Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 64 รายงานผลการวิจัย

64 รายงานผลการวิจัย

Published by วิจัย แม่โจ้, 2022-06-10 04:17:13

Description: 64 รายงานผลการวิจัย

Search

Read the Text Version

579 มูตรกองคูถอยูท่ าไม นงั่ สมาธิเดินจงกลม ขอ้ วตั ร เทวดาเป็นผูม้ ีตาทิพยด์ ีชวั่ ไดด้ ีกว่ามนุษย์ แสดงออกความ เขม้ ขน้ มนั่ ใจความรู้ความเห็นอยา่ งจบั ใจและหายสงสัย เกิดความร่ืนเริงในธรรม สจั ธรรม 4 คอื ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค ยงั เป็นกิริยา เพราะแต่ละสจั จะๆ ย่อมมีอาการตอ้ งทา ทุกข์-ตอ้ งกาหนดรู้ สมุทยั -ตอ้ งละ นิโรธ- ตอ้ งทาใหแ้ จง้ มรรค-ตอ้ งเจริญใหม้ าก เป็นอาการที่จะตอ้ งทาท้งั หมด ด้ำนผลหลวงป่ ูมน่ั ภูริทตั โต พบว่า 1)พระอรหันต์ทุกประเภทบรรลุท้ังเจโตวิมุตติ ท้ังปัญญำวิมุตติ มรรคประกอบองค์ 8 ท้งั สมั มาทิฏฐิ ท้งั สมั มาสมาธิ บรรลวุ มิ ุตติธรรมบาเพญ็ มรรค 8 บริบรู ณ์ 2) พงึ เป็นผทู้ า จิตให้ย่ิง การท่ีจะทาจิตให้ยิ่งได้ตอ้ งเป็ นผูส้ งบระงบั ตอ้ งเป็ นผูป้ ฏิบตั ิ เจริญกรรมฐานต้งั ตน้ แต่การเดิน จงกรม นั่งสมาธิ ทาให้มากเจริญให้มาก ในการพิจารณามหาสติปัฏฐาน มีกายนุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็ น เบ้ืองแรก พึงพิจารณาส่วนแห่งร่างกาย โดยอาการแห่งบริกรรม จงเป็ นผู้ไม่ประมำท พิจำรณำสังขำรที่ เกดิ ขนึ้ แล้วเสื่อมไป สงั ขารเกิดข้ึนท่ีจิตของเรา เป็นอาการของจิตพาใหเ้ กิดข้ึนซ่ึงสมมติท้งั หลาย สังขารน้ีแล เป็นตวั การสมมติบญั ญตั ิจึงมี ราคะ โทสะ โมหะ เกิดข้ึน ทาจิตด้งั เดิมใหห้ ลงตามไป เกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียน วา่ ยไปไม่มีที่สิ้นสุด ทรงเสวยและเสวยวิมุตติสุขการสอนธรรมจึงสอนลงที่จิต ดว้ ยธรรมปฏิบตั ิคอื ศีล สมาธิ ปัญญา อนั เป็นหลกั 3)กำรหัดอ่ำนตัวเองด้วยสมำธิภำวนำ ทราบตวั เองก็ตอ้ งทราบเร่ืองทุกขท์ ี่เกิดกบั ตวั ตวั เรา คอื ธาตุของโลก หวนั่ ไหวเพราะเห็นในของท่ีไมเ่ คยเห็น โลกธรรมเกดิ ท่เี รำ มี 8 มรรคเคร่ืองแกโ้ ลกธรรม บาเพ็ญเพียรพยายามทาสมาธิจิตสงบสบายดีเต็มท่ีดีใจ เม่ือจิตนึกคิดฟุ้งซ่านราคาญก็เสียใจ ความดีใจ คือ กามสุขลั ลิกา ความเสียใจ คือ อตั ตกิลมถา ความดีใจเป็นราคะ ความเสียใจเป็นโทสะ ความไม่รู้เท่าในราคะ โทสะ ท้งั สองเป็นโมหะ เพื่อสติปัญญาจะไดต้ วั ทราบวา่ เวลาน้ีตกอยใู่ นสภาพเช่นไร อนั มีศาสนาเป็นแหล่ง ผลิตคนดี เพราะศาสนาเป็ นแหล่งแห่งความดีท้งั มวล กิเลสทาลายคนทาลาย ความเพียรของนักปฏิบตั ิ 4) อริยสัจของจริงอนั ประเสริฐ พจิ ำรณำมหำสติปัฏฐำน มีกำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน เป็ นเบื้องแรก พงึ พจิ ารณา ส่วนแห่งร่างกาย ใจไม่ห่างจากกาย ทาใหร้ วมง่าย เม่ือทาให้มาก ในบริกรรมสวนะแลว้ จกั เกิดข้ึนซ่ึงอุคคห นิมิตใหช้ านาญในท่ีน้นั จนเป็นปฏิภาค ชานาญในปฏิภาคโดยยงิ่ แลว้ จกั เป็นวปิ ัสสนา กาหนดพจิ ารณาอีกจิต รวมลงไป เขา้ ถึงเอกคั คตาญาณเกิดบุเพนิวาสนุสติญาณ ฆราวาสตอ้ งปฏิบตั ิ กายเทวดามีใจผ่องใสจึงเห็นได้ เทวดาเห็นสาปคาวมนุษย์ มนุษยท์ ่ีมีศีลธรรมหอมหวนไมน่ ่ารังเกียจ สรุปกำรสกดั หลกั คำสอนมหำสติปัฏฐำน 4 ตำมแนวทำงปฏิบตั ิหลวงป่ มู นั่ ภรู ิทตั โต

580 ภาพที่ 5.1.2 แผนท่ีความคิดการสกดั หลกั คาสอนของหลวงป่ ูมน่ั ภูริทตั โต ตามมหาสตปิ ัฏฐาน 4 5.1.2 สรุปผลและอภปิ รำยผล : หลวงป่ มู ่นั ภูริทตฺโต ผลการศึกษาเรื่องการสกดั หลกั คาสอนเร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงป่ มู นั่ ภูริทตั โต สรุปผลการศึกษา จาแนกตามมหาสติปัฏฐาน 4 ประกอบดว้ ย กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตา นุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา 1) ฐำนกำยำนุปัสสนำ สรุปไดว้ ่า 1)การพิจารณามหาสติปัฏฐาน มีกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็ น เบ้ืองแรก พึงพิจารณาส่วนแห่งร่างกาย โดยอาการแห่งบริกรรม พิจารณาสังขารเกิดข้ึนแลว้ เสื่อมไป สังขาร เกิดข้ึนที่จิตเรา เป็ นอาการของจิตพาให้เกิดข้ึนสมมติท้งั หลาย สังขารเป็ นตวั การสมมติบญั ญตั ิจึงมี ราคะ โทสะ โมหะ เกิดข้ึน 2) ตอ้ งพิจารณากายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็ นตน้ ก่อนกายทาให้ใจกาเริบ กายเป็ น เคร่ืองก่อเหตุจึงตอ้ งพิจารณากายก่อนเป็นเคร่ืองดบั นิวรณ์ทาใหใ้ จสงบได้ พิจารณาแยกกายเป็นส่วนๆ ทุกๆ อาการเป็นธาตุ ดิน น้า ลม ไฟ ไดอ้ ยา่ งละเอียดท่ีจะชานาญไดก้ ็ตอ้ งพิจารณาซ้าแลว้ ซ้าอีก ใครหดั คิดหัดอ่าน ตวั เองมากๆหนทางหลบหลีกปลีกทุกข์ ไดป้ ระมวลมารู้เห็นในขนั ธ์เฉพาะหนา้ ที่รวมรับรู้อย่กู บั ดวงใจเดียว ขนั ธ์ 5 ไดแ้ ก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไปปรุงแต่งสาคญั มน่ั หมายทุกภพทุกชาติ การกาหนดลม หายใจและฐานท่ีต้งั ของลม พึงทาความรู้ในกองลมผ่านเขา้ ผ่านออกดว้ ยสติ ทุกระยะ ให้มีสติพิจารณาในท่ี ทุกสถานในกาลทุกเม่ือ ยืน เดิน นงั่ นอน กิน ดื่ม ทา คิด พูด ให้มีสติรอบคอบในกายอยู่เสมอให้พิจารณา แบ่งส่วนแยกส่วนออกเป็นส่วนๆ พิจารณาให้เห็นไปตามจริงๆ เขา้ ไปสงบในจิต แลว้ ถอยออกมาพิจารณา กาย ยถาภูตญาณทสั สนวิปัสสนา คือท้งั เห็นท้งั รู้ตามความเป็ นจริง ตวั เราร่างกายเป็ นที่ประชุมแห่งของ โสโครกคือ อุจจาระ ปัสสาวะ (มูตรคูถ) ท้งั ปวง สิ่งที่ออกจากผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั พิจารณาร่างกายใหช้ านิ ชานาญดว้ ย โยนิโสมนสิการ พิจารณาโดยแยบคาย 3) วิธีเดินจงกรมและนง่ั สมาธิภาวนา ความสงบของจิต

581 รวมลงไปถึงท่ีแลว้ จิตเป็ นหน่ึงมีอารมณ์เดียวกนั วิธีเดินจงกรมไปยืนท่ีตน้ ทางจงกรมที่ตนกาหนดต้งั สติ กาหนดจิตและธรรมบริกรรมกากับใจ พิจารณาธรรมท้ังหลายเดินจงกรมจากตน้ ทางถึงปลายทาง เดิน กลบั ไปกลบั มาในท่าสารวม มีสติอยูก่ บั บทธรรม การเดินจงกรมเดินไปตามแนว กาหนดเอาเองพอสมควร วิธีนงั่ สมาธิภาวนา ตอ้ งมีแบบฉบบั เป็ นหลกั เกณฑน์ ่ังขดั สมาธิ เอาขาขวาทบั ขาซ้าย มือขาวทบั มือซ้าย วิธี เดินจงกรมกบั วิธีนั่งสมาธิ ความเก่ียวโยงแห่งธรรมต่างๆ ควรอธิบายมีสัมผสั กนั เป็ นตอนๆ ถา้ การนง่ั จิต ไดร้ ับผลมากกว่าก็ควรน่ังมากกว่าเดิน แต่ไม่ควรปิ ดทางของการเปลี่ยนอิริยาบถ กาหนดคาบริกรรมหรือ พิจารณาธรรมพึงสนใจสติ ให้มากเท่ากบั สนใจต่อธรรมที่นามาบริกรรม เดินจงกรมก็สักแต่กิริยาว่าเดิน ถา้ น่ังสมาธิอยู่ก็สักแต่กิริยาว่าน่ัง 4) การพิจารณากายจึงเป็ นของสาคญั ผูท้ ี่พน้ ทุกข์ท้งั หมด ลว้ นแต่ต้อง พิจารณากายท้งั สิ้น มหาสติปัฏฐานมีกายานุปัสสนา ปฏิบตั ิตามหลกั มหาสติปัฏฐ านจนชานาญแลว้ จง พิจารณาความเป็นจริงตามสภาพแห่งธาตุท้งั หลายดว้ ยอุบายแห่งวิปัสสนา จงพิจารณากายในท่ีเคยพิจารณา กายอนั ถูกนิสัย พึงเจริญให้มาก ทาใหม้ าก เพ่ือความรู้ย่งิ อีกจนรอบ จนชานาญเห็นแจง้ ชดั ว่า สังขารความ ปรุงแตง่ อนั เป็นความสมมติ เป็นความไมเ่ ที่ยงอาศยั อปุ าทานความยดึ ถือจึงเป็นทุกข์ 2) ฐำนเวทนำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ บาเพญ็ เพยี รพยายามทาสมาธิจิตสงบสบายดีเตม็ ที่ดีใจ เม่ือจิตนึก คิดฟุ้งซ่านราคาญกเ็ สียใจ ความดีใจ คอื กามสุขลั ลิกา ความเสียใจ คือ อตั ตกิลมถา ความดีใจเป็นราคะ ความ เสียใจเป็นโทสะ ความไม่รู้เท่าในราคะ โทสะ ท้งั สองเป็นโมหะ เพอ่ื สติปัญญาจะไดต้ วั ทราบวา่ เวลาน้ีตกอยู่ ในสภาพเช่นไร 3) ฐำนจิตตำนุปัสสนำ สรุปไดว้ ่า 1)จิตสมาธิภาวนา คือ การกลน่ั กรองตวั เป็นสัดส่วน เพื่อทราบวา่ อนั ไหนจริงอนั ไปปลอม “พุทโธ” หายเดินกลบั มา และหลบั ตาน่ิงตามหาใครหาพบเป็ นผูป้ ระเสริฐเป็ นตา ทิพย์ มองเห็นได้ พทุ โธเป็นดวงแกว้ สวา่ งไสวเป็นองคแ์ ห่งความรู้สวา่ ง พทุ โธใหช้ ่วยพากนั นงั่ ไม่ส่งจิตออก นอกกาย การนงั่ หรือเดินหาพุทโธ การกลน่ั กรองบริกรรมภาวนา หมายการเจริญกรรมฐานในระยะแรกเร่ิม ใชส้ ติประคองใจกาหนดพิจารณาในอารมณ์ กรรมฐานอนั ใดอนั หน่ึง อุปจารภาวนาการเจริญกรรมฐานเกิด ปรากฏในมโนทวาร อปั ปนาภาวนาหมายการเจริญภาวนาในขณะจิตเป็นสมาธิแนบเนียนมีองคฌ์ าณปรากฏ ข้ึนครบบริบูรณ์ บริกรรมนิมิตหมายเอาอารมณ์ของกรรมฐานท่ีนามากาหนดพิจารณาเอาอารมณ์ของ กรรมฐานอนั ปรากฏข้ึนในมโนทวาร ขณะเจริญภาวนาอยูอ่ ยา่ งชดั แจง้ คลา้ ยเห็นดว้ ยตาเน้ือ จิตตภาวนาพึง ต้งั ความรู้สึก จิตลงเฉพาะหนา้ ปัจจุบนั ธรรมรู้ความเคล่ือนไหวจิตของธรรมารมณ์ จิตตภาวนาไม่กงั วลกาย ต้งั หนา้ ทางานทางจิตถึงวาระสุดทา้ ยแห่งการออกจากสมาธิภาวนา จิตใจเป็นธรรมชาติมีลกั ษณะเหมือน 0 (ศูนย)์ อปั ปนาภาวนากรรมฐาน ให้ภาวนาพุทโธใหจ้ ิตใจสว่าง “พุทโธ” หายให้ตามหาพุทโธ ใหฝ้ ึ กข้นั สูง ตามลาดบั 2) วธิ ีต้งั สติเฉพาะหนา้ จิตเป็นผรู้ ู้โดยธรรมชาติ รู้คิด รู้นึก รู้เยน็ รู้ร้อน จากส่ิงสัมผสั ตา่ งๆ ไมร่ ู้จกั ผิดถูกชวั่ ดีโดยลาพงั ตอ้ งอาศยั สติและปัญญาตวั รู้วินิจฉยั ใคร่ครวญสติปัญญามีอานาจเหนือจิต ท่อง พุทโธ กนั ท่องในใจหาพุทโธได้ กาหนดสติกบั คาบริกรรมให้กลมกลืนเป็ นอนั เดียวกนั ประคองความเพียรดว้ ย สติสัมปชญั ญะ กาหนดพุทโธให้จิตรู้อยู่กบั พุทโธ ควรต้งั จิตกบั สติไวเ้ ฉพาะหนา้ มีคาบริกรรมเป็ นอารมณ์ ของใจ ทาความรู้สึกตวั อยู่กบั คาบริกรรม เช่น พุทโธๆ สืบเน่ืองกนั ไปด้วยความมีสติ การรักษาจิตกบั คา

582 บริกรรมไวไ้ ดด้ ว้ ยสติ 3) ธาตุท้งั หลายอาศยั อาการของจิตเขา้ ไปยดึ ถือ ออกอุบายตามที่ถูกจริตนิสัยตอ้ งให้ พอเหมาะกบั อุปนิสัย อุบายแห่งวิปัสสนา อนั เป็นเคร่ืองถอนกิเลส ประพฤติพากเพียรพิจารณาส่ิงสกปรกน่า เกลียดจิตจะพน้ สิ่งสกปรก เป็นเหตุอนุสัยครอบงาจิต ไปตามสังขารความเขา้ ไปปรุงแต่ง คือ อาการของจิต เพื่อใหจ้ ิตไดท้ าหนา้ ที่เตม็ ไม่ควรกงั วลภายภายนอก แต่ควรทาความจดจ่อต่อคาภาวนาอยา่ งเดียว จนจิตสงบ ท่ีต้งั ฐานสูงต่าแห่งอารมณ์ของจิต 4) “มโน” แปลวา่ ใจ เป็นมหาฐานใหญ่ทาพูดอะไรเป็นไปจากใจท้งั หมด ธรรมท้งั หลายมีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สาเร็จแลว้ ดว้ ยใจ ใจ คอื มหาฐาน จิตด้งั เดิมคือ อาการอวชิ ชาเกิดข้ึน มีอวชิ ชาเป็นปัจจยั ใหป้ รุงแตง่ เป็น สงั ขารพร้อมกบั ความเขา้ ไปยดึ ถือ จึงเป็นภพชาติ 4)ฐำนธรรมำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ 1)มหาปัฏฐาน เป็น อนนั ตนยั ปฏิบตั ิคือ ตวั มหาเหตุแจ่มกระจ่าง สวา่ งโร่แลว้ ย่อมรู้อะไรๆ ท้งั ภายในและภายนอกทุกสิ่งทุกประการ ปัญญาวิมุตติ มรรคประกอบองค์ 8 ท้งั สัมมาทิฏฐิ ท้งั สัมมาสมาธิ บรรลุวิมุตติธรรมบาเพญ็ มรรค 8 บริบูรณ์ 2) การบริกรรมภาวนาในธรรมบท เวลากาหนดอาการใดเป็นอารมณ์ขณะภาวนา พึงกาหนดเฉพาะอาการน้นั เพ่งส่ิงน้นั เป็นอารมณ์ จนปรากฏ เห็นเป็ นภาพชัดเจนเหมือนกับดูด้วยตาเน้ือ ทาสมาธิภาวนาและพิจารณาธรรมท้งั หลายด้วยแลว้ สติกบั ปัญญาตอ้ งกลมกลืนเป็ นอนั เดียวกนั ไปโดยตลอดไม่ยอมให้ขาดวรรคขาดตอนได้ “ธรรม” เป็ นสมมติข้นั สูงสุดเป็นหลกั ใหญ่ของโลกผหู้ วงั พ่ึงธรรม 3) อริยสัจของจริงอนั ประเสริฐ พจิ ารณามหาสติปัฏฐาน มีกายา นุปัสสนาสติปัฏฐาน เป็นเบ้ืองแรก พึงพิจารณาส่วนแห่งร่างกาย ใจไม่ห่างจากกาย ทาให้รวมง่าย เม่ือทาให้ มาก การปฏิบตั ิตนด้วยมรรคโดยชอบธรรม มรรคคือธรรมแกก้ ิเลสกองทุกข์ทางใจ ความเขม้ ขน้ มนั่ ใจ ความรู้ความเห็นอยา่ งจบั ใจหายสงสยั รื่นเริงธรรม สจั ธรรม 4 คือ ทกุ ข์ สมุทยั นิโรธ มรรค ยงั เป็นกิริยแต่ละ สัจจะๆ ยอ่ มมีอาการตอ้ งทา ทกุ ข-์ ตอ้ งกาหนดรู้ สมทุ ยั -ตอ้ งละ นิโรธ-ตอ้ งทาใหแ้ จง้ มรรค-ตอ้ งเจริญให้มาก เป็นอาการท่ีจะตอ้ งทาท้งั หมด รวมทวนกระแสแกอ้ นุสัยสมมติเป็นวิมุตติ ดว้ ยการปฏิบตั ิเขม้ แขง็ ไม่ทอ้ ถอย พจิ ารณาโดยแยบคายดว้ ยตนเอง นึกคาบริกรรมภาวนาท่ีเป็นความถกู ตอ้ ง 4) ความรู้ดา้ นภาวนาไมส่ ิ้นสุด อยู่ กบั ผูใ้ ดท่ีพอจะยนื ยนั ได้ สั่งสอนเนน้ หนกั เร่ืองสติมาก ไม่ว่าความเพียรในท่าใด อิริยาบถใด เพื่อภูมิจิตภูมิ ธรรม การหดั อ่านตวั เองดว้ ยสมาธิภาวนา ทราบตวั เองก็ตอ้ งทราบเรื่องทุกขท์ ่ีเกิดกบั ตวั ตวั เรา คือธาตุของ โลก หวน่ั ไหวเพราะเห็นในของที่ไม่เคยเห็นโลกธรรมเกิดท่ีเรา มี 8 มรรค ความรู้ภายในการภาวนา สลบั ซบั ซอ้ นมาก ยากกาหนดไดว้ า่ อนั ไหนถกู อนั ไหนผิด ผปู้ ฏิบตั ิไม่มีครูอาจารยต์ อ้ งลบู คลา ผดิ ก็คลา ถกู ก็ คลา สติปัญญาสาคญั อยดู่ ว้ ยผเู้ ร่งรัดทางสติมากสมาธิ็ปรากฏไดเ้ ร็วมาก คิดอ่านทางปัญญาไปไดเ้ ร็ว การมา อยกู่ บั ครูบาอาจารย์ เห็นความสาคญั ตกั เตือนสง่ั สอน ความจริงธรรมนามาส่งั สอนไดพ้ ิจารณากลน่ั กรองแลว้ อภปิ รำยผลกำรวจิ ัย : หลวงป่ มู น่ั ภูริทตฺโต จำกกำรทบทวนวรรณกรรม 1) หลวงป่ ูม่ัน ภูริทตฺโต งำนวิจัย 9 เร่ือง ประกอบ สุเชาวน์ พลอยชุม [3]“สานักวิปัสสนาสายพระอาจารยม์ นั่ ภูริทตั โต” พระมหายุทธนา นรเชฏฺ โฐ[4]“การปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานตามแนวของหลวงป่ ูมน่ั ภรู ิทตฺโต” บรรพต แคไธสง[5] “การศึกษาวเิ คราะห์เชิง จริยศาสตร์ในการ

583 ปฏิบัติกรรมฐานสายหลวงป่ ูมั่น ภูริทัตโต” พระมหาสมศักด์ิ ญาณโพโธ[6]“กัมมัฏฐานสายพุทโธใน สังคมไทย” พระครูสุพฒั นกาญจกิจ[7] “กมั มฏั ฐานสายพุทโธในสังคมไทย” ภทั ระ ไมตระรัตน์[8]“การ สถาปนาพระมหาเจดียต์ น้ พุทธศตวรษที่ 26 ในวดั สายหลวงป่ ูมนั่ ภูริทตั ตะเถระ” ภทั ระ ไมตระรัตน์[9] “ความหมายของอนุสรณ์สถานพระอริยสงฆใ์ นวดั ป่ าสายหลวงป่ ูมนั่ ภูริทตั ตเถระ” พระมหาเขมานนั ท์ ปิ ย สีโล [10] “อานาปานสติกรรมฐานสายพระอาจารยม์ น่ั ภูริทตั โตในประเทศไทย” ภฏั ชวชั ร์ สุขเสน[11] “คา สอนและแนวการปฏิบัติกรรมฐานของหลวงป่ ูมั่น ภูริทัตโต” ผลการศึกษาพบว่า โจทย์งานวิจัยเป็ น การศึกษาสานกั ปฏิบตั ิวิปัสสนา อนุสรณ์สถาน และสายการปฏิบตั ิกรรมฐานแบบพทุ โธ อานาปานสติ และ คาสอนแนวทางการปฏิบตั ิ แนวทางปฏิบตั ิพบว่า กรรมฐานสายพุทโธ ฝึ กสติเพื่อเกิดสมาธิและปัญญา ตาม หลกั อานาปานสติปฏิบตั ิต้งั สติไวล้ มหายใจเขา้ ออก โดยกาหนดคาบริกรรมภาวนาพุทโธ จิตสงบน่ิงพฒั นา องคธ์ รรมเพ่ือเกิดสมาธิเป็ นบาทฐานวิปัสสนาตามดูอาการกายานุปัสสนา เกิดดบั ของกายเช่ือมโยงรู้อาการ ส่วนอื่นเห็นรูปนามไม่เท่ียง วิธีการกาหนดจิตฐาน 5 คือ จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อมขา้ งนอก ในสมอง ตรงกลาง กะโหลกศรีษะและทรวงอก การสืบถอดหลกั คาสอนแนวปฏิบตั ิ 1)คาสอนท่านประพนั ธ์ 2)คา สอนที่ศิษยานุศิษยจ์ ดบนั ทึกไว้ สรุปแนวทางปฏิบตั ิหลวงป่ ูมั่น ภูริทตฺโต วิธีการกาหนดคาบริกรรมภาวนา พุทโธเป็นกรรมฐาน ฝึกสติเพ่ือเกิดสมาธิ ปัญญา ตามหลกั อานาปานสติต้งั สติไวล้ มหายใจ จิตสงบน่ิงพฒั นา องคธ์ รรมเพ่ือเกิดสมาธิเป็นบาทฐานวิปัสสนาตามดูอาการกายเกิดดบั เช่ือมโยงรู้อาการส่วนอ่ืนเห็นรูปนาม ไม่เที่ยง วธิ ีการกาหนดจิตฐานคือ จมกู หนา้ ผาก กลางกระหม่อมขา้ งนอก ในสมองตรงกลาง กะโหลกศรีษะ และทรวงอก เน้นฐานกายเป็นสาคญั นาทางฝึ กสติเพ่ือสร้ างสมาธิให้มีปัญญา เป็นอานาปานสติตั้งสตินาทาง อาศยั เทคนิคคาบริกรรมภาวนาพทุ โธ 5.1.3 ข้อเสนอแนะกำรวจิ ยั : หลวงป่ มู ่นั ภูริทตฺโต การศึกษางานหลวงป่ ูมนั่ ภูริทตฺโต จากน้าเสียงคาบรรยายโดยตรงไม่มี มีเพียงเสียงอ่านจากหนงั สือ เล่าต่อจากลูกศิษยท์ ่านอีกที เป็นคาสอนท่ีศิษยานุศิษยจ์ ดบนั ทึกไว้ ยคุ สมยั เวลาน้นั ไม่มีเคร่ืองมือเทคโนโลยี ทนั สมยั หากแต่วา่ งานวิจยั เก่ียวกบั ท่านคน้ พบจานวน 9 เรื่อง ถือไดว้ า่ การสืบถอดคาสอนท่านยงั คงมีความ เป็ นปัจจุบนั สะทอ้ นว่าแนวทางปฏิบตั ิยงั คงไดร้ ับการเผยแพร่ อาจโดยวิธีการศึกษางานดา้ นวิชาการ หรือ หนงั สือกลา่ วถึง ตลอดการแนวทางปฏิบตั ิอาศยั คาบริกรรม “พทุ โธ” เป็นที่ยงั คงปฏิบตั ิในปัจจุบนั เป็นความ น่าสนใจและการยกย่อง ผูว้ ิจยั เก็บขอ้ มูลจากช่องทาง YouTube ยงั คงตอ้ งเพ่ิมเติมเน้ือหาเก่ียวกบั เอกสาร หนงั สือ เพื่อนาไปศึกษาต่อไป โดยนาไปเขียนเป็นบทความวิชาการ เรื่อง “การสกดั หลกั คาสอนตามกรอบ พระสูตรมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงป่ ูมน่ั ภูริทตฺโต” เป็นงานวจิ ยั เพ่ิมเติมโดยอาศยั บทความ วิจยั เป็นผลผลิตสืบต่อไป

584 [2] พระมงคลเทพมนุ ี (สด จนฺทสโร) 5.2.1 สรุปกำรสกดั หลกั คำสอนจำกธรรมบรรยำยเร่ืองมหำสตปิ ัฏฐำน4 พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) จากผลการวิเคราะห์จากตารางที่ 4.2.1 ถึง 4.2.2 ซ่ึงเป็ นการสกัดหลกั คาสอนจากธรรมบรรยาย แนวทางปฏิบตั ิพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) จาแนกตามแนวคิด หลกั การ วิธีการ ผล ได้ สรุปผลการศึกษาเป็นแผนภาพความคิดจากการสกดั หลกั คาสอนเรื่องมหาสติปัฐานจากการบรรยายโดยพระ มงคลเทพมนุ ี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) แสดงภาพท่ี 5.2.1 ผลการศึกษาพบวา่ ภาพท่ี 5.2.1 แผนที่ความคิดจากการสกดั หลกั คาสอนเรื่องมหาสตปิ ัฐานธรรมบรรยาย โดยพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) ด้ำนแนวคิดของพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) พบว่า พระพุทธเจา้ สอนให้สัตวโ์ ลก ท้งั หมดละชว่ั ดว้ ยกายวาจาใจ ทาความดีดว้ ยกายวาจาใจ ทาใจใหใ้ ส บริกรรมนิมิต ใหก้ าหนดเคร่ืองหมายใจ ของเราท่ียืดไปยืดมา แวบไปแวบมา ให้เขา้ ไปอยู่เสียในบริกรรมนิมิต วิธีการทาสมถวิปัสสนาต้องมี บริกรรมภาวนาและบริกรรมนิมิต เป็นค่กู นั ด้ำนหลกั กำรของพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) พบวา่ พระพทุ ธศาสนามีวชิ ชา 2 อยา่ ง สงบระงบั ใจ เรียกว่า สมถะ วิปัสสนา เป็ นช้ันสูงกว่าสมถะ แปลว่า เห็นแจง้ เป็ นธรรมเบ้ืองสูง เรียกว่า วิปัสสนา สมถะเป็ นข้ึนแลว้ ตอ้ งการอะไร ความกาหนัดยินดีในจิตใจ หมดไปดว้ ยสมถะ ความสงบระงบั วปิ ัสสนาเป็นข้นึ แลว้ ตอ้ งการอะไร ทาปัญญาใหเ้ ป็นข้นึ ความไมร่ ู้จริงอนั ใดท่ีมีอยใู่ นจิตใจ ความไม่รู้จริงอนั น้นั หมดไปดว้ ยความเห็นแจง้ คือ วิปัสสนา วิชชามี 2 อยา่ ง สมถะ ความสงบระงบั วิปัสสนาความเห็นแจง้ ฐานที่ 1 ใหบ้ ริกรรมภาวนาประคองบริกรรมนิมิตวา่ “สัมมาอะระหงั ” ตรึกถึงดวงท่ีใส ใจหยดุ อยกู่ ลางดวงท่ี ใส “สมั มาอะระหงั ”

585 ด้ำนวิธกี ำรของพระมงคลเทพมนุ ี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) พบวา่ วธิ ีการ “ใจ” เราตอ้ งบงั คบั ใหห้ ยดุ เป็นจุดเดียวกนั เห็น จา คิด รู้ 4 อย่าง เอาใจไปจรดท่ีกลางกก๊ั กลางดวงธรรมที่ทาใหก้ ายมนุษย์ ใจเป็นของ ลึกซ้ึง เวลาน้ีนงั่ อยทู่ ่ีน่ีส่งใจไปถึงบา้ นกไ็ ด้ ส่งใจไปถึงนรกก็ได้ ส่งใจไปถึงสวรรคก์ ไ็ ด้ ส่งใจไปถึงนิพพานก็ ได้ (เรานึก) “ต้งั ใจ” ตอ้ งเอาใจไปหยดุ ตรงน้นั เจริญภาวนา ตอ้ งต้งั ใจตรงน้นั ตอ้ งเอาใจไปหยดุ ตรงกลาง ใช้ สัญญาจาใหม้ นั่ หยดุ นิ่ง บงั คบั ใหน้ ่ิงถา้ ไม่นิ่งก็ตอ้ งใชค้ าบริกรรมภาวนาบงั คบั ไว้ บงั คบั ใหใ้ จหยดุ ใจท่ีหยุด ต้องหยดุ กลำงกำย เข้ำศูนย์ ถกู สิบ ถูกศูนย์ ถูกส่วน “ตกศูนย์” คือ “ใจหยดุ ” ศูนยใ์ จ หยดุ กลางศนู ย์ เรียกว่า “ดวงธัมมำนุปัสสนำสติปัฏฐำน” เป็ นทำงไปของพระพุทธเจ้ำเป็ นเอกำยมรรค หนทำงเส้นเดียว หยดุ ใน หยดุ ๆๆกลางดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมำธิ ดวงปัญญำ เห็นทาใหก้ ายมนุษยล์ ะเอียด นง่ั เขา้ เหมือนกายมนุษยห์ ยาบขา้ งนอกดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงวิมุตติ ดวงวิมุตติญาณทสั สนะ ถูก ส่วนเขา้ ก็เห็น กายทิพย์ ให้กายทิพยน์ งั่ แบบเดียวกบั กายมนุษยล์ ะเอียด ใจของกายทิพย์ หยุดนิ่งอยูศ่ ูนยก์ ลาง ดวงธรรมท่ีทาใหเ้ ป็นกายทิพย์ ใจกายทิพยล์ ะเอียดน่ิงอยทู่ ี่ศูนยก์ ลางดวงธรรม เห็นกายรูปพรหมใจกายรูป พรหม นิ่งอยศู่ ูนยก์ ลางดวงธรรม เห็นกายรูปพรหมละเอียด ใจกายรูปพรหมละเอียด หยดุ อยศู่ ูนยก์ ลางดวง ธรรม เห็น กายอรูปพรหม ใจกายอรูปพรหม ก็หยดุ น่ิงอยูท่ ่ีศูนยก์ ลางดวงธรรม เห็นกายอรูปพรหมละเอียด ใจกายอรูปพรหมละเอียด เห็น กายธรรม รูปเหมือนพระปฏิมากร ดวงธรรมที่ทาใหเ้ ป็นธรรมกายเป็นธรรม รัตนะ ใจพุทธรัตนะ อยู่ที่ศูนยก์ ลางดวงธรรมที่ทาให้เป็ นธรรมกาย เห็นกายธรรมละเอียด ใจกายธรรม ละเอียดหยดุ น่ิงอยกู่ บั ศูนยล์ างดวงธรรมที่ทาใหเ้ ป็นกายธรรมละเอียด ใจกายพระโสดาบนั เห็นกายธรรมพระ โสดาละเอียด อยใู่ นกลางดวงวมิ ตุ ติญาณทสั สนะของพระโสดา ใจของกายพระโสดาละเอียด กเ็ ห็น กายพระ สกิทาคา ใจพระสกิทาคากห็ ยดุ อยูท่ ี่ศูนยก์ ลางดวงธรรมถกู ส่วนเขา้ ก็เห็น กายพระสกิทาคาละเอียด ใจของ พระสกิทาคาละเอียดกเ็ ห็นกายพระอนาคา ใจของพระอนำคำกห็ ยดุ น่ิงอยทู่ ี่ศูนยก์ ลางดวงธรรมเห็น กายพระ อนาคาละเอียด ใจของพระอนำคำละเอียดก็หยุดอยทู่ ี่ศูนยก์ ลางดวงธรรมเห็นกายพระอรหตั ใจพระอรหัตก็ หยุดอยทู่ ี่ศูนยก์ ลางดวงธรรมหลุดกิเลสหมดไม่มีกิเลสเลย เสร็จกิจ ในพุทธศาสนาท้งั สมถวิปัสสนาตลอด ฐำนท่ี 2 เล่ือนไปท่ีเพลำตำ แล้วบริกรรมประคองเคร่ืองหมำยที่เพลำตำน้ันว่ำ “สัมมำอะระหัง สัมมำอะ ระหัง สัมมำอะระหัง” 3 คร้ัง ฐานที่ 3 แลว้ บริกรรมประคองเคร่ืองหมายที่กลางกก๊ั ศรีษะขา้ งใน ฐำนที่ 4 ท่ีปำกช่ องเพดำนท่ีรับประทานอาหารบริกรรมประคองเคร่ื องหมาย ฐานที่ 5 ที่ปากช่องคอเหนือ ลูกกระเดือก บริกรรมประคองเครื่องหมาย ฐานท่ี 6 กลางตวั สุดลมหายใจเขา้ ออก สะดือทะลุหลงั ขวาทะลุ ซ้าย กลางกกั๊ ขา้ งใน ตรงกลางดวงธรรมท่ีทาใหเ้ ป็นกายมนุษย์ ที่ใจหยดุ ฐานที่ 7 มีศูนย์ 5 ศูนย์ ศูนยก์ ลาง คือ อากาศธาตุ ศูนย์ข้างหน้าธาตุน้า ศูนย์ข้างขาวธาตุดิน ศูนย์ข้างหลังธาตุไฟ ศูนย์ข้างซ้ายธาตุลม เครื่องหมายใสสะอาดตรงช่องอากาศกลางตรง เรียกวา่ “ศูนย”์ ด้ำนผลของพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) พบว่า กายมนุษยถ์ ึงกายอรูปพรหมละเอียด เรียกว่า ข้นั สมถะ ต้งั แต่กายธรรมโคตรภูท้งั หยาบท้งั ละเอียดจนกระทง่ั ถึงกายพระอรหตั เป็น ข้นั วิปัสสนา กายละเอียดอยู่ในกลางดวงเวลาสัตวไ์ ปเกิดมาเกิดแลว้ มาอยู่ที่สิบ อยู่กลางดวงน้นั กายละเอียดอยู่ในกลาง

586 ดวงจะไปนิพพานตอ้ งเขา้ ศูนยไ์ ปเหมือนกนั ตอ้ งการเลิกเวียนว่ายตายเกิดตอ้ งทาใจให้น่ิง ทาใจให้หยุด ศูนยก์ ลาง สรุปกำรสกดั หลกั คำสอนมหำสติปัฏฐำน 4 ตำมแนวทำงปฏิบตั ิพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) ภาพท่ี 5.2.2 แผนทค่ี วามคิดการสกดั หลกั คาสอนของพระมงคลเทพมนุ ี (หลวงพอ่ สด จนฺทสโร)ตามมหาสติปัฏฐาน 4 5.2.2 สรุปผลและอภิปรำยผล : พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) ผลการศึกษาเร่ืองการสกดั หลกั คาสอนเร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิพระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร)สรุปผลการศึกษา จาแนกตามมหาสติปัฏฐาน 4 ประกอบดว้ ย กายนุปัสสนา เวทนา นุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา 1) ฐำนกำยำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ กลางดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา เห็นทาใหก้ ายมนุษยล์ ะเอียด ดวงธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงวิมุตติ ดวงวมิ ุตติญาณทสั สนะ ถูกส่วนเขา้ ก็ เห็น กายทิพย์ ใหก้ ายทิพยน์ ง่ั แบบเดียวกบั กายมนุษยล์ ะเอียด 2) ฐำนเวทนำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ ฐานที่ 2 เลื่อนไปที่เพลาตา แลว้ บริกรรมประคองเครื่องหมายท่ี เพลาตาน้นั วา่ “สัมมาอะระหงั สมั มาอะระหงั สมั มาอะระหงั ” 3 คร้ัง ฐานท่ี 3 บริกรรมประคองเคร่ืองหมาย ที่กลางกก๊ั ศรีษะขา้ งใน ฐานที่ 4 ที่ปากช่องเพดาน ฐาน 5 ปากช่องคอเหนือลูกกระเดือก ฐานที่ 6 กลางตวั สุดลมหายใจเขา้ ออก สะดือทะลหุ ลงั ฐานท่ี 7 ศูนยก์ ลาง 3) ฐำนจิตตำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ บริกรรมนิมิต ใหก้ าหนดเคร่ืองหมายใจที่ยดื ไปยดื มา แวบไปแวบ มา ใหเ้ ขา้ ไปอยเู่ สียในบริกรรมนิมิต วิธีการทาสมถวิปัสสนาตอ้ งมี บริกรรมภาวนาและบริกรรมนิมิต เป็นคู่ กนั ฐานที่ 1 ให้บริกรรมภาวนาประคองบริกรรมนิมิตวา่ “สัมมาอะระหงั ” ตรึกถึงดวงที่ใส ใจหยุดอยูก่ ลาง ดวงที่ใส “สัมมาอะระหงั ” วิธีการ “ใจ” เราตอ้ งบงั คบั ใหห้ ยุดเป็นจุดเดียวกนั เห็น จา คิด รู้ 4 อยา่ ง เอาใจไป จรดที่กลางก๊กั กลางดวงธรรมท่ีทาให้กายมนุษย์ ตอ้ งเอาใจไปหยุดตรงกลาง ใช้สัญญาจาให้มน่ั หยุดน่ิง

587 บงั คบั ใหน้ ่ิงถา้ ไม่น่ิงกต็ อ้ งใชค้ าบริกรรมภาวนาบงั คบั ไว้ บงั คบั ใหใ้ จหยดุ ใจเป็นของลึกซ้ึง เวลาน้ีนง่ั อยู่ท่ีนี่ ส่งใจไปถึงบา้ น ส่งใจไปถึงนรก ส่งใจไปถึงสวรรค์ ส่งใจไปถึงนิพพาน (เรานึก) ตอ้ งใจไปตรงเจริญภาวนา ตอ้ งต้งั ใจตรงน้นั ตอ้ งเอาใจไปหยุดตรงกลาง ใชส้ ัญญาจาให้มนั่ หยุดนิ่ง บงั คบั ให้นิ่งถา้ ไม่น่ิงก็ตอ้ งใชค้ า บริกรรมภาวนาบงั คบั ไว้ บงั คบั ใหใ้ จหยดุ 4) ฐำนธรรมำนุปัสสนำ สรุปได้ว่า พระพุทธศาสนาวิชชา 2 อย่าง สงบระงับใจ เรียกว่า สมถะ วิปัสสนา เป็ นช้นั สูงกว่าสมถะ แปลว่า เห็นแจง้ เป็ นธรรมเบ้ืองสูง เรียกว่า วิปัสสนา สมถะเป็ นข้ึนแลว้ ตอ้ งการอะไร ความกาหนดั ยนิ ดีในจิตใจ หมดไปดว้ ยสมถะ ความสงบระงบั วิปัสสนาเป็นข้ึนแลว้ ตอ้ งการ อะไร ทาปัญญาใหเ้ ป็นข้ึน ความไมร่ ู้จริงอนั ใดท่ีมีอยใู่ นจิตใจ ความไม่รู้จริงอนั น้นั หมดไปดว้ ยความเห็นแจง้ คอื วิปัสสนา วิชชามี 2 อยา่ ง สมถะ ความสงบระงบั วปิ ัสสนาความเห็นแจง้ ใจที่หยดุ ตอ้ งหยดุ กลางกาย เขา้ ศูนย์ ถูกสิบ ถูกศูนย์ ถูกส่วน “ตกศูนย”์ คือ “ใจหยุด” ศูนยใ์ จ หยดุ กลางศูนย์ เรียกวา่ “ดวงธมั มานุปัสสนา สติปัฏฐาน” เป็ นทางไปของพระพุทธเจา้ เป็ นเอกายมรรค หนทางเส้นเดียว กายมนุษยถ์ ึงกายอรูปพรหม ละเอียด เรียกวา่ ข้นั สมถะ ต้งั แตก่ ายธรรมโคตรภูท้งั หยาบท้งั ละเอียด จนถึงกายพระอรหตั เป็นข้นั วิปัสสนา อภปิ รำยผลกำรวจิ ยั : พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) จากการทบทวนวรรณกรรมของพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) งานวิจยั 3 เร่ือง ประกอบ พิชิต อวิรุทธพาณิชย[์ 1] “แนะนาหนงั สือ ชนิดา จนั ทราศรีไศล เก่ียวกบั หลกั ฐานธรรมกายในคมั ภีร์พุทธโบราณ ฉบบั วิชาการ 1” พิชฎชมพู ธูปบูชา[2] “การศึกษาเปรียบเทียบการเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาของพระมงคลเทพ มุนี (สด จนฺทสโร)กบั พระธรรมสิงหบุราจารย(์ จรัญ ฐิตธมฺโม)” พระมหาวุฒิชยั วุฑฺฒิชโย[3] “การศึกษา เปรียบเทียบรูปแบบการพฒั นาจิตของกรรมฐาน 5 สายในสังคมไทย” ผลการศึกษาพบว่า โจทยว์ ิจยั เป็ น การศึกษาหลกั ฐานวิชาธรรมกายและเผยแพร่คาสอน และรูปแบบการปฏิบตั ิ แนวทางปฏิบตั ิพบว่า การทา การภาวนาพน้ จากความทุกข์ คน้ พบวิธีปฏิบตั ิธรรม วิชชาธรรมกาย ซ่ึงพิสูจน์หลกั คาสอนและหลกั ปฏิบตั ิ แบบทวั่ ไปและแบบเขม้ เป็นหลกั คาสอนท่ีมีอยู่จริงในปัจจุบนั ยดึ เหนี่ยวจิตใจของประชาชนใหห้ ลุดพน้ คา สอนสืบทอดพระพุทธศาสนาตามแนวทางฟังไดใ้ นปัจจุบนั ไม่เลือนหายไป ลกั ษณะคาสอนมีความเป็ น ตวั เองสูง เป็นรูปแบบการพฒั นาจิต การอธิบายพฒั นาจิตในรูปกระบวนการระบบ ศีล สมาธิ ปัญญา แนวทางพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ภาวนาพ้นจากทุกข์ ค้นพบวิธีปฏิบัติธรรมวิชาธรรมกาย ซ่ึงพิสูจน์หลักคาสอนหลักปฏิบัติเป็นรูปแบบพัฒนาจิต อธิบายพัฒนาจิต ในรูปกระบวนการระบบ ฐานจิต นาทางและเป็นเป้าหมาย ฐานจิตอธิบายได้ยากและความเป็นนามธรรมสูง 5.2.3 ข้อเสนอแนะกำรวิจัย : พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อสด จนฺทสโร) จากการเก็บรวบรวมข้อมูลงานวิจัย พบเอกสารเก่าที่น่าสนใจหลายเล่ม ที่ยังไม่ได้มีโอกาส ทาการศึกษาเพ่ิมเต่ิมแนวทางปฏิบตั ิ หลวงพ่อสด จนฺทสโร ซ่ึงตอ้ งอาศยั เวลาต่อจากงานวิจยั เร่ืองน้ี ความ

588 น่าสนใจ วิธีการปฏิบตั ิเป็นข้นั ตอน รายละเอียดเป็นอยา่ งมาก นาไปสู่การเขียนเป็นบทความวิจยั เร่ือง “การ สกดั หลกั คาสอนมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ หลวงพ่อสด จนฺทสโร” [3] พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภกิ ขุ) 5.3.1 สรุปกำรสกดั หลกั คำสอนจำกธรรมบรรยำยเรื่องมหำสตปิ ัฏฐำน4 พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภกิ ขุ) จากผลการวิเคราะห์จากตารางท่ี 4.6.1 ถึง 4.6.10 ซ่ึงเป็นการสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยาย แนวทางปฏิบตั ิพระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภิกขุ) จาแนกตามแนวคิด หลกั การ วธิ ีการ ผล ไดส้ รุปผล การศึกษาเป็นแผนภาพความคิดจากการสกดั หลกั คาสอนเร่ืองมหาสติปัฐานจากการบรรยายโดยพระธรรม โกศำจำรย์ (พทุ ธทำสภิกขุ) แสดงภาพท่ี 5.3.1 ถึง 5.3.4 ผลการศึกษาพบวา่ ภาพท่ี 5.3.1 แผนที่ความคดิ จากการสกดั หลกั คาสอนเร่ืองมหาสติปัฐานธรรมบรรยาย โดยพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกข)ุ ดา้ นแนวคิด ด้ำนแนวคิดของพระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภิกขุ) พบว่า 1) บทต้ังแม่บทสติปัฏฐำน 4 กายา นุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ตำมควำมเข้ำใจเช่ือว่ำ คือ อำนำปำนสติสูตร ต่อมำเติมเข้ำๆ จนเป็ นมหำสติปัฏฐำนสูตร สูตรท่ีเติมเขา้ ไป สาระมหาสติปัฏฐานมากเกินไป จนไม่น่าเช่ือว่า พระพุทธเจา้ จะนง่ั ตรัสท่ีเดียวกบั คนพวกหน่ึงยาวถึงขนาด น้นั สติปัฏฐานแทจ้ ริงแนะนาจริง คือ อานาปานสติสูตร สนใจลองเทียบกนั ดูถือเอาขอ้ ความอานาปานสติ สูตรเป็ นหลกั มหาสติปัฏฐานสูตรเป็ นสิ่งที่ควรสนใจอานาปานสติสูตรมีลมหายใจ แต่ในมหาสติปัฏฐาน สูตรมี 9 หมวดใหญ่ ๆ พิจารณาแลว้ เกินขอบเขตคาว่า “กาย” อยู่มากเป็ นกายคตาสติทาการไกล่เกล่ีย ประสานกนั ใช้ไดห้ มด ทาให้สติปัฏฐาน 4 เป็ นแม่บทหมือนกบั บทต้งั เป็ นหมวดธรรมท่ีสมบูรณ์อยู่ในตวั

589 ต้ังแต่ต้นจนถึงที่สุด กาย เวทนา จิต ธรรม 4 อย่าง “ต้ังเข้า” คืออย่างใดอย่างหน่ึงต้งั ไวอ้ ย่างพร้อม คือ ครบถว้ น สติปัฏฐาน 4 ธรรมะในฐานะเป็นเครื่องมือท่ีใชต้ า่ งกนั ความหมาย “สตปิ ัฏฐำน” แปลว่ำ 1)กำรต้ัง สตไิ ว้เฉพำะหรืออย่ำงทวั่ ถึง แปลว่ำเฉพำะได้ ท่วั ถงึ ได้ คาวา่ “สติปัฏฐาน” แปลได้ 2 อยา่ งวา่ ต้งั สติไวเ้ ฉพาะ เฉพาะเรื่องใดเรื่องหน่ึง เป็นการปฏิบตั ิไป “ทาสติ” คือ ไปทากรรมฐาน โดยทาวิปัสสนา เรียกวา่ ไปทาสติ เรียกว่า สติปัฏฐาน กาหนดต้งั ไวพ้ ร้อมเฉพาะซ่ึงสติ สติ คือ จิตประกอบอยู่ดว้ ยคุณสมบตั ิที่สติไปกาหนด อยทู่ ่ีสิ่งใดส่ิงหน่ึงแลว้ แต่ตอ้ งการ “สติปัฏฐาน” คือใชจ้ ิตประกอบอยู่ดว้ ยสติ เรียกว่า สติ กาหนดอย่ทู ่ีส่ิงใด สิ่งหน่ึง “สติ” เป็นพวก เจตสิก คือคุณสมบตั ิของจิต น้ี “จิต” หมายถึงตวั จิต สติ คือ ระลึกได้ อาการระลึกได้ ทนั ตลอดเวลา เจริญท้งั 4 เรียกวา่ กาย เวทนา จิต ธรรม กายเนื่องอยู่กบั ลมหายใจร่างกายเน้ือหนงั แยกออก จากกนั ไมไ่ ด้ เน้ือหนงั ร่างกายลมหายใจอยา่ งหน่ึงรวมเป็นสองกาย ผกู จิตหรือต้งั จิตกบั อารมณ์โดยอาศยั สติ เป็ นเครื่องมือ การปฏิบตั ิธรรม ต้งั จิต ได้ ต้งั สติ ได้ เหมือนกนั คือ ต้งั สติหรือต้งั จิต ผูกจิตไวก้ บั อารมณ์ เหมือนกบั ผูกสติ ต้งั สติไวก้ บั อารมณ์ 1.3) กำรศึกษำพุทธศำสนำตำมวิถีทำงวิทยำศำสตร์ ต้องทบทวนดูให้ เข้ำใจถึงส่ิงที่จะเป็ นตัววัตถุของกำรศึกษำอย่ำงประจักษ์ เหตุผลอย่ทู ่ีความรู้สึก วิทยาศาสตร์ในทางธรรมะ จิตใจเร่ืองจิตใจสาคญั เพียงส่ิงเดียวจะตอ้ งศึกษาคน้ ควา้ และปฏิบตั ิ รู้ธรรมะในลกั ษณะที่เป็ นวิทยาศาสตร์ เรื่องประจกั ษแ์ ก่ใจ วิทยาศาสตร์ทางวตั ถปุ ระจกั ษเ์ ป็นเครื่องทดลองทางวตั ถุ หมายถึง เรื่องท่ีประจกั ษแ์ ก่ใจ วิทยาศาสตร์ทางวตั ถุประจักษ์แก่เคร่ืองทดลองทางวตั ถุ วิทยาศาสตร์ทางจิต หมายถึง ท่ีประจักษ์แก่ ความรู้สึก 2) อำนำปำนสติในลมหำยใจ ว่ำ กำยำนุปัสนำอำนำปำนสติ เป็ นเครื่องตำมเห็นซ่ึงกำย “กำย” หมำยถึงกำยเนื้อและกำยลม 2.1)อำนำปำนสติภำคปฏิบตั ิ โอกำสฝึ กไป ส่ิงแรกคือ ปลลฺ งกฺ อำภชุ ิตฺวำ นง่ั คู้ขำ เข้ำมำโดยรอบ คำว่ำ “บัลลังก์” แปลว่ำ คู้ขำเข้ำมำโดยรอบ คือ นั่งคู้บัลลังก์ เรียกว่ำ ขัดตะหมำด จิตจะเป็ น กง่ึ สำนึกเม่ือมีควำมเป็ นสมำธิ ต้งั กายตรง กายตรงยืดหมด ไม่มีศอกงอ ไม่มีตวั ยน่ หายใจไดล้ ึก หายใจได้ เป็ นระเบียบ เป็ นธรรมชาติท่ีสุด เมื่อตวั ตรง หายใจสะดวก ทีน้ี เก่ียวกบั ตา ลืมตาเหมือนพระพุทธรูปใน โบสถ์ น่ิง 2 น่ิง คือนิ่งเพราะบงั คบั ไม่ดี น่ิงเพราะปล่อยเลย ไม่บงั คบั นิ่งเพราะบงั คบั แลว้ จะอดั ขดั อยู่ น่ิง ใหล้ ึก ๆ วา่ งมากข้ึน น่ิงโดยการปล่อย นงั่ ตวั ตรง ไมเ่ อน ไมง่ อ ลืมตาดูท่ีปลายจมกู แลว้ นิ่งอยา่ งปล่อย แลว้ หายใจ สติเฉพาะหนา้ หมายความวา่ สติออกไปขา้ งหนา้ ออกไปรับ ออกไปรับอารมณ์ อารมณ์หรือนิมิตใน ท่ี คือลมหายใจ สงบลง ละเอียด แลว้ ซึมซาบต่ออารมณ์ 2.2) อำนำปำนสติ คำว่ำ ธรรม หมำยถึง ส่ิงที่ ปรำกฏอยู่ในควำมรู้สึก ทำควำมเข้ำใจว่ำ ส่ิงน้ัน กำลังรู้สึกอยู่ในภำยใน ซึ่งเป็ นกำรสะดวก หรือ เป็ นไปได้ กำหนดพจิ ำรณำส่ิงน้ัน ๆ ว่ำเป็ นอย่ำงไร โดยแท้จริง เป็ นเรื่องจริง “อานาปานสติ” ทาสติในอารมณ์อยู่ทุก คร้ังท่ีหายใจเขา้ ออก มีธรรมะหรืออารมณ์อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง กาหนดอยู่ ทุกคร้ังที่หายใจเขา้ ออก การทาอยา่ ง น้ี เป็ นเคล็ด เป็ นอุบาย เพ่ือจะรู้จกั สิ่งน้นั เพ่ือจะเขา้ ใจสิ่งน้ัน เพื่อจะควบคุมสิ่งน้ันไดด้ ีที่สุด กายลมหายใจ เรียกว่ากาย กายเน้ือหนงั เรียกวา่ กาย แลว้ เห็นท่ีกาย จึงมีคาว่า “เห็นกายในกาย” จึงมีการกาหนดลมหายใจ ทุกคร้ังที่หายใจออกเขา้ เป็ นอารมณ์ ในขอ้ แรก แลว้ ต่อมา กาหนดธรรมะอ่ืน ๆ อยู่ทุกคร้ังท่ีหายใจออก-เขา้ สติในอริ ิยำบถ จะต้องรู้จักปฏิบัติ คือวา่ การปฏิบตั ิ อานาปานสติ ในอิริยาบถนงั่ อยตู่ ลอดเวลาไม่ไหว มีกำร เปลย่ี นอริ ิยำบถจากอยา่ งหน่ึงไปสู่อยา่ งหน่ึง เพราะวา่ ตอ้ งมีการเดิน ถา้ เป็นการปฏิบตั ิครบชุด ตอ้ งมีการเดิน

590 ยนื นงั่ นอน นง่ั ปฏิบัตอิ ำนำปำนสติ หลกั ใหญ่ว่ำ ต้องมีควำมรู้สึกตวั ทั่วพร้อม อยา่ งเดียวกนั กบั การกาหนด ลมหายใจ เปลี่ยนมาเป็นการกาหนดท่ีอิริยาบถน้นั ทาอานาปานสติอยู่ มนั จึงมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาไม่ตอ้ งไป นึกถึงเร่ืองทาน เร่ืองศีล มีมาเองโดยอตั โนมตั ิ ธรรมะ คือสติ มีคุณธรรม คือสติ มีสมาธิเป็ นส่วนใหญ่ กาหนดท่ีลมก็เป็นสมาธิ กาหนดท่ีมี 2 กายกายสังขารคือลมให้ระงบั จะดู ธรรมะพร้อมกนั ไปขณะเปล่ียน อิริยาบถ ตอ้ งฝึกความรู้สึกตวั รู้สึกตวั ไม่ขาดตอน ติดตามอิริยาบถลกั ษณะเหมือนกบั วิ่ง ตาม มีความรู้สึกท่ี เป็นฌาณ เรียกวา่ ของทิพย์ เปล่ียนเป็น อิริยาบถเดิน แลว้ รักษาความรู้สึก ปฏิบัติอนัตตำเรื่องเดียวลัด เป็ น หลกั ว่ำปฏิบตั ิอำนำปำนสติ ต้งั แต่ตน้ ไลต่ ามลาดบั ขอ้ ลบั เพอ่ื รู้จกั สิ่งท้งั ปวงตามลาดบั พบความเป็นอนตั ตา ตามลาดบั ๆ ๆ ต้ังต้นเห็นอนิจจัง เป็นสายตลอดถึงบรรลุมรรคผล อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา สาคญั สุดอนัตตา 3) เวทนำฐำนะส่ิงมีอยู่จริง และต้นเหตุเกิดปัญหำ พุทธศำสนำหัวใจเรื่องเวทนำเป็ นเร่ืองใหญ่ เป็ นเรื่อง เบ้ืองตน้ ของตณั หา หลกั ธรรมะโดยตรง ตอ้ งรู้จกั ตอ้ งเขา้ ใจ ตอ้ งถึงกบั รู้สึกอย่ดู ้วยใจ รู้จกั มนั อยดู่ ว้ ยใจในสิ่ง น้นั ๆ สิ่งที่เรียกวา่ “เวทนำ” เป็นความรู้สึกทางจิต มิไดเ้ ป็นตวั เป็นตนอย่างวตั ถุ ใหเ้ ขา้ ใจวา่ เป็นวทิ ยาศาสตร์ ฝ่ ายนามธรรม เวทนา มาเป็ นวตั ถุสาหรับศึกษาได้ ระบบจิตใจเน่ืองกนั อยู่กบั ร่างกายตามทางธรรมะถือวา่ เป็นเร่ืองเดียวกนั กบั ร่างกาย ศึกษำเวทนำ ปัจจยั ส่วนจิตส่วนวิญญาณไดแ้ ก่ เวทนา ฝ่ ายจิตคือความรู้สึกเป็น สุข รู้สึกพอใจ วทนาเป็นสิ่งจาเป็นท่ีจะตอ้ งมี เป็นเครื่องหล่อเล้ียงประเร้าประโลมใจ เอาปี ติสุขเป็นอารมณ์ เป็นส่ิงที่ปรุงแต่ความคิดความนึก ศึกษาอยา่ งเราจะควบคุมเวทนาได้ จิตจะสงบตอ้ งศึกษาตามวิธีของสติปัฏ ฐาน เวทนา เรียกว่า เคร่ืองปรุงแต่งจิต เวทนา น้ีเรียกว่า จิตสังขำร คือ ปรุงแต่งจิต เป็ นปี ติและสุข กาย สังขารสงบระงบั มีจิตสงบระงบั มีความเป็นสมาธิ มีปี ติและสุข ซ่ึงเป็นองคข์ องฌาน แมข้ ้นั ตน้ ปฐมฌาน มี วิตก วิจาร ปี ติ สุข เอกคั คตา เวทนา ฐานะเป็ นส่ิงที่สาคญั ที่สุด พระพุทธเจ้าท่านทรงยืนยนั ว่าคือส่ิงเป็ น ตน้ เหตุ เป็นตน้ เร่ืองอะไรท้งั หมด เวทนำนุปัสสนำ เป็ นเร่ืองรู้สึกต่อเวทนำอยู่ทุกลมหำยใจ ทุกคร้ังท่ีหายใจ ศึกษาเวทนาจนรู้เร่ืองเวทนาถึงที่สุด แกป้ ัญหาทุกอย่างได้ เวทนามีอานาจเหนือมนุษย์ ชกั นาไปดว้ ยตณั หา ออกมาจากเวทนา ถา้ ควบคุมเวทนาได้ คือควบคุมโลกท้งั หมดได้ อยนู่ อกเหนืออานาจของการปรุงแต่ง 4) จิตตำนุปัสสนำ หมวดว่ำด้วยจติ กาหนดจิต หนั มาจดั การกบั สิ่งท่ีเรียกวา่ “จิต” จิตตำนุปัสนำเป็นกำรรู้ กับ กำรบงั คับ ปนกนั ไป สลบั กนั เป็นหมวดมีสมาธิกบั ปัญญา จิตทาหนา้ ท่ีรู้สึกอารมณ์ทางตา หู จมกู ลิน้ กายใจ เป็ นวิญญาณ ความรู้ กระทบจิตเรียกว่า มโนวิญญาณ เรื่องจิตสำคัญมำก ถา้ ไม่มีจิตเพียงอย่างเดียวเร่ือง ท้งั หลายไม่มี จิตไปศึกษา เห็นการปฏิบตั ิเกี่ยวกบั จิต ควบคมุ จิต บงั คบั จิต อบรมจิตสูงสุดเหนือ อิทธิพลของ ส่ิงท้งั ปวง เรื่องจิต ขอให้รู้จักตัวจริง จิตเป็นธาตุชนิดหน่ึง เป็นวิญญาณธาตุเป็นธาตุแห่งความว่าง “นามะรู ปัง” จิต เป็นธาตุตามธรรมชาติ ทาหนา้ ท่ีคดิ นึกหนา้ ท่ีรู้สึก รู้สึกสุข ทกุ ข์ เรียกวา่ มโน แปลวา่ รู้ หรือรู้สึก แต่ ถา้ รับรู้อารมณ์ตามตาหูกาย เรียกว่า วิญญาณ จิต คือส่ิงคิดนึกอะไรได้ โดยตัวเอง ไม่ตอ้ งมีตวั ตนผูค้ ิดผูน้ ึก รู้สึกไดโ้ ดยตวั เอง โดยระบบประสาท เป็ นธำตุ ตำมธรรมชำติชนิดหน่ึง ทาหนา้ ที่หรืออาการ คอื รู้สึกได้ คดิ นึกได้ ไม่จาเป็นตอ้ งเป็นวิญญาณตวั ตน ทาหนา้ ท่ีรู้อารมณ์ ทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่า วิญญาณได้ ความรู้เรื่องสมาธิ ได้ตัวสมำธิ ไดค้ วามชานาญในสมาธิ เวทนา ปัญญามากข้ึน คือรู้ รู้ รู้จักปี ติ รู้จกั สุข รู้จกั

591 ความท่่ี่เป็นจิตสังขำร 5) ธรรมำนุปัสสนำ เร่ืองกำรตำมเห็นธรรม “ธรรม” หมำยถึง ทุกสิ่ง หรือส่ิงท้ังปวง หน้ำที่ต้องปฏิบัติตำมกฎของธรรมชำติ ธรรมะเป็ นภายนอกกาหนดส่ิงที่อยู่ภายนอกทาส่ิงที่เป็ นภายใน อาศยั ความสมั ผสั ทางตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ หรือ สัมผสั โดย มะโนสมั ผสั ทางใจอยา่ งเดียวนามาเป็นอารมณ์ ก็รู้สึกได้ ธรรมำนุปัสนำ เป็ นปัญญำเต็มท่ี เรียกวา่ เป็นปัญญาสุดเหวี่ยง เพราะรู้ ๆ ๆ ๆ รู้ เรื่องอนิจจงั ตลอด สายไม่ตอ้ งบงั คบั ดว้ ยสมาธิอะไร ปัญญาทาให้ ปล่อย หมวดธรรมสำคัญในอำนำปำนสติ ควรจะปฏิบตั ิมา ตามลาดบั หรือ ปฏิบัติแบบลัดส้ันหมวด 1 พอสมควรลัดมำหมวดท่ี 4 ได้สะดวกดี ประหยดั ไดจ้ ึงนับว่ามี ความหมายสาคญั อิทธิบำท เทคนิคให้สำเร็จบรรลุผลสติปัฏฐาน พละ 5 อินทรีย์ 5 เป็ นอุปกรณ์เครื่องมือ โพชฌงค์ อริยมรรคองค์ 8 โพธิปักขิยธรรม วา่ 37 ขอ้ 7 หมวด เป็นบทต้งั บทประธานเร่ือง และหมวดอ่ืนๆ ช่วยเสริมเป็นเคร่ืองมือให้หมวดต้งั เป็นไปถึงที่สุดคือมีสติปัฏฐาน 4 สมบูรณ์ โพธิปักขิยธรรม 7 หมวด เพ่ือ ตรัสรู้ไดค้ วามรู้มา ประยุกตป์ ริยตั ิมากกมาย ตอ้ งประยุกตส์ ิ่งท่ีเรียกว่า ปฏิบตั ิ มีผลเป็ นปฏิเวธ โพธิปักขิย ธรรม พดู ถึงหมวดแรกเร่ืองกาย กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำน หมายถึง กายเป็นเน้ือหนงั รูปร่างภายนอก รวมถึง กายลม ลมหายใจ กาย เพราะลมหายใจปรุงแตง่ กาย ภาพท่ี 5.3.2 แผนที่ความคิดจากการสกดั หลกั คาสอนเร่ืองมหาสติปัฐานธรรมบรรยาย โดยพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภกิ ข)ุ ดา้ นหลกั การ ด้ำนหลักกำรพระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภิกขุ) พบว่า 1) ระบบอานาปานสติ 16 ข้นั ลาดับ ต้งั แตส่ มถะไปจนถึงปัญญา กำรต้ังสติหรือกำหนดสติในสติปัฏฐาน 4 ยกเอา กาย เวทนา จิต ธรรม การต้งั สติ ต้งั ท่ีกาย ต้งั ท่ีเวทนา ต้งั ท่ีจิต ต้งั ท่ีธรรม4 อยา่ ง เรียกวา่ สติปัฏฐาน 4 ต้งั อยา่ งไรว่า “ต้งั สติอยา่ งสมถะ” ให้ สงบ “ต้งั สติอยา่ งปัญญา” วิปัสสนา ต้ังสติไปทำงสมถะทาใหส้ งบ แกฟ้ ุ้ง ซ่านต้งั สติไปทางปัญญาวิปัสสนา แกโ้ ง่ ปัญหาทางจิต ตอ้ งต้งั อยา่ งปัญญาสติปัฏฐาน วิธีเจริญ 2 แบบ คอื ระดบั สมถะ ปัญญา กำรต้ังต้นปฏิบัติ อำนำปำนสติ เป็ นกฎตายตวั การปฏิบตั ิกรรมฐานอานาปานสติภาวนา ตอ้ งยอ้ นกลบั ไปต้งั ตน้ เชื่อมกัน เน่ืองกนั ต้งั แต่แรก ทุกคราวไป มาถึงข้นั เวทนา อิริยาบถเป็ นหลกั เดิน ยืน นั่ง นอน รักษาความรู้สึกเป็ น สมาธิ มำปฏิบตั ใิ ห้เนื่องเป็ นสำยเดียวกนั ไม่แยก คือระบบเรียกว่ำ “อำนำปำนสติ 16 ข้นั ” สติปัฏฐาน 4 อยใู่ น

592 ครบถว้ น ปฏิบตั ิสติปัฏฐาน 4 จึงปฏิบตั ิทีละอยา่ ง จะตอ้ งใชว้ ิธีของอิริยาบถ เรียกว่าการเดินตลอดเวลา มีสติ สมั ปชญั ญะ รู้สึกต่ออิริยาบถน้นั ๆ โดยเฉพาะ เป็นการปฏิบตั ิธรรมะ อำนำปำนสตปิ สูตรเอำสติปัฏฐำนเป็ น หลักกำยำนุปัสสนำ เวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน อำนำปำนสติ 16 ข้ัน แบ่ง 4 หมวด หมวดละ 4 ข้ันหมวด 1 เรื่องกำย 2 เวทนำ 3 จิต 4 ธรรม คือ สติปัฏฐานท่ีเป็นแก่นแท้ ไม่ประกอบดว้ ยเครื่องหุ้มห่อ เป็นเน้ือแท้ สติปัฏฐาน 4 ในอานาปานสติสูตร มีสติสัมปชัญญะ นาออกเสียซ่ึง อภิชฌาและโทมนสั ในโลก หวั ใจอยู่ท่ี น้ัน ประโยคดู อภิชฌาและโทมนัส อาตาปี สติมา สมฺปชาในอภิชฌาและโทมนัส ยินดี ยินร้าย ในโลก ควำมหมำยอำนำปำนสติ ในข้นั กายานุปัสสนาฯ ทาความรู้จกั กับลมหายใจ รวมท้งั กายเน้ือ ในลกั ษณะ วิทยาศาสตร์ พิจารณาความไมเ่ ที่ยงอยหู่ ายใจเขา้ หายใจออก ความรู้สึกเห็นความไม่เที่ยง ลมหายใจปรุงแตง่ ร่างกาย เร่ือง กายลมหายใจและกายเน้ือ ลงมือปฏบิ ัตดิ ้วยควำมต้งั ใจ ควบคมุ อำยตนะ สังวร สารวม ต้งั ใจลง มือกาหนดสติปัฏฐาน กายเวทนาจิตธรรม กิริยารวบรวมจิตใจ ศีล สมาธิ ส่วนความรู้ธรรมนุปสสนาสติปัฏ ฐาน เป็นปัญญา 2) สติปัฏฐำน 4 คือ การมีสติตามมองเห็นสี่อยา่ ง “ปัฏฐาน” แปลวา่ การต้งั ไม่ใช่ท่ีต้งั รวมความต้งั ไวเ้ ฉพาะอยา่ งทวั่ ครบถว้ นลงไปส่ิงใดสิ่งหน่ึงเฉพาะ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน แปลวา่ มีสติมองเห็นกายใน กาย การต้งั ไวอ้ ย่างทวั่ ถึงซ่ึงสติเฉพาะ การต้งั สติในการตามเห็นซ่ึงกายอย่างครบถว้ นเฉพาะเจาะจงลงไป การดูกายท้งั สองกายกระทาแก่กนั และกนั ระงับกำยลม กำยเนื้อหนังสงบระงบั ไปดว้ ย “สติ” แปลว่ำ ระลึก ได้ถึงส่ิงใดส่ิงหน่ึงอยู่ โดยการกาหนดหรือพิจารณา ให้ “สติเป็นผดู้ ู” สติอนุปัสสนา ตามดู “สติ” อนุปัสสนา สติปัฏฐาน ระลึกไดด้ ว้ ยการกำหนดจิตติดตำมด้วยลมหำยใจ ลมหายใจกาหนดอยู่ เจริญกรรมฐำน สติปัฏ ฐำนด้วยเหมือนกัน พม่าปรับปรุงระบบใหม่ ระบบสติปัฏฐาน ท่ีคู่กบั คาว่า หนอ หนอ หนอ มีลกั ษณะ เทิดทนู สติปัฏฐาน 4 มาก มีสติทุกคร้ังที่หายใจ ทุกคร้ังท่ีหายใจออกเขา้ จะไปอยทู่ ี่ไหน จะทาอะไรอยทู่ าดว้ ย สติ สติ ปัญญา สัมปชญั ญะ สมาธิบริวาร สัมปชญั ญะกาหนดเฉพาะด้วยปัญญากาหนดดว้ ยสติ เป็ นสติ กาหนดดว้ ยปัญญาเป็ นสัมปชญั ญะให้มองเห็นกายในกายลมหายใจยาว เป็ นอย่างไร การปรุงแต่งกาย ทา ความระงบั กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กาหนดต้งั สติตามดูกายอยา่ งครบถว้ นทวั่ ถึง ตามดูกาย ดูลมหายใจ 3) กำรปฏิบัติเกยี่ วกบั จติ เรียกว่ำ จิตตำนุปัสสนำ เรียกว่า การรู้ทวั่ ถึงจิต ทาการกาหนดจิต รู้เร่ืองจิต แลว้ จนบงั คบั จิต จิตบงั คบั จิตได้ จิต ๆ ๆ ไม่มีตวั ตน ความรู้ฝึกจิตอยา่ งไรบงั คบั จิตอย่างไร แลว้ มีประโยชน์ อะไร เรียกว่า จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ศึกษารูปร่ำงกำยในลักษณะที่เป็ นวัตถุ ศึกษาจิตเรื่องเกี่ยวกับจิต ความรู้สึกของจิต ในลกั ษณะเนื่องกนั อยู่กับวตั ถุ เรียกง่ายๆว่า ศึกษาเรื่อง “คน” คนมีท้งั กายและท้งั จิต ร่ำงกำย จิต แลว้ ก็วิญญาณ ไม่ใช่เรื่องจิต ไม่ใช่ วิญญาณ ใน ขนั ธ์ 5 “วิญญาณ” น้ีไม่ใช่จิต ไม่ปนกนั ยุ่ง ใน ภาษาบาลีใชค้ าวา่ จิต แทนคาวา่ วิญญาณ คาวา่ “จิต” ในภาษาไทยเอามาใชต้ ่าเกินไปแลว้ ใชไ้ มไ่ ด้ ตอ้ งใชค้ า วา่ วิญญาณ แทน เป็นหมวดจิต มี 4 ข้ัน ข้นั ท่ีหน่ึง“จิตตปฏิสงั เวที” เป็นผรู้ ู้พร้อม เฉพาะซ่ึงจิตพร้อมในเร่ือง เกี่ยวกบั จิตในปัจจุบนั กาหนดลม เราเรียก ลมว่าอารมณ์ แปลว่า เป็ นท่ีจิต กาหนดเรียกว่านิมิต ลมหายใจ เป็ นที่กาหนดของจิต มีเทคนิค อย่าไปเครียดครัด อย่าทาหละหลวม ให้มนั อยู่ตรงกลาง ให้มนั พอดี การ ปรับปรุงลมหายใจให้พอดี รู้จกั ว่าหยาบละเอียดอย่างไร รู้จกั ว่าหนกั เบาอย่างไร จิตปัจจุบนั เพ่ือจดั การกบั

593 ตอ้ งรู้จิตปัจจุบนั ว่ากาลงั เป็ นอย่างไร จิตรู้จกั จิตเอง ไม่ตอ้ งมีตวั กูไปรู้จิต จิตรู้จกั ตวั เองว่ากาลงั เป็ นอยู่ อย่างไร จิตต้องรู้จักตัวเอง แก้ไขปรับปรุงตัวเอง พิจารณาจิตกาลงั มีราคะหรือไม่มี รู้ไดเ้ อง ถา้ รู้จกั ส่ิงที่ เรียกว่า ราคะ จิต เดี๋ยวน้ีมีโทสะหรือไม่มี เด๋ียวน้ีมีโมหะหรือไม่มี เดี๋ยวน้ีเป็ นจิตมีคุณธรรมอนั ใหญ่หลวง หรือวา่ ไม่มี จิตยงั ไม่ถึงที่สุดยงั มีจิตอ่ืนยงิ่ กวา่ หรือไม่มี เด๋ียวน้ีจิตต้งั มนั่ เป็นสมาธิหรือไม่ต้งั มนั่ เป็นสมาธิ รู้ ได้ เด๋ียวน้ีจิตหลุดพน้ หรือไม่หลุดพน้ กาหนดจิตตวั เองดูวา่ กาลงั อยใู่ นสถานะ ภาวะอาการอยา่ งไร มาจาก เหตปุ ัจจยั อะไร นามาซ่ึงความทกุ ขอ์ ยา่ งไร 4) กำรเห็นอนิจจำต้ังต้น เห็นอนิจจังก่อน “อนิจจงั ” แปลว่า ไม่เที่ยง คือเปลยี่ นแปลงเรื่อย ๆ ทุกส่ิง ไหลเรื่อย มหาสติปัฏฐาน 4 เป็ นท้ังสมถะและวิปัสสนำ เอาสติปัฏฐาน 4 พอเป็นมรรค สติปัฏฐาน 4 ช่วยให้ บรรลุมรรคผลเป็ นพระอรหันต์ บรรลุใน 7 ปี 7 เดือน 7 วนั พ้ืนฐานมาจากสัมมาทิฐิ ในสติปัฏฐาน มีสติมี สมาธิมีปัญญารวมอยู่ กำรปฏบิ ัติธรรมะต้องมขี องจริง ให้อยู่ในควำมรู้สึก อยู่ในใจ ตอ้ งมีอนิจจงั รู้สึกอยใู่ นใจ ในเวลา กาหนดไวไ้ ด้เห็นอนิจจัง ไม่เที่ยง อนิจจตา ความไม่เท่ียง เห็นทุกขตา ความเป็ นทุกข์อนัตตา พจิ ารณาใหเ้ ห็นเนื่องกนั อยกู่ บั อนิจจงั เป็นทุกข์ ทุกอยา่ งเป็นอนิจจงั เห็นอนิจจงั อปุ าทานิยธรรม ส่ิงเป็นท่ีต้งั แห่งความยึดถือที่ไดย้ ึดถืออยู่ วิราคานุปัสสีเห็นคลาย ๆ ออกของอุปาทาน ข้นั 3 นิโรธานุปัสสี เห็นดบั ไป แห่งอุปาทาน ทาทุกสิ่งเห็นอนิจจงั ในใจ สมบูรณ์แบบเห็นอนิจจงั ต้งั แต่ลมหายใจ ความระงบั แห่งกาย สงั ขาร เวทนาทกุ ชนิด จิตทกุ ชนิดแยกออกได้ เป็นอนิจจงั เฉพาะหนา้ คือ กาลงั รู้สึกอยู่ 5)เวทนำ เป็ นท่ีต้ังแห่งควำมสนใจจนควำมยึดมั่นถือม่ันได้ เวทนา แปลว่า ความรู้สึก สุขเวทนา แปลวา่ เวทนา ที่มีลกั ษณะเป็นสุข ทุกขเวทนา คือ เวทนา ที่มีลกั ษณะเป็นทุกข์ อทุกขมสุ ขเวทนา เวทนา ที่ ไมอ่ าจจะกลา่ ววา่ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ เวทนำ คือ ควำมรู้สึกทจ่ี ะต้องรู้สึกกนั วันละหลำยๆคร้ัง Feeling เป็น ทุกขเวทนา สุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา คือ เวทนา เป็นกิเลส ประจาวนั คือ โลภะ โทสะ โมหะ น้ีอาศยั อยู่ บนเวทนา สุขเวทนา ก็ โลภแลว้ เพ่ิมนิสัย โลภ ทุกขเวทนา โกรธ แลว้ เพิ่มนิสัยโกรธ อทุกขมสุขเวทนาแลว้ เพมิ่ นิสัยโง่ มวั เมา หลง สุขเวทนำ คู่กบั โลภะ ทุกขเวทนา ค่กู บั โทสะ อทกุ ขมสุขเวทนา กบั โมหะ จริง ไม่จริง ตอ้ งไปสังเกตดูดว้ ยตนเอง ตอ้ งมองดูไปเวทนา เกิดข้ึนแก่เราทุกวนั ลกั ษณะ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับเวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน หมวดเวทนาเอง ปี ติความสุข เป็ น เคร่ืองปรุงแต่งจิต ระงบั อานาจการปรุงแต่งจิตของเวทนา ไวไ้ ด้ ควบคุมได้ เวทนำ ปี ตเิ กดิ ขึน้ ไม่เท่ยี ง สุขไม่ เท่ียง ปี ติ สุข ปรุงแต่งจิตก็ไมเ่ ท่ียง การทาใหป้ ี ติและสุขระงบั ลง จิตใหต้ ้งั มนั่ ความต้งั มนั่ ไมเ่ ที่ยง ความปล่อย ก็ไม่เที่ยง ตอ้ งเอามาทาในความรู้สึก ศึกษำพุทธศำสนำเร่ืองวิถีทำงดับทุกข์ ลักษณะศึกษำทำงวิทยำศำสตร์ คอื ใชว้ ิธีการอยา่ งวทิ ยาศาสตร์ คอื ตอ้ งมีอะไรวางลงเป็นวตั ถุศึกษา ตอ้ งเอาตวั เรียกวา่ เวทนา วางลงไปในที่ ทดลอง รู้จกั เวทนาท่ีเกิด จึงเป็นวิทยาศาสตร์ทางฝ่ ายจิต หรือฝ่ ายวิญญาณ วตั ถุศึกษา 2 เร่ือง คือ กาย กบั จิต กายจะตอ้ งถูกศึกษาเช่นเดียวกบั จิต จิตจะตอ้ งถูกศึกษาเช่นเดียวกบั กาย ขนั ธ์ 5 รูป คือ กาย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือ จิต รวมกนั เป็ น ขนั ธ์ 5 เป็ นวตั ถุสาหรับการศึกษา ปัญญา หรือ ญาณทศั นะ กำรเรียน ธรรมะจำกใจ จำกใจจริง จำกควำมรู้สึกจริงๆไมใ่ ช่จากเรียนหนงั สือ จากฟังคนอื่นเขาพูด ตอ้ งไปรู้จกั เวทนา

594 ท้งั 3 ตอ้ งสงั เกตไปตามหลกั สติปัฏฐานโดยเฉพาะไมเ่ กิดอภิชชาและโทมนสั ในสิ่งใด ๆ ไม่เกิดหลงรักพอใจ ยดึ มน่ั ในส่ิงใด ไม่ยนิ ดียนิ ร้ายในสิ่งใด ภาษาวทิ ยาศาสตร์ ไมเ่ ห็นส่ิงใดโดยความเป็นบวกหรือเป็นลบ ภาพที่ 5.3.3 แผนท่ีความคดิ จากการสกดั หลกั คาสอนเรื่องมหาสติปัฐานธรรมบรรยาย โดยพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภกิ ข)ุ ดา้ นวธิ ีการ ด้ำนวธิ ีกำรพระธรรมโกศำจำรย์ (พทุ ธทำสภิกขุ) พบวา่ 1) สตปิ ัฏฐำน 4 คือ กำย เวทนำ จิต ธรรม 4 อย่ำงแรก คือ กำย เอำกำยมำเป็ นอำรมณ์เป็ นวัตถุสำหรับต้ังสติ ลงไปที่กายเป็ นสมถะ ดูกาย เอาส่วนหน่ึง ร่างกายเป็นวตั ถุเป็นนิมิตเป็ นกายคตาสติ “กำย” หมำยถึง ลมหำยใจเนื่องอยู่กบั กำย และปรุงแต่งกายหรือ เป็นตวั ชีวิตเอา กายคือลมหายใจมากาหนด“กาหนดอานาปานสติ”เป็ นสมถะ อะไร ๆ ในร่างกายน้ีท้งั หมด จะตอ้ งแสวงหากนั ท่ีร่างกายน้ีภายในจึงมีระบบสติปัฏฐำน ให้ต้ังจิตหรือสติให้ถูกต้อง จะพบทางออกทาง หลุดรอดจากทุกข์ รู้จกั เวทนาแลว้ รู้จกั ทาตนเป็นนาย เหนือเวทนา หัวใจของสติปัฏฐำนหมวดกำยำนุปัสส นำ รับผลคือ สติ สมำธิ เตม็ ที่ในระดบั ทวั่ ไป ฝึ กหมวดกายานุปัสสนา คือมีท้งั สติ มีท้งั สมาธิ ทางานร่วมกบั ปัญญา กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำนมีสมาธิเต็มอตั ตา และมีสติเต็มอตั ตา สติจำเป็ นในหน้ำที่ขนส่งต้องฝึ กสติ ให้เพียงพอในขณะเวลำแห่งผัสสะ สาคญั มากสติมาทนั ลกั ษณะเหมือนขนส่ง เหมือนขนส่งเอาปัญญามา กำรอบรมปัญญำ สะสมปัญญา“สติ” แปลว่า ความระลึกได้ ขนเอาปัญญามา ให้รอบรู้ในขณะผสั สะ สติ ความระลึกได้ ขนปัญญามาทนั ควบคมุ ผสั สะใหถ้ กู ตอ้ ง นาออกได้ อภิชฌาและโทมนสั ในโลกเพราะวา่ สติ ขนปัญญาออกมาทนั เจริญต้ังใจทำสติปัฏฐำนเท่ำกบั เจริญศีลสมำธิปัญญำ ไตรสิกขำอยู่ในตวั หมวดกาย เรียก ลมหายใจ หมู่ ธาตุดินน้าไฟลม กายคือ ลมหายใจ กายคือ วตั ถุเน้ือหนงั เนื่องกนั อย่างไม่แยกกนั ถือ โอกาสบงั คบั สิ่งท่ีบงั ได้ กายส่วนท่ีเป็นลมหายใจบงั คบั ได้ ข้นั ที่ 1 ลมหายใจยาว ข้นั ท่ี 2 ลมหายใจส้ัน กำย ลมกับกำยเนื้องสัมพันธ์กัน เรื่องของลมหายใจรู้หมด สัพพะกายะปะฏิสัง เวที รู้กายท้งั ปวงคือ กายลม หายใจกบั กายเน้ือ ปฏิบตั ิมหมวดกาย เป็นสมาธิพอสมควรเขา้ ไปกาหนดสมาธิ วิธีทาจิตให้เป็นสมาธิแลว้ กาหนดเป็ นอนิจจงั ทุกขงั อนัตตา กำรเจริญกรรมฐำน เป็ นเทคนิค เรำรู้สึกว่ำ ลมหำยใจเข้ำไปทำให้ท้อง พอง สุดอยู่ท่ีสะดือ กระทบปลายจงอยจมูกดา้ นใน ความรู้สึกอยู่ท่ีไหนเอาตรง น้ันก็แลว้ กนั กระทบตรง

595 กาหนดการกระทบดา้ นนอกที่ตรงปลายจมูก ดา้ นในสมมติวา่ ที่สะดือ แต่ความกระเทือนใหร้ ู้สึกท่ีลมหายใจ ปรากฏรู้สึกไดท้ ี่สะดือ ภาพพจน์ ฝึ กดีเป็นนิสัย กำยมีสองกำย กำยเนื้อหนัง กำยลมหำยใจ กายลมปรุงแต่ง กายเน้ือ กายเน้ือข้ึนอย่กู บั กายลม รู้กายท้งั ปวง คือ รู้กายสองกายกระทาซ่ึงกนั อย่างน้ีกาหนดรู้ กำยสังขำร คือ ลมหำยใจเป็ นสิ่งทีท่ ำบำรุงกำยเข้ำไว้ เรียกวา่ กายสังขาร คือ สังขำรแห่งกำย เครื่องบารุงส่งเสริมและปรุง แต่งคือลมหำยใจ กายสังขารระงบั ลงๆ ด้วยการปฏิบตั ิ จึงรู้วา่ กายลมระงบั กายเน้ือหนงั ระงบั ๆ ลงไปเป็น สมาธิ ทำลมหำยใจให้สงบระงับ กายเน้ือระงบั ระบบประสาทระงบั เรียกว่า ทำกำยสังขำรให้ระงับ เกิด ความรู้สึกพอใจวา่ ทาได้ ปี ติ และเป็นสุข อำนำปำนสตมิ ำต้งั แต่ลมหำยใจ ตัวลมหำยใจไม่เท่ียง ปรุงแต่งร่าย กายเน้ือไม่เท่ียง ตำมไม่เท่ยี งไหลเรื่อย คือ เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจยั เห็นอนิจจงั มาต้งั แตล่ มหายใจ กำยำ นุปัสสนำสติปัฏฐำน ตำมดูกำยใน 4 วิธี 1)มองให้รู้ว่าลมหายใจยาวว่าเป็นอยา่ งไร 2) มองใหร้ ู้ว่าลมหายใจ ส้ันวา่ มีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร 3) ลมหายใจปรุงแตง่ ร่างกายอยา่ งไร 4) ทาร่างกายใหร้ ะงบั ดว้ ยการทาลมหายให้ ระงบั เริ่มขึน้ ด้วยกำรบีต้ ำมลม บ้ีตามลมหายใจเหมือนกนั สติเอง กาหนดลมหายใจเขา้ ออกเขา้ ออกเหมือน ว่ิงตามให้ได้ ว่ิงตามก็เปลี่ยน เฝ้าดู กำหนดอย่ำงว่ิงตำมหรือเฝ้ำดูอยู่ หายใจยาวกายระงบั หายใจส้ันกาย กระสับกระส่ายพบความที่ลมหายใจปรุงแต่งเน้ือหนงั ร่างกาย กาหนดลมหำยใจที่จมูก เม่ือลมหายใจแรงๆ กระทบที่ช่องจมูกที่ปลายจมูก เอาเป็ นที่เฝ้าดูท่ีตรงน้ัน ตอ้ งเฝ้าจริงๆ กาหนดกายานุปัสสนาอำศัยร่ำงกำย กระทำต่อกนั และกนั ความเป็นสมาธิ แทจ้ ริง ทากายสงั ขารระงบั อยู่ คือ ทาลมหายใจใหล้ ะเอียดลง วธิ ีปฏิบตั ิ เป็นบทเรียนกำยำนุปัสสนำ 5 ข้ันตอน 1) ว่ิงตามลมหายใจ 2) เฝ้าดูมองจุดเดียว 3)สร้างนิมิตมโนภาพข้ึนท่ี จุด 4) สร้างนิมิตใหล้ ะเอียดข้ึน ให้เปล่ียนรูปเปล่ียนขนาดสี เคลื่อนไหว 5 )การทาองค์ฌานท้งั 5 ทาใหเ้ กิด สมาธิ จบั เอานิมิตอนั หน่ึงมาเฝ้ามองให้เกิดองคแ์ ห่งฌาน 5 องค์ มีวิติ วิจาร ปี ติ สุข เอกคั คตา บรรลุสมาธิ อนั ดบั แรก คอื ปฐมฌาน เรียกวา่ ประยกุ ตส์ าเร็จประโยชนไ์ ด้ ผฝู้ ึกตอ้ งมีสติปัญญา กำหนดควำมรู้สึกท่ีเป็ น องค์ฌำนต้องเลือกเอำนิมิต กาหนดให้แน่วแน่อยู่ แลว้ ทาสอบความรู้สึก หรือสถานะของจิตห้าองค์ มีวิตก วิจาร ปี ติ สุข เอกคั คตา “วิตก” คือการตรึกการกาหนดท่ีจิตไปกาหนดอยู่ท่ีนิมิต “วิจำร” คือการท่ีจิตอยู่ เพลิดเพลิน ปี ติ คือ ความรู้สึกเพลินเพลินสบายใจของจิตต่อนิมิต เอกคั คตา หมายถึง ความท่ีจิตเป็นหน่ึง จิต กาหนดอารมณ์จิตรู้สึกเป็นสุข อารมณ์อนั ดบั แรก ปฐมฌาน สร้ำงนิมิต มโนภำพ ใหเ้ ห็นชดั อยดู่ ว้ ยตาขา้ งใน นอ้ มจิตอนั ละเอียดสุขุมตอ้ งการจิตละเอียดประณีต ว่องไวต่อการงานแน่วแน่บริสุทธ์ิ เป็ นผล มีจิตว่องไว แขง็ แรง สร้างมโนภาพสาหรับสติไดก้ าหนด กำหนดลงไปท่ีลมหำยใจเป็ นนมิ ติ ตำมธรรมดำคือ ตวั ลม สร้าง มาลมหายใจกระทบเรียกวา่ มโนภาพ อุคคนมิ ิต คือ นิมติ ที่จิตสร้ำงขนึ้ มำได้ หมายความวา่ ท่ีเฝ้าดู ดูตามที่ลม ผา่ นมาผา่ นไป อำนำปำนสติ ทกุ ข้นั ๆ ขอให้หยอดท้ำยด้วยกำรเห็นอนัตตำ เห็นความไมเ่ ที่ยง เป็นทกุ ข์ เป็น อนัตตา รู้สึกต่อ อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา ไปทุกอิริยาบถ ทุกเวลา ทุกสถานท่ี แลว้ ทุกวินาที หรือทุกคร้ังที่ หายใจออกเขา้ รู้สึกตวั ทวั่ พร้อม ทุกอิริยาบถเลย แลว้ ไม่สูญเสีย ไมส่ ูญเสียความรู้เร่ือง อนตั ตา เร่ือง อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา การเปล่ียนแปลงอิริยาบถ ทุกข้นั ตอน เปล่ียนจากอย่างน้ี ไปสู่อย่างโนน้ มีเหตุปัจจยั ทาให้ เปลี่ยน การเปล่ียนไปตามเหตุปัจจยั เรียกว่า อิทปั ปัจจยตา ไปปฏิบตั ิภาวนา ปฏิบตั ิอานาปานสติ เพราะดึง

596 เขา้ มาหา เขา้ มาประกอบดว้ ยไดท้ ุกเร่ือง โดยเฉพาะมีสติทุกอิริยำบถที่มีอำนำปนสติภำวนำ ไปยืนด่ืมปิ ติ ปราโมทย์ อยกู่ ็ทาได้ ครอบงาความรู้สึกว่าทาได้ อนัตตำไม่มีตัวตน เห็นอนตั ตา มิใช่สัตว์ มิใช่บุคคล มิใช่ ตวั มิใช่ตน มิใช่เรา มิใช่เขา เห็นอนัตตำ เห็นควำมจริง เห็นธมั มฏั ฐิตะตา ความเป็ นไปเป็ นอยู่ ต้งั อยู่ตาม ธรรมดา เห็นธัมมะนิยำมะตำ กฎธรรมชาติเป็ นอยา่ งน้ีเอง เห็น อิทปั ปัจจยตา ปรุงแต่งเปล่ียนแปลงไปตาม เหตุตามปัจจยั เรียกว่า ปฏิจจสมุปบำท หรือ อิทัปปัจจยตำ ไดเ้ ห็นสุญญตา ว่างจากความเป็ นตวั ตน ความ เท่ียงแทแ้ น่นอนเป็ นสุญญตา แลว้ ก็เห็นตถาตา ว่ามนั เช่นน้ีเองจะถึง จุดอตมั ยตา เห็นแลว้ อะไรปรุงแต่ง ไม่ได้ กูไม่เอากะมึงแลว้ อตมั ยตามา อนตั ตาไม่ทาให้เกิดอุปาทาน อุปำทำนไม่เกิดเพรำะเห็นอนัตตำ ไม่มี อุปาทานก็ไม่มีทุกขไ์ ม่เอาขนั ธ์ท้งั ห้าแต่ละขนั ธ์ หรือท้งั หา้ ขนั ธ์ เป็นตวั ตน ต้ังสติอย่ำงวิปัสสนำหรือปัญญำ พจิ ารณากายวา่ ไม่เท่ียง เป็นทกุ ข์ เป็นอนตั ตา ยกพระไตรลกั ษณ์เขา้ มาจบั หรือวา่ ยกอารมณ์ข้ึนไปสู่พระไตร ลกั ษณ์ ไดเ้ หมือนกนั มีอิริยาบถถูกตอ้ งตามหลกั ปฏิบตั ิอิริยาบถ ไมว่ า่ ปฏิบตั ิอะไร เร่ืองไหน ที่ไหน อยา่ งไร มุ่งหมาย จะรู้เรื่อง“อนตั ตา” อิริยาบถ ยืน ยนื เท่าน้นั หนอ ไม่ใช่ กู ยืนหนอ นงั่ ดว้ ยจิตวา่ ง นงั่ ดว้ ยจิตว่าง มี สติ สัมปชัญญะ เป็ นอิริยาบถหน่ึงเท่าน้ันหนอ กาหนดส่วนย่อยอิริยาบถท่ีแยก มีสติสัมปชัญญะ ทุกๆ ส่วนย่อยเท่ากบั รู้ท้งั หมด รู้ละเอียด เป็ นเคล็ด เป็ นอุบาย รู้สึกอยู่ ทุก ๆ อิริยำบถ หน่ึง และ ทุก ๆ ส่วนย่อย เป็นส่วน ๆ กา้ วขาคร้ังหน่ึง เช่น รู้สึกวา่ จะเดิน รู้สึกวา่ ยกขา ยกขา ข้ึนมา แลว้ กเ็ สือกขาไปขา้ งหนา้ แลว้ ก็จะ เอาขาลง รู้เรื่อง อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา แมอ้ ยใู่ นอิริยาบถอะไรการรู้สึก “อนตั ตา” ให้ รู้สึกอยู่ ทุก ๆ อิริยาบถ หน่ึง และ ทุก ๆ ส่วนยอ่ ย ควำมรู้สึกสักว่ำอริ ิยำบถ “ไม่มตี ัวก”ู เป็ น “อนจิ จัง” เพรำะเปลยี่ นแปลง เป็น “ทกุ ขงั ” เพราะตอ้ งทน เป็ น “อนัตตา” เพราะบงั คบั ไม่ได้ กำรปฏิบัติวิปัสสนำ ควำมรู้แจ้งใน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ อยู่ทุกข้ันตอนลมหำยใจ เดิน ยืน นั่ง นอน เป็นไปตามธรรมดาตอ้ ง เดิน ยืน นง่ั นอน กิน อาบ ถ่าย พิจารณา นิยามเป็ นกฎบงั คบั ของใครแต่ว่ามนั เป็ นกฎธรรมชาติ นิยามแม่บทบญั ญตั ิ คือ กฎ รู้สึกไม่เท่ียง เปล่ียนแปลงในเวทนามีความรู้สึกอะไรไดบ้ า้ งรู้เถิดวา่ รู้สึกอยา่ งน้นั อยา่ ปลอ่ ยใหผ้ า่ นไปโดยไม่รู้สึก รู้สึกอยู่ ไปตลอดเวลา มีสติ ติดไปกบั อารมณ์ หรือนิมิตที่ปฏิบตั ิ เห็น “สุญญตำ” กาหนดความไม่ ๆ ไม่ใช่ตวั ตน ตวั ตน อยทู่ ุกหนอ สุญญตา วา่ งจากตวั ตนแลว้ มนั อยูส่ ูงสุด หวั ใจเห็น “อนตั ตา” อยู่ตลอดเวลา ประเสริฐสุด ดว้ ยสติสัมปชญั ญะทาได้จึงฝึ กสติสัมปชัญญะพร้อมกนั ไปในตวั กบั ส่ิงท่ีเราตอ้ งการฝึ กส่ิงน้นั ไปพร้อมดว้ ย สติสัมปชญั ญะ ฝึ กไปต้งั แต่ว่าหายใจ เดิน ยืน นง่ั นอน ทุกอิริยาบถ ปฏิบตั ิอานาปานสติท้งั วนั ท้งั คืนตอ้ งมี การเปลี่ยนอิริยาบถ อำนำปำนสติอยู่ในกำมือ มีอานาจ มีอะไร อยเู่ หนืออานาปานสติ ทาไดอ้ ย่างใจจะระงบั กายสังขารเมื่อไรทาได้ จะระงบั จิตสังขารเมื่อไรก็ทาได้ การบงั คบั ปราณ คือบงั คบั ลมหายใจ พระพุทธเจ้ำ ปรับปรุงขึน้ เป็ นระบบอำนำปำนสติใช้สูงสุดในพระพุทธศำสนำ ขาดสติแลว้ ปัญญาไม่ให้ผล เพราะว่าสติ เป็นผใู้ ชป้ ัญญา ควบคมุ ปัญญา ไมม่ ีสติแลว้ ปัญญาไม่ไดท้ าหนา้ ที่ “ปราณ” ลมหายใจเป็นชีวิต มีผลจริงแลว้ รีบศึกษาวิทยาศาสตร์ระบบใหญ่สูงสุดในพระพุทธศาสนา คืออานาปานสติน้ี มีอานิสงส์ บรรลุมรรคผล นิพพาน ความน่าอศั จรรยใ์ นการปฏิบตั ิอานาปานสติไดส้ ติกบั ปราณ เตรียมใหท้ กุ คนในโลกฝึ กอำนำปำนสติ ได้เคร่ืองมือ หรือเคร่ืองคุม้ ป้องกนั หมวด 1 กำยำนุปัสสนำฯ 4 ข้ัน ข้ัน 1) กำหนดลมหำยใจยำว ข้ัน 2)

597 กำหนดลมหำยใจส้ัน ข้นั 3) กำหนดควำมท่ลี มหำยใจ คือกำยลม กบั ร่ำงกำย หรือกำยเนื้อมีควำมสัมพันธ์กนั จึงเกิดมีกำยเป็ น 2 กำย กำยลม กำยเนื้อ เรียกว่ำ กำยท้ังปวง ข้ัน 4) กำหนดกำยลมระงับ แล้วกำยเนื้อระงับ การเตรียมตวั เตรียมร่างกายเหมาะสม ความมีการหายใจคล่อง สถานที่ก็ท่ี ที่ทาได้ พร้อมเหมาะสมเท่าท่ีจะ ทาได้ จะทำได้ทุกสถำนท่ี เพรำะใจกำหนดท่ีอะไรแลว้ ไม่กาหนดส่ิงอ่ืนเลย อย่าเคร่งเครียด ศึกษำคือทำ ควำมรู้กับสิ่งน้ันอย่ำงสมบูรณ์ ช้นั แรกกาหนดให้รู้จกั สิ่งที่เรียกว่าลมหายใจ กาหนดศึกษาให้รู้จกั ว่ำ “ลม หำยใจ” คืออะไรว่าลมหายใจส้ันและหยาบ กาหนดรู้ว่าเม่ือมีการหายใจยาว มนั มีผลมีอิทธิพล ต่อร่างกาย หรือต่อระบบประสาทอยา่ งไร รู้จักธรรมชำติของลมหำยใจ กาหนดใหร้ ู้ใหด้ ีที่สุด เป็นการหมุนเวียนอยา่ งไร แลว้ มีอิทธิพล เป็นผมู้ ีอานาจพอท่ีจะใชล้ มหายใจไล่อารมณ์ร้ายออกไปเรียกอารมณ์ดี ศึกษา หรือ กาหนด การดู กาหนดในภายในของตนเอง ท่ีกำหนดจิต จดลงไปท่ีน่ัน เรียกว่า “กาหนด” “สมำธิ” อำนำปำนสติ หมวดกำยำนุปัสนำ ทำกำยสังขำรให้สงบระงับ ข้นั ที่ 1 กาหนดลมหายใจยาว ข้นั ที่ 2 กาหนดลมหายใจส้ัน ข้นั ที่ 3 รู้จกั กายท้งั ปวง ข้นั ที่ 4 ทากายสังขารให้สงบ รางบั “กายสังขาร” คือ เครื่องปรุงแต่งกาย คือ ลม หายใจ อุปกรณ์แห่งควำมสำเร็จ เรียกว่ำ “พละ” หรือ “อนิ ทรีย์” พละ แปลวา่ ตวั กำลงั อินทรีย์ แปลวา่ ตวั มี อำนำจ สมาธิ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซักซ้อมควำมสำเร็จควำมเป็ นผู้มีอำนำจ กำหนดอำรมณ์อยู่ รู้สึกทุกคร้ังที่หำยใจเข้ำออก วิจารณ์ รู้สึกตอ่ อารมณ์อยู่ ทกุ คร้ังหายใจเขา้ -ออก ปี ติทกุ คร้ังหายใจเขา้ ออก สุข ทุกคร้ังหายใจเขา้ ออก เอกัคคตาทุกคร้ังหายใจเขา้ ออก เป็ นเคร่ืองวดั ว่าสมาธิน้ีถูกตอ้ ง เจริญข้ันท่ี 1 ลม หำยใจเป็ นอย่ำงไร รู้สึกถึงควำมไม่เท่ียงของลมหำยใจ กริยาปรุงแต่งลมหายใจไม่เที่ยงจึงเปลี่ยนแปลงไป ตามความปรุงแต่งของกายสังขารต้องย้อนไปดูทุกข้ัน หมวดที่ 1 2 มาใหม่เพื่อให้เห็นอนิจจัง ในกำย ใน เวทนำ ต้องเจริญสมำธิทำปี ติ สุขให้มีอีก ทาใหเ้ กิดในความรู้สึกในจิตอีก เพื่อดูปัจจยั อะไรไม่เท่ียง ข้ันที่ 2 เวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน กาหนดเวทนา เอาเวทนา เป็นปี ติ สุข มาใชเ้ ป็นอารมณ์การกาหนด มองเห็นได้ เองในควำมรู้สึกปรุงแต่งจติ รู้ได้ว่ำ จติ สังขำรคือ อะไร คือปี ติ และสุข ควบคมุ จิตได้ ลดอานาจจิต เคร่ืองปรุง แต่งจิต จดั การลงไปปี ติ สุข ควบคุมจิต ทำจิตสังขำรให้ระงับอยู่ กำยำนุปัสสนำสติปัฏฐำนสำเร็จผล เป็ น สมาธิถึงขนาดมีสติ ฝึ กมาจะเอาสมาธิเพียงปฐมฌานก็ได้ ไปถึงจตุฌานกไ็ ด้ รวบจิตเป็ นสมำธิไม่มีนิวรณ์ไม่ มีอะไรแย่งเราไปจากสมาธิ เป็นอุปจารสมาธิ สติวิ่งตำมลมหำยใจท่ีเข้ำออกอยู่ เขา้ ออกอย่กู ็วิ่งตามก็แลว้ กนั ลมหายใจเขา้ ออก ๆ ๆ ในระยะเท่าไร ว่ิงตามใหห้ มด ต้งั ตน้ ฝ่ ายหน่ึงที่จมูกท่ีสุดของจมกู จงอยของจมูกดา้ น ใน อีกฝ่ ายหน่ึงท่ี สะดือ เลือกมนโนภาพเป็ นจุดน่ิง เป็นข้นั สมบูรณ์เรียกว่า ฌำน กาหนดเป็นจริงจงั เรียกว่า สมาธิ concentrate ข้นั ที่ 4 ปัสสัมภะยงั กายะสังขารัง ระงับกำยสังขำรอยู่ ลมหายใจกายลมเป็ นเครื่องปรุง แตง่ ของกายเน้ือ แยกกายลมเป็นกายสังขาร เคร่ืองปรุงแตง่ กาย “วิง่ ตำม” มีกำรหำยใจเข้ำ-ออก เข้ำ-ออก ส่ิง ที่จะวิ่งตามคือ “สติ” คือกำรกำหนดตำมวิ่งตำม ติดเรื่อยไป หายใจเขา้ วิ่งตามเขา้ ไป หายใจออก ว่ิงตาม ออกมาขา้ งนอก ที่จงอยจมูก ท่ีลมกระทบ ขา้ งในควำมรู้สึกที่ท้อง ที่สะดือ เปล่ียนเป็ นเฝ้าดู ไอ้ วิ่งตาม จะ เปล่ียนเป็นเฝ้าดู จุดที่เหมาะสมท่ี จงอยจมูก จุดดา้ นนอก กาหนดเรียกว่า “เฝ้ำดู” เฝ้ำดูด้วยสติ เป็นเรื่องทาง จิต กาหนดอยทู่ ี่ลมหายใจ เรียกวา่ มนั จะตอ่ สู้แลว้ จิตมนั จะไม่ยอม มนั ด้ือดึง จะต่อสูม้ นั จะเกิดความปั่นป่ วน

598 ทางระบบประสำท ลมหำยใจเป็ นอย่ำงไรมีผลต่อระบบประสำท และต่อระบบร่ำงกำยสัมพันธ์กันอยู่กำรทำ ให้ระงบั เป็ นเทคนคิ ธรรมชำตกิ ำหนดไว้ “เทคนิค” กาหนดไว้ ส้นั ๆ จาง่าย มีวิธวี ง่ิ ตำมลมไป สตินะ ว่งิ ตำม ลมไป แล้วหยดุ วง่ิ ตำม เฝ้ำดอู ย่ทู ่จี ุดใดจดุ หนง่ึ นี่เรียกวา่ “เฝ้าดู”สร้างมโนภาพข้นึ มา “ว่งิ ตาม เฝ้าดู สร้างมโน ภาพ บงั คบั มโนภาพ” “องค์ฌำน” กำหนดองค์ฌำน กำหนดอยู่ที่อำรมณ์ อารมณ์คือมโนภาพที่เลือกสรรดี แลว้ จิตเป็ นเอกคั คตา มีอารมณ์อนั เดียว กาหนดแน่วแน่อยู่ที่มโนภาพ ความเป็ นสมาธิมนั จะถึงที่สุด ใกล้ ความเป็นฌานเขา้ ไปแลว้ เรียกว่า “อุปจำรสมำธ”ิ องคฌ์ าน ฝึ กวสี ควำมมีอำนำจเหนือ รู้จกั ปรับปรุงเรียกวา่ “อินทรีย”์ อยู่ตลอดเวลา เทคนิคมากแต่ไม่เหลือวิสยั วิ่งตามก็ได้ เฝ้าดูก็ได้ สร้างมโนภาพก็ได้ ควบคุมมโน ภาพก็ได้ กำหนดองค์ฌำณได้ แล้วกซ็ ักซ้อม ถา้ มีความสงบระงบั มากพอสมควร สามารถจะสร้างมโนมภาพ ข้ึนได้ที่จุดน้ันน้อมจิตไปเพื่อเปลี่ยนแปลงมโนภาพบังคบั จิตก็ได้ บังคับความรู้สึกก็ได้ ควำมรู้สึกสุข เปล่ยี นเป็ นอุเบกขำไม่ตอ้ งถามใคร ไม่ตอ้ งอาศยั ตารา ไม่ตอ้ งอาศยั อะไร รู้ด้วยตนเองว่า ความรู้สึกเฉยเฉย ไม่สุข ไม่ทุกข์ แลว้ ก็ควำมมีอำรมณ์เดียวในควำมเป็ นอุเบกขำ เริ่มบงั คบั ลมปฏิกิริยาอะไรออกมา ใช้คาว่า “ไม่รู้ ไม่ช้ี ไม่รู้ ไม่ช้ี ทาต่อไป ทาต่อไป” ข้ันที่ 1 อำนำปำนสติ กาหนดลมหายใจยาว คาจาง่าย ๆ ว่า นั่งเป่ ำ นกหวีดยำว ลกั ษณะอาการหายใจเป็นอยา่ งไร เขา้ และออกอยา่ งไร มีอิทธิพลต่อสิ่งใด ต่อร่างกาย ต่อระบบ ประสาท ต่อความคิดนึก ตอ่ ความรู้สึก ตอ่ อารมณ์เลวร้ายที่กาลงั มีอยู่ อำนำปำนสติข้ันท่ี 1 ลมหำยใจยำว รู้ ๆ จกั อิทธิพลลงท่ีเน้ือหนงั ร่างกายระบบประสาทอยา่ งไร ทาความระงบั แก่ร่างกายไดล้ ึก ไดล้ ึก ไดล้ ะเอียด ถา้ ลมหายใจน้ันละเอียดประณีตดว้ ย ย่ิงละเอียด ย่ิงยาว มนั ย่ิงทาให้ละเอียด เราจะบงั คบั ระบบประสาทหรือ ร่างกายไดด้ ว้ ยการหายใจ “ทำควำมรู้สึก” บังคับจำกควำมรู้สึก ทาความรู้สึกต่อลมหายใจ ตอ้ งการความ อดทนสติสัมปชัญญะประคับประคองให้ดี ลมหำยใจเป็ นวัตถุ เป็ น Concrete ทาให้เป็ น Imagination ความรู้สึกว่าทาไดจ้ ะตอ้ งใชใ้ นโอกาสขา้ งหนา้ เพ่ือเป็ นปี ติปราโมทย์ ข้ันที่ 2 เป่ ำนกหวีดส้ัน ๆ หรือหำยใจ ส้ันกว่ำธรรมดำ รู้ไว้ ลมหายใจส้ันมี อารมณ์ไม่ดี กาหนดลมหายใจส้ัน เพื่อให้รู้ว่า อารมณ์ปรกติหรือไม่ ปรกติ ข้นั ที่ 3 ตวั บท ว่ำ ลมหำยใจท้งั ปวง กำยเนื้อ อยา่ งหน่ึง กายลม อยา่ งหน่ึง ลกั ษณะเป็นหมู่ หายใจยาว มนั มีอิทธิพลแก่ร่ำงกำย แก่ระบบประสำท หรือกำยเนื้ออย่ำงไร กายลมกบั กายเน้ือสัมพนั ธ์กนั ทากายเน้ือ หนงั ใหส้ งบไดด้ ว้ ยการบงั คบั การหายใจ เรียกวา่ ลมหายใจ น้ีมนั บงั คบั ร่างกาย กายเน้ือ ข้ันที่ 4 ว่งิ ตำม เฝ้ำดู สร้ำงมโนภำพ บังคับมโนภำพ ติดตามอยา่ งกดั ไม่ปล่อย หมายความวา่ สติกาหนดอยทู่ ่ีลมหายใจ ปรับปรุง ลมหายใจท่ีพอใจแลว้ คือมีความยาวเหมาะสม สร้ำงมโนภำพเหมือนกับนิมิต ติดตา ทาอานาปานสติ ไดเ้ ปรียบ คือลมหำยใจที่หำยใจอยู่เสมอ ละเอยี ด อำรมณ์ท่ีมันละเอยี ด ลมหายใจ กาหนดที่ลมกระทบมาก เขา้ ๆ ๆ นอ้ มจิตนึกไปเพ่ือจะเกิดความรู้สึกอะไรข้ึนมา ช้นั สร้างมโนภาพ ว่า จิตมนั ก่ึงสานึก สูดลมหายใจ ใหแ้ รง วงิ่ ตามไดง้ า่ ยลกั ษณะหน่ึงเหมือนกบั ทาเล่น คอื ไม่เครียด“เฝ้ำดู” เฝ้าดู หาจุดที่เหมาะที่ลมมนั กระทบ กาหนดไดง้ ่าย กล้นั ลม เป็นจุดที่ให้ความรู้สึก หำจุดท่ีลมมันกระทบ ทาดู ตอ้ งฝึ กกันซ้ำ ๆ ซำก ๆ กวา่ จะทา ไดด้ ี จะมีผลดี ตอ้ งละเอียดประณีต เม่ือพบวา่ จุดไหนเป็นจุดที่กระทบ เรา ระดมไอค้ วามสังเกตความรู้สึก ลง ไปท่ีนั่นให้หมดเลย ข้นั ท่ี 4 เปล่ียนมโนภำพ น้อมจิตไปอย่ำงไร บงั คบั มโนภาพจริง แต่ท่ีแทม้ นั คือ การ

599 บงั คบั จิตพร้อมกนั ไปในตวั สมควรแก่การงาน “องค์ฌำน” ไดข้ ณะ กาหนดความนิ่งอยู่ทุกลมหายใจเขา้ ออก พร้อมจะรู้สึกวา่ วิตก คือกาหนดอารมณ์ วิจาร คือซึมซาบต่ออารมณ์ ปี ติคือพอใจท่ีทาได้ สุขคือสบาย ๆ อยา่ งไม่เคยพบมาเอกคั คตา วา่ จิตมีอารมณ์เดียว 2) ปัญหำต่ำง ๆ เกดิ มำจำกเวทนำ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ คอื สุขเวทนา ท่ีต้งั ความยดึ มน่ั ถือมน่ั เพราะวา่ หลงในเวทนา มูลอยทู่ ่ีเวทนา ตอ้ งการคือสุขเวทนา เอำเวทนำเป็ นอำรมณ์ กำหนดจิตหยุดอยู่ท่ีน่ัน เรียกว่ำ เพ่งสมถะ เวทนา เอาเวทนามาเพง่ เป็นอารมณ์ เพ่งเพยี งวา่ รู้สึกวา่ เป็นอยา่ งไร เวทนาเป็นอยา่ งไร เอาเวทนา เป็นอารมณ์ กำหนดจิตหยุดอยู่ท่ีนน่ั เรียกวา่ เพ่งสมถะ เพ่งว่า เจ็บหนอ ๆ ลึกเขา้ ไปท่ีเจ็บ เดี๋ยวจะหายเจ็บ ตอ้ งรวมสติใหด้ ี ให้นิ่งใหด้ ีแลว้ อำวุธ คือปัญญำ ไม่ใหม้ าปรุงแต่งหลอกลวง คือ เอำอนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ ใส่เข้ำไปท่ีเวทนำ ให้หมดฤทธ์ิ “ปี ติ” คือ ความพอใจท่ีกาลงั ตื่นเตน้ กาลงั เดือด ความทาไดส้ าเร็จ และพอใจ เป็นปี ติพอสงบระงบั ลงกเ็ ป็นความสุข สัมผัสกบั ระบบประสำทอย่ำงไร มีอาการทาใหเ้ ป็นอย่างไร อิทธิพล อยา่ งไร แก่ความรู้สึก แก่ร่างกาย ไม่เป็นบวกเป็นลบอะไรนง่ั ฝึกด่ืมปี ติ สามารถมีปี ติ มีความสุขได้ ในทุก ๆ อิริยาบถ ผลปี ติ ผลอปั นาสมาธิ ยงั อยู่ เป็นสุข ติดไป รู้สึกเป็นธรรมอนั เดียวกนั กบั ความสุข รู้พร้อมปี ติ ต้อง เอำปี ติตัวจริงมำอยู่ในควำมรู้สึกจะตอ้ งเป็ นปี ติที่กาลงั รู้สึกอยู่ในใจ รู้สึกอยู่ในใจ อาบน้าปี ติ ให้ปี ติรู้สึก ซาบซ่านทวั่ ถึง รู้พร้อมเฉพำะซ่ึงความสุข เดินไปยงั สุข อาบน้าความสุขอยู่ ไปนงั่ ไปเดิน ไปยนื ไปนอน ท่ี ตรงไหน ความสุขอยู่ ไดส้ มาธิแทจ้ ริง ถึงท่ีสุดแลว้ โลกข้ำงนอกกบั โลกข้ำงใน จะเป็ นต้นตอของส่ิงทีเ่ รียกว่ำ เวทนำ ตากระทบกบั รูป เม่ือรูปกระทบกบั ตา จะเกิด จกั ษุวิญญาณ ข้ึน คือ วิญญาณทางตา เกิดข้ึน การ ประจวบกนั คือ ตา รูป กบั จกั ขุวิญญาณ กำรประจวบกัน 3 อย่ำงเรียกว่ำ “ผัสสะ” โลกขา้ งนอกมีอะไร สรุปอยู่ 6 คาเวา่ เป็นส่ิงที่เห็นดว้ ยตา สิ่งท่ีดมไดด้ ว้ ยจมกู ท่ีไดย้ นิ ไดฟ้ ังทางหู ดมไดท้ างจมูก แลว้ รู้รสไดด้ ว้ ย ลิ้น หรือรู้ไดด้ ว้ ยสัมผสั ผิวหนงั ทวั่ ท้งั ตวั หรือวา่ รู้ไดด้ ว้ ยใจคิดนึกเพ่ือเกิดสิ่งๆ เดียว คือ เวทนา เป็นสุขบา้ ง เป็นทุกขบ์ า้ ง เป็น อทุกขมสุข บา้ ง ต้องมี เวทนำ รู้จกั สิ่งท่ีเรียกว่ำ เวทนำ มำจำกกำรกระทบ อำยตนะ ตอ้ งรู้ ไปถึงสิ่งที่เรียกว่า“อำยตนะ” อำยตนะข้ำงใน เรียกว่ำ โลกข้ำงใน อำยตนะข้ำงนอก เรียกว่ำ โลกข้ำงนอก อายตนะขา้ งใน เรียกวา่ โลกขา้ งใน คือ ความรู้สึกทางตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ โลกขา้ งนอก คอื รูป เสียง กลิ่น รส สัมผสั ธรรมารมณ์ น้ี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ ผัสสะทำงจิตทำงวิญญำณ ตอ้ งมีเวทนา เวทนาพอใจเรียกว่า สุขเวทนำ เวทนาไม่พอใจ เรียกว่า ทุกขเวทนำ เป็ นกลางๆ เรียกว่า อทุกขมสุขเวทนำ เป็นตวั อะไรทุกอยา่ งทาให้เกิดความทุกข์ พอถูกยดึ มนั่ จะเกิดรู้สึกเป็นทุกขท์ นั ที รู้ให้ลึกไปจนถึงว่ำ เวทนำ มำจำกอำยตนะข้ำงนอก อำยตนะข้ำงในกระทบกัน เกิดวิญญำณ เป็ นผัสสะ เป็ น เวทนา อย่าท่องจาไม่มี ประโยชน์ ตอ้ งไปมองเห็น ไปรวมจุดสำคัญอยู่ตรงท่ีส่ิงที่เรียกว่ำ “เวทนำ” กิเลสเกิดมาจาก เวทนา ต้งั ตน้ มาจาก เวทนา ที่ตนรัก หรือเกลียด หรือท่ีตนชอบอะไร เวทนา เป็ นตวั เหตุตวั การ มี ผัสสะ แล้วมี เวทนำ อย่างใดอย่างหน่ึงแล้ว เกิด ตัณหำ คือ ควำมอยำกชนิดใดชนิดหน่ึง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เหมาะสมกบั เวทนา ทาให้เกิด ตณั หา มีรู้สึกอยากแลว้ จะมี อุปาทาน คือ ตวั กู น้ีเป็นผูอ้ ยากผูต้ อ้ งการ ตณั หา ทาใหเ้ กิด อุปาทาน อุปาทาน ให้เกิด ภพ คือ “ตวั กู” ตัวทุกข์ คือ ควำมรู้สึกที่เกิดขึน้ ในควำมรู้สึกเพราะถูก

600 ยึดถือวา่ เป็นของเรา เรียกว่า เวทนา อยา่ งถูกตอ้ งตามตวั จริง คือ มีตัวจริงมำดู ทุกอย่ำงต้องต้ังต้นจำกเวทนำ ต้องมีต้นตออยู่ท่ี เวทนำ ถา้ ยึดถือว่า เราเจ็บ ของเราเจ็บ รู้สึกว่า เราเจ็บของเรา ความเจ็บ ของเราจะเจ็บ เพิ่มข้ึนอีกส่วนหน่ึง ความต่างกนั ระหว่างไอค้ วามเจ็บที่ถูกยดึ ถือกบั ความเจ็บท่ีไม่ถูกยดึ ถือ ความเจ็บที่ถูก ยึดถือ คือ ส่ิงท่ีเรียกวา่ ควำมทุกข์ ใน อริยสัจ 4 ของพระพุทธเจา้ อริยสัจ ข้อ 1 ว่ำ เรื่องควำมทุกข์ ตอ้ งเอา ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนสั อุปายาส อย่างใดอย่างหน่ึงที่ กาลงั เกิด อย่จู ริง กาลงั ยดึ ถืออยวู่ า่ เป็นทุกขข์ องเรา กาลงั เกิดอยู่จริง กาลงั ยดึ ถืออยวู่ า่ เป็ นทุกข์ ผัสสะเกิด จะต้องเกิด ควำมรู้สึกขึ้นมำ ว่าพอใจหรือว่าไม่พอใจหรือเฉยๆ วิญญาณ มีหน้าที่รู้ เห็นรูปร่าง สัญญำบอกให้ได้ ควำมหมำยของมันคืออะไร โดยอาศยั “สัญญา” เป็นเคร่ืองช่วย ต้องมีควำมคิด เรียกว่ำ สังขำร คิดดี คิดชวั่ คิดไมด่ ี หมวดเวทนำ ข้นั ท่ี 1 ปี ติสังเวที รู้พร้อมเฉพำะซึ่งปี ติ ศึกษาตวั ปี ติ มีลกั ษณะอยา่ งไร ต้องเอำตัวปี ติ จริง ๆ มำกำหนดอยู่ในใจ ทาความรู้สึกว่ามีอาการมีอิทธิพลปรุงแต่งจิตอย่างไรน้ัน ปรุงแต่จิตปรุงแต่ง ความคิดนึกอยา่ งไร บงั คบั การเกิดการดบั ของปี ติได้ตามตอ้ งการ ข้นั ท่ี สอง สุขะปะฏิสังเวที จะเอาเปรียบ ความสุขเป็ นสิ่งท่ีมีประโยชน์ความตอ้ งการ หาวิธีกาจดั โดยควบคุมการปฏิบตั ิข้นั ท่ี 4 ข้นั ท่ี 1 รู้จกั ปี ติให้ ครบถว้ น ข้นั ที่สอง รู้จกั ความสุข ข้นั ที่สาม ปรุงแต่งจิต หาอานาจควบคุมสิ่งที่สองอยู่ในอานาจของเรา อริยสัจ 4 จะรู้จักได้จริง ศึกษำมันได้จริงก็เฉพำะเม่ือยังมีเวทนำอยู่ ตวั ทุกข์ กบั เหตุให้เกิดทุกข์ ความดบั ทุกข์ กบั วธิ ีท่ีจะใหไ้ ดม้ าซ่ึงความดบั ทกุ ข์ บัญญัติ อริยสัจ 4 สำหรับบคุ คลมีเวทนำ ตวั ทุกขเ์ ป็น เวทนา และ มีตัวเวทนำดูว่ำเป็ นอย่ำงไร? ดูดว้ ยใจวา่ เป็นอยา่ งไร? แลว้ มาจาก? เห็นชดั ไมต่ อ้ งเช่ือตามคนอ่ืน ไมต่ อ้ งเชื่อ ครูบาอาจารย์ ไม่ตอ้ งเช่ือหนงั สือตารา เพราะมองเห็นไดด้ ว้ ยตนเองว่าความทุกขเ์ ป็นอยา่ งน้ี เหตุใหเ้ กิดทุกข์ เป็นอยา่ งน้ี ทุกขไ์ ม่มีเป็นอย่างน้ี ทางให้ถึงความไม่มีทุกขม์ นั เป็นอยา่ งน้ี จิตไม่ยึดถือในเวทนำ ที่ไดเ้ กิดข้ึน ตามเหตุน้นั ๆ จะไม่เกิด เวทนา ตอ้ งเป็นไปตามเหตุตามปัจจยั อปุ ำทำนยดึ มั่นถือมัน่ วา่ เราวา่ ของเรา เป็น ตวั ทุกข์ ดูใหด้ ี ขนั ธ์ เฉยๆ ไม่เป็นทุกข์ ตอ้ ง อุปาทานขนั ธ์ คือ ขนั ธ์ท่ีกาลงั ยดึ ถือวา่ เรา ว่า ของเรา จะเป็นทุกข์ ทำงถึงควำมดับทุกข์เป็ นเร่ืองควบคุมเวทนำท้ังน้ัน องคม์ รรคท้งั 8 องค์น้ีเป็ นกฎแบบหรือการปฏิบตั ิที่จะ ควบคุม เวทนา ดบั อานาจเวทนา เป็ นความรู้สึกจากความปรุงแต่งในจิตใจเป็ นอยา่ งน้ัน อย่างน้ัน แลว้ ก็ไม่ ยินดียินร้ำย แล้วก็เป็ นธรรมดำ ความรู้สึกของคน ทาให้เกิดความสาคญั มนั่ หมาย คนธรรมดาสามญั รู้จกั เพียง 3 ประเภท 1)รู้สึกวา่ กขู าดทุน 2) รู้สึกวา่ กเู สมอตวั 3) กไู ดก้ าไร ความรู้แทงตลอด 3 อยา่ งโง่ๆ ทะลุเขา้ ไป ให้เกิด เวทนา เป็น ทุกขเวทนา รู้สึกว่าไดก้ าไรสบายดีใจสุขเวทนา เสมอตวั เป็นความรู้สึกโมหะ มนั โง่ ไปตามเวทนา น้นั ๆ เหตุ เวทนำให้เกิดอะไร เกิดควำมคิดควำมเห็น เห็นผิดถูก ทิฏฐิต่ำงๆ ทุกชนิดเกิดมา จากเวทนา “ทิฏฐิ” ที่เป็น มิจฉาทิฏฐิ ที่เป็น สัมมาทิฏฐิ อาศยั เวทนา จึงเกิดข้ึนได้ สิ่งท่ีเรียกว่า ทิฏฐิ แปลวา่ ความเห็น ควำมเห็นเป็ นสังขำร คือ มีปัจจัยปรุงแต่ง ผลของการท่ีเสวย เวทนา มากเขา้ มากเขา้ มากเขา้ มนั จะปรุงข้นึ เป็นความคิดความเห็น ควำมหมำยของ “นวิ รณ์” คอื กลมุ้ รุมจิต ห่อหุม้ จิต เป็นเครื่องก้นั บงั จิตไว้ จิตส่องแสงสว่างตามธรรมชาติของจิตไม่ได้ คือ จิตประภสั สร จะมีแสงสว่างตามธรรมชาติของจิตไม่ได้ “ผสั สะ” คือ สิ่งท่ีทำให้เกิด เวทนำ มี ผสั สะ แลว้ ตอ้ งมี เวทนา ชื่อวา่ สัมผสั สะชาเวทนา เวทนาท่ีเกิดมาจาก

601 สัมผสั สมั ผสั ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ คือ ไปสมั ผสั ที่อารมณ์อะไรเขา้ อวิชชำ มี นวิ รณ์ เป็ นอำหำร นิวรณ์ มำจำก เวทนำ ฉะน้นั เวทนาเป็ นตวั ให้เกิดอวิชชา อริยสัจ 4 บัญญัติไว้สำหรับสัตว์ผู้มี เวทนำอยู่ คือ อริยสัจมเี วทนำ ทีเ่ ป็ นทกุ ข์อยู่ คือ ทกุ ขอริยสัจ สมั มาทิฏฐิ ทิฏฐิ ความเห็นท่ีถกู ตอ้ งที่เป็ นที่จะ พ่ึงไดม้ าจาก เวทนา แต่มาในทางที่ถูกตอ้ ง เวทนำทำให้โง่หรือฉลำด เดินถูกทางเป็ น สัมมาทิฏฐิ ว่ามนั ไป ตามเหตุ มนั ไปตามปัจจยั โดยเฉพาะของมนั ความทุกข์น้ีจึงเกิดข้ึน กิเลส ความรู้สึก ทิฏฐิ ความคิดมาจาก เวทนา กิเลสท่ีเป็นตน้ บทแม่บทท้งั หมดชื่อวา่ อวิชชำ มำจำก เวทนำ อยา่ งไร อวิชชา มี นิวรณ์ เป็นอาหาร กามฉนั ทะ พยาบาท ถินมิทะ อทุ ธจั จกกุ กุจจะ วิจิกิจฉา 5 อยา่ ง “จิต” คือ ร่ำงกำย คือ ตำ หู จมูก ลนิ้ กำย คือ รูป เสียง กล่ิน รส สัมผัส มำกระทบกันเข้ำเกิดควำมรู้สึกเป็ น วิญญำณ เกิด ผัสสะ เกิด เวทนำ เกิดควำมโง่ ยึดถือใน เวทนำ เป็ น อุปำทำน เป็ น ตัณหำ เป็ น อุปำทำน เป็ น ทุกข์ ความทุกขเ์ กิดข้นึ ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งมีเรา ไม่ ตอ้ งมีตวั ผทู้ ุกข์ เป็นผสู้ ร้างความทกุ ข์ หรือผทู้ าทุกข์ 3) คาวา่ “สมาธิ” ความบริสุทธ์ิจิตในควำมต้งั ม่ันจติ ในขณะน้นั ผลสมถะพิจำรณำปัญญำ วิปัสสนำ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ สรุปเหลือ “อนตั ตา” ผล คือบรรลุมรรคผลนิพพานข้ึนมาดบั ลงไปแห่งความยึด มนั่ ถือมนั่ “เพ่ง” คือ ฌำนกำหนดอำรมณ์เป็ นสมถะ ถา้ เพ่งอารมณ์ เพ่งใหจ้ ิตหยดุ อยู่ เพ่งลกั ษณะให้รู้ความ จริง เป็ นปัญญำหรือวิปัสสนำ อยู่ 2 เพ่ง เพ่งกำยให้จิตหยุดอยู่ เป็ นสมถะ เพ่งกำยให้รู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ เป็ นปัญญำ จิตเพ่งต่อไปวา่ จิตเป็นสังขารธาตุ วิญญาณธาตุ ประกอบ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา เอาอนิจจงั ทุก ขงั อนตั ตา ใส่เขา้ ไปท่ีจิตไม่ใหเ้ ป็นตวั ตนไม่ให้เป็ นตวั กูของกู เป็นปัญญำเป็ นวิปัสสนำ พิจำรณำจิต ทาจิต ใหต้ ้งั มน่ั คือมีสมาธิ ประกอบไปดว้ ยธรรม เป็นสมั มาสมาธิ เป็นไปเพอื่ วเิ วก อาศยั วเิ วก อาศยั นิโรธ คือความ ดบั ทุกข์ นอ้ มไปเพ่ือสลดั ไอส้ ่ิงยดึ มนั่ ถือมนั่ ท้งั ปวง สมาธิท่ีเป็นไปเพ่อื นิพพาน รู้จกั จิตชนิดท่ีรู้ไดเ้ ทา่ ไร รู้วา่ จดั การอยา่ งไร โดยสมมติ จิตทา จิตคิดนึก รู้สึกอะไรได้ ภาษาสมมุติ ไปยืนยนั ในความไม่มีเรา จิตทาจิต ถา้ จิตไม่ปราโมทยบ์ นั เทิง จิตต้องทำอย่ำงไรให้ปรำโมทย์บันเทิง จิตคิดนึกทาความรู้สึกไปในลกั ษณะที่ทาให้ จิตน้ีปราโมทยห์ รือบนั เทิง อย่างน้อยที่สุด สติระลึกถึงในคุณธรรม กุศลธรรมปี ติได้ แลว้ พอใจตวั เอง ๆ เปล่ียนอารมณ์ร้าย ๆ ใหห้ มดไปเป็นอารมณ์พอใจเขา้ มาได้ ฝึกไวค้ ลอ่ งแคลว่ มากในการท่ีอาบน้าปี ติ น้าแห่ง ความสุขเมื่อไรก็ได้ มีความบนั เทิง พอใจตวั เอง ใหม้ ีนิพพานในตวั เองชวั่ ขณะๆ มีจิตปรำโมทย์พอใจ ไม่มี จิตทที่ ุกข์ทนหม่นไหม้ พอใจในตัวเอง มคี วำมรู้สึก ปิ ติปรำโมทย์บนั เทงิ เม่ือไรก็ได้ พอลงมือทาอะไร คิดนึก อะไร ทาอะไร ตามทาปี ติปราโมทยบ์ นั เทิงเสียก่อนแลว้ จึงค่อยทา เปล้ืองจิตจากนิวรณ์ได้ เปล้ืองนิวรณ์จาก จิตได้ เปล้ืองจิตออกไปเสียจากสิ่งที่กลุม้ รุมจิต ผกู พนั จิต เกดิ ควำมรู้สึกเรียกว่ำ อุเบกขำ ๆ ปลดปล่อยอำรมณ์ ไม่ให้เข้ำมำผูกพนั จิต หรือเปล้ืองจิตออกเสียจากอารมณ์ที่เขา้ มาผูกพนั จิตไปเกาะกบั อารมณ์อะไร นิวรณ์ อะไร ปลอ่ ยอยา่ งไร ฝึกกนั กำมฉันทะพอใจในกำมออกไปได้อย่ำงไร พยาบาทอาฆาตข่นุ เคืองขดั แคน้ ปลอ่ ย ไปไดอ้ ย่างไร ถีนะมิทธะความมึนชาแห่งจิต ความหมดกาลงั แห่งจิตปล่อยไปไดอ้ ย่างไร อุทธจั กุกกุจ ความ ฟุ้งๆๆความมีกาลงั มากเกินไป ปลดปล่อยไปเสียไดอ้ ย่างไร ในท่ีสุดวิจิกิจฉา ความลงั เล ลงั เล ต้องฝึ กให้ทำ จิตให้ต้ังม่ัน คือทาให้เป็ นสมาธิ ที่ไหน เมื่อไร เท่าไร อย่างไร ทาได้ตามที่ตอ้ งการ ทำจิตให้ปล่อย คาว่า

602 “ปล่อย” หมายถึง อิสระ ทาจิตใหป้ ล่อย ความกาหนัดยินดีดว้ ยความเพลิดเพลินพอใจในส่ิงน้นั ๆ จากความ ผูกพนั จงละนันทิราคะในสิ่งน้ัน การที่บรรลุธรรมะสูงสุดทางจิต การบรรลุมรรคผลนิพพาน ตอ้ งการ ปราโมทยม์ าก่อน “สมำธิภำวนำ” กำรทำควำมเจริญจิตใจด้วยอำนำจสมำธิ เอกคตาจิตมีนิพานเป็นอารมณ์ มีนิโรธแห่งความดบั เป็ นจุดหมาย ได้ เอกคตา มีนิพพานเป็ นอารมณ์ เรียกว่า สมาธิภาวนา คลุมหมด ท้งั สมถะวิปัสสนา สมาธิ เรียกวา่ สมำธิภำวนำหรือจิตภำวนำ ตอ้ งมีอะไรปราโมทย์ พอใจ มีปี ติ มีความสุขแลว้ สิ่งต่างๆ ระงับลงไม่ฟุ้งซ่าน เรียกว่า ปัสสัทธิ รวมได้ลงเข้ารูปเข้ารอย เป็ นสมาธิ มีอุเบกขำคือควำม ควบคุมดูแลให้ เป็ นไปตำมที่ต้องกำร ควบคุมอย่โู ดยอตั โนมัติ คืออเุ บกขำ ในการดาเนินชีวิตเป็นอยู่ หรือทา การงานใด ๆ สมาหิโต ต้งั มน่ั ต้ังม่ันแน่วแน่ คือรวมกำลังจิต ซ่ึงมีลกั ษณะซ่านออกไปรอบตวั มาเป็ นจุด กลางจุดเดียว เป็นเอกคั คตา องคป์ ระกอบ 3 อยา่ ง คือ ปริสุทโธ สมาหิโต กรรมะนีโย ฝึ กได้ จิตตสังขำรคือ เคร่ืองปรุงแต่งจิต เป็ นควำมรู้สึกคิดนึก เป็ นไปตำมเวทนำ อย่ำงไร ความรู้สึกคิดนึกจะไต่เตา้ ไปตามเวทนา เวทนาวา่ เป็นจิตตสงั ขาร เป็ นเวทนำเป็ นเหตุให้เกดิ ควำมคิดไปตำมเวทนำ เวทนา สุขก็ดี ทกุ ขก์ ด็ ี อทกุ ขมสุข ก็ดี ทาใหเ้ กิดความคิดพลุง่ ข้ึนมา เรียกวา่ “จิตตสังขาร” เวทนำทำให้ ปรุงควำมคดิ อย่ำงรุนแรง ต้องไปดเู อำท่ี ควำมรู้สึก ท้ังหมดรวมอยู่ที่เวทนำ เอำชนะเวทนำได้อย่ำงเดียว ก็ชนะโลกท้ังโลก ผสั สะให้เกิดเวทนา ปรุง แต่งจิตอย่างย่งิ แลว้ จิตก็ดาเนินไปตาม เวทนำ ได้แก่ปี ติ และ สุข เป็ นอำรมณ์แทนลมหำยใจ กาหนดด่ิงแน่ว แน่ท่ีปี ติ สุขอนั เกิดข้ึน ความเป็นอนั เดียวกนั จนรู้จกั เขา้ ใจ ศิลปะจิตใจยำกท่ีสุด ทำให้จิตตสังขำรระงับลงๆ ถา้ ใครทาไดบ้ งั คบั ความคดิ ไดก้ ็เปลี่ยน ปรับปรุงความคิดเป็นไปทางที่ดี ที่ถกู ท่ีควร ไม่มีปัญหา ก็ไมม่ ีความ ทุกข์ ทำจิตตสังขำรให้ระงบั อำนำจหรืออิทธพิ ลของเวทนำ จิตตสังขารคือปรุงจิต ทาใหม้ นั หยุดปรุง ทาดว้ ย การบงั คบั จิต ปรับปรุงจิต ตกแต่งจิต ปรับปรุงจิต ฝึ กกำรบังคับจิตตสังขำรนี้ให้สงบระงับ จิตเป็ นสมาธิมี คุณสมบตั ิความท่ีจิตบริสุทธ์ิต้งั มนั่ จิตกำหนดลักษณะจิตเป็ นอย่ำงไรเอำจิตเป็ นอำรมณ์ รู้กาหนดจิต คือสติ ไปที่นนั่ เป็นสมถะ เร่ิมแรกด้วยกำรพิจำรณำให้จิตสงบก่อนใช้กำยอย่ำงเดียว เป็ นอำรมณ์ได้ท้ังสมถะและ วิปัสสนำ ดูความเป็นปฏิกูล เอากายคือลมหายใจมา กาหนดพิจารณาเพียงให้จิตจิตอยูท่ ่ีนน่ั เป็นสมถะหรือ สมาธิข้ึนมา จิตดวงเดียวรู้สึกทีละอย่ำงกจ็ ริง แต่มันไวมำก จนสลบั กนั ไดอ้ ยา่ งไม่รู้สึกการมีสติสัมปชญั ญะ เป็ นนายเหนือกิเลส เหนือนิวรณ์ สมำธิกำจัดนิวรณ์ไปในตวั หายใจอย่าง กายสิทธ์ิ ศกั ด์ิสิทธ์ิมีสมาธิจริง หายใจตอ้ งมี สังเกตเห็นได้เองและจับหลกั ได้เอง สมถะพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เพ่ือจิตหยดุ สงบอยทู่ ี่ นนั่ ในส่ิงน้นั การกาหนดสติในช้นั ปัญญาหรือ วิปัสสนาการกาหนดสติในช้นั ปัญญาหรือวิปัสสนารูดกราว เดียวหมดไปดว้ ยเร่ืองอนตั ตา หมวดจิตตำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน จิตอยู่ในกำมือ ในอำนำจ จิตเป็ นอยู่อย่ำงไร กาหนดใหเ้ บิกบาน ร่าเริง และทาใหม้ นั ต้งั มน่ั วธิ ีทาจิตสังขารใหร้ ะงบั อยู่ ใหอ้ ารมณ์ออกไปจากจิต เป็นผมู้ ี อานาจเหนือจิต จิตตำนุปัสสนำบังคับจิตได้ตำมต้องกำร บงั คบั จิตรวมกาลงั สัจจะ ความจริงธรรมชาติของ จริงคอื ของท่ีจะเกิดข้ึนในจิตได้ เอาสังขารจริง ๆ มาดู จติ สังขำร ว่ำ ปี ติ สุข ปรุงแต่งจิต จติ จะเที่ยงได้อย่ำงไร ถกู ปรุงแตง่ มา ปรุงแตง่ ไปตามสังขารของจิตคือ เวทนา เห็นจิตไมท่ ี่ยงเป็นของมายา อยใู่ นลกั ษณะเห็นความ ไม่เท่ียงเบื่อหน่ายคลายกาหนัด ข้ันท่ี 3 จิตตะสังขำระ ปะฏิสังเวที รู้พร้อมเฉพาะเคร่ืองปรุงแต่งจิต เรียกว่า

603 จิตสังขาร รู้จกั การที่ปี ติและสุขปรุงแต่งจิตอย่างไร ปี ติปรุงแต่งจิตอย่างไร สมำธิภำวนำ แปลว่า ทาจิตให้ เจริญโดยวิธีของสมาธิก็ได้ ทาจิตให้ปล่อยจากอารมณ์ บงั คบั จิตสังขารใหร้ ะงบั ได้ เวทนำนุปัสสนำ ทาปี ติ และสุข อนั ลุกโพรงให้ระงบั เป็ นจิต จิตสังขารระงบั โดยระงบั กายสังขาร จิตสังขารทาให้ต้งั มนั่ เพียงแต่ ยอ้ นกลบั ไปการปฏิบตั ิเบ้ืองตน้ เอาจิตไปต้งั มน่ั ไดด้ ีท่ีสุด จิตกาหนดอารมณ์แลว้ ก็เป็นสมาธิ ควำมต้งั จติ จติ ท่ีมีรวมเป็ นจุดเดียว มุ่งแต่ควำมสงบเย็นของจิตเป็ นอำรมณ์ จิตเย็น มีความมุ่งหมายนิพพาน คือ ความเยน็ ความสงบเย็นแห่งชีวิต คือ นิพพาน ทำจิตให้ต้ังมั่น สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ หายใจเขา้ หายใจออก บริสุทธ์ิ ต้งั มนั่ ไม่มีอะไรรบกวน จิตพร้อมทาหนา้ ท่ี น้อมจิตเป็ นสมำธิประกอบ 3 อย่ำง 1.บริสุทธ์ิ 2.ต้ังมั่น รวมกำลงั เป็ นปึ กเดียว 3.พร้อมจะทำหน้ำท่ี ถา้ มาถึงข้นั น้ี ปริสุทโธ สมาหิโต กัมมนีโย สิ่งท่ีกาหนดรู้ไวเ้ ป็ น หลกั สาหรับโลภะ โทสะ โมหะ เป็นการบรรลุธรรม เรียกวา่ ทางธรรมะเป็ นเทคนิคทำงธรรม ทำงจติ ช้ันสูง ควำมบนั เทิงแห่งจติ เป็ นส่ิงท่ตี ้องกำร ขบั ไล่ควำมหดหู่ออกไป ใหม้ ีสติสมั ปชญั ญะอย่ทู ่ีถกู ตอ้ งพอใจ ข้นั ที่ 1 กำหนดจิตเป็ นอย่ำงไร มีหลกั เกณฑใ์ หก้ าหนดวา่ จิต มีโลภะ หรือปราศจากโลภะ อยา่ งไร จิตมีโทสะ หรือ ปราศจากโทสะ จิตมีโมหะ หรือปราศจากโมหะ จิตฟุ้งซ่านหรือสงบ จิตประกอบด้วยคุณอนั ใหญ่หลวง หรือไมป่ ระกอบดว้ ยคุณใหญ่หลวง จิตมีจิตอื่นยง่ิ กวา่ หรือไม่มีจิตอื่นยง่ิ กล่าว จิตต้งั มนั่ หรือจิตไม่ต้งั มนั่ จิต หลุดพน้ จากอารมณ์หรือไม่หลุดพน้ เป็น 8 ลกั ษณะเป็นผูร้ ู้จิตดี รู้จกั ดีในส่ิงท่ีเรียกวา่ จิตอย่างครบถว้ นเป็ น อะไรไดก้ ่ีอยา่ ง มีลกั ษณะอยา่ งไร กำรฝึ กฝนจติ ทำจิตให้ปรำโมทย์บันเทิงเป็ นปัจจัยแต่สมำธิทีส่ ูงขึน้ ไป เป็ น วิปัสสนำ เป็ นปัญญำ จิตเป็ นสุขมหี วังเกดิ สมำธิ ยถำภูตญำณทัสสนะ จิตตปฏิสังเวที เป็นผรู้ ู้พร้อมเฉพาะจิต ท้งั ปวง สรุปได้ 8 คู่ จิตต่าท่ีสุด จิตสูงสุด หลุดพน้ เป็นจิตที่สัมผสั ต่อพระนิพพาน เป็นผรู้ อบรู้จิตดว้ ยอาการ ต่างๆ จิตเป็ นสมำธิเป็ นปัจจัย แก่กำรบรรลุมรรคผลนิพพำน คือ วิปัสสนำญำณ อาการกระทาจิตให้บนั เทิง ให้จิตมีความปราโมทย์ บงั เทิง หายใจเขา้ ก็ปราโมทยบ์ นั เทิง ปฏิบตั ิอยู่ตามหลกั เกณฑว์ ิธีการปฏิบตั ิ เกิดปี ตี ปราโมทย์ บนั เทิงเห็นแจง้ ตามความเป็นจริง แสดงวา่ กำรท่ีจิตเกดิ ปัญญำลุกขึน้ มำเห็นปัญญำตำมควำมเป็ น จริง เป็ นจติ เป็ นสมำธิ มีจิตปรำโมทย์ ตอ้ งการจิตชนิด Active ในหนา้ ท่ี คุณสมบตั ิเป็นต้งั มนั่ หรือเป็นสมาธิ ต้งั มน่ั เป็ นสมาธิ มีความสุข มีความสุขในชีวิตประจาวนั ก็กาไร เป็ นเหตุให้มีความกา้ วหนา้ ทางจิต บรรลุ มรรคผลนิพพานเป็ นผล จริยธรรมสำกล เรียกว่า ควำมเคำรพตัวเอง Self-respect ทุกคนอยู่มีชีวิตเคารพ ตวั เอง พอใจตวั เอง ยกมือไหวต้ วั เองได้ เป็นพ้ืนฐานจิตกา้ วหนา้ ข้นั ไปตามวิปัสสนา ปัญญาบรรลุมรรคผล นิพพาน จิตมีสติมีปัญญำสลัดอำรมณ์ร้ำยออกไปจำกจิต จิตหลุดจากอารมณ์ จะตอ้ งมีอานาจเหนือจิต กูไม่ เอำกบั มึงแล้วโว๊ย 4) บทสูตรสำหรับท่องมอี ยู่ กำยสักว่ำกำย ไม่ใช่สัตว์บคุ คลตวั ตนเรำเขำ เวทนาน้ีสกั วา่ เวทนา จิตน้ี สักว่าจิต ธรรมท้งั ปวงน้ี สักว่าธรรม ให้ดูการพิจารณาท้งั 4 อย่าง ใช้สูตรเหมือนกนั หมดท้งั สติปัฏฐาน กลายเป็ น ปัญญา ข้ึนมาเต็มรูป ดูสติปัฏฐำน 4 กำหนดเป็ นอย่ำง ๆ กำย เวทนำ จิต ธรรม จบรู้อนัตตาเป็ น ปัญญาจริงใช่ตวั ไม่ใช่ตน ว่างจากตวั จากตน เป็น ธาตุตามธรรมชาติ กาย ประกอบ ธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุลม ธาตุไฟ คาว่ำ “นิโรธ” แปลว่ำ ดับ นิพำน แปลว่ำ ดับ ดว้ ยท้งั 2 อย่าง ดบั เหลือ ดบั ไม่เหลือ ดบั ไปเรื่อย ๆ

604 จนกว่า ดับหมด แลว้ นิโรธานุปัสสี ตามเห็น นิโรธ คือความดับสิ้นสุดลงไปแห่งความยึดมน่ั ถือมน่ั ด้วย อุปาทาน กาลงั นง่ั พิจารณาอยู่นี่ ดบั ลงไป แลว้ ดูวา่ ดบั ดบั ดบั วิราคะดูจางคลาย ๆ นิโรธ ดู ดบั ๆ ๆ เรียกวา่ นิโรธานุปัสสี ธรรมำนุปัสสนำ เรียกว่า ปฏินิสสัคคา แปลว่า สลัดคืนส่ิงเอำถือไว้คืออุปำทำน ถือไวอ้ ะไรมา ถือไว้ โยนคืน หมายความวา่ ปลงไปเสียจำกควำมยดึ ถือไว้ เพราะถา้ ยดึ ถือไว้ หนกั ท่ียดึ ถืออยา่ งยง่ิ กวา่ สิ่งใด หมดคือยดึ ถือตวั เองยดึ ถือตวั กู โยนของหนกั ออกไปแล้ว อยู่สบำย มชี ีวติ เย็น มีชีวติ เบำ มีชีวิตหลุดพน้ มีชีวติ เป็นอิสระ นิ่มนวลอ่อนโยนควรแก่การงาน มีปี ติปราโมทยบ์ นั เทิงแลว้ นอ้ มนึกไปคดิ อะไรไดด้ ีที่สุดนอ้ มไป เพ่ือรู้อะไร เพื่อญาณขอ้ ไหน เพ่ือญาณทศั นะอะไร เหตุที่วา่ มีจิตเหมาะสมพอใจตวั เองอยเู่ สมอรู้ความสาคญั ของคาว่า “จิตต้ังม่ัน” โพชฌงค์ ได้ สติ ธมั มวิจยะ วิริยะ ปี ติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา โพชฌงค์ 7 มี วิริยะ ปี ติ หล่อเล้ียงวิริยะ ปัสสัทธิ ปี ติ เกิดสุข เกิดปัสสัทธิ มีสมาธิเต็มที่ มีอุเบกขา ดว้ ยสติ ลึกๆ รอบคอบแลว้ มีธัมมวิจะยะ เฟ้นเอำส่ิงที่ต้องทำออกมำได้ แล้วทำแล้วควำมสำเร็จ เดนิ ไปต้องมปี ี ตปิ รำโมทย์ กาหนดความ คลายออก จางออก หน่ายออก ๆ แห่งอุปาทาน ท่ีเคยยึดมนั่ ถือมน่ั เห็นอนิจจงั ในสิ่งน้นั แลว้ อาการคลายออก ๆ จางออก คอื กาหนด สติกาหนดนงั่ ดูความคลายออก ๆ แห่งอุปาทาน เหน็ ควำมไม่เที่ยงแห่งอุปำทำน คลาย ความยดึ มน่ั ความยดึ ถือวา่ ตวั ตน อวชิ ชา จางออก ๆ คืออาการอตมั ยตา ปัจจยั ปรุงแตง่ ไมไ่ ดม้ ีแต่จางออก ๆ ๆ ไป ความหลุดพน้ ปรุงแต่งไม่ได้ มีในสังขารธรรมท่ีเคยปรุงแต่ง “สังขาร” “วิรำคะ” “จำง” คือ หน่ำย หรือ คลาย ธรรมะเป็นเคร่ืองหน่าย ข้นั วิราคานุปัสสี ดูเห็นความหน่าย ๆ ๆ ๆ ๆ ส่ิงอะไรที่เคยยดึ มน่ั ดว้ ยอุปาทาน อปุ าทานในส่ิงน้นั หน่าย ๆ วริ ำคะ ในช้ันสุด คือนิพพำน ไวพจน์ของนพิ พำน เป็นเหตุพระนิพพานปรากฏ เป็ นปัจจัยแห่งการปรากฏนิพพาน กาหนดเป็ นอารมณ์ เรียกว่า เจริญสมาธิในนิพพาน พิจำรณำธรรม “ธรรม” แปลว่ำสิ่งท้งั ปวง หรือข้อเทจ็ จริงของส่ิงท้ังปวง นามธรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงมากาหนดพิจารณาอยู่ แลว้ เรียกวา่ พจิ ำรณำธรรม คือ ธรรมำนุปัสนำสติปัฏฐำน ท่ีเป็นสมถะ พจิ ำรณำทุกอย่ำงเป็ น อนิจจงั ทกุ ขัง อนัตตำ แมแ้ ต่มรรคผลนิพพาน เป็นอนตั ตาเรียกว่าพิจารณาธรรมในส่วนปัญญา ในช้นั ปัญญา ใหป้ ัญญา 3 อยา่ ง ไม่ใช่ให้ความยินดียินร้าย อนั หน่ึงเศร้า อนั หน่ึงระเริงเหลิงอย่างน้ี โง่ไปดว้ ยอานาจอวิชชา มีความยดึ มน่ั ถือมน่ั ควำมเกิดเป็ นทุกข์ ควำมแก่เป็ นทุกข์ ควำมตำยเป็ นทุกข์ มีอยู่ตำมธรรมชำติ ตำมธรรมดำอยู่ ทั่วไป ไม่เป็นทุกข์ จะเป็นทุกขต์ ่อเม่ือมไปยดึ วา่ ชาติของเรา การเกิดของเรา ความแก่ของเรา ความตายของ เรา เม่ือใดโง่ด้วยอวิชชำ ยึดถือตัวตนของตนเขา้ ที่อนั ใดอันหน่ึงแลว้ อวิชชาในใจ มีความโง่ในใจ ยึดถือ อนิจจัง ควำมไม่เท่ียง เป็นจุดต้งั ตน้ ของการเห็น ความไม่เท่ียงเห็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา ควำม คลำย คลำยกำหนัด คลำยควำมยึดม่ัน เพรำะเห็นอนิจจัง เห็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ย่อมจะเห็น คือ ความ ต้งั อยู่ตามธรรมชาติ ธรรมดาว่างจากอตั ตา ว่างความหมายแห่งตวั ตน ไม่มีส่วนใดเห็นยึดมนั่ ถือมนั่ ว่า เป็ น ตวั ตน เห็นให้หยุดยึดมั่นถือม่นั คือ เห็นเป็ นเพียงนำมรูป เป็ นไปตำมปัจจยั ไม่เป็นตวั เป็นตนอะไร การเห็น น้ีเป็นไป ตำมระบบจิต ลำพงั จิต อบรมดีแล้วเกดิ ปัญญำ หรือ ญาณทสั สนะตามความเป็ นจริง เห็นไดต้ าม ลาพงั จิต อนิจจงั ขอ้ เดียว ธมั านุปัสสนาสติปัฏฐาน กำรปฏิบัติเห็นอนิจจงั ในอะไร กำหนดควำมรู้สึกอนจิ จงั ในส่ิงน้นั หายใจเขา้ อยู่ หายใจออกอยู่ เห็นอนิจจงั ในส่ิงใดในความรู้สึกในภายใน กาหนดอนิจจงั กาหนดใน

605 ความรู้สึก หายใจเขา้ อนิจจงั หายใจออกก็อนิจจงั หายใจเขา้ ก็อนิจจงั เป็นการเห็นดว้ ยความรู้สึก วา่ อนิจจงั อำนำปำนสติภำวนำ เห็นควำมไม่เที่ยง มุ่งหมำยไปถึงเห็นอนัตตำ เป็นส่วนใหญ่ เห็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา เป็นถึงที่ใจความสาคญั กำหนดควำมจำงคลำยออก คลายออก หำยใจเข้ำอยู่ หำยใจออก รู้สึกด้วยจิตใจดว้ ย ความจางคลาย หายใจเขา้ หายใจออก ไม่ไดพ้ ดู ดว้ ยปาก แต่รู้สึกดว้ ยจิต รู้สึกความจางคลาย หายใจเขา้ ก็รู้สึก หายใจออกก็รู้สึกจางคลาย กาหนดความจางคลายในความรู้สึกอย่างน้ี อยู่ตลอดเวลำท่ีปฏิบัติอำนำปำนสติ กาหนดความจางคลายแห่งอุปทานท่ียึดมนั่ ถือมนั่ จางคลายแห่งกิเลส จางคลายแห่งความทุกข์ จางคลายแห่ง ความยึดมน่ั “นิโรธานุปัสสี” แปลว่า การเห็นความดบั อยู่ หายใจเขา้ หายใจออก ตามเห็นความดบั อยู่ แห่ง อุปทาน แห่งความทุกข์ หายใจเขา้ หายใจออก พฤติกรรมอย่างน้ี เรียกว่า นิโรธานุปัสสี ดบั ลงแห่งกิเลส โลภะ ราคะ โทสะ โมหะ ดบั ลง 5) การศึกษามหาสติปัฏฐาน วิธีปฏิบัติเป็ นสมถะหรือสมำธิ เป็ นปัญญำหรือวิปัสสนำ อารมณ์สติ ปัฏฐาน คือกาย คือเวทนา คือจิต คือธรรมารมณ์ มาเป็ นวัตถุสาหรับพิจารณา เรื่ องอะไรพูดด้วย สติสัมปชญั ญะท้งั โดยพยญั ชนะและโดยความหมาย คนกาลงั ฝึ กอะไรอยอู่ ย่างมีเคล็ดมีเทคนิค ก็รู้สึกวา่ ฉนั นะ เตรียมตวั ฉนั นะ รู้สึกตวั ทวั่ พร้อมจะฉัน รู้สึกตวั ต้งั แต่แรกเขา้ ไปดว้ ยสติสัมปชญั ญะ ตลอดเวลา กำรฝึ ก “วสี” ชำนำญอย่ำงย่ิง ในกำรมีสติสัมปชัญญะกำรใช้ปัญญำด้วยสัมปชัญญะเต็มไปด้วยเทคนิคละเอียด สาเร็จประโยชน์แน่นอน คำว่ำ “หนอ”สมำธิแบบยุบหนอพองหนอ เป็ นเรื่องอำนวยควำมสะดวก หนอคา เดียว สักว่าอิริยาบถหน่ึงเท่าน้นั หนอ จะเคล่ือนไป เปล่ียนไป อย่างไรท่ีไหน ก็สักว่าอิริยาบถหน่ึงเท่าน้ัน “หนอ” ทถ่ี ูกต้องมำจำกควำมรู้ ท่ีรู้แลว้ วา่ เป็นอะไร คือรู้วา่ “เดินน้ี เป็นเพยี งอิริยาบถ เคลื่อนไหวของร่างกาย ตามธรรมชาติ” ไม่มีตวั กูผูเ้ ดิน ไม่มีตวั กูผูเ้ ดิน เรียกว่า จะเดินดว้ ยจิตว่างก็ได้ ไม่มีตวั กูผูเ้ ดิน รู้สึกแต่ว่ามนั เป็ นเพียงอิริยาบถอนั หน่ึง เป็ นไปตามกฎธรรมชาติ เท่าน้ันหนอ แยกซอยออกไปได้เท่ำไรเท่ำกับศึกษำ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ เท่ำน้ัน เดิน ยกข้ึนมา แลว้ ย่างออกไป แลว้ ก็เหยียบ ก็ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ จะยกหนอ จะยา่ งหนอ ยา่ งหนอ เหยยี บหนอ ยกหนอ วา่ “ยก ยา่ ง เหยยี บ” ควำมรู้สึกอยู่ใน “หนอ” หนอ ใน ความรู้สึก ที่เห็นจริง ที่เห็นแจง้ หนอในความรู้สึกว่า ที่เดิน คือไม่เท่ียง อนิจจัง มีควำมทุกข์ อยู่ในตัว เป็ น ความรู้สึกส่วนลึกที่นามายอ้ มแก่จิตใจ ให้มีสติปัญญา มีคนคิดเร่ือง “หนอ” เป็ นเร่ือง เน้น ๆ ๆ ๆ ด้วย ควำมรู้สึกว่ำ หนอ ตอ้ งระวงั ว่า เน้นในทางมีตวั ตน หรือเนน้ ในทางไม่มีตวั ตน กฎเป็ นควำมรู้สึกท่ีเกดิ ขึน้ ตำมกฎเกณฑ์ธรรมชำติ หนอไดท้ ุกข้นั ตอนปี ติที่เกิดข้ึน ที่ปรากฏอยูใ่ นใจ กาหนดจะใช้ “หนอ” ตอ้ งหนอ ให้ถูก ปี ติหนอ ถ้ำเป็ นวิปัสสนำจริงจะกลำยเป็ นวิทยำศำสตร์ จะตอ้ งศึกษาปฏิบตั ิในรูป คือ วิธีการของ วทิ ยาศาสตร์ พระพุทธเจ้ำเป็ นนกั วิทยำศำสตร์สูงสุด ดบั ทุกขไ์ ดจ้ ริงพุทธศาสนาปฏิบตั ิตามอานาปานสติท้งั 16 ข้นั ยิ่งกว่าเทคนิคเป็ นวิทยาศาสตร์ท้ัง 16 ข้นั เป็ นเร่ืองทางกาย ทางลมหายใจ ทางวตั ถุมาก่อน แลว้ เปลี่ยนเป็ นทางจิต ทางจิต แล้วก็เปลี่ยนเป็ นทาง ทางสติปัญญา ทางวิญญาณ ทางสติปัญญาสูงสุด เป็ น วิทยาศาสตร์สูงสุด ท้งั ทางวตั ถุ ท้งั ทางกาย ท้งั ทางจิต ท้งั ทางสติปัญญา เป็นเทคนิคท้งั ความรู้ เทคนิคท้งั การ ปฏิบตั ิ เทคนิคท้งั ผลของการปฏิบตั ิ เรียนพทุ ธศาสนาวถิ ีทางของวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ฝ่ าย วญิ ญาณ

606 ถา้ ยงั โง่ คือ ยงั ไม่รู้จกั พุทธศาสนาก็ไม่อาจเรียนพุทธศาสนาอย่างวิทยาศาสตร์ เห็นชัดอย่ำงเห็นวัตถุ เห็นว่ำ ทุกข์เกิดขึน้ มำ เป็ นเร่ืองวิทยาศาสตร์ผูเ้ ห็นอยู่ เขา้ ใจอยู่ เห็นแจ่มแจง้ แทงตลอดอยู่ ตอ้ งเอาตวั จริงมาศึกษา เช่น ความทุกขต์ อ้ งเอาทุกขต์ วั จริงมาสาหรับศึกษา พระพุทธเจา้ ตรัสในพระพุทธศาสนา หลกั ธรรมะในรูป ของวิทยำศำสตร์ คือ อริยสัจจ์ 4 หรือ ปฏิจจสมุปบาท ปรัชญาเขา้ ใจไม่ได้ไม่มีความแจ่มแจง้ ไม่มีความ เด็ดขาดตลอดลงไปได้ เพียงแต่สรุปว่าเป็นมติอนั ใดอนั หน่ึง คาวา่ “วสี” ฝึ กไดใ้ นข้นั ไหน แมแ้ ต่ข้นั ตน้ ๆ ต้องซักซ้อม ๆฝึ กสูงขึน้ มอี ำนำจเหนือจติ ประกอบคณุ ธรรม สติ สัมปชญั ญะ ไดร้ ู้อนตั ตา เอำควำมรู้สึกเป็ น ทุกข์เป็ นตัวศึกษำ จะมี อริยสัจแลว้ เป็นการศึกษา อริยสัจอยา่ งวถิ ีทางวิทยาศาสตร์ เอาตวั จริงของจริงมาดู มา เห็น ถา้ ไม่ยึดถือมนั ไม่เป็ นทุกข์ ทุกข์ ควำมเกิด ควำมแก่ ควำมตำย ถูกยึดถือว่าเราหรือว่าของเรา จะเป็ น ทุกข์ กาลงั ถูกยึดถือน้ันมาเป็ นวตั ถุสาหรับศึกษา อริยสัจถา้ ศึกษาถูกวิธีมีผลแลว้ เป็ นวิทยาศาสตร์ไม่เป็ น ปรัชญา ถา้ ไม่เขา้ ใจ ยงั โง่ไม่สามารถเอำตัวทุกข์จริงๆมำเป็ นวัตถุสำหรับกำรศึกษำแลว้ ไม่อาจศึกษา พระพุทธศาสนาอยา่ งวิทยาศาสตร์ได้ ถา้ เรียนในวิถีทางของปรัชญา เป็นลทั ธิแห่งความเชื่อ เป็นไปไม่ไดท้ ี่ จะถึงตวั พุทธศาสนาแลว้ ดบั ทุกขไ์ ด้ จะเรียนกนั อย่างวิทยาศาสตร์น้ีตอ้ งเรียนอยา่ งเรียกวา่ ทำกรรมฐำน ทำ วิปัสสนำ หมายถึงการทากรรมฐานวิปัสสนาที่ถูกตอ้ งตรงตามท่ีเป็ นจริงวา่ เวทนา เป็นอยา่ งไร? ก็ตอ้ งรู้จกั วิทยาศาสตร์ตอ้ งรู้ว่าความรู้สึก 3 อย่างสาหรับคนโง่ มีอวิชชา อุปาทาน และ ยึดถือ แบบความรู้สึกตอ้ ง เกิดข้ึนตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เสมอกนั เป็ นไม่ยึดถือว่าเป็ นท่ีน่ารัก น่าพอใจ น่าโกรธ น่าเกลียด น่า อะไร รู้ไว้ เป็ นวิทยำศำสตร์ รู้จักธรรมชำติลมหายใจ ยาว ส้ัน อิทธิพลธรรมชาติของกายเน้ือหนงั รู้เทคนิค บงั คบั กายลมหายใจเป็นการบงั คบั กายเน้ือหนงั ดว้ ย ทากายสงบระงบั ลงไปท้งั สองกาย จนจิตเป็นสมาธิ ถึง ฌาน คือ ผลของสมาธิติดต่อกนั มีจิตเป็นสมาธิ ไปปฐมฌาน ทตุ ิยฌาน ตติยฌาน จตตุ ถฌาน พระธรรมพุทธ ศาสนา 84,000 หัวขอ้ ไปรวมอยู่ท่ีคำว่ำ เวทนำ คาเดียว เป็ นเร่ืองควำมทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ควำมดับทุกข์ ทำงถึงควำมดับทกุ ข์ ภาพที่ 5.3.4 แผนท่ีความคดิ จากการสกดั หลกั คาสอนเรื่องมหาสติปัฐานธรรมบรรยาย โดยพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภกิ ข)ุ ดา้ นผล

607 ด้ำนผลพระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภิกขุ) พบว่า 1) สติปัฏฐานในรูปของอานาปานสติภาวนา สติปัฏฐาน 4 พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ในฐานะเป็นเครื่องมือใหบ้ รรลุมรรคผลนิพพาน วา่ มีสติ คือมี ศีล สมาธิ ปัญญา ถา้ ต้ังสติเป็ นสติปัฏฐำนอยู่ เป็ นท้ังสมถะเป็ นท้ังปัญญำทาสติปัฏฐานอยู่ มีท้งั ศีล สมาธิ ปัญญา สารวมจิตสารวมสติสมั ปชญั ญะ ใหท้ าจริงไปในการเจริญสติปัฏฐาน การสารวมเป็นจริง มีจริง ศีลมี อยจู่ ริง สมบูรณ์และเป็นอตั โนมตั ิ สำรวมระวังด้วยสติปัญญำไม่ใช่สารวมดว้ ยกาลงั บงั คบั ของจิตหรือของ กาลงั กาย สติปัญญา เร่ืองอนตั ตาจะเป็นหมดทกุ อยา่ ง เจริญสติปัฏฐานต้องต้ังสำรวมจติ ต้งั สติคือการสารวม จิตตอ้ งคุมสติ อย่ทู ่ีลมหายใจเขา้ ออก ตลอดเวลา บงั คบั ตวั เองใหส้ ารวมเท่ากบั ธรรมะ ศีลที่แทจ้ ริงแฝงอยู่ กบั สมาธิและปัญญา เม่ือต้งั ความสารวมระวงั เพื่อเป็นสมาธิ กำรมศี ีลต้องสำรวมระวงั เต็มท่ีจะไม่เบียดเบียน ตอ้ งสารวมอย่างย่ิงมีสารวมที่ไหนมีศีลที่นัน่ สติปัฏฐำน 4 สมถะและปัญญำ มีศีลเป็ นพ้ืนฐานรองรับอยู่ มี การควบคุมสติ ต้งั สติให้อยู่ มีศีล แลว้ มีสมาธิท่ีไปพิจารณา เป็นปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์อยใู่ นสติ ปัฏฐาน สติเป็ นเคร่ืองมือ เป็ นขนส่ง เป็ นเครื่องขนส่งเอำปัญญำมำ สมาธิคอื กาลงั ทาวปิ ัสสนาทาไม คอื ทา ให้มีสติขนเอาปัญญามาให้ทนั กบั เวลา สติเป็ นสิ่งจาเป็ นตอ้ งมีสติทาผสั สะ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เป็ นผสั สะ ตลอดวนั เป็นเร่ืองสาคญั ใหเ้ กิดการปรุงแต่งตามจิต ผสั สะตอ้ งมีสติมาแลว้ ปัญญามาตอ้ งฝึกกรรมฐานเพ่ือให้ มีสติและมีปัญญา จึงตอ้ งฝึ กสติ กำหนดอยู่ที่ลมหำยใจมนั ก็ไม่ได้ยินเสียงอ่ืน อย่าไปทะเลาะกับอารมณ์ แวดลอ้ มขา้ งนอก สาเร็จไดด้ ว้ ยมีสติสัมปชญั ญะ ที่เขม้ ขน้ คมเฉียบ อำนำปำนสติ จะเป็ นที่พ่ึงสารพดั นึก ในทางโลกในทางธรรม ทุกอย่างทุกประการ เป็ น “ธรรมะกำมือเดียว” มาก เราตอ้ งการใบไมก้ ามือเดียว แกป้ ัญหาไดห้ มด อานาปานสติ ใบไมก้ ามือเดียวสะดวกดี ไปไหนมาไหนได้ อยู่กบั เน้ือกบั ตวั มีการรู้วิธีการ หายใจ ทาอานาปานสติให้คล่องแคล่ว ชานาญท่ีสุด แลว้ พอจะตาย ตายดว้ ยอานาปานสติ ในข้นั ท่ีดบั กาย สังขาร ดบั จิตสังขาร แบบอานาปานสติพระพทุ ธเจา้ ทรงสรรเสริญเหมาะสมนิ่มนวล สะดวก 2) ธรรมชาติปรุงแต่ง คลอดมาจากทอ้ งแม่ โดยอาศยั บิดามารดา พอมาคลอดออกมาแลว้ มี ตา หู จมูก ลิน้ กาย ใจ สมั ผสั น้นั สัมผสั น้ี ยนิ ดี ยนิ ร้าย น้ี กิเลสเกิดเพราะความยินดียนิ ร้าย มาเป็นของกูเทา่ ไร กดั เอาเท่าน้นั เด็กโง่เลิกเป็นโจร คืนของ คืนของ โยนให้ธรรมชาติ จุดต้ังต้น คือ เวทนำ ที่มาของ เวทนา ให้ รู้จกั ศึกษา เวทนา น้นั ในลกั ษณะที่เป็นวทิ ยาศาสตร์ ไมใ่ ช่วทิ ยาศาสตร์ทางวตั ถทุ าไดใ้ นหอ้ งทดลองทางวตั ถุ แต่เป็นวิทยำศำสตร์ฝ่ ำยวิญญำณ ฝ่ ำยเลยจิตข้ึนไปอีก ตอ้ งมีห้องทดลองในจิต ในความคิดนึกส่วนในสมอง อะไรๆ กร็ วมกนั อยทู่ ี่ในสมอง 3) หมวดจิตตานุปัสสนา 4 ข้นั 1)รู้จกั จิตทุกชนิดโดยประการท้งั ปวง 2) บงั คบั ให้ปราโมทย์บนั เทิงได้ตามตอ้ งการ 3) ต้ังมั่นตามตอ้ งการ 4) ปล่อยจากสิ่งท่ีควรปล่อย เป็ นนิวรณ์เป็ น สังโยชน์ จะทาหมวดเวทนาตอ้ งไปต้งั ตน้ ทามาจากหมวดกาย หมวด 1 ไล่มาต้งั แต่ตน้ กำรปฏิบัติอำนำปำน สติ ข้นั น้ี เรียกวา่ สมบรู ณ์ การท่ีปล่อยอารมณ์จากจิต หรือ ถอดจิตจากอารมณ์ หรือ ปลอ่ ยอารมณ์จากจิต ถา้ เราทาไม่ไดต้ อ้ งทนอยูก่ บั ส่ิงที่รบกวนจิตขอให้รู้จกั ปล่อยอารมณ์ ระงบั อารมณ์ พยายามปลดปล่อยจิตจาก นิวรณ์อยเู่ สมอ กูไมเ่ อากบั มึง ปลอ่ ยจิต ความรู้สึกอนั ไหนอารมณ์ไหนรบกวนจิตใจเลวร้าย กูไม่เอากบั มึง ๆ อานาปานสติข้นั ไหนก็ตอ้ งไปเริ่มทามาแต่ข้นั ท่ี 1 ท้งั น้นั จิตภำวนำอบรมจนจิตอยู่อะไรมาปรุงแต่งไม่ได้

608 ถึงอตมั มยตา ภาวะอยู่เหนือการปรุงแต่งส่ิงท้งั ปวง เอกัคตาจิต มีพระนิพพานเป็ นอารมณ์ มุ่งหมายพระ นิพพานเป็นเป้าหมายปลายทาง ดว้ ยจิตท้งั หมด สรุปความ ข้นั ที่ 1 รู้จกั จติ ทกุ ชนดิ โดยอำศัยหลกั 8 คู่ มำเป็ น เครื่องกำหนด ข้ันท่ี 2 บังคับจิตให้บังเทิง ปรำโมทย์ได้ตำมควำมต้องกำร เพ่ือควำมเป็ นสุข เพ่ือควำมเป็ น ฐำนวปิ ัสสนำ ข้นั ที่ 3 บงั คับจิตให้ต้งั มัน่ โดยควำมเหมำะสมแก่หน้ำทีก่ ำรงำน จิตเป็ นสมำธิ ไม่มอี ำรมณ์ร้ำย รบกวนทำงจิตใจ ข้ันท่ี 4 ระงับจิตสังขำรได้ ระงับปี ติสุข ถา้ ระงบั สุขได้ ระงบั การปรุงแต่ง ปี ติสุขได้ รู้จกั จิตตสังขาร ระงบั จิตสังขารใหไ้ ด้ จะเห็นชดั ย่งิ ข้ึนไป จิตสังขาร คือ เวทนา เป็นของไม่เท่ียง ควบคุมเวทนา ได้ ควบคุมปี ติความสุข เราเป็ นผูม้ ีอานาจเหนือปี ติและสุข รู้สึกว่า จิตอยู่เหนืออานาจปรุงแต่งจิต ปี ติเป็ น อย่างน้ี ไม่เท่ียงหลอกลวงปรุงแต่งจิต ใชค้ วามสุขเป็นบทเรียน ใหร้ ู้จกั ความไม่เท่ียง ไม่เห็นตวั ตน เห็นปี ติ และสุขเป็นเวทนาปรุงแต่งจิต เห็นความไม่หลง การใชเ้ คร่ืองมือควบคุมจิต ควบคุมจิตได้ มองเห็นความไม่ เที่ยง ปี ติ สุข จิตถกู ปรุงแตง่ ใหถ้ ูกตอ้ ง สามารถควบคุมเวทนาได้ ควบคมุ ปรุงแตง่ จิตได้ สามารถบงั บบั จิตให้ ได้ 4) ปริยัติด้วยกำรปฏิบัติให้เกิดปฏิเวท ผปู้ ระยกุ ต์ 2 ระดบั คือ ระดบั พวกที่ติดอยใู่ นทางมีตวั ตนเรียกวา่ ทาไปในทางโลกียะทางโลก ส่วนหวงั กา้ วหนา้ ไปไกลเป็นระดบั โลกุตระเพื่อไปสู่พระนิพพาน สันทิฎฐิโก ตอ้ งเห็นเอง และกเ็ ห็นไดอ้ ยา่ ง วญิ ญูชนผมู้ ีปัญญา มี ญาณทศั นะ คนอยทู่ ี่บา้ นที่เรือนมีบา้ นเรือนอยู่ ขอไดม้ ี สติสัมปชญั ญะ ทุกอิริยาบถ ทุกวินาทีเถิด อยู่ในห้องทางาน อยู่ในห้องนอน อยู่ในห้องครัว อยู่ในห้องน้า ปฏิบตั ิได้ ท่ีบา้ น เมื่อจิตจดจ่ออยใู่ นการปฏิบตั ิแลว้ อารมณ์อื่นไม่รับ แม้ทอ่ี ย่คู นอยู่บ้ำน อย่เู รือนยังไม่ได้บวช ไม่ต้องเสียใจ ทำได้ ขอให้ทำก็แล้วกัน ทาไดท้ ี่ไหนก็เป็ นที่สงบสงดั ฆราวาสขา้ งนอกเป็ นฆราวาส แต่ใจ จิตใจอยากเป็นบรรพชิต ตอ้ งประยกุ ตก์ ายานุปัสสติตามแบบของตนๆ ตามระดบั ของตนๆ เป็ นฆรำวำสต้อง มสี ติ ในโลกทุกตอ้ งการความสติสมควรแก่ฐานะรูปแบบของตน ตอ้ งการมีสตินึกถึงสติปัฏฐานประยุกตก์ บั ฆราวาสตอ้ งมีสติ แบบฝึ กสติตอ้ งมีสติปัฏฐาน ฆราวาสเห็นโคตรภู เป็ นฆราวาสปฏิบัติสติปัฏฐำนกำยำ นุปัสสนำ ไดจ้ ิตสงบหลบั ไปไดส้ บาย การยบั ย้งั จิตใจเวลาโลภ โกรธ หลง ฆราวาสประยตุ ส์ ติปัฏฐานโดยวิธี อานาปานสติ ดู ให้มีจิตที่มีสติสัมปชญั ญะเสมอไป ถา้ หายไปเรียกดว้ ย อานาปานสติ โคตรภู (หมายถึง ผู้ ต้งั อยใู่ นญาณซ่ึงเป็นลาดบั ท่ีจะถึงอริยมรรค ผู้อยู่ในหัวต่อระหว่ำงควำมเป็ นปุถุชนกบั ควำมเป็ นอริยมรรค) ฆาราวาสที่เขา้ เป็ นโคตรภู มีเน้ือตวั เป็ นอยู่อย่างฆราวาสแต่จิตใจเบื่อหน่ายความเป็ นฆราวาสอยากเป็ น บรรพชิต เด็กนอ้ ยหายโง่ไม่คบโจรมาคบพระพุทธเจา้ มาคบความถูกตอ้ งความบริสุทธ์ิท่ีติดมาในใจแต่เดิม นง่ั อาบพระนิพพานนง่ั อาบความวา่ ง คบโจรคือคบกิเลส ค่อย ๆ เกิดข้นึ โจรปลน้ ธรรมชาติ เอามาเป็นของกู เป็ นของกู ยึดมน่ั ถือมน่ั กดั อุปาทานหนกั และเป็ นทุกข์ ยึดมนั่ ในขนั ธ์ท้งั 5 เป็ นทุกข์ เลือกเอามาแต่กามือ เดียวแทแ้ ท้ ก็คือระบบอานาปานสติ ประเสริฐเป็ นของที่กะทดั รัดอยู่กบั เน้ือกบั ตวั เป็ นอำนำปำนสติ ข้ัน ไหน ให้พิจำรณำอนัตตำ ไม่ยึดถือเป็ นตวั ตน สัตว์ บุคคลเรำเขำในส่ิงน้ัน ๆ พิจารณาความไม่มีตวั ตนผลแห่ง อนตั ตา อบรม ๆ ๆ ๆ จนจิตประภสั สร กำรใช้หนอ ใชห้ นอใหถ้ ูก ปรุงแตง่ จิตหนอ ปี ติและสุข คาวา่ “หนอ”

609 ถา้ ใชผ้ ิดวิธีเพิ่มตวั กู เพ่ือความเป็นตวั ตนข้ึนมา หมวดธรรมนุปัสสนำ พิจารณาส่ิงท้งั หลายท้งั ปวงโดยความ เป็ นเพียงนามรูป เป็ นอนตั ตา ไม่ใช่ตวั ตน เป็ นอนัตตา นับแต่การเห็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา สู้กนั ดว้ ยการ เห็นอนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา เป็นหวั ใจพระพทุ ธศาสนา กำรบรรลุมรรคผล สำเร็จด้วยกำรเห็นอนตั ตำ เด๋ียวน้ี เม่ือจะทาให้เป็นสติปัฏฐานโดยสมบูรณ์แบบแลว้ ถือโอกาส กาหนดความไม่ใช่ตน ไดธ้ รรมะสูงสุด คือ สติ ปัญญา สมั ปชญั ญะเป็นนายเหนือกิเลสพอสมควรแลว้ แยกจิตออกมา ไม่มีนิวรณ์ ไม่มีกิเลสอะไรรบกวนได้ สามารถบังคบั ลมทำควำม ระงับให้แก่ลม และเนื้อ และร่ำงกำยบงั คบั เป็นการฝึกมีสติในการกาหนด แลว้ กม็ ี ปัญญารอบรู้สิ่งเหลา่ น้ี แลว้ กม็ ีสัมปชญั ญะ ศึกษำเร่ืองอนตั ตำ จะหลุดพ้นกนั เห็นลมสกั วา่ ลม เห็นกายสกั วา่ กาย เห็นจิตสักว่าจิต เห็นความเปล่ียนแปลง ความเปล่ียนแปลงตามกฎของธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ ไมม่ ีอตั ตาตวั ตนท่ีเป็นผบู้ นั ดาล สาเร็จอยทู่ ี่การฝึกตามธรรมชาติ เป็นเร่ืองของจิตเน่ืองอยกู่ บั กาย สรุปกำรสกดั หลกั คำสอนมหำสตปิ ัฏฐำน 4 ตำมแนวทำงปฏิบตั พิ ระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภกิ ขุ) ภาพท่ี 5.3.5 แผนท่ีความคดิ การสกดั หลกั คาสอนของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกข)ุ ตามมหาสติปัฏฐาน 4 5.3.2 สรุปผลและอภิปรำยผล : พระธรรมโกศำจำรย์ (พทุ ธทำสภิกขุ)

610 ผลการศึกษาเรื่องการสกดั หลกั คาสอนเร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิพระธรรมโกศำ จำรย์ (พุทธทำสภิกขุ) สรุปผลการศึกษา จาแนกตามมหาสติปัฏฐาน 4 ประกอบดว้ ย กายนุปัสสนา เวทนา นุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา 1) ฐำนกำยำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ อานาปานสติ วา่ กายานุปัสนาเป็นเคร่ืองเห็น“กาย” หมายถึง กาย เน้ือและกายลม ความหมายอำนำปำนสติ รู้จกั ลมหายใจรวมกายเน้ือ พิจารณาความไม่เที่ยงอยู่หายใจเขา้ หายใจออก ความรู้สึกเห็นความไม่เที่ยง ปฏิบตั ิดว้ ยความต้งั ใจควบคุมอายตนะ สังวร สารวมรวบรวมจิตใจ กำยสังขำร คือ ลมหายใจ บารุงกายเขา้ ไว้ เรียกว่า กายสังขาร คือ สังขารแห่งกาย เครื่องบารุงส่งเสริมและ ปรุงแต่ง คือ ลมหายใจ บ้ีตามลมหายใจ สติกาหนดลมหายใจเขา้ ออก ว่ิงตามให้ได้ เฝ้าดู ปฏิบตั ิอนตั ตาลดั ต้งั ตน้ เห็นอนิจจงั อำนำปำนสติต้ังแต่ ตวั ลมหายใจไม่เท่ียง ปรุงแต่งร่ายกายเน้ือไม่เที่ยง ตามไม่เที่ยงไหล เรื่อย คือ เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจยั เห็นอนิจจงั ฝึ กอำนำปำนสติไดเ้ คร่ืองมือ “วิ่งตาม” มีการหายใจเขา้ - ออก เขา้ -ออก ส่ิงท่ีตามคือ “สติ” กาหนดว่ิงตาม ติดเร่ือยไป ท่ีจงอยจมูก ที่ลมกระทบ ขา้ งในความรู้สึกท่ีทอ้ ง ท่ีสะดือ หาจุดลมมนั กระทบตอ้ งฝึกกนั ซ้า ๆ กำยำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน หมายถึง กายเน้ือหนงั รูปร่างภายนอก รวมถึงกายลม ลมหายใจ กาย เพราะลมหายใจปรุงแต่งกาย การมีสติตามมองเห็นสี่อย่าง “ปัฏฐาน” แปลว่า การต้งั ระงบั กายลม กายเน้ือหนงั สงบ มีสติทุกอิริยาบถ ระลึกได้ จิตติดตามดว้ ยลมหายใจ สติสัมปชญั ญะ ฝึกไปต้งั แต่ หายใจ เดิน ยนื นงั่ นอน ทกุ อิริยาบถ ความรู้สึก สกั วา่ อิริยาบถ “ไมม่ ีตวั กู” เป็น “อนิจจงั ” รู้แจ้ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ อยู่ทุกข้นั ตอนลมหายใจ เดิน ยืน นัง่ นอน ระบบอำนำปำนสติ 16 ข้ัน ลาดบั ต้งั แต่ สมถะไปจนถึงปัญญา การต้งั สติ สติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม ต้งั ท่ีกาย ต้งั ที่เวทนา ต้งั ที่จิต ต้งั ท่ีธรรม4 อย่าง เรียกว่า สติปัฏฐาน 4 ต้งั อย่างไรว่า “ต้งั สติอย่างสมถะ” ให้สงบ “ต้งั สติอย่างปัญญา” วิปัสสนา มา ปฏิบตั ิ เน่ืองเป็ นสายเดียวไม่แยก คือระบบ “อานาปานสติ 16 ข้นั ”แบ่ง 4 หมวด หมวดละ 4 ข้นั หมวด 1 เรื่องกาย 2 เวทนา 3 จิต 4 ธรรม มีสติสัมปชญั ญะ อาตาปี สติมา สมฺปชาโน นาออกอภิชฌาและโทมนสั ยนิ ดี ยินร้ายในโลก “เห็นกำยในกำย” ทำสติในอำรมณ์หำยใจเข้ำออก มีธรรมะหรืออำรมณ์กำหนดทกุ คร้ังที่ หายใจเขา้ ออก ต้องมีควำมรู้สึกตวั ท่ัวพร้อม สติในอิริยาบถตอ้ งรู้ปฏิบตั ิ ธรรมปรากฏในความรู้สึก เขา้ ใจว่า ส่ิงน้นั กาลงั รู้สึกอยใู่ นภายใน เอากายเป็นอารมณ์ เป็นวตั ถุ สาหรับต้งั สติ ลงไปที่กายเป็นสมถะ 2) ฐำนเวทนำนุปัสสนำ สรุปไดว้ ่า “เวทนา” เป็ นความรู้สึกทางจิต มิไดเ้ ป็ นตวั เป็ นตนอย่างวตั ถุ เวทนานุปัสสนา เป็นเร่ืองรู้สึกต่อเวทนาอยู่ทุกลมหายใจ ควบคุมเวทนาได้ คือควบคุมโลกท้งั หมดได้ ตอ้ งมี เวทนามาจากกระทบอายตนะขา้ งใน เรียกวา่ โลกขา้ งใน อายตนะขา้ งนอก เรียกวา่ โลกขา้ งนอก เกิดวิญญาณ เป็นผสั สะ สัญญาบอกความหมายคืออะไร ความคิด เรียกว่า สังขาร เวทนา คือ ความรู้สึกกนั วนั ละหลายๆ คร้ัง เป็น ทุกขเวทนา สุขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เป็นกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ “จิต” ร่างกาย คอื ตา หู จมูก ลิ้น กาย คอื รูป เสียง กลิ่น รส สมั ผสั มากระทบ เกิดความรู้สึกเป็น วญิ ญาณ เกิด ผสั สะ เกิด เวทนา เกิด ความโง่ยึดถือเวทนา เป็ น อุปาทาน เป็ น ตณั หา เป็ น อุปาทาน เป็ น ทุกข์ เอาเวทนาเป็ นอารมณ์ กาหนดจิต หยดุ อยทู่ ี่นนั่ เรียกวา่ เพง่ สมถะ กาหนดจิตหยดุ เวทนาอยอู่ ริยสัจ เป็น ทกุ ขอริยสจั เวทนาเครื่องปรุงแต่งจิต จิตสังขาร เป็ นปี ติและสุข กายสังขารสงบระงบั มีจิตสงบระงบั กาหนดเวทนา เป็ นปี ติ สุข ใช้เป็ นอารมณ์

611 มองเห็นความรู้สึกปรุงแต่งจิต ตอ้ งเอาปี ติตวั จริงมาอยู่ในความรู้สึก เอาอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตาใส่เขา้ ไปท่ี เวทนา 3) ฐำนจิตตำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ จิต คือ สิ่งคิดนึกอะไรได้ โดยตวั เอง ไมม่ ีตวั ตนผคู้ ิดผนู้ ึก รู้สึกได้ โดยตวั เอง โดยระบบประสาท เป็นธาตุ ตามธรรมชาติ ลมหายใจเป็นที่กาหนดของจิต จิตหนา้ ท่ีรู้สึกอารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กายใจ เป็ นวิญญาณ ความรู้ กระทบจิตเรียกว่า มโนวิญญาณ ไดค้ วามรู้ ไดต้ วั สมาธิ ได้ ชานาญสมาธิ เวทนา ปัญญามากข้ึน คอื รู้ รู้จกั ปี ติ รู้จกั สุข รู้จกั จิตสงั ขาร อุเบกขา ๆ ปลดปลอ่ ยอารมณ์ ไมใ่ ห้ เขา้ มาผูกพนั จิต จิตตานุปัสสนา ว่าดว้ ยจิต กาหนดจิต เป็ นการรู้ กบั บงั คบั ปนกนั ไปสลบั กนั “เพ่ง” ฌาน กาหนดอารมณ์ เป็ นสมถะ อารมณ์ให้จิตหยุด รู้ความจริง เป็ นปัญญา วิปัสสนา เพ่งกายให้จิตหยุดอยู่ เป็ น สมถะ เพ่งกายให้รู้อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา เป็ นปัญญา ต้งั สารวมจิตต้งั สติ คุมสติ อยู่ที่ลมหายใจเขา้ ออก ตลอดเวลา การรู้ทวั่ ถึงจิต กาหนดจิต รู้เร่ืองจิต จิตบงั คบั จิตได้ จิต ไม่มีตวั ตน ความรู้ฝึ กจิตอยา่ งไรบงั คบั จิต อย่างไร ตอ้ งฝึ กให้ทาจิตให้ต้งั มนั่ เป็ นสมาธิ ท่ีไหน เม่ือไร เท่าไร อย่างไร ทาไดต้ ามท่ีตอ้ งการ “สมาธิ” ความบริสุทธ์ิจิต ต้งั มน่ั จิต สมถะพิจารณาปัญญา วิปัสสนา เห็นอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา จิตรู้จกั จิตเอง ไม่ตอ้ ง มีตวั กูไปรู้จิต อยู่ในสถานะ ภาวะอาการอย่างไร มาจากเหตุปัจจยั อะไร นาทุกขอ์ ย่างไร มีอุเบกขา ดูแลให้ ควบคุมอยโู่ ดยอตั โนมตั ิ 4) ฐำนธรรมำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ อานาปานสติสูตร เติมเขา้ ๆ เป็นมหาสติปัฏฐานสูตร สนใจอานา ปานสติสูตรมีลมหายใจ การมีสติสัมปชญั ญะ ใชป้ ัญญาดว้ ยเทคนิคละเอียด อานาปานสติ ใบไมก้ ามือเดียว สะดวกดี ฐานะเป็ นเครื่องมือให้บรรลุมรรคผลนิพพาน ความหมาย “สติปัฏฐาน” การต้งั สติไวเ้ ฉพาะหรือ อยา่ งทว่ั ถึง ต้งั สติไวเ้ ฉพาะเรื่องใดเร่ืองหน่ึงเป็นการปฏิบตั ิไป “ทาสติ” คือ ไปทากรรมฐาน โดยทาวปิ ัสสนา กาหนดต้งั ไวพ้ ร้อมเฉพาะ สติ คอื จิตประกอบอยูด่ ว้ ยสติไปกาหนดอยู่ หมวดธรรมอานาปานสติ ควรปฏิบตั ิ มาตามลาดบั หรือ แบบลดั ส้ันหมวด 1 พอสมควรลดั มาหมวดที่ 4 ไดส้ ะดวกดี การเห็นอนิจจาต้งั ต้นก่อน “อนิจจงั ” แปลว่า ไม่เที่ยง คือเปล่ียนแปลงเร่ือย ๆ ทุกสิ่งไหลเรื่อย เอาสติปัฏฐาน 4 เป็ นมรรค ฐานจาก สัมมาทิฐิ มีสติมีสมาธิมีปัญญา รวมอยู่ ตอ้ งมีของจริง ให้อยูใ่ นความรู้สึก อยู่ในใจ ตอ้ งมีอนิจจงั รู้สึกอยู่ใน ใจ ไม่เที่ยง อนิจจงั มีความทุกข์ อยู่ในตวั ทุกสิ่งเห็นอนิจจงั ในใจต้งั แต่ลมหายใจ ความระงบั กายสังขาร เวทนา จิต แยกได้ เป็นอนิจจงั เฉพาะหนา้ คือ กาลงั รู้สึกอยู่ ปฏิบตั ิเห็นอนิจจงั กาหนดความรู้สึก หายใจเขา้ อยู่ หายใจออกอยู่ เห็นอนิจจงั ในส่ิงใดในความรู้สึกในภายใน ธรรมานุปัสสนาตามเห็น “ธรรม” ทุกส่ิง สิ่ง ท้งั ปวง หน้าท่ีปฏิบตั ิตามกฎของธรรมชาติ สติเป็ นเครื่องมือ เป็ นขนส่ง เป็ นเครื่องขนส่งเอาปัญญามา “ธรรม” แปลว่าสิ่งท้งั ปวง หรือขอ้ เท็จจริงของสิ่งท้งั ปวง พิจารณาธรรมานุปัสนาสติปัฏฐาน ทุกอย่างเป็ น อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา พิจารณาธรรมปัญญา เห็นความไม่เท่ียง มุ่งหมายไปถึงเห็นอนัตตา ศึกษาตามวิถี วิทยาศาสตร์ ตอ้ งทบทวนดูให้เขา้ ใจ ถึงส่ิงเป็นตวั วตั ถุศึกษาอยา่ งประจกั ษ์ จะตอ้ งศึกษาคน้ ควา้ และปฏิบตั ิ ตอ้ งซักซอ้ ม ๆฝึ กสูงข้ึน มีอานาจเหนือจิต หลกั ธรรมะโดยตรง ตอ้ งรู้จกั ตอ้ งเขา้ ใจ ตอ้ งถึงกบั รู้สึกอยดู่ ว้ ยใจ การเรียนธรรมะจากใจ จากใจจริง จากความรู้สึกจริงๆ เอาตวั ทุกขจ์ ริงๆมาเป็นวตั ถุสาหรับการศึกษา

612 อภปิ รำยผล : พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภกิ ขุ) พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภิกขุ) งานวิจยั 9 เรื่อง พบ พระครูปริยตั ิธรรมาภรณ์[1] “ศึกษา วิเคราะห์วิธีการเผยแผ่หลกั ธรรมของพุทธทาสภิกขุ” พกุล แองเกอร์[2] “พุทธทาสภิกขุ:พุทธปรัชญาเมธี ไทย” พระมหาพุทธิวงศ์ ณฏฺฐญฺญู[3] (สุวรรณรัตน์)“การวิเคราะห์นิพพานในทศั นะของพุทธทาสภิกขุตาม แนวคมั ภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท” พระชวลิต อตุ ฺตโม สุวรรณจนั ทร์[4] “ศึกษาวิเคราะหค์ ณุ ค่าแนวคาสอน เรื่องธมั มิกสงั คมนิยมของท่านพุทธทาสภิกขุคาสาคญั : พุทธทาสภิกข”ุ พระมหาพทุ ธิวงศ์ ณฏฺฐญฺญ (สุวรรณ รัตน์) [5] “นิพพานตามทศั นะของทา่ นพุทธทาสภิกข”ุ พระมหายศธนา ปภากโร (ศรีวฒั นปภา) [6] “วิเคราะห์ หลกั การสอนตามแนวปฏิบตั ิของพระธรรมโกศาจารย(์ พุทธทาสภิกขุ)” กรวชิ ญ์ จิตวบิ ลู ย[์ 7] “การวิเคราะห์ เน้ือหาสมรรถนะพลเมืองประชาธิปไตยผา่ นแนวคิดพระธรรมโกศาจารยพ์ ุทธทาส อินทปัญโญ (พุทธทาส ภิกข)ุ ท่ีปรากฏอยใู่ น สาระพทุ ธทาสศึกษา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี” พระครูมหาเจติยารักษ์ เขม็ นาค[8] “รูปแบบ การสร้างสันติภาพของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ)” พระครูปริยตั ิธารงคุณ(กาธร สญฺญโต/ทอง ประดู่) [9] “กระบวนทศั น์ใหม่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแนวพุทธทาสภิกขุ” ผลการศึกษาพบว่า โจทยว์ ิจยั ศึกษาหลกั ธรรม คาสอนต่างๆ ได้แก่ความหมายนิพพาน ปรัชญา ธัมมิกสังคมนิยม พลเมือง ประชาธิปไตย การสร้างสันติภาพ การเผยแผห่ ลกั คาสอน และวิเคราะห์หลกั คาสอน แนวทางปฏิบตั ิพบว่า ท่านพุทธทาสศึกษากรรมฐานแบบอานาปานสติเป็ นกรรมฐานท่ีละเอียด การใช้อานาปานสติสูตรเป็ น หลกั การสอน แลว้ ขยายอธิบายทาใหเ้ ขา้ ใจง่ายและใชส้ านวนเหมาะสมแก่การปฏิบตั ิ พุทธวธิ ีสอนอานาปาน สติ คือใจความอานาปานสติ 16 อารมณ์ อธิบายส่วนใหญ่ อานาปานสติแบบส้ันและแบบแผน ท่ีมีการ เตรียมพร้อมเฉพาะหนา้ การระลึกหรือกระทาส่ิงหน่ึงทุกลมหายใจเขา้ ออก ศึกษาความหมาย นิพพาน เป็น ภาวะที่จิตดบั เยน็ วา่ งจากกิเลส ตวั กขู องกูไมเ่ กิดข้ึนมา ภาวะเป็นอสงั ขตธรรมสิ่งที่มีอยปู่ ราศจากการปรุงแต่ง จากส่ิงใด นิพพานชว่ั คราวและนิพพานท่ีแทส้ มบรู ณ์ การเผยแผห่ ลกั ธรรมใชว้ ิธีการสอนตามจริตบุคคล ใช้ หลกั โอวาทปาติโมกข์ ไม่เบียดเบียน ไม่ทาบาป ทาจิตใจใหบ้ ริสุทธ์ิผอ่ งใส การเผยแผด่ า้ น1)กระบวนทศั น์ ใหม่ดา้ นเทศนา ปาฐกถา การบรรยาย 2)ดา้ นงานเขียน 3) ดา้ นบทประพนั ธ์ร้อยกรอง 4)ดา้ นโรงมหรสพทาง วิญญาณ ฐานกายนาตามแนวทางของพระธรรมโกศาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) เน้นกรรมฐานแบบอานาปาน สติสาคัญ ใช้หลักอานาปานสติสูตรเป็ นหลักการสอนใจความ 16 อารมณ์ ขยายอธิบายเข้าใจง่ายเหมาะ ปฏิบัติ แบบส้ันและแบบแผน การระลึกหรือกระทาส่ิงหน่ึงทุกลมหายใจเข้าออก ศึกษาความหมายนิพพาน เป็นภาวะที่จิตดับเยน็ ว่างจากกิเลส ตวั กขู องกูไม่เกิดขึน้ มา เป็นตามอานาปานบรรพเป็นท่ีสุดสาคัญการฝึ กลม หายใจสาคัญ อธิบายอารมณ์ 16 ข้ันตอนตามรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่มีคาบริกรรมนาไปสู่ฐานธรรม คิด พิจารณาหลกั ธรรม 5.6.3 ข้อเสนอแนะกำรวจิ ัย : พระธรรมโกศำจำรย์ (พุทธทำสภิกขุ) การศึกษางานท่านพุทธทาสภิกขุ ยากเน่ืองจากเป็ นท้งั ภาษาปริยตั ิ และปฏิบตั ิ ตลอดการประยุกต์ ความเป็ นร่วมสมยั ทาให้อ่านหรือศึกษายงั ไม่สามารถทาความเขา้ ใจไดเ้ พียงรอบเดียวเท่าน้นั การใช้ภาษา

613 ธรรม หลากหลาย และความสร้างสรรค์ ประยกุ ตใ์ ช้ ผลงานท่านพุทธทาสภิกขุหลากหลาย นาขอ้ มูลที่ได้ คน้ พบไปนาเสนอเป็ นบทความวิจยั เร่ือง การสกดั หลกั คาสอนเรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ ท่านพทุ ธทาสภิกขุ [4] สมเดจ็ พระญำณสังวร สมเดจ็ พระสังฆรำช สกลมหำสังฆปริณำยก (เจริญ สุวฑฺตโน) 5.4.1 สรุปกำรสกดั หลกั คำสอนจำกธรรมบรรยำยเรื่องมหำสตปิ ัฏฐำน4 สมเด็จพระญำณสังวร สมเด็จพระสังฆรำช สกลมหำสังฆปริณำยก (เจริญ สุวฑฺตโน) จากผลการวิเคราะหจ์ ากตารางท่ี 4.4.1 ถึง 4.4.13 ซ่ึงเป็นการสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยาย แนวทางปฏิบตั ิสมเด็จพระญาณสังวร สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน)จาแนก ตามแนวคิด หลกั การ วิธีการ ผล ไดส้ รุปผลการศึกษาเป็นแผนที่ความคิดจากการสกดั หลกั คาสอนเร่ืองมหา สติปัฐาน จากการบรรยายธรรมโดยสมเดจ็ พระญาณสังวร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) แสดงภาพที่ 5.4.1 ถึง 5.4.4 ผลการศึกษาพบวา่ ภาพที่ 5.4.1 แผนที่ความคิดจากการสกดั หลกั คาสอนเร่ืองมหาสติปัฐานธรรม บรรยายโดยสมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) : ดา้ นแนวคิด ด้ำนแนวคิดสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) พบวา่ 1) ธรรมะพระสูตรใหญ่ “มหำสติปัฏฐำนสูตร” ทำงปฏิบัติอนั เดียว “เอกยนมรรค” คือทางปฏิบตั ิอนั เดียว เพื่อความบริสุทธ์ิของสัตวท์ ้งั หลาย เพ่ือกา้ วล่วงความโศก ความรัญจวน คร่าครวญใจท้งั หลาย เพื่อดบั ทุกข์ท้งั หลาย เพื่อบรรลุธรรมะอนั ถูกชอบท่ีพึงบรรลุเพ่ือทาให้แจง้ ซ่ึงนิพพา นคือความดบั กิเลสและกอง ทกุ ข์ มหาสติปัฏฐานสูตร ถือเป็นหลกั ปฏิบตั ิของผปู้ ฏิบตั ิธรรมทว่ั ไป ช้ีทางปฏิบตั ิอนั เดียววา่ เอกายโนมรรค ทางไปอนั เดียว คือทางปฏิบตั ิอนั เดียว เพ่ือความบริสุทธ์ิของสัตว์ท้งั หลาย เพ่ือกา้ วล่วงความโศก ความ

614 รัญจวนคร่าครวญใจท้งั หลาย เพื่อดับทุกข์โทมนัสท้งั หลาย เพ่ือบรรลุธรรมะอนั ถูกชอบท่ีพึงบรรลุ เพื่อ กระทาให้แจง้ ซ่ึงนิพพาน การปฏิบตั ิกรรมฐานใชห้ ลกั สติปัฏฐานเป็ นส่วนใหญ่และพระสูตรใหญ่ เรียกว่า มหาสติปัฏฐานสูตรประมวลขอ้ กรรมฐานไวเ้ ป็นอนั มาก เป็นหลกั การกรรมฐาน วิธีปฏิบัติสติปัฏฐำนท้ัง 4 คือให้ต้งั สติพิจารณาตามดูตามรู้ตามเห็น กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม การปฏิบตั ิต้งั สติ ตอ้ งมีที่ต้งั สติ ใหต้ ้งั สติ ที่กายเวทนาจิต ธรรม จึงเป็นท่ีต้งั สติ “สติ” แปลกนั วา่ ความระลึกได้ ความหมาย วา่ ระลึก คอื นึกถึง และนึกไดด้ ว้ ย “สติ” คอื ความระลึกได้ 2) สติปัฏฐำน 4 คือ ต้งั สติพจิ ำรณำกำย เวทนำ จิต ธรรม ต้งั ตน้ แต่ อานาปานบรรพวา่ ดว้ ยลมหายใจเขา้ ออก หมวดกายานุปัสสนาสติปัฏฐานคือ ต้งั สติตาม ดูพิจารณากาย สติปัฏฐาน 4 ขอ้ ลมหายใจเขา้ ออกจึงเป็นสิ่งสาคญั ทุกคนกาหนดต้งั สติดูลมหายใจเขา้ ออก สาเร็จเป็ นสติปัฏฐานไดต้ ้งั แต่ขอ้ กาย เวทนา จิต ธรรม ปฏิบตั ิต่อเนื่องอาศยั ต้งั สติ กาหนดลมหายใจเขา้ ออกเป็นที่ต้งั กาหนดต้งั สติดูลมหายใจเขา้ ออกสาเร็จเป็นสติปัฏฐานไดต้ ้งั แต่ขอ้ กาย ต่อไปขอ้ เวทนา ขอ้ จิต และขอ้ ธรรม เป็นการปฏิบตั ิต่อเน่ือง โดยอาศยั ต้งั สติกาหนดลมหายใจเขา้ ออกเป็นท่ีต้งั ต้ังต้นข้อกำย ต้งั สติกาหนดลมหายใจเขา้ ออก เป็นอานาปานปัพพะ วา่ ดว้ ยลมหