่ธรรมะทด่ี ี ทส่ี ุด ชาระจิตใจให้ บริสุทธ์ิ ช่วยผอู้ ืน่ โดยไมห่ วงั ส่ิงตอบ
491 แทน ช่วยผูค้ น คุณธรรมท่ีหายาก 439เรารู้สึกกตญั ญูรู้คุณต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ทรงคน้ พบ จานวนมากๆไดม้ ี วิธีกำรปฏิบัติที่สูญหายไปแล้วน้ีและเมื่อต้องบรรลุธรรมแล้ว ไม่ใช่เ บไว้เฉพำะตน แต่ โอกาสมาปฏบิ ตั ิ พระองคท์ รงเผยแพร่ธรรมะให้ผูอ้ ื่นไดป้ ฏิบตั ิดว้ ยและให้ช่วยเผยแพร่ไปเพื่อประโยชน์แก่ ธรรมและหลุดพน้ คนหมู่มาก เพ่ือความสุขกับคนหมู่มาก เพ่ืออนุเคราะห์โลกเพ่ือควำมเมตตำต่อผู้อ่ืนจง ความทกุ ข์ ทางานเพอื่ ความดีงามเพอื่ ประโยชน์ของผอู้ ื่นโดยไมห่ วงั สิ่งตอบแทนใดๆดว้ ยพระพุทธพจน์ รู้สึกกตญั ญูรู้คณุ ดงั กลา่ วความบริสุทธ์ิของทีมปฏิบตั ิน้ีไดร้ ับการรักษาไวส้ ืบ เมอ่ื ตอ้ งบรรลุ 450เอาธรรมะไปใชก้ บั ชีวติ ประจาวนั 451ปฏิบตั ิธรรมเพิ่มพูนพลงั ของท่านและใหพ้ ลงั ธรรมะ ธรรมแลว้ ไมใ่ ช่ ช่วยท่านเผชิญหนา้ กบั ความผนั แปรต่างๆ 452ชีวิตเปล่ียนแปลงทำงดีข้ึน ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ เก็บไวเ้ ฉพาะตน ร้ายแรง ใดๆ ท่านเผชิญหนา้ ดว้ ยความสงบ เจริญกา้ วหนา้ มีความสุขความพอใจและจะยง่ิ มี ความสุขมากข้ึน กา้ วหน้าไปไกลยิ่งกว่าการไม่มีวิธีใดท่ีจะแสดงควำมกตัญญูรู้คุณไดด้ ีไป ผล กวา่ น้ีแลว้ เพราะฉะน้นั จึงขอให้ทกุ ท่ำนจงต้ังมั่นอย่ใู นธรรมจงต้ังม่ันในธรรมเพื่อควำมดีงำม ของตวั ท่านเองและเพ่ือความดีงามของผูอ้ ื่น เพื่อให้ผูค้ นท้งั หลายเกิดควำมบันดำลใจจาก เอาธรรมะไปใช้ วิถีทางการดาเนินชีวิตและเขา้ มาสู่ธรรมะเวลาที่ทามาจะแผ่ขยายไปทว่ั โลกไดเ้ ร่ิมข้ึนแลว้ กบั ชีวิตประจาวนั โชคของท่ำนแล้วที่ได้มำเกิดในขณะที่ธรรมะได้กลับคืนมำและกำลังจะแผ่ขยำยไปทั่วโลก ปฏบิ ตั ิเพม่ิ พลงั ให้ เพราะเราทุกคนจงเป็ นเครื่องมือในการเผยแพร่ธรรมะเพ่ือความดีงามของคนหมู่มากเพ่ือ พลงั ธรรมะช่วย ความดีงามของตวั เราเองและความดีงามของผอู้ ่ืนเป็นโชคของเราแลว้ ท่ีไดม้ าเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเผชิญหนา้ ไดม้ าเกิดเป็นมนุษยใ์ นยุคท่ีธรรมะ 453บริสุทธ์ิไดก้ ลบั คืนมาสู่โลกมีโอกาสพบกบั ธรรมะอนั ความผนั แปรต่างๆ บริสุทธ์ิและไดม้ ีโอกาสมาปฏิบตั ิธรรม 454ขอทุกทา่ นจงงอกงำมในธรรม จงรุ่งเรืองในธรรม ชีวิตเปลยี่ นแปลง จงเจริญในธรรม จงเป็นตวั อยา่ งอนั ดีงามใหแ้ ก่บคุ คลอ่ืนๆท่ีจะไดก้ า้ วเดินไปบนเส้นทางแห่ง ทางดี ธรรมะและหลุดพน้ จากความทุกข์ ขอใหท้ ุกคนท้งั หลายในโลกและจานวนมากข้ึนมากข้ึน พบกบั ธรรมะอนั ไดพ้ บกับสันติสุขอันแท้จริงมิตรไมตรีอนั แทจ้ ริง ความสุขอนั แทจ้ ริง 455ขอให้ทุกท่านจง บริ สุทธ์ ิและมี เจริญงอกงำมในธรรมขอใหท้ ุกท่านจงเจริญรุ่งเรืองในธรรมขอใหท้ ุกทา่ นจงมีชีวิตทาความดี โอกาสมาปฏิบตั ิ งามมาสู่ตัวท่านเองและนาความดีงามมาสู่ผู้อ่ืน เพ่ือประโยชน์ของตวั ท่านเองและเพื่อ ธรรม ประโยชน์ของคนมาก จงรุ่งเรืองใน ธรรมจงเจริญใน ธรรม จงเป็น ตวั อยา่ งอนั ดีงาม ใหแ้ กบ่ คุ คลอื่นๆ ไดพ้ บกบั สันติ สุขอนั แทจ้ ริง จงมชี ีวติ ทาความ ดีงามมาสู่ตวั ท่าน เองและนาความดี งามมาสู่ผอู้ น่ื [11] พระธรรมสิงหบุรำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) 4.11.1) ประวัติ : พระธรรมสิงหบุรำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) พระธรรมสิงหบุรำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) ระหว่างวนั ท่ี 15 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ถึง 25 มกราคม พ.ศ.2559 อายุ 87 ปี ประวัติโดยย่อ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) พระธรรมสิงหบุราจารย์ ภาวนาปฏิภาณโกศล โสภณธรรมานุสิฐ พิพฒั น์กิจสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆารามคามวาสี เกิดเม่ือวนั พธุ 15 สิงหาคม พ.ศ.2471 ปี มะโรง ภูมิลาเนาเดิม ตาม่วงหมู่ อาเภอเมือง จงั หวดั สิงห์บรุ ี ไดอ้ ปุ สมบท ณ วดั พรหมบรุ ี จ.สิงห์บรุ ี ไดร้ ับฉายาวา่ \"ฐิตธมฺโม\"หลวงพอ่ จรัญในขณะน้นั ไดใ้ หค้ วามสนใจท้งั ทางโลกและทาง
492 ธรรม มีความเชี่ยวชาญชานาญเป็นพิเศษในท้งั สองทาง แตแ่ สวงหาความรู้และศึกษาจริงจงั ในเรื่องพระธรรม วินัย วิปัสสนากรรมฐาน หลวงพ่อจรัญไดธ้ ุดงคไ์ ปตามที่ต่างๆ เพื่อแสวงหาความรู้ ในดา้ นสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ไดฝ้ ากตวั เป็ นศิษยศ์ ึกษาวิชากบั พระอาจารยห์ ลายท่านดว้ ยกนั พ.ศ. 2491 ศึกษา ปฏิบตั ิกรรมฐาน กบั พระสุทธิธรรมรังสี วดั อโศการาม จงั หวดั สมทุ รปราการ และท่านเจา้ คุณอริยคณุ าธร วดั เขาสวนกวาง อาเภอน้าพอง จงั หวดั ขอนแก่น พ.ศ.2496 ศึกษาวิชาวิปัสสนา กบั พระภาวนาโกศลเถระ (สด จนั ทสโร) หรือ หลวงพ่อสด วดั ปากน้า อาเภอภาษีเจริญ จงั หวดั ธนบุรี พ.ศ.2497 ศึกษาปฏิบตั ิกรรมฐาน กบั ท่านเจา้ คุณพระราชสิทธิมุนี (โชดก ญาณสิทธิ) วดั มหาธาตุ ท่าพระจนั ทร์ กรุงเทพฯ พ.ศ 2498 ศึกษาพระ อภิธรรมกบั อาจารยเ์ ตชิน (ชาวพมา่ ) ณ วดั ระฆงั กรุงเทพ ฯ พ.ศ. 2547 ไดร้ ับการเลื่อนสมศกั ด์ิ เป็นพระราชา คณะช้นั ธรรม ท่ี พระธรรมสิงหบุราจารย์ เมื่อวนั ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2547 พระธรรมสิงหบรุ ำจำรย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม)72 ฉายา ฐิตธมฺโม อายุ 87 ปี 5 เดือน 10 วนั พรรษา 68 วิทย ฐานะ นกั ธรรมโท วดั อมั พวนั ตาบลบา้ นแป้ง อาเภอพรหมบุรี จงั หวดั สิงห์บุรี สมณศกั ด์ิและผลงานต่างๆ พ.ศ.2501 ไดร้ ับแต่งต้งั เป็น พระครูปลดั จรัญ ฐิตธมฺโม ฐานานุกรม ของ พระสุนทรธรรมประพุทธ เจา้ คณะ จงั หวดั ร้อยเอ็ด (แต่จาพรรษาที่วดั อมั พวนั สิงห์บุรี) เม่ือวนั ท่ี 25 กรกฎาคม พ.ศ.2511 ไดร้ ับพระราชทาน สมณศกั ด์ิ เป็ น พระครูสัญญาบตั ร เจ้าอาวาสวดั ราษฎร์ ช้ันตรีที่ พระครูภาวนาวิสุทธ์ิ พ.ศ.2561ได้รับ พระราชทานเล่ือนสมณศกั ด์ิ เป็ น พระครูเทียบผูช้ ่วยเจา้ อาวาสพระอารามหลวงช้นั เอก ฝ่ ายวิปัสสนาธุระ พ.ศ.2525 ไดร้ ับพระราชทานเลื่อนสมณศกั ด์ิ เป็นพระครูเจา้ คณะอาเภอช้นั เอก พ.ศ.2531 ไดร้ ับพระราชทาน สมณศกั ด์ิ เป็นพระราชาคณะช้นั สามญั ท่ี พระภาวนาวิสุทธิคุณ เมื่อวนั จนั ทร์ท่ี 5 ธนั วาคม พ.ศ.2535ไดร้ ับ พระราชทานเล่ือนสมณศกั ด์ิ เป็ นพระราชาคณะช้นั ราชที่พระราชสุทธิญาณมงคล ศรีพหลนราทร ธรรมิก คณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี เม่ือวนั พุธท่ี 12 สิงหาคม ในฐานะท่ีเป็ นพระสงฆท์ ่ีบาเพญ็ ประโยชน์ต่อ ประเทศชาติ และพระศาสนาเป็นกรณีพเิ ศษ พ.ศ.2544 ไดร้ ับพระราชทานเล่ือนสมณศกั ด์ิ เป็นพระราชาคณะ ช้นั เทพที่พระเทพสิงหบุราจารย์ ภาวนาวิธานโกศล วิมลธรรมานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี เมื่อวนั พุธท่ี 5 ธันวาคม พ.ศ.2547 ไดร้ ับพระราชทานเล่ือนสมณศกั ด์ิ เป็ นพระราชาคณะช้นั ธรรมที่ พระ ธรรมสิงหบุราจารย์ ภาวนาปฏิภาณโกศล โสภณธรรมนุสิฐ พิพฒั นกิจสุนทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสีเม่ือวนั ที่ 12 สิงหาคม 72พระธรรมสิงหบรุ าจารย์ (จรัญ ฐิตธมฺโม) ประวตั ิ. [ออนไลน]์ เขา้ ถึงไดจ้ าก : https://www.amphawan.net/ . 2022.
493 4.11.2) ธรรมบรรยำยคำสอน : พระธรรมสิงหบรุ ำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) ตารางท่ี 4.11 ขอ้ มลู ธรรมบรรยายเก่ียวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ รหัส พระธรรมสิงหบุรำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) ผา่ นช่องทาง YouTube J1 จาแนกตามรหสั รูปภาพ และรายละเอียดแหล่งที่มา [รหสั N1-9] รูปภำพ แหล่งทม่ี ำ https://www.youtube.com/watch?v=_CqyXBgCp9Y “แนะนำสติปัฏฐำน 4” ความยาว : 59 นาที จานวนการดู : 272,250 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 27 มกราคม พ.ศ. 2564 J2 https://www.youtube.com/watch?v=ytSgfsINdVE “สอนกรรมฐำน : วปิ ัสนำกรรมฐำน สติปัฏฐำน 4” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 12 นาที จานวนการดู : 26,716 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 16 พ.ค. 2014 วนั ท่ีคน้ หา : 27 มกราคม พ.ศ. 2564 J3 https://www.youtube.com/watch?v=Zm5n3pj0X9c “สตปิ ัฏฐำน 4 หลวงพ่อจรัญ 1/7” ความยาว : 3 ชว่ั โมง 59 นาที จานวนการดู : 97,998 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 27 มกราคมพ.ศ. 2564 J 4 https://www.youtube.com/watch?v=f025yS5OMBc “กำรกำหนดเวทนำ / กำหนดปวดหนอ” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 58 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 25 พ.ย. 2019 จานวนการดู : 74,589 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 27 มกราคม 2564
494 J5 https://www.youtube.com/watch?v=fusxIfN57CM “สอนกรรมฐำนสติปัฏฐำน4” ความยาว : 56 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 23 พ.ค. 2011 จานวนการดู : 64,383 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 27 มกราคม พ.ศ. 2564 J6 https://www.youtube.com/watch?v=zN1LEkNRDsI “ปฏิบตั ิกรรมฐำน 22 ม.ค.31” ความยาว : 1 ชวั่ โมง จานวนการดู : 22,254 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 10 ส.ค. 2011 วนั ท่ีคน้ หา : 27 มกราคม พ.ศ. 2564 J7 https://www.youtube.com/watch?v=7SGJ- QCbI4A&list=RDCMUCCkIPl7DhrAst60GamqYNow&index=12 “ปัญญำภำยนอกปัญญำภำยใน” ความยาว : 14 นาที จานวนการดู : 23,676 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 24 มิ.ย. 2013 วนั ท่ีคน้ หา : 27 มกราคม พ.ศ. 2564 J8 https://www.youtube.com/watch?v=G150R-w6z6g “ขันตจิ ำกกรรมฐำน” ความยาว : 1 ชว่ั โมง จานวนการดู : 33,447 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 29 ต.ค. 2013 วนั ที่คน้ หา : 27 มกราคม พ.ศ. 2564 J9 https://www.youtube.com/watch?v=6waeZbHxR-c “กรรมฐำน แก้กรรม” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 57 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 2 พ.ย. 2020 จานวนการดู : 46,580 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 27 มกราคม พ.ศ. 2564
495 จากตารางที่ 4.11 แสดงขอ้ มูลธรรมบรรยายเก่ียวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิพระ ธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) ผ่านช่องทาง YouTube จาแนกตามรหัส รูปภาพ และรายละเอียด แหล่งที่มา [รหัส N1-9] จานวน 9 คลิปขอ้ มูล ประกอบด้วย “แนะนาสติปัฏฐาน 4” “สอนกรรมฐาน : วิปัสนากรรมฐาน สติปัฏฐาน 4” “สติปัฏฐาน 4 หลวงพอ่ จรัญ 1/7” “การกาหนดเวทนา / กาหนดปวดหนอ” “สอนกรรมฐานสติปัฏฐาน4” “ปฏิบตั ิกรรมฐาน 22 ม.ค.31” “ปัญญาภายนอกปัญญาภายใน” “ขนั ติจาก กรรมฐาน” “กรรมฐาน แกก้ รรม” ผลการศึกษาธรรมบรรยายเก่ียวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทาง ปฏิบตั ิ พระธรรมสิงหบุราจารย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) ดงั แสดงในตารางท่ี 4.11.1 ถึงตารางที่ 4.11.9 พบวา่ ตารางที่ 4.11.1 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “แนะนำสตปิ ัฏฐำน 4” แนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมสิงหบรุ ำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั J1] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด -เส้นทางน้ี เป็นทางไปของสัตวท์ ้งั หลาย ดบั ทกุ ข์ โทมนสั ทาพระนิพพานใหแ้ จง้ เสน้ ทางน้ี คือ มหาสติปัฏฐาน 4 / พระพุทธเจา้ ส่ังสอนในหมู่สตั ว์ ใหล้ ะความชว่ั ทาความดี ชาระจิตใจใหผ้ ่อง เสน้ ทางสายเอก ใสบริสุทธ์ิ สอนอริยสัจ 4 ความจริงประเสริฐ / เส้ นทำงสำยเอก ดับทุกข์โทมนัส ทำพระ ดบั ทกุ ข์ ทาพระ นิพพำนให้แจ้ง หนทำงนี้ คือ สติปัฏฐำน 4 / ความหมาย สติปัฏฐาน คือ การระลึกรู้ฐานท่ีต้งั 4 นิพพานใหแ้ จง้ ฐาน เอาสติไปรับรู้ ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจิต ฐานธรรม ฐานท้งั 4 รับรู้ใหร้ ู้ใหเ้ ห็นตามความ หนทาง คอื สตปิ ัฏ จริง จิตเป็นความรู้สึกเป็นธรรมชาติ / การเดินจงกรม ตอ้ งการพฒั นากาย ขาวยา่ งหนอ ซ้ายย่าง ฐาน 4 หนอ มีสติรู้ตัว บริหำรจิต อดทน บาเพญ็ เพียร พลงั กายพลงั จิต อาหารย่อย เดินจงกรมดีกวา่ นง่ั ความหมาย สตปิ ัฏ / สติ คือ ควำมรู้ตัว รู้ตัว คือ มีสติ ตวั รู้อะไรก็ได้ การกาหนด ลมหายใจกาหนด ตวั กาหนดคุม ฐาน คือ การระลกึ สติ มีตวั รู้อยู่ เครื่องมือคุมสติอยู่ ควบคุมไมใ่ หเ้ กิดความฟ้งุ ซ่านรบกวน รูฐ้ านทตี่ ้งั 4 ฐาน เอาสติไปรบั รู้ ฐาน -การปฏิบตั ิธรรมเจริญวิปัสสนำกรรมฐำนทำงหนเดียวหลุดพ้น วัฏสงสำร ดับทุกข์ สู่พระ กาย ฐานเวทนา นิพพาน / วิปัสสนากรรมฐาน ไม่ใช่นัง่ หลบั ตา แต่เป็ นการศึกษาชีวิตปลดเปล้ือง ทุกข์ นาพา ฐานจิต ฐานธรรม ออกชีวติ การเพ่งมองชีวิตของตนเอง ปัญหาต่างๆ / พระพุทธเจ้ำสอนให้ละควำมชั่ว ทำควำมดี รบั รูใ้ ห้รู้ใหเ้ หน็ ชำระจติ ใจให้บริสุทธ์ผิ ่องใส / ศรัทธาสร้างวปิ ัสสนากรรมฐาน จิตใจแจ่มใส / ฐำนจติ คือ ควำม ตามความจริง นึกคิด อำรมณ์ปรุงแต่ง อำรมณ์ต่ำงๆ สำรวจจิต สิ้นป่ี ปรุงแต่งอำรมณ์อย่ำงไร ชนิดไหน คิด หนอ ๆ สำรวจจติ มำไว้ท่ีลิน้ ปี่ จิตปรุงแต่ง ดไู ปเฉยๆ คิดหนอ ดูหนอ ต้ังสตกิ ำหนดตำมดูมนั ไป สติ คอื ความรูต้ วั / จิตสังขำร ปรุงแต่งอำรมณ์ สังขำรเหมือนปรุงแต่งอำรมณ์ เสวยเขา้ ไป ออกเป็นพลงั งานเกิด รู้ตวั คอื มีสติ ข้ึนมาเป็นพลงั งานทางจิต / คิดอย่ำงไรรับรู้ไป กลายเป็นฐานเกิด / ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เสวยอารมณ์เข้าไปออกมา เป็ นพลังงาน อารมณ์พอใจ เสวยอารมณ์ความสุข ความพอใจ หลกั กำร วปิ ัสสนา กรรมฐานทางหน เดียวหลดุ พน้ วฏั สงสาร พระพทุ ธเจา้ สอน ใหล้ ะความชวั่ ทา ความดี ชาระจิตใจ ให้บริสุทธ์ิผอ่ งใส ฐานจิต คือ ความ นึกคิด อารมณ์ปรุง แตง่ อารมณ์ต่างๆ สารวจจิต สิ้นปี่ ปรุงแตง่ อารมณ์ อยา่ งไร
496 สารวจจติ มาไวท้ ่ี สภาวธรรม / โกรธเสวยอารมณ์ เป็นพลงั งาน โกรธออกมำเกิดท่จี ิต กำหนดรู้ตำมไป เกิดขึน้ ได้ ลน้ิ ปี่ จติ ปรุงแต่ง ดู ภำวนำตำมดู โกรธหนอ โกรธหนอ เกิดขึน้ ต้ังอยู่ ดับไป / ภาวานามยปัญญา กาหนดรู้ปัจจุบนั ไปเฉยๆ คิดหนอ ดู ธรรมเทา่ น้นั ต้ังสติกำหนดให้รับรู้ เกดิ ขนึ้ ต้ังอยู่ ดับไป / นง่ั กาหนดที่สะดือ กาหนดรับรู้ ปักไว้ หนอ ต้งั สติ ตรงน้นั ควรจดจ่ออยู่ตรงน้ี ท้องพองยุบหนอ ภำวนำเพ่ือรู้เห็นเป็ นจริง รู้ชดั เจนพองหนอยุบ กาหนดตามดู หนอ ภาวนาตามที่มนั เป็น พองหนอ ยบุ หนอ ภาวนาตามที่เป็นอยู่ ใหร้ ับรู้ วา่ เป็นภาวนาไป ตรง เวลา ตามดูตามรู้ตามเห็น / ยืน เดิน น่ัง นอน มีสติสัมปชัญญะ บริหารกาย บริหารจิต จดั มี จติ สงั ขาร ปรุงแตง่ สติสมั ปชญั ญะ อดทน อดกล้นั อารมณ์ สังขาร เหมือนปรุงแตง่ -ฝึ กสติ สตินำออกมำใช้น้อย มีคุณค่าจาเป็ นแก่ชีวิต และตอ้ งใชป้ ัญญาเสมอ / กรรมฐำน คือ อารมณ์ หน้ำท่ีกำรงำน หนท้ ี่กรรมฐาน แกป้ ัญหาได้ กาหนด “ยืนหนอ” 5 คร้ัง ยืนหนอ ศรีษะ ปลำยเท้ำ โกรธเสวยอารมณ์ ควำมรู้สึก สะดือ “เห็นหนอ” ตาเห็นสวยรวย สติบอกเดินมาใชไ้ ด้ ใชไ้ ม่ได้ / กรรมฐานแกไ้ ข เกิดท่จี ติ กาหนดรู้ ปัญหาพัฒนำจิตให้อยู่ในอำยตนะ ทวำร 6 “เสียงหนอ” ต้งั สติ ตาเห็น โกรธต้งั สติไวท้ ่ีตา ส้ินป่ี ตามไป ภาวนาตาม หายใจยาวๆ ไม่โกรธ แกไ้ ขเฉพาะหนา้ “โกรธหนอ” ปัญญาเกิด โกรธเขาทาไม เสียเวลา / เดิน ดู โกรธหนอ จงกรม สติจับม่นั อยู่ปลำยเท้ำ ขวำย่ำงหนอ ยกเท้ำขวำขึน้ มำ เท้ำยกกบั ใจต้องพร้อมกนั ก้ำวเท้ำ เกิดข้นึ ต้งั อยู่ ดบั ขำวไปข้ำงหน้ำ เท้ำขวำย่ำง แล้ววำงเท้ำลงพื้น กำหนด “หนอ” เท้ำขวำวำงลงพื้นพอดี แล้ว ไป สารวจจิตไปเทา้ ซา้ ย ซา้ ยย่างหนอ ระยะห่างเท่า 1 คืบ เดินไปเร่ือยๆ เม่ือครบยกเทา้ มาเสมอกนั ทอ้ งพองยบุ หนอ เงยหนา้ หลบั ตาลง กาหนด ยนื หนอ 5 คร้ัง กลบั ตวั กาหนดกลบั หนอ 4 จงั หวะ เทา้ ขวาหมุนตวั ภาวนาเพอ่ื รู้เห็น 90 % / กำรน่ังสมำธิ ก่อนน่งั กำหนดยืนหนอ 5 คร้ัง ก่อนปฏิบตั ิมาแลว้ ปล่อยมือ วา่ ยอ่ ตวั หนอ เป็ นจริ ง ปล่อยมือกาหนดไป กาหนดตามสภาพความเป็ นจริง / กำหนดสติ เข้ำไปทุกอิริยำบถ ไม่ขำด ตอน เอาสตมิ ำจบั ทส่ี ะดือ กำหนดอำกำรพองยุบของท้อง สะดือ พองยบุ พองหายใจเขา้ ออกใช้ วิธกี ำร จติ จับอย่ทู สี่ ะดือ ดูอำกำรพองหนอยุบหนอ อาการพองยบุ ของทอ้ ง เสวยอำรมณ์อุเบกขำ ต้ังสติ น่ังไปรับรู้อำรมณ์เป็ นสุข เป็ นทุกข์ เป็ นการภาวนา / เสวยอำรมณ์ กาหนดอารมณ์สุขเวทนา กรรมฐาน คอื เกิดข้นึ ต้งั อยู่ ดบั ไป เวทนาตวั อ่ืนๆ มาดู มีหน้ำที่กำหนด ตำมดู ตำมรู้ ตามเห็นที่มนั เป็นเรียกว่า หนา้ ทก่ี ารงาน เวทนา / หลกั ปฏิบตั ิ “ยืนหนอ” “ยืนตวั ตรง เงยหน้า ต้งั สติ อยู่ จิตตวั เราภายในเรา ยืนอยู่ ยืน หนอ ๆ 5 คร้ัง สำรวจจติ ต้ัง จิตปักลง สะดือ แล้ว จำกสะดือไปปลำยเท้ำ สุดตรงที่ปลายเท่าพอดี หนด “ยืนหนอ” จิตข้ึนลงตรงไหนให้เป็ นปัจจุบนั ประคองจิตอยู่ที่ร่างกาย ลืมตาดูปลายเทา้ “ยืนหนอ” 5 คร้ัง 5 คร้ัง ยนื หนอ แลว้ เดินจงกรมต่อไป สตจิ บั มนั่ อย่ปู ลำยเท้ำ / ฐำนกำย กำหนดควำมรู้สึกว่ิงไปตำมกำย เร่ือยลง ศรีษะ ปลายเทา้ ไป จุดมุ่งหมายเพื่อให้รู้จิตวิ่งไปตามกาย เอาความรู้สึกวิ่งตามกาย เอาความรู้สึกไปถึงไหน ความรู้สึก สะดือ เท่าน้ัน “ยืนหนอ” กาหนดความรู้สึกลงไป กลางกระหม่อม ภาวนาตามว่า “ยืนหนอ” เลื่อน กลางกระหม่อม สะดือ สะดือปลายเทา้ ยนื หนอ / กำรนัง่ สะดือ กำหนดรับรู้ ปักไว้ตรงน้นั คอย พฒั นาจิตใหอ้ ยู่ จดจ่ออยู่ตรงน้นั พองหนอภำวนำ ยุบหนอภำวนำ เพ่ือรู้เห็นเป็ นจริงอยู่อย่างน้ี รู้ชดั เจน พอง ในอายตนะ ทวาร 6 เดินจงกรม สตจิ บั มนั่ อยปู่ ลายเทา้ ขวายา่ งหนอ ยก เทา้ ขวาข้นึ มา เทา้ ยกกบั ใจตอ้ งพร้อม กนั กา้ วเทา้ ขาวไป ขา้ งหนา้ เทา้ ขวา ยา่ ง แลว้ วางเทา้ ลง พ้ืน กาหนด “หนอ” เทา้ ขวาวาง ลงพ้นื พอดี กาหนดสติ เขา้ ไป ทุกอิริยาบถ ไม่ ขาดตอน สติมาจบั ที่สะดือ กาหนดอาการพอง ยบุ ของทอ้ ง จติ จบั อยทู่ ี่สะดอื ดู อาการพองหนอยบุ หนอ เสวยอารมณ์ อเุ บกขา ต้งั สตนิ งั่ ไปรับรูอ้ ารมณ์เป็น สุข เป็นทกุ ข์ ยืนหนอ ๆ 5 คร้งั สารวจจิตต้งั จติ ปัก ลง สะดือ แลว้ จาก สะดอื ไปปลายเทา้
497 ฐานกาย กาหนด หนอ ยบุ หนอ ภำวนำอยู่ทม่ี ันเป็ น “พองหนอ ยบุ หนอ” / กรรมฐานจุดมุ่งหมาย ต้งั สตไิ ว้ที่ต้อง ความรู้สึกว่งิ ไปตาม อวัยวะ ต้งั สติไว้ จิตบริสุทธ์ิ พองหนอ ยบุ หนอ มีพลงั กายสูง พลงั จิตสูง ทนทาน / กาหนดจิต กาย ปฏิบตั ิแลว้ มีความเสียใจ แกป้ ัญหาได้ เสียใจหนอ ๆ กำหนดได้จริง ๆ หายใจ ดีใจ แทนท่ี สร้าง ต้งั สตไิ วท้ ่ตี อ้ งอวยั วะ ความดี ตอ้ งกาหนด ดีใจ เสียใจกาหนด / กาหนดลมหายใจ จอ้ งอยลู่ มหายใจสบาย ตวั สบาย คดิ ต้งั สตไิ ว้ จิตบริสุทธ์ิ ฟ้งุ ซ่านอยา่ งไร “ตวั รู้” ตวั สบาย ตวั สบายเป็นตวั คุมใหม้ ีสติ ตวั เราชอบ / พองหนอ ยุบหนอ มี -ทนต่อควำมลำบำก ควำมเจ็บใจในสังคม ตอ้ งการใหอ้ ดทน บริหำรกำยเข้มแข็ง ท้งั กายท้งั จิต พลงั กายสูง พลงั จิต ท้ังรูปนำม ขันธ์ 5 บริหารกาย บริหารจิต มีสติสัมปชญั ญะ จิตเขม้ แขง็ กายเขม้ แข็ง อดทน อด สูง ทนทาน กล้นั อดออม จิตมนั่ คง / หลกั ศาสนาแกป้ ัญหาได้ กรรมฐำนแก้ปัญหำ อ่ำนตัวออก บอกตัวได้ เห็นตัวเป็ น แก้ตัวได้ แก้ปัญหำแก้ท่ีตัวเอง / เสียใจ หายใจยาว เอำจิตไว้ลิน้ ปี่ เสียใจหนอ แก้ไข ผล ตัวเอง ป้อนข้อมลู ให้ถูกต้องออกมำ แกป้ ัญหาทกุ ชนิด / กำหนดอย่ใู นควำมไม่ประมำท ธรรมะ ฝื นใจ กำหนดสติต้ังได้ กาหนดจิตแกไ้ ขตวั เอง ไปโกรธทาไม ไปแช่งเขาทาไม / กายเขม้ แขง็ มี ทนต่อความลาบาก สมำธิจิต ภำวนำ จิตผ่องใส จิตมีความอดทน อดกล้นั / จิตเข้มแข็ง อดทน อดกล้นั จิตเป็นกุศล ความเจ็บใจใน อุดมธรรมชาติด้วย ศีล สมำธิ ปัญญำ / ตอ้ งมีสติบริหารจิต สารวจระวงั ต้งั สติอุดมสมบูรณ์ สงั คม ใหอ้ ดทน กาหนดจิตบริหารจิต ที่จมูก / ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าต้องอดทน มีธรรมะ กำรงำนหน้ำที่ กรรมฐาน ละเอียดอ่อน เสริมสร้างใหส้ มองทนั สมยั เสมอ แกป้ ัญหา อา่ นตวั ออก บอกตวั ได้ เห็นตวั เป็น แกต้ วั ได้ แกป้ ัญหาแกท้ ี่ ตวั เอง กาหนดอยใู่ นความ ไม่ประมาท ธรรมะฝื นใจ กาหนดสตติ ้งั ได้ จิตเขม้ แข็ง อดทน อดกล้นั จิตเป็น กศุ ล ตารางที่ 4.11.2 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “สอนกรรมฐำน : วิปัสนำกรรมฐำน สตปิ ัฏฐำน 4” แนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมสิงหบรุ ำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) จาแนกตามแนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั J2] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ -กำหนด “รู้หนอ” ลนิ้ ปี่ รองรับกำหนด “รู้หนอ” คดิ อะไรไม่ออก กำหนด “คดิ หนอ” คดิ ไดเ้ อง / กาหนด “รู้หนอ” -บุคคลล่วงทุกข์ด้วยควำมเพียร / จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตเป็ นกระแสไฟฟ้า เกิดกบั ตา หู ล้นิ ป่ี รองรบั คดิ อะไรไมอ่ อก กาหนด “คดิ หนอ” หลกั กำร จิตตานุปัสสนาสติ จมกู ลิน้ กาย จิตรับรู้ไวต้ ้งั จิตไว้ จิตเป็นธรรมชาติ ไมม่ ีตวั ตน เป็นกระแสไฟฟ้า “เหน็ หนอ” เหน็ ปัฏฐาน จติ เป็น ด้วยปัญญำ เห็นด้วยศรีษะ ปลำยเท้ำ ปลำยเท้ำถึงศรีษะ เห็นหนอ / ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน กระแสไฟฟ้า เกิด ธรรมเป็ นกศุ ล เป็ นอกุศล “คดิ หนอ” / สติปัฏฐำน สอนให้มสี ตทิ ุกอริ ิยำบถ พระพุทธเจา้ กาหนด กบั ตา หู จมกู ลิ้น สติ รับประทานอาหารให้พิจารณาอาหาร ตอ้ งกาหนด เค้ียวหนอ กลืนหนอ ร้อนหนอ หนาว กาย จติ รับรู้ไวต้ ้งั หนอ จิตไว้ “เห็นหนอ” เหน็ ดว้ ยปัญญา เห็น ดว้ ยศรีษะ ปลาย เทา้ ปลายเทา้ ถึง ศรีษะ เห็นหนอ ธรรมานุปัสสนา สติปัฏฐาน ธรรม
498 เป็นกุศล เป็น -วธิ ีการปฏิบตั ิวปิ ัสสนากรรมฐาน เตรียมตวั ก่อนเร่ิมตน้ ดว้ ยสวดมนต์ ไหวพ้ ระ ระลึกถึงคุณพระ อกศุ ล “คิดหนอ” รัตนตรัย / เวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน ทนไม่ได้ ปวดเมื่อย ควำมทุกข์อยู่ในตัว ไม่ทนต่อเวทนำ สตปิ ัฏฐาน สอน ดีใจต้องมีสติ เสียใจต้องมีสติ ต้องต้ังสติ ทำควำมเข้ำใจ สุขกำหนด ทุกข์กำหนด กำยและใจ ใหม้ สี ติทกุ กำหนด กำหนดที่ ลิน้ ป่ี ต้ังสติ / กาหนดอิริยาบถยืน ยกมือไขวห้ ลงั ยืนตวั ตรง เงยหนา้ หลบั ตา อิริยาบถ ให้สติจบั ท่ีกลาง กระหม่อม กำหนด “ยืนหนอ” เริ่มจำกศรีษะถึงปลำยเท้ำ กำหนด 5 คร้ัง ยืน หนอๆ หลงั ไมง่ อ เอาจิตปักกลางกระหม่อม / การกาหนดอิริยาบถเดิน ขาวยา่ งหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ วธิ ีกำร ให้ลืมตาข้ึน ทอดสายตาไปขา้ งหน้า สติจบั ท่ีเทา้ ขวายา่ งหนอ ซ้ายยา่ งหนอ “หนอ” เท้ำเหยียบ ลงพื้น เทา้ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ระยะห่าง 1 คืบ / การกลบั หนอ 4 คู่ 8 จงั หวะ กลบั หนอ เวทนานุปัสสนา กลบั หนอ ยกเทา้ ขวาข้ึน หมุ่นไปทางขวา 45 % จากเทา้ ซา้ ยมาชิดเทา้ ขวา ทาหมือนกนั คร้ังที่ 1 สตปิ ัฏฐาน ทน คร้ังที่ 2 / กาหนดยืนหนอ 5 คร้ัง เกศา โลมา นขา ทนั ตา กรรมฐานยนื หนอ 5 คร้ัง เอาหยาบไป ไมไ่ ด้ ปวดเม่อื ย ละเอียด กลบั หนอ 4 คู่ ย่างคู่ ดูปลายเทา้ ขวายา่ งหนอ ซ้ายย่างหนอ / นงั่ หนอ ขาขวาทบ้ ขาซา้ ย ความทุกขอ์ ยใู่ น มือขวาทบั มือซา้ ย นงั่ ตวั ตรง ไมเ่ กร็ง กำหนดทุกอริ ิยำบถ ที่ลิน้ ปี่ กำหนดรู้สึกทีล่ ิน้ ปี่ การกาหนด ตวั ไม่ทนต่อ ที่ลิ้นปี่ มีประโยชน์ มีสตินง่ั นงั่ กาหนด นง่ั ขดั สมาธิกาหนด / เวลามีเวทนำ ทนไม่ได้ ต้องกำหนด เวทนา ดีใจตอ้ งมี ปวดหนอ กำหนดซ้ำ ๆ ปวดหนอ อย่ากดแรง มนั เครียด ปวดหนอ กาหนดไปเร่ือย ๆ / เวทนา สติ เสียใจตอ้ งมี แยกออกไป จิตไม่ยึดไม่อุปทำน กาหนดปวดหนอ ปวดหนอๆ ถา้ แยกไม่ได้ ปวดจงั ตายให้มนั สติ ตอ้ งต้งั สติ ตาย เกิดขึน้ ต้ังอยู่ ดับไป ปวดหนอ “เวทนำ” ไม่สุขไม่ทุกข์ จิตใจเผลอออกไปขา้ งนอก เป็ น ทาความเขา้ ใจ อเุ บกขำ “รู้หนอ” หายใจยาวๆ เวทนำต้องกำหนดเสียใจตอ้ งกาหนด ปวดหนอ อเุ บกขาไมส่ ุขไม่ สุขกาหนด ทุกข์ ทุกข์ รู้หนอ หรือกาหนด “คิดหนอ” / ความจริงใจสร้างบุญ ใหก้ บั ตวั เราเอง สร้างบุญปกครอง กาหนด กายและ คนในครอบครัว / นั่งสมำธิ เอำมือขวำทับมือซ้ำย หายใจเขา้ ยาว กาหนดที่สะดือ พองหนอ ยุบ ใจกาหนด หนอ ขดั สมาธิ ขาขวาทบั ขาซ้าย มือขาวทบั มือซ้าย ต้งั ตวั ตรง ๆ หลบั ตา พองหนอ ยุบหนอ กาหนดท่ี ล้ินป่ี หำยใจเข้ำยำว หำยใจออกยำว “หนอ” กาหนดปวดหนอ เสียใจหนอ / ต้งั สติ กาหนด “ยนื -สตินำออกมำใช้ มองชีวิตใหก้ บั การสร้างการงาน / มีสติสัมปชญั ญะ ไม่ประมาท มีสติ สรุปวา่ หนอ” เริ่มจาก “สติปัฏฐาน 4” / มาสร้ำงบุญให้ตัวเอง มีบุญ / ประโยชน์การฝึกสมาธิ นากรรมฐำนแก้กรรมได้ ศรีษะถงึ ปลาย ระลึกเหตุกำรณ์ได้ รู้กาลงั กายกาลงั ใจ ได้กฎแห่งกรรม จิตใจสงบ จิตใจแม่นยำ นาสิ่งต่างๆ ดี / เทา้ กาหนด 5 สติสัมปชญั ญะ แก้ไขเหตุกำรณ์เฉพำะหน้ำ ใจเยน็ กาจดั นิวรณ์ รบกวนจิต เบาบาง / ช้ันสูงได้ คร้ ัง อำนำจพิเศษ รู้วำระจิตคนอ่ืนได้ เห็นหนอ ออกจำกหน้ำ ผำก / อย่าตามใจตวั เอง ถา้ ตามใจตวั กาหนดทุก อะไรกไ้ ม่ได้ ขดั ขอ้ งไปหมด เวลามีคา่ อยใู่ หค้ ุม้ คา่ / คนเราคดิ ได้ดี มกี รรมฐำน คดิ เร็ว คดิ ถกู ตอ้ ง อิริยาบถ รู้สึกท่ี ลิ้นป่ี เกิดข้นึ ต้งั อยู่ ดบั ไป ปวดหนอ “เวทนา” นงั่ สมาธิ เอามือ ขวาทบั มอื ซา้ ย หายใจเขา้ ยาว กาหนดที่สะดือ พองหนอ ยบุ หนอ ขดั สมาธิ ขาขวา ทบั ขาซ้าย พองหนอ ยบุ หนอ หายใจเขา้ ยาว หายใจออกยาว “หนอ” ผล สตินาออกมาใช้ สรา้ งบญุ ใหต้ วั เอง มีบุญ กรรมฐานแกก้ รรม ได้ ระลกึ เหตกุ ารณ์ ได้ ช้นั สูงไดอ้ านาจ พิเศษ รูว้ าระจิตคน
อ่นื ได้ เหน็ หนอ 499 ออกจากหนา้ ผาก คนอดทนไดข้ อง คิดเป็นปัจจุบนั / คนอดทนได้ของจริง ไม่อดทนได้ของปลอม ง่ายสาหรับคนฝึ ก ยากสาหรับคน จริง ไม่อดทนได้ ไม่ฝึ ก / คนคิดดี คิดเก่ง มีกรรมฐำน การเจริญสติปัฏฐำนมีประโยชน์ / สมาธิคนคิดเก่ง 1) มี ของปลอม ความรู้พ้ืนฐาน 2)คบหาสมาคมผูอ้ ่ืนเสมอ มีพวกพอ้ ง 3) มีสมาธิดี 4)นักสังเกตละเอียด 5)มี ความจาแม่นยา 6)กลา้ คิดกลา้ ทา 7)มโนธรรมชดั เจน โปร่งใส มือสะอาด 8)ตดั สินใจเด็ดขาด 9) การเจริญสตปิ ัฏ หาเหตผุ ล 10)อดทนหนกั แน่น ต่อสู้ 11 ) ยอมรับความผดิ 12 ) กลา้ โตแ้ ยง้ ฐานมปี ระโยชน์ ตารางท่ี 4.11.3 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “สติปัฏฐำน 4 หลวงพ่อจรัญ 1/7” แนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมสิงหบรุ ำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั J3] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด -กรรมคือ กำรกระทำ ฐำน หมำยถึง เกำะอย่ทู จ่ี ริง / ไปแสวงหำครูบำอำจำรย์ ทา “สติปัฏฐาน 4” ใหค้ รบ / สติตวั เดียว บริกรรมคดิ หนอ ต้งั สติไว้ จิตยดึ มน่ั ไม่ตอ้ งกลวั อะไร ภาวนาคาถา ตอ้ งมี กรรมคอื การ สติ สัมปชญั ญะ ไม่ตอ้ งการให้จิตตกไป ทางท่ีไมด่ ี / อฐิษฐำนจติ กระทา ฐาน หมายถึง เกาะอยทู่ ี่ -การปฏิบตั ิธรรม ไมเ่ หมือนกนั อยทู่ ่ี “การรับรู้” / ศีลมีความสาคญั มาก / ใบไม้ในกำมือของเรำอยู่ จริง ในป่ ำ เหลือข้อปฏบิ ัติ ศีล สมำธิ ปัญญำ / ต้องทำเอง เจริญทำงสำยเอก ใครทำใครรู้ ทางสายเอก / แสวงหาครูบา เอาฌานมาเป็น บาทวิปัสสนา คนไมไ่ ดฌ้ าน อยา่ ไปฝึกไดฌ้ านเป็นบาทเจริญวิปัสสนากรรมฐาน อาจารย์ เห็นหนอใหเ้ กิดอนตั ตา เจริญสมถะ จริตเปลี่ยนได้ / สติ ตัวเดยี วกำหนด / สติตวั เดียว บริกรรมคดิ หนอ -พจิ ำรณำ อสุภะ อนิจจำ วตะสังขำรำ สังขำรท้ังหลำยไม่เที่ยวหนอ / ศีล อยทู่ างตา หู จมูก ลิ้น ต้งั สติไว้ จิตยดึ มนั่ กายสัมผสั ออกมาในรูปแบบอารมณ์ / อบรมปฏิบตั ิธรรม ดูอารมณ์มีสติ สัมปชัญญะ งาน หลกั กำร กรรมฐาน / ให้แผ่เมตตำ / ต้งั ใจเขียนหนงั สือ มีสติสัมปชัญญะ กำหนดจิต /ปากอย่าไว ใจอย่า เบา เร่ืองเก่าอย่านามาคิด เร่ืองคนอื่นอย่าคิด กิจปัจจุบนั ทาเลย / ศีลอยู่ในรูปกาย นามกาย มี ศีลมีความสาคญั รูปแบบรู้อำกำรจิต ตนเองและผู้อ่ืนด้วยวำระจิต มรรค 8 พฒั นาจิต จิตดี / คาสอนให้ไปวิจยั ตอ้ งทาเอง เจริญ ประเมินผล จริงหรือไม่จริง กรรมฐานคือ หนา้ ท่ีการงาน พูดเรื่องจริง ใครทาใครได้ / เรียนวิชา ทางสายเอก ใคร ให้หมด เพ่งกสิณ มโนมยิทธิ ธรรมกาย / ต่ืนมำจับอำรมณ์สำคัญ ดูอารมณ์ตนเอง ต้งั สติ รู้เร่ือง ทาใครรู้ ของเรา โทรจิต บอกเราทุกวนั เลิกไปยุ่งเร่ืองคนอ่ืน ต้ังสติไว้ จึงรู้เร่ืองของเรา ไม่ดูอารมณ์ของ สติ ตวั เดียว ตนจึงยงุ่ / ความสุขมาจากความทุกข์ ไดจ้ ากเวทนา ปัญหาเกิดความสว่าง ปัญญา / ความสาเร็จ กาหนด หมายถึง ความไม่ประมาท / มีบำรมี จะไม่กลวั เกรงผใู้ ด ทาถูกตอ้ งเหตุผทาดว้ ยขอ้ เท็จจริง ตรง ไม่กลวั ใคร กลา้ ทาความดีต่อหน้าและลบั หลงั เหตุผลขอ้ เท็จจริงไม่กลวั เกรงผใู้ ด / บุญกุศลของ วธิ ีกำร ใคร ของมนั แบ่งกนั ไม่ได้ ต่างคนต่างทา / การเจริญวิปัสสนำมีอะไรสาคญั กาหนดข้ึนมาหนอ พจิ ารณาอนิจจา วตะสงั ขารา สังขารท้งั หลาย ไม่เที่ยวหนอ ปากอยา่ ไว ใจ อยา่ เบา เร่ืองเกา่ อยา่ นามาคดิ เร่ืองคนอ่นื อยา่ คดิ กิจปัจจุบนั ทาเลย บริกรรมภาวนา ฝึ กหัดเกิดวสีเขา้ ออก จิตปักอยู่ สะสมหน่วยกิต คาถาจดจาไว้ ยึด มน่ั ในองค์
500 ภาวนาคาถาเป็ น เห็นหนอๆ เห็นด้วยปัญญำ คนน้ีนิสัยไม่ดี คบไม่ได้ / บริกรรมภำวนำ ฝึ กหัดเกิดวสีเข้ำออก จิต บริกรรม ปักอยู่จุดน้ัน คาถานึกได้สมปรารถนา ข้ันตอน สะสมหน่วยกิต คาถาจดจาไว้ / คำถำเป็ น บริกรรม / ยึดมน่ั ในองค์ภำวนำ ไมม่ ีอุปทานอยา่ งอื่นๆ ผล -สุขภาพจิต กาลงั ใจ ในการทางาน นิสัยดี พูดในใจดี ความรู้เรียนทนั กนั ไดห้ มด นิสัยไม่มีทากนั อย่างไร เอานิสัยพระไปใช้ไดด้ ีทุกคน / เขียนหนังสือให้มีสติ / ใช้สติสัมปชัญญะ ใช้งานให้ นิสยั ดี พดู ในใจดี ถกู ตอ้ ง รวดเร็ว เป็นธรรมเป็นจุดมุง่ หมาย นิสยั / คนนิสัยดี ชอบควำมรู้ พฒั นาจิต สนใจหาตารา ฝืนใจถึงไดผ้ ล ไปดูตารา จติ จำแล้วพฒั นำควำมรู้ อยากรู้อะไร / ฝื นใจถงึ ได้ผล ได้ตอนเวทนำ / ทาไดจ้ ริง ระลกึ ไดต้ อนเวทนา ชำติ รู้กฎแห่งกรรม แก้กรรม นึกถึงพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ กฎแห่งกรรม รู้กฎแห่งกรรม รู้ ระลกึ ชาติ รู้กฎ เหตุกำรณ์ของชีวิต สติบอกได้ อำศัยวิปัสสนำ / ออกกาลงั กาย กาลงั ใจ เหลียวซา้ ยแลขวา เอาสติ แห่งกรรม แก้ ยึดเหน่ียว 5 อ. 1)ออกกาลงั กาย เดินจงกรม 2)อากาศดี 3)อาหารดี 4)อารมณ์ดี 5)อุจาระดี ไม่ กรรม ปลอ่ ยทอ้ งผกู รู้กฎแห่งกรรม รู้ เหตกุ ารณ์ของ ชีวิต สติบอกได้ อาศยั วิปัสสนา ตารางที่ 4.11.4 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “กำรกำหนดเวทนำ / กำหนดปวดหนอ” แนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมสิงหบุรำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั J4] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด -พระพทุ ธเจา้ สอนอริยสัจ 4 / จิตกบั สตผิ ูกพนั กนั / หายใจเขา้ ยาวๆ พองหนอยุบหนอ กาหนดได้ คลอ่ ง / เวทนำนุปัสสนำ ดีใจ เสียใจ อุเบกขำ ไม่สุขไม่ทกุ ข์ กำหนดทกุ อย่ำง / จติ ตำนุปัสสนำ จิต จติ กบั สตผิ กู พนั กนั กลัดแกว่ง รับรู้อำรมณ์ คดิ อ่ำนอำรมณ์ ต้งั สติตำมไปดู คิดหนอ รู้หนอ คดิ เร่ืองอะไร ใหจ้ ิตอยทู่ ี่ เวทนานุปัสสนา ดี น้นั ทานานๆ คนุ้ เคย จิตไมฟ่ ุ้งซ่าน อยภู่ าวะ ฝึกไปเร่ือยๆ เคยชิต ใชเ้ วลา ไปบา้ นก็ฝึก ใจ เสียใจ อเุ บกขา ไม่สุขไม่ทุกข์ -เจริญสติปัฏฐำน 4 แก้ทุกข์ได้ จิตใจไม่เศร้าหมอง กาหนดลิ้นปี่ โกรธหนอ เสียใจหนอ กาหนด กาหนดทุกอยา่ ง พองหนอ ยุบหนอ / กำหนดตรง “ลิน้ ป่ี ” คิดหนอๆ คิดอะไร ให้จิตกลับมำ / รู้กฎแห่งกรรมได้ จติ ตานุปัสสนา จติ แกป้ ัญหาตวั เองได้ ระลึกชาติตวั เองได้ / ระลึกชาติมาจากตวั คนปฏิบตั ิ เรารู้กฎแห่งกรรม ทาบาป กลดั แกวง่ รับรู้ ตรงไหน สร้างเวรกรรมตามสนองยอมรับกรรมโดยดี สัตวโ์ ลกย่อมเป็ นไปตามกรรม 1)ระลึก อารมณ์ คิดอ่าน ชาติได้ 2)รู้ตวั กรรม 3)แกป้ ัญหาแกถ้ กู ตอ้ งตรงจุด / สตเิ กดิ ในจติ เกิดขนึ้ ต้ังอยู่ ดบั ไป ขนั ธ์ 5 รูป อารมณ์ ต้งั สติตาม นำม เป็ นธรรม รูปคือ ตัวเรำ ตัวนำม คือ จิต กำหนดทำจิตให้ละเอียด / กาหนดกรรมฐานต่อสู้ ไปดู คดิ หนอ รู้ เวทนา ปวดทกุ คร้ัง เวทนามาสอบ เรียกวา่ สมถะ เป็นการศึกษาเวทนา น้ำตำร่วง ต้องอดทน ได้ / หนอ คิดเรื่องอะไร จิตและสติอยดู่ ว้ ยกนั เกิดปัญญาและแกป้ ัญหา หลกั กำร เจริญสตปิ ัฏฐาน 4 แกท้ กุ ขไ์ ด้ จติ ใจไม่ เศรา้ หมอง กาหนด ลิ้นปี่ โกรธหนอ เสียใจหนอ กาหนด พองหนอ ยุบหนอ กาหนดตรง “ลิน้ ปี่” คิดหนอๆ คดิ อะไร ให้จติ กลบั มา สตเิ กดิ ในจติ เกิดข้นึ ต้งั อยู่ ดบั ไป ขนั ธ์ 5 รูปนาม เป็นธรรม รูป คอื ตวั เรา ตวั นาม คอื จติ กาหนดจิตให้ ละเอยี ด
501 วิธกี ำร -พดู ให้น้อย ทาความเพยี รใหม้ าก ปากสาคญั ชอบนินทา ต้งั สติใหด้ ี / ยืนหนอ จำกสมองถงึ สะดือ หนอถึงปลำยเท้ำ สำรวจปลำยเท้ำ เข้ำใจ ยืนหนอ 5 คร้ัง ลืมตาลงปลายเทา้ ดูเทา้ ของตวั เอง ขวา ยนื หนอ จากสมอง ย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ / เดินให้ชา้ ที่สุด ขวาย่างหนอ ลงจงั หวะพอดี กลบั หนอ ๆ ช้า ๆ ทาให้ ถึงสะดือ หนอถงึ ไดผ้ ล เดินจงกรมมีควำมฟุ้งซ่ำนให้หยุด กำหนดที่ลิ้นป่ี ฟุ้งซ้านหนอ เม่ือยหนอ ปวดหนอ ๆ ปลายเทา้ สารวจ ค่อยเดินต่อไป / เดิน 1 ช่ัวโมง น่ัง 1 ช่ัวโมง น่ังพองหนอยุบหนอ หำยใจยำวๆ สติเวลำกำหนด รู้ ปลายเทา้ เขา้ ใจ หนอ ยาว พองหนอหำยใจยำว หำยใจยำว ทัว่ ท้อง หายใจมนั เคย หายใจเขา้ ยาว พองหนอยบุ หนอ ยืนหนอ 5 คร้ัง / กรรมฐำน หา้ มพูด ทาอะไรใหเ้ ป็นปัจจุบนั / ขวายา่ งหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ ให้ได้จังหวะ สติครบ เดินจงกรมฟุ้งซ่าน ไดจ้ งั หวะ สมาธิไม่เกิดสติไม่เกิด หายใจยาวๆ พองหนอ ยุบหนอ กาหนดรู้หนอ ให้ไปเดิน ใหห้ ยดุ กาหนดท่ี จงกรม กาหนดรู้หนอ รู้หนอ หลายๆ คร้ัง / ตอ้ งเดินจงกรมก่อนนงั่ เสมอ สมาธิดี ไดผ้ ล ขวาย่าง ลนิ้ ป่ี ฟุ้งซา้ นหนอ หนอ ซ้ายย่างหนอ เดินธรรมดาปกติ แต่ให้มนั ชา้ ลงไป ให้มีช้าลงไป ตอ้ งต้งั สติตามน้นั / ยืน / เดิน 1 ชวั่ โมง นงั่ หนอ 5 คร้ัง ทำให้ได้ ต้ังสติให้ได้ ต้งั สติ เจริญกรรมฐาน ตอ้ งการสติ ดาริชอบ อิริยาบถยนื หนอ / 1 ชว่ั โมง นงั่ พอง ศีล สมาธิ ปัญญา สติปัฏฐาน คนเราเกิดมาเหมือนกนั ตา่ งกนั กฎแห่งกรรม / ปวดหนอ หายใจยาว หนอยบุ หนอ หายใจส้ัน สติปัฏฐาน หาคน เราเกิดมาเหมือนกนั ตา่ งกนั กฎแห่งกรรม / ไปไหนก็ตำม กรรมฐำน หายใจยาวๆ สติ ไปด้วย กำหนดไปด้วย “เห็นหนอ เห็นหนอ เสียงหนอ” เรำมีสติ โกรธหนอ สนใจตนเอง เสียง เวลากาหนด หนอ ให้รู้ไว้ กาหนดไปเร่ือยๆ เสียใจกำหนด มีสติปัญญำแก้ไขปัญหา ไม่เศร้าโศกเสียใจ มนั่ คง ไปไหน กรรมฐาน เป็นสุข ตลอดไป / สนใจกรรมฐำน เอาใส่ใจตวั เองให้มาก ชีวิตมีแสงสว่างทางปัญญา แกป้ ัญหา ไปดว้ ย กาหนดไป อยเู่ ยน็ เป็นสุข / หูไดย้ นิ เสียง เอาจิตไวท้ ี่ไหน เสียงหนอ ต้ังสติไว้ทีห่ ู สตเิ กดิ ทำงหู จติ เกดิ ขนึ้ ดับ “เหน็ หนอ เห็น ลงไป หำยไป ตาเห็นหนอ ส่งกระแสจิต ส่งออก “เห็นหนอ” เกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไป / กาหนดเดิน หนอ เสียงหนอ” จงกรม เดินช้ำเหมือนคนตำย สตมิ ่นั สมำธิไว้เดิน 1 ช่ัวโมง ใหม้ นั ถึง ต้งั ใจเดิน 1 ชว่ั โมง / เวทนา เรามสี ติ กาหนด ปวดหนอ ฟุ้งซ่านหนอ ต้งั สติให้มน่ั ปวดหนอ ปวดไม่ยืดมน่ั ปวดหายไป จิตต้งั มน่ั เป็น หูไดย้ นิ เสียง เอา อุปทานไม่หาย / กำหนดเวทนำ ปวดหนอ กาหนดไป ปวดหนอเรียก สมถะ ปวดอะไร เรียกว่า จิตไวท้ ่ไี หน เสียง กรรมฐาน เกิดข้นึ ต้งั อยู่ ดบั ไป เวทนาแยกออกไป รูปนาม ขนั ธ์ 5 แกอ้ ารมณ์ รูปกายสมั พนั ธ์กบั หนอ ต้งั สตไิ วท้ ี่หู จิต จิตอยู่กบั พองหนอ ยุบหนอ เราศึกษาแลว้ รู้และเขา้ ใจ / ปวดเมื่อย กาหนดปวดหนอ ปวด สตเิ กิดทางหู จิต หนอ กรรมฐานบทแรกตอ้ งผา่ น ปวดหนอ จิตออก / เกิดข้ึน ดบั ลงไป -เวลาเป็ นหน่ึงในโลก เสมอเหมือนกนั ใชเ้ วลาให้คุม้ ค่าต่างกนั สร้างความดีปฏิบตั ิกรรมฐาน หายไป ชีวิตมีค่ำ เวลำมีประโยชน์ แสวงหาวิชาใส่ตนเพ่ือแกป้ ัญญาพฒั นา / แก้ปัญหำ สู้ปัญญำ อย่างมี จงกรม เดินชา้ ปัญญา ทดแทนบุญคุณพ่อแม่ รู้เหตุการณ์ในชีวิต / ต้องพง่ึ ตนเองใช้สอนตัวเอง จิตใจดีมีปัญญำ เหมอื นคนตาย สติ คิดอะไรดีๆ / ชีวิตต้องเรียนท้งั หมด ชอบตามจริตที่ชอบ / ทาความเพียรให้มาก อดทนต่อ มน่ั สมาธิไวเ้ ดิน 1 เหตกุ ารณ์ / แผเ่ มตตา ปวดหนอ ปวดหนอ / กฎแห่งกรรมให้อะไร อา่ นตวั ออก ใชต้ วั ได้ บอกตวั ชว่ั โมง เป็น กฎแห่งกรรม เจริญกรรมฐาน แกป้ ัญหาได้ นงั่ ชนะจิตใจตนเอง / ชนะตวั เอง ชนะคนท้ังโลก กาหนดเวทนา แพ้ตัวเอง แพ้คนอ่ืนตลอดไป ชนะใจตนเอง / อย่าประมาทชีวิต อยู่หาความแน่นอนไม่ได้ ปวดหนอ กาหนด พิจารณาความประมาท หม่ันสวดมนต์ ไหว้พระ เจริ ญกรรมฐาน / อ่อนน้อม ถ่อมตน ไปกรรมฐาน ละเอียดอ่อน / คิดหนอ ฉลาดทา ฉลาดคิด มีปัญญา / คนมีกรรมฐาน ละเอียดออ่น ไม่พูดเจ็บใจ เกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไป เวทนาแยก ออกไป รูปนาม ขนั ธ์ 5 แกอ้ ารมณ์ ผล ตอ้ งพ่ึงตนเองใช้ สอนตวั เอง จิตใจดี มีปัญญา คิดอะไร ดีๆ ทาความเพียรให้ มาก อดทนต่อ เหตุการณ์ กฎแห่งกรรมให้ อะไร อ่านตวั ออก ใชต้ วั ได้ บอกตวั เป็น กฎแห่งกรรม เจริญกรรมฐาน ชนะตวั เอง ชนะ คนท้งั โลก แพ้
502 ตวั เอง แพค้ นอ่ืน แก่ผอู้ ่ืน กาหนดใหไ้ ด้ จิตฟุ้งซ่าน กาหนดโกรธ ไม่สบาย สติออกมาช่วย ไม่ควรโกรธเขา ปัญญา ตลอดไป มาบอกเราเอง / จิตใจไม่เศร้ำหมอง กิเลสไม่มีในใจ ตวั โกรธ เศร้าหมองเพราะไปโกรธเขา ไม่ โกรธ ไม่เกลียด จติ ใจไมเ่ ศร้าหมอง กิเลสไมม่ ใี นใจ ตารางท่ี 4.11.5 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “สอนกรรมฐำนสตปิ ัฏฐำน4” แนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมสิงหบรุ ำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั J5] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ -นกั ปฏิบตั ิ ผดุ ข้ึนมาเอง รู้ข้ึนมาเอง รู้วชิ าการทางานท่องได้ / ทกุ ส่ิงต้องกำหนด ต้ังสติท่ีลิน้ ปี่ / ป้อนขอ้ มลู ถูกอารมณ์ในจิต ตอ้ งกาหนด / ทุกสิ่งตอ้ งกาหนด ต้งั สติท่ลี นิ้ ปี่ -สวดมนตร์ ับกรรมฐาน บาเพญ็ ศีล เป็นจิตภาวนา แนวสติปัฏฐาน 4 ของพระพทุ ธเจา้ สติปัฏฐาน ป้อนขอ้ มลู ถกู 4 แนวปริยตั ิ จงท่องตาม / ต้ังสติทุกอิริยำบถ ให้ต้งั สติเป็นวิธีการปฏิบตั ิ อดีตไม่เอา อนาคตไม่ อารมณ์ในจิต ตอ้ ง เอา ปัจจุบนั เกิดข้ึนอยา่ งไร ใหป้ ฏิบตั ิอยา่ งน้นั / ความสุข ความทุกข์ เกิดท่ีไหน ที่น้นั หำเหตุ คือ กาหนด สติ สติเป็ นตัวเหตุ สัมปชัญญะ รู้นอนรู้ไป ถึง ตัวปัญญำ เอำตัวสติจับ / เวทนา ปวดเมื่อย อุปสรรค ตอ้ งใชส้ ติ ดูจิตที่ปวด เรายึดมาเอาปวดดว้ ย อุปทาน ไปยดึ ที่มา เป็นมา ตอ้ งให้สติ ไป หลกั กำร ควบคุมจิต จึงต้องกำหนดท่ี “ลิน้ ป่ี ” หำยใจยำวๆ ลึกๆ สบำย ต้ังสติ รู้หนอ รู้หนอ ป้อนข้อมูล รู้ หนอ ๆ สติยึดจิต จิตแจ่มใส ควำมทุกข์สลำยไป อุเบกขำ ไม่ทุกข์ไม่สุข สติ ทุกขอริยมรรค / ต้งั สตทิ กุ อริ ิยาบถ วิธีการ นกั ปฏิบตั ิ ฝึ กดดั นิสัย ปฏิบตั ิธรรม ตอ้ งกาหนด เสียงหนอๆ ถา้ กาหนดไม่ทนั เสียงหนอ ใหต้ ้งั สตเิ ป็น ไม่ได้ ต้องกำหนดสัมปชัญญะ ที่ลิน้ ปี่ หลบั ตา ตอ้ งกดที่ ลิ้นปี่ / จิตตำนุปัสสนำ ต้องยึดไว้ฐำน วธิ ีการปฏิบตั ิ จิตเป็ นธรรมชำติ เกิดข้ึน ผูพ้ ฒั นาต้องรู้ท่ีเกิดของจิต จิตเกิดทางไหน รู้วิธีพฒั นาจิต ไปทาง หาเหตุ คือ สติ สติ อินทรีย์ อายตนะ / สมาธิจบั จุดกาหนดจิตใหอ้ ยใู่ นจุดเดียวกนั มีสติอยู่ / เป็นตวั เหตุ สัมปชญั ญะ รู้นอน รู้ไป ถึง ตวั ปัญญา เอาตวั สติจบั ควบคมุ จติ จึงตอ้ ง กาหนดท่ี “ลิ้นป่ี ” หายใจยาวๆ ลึกๆ สบาย ต้งั สติ รู้หนอ รู้ หนอ ป้อนขอ้ มูล จิตตานุปัสสนา ตอ้ ง ยดึ ไวฐ้ าน จติ เป็น ธรรมชาติ ตอ้ งรูท้ เ่ี กดิ จิต รูว้ ธิ ีพฒั นาจติ วิธีกำร -เอำสติเอำจิต เพ่งดูกำย ดูเล้ียวซ้ายและขวาใชส้ ติดูร่างกายและฐานต่างๆ / เวทนำนุปัสสนำ คือ ทนไม่ได้ บังคับบัญชำไม่ได้ เป็ นไปตำมธรรมชำติ 3 ประการ 1)สุขเวทนา 2)ทุกขเวทนา 3) เอาสตเิ อาจิต เพง่ ดู กาย ใชส้ ตดิ ู อุเบกขาเวทนา ท้งั 3 ประการ จุดหมายให้สติพิจำรณำเวทนำ ดีใจ สุขกำย สุขใจ อุเบกขำเวทนำ / ร่างกายและฐาน ใชส้ ติระลึกได้ กำหนดท่ีลิ้นป่ี หำยใจยำวๆ ขึ้นลงยำว ดีใจหนอๆ ดีใจสุขทุกข์ สุขใจ รู้ล่วงหน้ำ ต่างๆ กำหนด กำหนดท่ีลิน้ ปี่ / เสียใจหนอ เสียใจเรื่องอะไร ป้อนขอ้ มูล ให้ถูกตอ้ งหายใจลึกๆ / สติ เวทนานุปัสสนา ระลึกได้ สัมปชญั ญะ ทาให้เท่าทนั เหตุการณ์ปัจจุบนั / เอาความรู้มากาหนดที่ ลิ้นป่ี คิดไม่ออก คือ ทนไม่ได้ ไม่รู้จะบอกอยา่ งไร หายใจยาวๆ ทบทวนชีวิต ทบทวนอารมณ์ หายใจยาว มีประโยชน์ ต้งั สติไว้ บงั คบั ไม่ได้ ลิ้นปี่ / เอาความรู้สึกมากาหนดที่ลิ้นป่ี คิดไม่ออก ไม่รู้จะบอกอย่างไร หายใจยาวๆ ทบทวนชีวิต เป็ นไปตาม ทบทวนอารมณ์ หายใจยาวๆ มีประโยชน์ ต้งั สติไวท้ ่ีลิ้นป่ี / หำยใจยำวๆ คิดหนอ คิดหนอ หำยใจ ธรรมชาติ ใหส้ ติ ลกึ ๆ ยำวๆ จมกู ถงึ สะดือ เกดิ ปัญญำ มกี ระแสไฟฟ้ำ สมาธิดี คอมพวิ เตอร์ดี คิดออกแลว้ แกป้ ัญหา พิจารณาเวทนา ดี ใจ สุขกาย สุขใจ อเุ บกขาเวทนา ใชส้ ตริ ะลึกได้ กาหนดทล่ี ้ินป่ี
503 เสียใจเรื่องอะไร ได้ มีปัญญาบอกเรา เอาปัญญามาใชไ้ ด้ ของใครของมนั / สติตำมจิตไปถึงสะดือ ยืนหนอ ผ่ำน ป้อนขอ้ มลู ศูนย์กลำง / ยืนหนอ กำหนดสติตำมจิตไปถงึ สะดือ ยืน ผ่ำนจดุ ศูนย์กลำง หนอ ปลำยเท้ำ ยืนมโน สติระลกึ ได้ ภำพ จัดผ่ำกระหม่อม จิตรู้ มีสติตำมปลำยท้ำ มโนภำพ ยืน สำรวม / เวทนากาหนดคิดออก สมั ปชญั ญะ ทาให้ กาหนด เอาเหตุผลมาต้งั คิดหนอๆ กาหนดทีละอยา่ ง ตอ้ งรู้จริง รู้แจง้ เพ่งจอ้ งดู ตอ้ งกาหนดให้ เท่าทนั เหตกุ ารณ์ ได้ ภาวนาหนอ กาหนดไป อยากหยดุ หนอ เป็นตน้ จิต / หำยใจยำว ต้องต้ังสติ กำหนดท่ีลิน้ ปี่ ดู ปัจจุบนั ลมหำยใจ จมูก ถึงสะดือ หำยใจยำว รู้หนอๆ ต้องกำหนดปัจจุบันให้ได้ รู้หนอๆ ตัวโกรธอย่ไู ม่ใช่ หายใจยาวๆ คิด อยู่ที่ตัวเรำ อยู่ท่ีจิต มนั เป็ นความทุกข์ เศร้าหมอง / การปฏิบตั ิแก้ปัญหา ไม่ใช้สร้างปัญหา ดู หนอ คดิ หนอ อำรมณ์ของจิต ใหก้ าหนดอยา่ งไร ปรับจุดให้ถูก วำงจติ ไว้ตรงไหน เหน็ หนอ กระแสจติ อยู่ได้ผล หายใจลึกๆ ยาวๆ / “เห็นหนอ” ส่งกระแสจิตออกจำกหน้ำผำกออกไป เห็นหนอ ควำมรู้สึก รวมอยู่ที่หน้ำผำกหมด จมูกถงึ สะดอื เกิด จติ ส่งกระแส จติ ที่ดีมำก เกดิ ปัญญำ / ต้งั สติไวท้ ี่ลิน้ ป่ี ลมหายใจ จมกู สะดือ หายใจยาวๆ รู้หนอๆ ปัญญา มี ตอ้ งกำหนดปัจจุบันให้ได้รู้หนอๆ ตัวโกรธ อยทู่ ี่คนโน้นไม่ใช่เรา โกรธมีแต่ทุกข์ จิตเศร้าหมอง กระแสไฟฟ้า สร้างโทสะ / การปฏิบตั ิดูอารมณ์จิตเรา ดูจิตใจ ให้กาหนดอย่างไร ปรับจุดให้ถูก วางจิตไว้ เอาความรูส้ ึกมา ตรงไหน “เห็นหนอ” กระแสจิตอยู่ตรง หน้ำผำก ได้ผล ควำมรู้สึกรวมอยู่ ที่หน้ำผำกหมด ส่ง กาหนดท่ลี ้นิ ป่ี คดิ ไม่ กระแสจิตที่ดีมาก เกิดปัญญา /เกิดท่ีตำ ตำเห็นอะไร จับจิตที่หน้ำผำก เห็นหนอๆ รูปอยู่ไหน ผัน ออก ต้งั สติไวท้ ล่ี ิ้นปี่ แปรหลอกลวง สมมติเกิดขึ้น ต้ังอยู่ แปรปรวน ดับไป ต้องกำหนดจิตตำนุปัสสนำ / เกิดแล้ว ยนื หนอ กาหนดสติ กาหนด เห็นหนอ จิตเกิดที่เราเห็น เราชอบไม่ชอบ โลภะ โทสะ โมหะ ไม่ใช่สติ ไม่มีปัญญา ใช้ ตามจติ ไปถึงสะดอื สติ จิตต้องกำหนด ทุกขอริยมรรค ผู้ได้ยิน ไม่ประเมินผล ไม่วิจยั / เสียงหนอ ๆ ตอ้ งกาหนด ถา้ ยนื ผา่ นจดุ ศนู ยก์ ลาง ไม่กาหนดขาดสติ มีสติท่ีหู เสียงหนอๆ สติท่ีหู หนอ เป็ นการสร้างจิตให้มีสติดี “หนอ” ดีมำก หนอ ปลายเทา้ ยนื เสียงหนอ ท่ีไดย้ ิน มีสติในการฟัง / โกรธหนอ วิธีปักจิตไว้ท่ีลิน้ ป่ี สติสำรวมไว้ จิตบอก อารมณ์ มโนภาพ จดั ผ่า บอก ปัญญาบอก รู้แจ้งเห็นจริง ตัวเรำบอกเอง สอนตัวเอง เห็นแจ้งชัดเจน กาหนดเวทนา หยุด กระหมอ่ ม จิตรู้ มสี ติ กำหนดยบุ พอง เอำสติตำมมากนอ้ ยเพียงใด / กาหนดไป กาหนดไป เวทนาเกิดข้ึน หายไปกบั ตา ตามปลายทา้ มโน แยกเวทนาแยกรูปนาม ฝึกฝนในอารมณ์ / ภาพ ยนื สารวม -ประสบกำรณ์เฉพำะปัจจุบันสร้างเสริมขอ้ มูล โดยคอมพิวเตอร์ ขอ้ มูล ป้อน “สติ” สัมปชญั ญะ หายใจยาว ตอ้ งต้งั สติ ครบถกู ตอ้ ง อารมณ์ไมด่ ีเสียหาย เกดิ เองโดยธรรมชำติ ผดุ เอง ถงึ ใจ เหน็ ด้วยใจ เรียกว่ำ “ปัญญำ” กาหนดที่ลน้ิ ปี่ ดลู ม / ธรรม เป็นเร่ืองความทุกข์ ไม่ใช่ความสุข ความแน่นอนไม่มี ความสุขทางโลกไม่ใช่ของจริง มี หายใจ จมกู ถึงสะดอื แต่ของปลอม ยวั่ ยุ หายใจยาว รู้หนอๆ ตอ้ งกาหนดปัจจุบนั ให้ได้ “เห็นหนอ” ส่ง กระแสจติ ออกจาก หนา้ ผากออกไป เห็น หนอ ความรูส้ ึก รวมอยู่ที่หนา้ ผาก หมด จิตส่งกระแส จติ ทดี่ มี าก เกิดปัญญา ใชส้ ติ จิตตอ้ ง กาหนด ทกุ ขอริ ยมรรค ผล ประสบการณ์ เฉพาะปัจจบุ นั ขอ้ มูล ป้อน “สต”ิ สัมปชญั ญะ ครบ ถกู ตอ้ ง ตารางที่ 4.11.6 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “ปฏบิ ัติกรรมฐำน 22 ม.ค.31” แนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมสิงหบรุ ำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั J6] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด -การปฏิบตั ิ ตอ้ งทาโดยเคร่งครัด ดูขันธ์ 5 รูปนำม เป็ นอำรมณ์ ตดั ปลิโพค สมั ผสั เกิดจิตอยา่ งไร ดูขนั ธ์ 5 รูปนาม เป็น ตาเห็นรูป กำหนดรู้สัมผัส สติควบคุมกำย และจิต ดีช่ัวอยู่ที่ท้อง พองหนอ ยุบหนอ / ฐำนเกำะ อารมณ์
504 กาหนดรูส้ ัมผสั สติ สติปัฏฐำน คือ วิปัสสนำ / พระพุทธเจา้ สอนให้มีสติ เดินมีสติ เอำจิตไปจับตรงไหน “พุทโธ” ควบคุมกาย และจติ จิตปักตรงไหน ต้งั สติอยา่ งไร เอาไวท้ ี่เทา้ ตอ้ งมีจุดของมนั ถา้ ไมม่ ีจุดของมนั ทาไมไ่ ด้ / ดีชวั่ อยทู่ ที่ อ้ ง พอง หนอ ยุบหนอ -เดินจงกรมให้มีสติสัมปชัญญะไดผ้ ล จิตกาหนดหูไดย้ นิ ตาเห็นรูป จติ กำหนดอตั โนมตั ิไปท้ังรู้ ฐานเกาะ สตปิ ัฏฐาน กำย ขนั ธ์ 5 ถา้ ไม่มีกาหนดไม่ไดผ้ ล กำยำนุปัสสนำ ยนื เดิน นง่ั นอนใหก้ าหนด อยใู่ นเวลาฝึกหดั คือ วปิ ัสสนา กาหนดจิต ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ กาหนดทุกๆ อิริยาบถไดผ้ ล / หูกำหนด เกิดจิตต้องเกิด “หู” ใหม้ ีสติ เดินมีสติ เอา ตอ้ งกำหนดควบคุม “จิต” ทุกอิริยำบถ ต้องกำหนดจิต หู สัมพนั ธ์ กับ เสียง / เดินจงกรมขวา จติ ไปจบั ตรงไหน ย่างหนอตอ้ งใหไ้ ดจ้ งั หวะ ใช้จิตตรงไหน ต้องกำหนด พองเป็นกิริยา ยุบเป็นกิริยา พองยุบ ขวา ย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เอำจิตที่ไหนต้ังสติ เอำจิตไปปักไว้ที่ไหน จิตอยู่ตรงไหน สติต้งั ไว้ หลกั กำร อย่างไร ทาได้ชดั เจน / เวลามีค่า นักปฏิบตั ิตอ้ งขยนั / ธรรมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน เป็ นกุศล อกุศล เกิดขึน้ จติ ใจไปทำงไหน กำรถูกใจ ถกู แลว้ กลวั ผดิ ถูกใจ ไมถ่ ูกตอ้ ง ขอ้ เทจ็ จริงไม่ถูกตอ้ ง จติ กาหนด / นกั ปฏิบตั ิตอ้ งกำหนด จะพูดอะไร ทำอะไรให้ช้ำ / คนอ่ืน กบั เราเหมือนกนั ไม่ได้ มีกรรมคน อตั โนมตั ิไปท้งั รู้ ละอย่าง มีเทคนิค เหมือนกันไม่ได้ / สติ สัมพันธ์ กับสัมปชัญญะ ต้องคล้องกัน เหมือนต่าง กาย ขนั ธ์ 5 สานวน โวหารแต่จุดมุ่งหมายอนั เดียวกนั รูปนำม ขันธ์ 5 เป็ นธรรมำรมณ์ ทุกคนมีจริตไม่ เหมือนกัน / หูฟังเร่ืองเดียวกัน แต่ฟังไม่รู้เร่ือง หูฟังได้ยิน จิตใจมีปัญญำไม่เท่ำกัน กับฟัง กายานุปัสสนา ยืน ละเอียดไม่เหมือนกัน คนไม่มีปัญญาไปพูดไม่รู้เร่ือง คนสร้างชำติก่อนบำเพ็ญมำ มีศรัทธา มี เดิน นง่ั นอนให้ ความเพียร มีความเชื่อ / ผปู้ ฏิบตั ิต้องเคร่งครัด พองหนอ ยบุ หนอ เอำจติ กำหนดอยา่ งไร “พอง” กาหนด อยใู่ นเวลา คือ กำหนดปักตรงนี้ หำยไป “ยุบ” เป็ นอย่ำงไร เอำจติ ไปปักตรงไหน กาหนดไดไ้ มไ่ ด้ / ฝึกหดั กาหนดจิต ถา่ ยอจุ จาระ -เดินจงกรมเดินให้ช้ำที่สุด เหมือนคนจะตำย จิตไว เรำเดินช้ำต้ังสติไว้มำก ต้ังสติ จิตไม่พุ่งไป ปัสสาวะ ข้ำงนอก เดินไว สติควบคุมยาก พองหนอยุบหนอ ทาเร็วหายใจแรง จิตออกไปขา้ งนอก เรา กำหนด ช้ำๆ ไปตำมอำรมณ์ ฝื นไว้ จิตออกขา้ งนอกนอ้ ย / จิตกำหนดพองหนอ เสียงหนอ สติดี กาหนดควบคมุ ทุกอย่ำงสัมปชัญญะ คล่องตัว ลมหำยใจเข้ำออกได้จังหวะดี / เขา้ กรรมฐาน อย่ำตำมใจตัวเอง “จติ ” ทุกอริ ิยาบถ ต้องฝื น ต้องต้ังสติ “ฝื น” คือ กำหนด กลับมำอยู่ท่ี อย่ำปล่อยไปตำมอำรมณ์ / กำหนดทุก ตอ้ งกาหนดจติ หู อิริยำบถ โกรธไม่พอใจ โลภดบั โมหะดบั จิตแจ่มใส ถ้ำไม่กำหนด เกิดดับไม่ได้ เกิดอย่ำงเดยี ว สัมพนั ธ์ กบั เสียง ไม่มีดับ มีความโลภ โกรธ หลง ได้ ไม่ดบั แฝงอยู่ในจิต โดย “อนุสัย” สะสมอยู่ในจิต / นอน ธรรมานุปัสสนา กาหนด พองหนอ ยุบหนอ ตอ้ งตามอยู่เสมอ ตอ้ งสอบอารมณ์ / เดิน ขวายา่ งหนอ ซ้ายยา่ งหนอ สตปิ ัฏฐาน เป็น ทำให้ได้ เชี่ยวชำญ จิตละเอียด / ชา้ มากเท่าไร จิตเชื่อง ถา้ เร็วสติควบคุมไม่ไหว ไม่เกิดปัญญา กศุ ล อกุศล เกิดข้ึน ตอ้ งกำหนดจิต ช้ำมำก สติควบคุมได้ดีมำก / ยืนหนอ ๆ ช้ำๆ สติตำมจิต ศรีษะ สติควบคุมจิต จิตใจไปทางไหน ถงึ ปลำยเท้ำ สภำวธรรมเกิดในตนเอง ขันธ์ 5 รูปนำม จิตนีม้ คี วำมคดิ สูงท่ี ทาอะไร ละเอียดออ่ น สติ สมั พนั ธ์ กบั สมั ปชญั ญะ ตอ้ ง คลอ้ งกนั รูปนาม ขนั ธ์ 5 เป็ นธรรมารมณ์ ตอ้ งเคร่งครัด พอง หนอ ยบุ หนอ เอา จิตกาหนด “พอง” คอื กาหนดปักตรง น้ี หายไป “ยบุ ” เป็นอยา่ งไร เอาจติ ไปปักตรงไหน วิธกี ำร เดินจงกรมเดินให้ ชา้ ท่ีสุด เหมอื นคน จะตาย จิตไว เรา เดินชา้ ต้งั สตไิ ว้ มาก ต้งั สติ จติ ไม่ พุ่งไปขา้ งนอก จิตกาหนดพอง หนอ เสียงหนอ สติดีทกุ อยา่ ง สมั ปชญั ญะ คลอ่ งตวั ลมหายใจ เขา้ ออกไดจ้ งั หวะ อยา่ ตามใจตวั เอง ตอ้ งฝืน ตอ้ งต้งั สติ “ฝืน” คอื กาหนด กลบั มาอยทู่ ี่ อยา่
505 ปล่อยไปตาม / จิตเร็วเกินไป สติตามไม่ทนั ทาอะไรไม่เกิดปัญญา ต้องมีปัญญำ สำรวม สังวร เห็นชา้ ๆ เดิน อารมณ์ ชา้ ๆ / ปฏิบตั ิให้เคร่งครัด ต้องทำพองยุบ ของจริงนึกเอาไปจาแนก มาคอยไปจา / ตอ้ งฉลาด เช่ียวชาญ ปฏิบัติตรงตำรำ เดินไปตำมแผนที่ ไปตามแผนท่ี / ปวดมาก กาหนดปวดมาก ปวด กาหนดทกุ อิริยาบถ หนอ แลว้ หายปวดหนอ ๆ / พองหนอ ยุบหนอ เอำจิตไปไว้ตรงไหน เอำสติไปกำหนดอย่ำงไร ถา้ ไม่กาหนด เกดิ ดบั ต้องมีสติควบคุมตรงไหน ประการใด เอำจิตไปปักก่อน สติระลึกตามไป “ขวา” สติระลึกก่อน ไมไ่ ด้ เกดิ อยา่ งเดียว พร้อมกบั “จิต” บอกว่ำ “ย่ำงหนอ” หนอลงพอดี เป็ นจงั หวะมนั “ขาวย่างหนอ” หนอลงไป ไมม่ ีดบั แฝงอยูใ่ นจิต พร้อมกบั จิตลงไป “พองหนอยุบหนอ” คนทาไดพ้ องยบุ รู้ชดั สติดีข้ึน ไม่อึดอดั / ทาใหช้ า้ สติ โดย “อนุสยั ” สะสม ดี ฝึ กเดินใหช้ า้ กำหนดเวทนำ ปัญญำเกิดขึน้ รูปนำม ขันธ์ 5 / ขนั ธ์ 5 รูปนามเป็นอารมณ์ แยก อย่ใู นจติ รูปนาม ผ้ปู ฏบิ ัตสิ ำรวมตลอด ยืน เดิน น่ัง นอน น่าเลื่อมใส มีสติ / ยนื หนอ ๆ ชา้ ๆ สตติ ามจิต ศรีษะ -สำรวมระวงั ตวั มีสติ คอยระวงั หู ตา อินทรีย์ / อโหสิกรรมตอ่ กนั อุทิศส่วนกศุ ลผ่ำนกรรมฐำน สติควบคุมจิต ถึง ได้ เป็นกฎแห่งกรรมมีความหมาย / ปลายเทา้ สภาวธรรมเกิดใน ตนเอง ขนั ธ์ 5 รูป นาม จติ น้ีมี ความคิดสูง ปฏบิ ตั ติ รงตารา เดินไปตามแผนที่ เอาจิตไปปักกอ่ น สตริ ะลึกตามไป “จติ ” บอกวา่ “ยา่ ง หนอ” หนอลง พอดี ผล สารวม มสี ติคอย ระวงั อโหสิกรรม อุทิศส่วนกุศล ผ่านกรรมฐาน ตารางท่ี 4.11.7 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “ปัญญำภำยนอกปัญญำภำยใน” แนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมสิงหบรุ ำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั J7] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ -สติปัฏฐาน 4 -การปฏิบัติกำยำนุสติปัฏฐำน ต้องมีสติ จะยืน เดิน นั่ง นอน คู้เหยียด ให้มีสติ / เวทนำ แปลว่ำ ทนไม่ได้ ปวดเม่ือย ไม่มีความสุข ทุกขเวทนา สุขเวทนา มีสติ ต้องมีสติ ดีใจ ปฏบิ ตั กิ ายานุสตปิ ัฏฐาน เสียใจ สุขตอ้ งกาหนด “สุขหนอ” ท่ิลิ้นป่ี ต้งั สติไว้ เอาสติปักไว้ / ตอ้ งมสี ติ จะยนื เดนิ นงั่ นอน คเู้ หยียด ให้มีสติ -ธรรมนุปัสสนำ เป็ นกุศล อกุศล เรารู้ไดอ้ ย่างไร คิดหนอ ท่ี “ลิ้นป่ี ” รู้หนอๆ ไม่ใช่สมอง คิด เวทนา แปลวา่ ทนไมไ่ ด้ หนอ พูดให้รู้จริง เขา้ ใจ รสหนอ อร่อยไม่อร่อย อาหารไม่อร่อย พิจำรณำอำหำร กินหนอ เคีย้ ว ปวดเม่ือย ไม่มีความสุข หนอ กลืนหนอ / การสัมผสั ร้อนหนาวกาหนด สอนให้มีสติทุกอำกำร / เวทนำทนไม่ได้ ต้อง ทกุ ขเวทนา สุขเวทนา มี สติ ตอ้ งมีสติ ดีใจ เสียใจ สุขตอ้ งกาหนด “สุข หนอ” ทล่ิ ้นิ ป่ี ต้งั สติไว้ เอาสตปิ ักไว้ หลกั กำร ธรรมนุปัสสนา เป็น กุศล อกุศล คดิ หนอ ท่ี “ลนิ้ ปี่ ” รูห้ นอๆ ไมใ่ ช่สมอง
506 พิจารณาอาหาร กนิ กำหนด “ปวดหนอ” เอำสติไปปักไว้ อยา่ ปักแรง เครียด “ปวดหนอๆ” กาหนดไปเรื่อยๆ ทุกขก์ ็ หนอ เค้ยี วหนอ กลืน หาย เด๋ียว เวทนาแยกออกไป จิตไม่ยดึ ไม่มีอปุ ทาน ไม่มีจิตยดึ / หนอ เวทนาทนไมไ่ ด้ ตอ้ ง ถา้ ไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอุเบกขาเวทนา จิตใจมีเผลอ ไม่มีที่เกำะเก่ียว / “รู้หนอ” หำยใจยำว ๆ ไม่ กาหนด “ปวดหนอ” หาย กำหนดไป รู้ไปจึงอ้ำงว้ำง “คิดหนอ” จิตออกไปสุข ไม่สุข ทุกท่ีไม่ทุกข์ กำหนดท่ีลิน้ ปี่ เอาสติไปปักไว้ เป็ นอุเบกขำเวทนำ / คิดหนอ ๆ คิดได้ ลิน้ ป่ี กำหนดคิดหนอๆ ความจริงใจตอ้ งทา มาสร้างบุญ ใหก้ บั ตวั เอง เวทนำ ดีใจ เสียใจ บงั คับไม่ได้ เกิดเองต้องกำหนด ท่านทาได้ ทา่ นไม่สงสัย “ปวด วธิ ีกำร หนอ” อุเบกขาเวทนา ไม่สุข ไม่ทุกข์ รู้หนอ คิดหนอ สติดีข้ึนแลว้ ทางานต่อไป / จิตตำนุปัสส นำ ไม่มตี ัวคนให้ทำ จิตเป็ นกระแสไฟฟ้ำ ต้งั สติไว้ เสียงหนอ / “รูห้ นอ” หายใจ ยาว ๆ กาหนดไป -สัมผัสคนทค่ี บได้ คนคบไม่ได้ ควำมคุ้นเคยจะบอกให้ชัด จะรู้กฎแห่งกรรมชัดเจน ถา้ ฝึกแลว้ / รู้ไปจงึ อา้ งวา้ ง “คดิ หนอ” กาหนดท่ี ลิ้นป่ี เป็นอเุ บกขา เวทนา คิดหนอ ๆ คดิ ได้ ลิน้ ปี่ กาหนดคดิ หนอๆ จิตเป็ น กระแสไฟฟ้า ผล สัมผสั คนท่ีคบได้ คนคบไมไ่ ด้ ความคุน้ เคยจะ บอกใหช้ ดั จะรู้กฎ แห่งกรรมชดั เจน ตารางที่ 4.11.8 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “ขันติจำกกรรมฐำน” แนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมสิงหบุรำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั J8] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ -ปฏิบตั ิตามคาสอนของพระพุทธเจ้า โชคดี มีสุข คนจะอดทน ต้ังสติ มีควำมสุข ฟังธรรม ปฏิบัติกรรมฐาน / กำรฟังธรรม เพ่ือไปปฏิบัติธรรม ศึกษำควำมรู้ ทำงวิชำกำร ปฏิบัติ การฟังธรรม เพ่ือ พระพทุ ธศำสนำ ศีล สมำธิ ปัญญำ กำหนดจิต ไปปฏิบตั ิธรรม ศึกษาความรู้ ทาง - สมถะ เป็ นกำรสร้ำงสมำธิเกิดการศึกษา วิปัสสนาเป็ นการตื่นปลุก มีขนั ติ มหานิยมของผู้ วชิ าการ ปฏบิ ตั ิ ปฏิบตั ิกรรมฐาน / ผูเ้ จริญสติปัฏฐาน 4 ยืน เดิน นงั่ นอน ต้งั สติทุกอิริยาบถ สวยน่ารัก องอาจ พระพทุ ธศาสนา ดงั ราชสีห์ กลา้ หาญ / ศลี สมาธิ ปัญญา กาหนดจติ -รู้เท่ำทันอำรมณ์มำกระทบ กาหนดรู้ ทนั ปัจจุบนั ปัจจุบนั มากระทบ ใจสงบ เรื่องร้ายไปเกิด รู้เทา่ ทนั เอาไวแ้ กก้ รรมฐาน รู้เท่าทนั อารมณ์ปัจจุบนั / ยืนหนอ 5 คร้ัง กรรมฐำนเบื้องต้น /ปลาย หลกั กำร เทา้ ไปสะดือ สะดือลงปลายเทา้ ยืนหนอๆ / เวทนำนุปัสสนำ คือ อดทนในเวทนำให้มำก ขันติ ธรรม ขนั ติ หมำยถึง ควำมอดทน กาหนดเวทนา ยงั คบั ไมไ่ ด้ ปวดขา เสียใจ โกรธ เวทนาบงั คบั สมถะ เป็นการ สร้างสมาธิ วปิ ัสสนาเป็น การตื่นปลุก วธิ กี ำร รู้เทา่ ทนั อารมณ์มา กระทบ กาหนดรู้ ทนั ปัจจุบนั เวทนานุปัสสนา คอื อดทนในเวทนาให้
507 มาก ขนั ตธิ รรม ขนั ติ ไม่ได้ / ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ปวดหนอๆ เด่ียวหายไป เสียใจกำหนดท่ี “ลิน้ ป่ี ” กาหนดให้ หมายถงึ ความอดทน ได้ ใช้ควำมอดทนใหม้ าก / จิตตำนุปัสสนำ จิตเป็ นธรรมชำติรับรู้อำรมณ์เอำไว้ ไม่มีตวั ตน ต้อง กาหนดที่ “ล้นิ ป่ี ” กำหนดตำเห็นรูป คิดหนอๆ ที่ลิ้นปี่ / ธรรมานุปัสสนา เป็นกุศล อกุศล กาหนดท่ีลิ้นป่ี เท่ากบั รู้ จติ ตานุปัสสนา จิต หนอ / เป็นธรรมชาตริ บั รู้ อารมณ์เอาไว้ ไม่มี ใชเ้ วลาใหม้ ีประโยชน์ / ทาดีไดด้ ี ทาชว่ั ไดช้ วั่ สร้างความดีตลอดเวลา / เจริญวิปัสสนำกรรมฐำน ตวั ตน ตอ้ งกาหนดตา เกดิ ปัญญำ ผล เป็ นสมถะและวปิ ัสสนำ / กรรมฐำนกำหนดควำมอดทน กดกล้นั อดออม อดทน เห็นรูป คดิ หนอๆ ต่อการงานหน้าท่ี / คนดี ขยนั หมนั่ เพียร สร้างความดี / พัฒนำตนอยู่ได้ด้วยควำมสุข ความ เจริญ / ทนต่อสิ่งไม่ชอบ ตอ้ งอดทน ให้อดทนต่อสิ่งไม่ชอบ เป็ นอนิจจัง ชอบไม่ชอบ ใช้ควำม ผล อดทน ด้วยขันติ กรรมฐำนกำหนดจิตไว้ / ตามใจตวั จิตใจเศร้าหมอง แกป้ ัญหาชีวิตไม่ได้ แก้ กรรมสวดมนตไ์ หวพ้ ระ ไม่เศร้าหมอง ใจผอ่ งใส / เจริญกรรมฐาน ระลึกชาติเหตุการณ์ได้ ฟัง วิปัสสนากรรมฐาน ด้วยปัญญำ คิดหนอ ๆ มีสตปิ ัญญำ มีขนั ติ มีความอดทน / ตอ้ งอดทน สร้างความดี ส่ิงท่ีดีไวใ้ น เกดิ ปัญญา ผล เป็น ใจ 1) รู้กฎแห่งกรรม 2)ฟังเทศน์ อดทน ไม่ทบทวน / ความสุขขนั ติประโยชน์หาให้ ขนั ติคือ สมถะและวปิ ัสสนา ความอดทน สจั จะในตวั เรา อดทนอยา่ งลึกซิ้ง กรรมฐานกาหนด ความอดทน กดกล้นั อดทนตอ่ สิ่งไมช่ อบ เป็นอนิจจงั ชอบไม่ ชอบ ใชค้ วามอดทน ดว้ ยขนั ติ กรรมฐาน กาหนดจติ ไว้ ฟังดว้ ยปัญญา คดิ หนอ ๆ มีสติปัญญา ตารางท่ี 4.11.9 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “กรรมฐำน แก้กรรม” แนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมสิงหบุรำจำรย์ (จรัญ ฐิตธฺมโม) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั J9] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ -การเจริญกรรมฐำน รู้กฎแห่งกรรม แก้กรรม แก้ปัญหำเฉพำะหน้ำ / เจริญกรรมฐาน รู้ -ยุบหนอ พองหนอ เหน็ หนอ เอำไปใช้ประโยชน์ / แผเ่ มตตา ช่วยได้ / กฎแห่งกรรม แก้ กรรม แกป้ ัญหา เฉพาะหนา้ หลกั กำร ยบุ หนอ พองหนอ เหน็ หนอ เอาไปใช้ วธิ กี ำร -ยืนหนอ 5 คร้ัง จำกปลำยเท้ำ ถึง ศรีษะ / มีสติท่ลี นิ้ ป่ี ยนื หนอ 5 คร้งั -กรรมฐานแก้กรรรม โดยสร้างใหเ้ กิดวาสนา ช่วยครอบครัวแกป้ ัญหา แผ่เมตตา มีกาลงั มีทุกข์ จากปลายเทา้ ถึง ศรีษะ มสี ติทีล่ ้ินป่ี ผล กรรมฐาน รู้กฎ ยากช่วยได้ แผเ่ มตตา / นำควำมสุข แผ่เมตตำ / เจริญกรรมฐำน รู้กฎแห่งกรรม ระลึกชำติ นึกถึง แห่งกรรม ระลกึ พอ่ แม่ รู้วา่ เราทากรรมอะไรไว้ กรรมฐานตดั ได้ รู้หนอ คิดหนอ / เกลียดอะไรใหแ้ ผเ่ มตตา ชาติ แกก้ รรรม นาความสุข แผ่ เมตตา
508 [12] สมเด็จพระพทุ ธโฆษำจำรย์ (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) 4.12.1) ประวัติ : สมเด็จพระพทุ ธโฆษำจำรย์ (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) สมเด็จพระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ระหว่างวนั ท่ี 12 มกราคม พ.ศ. 2481 ถึง ปัจจุบนั ประวัติโดยย่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ปยตุ ฺโต) สมเด็จพระพุทธโฆษาจารยเ์ ป็นพระนกั วิชาการนกั คิด นกั เขียนผลงานทางพระพุทธศาสนารุ่นใหม่ ไดท้ ุ่มเทเวลาใหก้ บั งานดา้ นวิชาการ ตีพิมพผ์ ลงานเป็นหนงั สือ และบทความออกมาอย่างแพร่หลาย ท้งั ร่วมเสวนาและสัมมนาทางวิชาการ กบั นกั วิชาการและปัญญาชน ร่วมสมยั อย่างสม่าเสมอ หนงั สือพุทธธรรม เช่น พุทธธรรม เป็ นตน้ ท่านไดร้ ับการยกย่องจากท้งั ในและ ต่างประเทศเป็นอยา่ งมาก ดว้ ยผลงานของท่านทาให้ท่านไดร้ ับรางวลั และดุษฎีบณั ฑิตกิตติมศกั ด์ิจากหลาย สถาบนั ท้งั ในและนอกประเทศ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งการท่ีท่านเป็นคนไทยคนแรกท่ีไดร้ ับรางวลั “การศึกษา เพื่อสันติภาพ” จากยูเนสโก (UNESCO Prize for Peace Education) ปริญญาดุษฎีบณั ฑิตกิตติมศกั ด์ิท่ีท่าน ไดร้ ับรวมมีมากกว่า 15 สถาบนั ซ่ึงนบั วา่ ท่านเป็นพระภิกษุสงฆไ์ ทยที่ไดร้ ับการยกยอ่ งใหไ้ ดร้ ับดุษฎีบณั ฑิต กิตติมศกั ด์ิมากท่ีสุดในปัจจุบนั ไดร้ ับเล่ือนสมณศกั ด์ิข้ึนตามลาดบั เป็ นพระราชวรมุนี พระเทพเวที พระ ธรรมปิ ฎก พระพรหมคุณาภรณ์ และสมเด็จพระพุทธโฆษาจารยซ์ ่ึงเป็ นสมณศกั ด์ิที่รู้จกั กนั อย่างแพร่หลาย ในปัจจุบนั ปัจจุบนั สมเด็จพระพุทธโฆษาจารยเ์ ป็ นจา้ อาวาสวดั ญาณเวศกวนั ตาบลบางกระทึก อาเภอสาม พราน จงั หวดั นครปฐม และดูแลสานกั สงฆส์ ายใจธรรม บนเทือกเขาสาโรงดงยาง ตาบลหนองแหน อาเภอ พนมสารคาม จงั หวดั ฉะเชิงเทรา สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต)73 (นามเดิม: ประยทุ ธ์ อารยางกรู ) เกิดวนั พฤหสั บดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2481 ณ บา้ นใกลร้ ิมฝ่ังแม่น้าสุพรรณบุรี (แม่น้าท่าจีน) ฝ่ังตะวนั ออก บริเวณตลาดศรี ประจนั ต์ อาเภอศรีประจนั ต์ จงั หวดั สุพรรณบุรี นามเดิมวา่ ประยทุ ธ์ อารยางกรู เป็นบุตรคนท่ี 5 จากบุตรเกา้ คนของนายสาราญ และนางชุนกี อารยางกูร ทางครอบครัวประกอบกิจการคา้ ขายผา้ แพร ผา้ ไหม ขายของชา และโรงสีไฟ เม่ืออายไุ ด้ 6 ขวบเขา้ เรียนช้นั อนุบาลในโรงเรียนอนุบาลครูเฉลียวที่ตลาดศรีประจนั ต์ จบช้นั ประถมศึกษาจากโรงเรียนประชาบาลชยั ศรีประชาราษฎร์ จากน้นั บิดาไดพ้ าเขา้ กรุงเทพฯ เพ่อื เรียนต่อระดบั มธั ยมท่ีโรงเรียนวดั ปทุมคงคา โดยพกั อยู่ที่วดั พระพิเรนทร์ เด็กชายประยุทธ์เป็นเด็กเรียนเก่ง จึงไดร้ ับทุน เรียนดีจากกระทรวงศึกษาธิการจนถึงมธั ยมศึกษาตอนตน้ และมีความใส่ใจในการเรียนมาก ช่วงเวลาปิ ด เทอมกลบั มาอยทู่ ี่บา้ น กส็ ามารถสอนภาษาองั กฤษแก่นอ้ ง ๆ ได้ เน่ืองจากเป็นเด็กสุขภาพไม่ใคร่ดีต้งั แต่เลก็ จนโต จากคาบอกเล่าของญาติพี่น้องและคนใกลช้ ิดกล่าวว่า วยั เยาวข์ องท่านจะควบคู่ไปกบั การเจ็บป่ วย เรื่อยมา เป็ นเกือบทุกโรค เป็นตน้ ว่า หัวใจรั่ว ทอ้ งเสีย ทอ้ งอืด ตอ้ งผา่ ตดั ถึงสองคร้ัง หูเป็นน้าหนวกอกั เสบ เขา้ ไปในกระดูกพรุนถึงโพรงศีรษะ แพอ้ ากาศ โรคปอด นิ่วในไต หลอดลมอกั เสบ กลา้ มเน้ือแขนอกั เสบ ไวรัสเขา้ ตา สายเสียงอกั เสบ เส้นเลือดไปเล้ียงสมองขา้ งซา้ ยเลก็ ลีบ เป็นตน้ จากสุขภาพที่ไม่แข็งแรงเช่นน้ี 73 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต). ประวตั ิ. [ออนไลน]์ เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.praphansarn.com/home/detail_author_th/68. 2022.
509 ทาใหเ้ ป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่าเรียนตามปกติ หลงั จากจบมธั ยมศึกษาปี ที่ 3 ทางบา้ นจึงสนบั สนุนใหท้ ่าน ไดบ้ รรพชาเป็นสามเณร ท่ีวดั บา้ นกร่าง ตาบลศรีประจนั ต์ ซ่ึงอยู่ใกลก้ บั บา้ น เพราะเล็งเห็นว่าการอย่ใู นเพศ บรรพชิตจะเอ้ืออานวยต่อการศึกษาไดม้ ากกว่า เพราะไม่ตอ้ งยุ่งยากเดินทางไปโรงเรียน และยงั สามารถ ศึกษาเล่าเรียนอยูท่ ่ีวดั ได้ เม่ือบรรพชาเป็นสามเณรแลว้ ท่านไดเ้ ริ่มเล่าเรียนทางพระปริยตั ิธรรม จนกระทงั่ ปี พ.ศ. 2496 ก็เดินทางเขา้ กรุงเทพฯ มาจาพรรษาที่ วดั พระพิเรนทร์ สอบไดน้ กั ธรรมเอก และเปรียญธรรม 9 ประโยค ขณะยงั เป็ นสามเณร จึงได้รับพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ จากพระบาทสมเด็จพระ เจา้ อย่หู ัว รัชกาลท่ี 9 รับเป็น นาคหลวง โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระอุปัชฌาย์ ศึกษาจนกระทง่ั ไดร้ ับ ปริญญาพุทธศาสตร์บณั ฑิต เกียรตินิยมอนั ดบั 1 จาก มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั หลงั จากสอบชุดวิชาครู พ.ม. ได้ ก็ไดร้ ับการแตง่ ต้งั เป็นรองเลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั และดารงตาแหน่งติดต่อกนั มาถึง 10 ปี มีบทบาททางดา้ นการปรับปรุงหลกั สูตรการศึกษาของคณะสงฆ์ โดยพยายามเช่ือมโยงความรู้ทางธรรม ใหเ้ ขา้ กบั ปัญหาสังคมร่วมสมยั ในทางดา้ นการบริหารเคยดารงตาแหน่งรองเจา้ อาวาสวดั พระพิเรนทร์ ช่วงปี พ.ศ. 2516 และลาออกจากตาแหน่งบริหารหลงั จากน้นั ในสามปี ต่อมา โดยทุ่มเทเวลาและกาลงั กายใหก้ บั งาน ดา้ นวิชาการ ตีพิมพผ์ ลงานเป็นหนังสือและบทความออกมาอยา่ งแพร่หลาย ท้งั ร่วมเสวนาและสัมมนาทาง วิชาการ กบั นักวิชาการและปัญญาชนร่วมสมยั อย่างสม่าเสมอ หนงั สือพุทธธรรม ไดร้ ับการยกย่องว่าเป็น เพชรน้าเอกของวงการพุทธศาสนา ได้รับดุษฎีบณั ฑิตกิตติมศกั ด์ิ จากมหาวิทยาลัยท้งั ในประเทศและ ต่างประเทศ 10 กวา่ แห่ง และไดร้ ับรางวลั \"การศึกษาเพ่อื สนั ติภาพ\" จากยเู นสโก เมื่อปี พ.ศ. 2537 ซ่ึงท่านได้ มอบเงินรางวลั ท้งั หมดใหแ้ ก่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจดั ต้งั กองทุนการศึกษาพระธรรมปิ ฎกเพื่อสันติภาพ พระ ป.อ. ปยุตโต ไดร้ ับเล่ือนสมณศกั ด์ิข้ึนตามลาดบั กระทง่ั ถึงช้นั สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ซ่ึงเป็นสมณ ศกั ด์ิที่รู้จกั กนั อย่างแพร่หลายในปัจจุบนั โดยลาดบั สมณศกั ด์ิท่ีไดร้ ับ มีดงั น้ี พ.ศ. 2512 เป็ นพระราชาคณะ ช้ันสามญั ที่ พระศรีวิสุทธิโมลี พ.ศ. 2516 เป็ นพระราชาคณะช้ันราช ท่ี พระราชวรมุนี พ.ศ. 2530 เป็ น พระราชาคณะช้นั เทพ ท่ี พระเทพเวทีพ.ศ. 2536 เป็ นพระราชาคณะช้นั ธรรม ที่ พระธรรมปิ ฎก อดุลญาณ นายก ปาพจนดิลกนิวิฐ ตรีปิ ฎกบณั ฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี พ.ศ. 2547 เป็นพระราชาคณะ เจา้ คณะรอง ช้นั หิรัณยบฏั ท่ี พระพรหมคุณาภรณ์ สุนทรธรรมสาธก ตรีปิ ฎกปริยตั ิโกศล วิมลศีลาจาร ศาส นภารธุราทร มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี ในมหาวโรกาสที่ สมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ เม่ือวนั ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2547 พ.ศ. 2559 พระราชทานโปรด สถาปนาสมณศกั ด์ิเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ช้นั สุพรรณบฏั ท่ี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทร นายก ปาพจนดิลกวรานุศาสน์ อารยางกูรพิลาสนามานุกรม คัมภีรญาณอุดมวิศิษฎ์ ตรีปิ ฎกบัณ ฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี ตลอดชีวิตของสมเดจ็ พระพทุ ธโฆษาจารย์ ท่านไดใ้ ชค้ วามรู้ พระไตรปิ ฎกแทๆ้ เพอื่ ช่วยปกป้องสังฆมณฑลในประเทศไทยหลายกรณี ไมว่ า่ กรณีสนั ติอโศกหรือกรณีวดั พระธรรมกาย ท่านไดช้ ่วยช้ีแจงให้คนไทยไดร้ ับทราบถึงขอ้ มูลเก่ียวกบั พระไตรปิ ฎกที่ถูกตอ้ งเอาไวห้ ลาย คร้ัง ในขณะเดียวกนั ท่านยงั มีบทบาทในการช้ีแนะสังคมไทยในดา้ นการบริหารประเทศหลายคร้ัง เช่น ใน หนงั สือ มองอเมริกาแกป้ ัญหาไทย ไดช้ ้ีใหเ้ ห็นถึงอิทธิพลของระบบทุนนิยมเสรีในประเทศไทย และยงั ได้
510 ช้ีใหเ้ ห็นวา่ สังคมตะวนั ตก หรืออเมริกา มีแงม่ มุ ที่ไม่ควรเป็นแบบอยา่ งในการพฒั นาประเทศไทย ท่ีจะทาให้ เนน้ แต่พฒั นาวตั ถุ ทาใหน้ กั คิดไทยหลายคนตื่นตวั มาหาหลกั พทุ ธธรรมเป็นแนวในการพฒั นา 4.12.2) ธรรมบรรยำยคำสอน : สมเดจ็ พระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) ตารางท่ี 4.12 ขอ้ มูลธรรมบรรยายเกี่ยวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ รหัส สมเดจ็ พระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) ผา่ นช่องทาง YouTube P1 จาแนกตามรหสั รูปภาพและรายละเอียดแหล่งที่มา [รหสั P1-15] รูปภำพ แหล่งที่มำ https://www.youtube.com/watch?v=bYifFmMfhCA “หลกั กำรทวั่ ไปของสติปัฏฐำน” ความยาว : 52 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 24 เม.ย. 2018 จานวนการดู : 41,638 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 1 มกราคม พ.ศ. 2564 P2 https://www.youtube.com/watch?v=ZOnndWvZ7-Y “อยำกได้สมำธิกนั นกั หนำ ถ้ำไม่เอำสติมำนำหน้ำ ทำงสำเร็จก็ไม่ม”ี ความยาว : 51 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 27 ม.ค. 2018 จานวนการดู : 31,942 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 9 มกราคม พ.ศ. 2564 P3 https://www.youtube.com/watch?v=nOuhOURVsqw “ปัญญำภำวนำ ด้วยสตปิ ัฏฐำน 1/1” ความยาว : 1 ชวั่ โมง จานวนการดู : 10,724 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 9 มกราคม พ.ศ. 2564 P4 https://www.youtube.com/watch?v=Yz9KMfrmGUc “อำนำปำนสติ โยงสู่สติปัฏฐำน ตอนท่ี 1” ความยาว : 46 นาที จานวนการดู : 65,490 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 9 มกราคม พ.ศ. 2564
511 P5 https://www.youtube.com/watch?v=s9mvNd4F3vw “อำนำปำนสติ โยงสู่สติปัฏฐำนตอนที่ 2” ความยาว : 1 ชวั่ โมง จานวนการดู : 28,597 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 16 พ.ย. 2013 วนั ที่คน้ หา : 9 มกราคม พ.ศ. 2564 P6 https://www.youtube.com/watch?v=82Q2oZIZ4jQ “หมวดท่ี 1 กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน” ความยาว : 13 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 30 ส.ค. 2015 จานวนการดู : 2,926 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 10 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 P7 https://www.youtube.com/watch?v=Pxw6iSbQsGI “หมวด 2 เวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน” ความยาว : 11 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 30 ส.ค. 2015 จานวนการดู : 2,319 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564 P8 https://www.youtube.com/watch?v=b3gaI2LvwH0 “หมวด 3 จติ ตำนุปัสสนำสติปัฏฐำน” ความยาว : 14 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 30 ส.ค. 2015 จานวนการดู : 2,374 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 P9 https://www.youtube.com/watch?v=nWex1qKG2bk “หมวดที่ 4 ธรรมำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน” ความยาว : 12 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 30 ส.ค. 2015 จานวนการดู : 1,685 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 10 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564
512 P10 https://www.youtube.com/watch?v=ajeVYYNLd6o “ควำมสำเร็จของกำรปฏิบตั ิ (โพชฌงค์ 7)” ความยาว : 21 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 30 ส.ค. 2015 จานวนการดู : 7,506 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564 P11 https://www.youtube.com/watch?v=EtE2wj15bhA “วปิ ัสสนำภูมิ 6” ความยาว : 43 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 29 ส.ค. 2015 จานวนการดู : 8,633 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 P12 https://www.youtube.com/watch?v=J7OqsdqXCUc “ควำมหมำยของสติปัฏฐำน” ความยาว : 10 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 29 ส.ค. 2015 จานวนการดู : 776 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564 P13 https://www.youtube.com/watch?v=975Hby421-A “ขดี ข้นั ของควำมสำเร็จท่กี รรมฐำนจะให้ได้” ความยาว : 9 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 28 ส.ค. 2015 จานวนการดู : 984 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564 P14 https://www.youtube.com/watch?v=t9lVhHtacEU “ญำณ 16” ความยาว : 13 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 29 ส.ค. 2015 จานวนการดู : 3,824 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564
513 P15 https://www.youtube.com/watch?v=UFmDsIov1Iw “ โพธิปักขยิ ธรรม 37” ความยาว : 41 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 29 ส.ค. 2015 จานวนการดู : 8,171 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2564 จากตารางที่ 4.12 ขอ้ มูลธรรมบรรยายเก่ียวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิสมเด็จ พระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ผ่านช่องทาง YouTube จาแนกตามรหัส รูปภาพและรายละเอียด แหล่งที่มา [รหัส P1-15] จำนวน 15 คลิปข้อมูล ประกอบดว้ ย “หลกั การทวั่ ไปของสติปัฏฐาน” “อยากได้ สมาธิกนั นกั หนา ถา้ ไม่เอาสติมานาหนา้ ทางสาเร็จก็ไม่มี” “ปัญญาภาวนา ดว้ ยสติปัฏฐาน 1/1” “อานาปาน สติ โยงสู่สติปัฏฐาน ตอนท่ี 1” “อานาปานสติ โยงสู่สติปัฏฐานตอนที่ 2” “หมวดท่ี 1 กายานุปัสสนาสติปัฏ ฐาน” “หมวด 2 เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน” “หมวด 3 จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน” “หมวดท่ี 4 ธรรมา นุปัสสนาสติปัฏฐาน” “ความสาเร็จของการปฏิบตั ิ (โพชฌงค์ 7)” “วิปัสสนาภมู ิ 6” “ความหมายของสติปัฏ ฐาน” “ขีดข้นั ของความสาเร็จท่ีกรรมฐานจะให้ได”้ “ญาณ 16” “ โพธิปักขิยธรรม 37” จากธรรมบรรยาย เก่ียวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) ดงั แสดง ในตารางท่ี 4.12.1 ถึงตารางที่ 4.12.15 ผลการศึกษาพบวา่ ตารางที่ 4.12.1 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “หลกั กำรทว่ั ไปของสตปิ ัฏฐำน” แนวทางปฏิบตั ิสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยทุ ธ์ ปยตุ ฺโต) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั P1] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด -ควำมหมำย สติปัฏฐำน หลกั การทว่ั ไป ปัญญำภำวนำอยู่กับสติปัฏฐำน 4 ฐานะทางานสาคญั วปิ ัสสนา สติปัฏฐำน 4 หมำยถงึ กำรต้ังสติ เอำสติเป็ นตัวเด่น ปฏิบตั ิปัญญาภาวนา ส่ิงเป็ นที่ต้ัง ปัญญาภาวนาอยกู่ บั สติ ส่ิงท่ีถูกพจิ ำรณำมาเป็นความหมาย / หลกั การทว่ั ไปของสติปัฏฐาน จากจิตภาวนาสู่ปัญญา สตปิ ัฏฐาน 4 ภาวนา ตามวิธีสติปัฏฐาน เป็นไปตามวิธีสติปัฏฐาน หลกั การทว่ั ไป หมายความวา่ จิตภำวนำ เป็ นสมถะ ออกจำกถึงปัญญำภำวนำตำมวิถีสติปัฏฐำน ปัญญาภาวนาตามวิธีสติปัฏฐาน 4 เป็น สตปิ ัฏฐาน 4 เรื่องปัญญาภาวนา / สติปัฏฐาน 4 อยา่ งไร คือ มีสติและปัญญำมาทางาน 1)กำยำนุปัสสนำสติ หมายถึง การต้งั สติ ปัฏฐำน คือ กำย+อนุปัสสนำ 2)เวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน คือ เวทนำ+อนุปัสสนำ 3)จิตตำ เอาสติเป็นตวั เด่น ส่ิง นุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน คือ จติ +อนุปัสสนำ 4) ธรรมนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน คือ ธรรม + อนุปัสสนำ เป็นท่ตี ้งั สติ สิ่งทถ่ี กู พิจารณา จติ ภาวนาเป็นสมถะ ออกถงึ ปัญญาภาวนา ตามวถิ ีสติปัฏฐาน สตปิ ัฏฐาน 4 มสี ติ และปัญญา 1)กายานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน คอื กาย+อนุปัสสนา 2) เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน คือ เวทนา+อนุปัสสนา 3) จิตตานุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน คอื จิต+อนุปัสสนา 4)
514 ธรรมนุปัสสนาสตปิ ัฏฐาน -ควำมหมำยหลัก คือ กำรต้ังสติ กำรที่สติเข้ำไปต้ังอยู่ กำหนดอำรมณ์น้ันอยู่ มีสติกำหนดอยู่ คอื ธรรม + อนุปัสสนา อำรมณ์น้ัน เอ “สติ” มำวำงเป็ นประธำน การปฏิบตั ิเจริญ “ปัญญาภาวนา” เอา “สติ” มาต้งั เป็น ประธานมาร่วมสนบั สนุน มาช่วยงานใหส้ ติทางาน และเป็นไปทางาน / สตปิ ัฏฐำน คือ กำรทำ หลกั กำร สติให้สติมำเฝ้ำดูแล สติต้ังเป็ นประธำนคอยดูแลทางานแท้จริง คือ “ปัญญา” เห็นคาว่า “อนุปัสสนำ” ปัญญำทำงำนควบคู่กับ “สติ” / สติช่วยให้เกิดสมำธิ พาสมาธิไปเริ่มสมถะ เกิด หลกั คอื การต้งั สติ การท่ี ปัญญำ สติมำเป็ นประธำน สติพาเอาปัญญามาทางาน “สมาธิ” เป็ นเพียงหลกั รองรับอยู่ และ สติเขา้ ไปต้งั อยู่ กาหนด ทางานกบั สติ / กำรทำงำนของจิตที่เป็ นสมำธิ “อนุปัสสนำ” กับตัวปัญญำ สติเป็นผูเ้ บิกตัวดวง อารมณ์อยู่ เอา “สติ” มาเป็น ธรรมข้ออ่ืน เป็ นผู้ป้อนอำรมณ์ให้ปัญญำ / สติปัฏฐำน เป็ นท้ังสมถะและวิปัสสนำ บาเพ็ญไป ประธานปฏบิ ตั ิ “ปัญญา ดว้ ยกนั ใช้ได้ท้ังจิตภำวนำพร้อมปัญญำภำวนำ หมายความว่า ในสติปัฏฐำน ทำให้จิตสงบเป็ น ภาวนา” อำรมณ์ ปัญญำรู้เท่ำทันควำมจริง ได้ท้ังสมำธิและปัญญำ ความหมายชีวิตประจาวนั เราปฏิบตั ิ ตามหลกั การสติปัฏฐาน / อนุปัสสนำ คือ ตัวปัญญำ สติเป็ นตวั เบิกตวั ดวงธรรมขอ้ อื่น เป็ นผู้ สตปิ ัฏฐาน คอื การทา ป้อนอารมณ์ใหป้ ัญญา / อนุปัสสนา คือ ตำมดูตำมเห็นอยู่เร่ือย ไม่คลำดสำยตำ ตำมดูรู้ทัน สติ สตใิ ห้สตมิ าเฝา้ ดูแล สติ เหมือนทวำร คนเฝ้ำประตู คอยดูคนเขา้ ออกทุกคน คอยจบั ตาไดห้ มด ตอ้ งดูอยูใ่ นสายตา นาย ต้งั เป็นประธานคอยดูแล ทวารทาหน้าที่ ถูกตอ้ งตรวจดู จบั ตาดูทุกคน นายทวารตอ้ งมีปัญญา รู้ทันกำรทำงำนได้ผลดี ทางานแทจ้ ริง คือ ต้องมีสติและปัญญำ / สติปัฏฐำนตำมดูรู้ทันอะไร กำยเวทนำจิตธรรม ตำมดูรู้ทัน 4 ด้ำน / สติ “ปัญญา” เหน็ คาว่า ปัฏฐาน การต้งั สติพิจารณาดูเท่าทนั ดูนามรูปก็ได้ ดูที่ชีวิตจิตใจ เรามองเห็นโลกสังขารรูปนาม “อนุปัสสนา” ปัญญา รู้จกั ชีวติ จิตใจตามความเป็นจริง / ทางานควบคู่กบั “สต”ิ -กำยำนุปัสสนำ ต้ังสติกำหนดรู้กำย กำหนดลมหำยใจ หมวดอานาปานสติบรรพ มีสติหายใจ สตชิ ่วยให้เกิดสมาธิ พา เขา้ ออก ให้ไปหาที่สงบสงัดป่ า นั่งสมาธิ มีสติหายใจเขา้ ออกยาวส้ัน / คำว่ำ “ศึกษำว่ำ..” สมาธิไปเริ่มสมถะ เกดิ หมำยถึง ฝึ ก รู้ชัดว่ำ หำยใจเข้ำออก รู้ไปตำมน้ัน ฝึ กให้รู้ท้ังกำยท้ังหมด หำยใจเข้ำ หำยใจออก ปัญญา สติมาเป็น ให้ทำใจไปรู้ท้ังตัว / อิริยาบถ ยืน เดิน น่ัง นอน เดินไปก็รู้ชัด ยืนก็รู้ชัด นอนก็รู้ชัด รู้การ ประธาน สตพิ าเอา เคลื่อนไหว การต้งั อยูอ่ ยา่ งไร ก็รู้ชดั กายต้งั อยู่ / สัมปชัญญะ กำรมีควำมรู้ตัวท่ัวพร้อมในกำร ปัญญามาทางาน เคลื่อนไหว เน้นกำรเคลื่อนไหวย่อยๆ ทำควำมรู้ตัวทั่วพร้อม รวมท้งั อิริยาบถ 4 เขา้ มาพร้อมท้งั “สมาธิ” เป็นเพียงหลกั การเคลื่อนไหว กำรทำสัมปชัญญะ ควำมรู้ตัวทั่วพร้อม คูแ้ ขน ออกเขา้ ด่ืม เค้ียว ลิ้มรส กลืน รองรบั อยู่ อาหาร การถ่ายอจุ าระ ปัสสาวะ การเคล่ือนไหวรวมอยใู่ นเรื่อง สัมปชัญญะ กำรเคล่ือนไหว ลม หายใจ การขยบั ร่างกาย / การพิจารณาดูร่างกาย ปฏิกูลว่า ดว้ ยกำรพิจำรณำสิ่งปฏิกูลของ สติปัฏฐาน เป็นท้งั ร่ำงกำย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯ รำยชื่ออำกำร 32 สารวจดูให้เขา้ ใจร่างกาย ประกอบดว้ ย สมถะและวปิ ัสสนา อวยั วะต่ำงๆ มำกมำย มองดูเป็นการแยกกระจายส่วน / กายานุปัสสนา ต้งั สติตำมรู้ทันกำย กาย ใชไ้ ดท้ ้งั จิตภาวนาพรอ้ ม ส่วนไหนตามดูรู้ทนั 1) ตำมดูรู้ทันลมหำยใจเข้ำออก 2)ตำมดูรู้ทันอิริยำบถ กำรเคล่ือนไหว ยืน ปัญญาภาวนา สติปัฏฐาน จิตสงบเป็น อารมณ์ ปัญญารู้เท่าทนั ความจริง ไดส้ มาธิและ ปัญญา อนุปัสสนา คอื ตวั ปัญญา สติเป็นตวั เบิกตวั ดวงธรรม ขอ้ อื่น เป็นผปู้ ้อนอารมณ์ ให้ปัญญา อนุปัสสนา คือ ตามดูตาม เห็นอยูเ่ ร่ือย ไม่คลาดสายตา ตามดรู ูท้ นั สตเิ หมอื นทวาร คนเฝ้าประตู สติปัฏฐานตามดรู ูท้ นั กายเวทนาจติ ธรรม ตาม ดรู ูท้ นั 4 ดา้ น วิธีการ กายานุปัสสนา ต้งั สติ กาหนดรูก้ าย กาหนดลม หายใจ คาว่า “ศกึ ษาว่า..” หมายถึง ฝึก รูช้ ดั ว่า หายใจเขา้ ออก รูไ้ ป ตามน้นั ฝึกใหร้ ูท้ ้งั กาย ท้งั หมด หายใจเขา้ หายใจออก ใหท้ าใจไป รู้ท้งั ตวั อิริยาบถ ยืน เดิน นงั่ นอน เดินไปกร็ ู้ชดั ยนื ก็ รู้ชดั นอนกร็ ูช้ ดั รูก้ าร เคล่อื นไหว การต้งั อยู่ อยา่ งไร กร็ ู้ชดั สัมปชญั ญะ การมคี วาม รูต้ วั ทวั่ พรอ้ มในการ เคลอ่ื นไหว เนน้ การ เคล่อื นไหวยอ่ ยๆ ทา ความรู้ตวั ทวั่ พรอ้ ม การพจิ ารณาสิ่งปฏกิ ูล ของร่างกาย ผม ขน เลบ็
515 ฟัน หนงั ฯ อาการ 32 เดิน นง่ั นอน ให้มีควำมรู้สึกตวั ท่ัวพร้อม “สัมปชัญญะ” เคลื่อนไหว อะไรให้รู้ตัวไปหมด เขา้ สู่ อวยั วะตา่ งๆ ส่วนประกอบร่างกายไป มองดูร่างกายเกิดข้นึ จากการประชุมอวยั วะต่างๆ มากมาย อำกำร 32 ดู ร่ำงกำยธำตุ 4 ซำกศพในป่ ำช้ำ แยก 9 ลกั ษณะ ข้นั ตอนไปสู่สติปัฏฐำน / เวทนานุปัสสนาสติปัฏ กายานุปัสสนา ต้งั สติ ฐาน ต้งั สติตามดูรู้ทนั สุข ทุกข์ของร่างกาย มีความสุขสบาย เฉยๆ ความรู้สึกอาศยั อามิส รูป ตามรู้ทนั กาย กายส่วน เสียง กลิ่น รส / จิตตานุปัสสนา รู้ทนั ลกั ษณะจิต จิตต้งั มนั่ รู้ตามความเป็นจริง / ธรรมำนุปัสส ไหนตามดูรู้ทนั 1)ลม นำ ต้ังสติ ตำมดูรู้ทันธรรม ตำมดูนิวรณ์ กิเลส รู้ทัน ขันธ์ 5 อำยตนะ 6 คู่ ต้ังสติตำมดูรู้ทัน หายใจเขา้ ออก 2) เข้ำใจเร่ือง โพชฌงค์ 7 อริยสัจ 4 ขยำยค่อยๆ ขยำยกันไป เข้ำสู่รำยละเอียด / ธาตุบรรพ ให้ อริ ิยาบถเคลื่อนไหว ยนื พิจารณากายต้งั อยู่ ดารงอยู่ มีธำตุ 4 ธาตุ เป็นเรื่องธรรมชำติ และสภำวธรรม / นวสี 9 ป่ ำช้ำ 9 เดนิ นงั่ นอน ให้มคี วาม เร่ืองซากศพในป่ าช้า มีสภำพต่ำงๆ อุสภกรรมฐำน ให้ดูร่างกายทิ้งไวใ้ นป่ าช้า น้อมเข้ำมำ รู้สึกตวั ทว่ั พรอ้ ม พจิ ำรณำร่ำงกำย ของเราท่ีเป็นธรรมดา จะตอ้ งเป็นอยา่ งน้ี ไม่พน้ อยา่ งน้ีไปได้ การเปลี่ยนแปลง “สมั ปชญั ญะ” ตามระยะเวลา ที่ต้งั ไวใ้ นป่ าชา้ / ชีวิตใหเ้ ขา้ ใจรู้จกั ชีวิตของเรา สังเกตดูศพ ซากศพ ให้ไปดูใน เคลื่อนไหว อะไรให้ ป่ าช้า ให้น้อมมำพิจำรณำร่ำงกำย เป็ นธรรมดำ การดูร่างกาย / การดูซำกศพในสติปัฏฐำน รู้ตวั ไปหมด มุ่งเน้นกำรดูตำมสภำพควำมเป็ นจริงของร่ำงกำยของทุกคน เป็ นอย่างดูตวั เองไม่ได้ ไปดู ซากศพเป็นของจริงมาเทียบ เราตายไปแลว้ เป็ นอย่างน้ี ร่างกายเปื่ อย ตายเป็นธรรมดา สติปัฏ เวทนานุปัสสนา ต้งั สติ ฐำนมองเห็นเป็ นธรรมดำ ซำกศพเทียบ ชีวิตของเรำ เป็นอย่างน้ี ร่างกายของเราเป็ นอย่างน้ี / ตามดรู ูท้ นั สุข ทกุ ข์ ปฏกิ ูลมนสิกำร ดอู ำกำร 32 แยกดเู ป็ นส่วนๆ พิจารณาประมวลเป็นพวก ธาตุ 4 อวยั วะต่างๆ ไม่ ร่างกาย มีความสุขสบาย หลงใหลมัวเมำ รู้เป็ นธรรมดำ เห็นอนัตตำมากข้ึน / อิริยำบถ 4 กำรยืน เดิน น่ัง นอน เฉยๆ ความรู้สึกอาศยั สัมปชัญญะ ตำมดูรู้ทัน รู้ตัวท่ัวพร้อมทุกอย่ำง การเคลื่อนไหว เน้นปัญญา อยู่ท่ี สัมปชญั ญะ อามสิ รูป เสียง กล่ิน รส รู้ตวั ทวั่ พร้อม เป็นปัญญา ธรรมานุปัสสนา ต้งั สติ ตามดูรู้ทนั ธรรม นิวรณ์ กำรต้ังสติตำมดูรู้ทัน กำย เวทนำ จิต ธรรม เขา้ ใจความหมาย อะไรเป็นอารมณ์ของสติปัฏฐาน รูท้ นั ขนั ธ์ 5 อายตนะ 6 ใชไ้ ดท้ ้งั สมถะ และวิปัสสนา อารมณ์เขา้ ได้ เป็ นอำรมณ์สมถะและวิปัสสนำ คือ ชีวิตร่ำงกำย คู่ ต้งั สติตามดูรู้ทนั จิตใจ ของเรำท้ังหมด เป็ นอำรมณ์ สติปัฏฐานท้งั หมดเอาโลกและชีวิตท้งั หมด เริ่มที่ตัวเรำ เขา้ ใจ โพชฌงค์ 7 ขยำยไปผู้อื่น สรรพส่ิง ปรำกฏแสดงออกมำ กำย เวทนำ จิต ธรรม / อารมณ์วิปัสสนาสติปัฏ อริยสัจ 4 ขยายคอ่ ยๆ ฐาน คอื กาย เวทนา จิต ธรรม / ไป เขา้ สู่รายละเอียด ธาตบุ รรพ พจิ ารณากาย ต้งั อยู่ มธี าตุ 4 ธาตุ ธรรมชาติ สภาวธรรม นวสี 9 ป่ าชา้ 9 ซากศพ ในป่ าชา้ มีสภาพตา่ งๆ ดู ร่างกายทง้ิ ไวใ้ นป่ าชา้ นอ้ มพจิ ารณาร่างกาย เราเป็ นธรรมดา อริ ิยาบถ 4 ยนื เดนิ นง่ั นอน สมั ปชญั ญะ ตามดู รูท้ นั รู้ตวั ทวั่ พร้อมทกุ อย่าง การเคลื่อนไหว เนน้ ปัญญา อยทู่ ่ี สมั ปชญั ญะ ผล การต้งั สติตามดูรู้ทนั กาย เวทนา จิต ธรรม เขา้ ใจ ความหมาย อะไรเป็น อารมณ์สตปิ ัฏฐาน อารมณส์ มถะ วิปัสสนา คือ ชีวติ ร่างกาย จติ ใจ เป็น อารมณ์ เร่ิมท่ีตวั เราขยายไปผอู้ ื่น สรรพส่ิง ปรากฏแสดง ออกมา กาย เวทนา จิต ธรรม ตารางท่ี 4.12.2 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “อยำกได้สมำธิกนั นักหนำ ถ้ำไม่เอำสตมิ ำนำหน้ำ ทำงสำเร็จกไ็ ม่ม”ี แนวทางปฏิบตั ิสมเดจ็ พระพทุ ธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยตุ ฺโต) จาแนกตามแนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั P2] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ -ความแตกต่างระหวา่ ง สติกบั สมาธิ สมถะภาวนากบั วปิ ัสสนาภาวนา เรียนรู้ปริยตั ิ ตอ้ งเรียน ศกึ ษา คอื ปฏิบตั ิไป จากตารา เท่าน้ัน หรือ เรียนจำกคำสอน คำบอกเล่ำของครูอำจำรย์ได้หรือไม่ / ศึกษา คือ ตามท่ีเล่าเรียนมา
รวมท้งั ปริยตั ิและ 516 ปฏิบตั ิ ผลเป็นปฏิเวท มรรคผลนิพพาน ปฏิบตั ิไปตามที่เล่าเรียนมา รวมท้ังปริยัติและปฏิบัติ ศึกษำ เท่าน้นั ปริยตั ิและปฏิบตั ิ ผลที่ “สต”ิ เป็นตวั จบั ยึด เกิดข้นึ เป็นปฏิเวท มุ่งเอามรรคผลนิพพาน เขา้ ถึงสจั ธรรม แทงทะลุ ทาลายกิเลส / “สติ” เป็ น กาหนด ดึง(ระลกึ ) ตัว จับ ยึด กำหนด ดึง(ระลึก) ตรึก ส่ิงที่ผ่ำนมำผ่ำนไป 1)ดีงมันไป 2)สิ่งท่ีผ่ำนไปแล้วอยู่ใน ตรึก ส่ิงท่ผี า่ นมาผา่ น ควำมทรงจำ ต้องมำทำงำน ดงึ ออกมำจำกควำมทรงจำ มำอยู่ต่อหน้ำ ทางานกบั มนั ดูต่อหน้า ไป 1)ดีงมนั ไป 2)ส่ิงท่ี ชดั เจน / ปริยตั ิ คือ คำบอกเล่ำประสบกำรณ์ของท่ำนผู้ได้ปฏิบัติมำก่อน คือ พระพทุ ธเจ้ำ เอา ผ่านไปแลว้ อยู่ใน มาบอกให้เราฟัง เราเล่าเรียน สิ่งที่ดีตอ้ งเล่าเรียน พุทธพจน์ ประสบกำรณ์พระพุทธเจ้ำ ทาง ความทรงจา ดงึ สอนการปฏิบตั ิมา เรียนจากโดยตรง เรียนเฉพาะส่วนที่ตอ้ งใช้ / ปริยัติไม่ใช่ ทฤษฏี เป็ นคำ ออกมาจากความทรง บอกเล่ำประสบกำรณ์ของพระพทุ ธเจ้ำ พระองค์มำเล่ำให้ฟัง ว่า พระพุทธศาสนา ตรัสรู้สอน จา มาอย่ตู ่อหนา้ อะไร คือ ปริยัติเป็ นศำสนำ อาศัยประสบการณ์พระพุทธเจ้า คาบอกเล่า ประสบกาณ์ ปริยตั ิ คอื คาบอกเล่า พระพุทธเจา้ เราตอ้ งเล่าเรียน นาเอาคาสอนของพระองคม์ าปฏิบตั ิ อยู่ใน ศีล สมาธิ ปัญญา ประสบการณข์ อง เป็นไตรสิกขา เป็นการศึกษาอยทุ่ ี่ตวั ปฏิบตั ิ ทา่ นผไู้ ดป้ ฏิบตั มิ า กอ่ น คอื พระพทุ ธเจา้ -ศึกษำธรรม คือ ปริยัติและปฏิบัติ โดยเนน้ ปฏิบตั ิ ไม่เนน้ ทฤษฏี รู้ทฤษฎี หลกั การพอจาเป็น ปริยตั ไิ ม่ใช่ ทฤษฏี เพื่อเป็ นจุดเริ่มตน้ ในการเอาไปปฏิบตั ิฝึ กฝนอยา่ งดูตอ้ ง / องคป์ ระกอบของ จิต องค์ธรรม เป็ นคาบอกเล่า สำคัญ 3 ตัว ได้แก่ 1) ควำมเพียรพยำยำม 2)สติ 3)สมำธิ / สติมีความสาคญั จิตอยู่กบั สิ่ง ประสบการณข์ อง ตอ้ งการ ถา้ ไม่อยตู่ ่อหน้า เราทาอะไรไม่ได้ / สมำธิทำให้เกิดควำมรู้ตัว ท่ีมีการรองรับ ตอ้ งมี พระพุทธเจา้ เลา่ ให้ฟัง ความเพียร ขยนั เคล่ือนไหว เพียรมีสติ จบั เอาไว้ สมาธิให้อยู่นิ่ง อยู่ตวั / สมาธิ ทาให้จิตมี ปริยตั เิ ป็นศาสนา กาลงั 1)พลงั แขง็ แรง 2)จิตใจ สงบนิ่ง 3)จิตสงบไมม่ ีอะไรรบกวน จิตสบายเกิดความสุข สาม อาศยั ประสบการณ์ อยา่ งตอ้ งประสานท่ีดี เป็นการทางานของจิต เหมาะสมแก่การใชง้ าน แกป้ ัญหาทาใหผ้ ลดี / พระพทุ ธเจา้ คาบอก สมำธิต้องมีควำมเพียรรองรับ มาคอยผลกั ดนั มีความเพียร สติบอกให้ สมาธิสงบสบาย ให้ เล่า ประสบกาณ์ เรา เอำควำมเพยี รมำใช้ เหมือนเป็ นยำม / สติ แปลว่ำ ควำมระลึกได้ นึก ระลึก เป็ นสติ / กำรฝึ ก ตอ้ งเลา่ เรียน นาคา สมำธิ ต้องเริ่มด้วยสติ สติไม่ทำงำน สมำธิจะมำได้อย่ำงไร / สติ คือ 1)ดึงเอำส่ิงท่ีผ่ำนเข้ำมำ สอนมาปฏิบตั ิ ไม่ให้ผ่ำนไป ปัจจุบัน 2)ดึงในสิ่งผ่ำนไปแล้ว มำอยู่ต่อหน้ำ เรำใหม่ โยงอยู่ควำมสัมพันธ์ สติ ดึงได้ ดงึ ไปดึงมำ อย่ตู ัว ภำวะอยู่ตัวที่ เรียกว่ำ เป็ นสมำธิ / สติ เป็นตวั ทางานเด่น ตอ้ งกาหนด หลกั กำร เร่ืองท่ีเราทาตลอดเวลา สติ คือไม่ประมำท มีสตกิ ำหนดอย่อู ำกำรเป็ นอยู่ คุณสมบตั ิองค์ธรรม ทางานไมป่ ระมาท เป็นตวั แทนหลกั / ศึกษาธรรม คอื ปริยตั ิ และปฏิบตั ิ -ความเพียรพยายาม ทาให้เกิดการขยบั เคล่ือนไหว กา้ วไปขา้ งหน้า / สัมมำสมำธิ เป็ นควำม ต้ังม่ัน ของจิตชอบท่ีถูกต้อง จิตมีลกั ษณะ 3 ประการ 1)ทำจิตให้มีกำลังแข็งแรง เหมือนน้าที่ องคธ์ รรมสาคญั 3 ตวั ไดแ้ ก่ 1) เพยี ร 2)สติ 3)สมาธิ สมาธิเกิดความรู้ตวั เคล่อื นไหว เพียรมี สติ จบั เอาไว้ สมาธิ ทาให้จิตมี กาลงั 1)พลงั แข็งแรง 2)จติ ใจ สงบนิ่ง 3)จิต สงบ การฝึกสมาธิ ตอ้ งเร่ิม ดว้ ยสติ สติไม่ทางาน สมาธิจะมาได้ อยา่ งไร สติ คอื 1)ดึงเอาสิ่งที่ ผ่านเขา้ มาไม่ให้ผ่าน ไป ปัจจุบนั 2)ดึงใน ส่ิงผ่านไปแลว้ มาอยู่ ต่อหนา้ ใหม่ โยงอยู่ ความสัมพนั ธ์ สตดิ ึง ได้ ดึงไปดึงมา อยตู่ วั ภาวะอยตู่ วั ท่ี เรียกว่า เป็ นสมาธิ สติ คือไมป่ ระมาท มี สติกาหนดอยอู่ าการ เป็นอยู่ คุณสมบตั ิ องคธ์ รรม วิธีกำร
517 สมั มาสมาธิ เป็น ไหลไปทางเดียวเป็ นร่อง 2) ทำให้จิตใสเหมือนน้ำต้ังอยู่ท่ีสงบนิ่ง มง่ั คง ตกตะกอน น้าใส ความต้งั มนั่ ของจิต มองเห็นด้วยตำ เช่ือมต่อปัญญำ 3)ทำจติ สงบไม่มีอะไรควรก่อให้เกิดควำมสุข เม่ือไม่มีอะไร ชอบท่ถี กู ตอ้ ง ขวางจิต มนั ก็สบาย / สติ คือ ถึงเอำสิ่งที่ผ่ำนเข้ำมำแล้ว จะผ่านไปเลยไม่ได้ ให้มนั ผ่านไป ตอ้ งดึงเอาไว้ ใหม้ นั อยตู่ ่อหนา้ จะไดท้ างานกบั มนั หรือ ถึงส่ิงท่ีผา่ นไปแลว้ ในอดตี เป็ นควำม จิตมลี กั ษณะ 3 ทรงจำกลับออกมำอยู่ต่อหน้ำเราใหม่ / อปุ มำวัวพยศ อย่ปู ่ ำ ต้องเอำเชือกมำผกู มนั ไวก้ บั หลกั ประการ 1)ทาจิตใหม้ ี วัวพยศ1 หลัก1 เชือก1 วัวพยศเปรียบเหมือนจิตของเรำไปฟุ้งซ่ำน ไปเร่ือยๆ ต้องหำทำงให้ กาลงั แขง็ แรง 2) ทา วัวอย่กู บั หลัก คือ ส่ิงที่ตอ้ งการ เราก็เอาเชือกมาผกู มนั เชือกเปรียบได้เป็ นสติ เป็นตวั ดึงเชือก ให้จิตใสเหมอื นน้า ววั พยศหนีไปเชือก ก็ดึงทุกที สติเป็ นตัวดึงเชือกไว้ ในท่ีสุดหมอบอยู่กับหลัก คือ สมำธิ / ต้งั อยู่ท่สี งบน่ิง 3)ทา เชือกเปรียบเป็ นสติ หลัก คือ ส่ิงที่จิตกำหนด ศัพท์ทางพระ เรียกว่า อำรมณ์ หมำยถึง จิตสงบ ควำมรู้สึกในใจ สิ่งท่ีเจอส่ิงท่ีจิตกาหนดสิ่งท่ีจิตรับรู้ / สมำธิ กบั สติ ดงึ ไปดงึ มำ ดึงนานเขา้ มนั อยไู่ ดน้ ิ่ง เหมือนจิตคนเรา เม่ือไดอ้ ยกู่ บั ที่ อยนู่ ่ิง มนั อยตู่ วั ไม่หลดุ ลอยไป ไมค่ ่อยจะหลุดลอย อุปมาววั พยศ อย่ปู ่ า ตอ้ ง ไป ไม่ตอ้ งคอยดึงอยู่ ภาวะที่อยู่ตวั อยู่ไดอ้ ยู่กบั ที่ได้ เรียกว่า เป็ นสมำธิ / กำรฝึ กสมำธิ เร่ิม เอาเชือกมาผกู มนั ไวก้ บั ต้องด้วย “สติ” ให้มองดู วิธีฝึ กสมาธิ สติตวั ดึงไว้ จิตอยตู่ วั ได้ เป็นสมาธิ เร่ิมตน้ ดว้ ยสติ มา หลกั ววั พยศ1 หลกั 1 เชือก ทางาน สติเป็ นตัวเร่ิมต้น เป็ นอำนำปำนสติ ใช้สติกำหนดลมหำยใจ เอาสติดึงไว้ สติทำงำน 1 ววั พยศเปรียบจติ ไป จิตอยู่ทีล่ มหำยใจ เป็ นสมำธิ ทาไดส้ มาธิ สติทางาน / สตทิ ำหน้ำทีถ่ ึงจิตให้อย่ใู นอำรมณ์สิ่งท่ี ฟ้งุ ซ่าน ไปเร่ือยๆ ตอ้ งให้ ดีให้จิตทำงำนได้ มีความสาคญั การพฒั นาจิตใจ ชีวิตท่ีดีงาม อยู่ในองค์กรรม / วิธีปฏิบัติ ววั อยกู่ บั หลกั เอาเชือกมา สมถะ ให้จิตเป็ นสมำธิ ช่วยให้จิตทางานไดผ้ ลดี เอาจิตทางานไดด้ ี บรรลุธรรมกาจดั กิเลส ผกู เชือกเปรียบเป็นสติ ดึง ทางานดว้ ยปัญญา ถ้ำไม่มีสมำธิ จิตทำงำนไม่ได้ผลดี ตอ้ งการ “สมำธิ” ต้องกำร “สมถะ” จิต เชือก ววั พยศหนีไปเชือก เกดิ สมำธิ ใช้งำนทำงปัญญำ เอาระดบั ไหน แต่ละคนพ้ืนเพไมเ่ หมือนกนั / ดึงทุกที สตเิ ป็นตวั ดึงเชือก ไว้ ในทส่ี ุดหมอบอยู่กบั -พลงั จิตสงบ หนุนให้จติ ผ่องใส เกือ้ หนุนใช้ปัญญำ ประกอบประสาน จิตทางานไดผ้ ลดี ไปสู่ หลกั คอื สมาธิ จุดหมาย / สติเป็ นตัวแทนในกำรไม่ประมำท คือ มีสติ กำหนดอยู่ อาการเป็ นอยู่ของมนุษย์ เชือกเปรียบเป็นสติ หลกั สติเป็ นตวั คุณสมบัติ เป็ นตัวองค์ธรรมท่ีทางาน สติเป็นตวั ที่ทาใหเ้ กิด ความไม่ประมาท / ศีล คอื สิ่งทจ่ี ิตกาหนด สมาธิ ปัญญา ศีลเป็ นพื้นที่เหยียบ พฤติกรรม ต้ังมั่นอยู่ คือ ศีล เปรียบเหมือนพื้น สมาธิเป็น อารมณ์ หมายถึง จิต เหมือน พลงั ทางานเขม้ แขง็ เป็นแกนปัญญา เป็นอุปกรณ์ทางาน / ความรู้สึกในใจ การฝึกสมาธิ เร่ิมตอ้ งดว้ ย “สติ” ใหม้ องดู วธิ ีฝึก สมาธิ สตติ วั ดงึ ไว้ จติ อยู่ ตวั ได้ เป็นสมาธิ วิธีปฏบิ ตั สิ มถะ ให้จิตเป็น สมาธิ “สมาธิ” ตอ้ งการ “สมถะ” จติ เกดิ สมาธิ ใช้ งานทางปัญญา สติเป็นตวั เริ่มตน้ เป็นอา นาปานสติ ใชส้ ติกาหนด ลมหายใจ เอาสติดงึ ไว้ สติ ทางาน จิตอยูท่ ่ีลมหายใจ เป็ นสมาธิ ผล พลงั จิตสงบ หนุน ให้จิตผ่องใส เก้ือหนุนใชป้ ัญญา สตเิ ป็นตวั แทนการ ไมป่ ระมาท คอื มี สติ กาหนดอยู่ ตารางท่ี 4.12.3 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “ปัญญำภำวนำ ด้วยสติปัฏฐำน 1/1” แนวทางปฏิบตั ิสมเดจ็ พระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั P3] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด -ปัญญำภำวนำตามวิธีสติปัฏฐาน โยงไปหาสติปัฏฐาน มาจาก จิตภำวนำสู่ปัญญำภำวนำ ตำม วิธีสติปัฏฐำน เชื่อมโยงวิปัสสนำ คือ ปัญญำเห็นแจ้งอำรมณ์โดยควำมเป็ น นำมรูป ไม่หลงไป
518 จติ ภาวนาสู่ปัญญา ตามสมมติบญั ญตั ิ รู้ทนั คือ นามรูป เห็นแจง้ โลกตามความเป็ นจริง นามธรรม รูปธรรม เห็น ภาวนา ตามวิธีสติ ขนั ธ์ 5 ท้งั หลายโดยอาการ อนิจจัง ทุกขงั อนัตตา / วิปัสสนาเน้น การเห็นแจ้งปัญญา สิ่ง ปัฏฐาน เชื่อมโยง ท้งั หลายตามท่ีมนั เป็น คือ วิปัสสนา เห็นแจง้ สงั ขาร อารมณ์ เอาสังขารพิจารณา เห็นแจง้ อารมณ์ วิปัสสนา คอื โดยนามรูป เห็นควำมสภำวะที่มีเป็ นกำหนดเห็นเป็ นนำมรูป ตัวควำมจริงคืออะไร รูปนาม ปัญญาเหน็ แจง้ นามธรรม / ปัญญำภำวนำเป็ นวิปัสสนำกำรทำให้เกิดปัญญำ เห็นแจง้ สิ่งท้งั หลายตามความเป็น อารมณโ์ ดยความ จริง วิปัสสนำต้องกำรปัญญำ หยั่งรู้ถึงควำมจริง ผลวิปัสสนำ เป็ น “ญำณ” มีประสบการณ์สูง เป็น นามรูป หลายข้ัน / ความหยง่ั รู้ปัญญา พฒั นาช้ึนไปเป็ นผลสาเร็จ วิปัสสนา / การเจริญสมถะ ใน ไมห่ ลงไปตาม กรรมฐาน 40 สอดคลอ้ งกบั จริต เลือกตามจริต ครูบาอาจารยก์ าหนดให้ เป็นฐานที่ต้งั ภาวนา จิต สมมติบญั ญตั ิ รูท้ นั รับรู้ จิตกาหนด เรียกวา่ อารมณ์ / อำรมณ์กรรมฐำนเป็ น ตวั กำหนด ภำพอย่ใู นใจ เรียกว่ำ นิมติ / คอื นามรูป เหน็ สมถะ โยง วิปัสสนำ จิตเป็นสมาธิ โยงวปิ ัสสนา ใชป้ ัญญาพจิ ารณา เห็นชดั เจน คาวา่ “เช่ือมโยง” แจง้ โลกตามความ โยงสมถะ เขา้ กบั วิปัสสนา วิปัสสนำ สติเด่นรวมกับ สมำธิ ต้องกำรสมำธิ มำใช้กับ วิปัสสนำ / เป็นจริง นามธรรม สมาธิ อยู่กับอำรมณ์ เดียวเรื่อยๆ ปรำกฏเฉพำะหน้ำตลอดเวลำ เมื่อทำสมำธิ ได้ ฌำน อาศยั รูปธรรม เหน็ ขนั ธ์ สภาพจิตท่ีมี ศกั ยภาพร้อมพิจารณาอารมณ์ต่างๆ / อำรมณ์วิปัสสนำ หมายถึง รูปนำมที่กำลัง 5 ท้งั หลายโดย เป็ นไปเฉพำะหน้ำ เขา้ ไปปัจจุบนั กำหนดอำรมณ์ปัจจุบัน ปัจจุบนั ธรรม สิ่งท้งั หลายเป็ นไป อาการ อนิจจงั ทกุ อยา่ งน้นั ธรรมรวมรูปธรรม นามธรรม ขงั อนตั ตา วปิ ัสสนาตอ้ งการ -จิตภำวนำ เป็ นกำรเจริญสมถะภำวนำ การทาใหค้ วามสงบใจ การเจริญสมาธิ แก่สมถะภาวนา ปัญญา หยงั่ รูถ้ งึ เรียกว่า “สมถะ” / ปัญญำภำวนำเป็ นกำรเจริญปัญญำ กำรฝึ กอบรมปัญญำใหง้ อกงาม เรียกว่า ความจริง ผล “วิปัสสนำภำวนำ” ตัวมุ่งอยู่ที่ “ปัญญำ” ปัญญาที่เห็นแจง้ ตามความเป็ นจริง เห็นสิ่งท้งั หลาย วิปัสสนา เป็น ตามความเป็นจริง / วิปัสสนำให้ผลญำณรู้ เข้ำใจ ควำมเป็ นจริง หยงั่ รู้ เห็นสัจจธรรม กิเลสหลุด “ญาณ” พน้ / จิตภำวนำเป็ นสมถะ มุ่งทำให้จิตสงบเป็ นหลักจิตรวม ให้เป็นอนั หน่ึงอนั เดียว กาหนดทา อารมณก์ รรมฐาน ให้จิตมีอำรมณ์หนึ่งเดียว เจริญสมถะสาเร็จมีอารมณ์หน่ึงเดียวไม่ฟุ้งซ่าน คือ สมำธิเป็ นแกน ตวั กาหนด ภาพอ สมถะ ได้สมำธิ หลกั การผลเจริญสมถะ เกิดสมาธิ ประณีตตามลาดบั มีสมถะเจริญสูงๆ ข้ึน ในใจ เรียกว่า นิมติ จิตใจภาวะ ฌาน / เจริญสมถะ โอนมำหนทำง ปัญญำ สมาธิระดบั ถึงจะพอ ยืดหยุ่นขณิกสมำธิ ทาวิปัสสนาได้ / สานกั ปฏิบตั ิ ขณิกสมำธิใช้เป็ นวปิ ัสสนำได้ เจริญวิปัสสนา ใชส้ ติเกิดเจริญสติ จิตเป็นสมาธิ โยง สมาธิเป็นผล สมาธิที่เราตอ้ งการ / สานกั ปฏิบัติเอำจิตให้แน่แน่ว ได้สมำธิ แล้วโอนมำวิปัสสนำ วปิ ัสสนา ใชป้ ัญญา ให้จิตมนั่ คง / สานักปฏิบตั ิเอา ฌาน สมาบตั ิ ใช้จิตเป็ นสมาธิบริบูรณ์ เป็ นอปั ปานาสมาธิ / พิจารณา “เชื่อมโยง” พิจารณาเอาเป็นทางเลือกยดึ บุคคล เอาสมถะ จบฌำน 4 หรือไม่ เสรีภาพท่ีเราเลือก / พิจำรณำ โยงสมถะ เขา้ กบั อะไร เอาส่ิงน้นั มาให้ “จิตดู” ดูด้วยตำปัญญำ จิตรับรู้ เรียกว่ำ อำรมณ์ท่ีต้ังกำรทำงำนวิปัสสนำ วิปัสสนา วิปัสสนามีกรรมฐาน มีอารมณ์ เอาสิ่งน้ันมาให้จิตกาหนด ใช้ปัญญาพิจารณาดู / กรรมฐาน วิปัสสนา นามรูป รูปนาม ส่ิงท้งั หลายที่เป็ นตวั สภาวะ ทุกอย่างเป็ นอารมณ์วิปัสสนา อารมณ์ หลกั กำร วิปัสสนา หมายถึง รูปนามที่กาลงั เป็นไปเฉพาะหนา้ เข้าไปปัจจุบนั / วิปัสสนากาหนดอารมณ์ จิตภาวนา เป็น เจริญสมถะภาวนา ทาให้สงบใจ “วปิ ัสสนาภาวนา” ตวั ม่งุ อยทู่ ่ี “ปัญญา” เห็นส่ิง ท้งั หลายตามความ เป็ นจริ ง จติ ภาวนาเป็น สมถะ มุ่งทาใหจ้ ติ สงบเป็นหลกั จติ รวม ใหจ้ ิตมี อารมณ์หน่ึงเดียว สมาธิเป็ นแกน สมถะ ไดส้ มาธิ ปฏบิ ตั ิเอาจิตใหแ้ น่ แน่ว ไดส้ มาธิ แลว้ โอนมาวิปัสสนา เอา ฌาน สมาบตั ิ ใชจ้ ติ เป็นสมาธิ บริบูรณ์ เป็นอปั ปา นาสมาธิ พิจารณาอะไร เอา ให้ “จติ ดู” ดดู ว้ ย ตาปัญญา จิตรบั รู้ เรียกวา่ อารมณ์
519 ท่ีต้งั การทางาน ปัจจุบนั / “สัมปชัญญะ” เป็ นปัญญำใช้เฉพำะหน้ำ รู้ชดั เร่ืองท่ีอยู่ตรงหน้า ปัญญำทำงำนกับสติ วิปัสสนา สติจับอำรมณ์ปัญญำ มองเห็นได้ / เอาสติเป็นตวั เรา สติควบคุมปัญญำ สัมปชัญญะ พจิ ำรณำ เรื่อย ๆ สติมำเริ่ม จิตแน่วแน่ อยกู่ บั ส่ิงที่ไม่กงั วลไม่มีภาวะ / วปิ ัสสนาตอ้ งพิจารณาสิ่งตา่ งๆ ทุก “สัมปชญั ญะ” เป็น อยา่ ง ทุกประการ สตคิ ู่กับสัมปชัญญะ การเจริญสติไม่มีความหมาย ถา้ ไมต่ อ่ กบั ปัญญา สตเิ ป็ น ปัญญาใชเ้ ฉพาะ ตัวนำหน้ำปัญญำ เป้ำหมำยวิปัสสนำ คือ ปัญญำ วิธีการปฏิบตั ิต่างกนั แกนรวมกนั บางอย่าง หนา้ “ใชส้ ติ” วิธีการทางาน ต่างกนั / วิปัสสนา พิจารณาจิตใจ ปัญญาพิจารณาไดส้ ิ่งท่ีถูกพิจารณา อยู่ต่อหนา้ เรา อยูก่ บั จิตใจ ดึงเอาออกมาวางไว้ ตำใจ คือ ตำปัญญำ พิจารณาเอามาวางข้ึน ของ ปัญญาทางานกบั อยู่กับใจ ใช้สติ ตรีงสิ่งน้ัน ตรึงใจใช้อำรมณ์ ดึงจิตใจกับอำรมณ์ที่พิจำรณำ ต่อหน้ำตำใจ ใช้ สติ สติจบั อารมณ์ ปัญญำพจิ ำรณำ / ปัญญา -สติอำศัยสมำธิ ดงึ อำรมณ์ให้พจิ ำรณำ ตรวจดูวางตรงหนา้ ขึงไว้ แขวนไว้ ลมพดั ผา้ พลิ้ว ไปมา สติค่กู บั สติมีอยู่ อารมณ์ไม่นิ่ง ส่ิงน้นั อยนู่ ิ่งๆ ดว้ ยอยตู่ อ่ หนา้ เรา เราดูใหช้ ดั ตอ้ งมีสมาธิ ตอ้ งการเห็นส่ิง สมั ปชญั ญะ น้นั ละเอียดคมชดั ความน่ิง / กำรพิจำรณำด้วยปัญญำ สติและสมำธิ ดว้ ยความนิ่ง วิปัสสนำ อำศัย “สมำธิ” ไปด้วย สติเป็ นตัวทำงำนชัดเจน เปลี่ยนแปลงอำรมณ์ ชัดเจน จิตนิ่งแน่ว เป็ น สตเิ ป็นตวั นาหนา้ สมาธิ ถ้ำไม่น่ิงแน่ว กำรพิจำรณำปัญญำไม่คมชัด / สมำธิเพื่อปัญญำ ทาให้ทาหน้าท่ีสมบูรณ์ ปัญญา เป้าหมาย เป้าหมายวิปัสสนา วิธีปฏิบัติได้หลำยแบบ 1)สมถะนำหน้ำ สมำธิแนบแน่น วิปัสสนำตำมหลัง วิปัสสนา คอื 2)วิปัสสนำไปก่อน แล้วต่อทำสมำธิทีหลัง สติช่วยสมำธิไปเอง สติตำมเอง เอำวิปัสสนำนำหน้ำ ปัญญา วธิ ีการ เอำสมถะตำมหลัง 3) ทำควบคู่กันไป ท้ังสมถะและวิปัสสนำ ให้เห็นควำมสัมพันธ์กัน สมถะ ปฏิบตั ติ ่างกนั แกน วิปัสสสนำ มีควำมยืดหยุนมำก ควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำง สมถะและวิปัสสนำ เห็นจุดเชื่อมโยง / รวมกนั บางอยา่ ง สมถะไปให้ได้ ญำณ สมำบัติ 8 กา้ วไปอีกจาก ฌาน ใชส้ มาบตั ิ 8 เป็นฐานทาความเพียรพยายาม “ใชส้ ติ” เพ่ือ อภิญญำ 5 ประกำร ควำมรู้ยอดย่ิง ได้ฌำน แสดง ตาทิพย์ หูทิพย์ หยงั่ รู้ใจคน ไม่ไดก้ าจดั กิเลส ไมไ่ ดร้ ู้ความจริงของชีวติ / จติ อยู่กบั ภำพนิมิต ไดส้ มาธิเป็นข้นั สมบูรณ์ อปั ปนาสมาธิ ได้ วิธกี ำร ฌาน สมถะบำเพ็ญ เห็นภำพ ปฐมฌาน อรูปฌาน เป็ นสมำบัติ 8 อภิญญำ 5 ภาวะจิตได้ฌาน สูงข้ึนตามลาดบั / เลือกกรรมฐำนกำหนด จิตจบั จ่ออยใู่ นสิ่งน้นั เป็ นกสิณ เพ่งจ้อง และกาหนด สติอาศยั สมาธิ ลมหายใจ สติและจิตกำหนดอยู่ เกิดเป็ น นิมิต ติดตาติดใจ / ลมหำยใจเข้ำไปเป็ นภำพ อย่ใู นใจ ดึงอารมณ์ให้ เป็น นิมิต ติดตำติดใจ เป็นช้นั ๆ จนภาพอยใู่ นความจาแม่นยา เป็นปฏิภาคนิมิต ภาพจาลอง ใช้ พจิ ารณา อุปจำรสมำธิ จวนเฉียด แน่วแน่ เอาภาพนิมิตในใจ แทนอำรมณ์อยขู่ า้ งนอก เอำนิมิตภำพในใจ เกิดมำจำก ส่ิงทเี่ รำกำหนดให้อยู่ในใจแทน อำรมณ์กรรมฐำน / วธิ กี ำรเจริ ญกรรมฐำน ส่วนไหน วปิ ัสสนาอาศยั สมถะ และวปิ ัสสนำ จุดร่วมกัน คือ จุดต้ังต้น “สต”ิ ตวั อยา่ ง เปรียบเทียบ ววั อยกู่ บั หลกั เดินไป “สมาธิ” สตเิ ป็น เดินมา ถูกผกู จิตใจ หลกั คือ กรรมฐำน อำรมณ์กำหนด ถ้ำไม่มอี ะไรมำช่วยอยู่กับกรรมฐำน จติ ตวั ทางานชดั เจน เรำฟุ้งซ่ำนไป / เอาสติมาตรึงจิตของเราไว้ กับกรรมฐาน เปรียบเชือกอยู่กับหลัก อำรมณ์ เปลีย่ นแปลง กรรมฐำน สติดึงรังไว้ เช่นน้ี จิตเราย่อมอยู่กบั หลกั หลกั คือ อารมณ์กรรมฐาน เกิดสมาธิข้ึน / อารมณ์ จิตนิ่ง แน่ว สมาธิเพ่ือปัญญา วธิ ีปฏบิ ตั ิ 1)สมถะ นาหน้า สมาธิแนบ แน่น วิปัสสนา ตามหลงั 2) วปิ ัสสนาไปก่อน แลว้ ต่อทาสมาธิที หลงั สตชิ ่วยสมาธิ สติตามเอง เอา วิปัสสนานาหนา้ เอาสมถะตามหลงั 3) ทาควบคูก่ นั ไป ท้งั สมถะและ วปิ ัสสนา ใหเ้ ห็น ความสมั พนั ธ์กนั สมถะวิปัสสสนา มคี วามยืดหยนุ มาก ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ ง สมถะ และวปิ ัสสนา เหน็ จุดเช่ือมโยง สมถะไปให้ได้ ญาณ สมาบตั ิ 8 อภญิ ญา 5 ไดฌ้ าน วิธีกรรมฐาน สมถะ วิปัสสนา จุดร่วมกนั คือ จุด ต้งั ตน้ “สติ”
520 สมถะ อาศยั สติ สมถะ อำศัยสติเป็ นตัวนำ สติสำคัญในกำรบำเพญ็ สมำธิ พุทธานุสติ อานาปานสติ ช่วยให้เกิด เป็นตวั นา สติ สมาธิ เอาสมาธิมา จิตเกิดสมาธิ / สาคญั ในการ บาเพญ็ สมาธิ -อภญิ ญำ 5 ฤทธ์ิเดช โลกียะ ญาณ / นามรูปเกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไป คงสภาพเดิมไมไ่ ด้ เป็นไปตาม เหตุปัจจุบนั ไม่เท่ียง ไม่คงที่ เป็นไตรลกั ษณ์ วิปัสสนาทาให้เราเห็นไตรลกั ษณ์ ปัญญาเห็นแจง้ ผล ขนั ธ์ 5 นามรูป สังขาร อำรมณ์ท้ังหลำย นามรูปชีวิต / ฌานเป็ นผลสาเร็จ การเจริญสมถะ รูป ฌาน 4 อรูปฌาน 4 เป็นสมบตั ิ 8 ผลสาเร็จ สมถะ คือ ฌำน / จิตสงบมีลกั ษณะอย่างไร ผ่องใส อภิญญา 5 ฤทธ์ิ บริสุทธ์ิ เหมาะแก่การทางาน ใชท้ างานอะไรก็ได้ อภิญญา 5 ใชอ้ ะไรใหไ้ ด้ จิตเหมาะสมควรแก่ เดช งาน / จติ ใจคนสงบมองเห็นปัญญำ พิจารณาชดั น้าน่ิงมองเห็น จิตปั่นปวน มองอะไรไม่ชดั เจน วิปัสสนาเห็น สงบนิ่ง มีความผอ่ งใส / จิตสงบมีลกั ษณะผอ่ งใส บริสุทธ์ิ เหมาะแก่การงานใชง้ าน / ไตรลกั ษณ์ ปัญญาเห็นแจง้ ขนั ธ์ 5 นามรูป สมถะ คอื ฌาน ตารางที่ 4.12.4 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “อำนำปำนสติ โยงสู่สตปิ ัฏฐำน ตอนท่ี 1” แนวทางปฏิบตั ิ สมเด็จพระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั P4] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ -โยงอำนำปำนสติ สู่สติปัฏฐำน 4 ครบ 4 อย่าง / หลกั การทวั่ ไป มหำสติปัฏฐำน 4 เป็ นวิธีกำร ปฏิบัติอย่ำงกว้ำงๆ เป็นกลางๆ เอาไปเจาะจง ทาอย่างควบคุม / เดินสติปัฏฐำนโดยเอำอำนำปำน โยงอานาปานสติ สู่สติ สตเิ ป็ นตวั นำ ใชอ้ านาปานสติคงอยตู่ ลอดไป กำหนดลมหำยใจ และตำมดรู ู้เหน็ สภำพจิตใจ ส่วน ปัฏฐาน 4 สติปัฏฐาน อื่น ๆ คือ แทนการปฏิบตั ิ ตามสติปัฏฐาน ตามไปเรื่อยๆ เคลื่อนไหวให้มีความรู้สึก มหาสติปัฏฐาน 4 เป็น เกิดข้นึ ก็กาหนดในอนั น้นั / วิธีการปฏิบตั กิ วา้ งๆ /เดินสติปัฏฐานโดยอา -ใช้อำนำปำนสติ เป็ นตัวนำกำรปฏิบัติ เข้ำสู่สติปัฏฐำน 4 โดยครอบคลุมสติปัฏฐาน ครบ 4 นาปานสติเป็นตวั นา ท้งั หมด / วิจยั หมายถึง คน้ ควา้ / ลมหำยใจปรุงแต่งกำรสภำพร่ำงกำย มีอิทธิพลต่อจิตใจ กาย กาหนดลมหายใจ ตามดู สังขาร สิ่งปรุงแต่งร่ำงกำย คือ ลมหำยใจ / อำนำปำนสติ 16 ข้ัน ใชค้ าวา่ “ศึกษาว่า” แปลวา่ ฝึ ก รูเ้ หน็ สภาพจติ ใจ ส่วน ใหเ้ ป็น และพยายามใหเ้ ป็น บงั คับควบคมุ ให้เป็ นตำมที่เรำมีควำมประสงค์ / คาวา่ “รู้ชดั วา่ ” ปชา สติปัฏฐาน อืน่ ๆ คือ นาติ อำกำรของสัมปชัญญะ เป็นกำรบอกให้รู้ชัดว่ำ “อำรมณ์”น้ัน ๆ ขอ้ สงั เกตศพั ทท์ ี่ปรากฏ / จิต ตามสตปิ ัฏฐาน เร่ือยๆ สังขาร ในเวทนา สบายทาใหพ้ อใจ ไม่สบายไม่ชอบโกรธ สุขสบายจิตชอบใจ มีผลต่อความคิด สภาพจิตใจ เป็ นสัญญำปรุงแต่งจิตใจ / หลกั กำร -จิตภาวนาเจริญสมถะ โดยเลือกกรรมฐาน 40 ได้เห็นอำนำปำนสติมำใช้นำไปสู่กำรปฏิบัติ ใชอ้ านาปานสติ เป็น วิปัสสนำ ปฏิบัติถึงที่สุด บรรลุ / หลักท่ัวไปเร่ิมปฏิบัติ กำยำนุปัสสนำ เป็นจุดเร่ิมตน้ ไดป้ ฏิบตั ิ ตวั นาการปฏบิ ตั ิ เขา้ สู่สตปิ ัฏฐาน 4 สิ่งปรุงแตง่ ร่างกาย คอื ลมหายใจ อานาปานสติ 16 ข้นั ใชค้ าว่า “ศกึ ษาวา่ ” ฝึกให้เป็น พยายาม ใหเ้ ป็น บงั คบั ควบคมุ “รูช้ ดั วา่ ” ปชานาติ อาการสมั ปชญั ญะ เป็นการบอกใหร้ ูข้ ดั วา่ “อารมณ”์ น้นั ๆ จิตสงั ขาร ใน เวทนา เป็นสญั ญา ปรุงแตง่ จติ ใต วธิ ีกำร อานาปานสตมิ าใช้ นาไปสู่การปฏิบตั ิ
521 วปิ ัสสนา ปฏบิ ตั ถิ ึง ไป สู่สติปัฏฐาน ได้ / สติปัฏฐาน กำหนดกำรเคล่ือนไหว ร่ำงกำย มองดูการเคลื่อนไหวร่างกาย ท่สี ุด บรรลุ หลกั ทวั่ ไปเร่ิมตน้ กายานุปัสสนา เป็ นจดุ เริ่มต้น แล้วปฏิบตั ิล่วงลุสติปัฏฐำน ได้ / กำหนดเวทนำ มองดู สุข ทุกจ์ เฉย กำหนดเวทนำ สืบเน่ืองจากการเคล่ือนไหวร่างกาย สภาพจิตท่ีมีการ หลกั ทวั่ ไปเริ่มปฏิบตั ิ เปลี่ยนแปลงเวทนา ชอบใจ ไม่ชอบใจ ราคะ โทสะ สภาพจิตใจ ดีไม่ดี ความยนิ ดียนิ ร้าย สภำพ กายานุปัสสนา เป็น จติ ใจเป็ นกุศล อกุศล มองดธู รรมะสิ่งที่เป็ นอยู่ในใจ เข้ำสู่ ธรรมำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน / การทาอา จดุ เร่ิมตน้ แลว้ ปฏิบตั ิ นาปานสติ เป็ นจุดเริ่มตน้ โยงสู่สติปัฏฐาน 4 เป็ นวิธีการปฏิบตั ิเหมาะสม “อำนำปำนสติสูตร” ล่วงลสุ ตปิ ัฏฐาน กลา่ วเรื่องน้ีโดยตรง / อำนำปำนสติ มที ้งั หมด 16 ข้นั ตอนละ 4 ช้ัน ตำมสติปัฏฐำน 4 กำย 4 ข้นั เวทนำ 4 ข้นั จิต 4 ข้นั ธรรม 4 ข้นั / กำยำนุปัสสนำ 1)หำยใจเข้ำออกก็รู้ชัด 2)หายใจเขา้ ออกส้ันก็ กาหนดเวทนา มองดู รู้ชดั 3)ศึกษาว่า จะรู้ทั่วร่ำงกำยท้ังหมด หายใจเขา้ หายใจออก มีคาว่า “ศึกษาว่า..” 4)ศึกษาว่า สุข ทุกจ์ เฉย สภาพ ผ่อนกำยสังขำรหายใจหายใจออก / เวทนำนุปัสสนำ “ศึกษาว่า...” มีตลอดในอานาปานสติ 5) จติ ทม่ี กี าร ศึกษาว่า จะทำปี ติ หำยใจเข้ำออก 6)ศึกษาว่า จะรู้ชัดจิต 7) ศึกษาจะรู้ชดั จิตตสังขำร 8)ศึกษาว่า เปลย่ี นแปลงเวทนา ผ่อนระงับจิตสังขำร หายใจเขา้ หายใจออก / วิธีกำรช่องทำงกำรปฏิบัติ 1) ทำเรื่อยๆ ตำม ชอบใจ ไมช่ อบใจ ราคะ โทสะ ธรรมชำติ อำรมณ์ใดกำหนดอำรมณ์ น้ันตำมจริง 2) วิธีปฏิบัติ จงใจจัดสรร ควบคุม อำศัย ช่องทำงธรรมชำติ ทำเป็ นแนวทำงทเี่ รำต้องกำรเป็ นไปตำมธรรมชำติ / การปฏิบตั ิ “สติปัฏฐาน” สภาพจติ ใจกุศล เรื่องธรรมชาติท้งั หมด เป็นการเอาความรู้ในธรรมชาติ มาใชใ้ ห้เป็นประโยชน์ เป็นหลกั ปฏิบตั ิ อกุศล มองดธู รรมะ ตาม นาเอากฎเกณฑธ์ รรมาติมาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์มากที่สุด / วิธีปฏิบตั ิ 1)แบบไม่คมุ อย่ำงกว้ำง สิ่งทีเ่ ป็นอย่ใู นใจ เขา้ กระจำยตำมเป้ำ 2)แบบเจำะจง(คุม) นำวิถี ให้เห็นลักษณะต่ำง ๆ / จิตตำนุปัสสนำ 9)ศึกษาวา่ รู้ สู่ ธรรมานุปัสสนา ชัด “จิต” หำยใจเข้ำหำยใจออก 10)ศึกษาว่า จะทำ “จิต” ให้บันเทิงหายใจเขา้ หายใจออก 11) สตปิ ัฏฐาน ศึกษาวา่ จะต้ังจิตมั่น หายใจเขา้ หายใจออก 12)ศึกษาวา่ จะเปลื้องจิต หายใจเขา้ หายใจออก ให้ สังเกต “ศึกษำว่ำ” หมำยถึง ฝึ กหัดให้เป็ น อย่ำงน้ันอย่ำงนี้ / หมวดธรรมนุปัสสนำ 13) ศึกษาว่า การทาอานาปานสติ ตำมเห็นควำมไม่เท่ียงหำยใจเข้ำ หำยใจออก 14) ศึกษาว่า ตามเห็น ควำมคลำยออกหายใจเขา้ เป็นจดุ เริ่มตน้ โยงสู่ ออก 15)ศึกษาว่า จะตามเห็นควำมดับไป หายใจเขา้ ออก 16) ศึกษาวา่ จะตำมเห็นควำมสลัดคืน สติปัฏฐาน 4 เป็น ไป หายใจเขา้ ออก / กำรปฏิบัติอำนำปำนสติ 16 ข้ัน นำเข้ำสู่ สติปัฏฐำน อานาปานสติ บาเพ็ญ วิธีการปฏบิ ตั ิ อย่างน้ี ย่อมทำให้สติปัฏฐำนบริบูรณ์ สติปัฏฐำน 4 ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ โพชฌงค์ ท่ี เหมาะสม บาเพญ็ อยา่ งน้ี ยอ่ มทาใหว้ ิชา วิมตติ บริบรู ณ์ / คาวา่ “กำยสังขำร” ในหมวดกายานุปัสสนสติปัฏ ฐาน ไดแ้ ก่ ลมหำยใจเข้ำออก หมวดเวทนา “จิตสังขำร” คือ สิ่งปรุงแต่งจิต ผ่อนจิตสังขำร อานาปานสติ มี หำยใจเข้ำ หำยใจออก “สังขำร” แปลว่ำ ความหมายพิเศษ กำรปรุงแต่ง เคร่ืองปรุงแต่ง ส่ิงที่ถูก ท้งั หมด 16 ข้นั ตอน ปรุงแต่ง / กายสังขาร ปรุงแต่งกายให้นึกคิด ลมหายใจ มีความสาคญั ต่อชีวิต โยคี บาเพ็ญ อด ละ 4 ช้นั ตามสตปิ ัฏ อาหาร 15 วนั ได้ พุทธศาสนา เอาลมหายใจมาใช้ ความสาคญั ของลมหายใจต่อชีวิตเป็นตาย มี ฐาน 4 กาย 4 ข้นั อิทธิพลตอ่ ร่างกาย / ถา้ เราฝึ กบังคบั เวทนำให้เป็ นไปตำมต้องกำรได้ เราแสวงหาในชีวติ เวทนำมี เวทนา 4 ข้นั จิต 4 ควำมสำคัญ มำกำกับกระตุ้น ให้เราทาไม่ทา เป็นเป้าหมายชีวิต ปรุงแต่งจิต ชอบ รัก ชงั เกลียด ข้นั ธรรม 4 ข้นั กลวั สิ่งท้งั หลาย เราปฏิบตั ิต่อ จาหมายไว้ ความสาคญั หมายมีอิทธิพลต่อผูค้ น คิดไปอย่าง กายานุปัสสนา หายใจเขา้ ออกกร็ ู้ชดั จะรูท้ ว่ั ร่างกาย ท้งั หมด ผ่อนกาย สังขาร เวทนานุปัสสนา จะ ทาปี ติ หายใจเขา้ ออก จะรู้ชดั จติ จิตต สงั ขาร ผอ่ นระงบั จิต สังขาร หายใจ ปฏิบตั ิ “สติปัฏฐาน” เรื่องธรรมชาติ จิตตานุปัสสนา รู้ชดั “จติ ” หายใจเขา้ หายใจออก ทา “จิต” ให้บนั เทิง จะต้งั จิต มนั่ จะเปล้อื งจิต ธรรมนุปัสสนา ตาม เห็นความไม่เทยี่ ง หายใจเขา้ หายใจ ออก ความคลายออก เห็นความดบั ไป จะ ตามเหน็ ความสลดั คืนไป ฝึกบงั คบั เวทนาให้ เป็นไปตามตอ้ งการ ได้ ปรุงแตง่ จติ ชอบ รกั ชงั เกลยี ด กลวั ส่ิงท้งั หลาย ปฏบิ ตั ิ ตอ่ จาหมายไว้ เวทนามีความสาคญั มากากบั กระตนุ้
ผล 522 จิตใจสบายลม ละเอียด แสดงออกจาหมายไว้ / เวทนำและสัญญำ เป็ นจิตสังขำร สิ่งที่ปรุงแต่งจิต ยกเอำเวทนำ หายใจละเอียด เป็ น ตัวเดนิ จติ สังขำร หมำยถึง สัญญำ และ เวทนำ / อานาปานสติเห็น -เวลำปฏบิ ัตติ ำมเหตุปัจจัยที่ตอ้ งการใหเ้ กิด รู้เทา่ ทนั ตามความเป็นจริง เป็นของ ส่งผลใหบ้ รรลุ ลมหายใจชดั ลม จุดมุ่งหมายท่ีตอ้ งการ / จติ ใจสบำยลมหำยใจละเอียด การปฏิบตั ิอำนำปำนสตเิ หน็ ลมหำยใจชัด / หายใจเป็ นส่วน ลมหายใจยาวมีผลต่อร่างกาย ผอ่ นลมหายใจ ลมหายใจเป็นส่วนของร่างกาย / ของร่างกาย ตารางที่ 4.12.5 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “อำนำปำนสติ โยงสู่สติปัฏฐำนตอนท่ี 2” แนวทางปฏิบตั ิสมเด็จพระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั P5] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ -กำรใช้อำนำปำนสติ โยงเข้ำสู่สติปัฏฐำน 4 ลาดบั การปฏิบตั ิ การเจริญอานาปานสติ 16 ข้นั / นา การใชอ้ านาปานสติ อานาปานสติ เขา้ สู่สติปัฏฐาน 4 ครบ / ความสาเร็จกำรปฏบิ ัติ 16 ข้นั ทำอำนำปำนสติ ทำให้สติ โยงเขา้ สู่สตปิ ัฏฐาน 4 ปัฏฐำน 4 กำหนดรู้พจิ ำรณำสภำวธรรมต่ำงๆ ให้เป็ นสติปัฏฐำน 4 ครบบริบูรณ์ โดยอาศยั อานา ปานสติ มาทา / อานาปานสติ โยงสู่สติปัฏฐาน 4 โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ วิชชา วิมุตติ ถึงจุดหมาย / การปฏบิ ตั ิ 16 ข้นั ทา ปริยตั ิ แจง่ แจง้ ปูพ้ืนฐานการปฏิบตั ิ เป็นแนวทางเขม็ ทิศ ภูมิศาสตร์ เดินทางไปสู่จุดหมายเป็น อานาปานสติ ทาให้ อยา่ งดี / สติปัฏฐาน 4 กาหนด รูพ้ ิจารณาสภาวธรรม ต่างๆ ใหเ้ ป็นสตปิ ัฏ ฐาน 4 ครบบริบรู ณ์ โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ หลกั กำร -กำยำนุปัสสนำ 4 ข้ัน ผู้ปฏิบัติมำกำหนดลมหำยใจ ตอ้ งการวิธีสมถะ การใชเ้ ทคนิค การเจริญ วิธีสมถะ การใช้ สมถะมาช่วยการนบั กำรพูดในใจ “กำรบริกรรม” กำหนดลมหำยใจช่วยสมำธิ / สติปัฏฐาน 4 เทคนิค การพดู ในใจ สมบูรณ์ โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ สืบต่อ สติปัฏฐาน 4 นาสู่จุดหมายแทจ้ ริง สติสัมโพชฌงค์เข้มแข็ง “การบริกรรม” องค์ธรรมแห่งกำรตรัสรู้ ได้อำศัย “สติ” ทำงำนอย่ำงโพชฌงค์ องค์ประกอบการตรัสรู้ / เม่ือ กาหนดลมหายใจ ปฏิบตั ิใหร้ ู้ความจริงในขณะน้นั ๆ ขณะกำหนดลมหำยใจทุกคร้ัง รู้ตัวทัว่ พร้อม รู้ท้งั กำยท้ังหมด สตสิ มั โพชฌงค์ การปฏิบัติ “ศึกษำอยู่ ในฝึ กหัด” ขยาย การรับรู้ และรู้ตัวทว่ั พร้อมมากท่ีสุด / สติเป็ น สติ เขม้ แข็ง องคธ์ รรม สัมโพฌงค์ สติจดั ทนั หมด เอำปัญญำมำวินิจฉัยไว้ สกัดคล่องแคล่ว ทำงำนได้ผลดี ทันกำล สติ แห่งการตรสั รู้ ได้ มำทำงำนได้ทัน ปัญญำทำงำนได้ผลดี / สติเป็ นตัวปัญญำ มาทนั กาล ปัญญาไม่มา สติไม่มี สติ อาศยั “สติ” ทางาน ปัฏฐาน ทนั เด่นชดั ทาหนา้ ท่ีส่งงาน คือ ใหป้ ัญญา ปัญญาทนั ควร สติ คือ ปัญญา / ธรรมวิจัยยะ อยา่ งโพชฌงค์ สัมโพชฌงค์ เฟ้นธรรม วิจัยธรรม ปัญญำชัดคม วิเคราะหไ์ ด้ วจิ ยั เป็น วเิ คราะห์ไดผ้ ล สติ ป้อน กาหนดลมหายใจทุก ขอ้ มูลทนั กาล ปัญญาชดั เจนทางาน สัมปชญั ญะ เป็นธรรมวิจยั สัมโพชฌงค์ คร้งั รู้ตวั ทวั่ พรอ้ ม รู้ ท้งั กายท้งั หมด -การปฏิบตั ิ 16 ข้นั ไดแ้ ก่ กายานุปัสสนา 4 ข้นั ตอน 1) หำยใจเข้ำออก ก็รู้ชัดว่ำ หำยใจเข้ำออก กาหนดลมหายใจทกุ ยำวส้ัน กำหนดรู้ลมหำยใจโดยตรง รู้ตำมท่ีลมปรำกฏ ไม่มีการฝึ ก หรือบงั คบั ให้เป็นไป ขยาย คร้งั รูต้ วั ทวั่ พรอ้ ม รู้ วางกาหนดกวา้ งออกไป ออกไป ร่างกายท้งั หมด รู้สึกถึงกองลมหายใจ ท้งั หมด / ศึกษาวา่ จะรู้ ท้งั กายท้งั หมด เอา ปัญญามาวินิจฉัยไว้ สตเิ ป็นตวั ปัญญา ธรรมวิจยั ยะ สมั โพชฌงค์ เฟ้นธรรม วิจยั ธรรม ปัญญาชดั คม วธิ ีกำร หายใจเขา้ ออก ก็ รู้ชดั ว่า หายใจ เขา้ ออก ยาวส้นั
523 กาหนดรู้ลม ท้งั หมดหายใจเขา้ หายใจออก หายใจเขา้ ออก ให้รู้ชดั วา่ ตลอดกายของตนท้งั หมด / 16 ข้นั อา หายใจโดยตรง รู้ นาปานสติ มำสัมผัส ภำวนำแห่งควำมหลุดพ้น เป็ นอิสรภาพ ครบวงจรธรรมานุปัสสนา / ตามทลี่ มปรากฏ ปัญญา วิมุตติ อิสระ หลุดพน้ มรรคผล สู่อริยผล โลกุตระฯ สภาพชีวิตใชท้ ุกข์ พฒั นาศกั ยภาพ สมบูรณ์ / เกิดปี ติ ควำมอิม่ ใจ ควำมสุข เริ่มรู้ชดั ก่อน กำหนดลมหำยใจเข้ำออก ทุกคร้ัง มีควำมรู้ ท้งั หมดหายใจเขา้ ชัดเวทนำท่ีเป็ นได้ เสวยปี ติสุข หำยใจเข้ำออกรู้ชัด รู้ชดั ปี ติ ความสุข ให้ปี ติความสุข มีอยู่ / หายใจออก หายใจ ศึกษา “จิตสังขาร” หายใจ เวทนา และสัญญา ปี ติ สุข เวทนาฝ่ ายดี สบาย รู้ชัดจิตสังขำร รู้ชัด เขา้ ออก ใหร้ ูช้ ดั ว่า สภำพควำมเป็ นไป ปี ติ สุข เกิดในใจ หรือ โลดแล่น ซูซ่า สบาย มีอานาจปรุงแต่งจิต รู้ชดั เขา้ ใจ ตลอดกายของตน ปี ติ สุข อย่างไร รู้เขา้ ใจ หยาบละเอียด / รู้ชัด “จิตสังขำร” รู้คุณโทษ บงั คบั เวทนาไดช้ ดั จิต กาหนดลมหายใจเขา้ สงั ขาร เป็นประโยชน์ รู้ชดั จดั เจน ชำนำญ ฝ่ ำยดีเกิดขนึ้ ควบคุม บงั คบั ละเอียด กา้ วหนา้ สภาพ ออก ทกุ คร้งั มคี วามรู้ จิตใจ ใช้ปัญญำ ฝึ กหัดควบคุม จิตสังขำร / ศึกษาวา่ ผ่อนระงบั “จิตสังขาร” หายใจเขา้ หายใจ ชดั เวทนาทเ่ี ป็นได้ ออก เราบงั คบั ควบคุม เวทนาได้ ให้เข้ำไปทำงท่ีดี ละเอียด ระงบั ปี ติหยาบ ตอ้ งการความสงบ เสวยปี ติสุข หายใจ ให้องค์ฌำนอื่นๆ รู้พิจำรณำคุณโทษ อะไร “รู้ชัด” ควบคุมมันได้ ควบคุมไดท้ ้งั ปี ติ ความสุข เขา้ ออกรู้ชดั ควบคมุ เวทนา ปรุงแต่ง / หำยใจเข้ำออก กำยย่อยลมหำยใจ ให้มีสติสัมปชัญญะ รู้ชดั ลมหายใจ ชดั จิตสงั ขาร รูช้ ดั ตวั เองว่า มีสภาพยาว หยาบ และจบส้ันอยู่ที่ไหน อำกำรพองยุบอยู่ส่วนใด ร่ำงกำย “รู้หมด” สภาพความเป็ นไป ขยายการรู้ท้งั หมด ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ลมหายใจ กองลมหายใจท้งั 5 / ศึกษาวา่ จะเปลื้องจิต หำยใจ ปี ติ สุข เกิดในใจ เข้ำ หำยใจออก หัดปล่อย พยำยำมทำจิต ให้มีอิสระ เสรีภำพ กา้ วหน้าไปสู่จุดหมาย อิสรภาพ ใชป้ ัญญา ฝึกหดั ฝึกหดั จิตไปในทิศทางเปล้ีองจิตออก จากสิ่งท่ีเกาะเกี่ยวผา่ นมา ท้งั หลายออก จติ มีควำมสุขเป็ น ควบคมุ จติ สงั ขาร สมำธิ ต้องหดั เป็ นอสิ ระตอ่ ส่ิงเหลา่ น้นั ก้ำวหน้ำไปสู่กำรบังคับจิต เป็ นอสิ ระเสรี ปลดเปล้ืองจิต ผอ่ นระงบั “จิต / ปลดเปล้ืองจิต จาก นิวรณ์ 5 ปี ติ สุข ราคะ โทสะ โมหะ ความเขา้ ใจผิดต่างๆ ปลดเปล้ืองจิต สงั ขาร” หายใจเขา้ จากความเขา้ ใจผิด ปถุชน / หมวดธรรมนุปัสสนา ศึกษาความเห็นความไม่เที่ยง หายใจเขา้ หายใจออก เรา หายใจออก ตามเห็นความคลายออก หายใจเขา้ ออก ศึกษาตามเห็นความดบั หมดไป หายใจเขา้ บงั คบั ควบคมุ ออก ศึกษาความสลด หายใจเขา้ หายใจออก / ดูธรรมสิ่งท่ีดีชั่ว ในจิตใจ วิธีดู สภาพความเป็น เวทนาได้ จริง สิ่งท่ีมีอยู่ในจิตใจ ชีวิต สภาพความเป็ นจริงเกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั ไป กำหนดพิจำรณำผ่ำนมำ มองตำมควำมเป็ นจริงวา่ ความดบั ไปหายไป จิตโนม้ ไปดูความเกิดดบั / ศึกษาตำมเหน็ ควำมไม่ ควบคุมไดท้ ้งั ปี ติ เท่ียง หำยใจเข้ำหำยใจออก ดูสิ่งท่ีพร้อมเห็นชดั เจน มองตามความเป็นจริง เกิดดบั เห็นชดั เจน ความสุข ควบคุม เห็นจากของจริง เจริญวิปัสสนา เกิดดบั / หมวดเวทนำนุปัสสนำ 4 ข้ัน ขอให้ดูตามลาดบั การ เวทนา ปรุงแต่ง ปฏิบตั ิ 3) ศึกษาว่า รู้ชดั “ปี ติ” หายใจเขา้ หายใจออก 6)ศึกษาว่า รู้ชดั “สุข” หายใจเขา้ หายใจ ออก 7)ศึกษาว่า รู้ชดั “จิตสังขาร” หายใจเขา้ หายใจออก 8)ศึกษาว่า ผ่อนระงบั “จิตสังขาร” เปล้อื งจิต หายใจ หายใจเขา้ หายใจออก / กำยรวม สัมพันธ์กับลมหำยใจ (กำยย่อย) มีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจ / เขา้ หายใจออก หดั ควบคมุ สภำพทเ่ี รำต้องเกิดต้ังใจ เกิดสภาพอยา่ งน้ี / สภำพลมหำยใจ ละเอียดอ่อน ทำให้ร่ำงกำย ปล่อย พยายามทา สบำย จิตใจสบำย จิตสงบมำกชึ้น ลมหำยใจละเอียดลงไป ทาลมหายใจละเอียดอ่อน ปฏิบัติ จิต ให้มอี ิสระ ตัวเองบังคับลมหำยใจ ทำจิตสงบลงไป / เห็นจำกของจริง เจริญวิปัสสนำ เกิดดับ มองดูตาม เสรีภาพ ความเป็นจริง เกิดดบั เห็นชดั เจน เอำจิตหัดไว้ ดูสิ่งท้ังหมดเป็ นอนิจจัง เห็นทุกขัง อนัตตำ เห็น ดธู รรมสิ่งทีด่ ีชวั่ ในจิตใจ สภาพ ความเป็ นจริ ง เกิดข้นึ ต้งั อยู่ ดบั ไป กาหนด พิจารณาผ่านมา มองตามความเป็ น จริง ตามเหน็ ความไม่ เที่ยง หายใจเขา้ หายใจออก เหน็ ชดั เจน เห็นจาก ของจริง เจริญ วปิ ัสสนา เกิดดบั กายรวม สัมพนั ธ์ กบั ลมหายใจ (กาย ยอ่ ย) เห็นจากของจริง เจริญวปิ ัสสนา เกิด ดบั เอาจิตหัดไว้ ดูส่ิง ท้งั หมดเป็นอนิจจงั เห็นทกุ ขงั อนตั ตา เหน็ การเกิดดบั เห็นสภาวธรรม เป็ นไปตามเหตุ ปัจจยั
524 ศกึ ษาความดบั กำรเกิดดับ เห็นสภำวธรรม เป็ นไปตำมเหตุปัจจัย อาศยั การเกิดดบั ไม่มีความเป็นตวั น ความ หมดไป ดูตาม เป็นไปตามเหตุปัจจยั ดูให้คล่องแคล่วชานาญ เป็นไป / จิตมองเห็นอนิจจังควำมไม่เท่ียง จิต สภาวะเป็ น พร้อมคลำยออก ควำมยึดติด ถือมั่น พร้อมคลายออก หันมาดูความคลายออก สัมผสั ความเป็น ประสบการณ์ จริง คลายออก เห็นไตรลกั ษณ์ ความยดึ มนั่ ถือมน่ั จางคลายออกจากจิตใจ / ตำมเห็นควำมคลำย ภายในจติ ใจ ออก หำยใจเข้ำ หำยใจออก ดูตามสภาพความเป็ นจริง ประสบการณ์ โลกุตระ สังขารในโลก จติ ตานุปัสสนา คลำยออกจำกกำรยึดติด ภำวะยึดติดหมดไป ตำมดูจำงคลำย ดับหำยไปหมด / ศึกษำควำมดับ ศกึ ษาว่า รู้ชดั จติ หมดไป หายใจเขา้ หายใจออก สภำพควำมยึดตดิ ถือมน่ั เห็นควำมไม่มี ควำมดับหมดไป กิเลส หายใจเขา้ ออก จติ จากทุกข์ ความโศกเศร้า ความกงั วล หมดไป ความดบั ทุกข์ มองเห็นสภาพความดบั ทุกข์ ดูตำม บนั เทงิ จิตต้งั มนั่ สภำวะเป็ นประสบกำรณ์ ภำยในจิตใจของเรา / 16 ข้นั อานาปานสติ ควำมทุกข์หมดไป ภำวะ เปล้ีองจิต หายใจ เกิดขึน้ เป็ นอิสรภำพ เกิดมำในใจตำมดูตำมเห็น เสร็จอย่ำงสมบูรณ์ภำยในจิตใจ พน้ จากโลกีย เขา้ หายใจออก สุข / จิตตำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน ศึกษำว่ำ รู้ชัด จติ หำยใจเข้ำ หำยใจออก ศึกษำ จติ บนั เทงิ ศึกษำ รูส้ ภาพจติ ใจตามท่ี จิตต้ังมั่น ศึกษำจะเปลี้องจิต หำยใจเข้ำหำยใจออก / ศึกษาควบคุมเวทนา ข้ันปรุงแต่ง จิต เป็นขณะน้นั จิต 16 ควบคุมเวทนา มีผลต่อจิตใจ สามารถควบคุมจิตใจโดยผา่ น เวทนา / สภำพจติ ใจดูให้ตัวเองอย่าง อยา่ ง ไม่เคยมีมาก่อน ตอ้ งสร้างข้ึนดูได้ ดูสภาพร่างกายเป็น จิตตานุปัสสนา / จิตตานุปัสสนา ศึกษารู้ ทาจติ ใหเ้ ป็นบนั เทิง ชัดจิตตามความเป็ นจริง หายใจเข้าออก ดูสภาพจิตใจ ขณะน้ันเป็ นอย่างไร สภาพจิตใจ หายใจเขา้ ออก สอดคลอ้ ง อิทธิพลเวทนาและจิตใจ เวทนาสุข กบั สภำพจิตใจไปตำมเวทนำ คุมเวทนำได้ ปี ติ เป็ นไปตามสภาพท่ี สุจ เกิดขึน้ / รู้สภำพจิตใจตำมท่ีเป็ นขณะน้ัน จิต 16 อย่ำง มีราคะ ไม่มีราคะ จิตมีโทสะ ไม่มี ตอ้ งการ เลือกสภาพ โทสะ จิตต้งั เป็นสมาธิ ไมต่ ้งั มนั่ ขยายขอบเขตสภาพจิตได้ / ทำจติ ให้เป็ นบันเทงิ หายใจเขา้ ออก ปี ติ ปราโมชย์ มี เป็นไปตามสภาพที่ตอ้ งการ เลือกสภาพ ปี ติ ปรำโมชย์ มีควำมสุข ฝึ กจติ บันเทิงได้ เราฝึกบงั คบั ความสุข ฝึกจติ จิต ศึกษาว่า ทาจิตให้บนั เทิง หายใจเขา้ หายใจออก / มีความสามารถบังคับจิต เบิกบำน สมำธิ บนั เทงิ ได้ อำจอำศัยสมำธิ ทำจิตให้บันเทิง องค์ฌาน ปี ติ สุข เกิดดว้ ยปัญญา รู้เข้ำใจตำมควำมเป็ นจริง องคธ์ รรมโพชฌงค์ เวทนำ เห็นปี ติ เกิดข้ัน ต้ังอยู่ ดับไป / สติปัฏฐาน สมบูรณ์ อุเบกขา ลงตวั ได้ ทุกอยา่ ง ทุกอย่าง 1) สติ ระลกึ ไดเ้ ป็นผู้ ลงตวั เขา้ ที่คุมอยทู่ ี่ องคธ์ รรมสอดคลอ้ งกบั โพชฌงค์ ทางานเขา้ สู่จุดหมาย เป็นการตรัสรู้ได้ 1) เบกิ องคธ์ รรม พิจารณา 2)ธรรมวจิ ยั สติ ระลึกได้เป็ นผู้เบิกองค์ธรรมต่ำงๆ มำพจิ ำรณำ 2)ธรรมวิจัย เลือกเฟ้นธรรม 3) วิริยะ 4) ปี ติ เลอื กเฟ้นธรรม 3) 5) ปัสสัทธิ ผ่อนคลำย 6)สมำธิ ใจต้ังม่ัน 7)อุเบกขำ วำงใจเป็ นกลำง ลงตวั ท้งั 7 ประการ สัม วิริยะ 4) ปี ติ 5) โพชฌงค์ 7 ประการ ส่งงานใหป้ ัญญา / ปัสสัทธิ ผอ่ นคลาย กำยใหญ่ รู้ชัดกำยท้ังหมด ท้งั ตวั ร่างกาย มีสภาพอาการท้งั หมดร่างกาย รู้ชัดอยู่ในใจอยู่ในสติ 6)สมาธิต้งั มน่ั 7) ปัฏฐำน 4 ร่ำงกำยขยำยนำมกำย สภำพจิตใจท้งั หมด รู้สภาพตนเองท้งั หมด การรู้เกี่ยวกับ อุเบกขใจเป็ นกลาง ตนเอง ครอบคลุม มีความรู้สึกในกายของตนเอง / กำยขยำยอย่ำงไร รู้ชัด ควำมสัมพันธ์กำย สัมโพชฌงค์ 7 ส่ง ย่อย และกำยใหญ่ ตระหนกั ดีในการหายใจ สภาพจิตใจ ลมหายใจส้ัน ละเอียด มีผลต่อสภาพ งานให้ปัญญา ร่างกาย ควำมสัมพันธ์ ปรุงแต่ง กำยใหญ่ และกำยย่อย / บังคับจิตอยู่ในสภำพบันเทิง ทดลอง ฝึ กหัดตนเอง ศึกษำจิต ต้ังม่ันหำยใจเข้ำ หำยใจออก บงั คบั จิตใหต้ ้งั มน่ั ทาจิตให้เป็นสมาธิ จิต ผล ต้งั มน่ั บริสุทธ์ิ ผอ่ งใส ไม่เศร้า จิตนุ่มนวลควรแก่งาน / ความเพียร วิริยะ ความเพียรไดผ้ ลงาน รู้ชดั อย่ใู นใจอยู่ ในสติปัฏฐาน 4 ร่างกายขยายนาม กาย สภาพจิตใจ รู้ชดั ความสัมพนั ธ์ กายยอ่ ย และกาย ใหญ่ ตระหนกั การหายใจ
จิตต้งั มนั่ 525 บริสุทธ์ิ ผอ่ งใส ไมเ่ ศร้า จิต สาเร็จ วิจยั ไดผ้ ลดี วิริยะ อำตำปี ควำมเพียร กระตุ้น ให้ปฏิบัติเดินหน้ำไปอยู่แลว้ มีกาลงั ดีอยู่ นุ่มนวล แลว้ พร้อมทางาน ปัญญาพิจารณา เลือกเฟ้น อกุศล โทษ หรือ ส่ิงดี มีประโชน์ เจริญ เพ่ิมพูน รักษาไว้ ตารางที่ 4.12.6 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “หมวดท่ี 1 กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน” แนวทางปฏิบตั ิสมเด็จพระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั P6] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ -การใชอ้ านาปานสติ โยงสู่สติปัฏฐาน 4 ลาดบั การปฏิบตั ิในการเจริญอานาปานสติ 16 ข้นั วา่ ดว้ ยกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 4 ข้นั / หำยใจส้ันยำว มีผลต่อร่ำงกำยอย่างไร มีความสัมพนั ธ์ หายใจส้นั ยาว ปรุงแต่งร่างกายเป็นอย่างไร รู้ชัด เข้ำแจกแจงไว้ มีควำมรู้กำรปฏิบัติกวา้ งขวาง การกาหนดลม มผี ลตอ่ ร่างกาย หายใจทุกคร้ัง ลมหายใจเขา้ ออกรู้ทว่ั ท้งั หมด / กำหนดปฏิบัติบังคับลมหำยใจ ทำลมหำยใจ รู้ชดั เขา้ แจก ละเอยี ดอ่อน แจงไว้ มี ความรู้การ -กายานุปัสสนา 4 ข้นั 1)หำยใจเข้ำออกยำว ก็รู้ชัดว่ำ หายใจส้ันยาว ก็รู้ชดั ว่าหายใจเขา้ หายใจ ปฏบิ ตั ิ ออก การกาหนดรู้ลมหายใจโดยตรง รู้ตำมท่ีลมหำยปรำกฏ ให้มีกำรฝึ กหรือบังคับให้เป็ นไป ขยำยวงกำหนด ออกไปจำกร่ำงกำยท้ังหมด ลมหายใจไม่กาหนดอยู่เฉพาะหายใจยาวส้ัน ให้ หลกั กำร รู้สึกกองลมหำยใจท้ังหมด ลมหายใจไปกาหนดอยู่เฉพาะหายใจส้ันยาว ให้รู้สึกกองมหายใจ ท้งั หมด / ศึกษาว่า เรารู้ทว่ั กายท้งั หมด หายใจเขา้ หายใจออก กายท้งั หมด กำยที่เป็ นส่วนย่อย หายใจเขา้ ออกยาว ส่วนรวม กองลมหำยใจ เป็ นกำยส่วนย่อย ของร่ำงกำยท้งั หมด / ลมหำยใจเข้ำออก ให้สำเหนียก ก็รูช้ ดั รูต้ ามทล่ี ม ว่ำ จะรู้ทั่วกำยท้ังหมด กำยย่อยรู้ให้ท้ังหมด โดยมีสัมปชัญญะ รู้ชดั ลมหายใจตนเอง ยาวส้ัน หายปรากฏ หยาบละเอียด ก็รู้ชดั ท้งั หมด / กำหนดลมหำยใจต้องกำรวิธี สมถะ กำรใช้เทคนิค การเจริญ การฝึกหรือบงั คบั สมถะ การนับ กำรพูดในใจ เรียกว่ำ “คำบริกรรม” พุทโธ กำหนด ลมหำยใจ / การศึกษา เป็ น ให้เป็นไป ขยายวง การฝึกฝน พยายาม ขยายการรับรู้ การรู้ตวั ทวั่ พร้อมใหค้ รอบคลมุ มากที่สุด / กาหนด ออกไป -ลมหำยใจ มีจุดเริ่มต้น จุดท่ำมกลำง ในจนถึงสุด รู้หมด พองแฟ็บ ขยายรู้ การหายใจใหร้ ู้หมด จากร่างกาย กายย่อย กองลมหายใจ รู้ทวั่ ท้งั หมด / กายใหญ่ รู้ท้งั หมด สภาพท้วั ตวั ร่างกาย มีสภาพอยา่ งไร ท้งั หมด รู้สึกกอง อำกำรก็รู้ชัดอยู่ในใจ อยู่ในสติสัมปชัญญะ / นามกาย กำยรวมกับสภำพจิตใจท้งั หมด รู้สภาพ ลมหายใจท้งั หมด ของตนเองท้งั หมด ร่างกายรวมกบั จิตใจ รู้หมดการรู้เกี่ยวกบั ตวั เรา / ทุกลมหำยใจ เข้ำออกรู้ชัด ลมหายใจเขา้ ออก สำมำรถรู้ชัดควำมสัมพนั ธ์กำยย่อยกำยใหญ่ กำยท้ังตวั มีความตระหนกั ชดั เกี่ยวกบั การหายใจ / สาเหนียกว่า จะรู้ ศึกษาวา่ ผอ่ นระงบั กายสงั ขาร หายใจเขา้ ลมหายปรุงแตง่ ร่างกายผ่อนคลายระงบั ลมหายใจ ได้ ทวั่ กายท้งั หมด รู้เห็นเขา้ ใจ กายรวมลมหายใจ กายย่อย / ใช้วิธีลมหำยใจละเอียดอ่อน ให้ฝึ กไป ละเอียดอ่อนลง กายยอ่ ยรู้ให้ ไป ฝึ กให้ชำนำญ มีผลต่อร่ำงกำย / ท้งั หมด โดยมี สมั ปชญั ญะ วธิ กี ำร ลมหายใจ มี จดุ เร่ิมตน้ จดุ ท่ามกลาง ในจนถึง สุด รู้หมด อาการก็รูช้ ดั อยูใ่ นใจ อยูใ่ นสตสิ มั ปชญั ญะ ทกุ ลมหายใจ เขา้ ออก รูช้ ดั สามารถรู้ชดั ความสัมพนั ธก์ าย ย่อยกายใหญ่ กาย ท้งั ตวั ผอ่ นระงบั กาย สังขาร หายใจเขา้ ลม หายปรุงแต่งร่างกาย ใชว้ ธิ ีลมหายใจ ละเอยี ดอ่อน ให้ฝึก
ไป ชานาญ มีผลต่อ 526 ร่างกาย -จติ ใจผ่อนคลำยลมหำยใจ ประณตี เขา้ ใจสภาพลมหายใจ สังเกต รู้ ถึงผล ควบคมุ บงั คบั ผล สภาพที่ตอ้ งการ สภาพลมหายใจ เก้ือกลู ร่างกาย จิตใจสบาย จิตใจผอ่ นคลาย ลมหายใจ ประณีต ตารางที่ 4.12.7 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “หมวด 2 เวทนำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน” แนวทางปฏิบตั ิสมเด็จพระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั P7] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ -วัตถุในกำรพจิ ำรณำ สมำธสิ ำเร็จผล คือ ลมหำยใจ ได้ฌำน ปี ติ สุข เกดิ ในองค์ฌำน ไดป้ ี ติ สุข มาจากองคฌ์ าน วตั ถใุ นการ พจิ ารณา สมาธิ -เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน มี 4 ข้นั ตอน ศึกษำรู้ชัดจิต จิตสังขำร ระงับจิตสังขำร หายใจเขา้ สาเร็จผล คือ ลม หายใจออก / ขันธ์ 5 ปี ติ สุข เกิดขึน้ ปฏิบตั ิตามหลกั อานาปานสติ กา้ วหนา้ / กาหนดลมหายใจ หายใจ ไดฌ้ าน ปี ติ ชดั เจน เกิดความสาเร็จ มีฉันทะ ในการปฏิบตั ิกา้ วหน้า ไดส้ ิ่งที่ตอ้ งการ / เปล่ียนอำรมณ์ “กำย สุข เกิดในองค์ สังขำร” สำเร็จ ปี ติ สุข เกิดขึน้ เปลี่ยนกาหนด เปลี่ยนไปรู้ชัดเวทนำ เริ่มต้นด้วย “รู้ชัด” ก่อน / ฌาน กำหนดลมหำยใจ เข้ำออก รู้ชัด “เวทนำ” พร้อมท้ังเสวย ปี ติ สุข ที่เคยมีอยู่ ความรู้ สนับสนุน แนบแน่น ชดั เจน / หายใจเขา้ ออก โดยรู้ชดั ปี ติ และความสุข ปรากฏ รู้ชดั หายใจเขา้ ออก / จิต หลกั กำร สังขำร หมำยถึง เวทนำและสัญญำ ปิ ติ รวมสุข เวทนาฝ่ ายดี ฝ่ ายสบาย รู้ชดั จิตสงั ขาร รู้จิตสภาพ ความเป็นไป / จิตสังขาร มีอำนำจ ปรุงแต่ง จิต มีคุณ มีโทษอย่างไร มีความรู้ความเขา้ ใจ ปี ติ สุข เวทนานุปัสสนา อยา่ งทวั่ ถึง / ศกึ ษารู้ชดั จิต จิต สังขาร ระงบั จติ -หำยใจเข้ำหำยใจออก ให้ตระหนักรู้ “จิตสังขำร” เท่าท่ีเป็ นไปทว่ั ตลอด มีความรู้สึกชัดเจน สังขาร หายใจเขา้ ชานาญ กา้ วสูต้ ่อไป รู้ชดั “จิตสงั ขาร” รู้คณุ โทษ กา้ วต่อไป เป็นประโยชน์ / ศึกษำและฝึ กหดั กำร หายใจออก ใช้เวทนำรู้ชัดจิตสังขำร ควบคุมในกำรใช้ปัญญำ / ควบคุมจิตสังขาร บงั คบั ปรุงแต่งจิตไปทางดี เปลี่ยนอารมณ์ “กาย ผ่อนระงบั จิตสังขาร หายใจเขา้ หายใจออก / ปี ติ สุข รู้ชัด ควบคุมได้ สามารถควบคุม ปี ติ และ สงั ขาร” สาเร็จ ปี ติ สุข ไม่ใหม้ ีอิทธิพล คุมเวทนา ปรุงแตง่ จิต / ควบคมุ เวทนา ศึกษาผอ่ นระงบั “จิตสังขาร” หายใจ สุข เกดิ ข้นึ เขา้ หายใจออก ความชานาญเกี่ยวกบั จิตใจ ข้ึนเวทนาควบคุม จิตสงบ เก้ือกลู ชีวติ จิตใจ / กาหนดลมหายใจ เขา้ ออก รูช้ ดั “เวทนา” พรอ้ มท้งั เสวย ปี ติ สุข จติ สังขาร หมายถึง เวทนาและสัญญา มี อานาจ ปรุงแตง่ จติ มีคณุ มโี ทษ วิธกี ำร หายใจเขา้ หายใจออก ให้ตระหนกั รู้ “จิต สงั ขาร” ศกึ ษาและฝึกหัด การใช้ เวทนารูช้ ดั จติ สังขาร ควบคมุ ในการใชป้ ัญญา ควบคุม เวทนา ศึกษา ผ่อนระงบั “จิตสงั ขาร” หายใจเขา้ หายใจออก ผล -ได้ฌำน ปี ติ สุข เกดิ ในอรมณ์ ฌำน ไดจ้ ิตสุข มาจากการได้ ฌาน มีความกา้ วหนา้ อิ่มใจ ไดฌ้ าน ปี ติ สุข เกิดในอรมณ์ ฌาน
527 ตารางท่ี 4.12.8 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “หมวด 3 จติ ตำนุปัสสนำสติปัฏฐำน” แนวทางปฏิบตั ิสมเดจ็ พระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั P8] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด -สตปิ ัฏฐำน มีสภำพจิต 16 อย่ำง ดูจติ ตำมสภำพ สตปิ ัฏฐาน มี -หมวดท่ี 3 ข้ัน 9)จะรู้ชัดจิต หำยใจเข้ำหำยใจออก 10) จะทำจิตให้บันเทงิ 11) ต้ังจิตม่ัน 12) จะ สภาพจิต 16 อยา่ ง ดจู ิตตาม สภาพ หลกั กำร ข้นั 9)จะรูช้ ดั จติ เปลื้องจติ หำยใจเข้ำหำยใจออก / ดูจิตมีราคะ ก็รู้ ไม่มีกร็ ู้ จิตมีโทสะก็รู้ ไมม่ ีก็รู้ จิตต้งั มน่ั รู้สภาะ หายใจเขา้ หายใจ จิตท่ีเป็น รู้สภาพจิตท่ีเป็นขณะน้นั / สภำพจิตให้ทดลอง / ออก 10) จะทาจติ ให้บนั เทิง 11) ต้งั -บังคับควบคุมเวทนำ ปรุงแต่งจิต มำกำหนดจิตใจ บงั คบั ควบคุมจิตใจโดยผ่ำนเวทนำ ขยาย จิตมนั่ 12) จะ เปล้ืองจิตหายใจ เขา้ หายใจออก วธิ กี ำร บงั คบั ควบคุม ขอบเขตพิจารณาไดอ้ ย่างกวา้ งขวาง / จิตตตำนุปัสสนำ ให้ศึกษาว่า จะรู้ชดั “จิต” หายใจเขา้ เวทนา ปรุงแตง่ จิต หายใจออก ดูเวทนาที่จิตใจดูสภาพจิตใจ ขณะน้นั เป็นอยา่ งไร เวทนาที่เป็นทุกข์ สภาพจิตเป็น มากาหนดจิตใจ ทุกข์ เวทนาที่เป็นสุข สภำพจิตใจเป็ นไปตำมอิทธิพลเวทนำ / ศึกษาวา่ จะเปลื้องจิต หำยใจเข้ำ โดยผา่ นเวทนา หำยใจออก ทำจิตให้มีอิสระแล้ว จุดหมายสุดทา้ ย ทาจิตฝึ กหัดจิตในทิศทางเปล้ืองให้หลุด ออกไปจากจุดเกาะเกี่ยว ท้งั หลาย ฝ่ ายอกศุ ลกรรม / จิตหดั เป็ นอิสระ ทำจติ หลุดพ้นไม่ขอ้ งเก่ียว จิตตตานุปัสสนา เป็นอิสระเสรี ศึกษำปลดเปลงี้ จิต/ เปล้ืองจิต ความยึดตดิ ต้ังมั่นให้พ้นไป หลุดไป ปฏบิ ัติในการ ศกึ ษา จะรู้ชดั บงั คบั จิตให้เป็ นอิสระเสรีภาพได้ ท้งั ดีท้งั ชวั่ ไม่ยึดมน่ั / ทาจิตให้บันเทิง ควบคุมจิตให้เขา้ ไป “จติ ” หายใจเขา้ สภาวะท่ีดี สภาพที่บนั เทิง ปราโมชย์ ร่าเริง เบิกบาน มีสภาพท่ีดี ตามปี ติ สุข ปัสสัทธิ มีความสุข หายใจออก ดู เราฝึ กจิตให้บนั เทิงได้ / ศึกษำว่ำ เรำทำจิตให้บันเทิง หำยใจเข้ำหำยใจออก บังคับจิตให้มีควำม เวทนาทจี่ ติ ใจดู ร่ำเริง เบิกบำน เม่ือใดก็ได้ โดยอำศัยสมำธิให้บันเทงิ องค์ฌำน ปี ติ และสุข / บงั คบั จิตให้ต้งั มน่ั สภาพจติ ใจ จิตเป็นสมาธิ ต้งั มน่ั บริสุทธ์ิ ผอ่ งใส ไม่เศร้าหมอง ควรแก่งาน เกิดข้นึ มา ใหฝ้ ึกปฏิบตั ิ ร่าเริง ต้งั ขณะน้นั เป็น มนั่ บงั คบั จิตให้บนั เทิง ต้งั มน่ั สภาพจิตแบบเป็นตน้ ทางเก้ือกูล ความดีงามของชีวิต / สมาธิต้งั อยา่ งไร มนั่ เตรียมพร้อมจิตใชง้ านเหมาะสม จิตหดั เป็นอิสระ ทาจติ หลดุ พน้ -เกิดปัญญำควำมรู้ เข้ำใจควำมจริง เห็นกำรเกิดขึน้ ต้ังอยู่ ดับไป ความรู้ความเขา้ ใจตามความ ศกึ ษาปลดเปล้งี จติ ทาจติ ให้บนั เทิง ควบคุมจติ ใหเ้ ขา้ ไปสภาวะทด่ี ี สภาพทบ่ี นั เทงิ ปราโมชย์ ร่าเริง เบิกบาน มสี ภาพที่ ดี ตามปี ติ สุข ปัสสทั ธิ ผล เกิดปัญญา เป็นจริง / ช่ืนชมควำมก้ำวหน้ำพฒั นำตนเอง ผลดีต่อชีวิตจติ ใจ ความรู้สึกต่างๆ ทาใหจ้ ิตบนั เทิง ความรู้ เขา้ บงั คบั จิตใหบ้ นั เทิง / สามารถบงั คบั จิตดีงาม เก้ือกูล ตอ่ ชีวิตตนเอง สู่จุดหมายพร้อม / ใชป้ ัญญา ใจความจริง เจริญกา้ วหนา้ พฒั นาจิต ตอ่ ไป พฒั นาจิตไดค้ ลอ่ งแคลว่ กา้ วไป เห็นการเกิดข้นึ ต้งั อยู่ ดบั ไป
528 ตารางท่ี 4.12.9 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “หมวดที่ 4 ธรรมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน” แนวทางปฏิบตั ิสมเด็จพระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั P9] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด -กำรดูตวั ธรรม ดีชั่ว กศุ ล อกศุ ล ธรรมำนุปัสสนำ ดสู ภำพควำมเป็ นจริง ส่ิงที่อยใู่ นจิตใจในชีวิต สิ่งที่พบเห็นโดยการปฏิบตั ิ สภาพคความเป็นจริง เกิดข้นึ ต้งั อยู่ดบั ไป / เจริญอานาปานสติ 16 ข้นั การดูตวั ธรรม ดีชว่ั เขา้ สู่สติปัฏฐาน 4 กศุ ล อกุศล ธรรมา นุปัสสนา ดสู ภาพ -หมวดที่ 4 ธรรมำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน ข้ัน 13)ตำมเห็นควำมไม่เที่ยง หำยใจเข้ำ หำยใจออก 14) ความเป็ นจริ ง เจริญอานาปานสติ 16 ข้นั เขา้ สู่สติปัฏ ฐาน 4 หลกั กำร ธรรมานุปัสสนาสติ ศึกษำควำมคลำยออก ไม่เท่ยี ง 15)ศึกษำควำมดับ 16)ศึกษำควำมสลัดคืน หำยใจเข้ำหำยใจออก / ปัฏฐาน ข้นั 13)ตาม เป็นไปตามเหตุปัจจยั เป็นไปตามหลกั ปฏิจจสมุปบาท ดูให้คล่องแคล่ว ชานาญ / คลำยออก ดับ เห็นความไมเ่ ท่ียง หมดไป เกิดภำวะ สลัดออก ตวั หลุดออกได้ ลอยตวั เป็นอิสระ ความสลดั หลุดออกมา ดบั ความ หายใจเขา้ หายใจ ทุกข์ ภาวะเกิดข้ึนเท่ากบั อิสรภาพ เกิดข้ึนมาในตามดูตามเห็น / สัมผสั ประสบการณ์ความหลุด ออก 14)ศกึ ษาความ พน้ อิสระเสรีพน้ จากโลกีย จมอยกู่ บั โลกไปอยเู่ หนือโลกได้ ลอยตวั เป็นอิสระเสรี คลายออก ไม่เท่ียง 15)ศกึ ษาความดบั -ศึกษำตำมเห็นควำมไม่เที่ยง เกิดขึน้ ต้ังอยู่ ดับไป สิ่งท่ีดูพร้อมเห็นชดั เจน มองดูตามความเป็ น 16)ศกึ ษาความสลดั คนื หายใจเขา้ หายใจ ออก วธิ กี ำร ศกึ ษาตามเห็น จริง เกิดดบั เห็นชดั เจน เห็นจำกของจริงที่ปรำกฏ เอำจิตที่หัดไว้ดี ดูสภำพธรรมะ เห็นอนิจจัง ความไมเ่ ที่ยง เห็นทุกขัง เห็นอนัตตำ / มองเห็นสภำวะควำมดับทุกข์ ในใจ ของตนเอง ในจิตใจของตวั เราเอง / เกิดข้ึน ต้งั อยู่ ดบั โน้มจิตมองตำมควำมจริงเห็น อนิจจัง ไม่เท่ียง สิ่งที่เรำประสบกำรณ์ จิตพร้อมคลายออก ถอด ไป ความปี ติ ตดั ถือมน่ั เปลี่ยนตามดูทนั ความคลายออก มาสัมผสั / เห็นไตรลักษณ์ จิตใจคลายออก เห็นจากของจริงที่ ยดึ ติด ถือมนั่ อาจคลาย เป็นไปในจิตใจ / ปรากฏ เอาจติ ทหี่ ัด ไวด้ ี ดสู ภาพ -เห็นสภำวธรรมเกดิ ขนึ้ ต้ังอยู่ ดับไป / วิรำคะ คือ พ้นจำกควำมติดอยู่ข้องทำงโลก คลำยออกจำก ธรรมะ เหน็ อนิจจงั เหน็ ทุกขงั เห็น อนตั ตา ผล เห็นสภาวธรรม ควำมยึดติด ภำวะควำมยึดตดิ ถือม่นั / เกิดข้นึ ต้งั อยู่ ดบั ไป พน้ จากความตดิ อยู่ ขอ้ งทางโลก ตารางที่ 4.12.10 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “ควำมสำเร็จกำรปฏิบตั ิ” แนวทางปฏิบตั ิสมเดจ็ พระพุทธโฆษำจำรย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั P10] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 756
Pages: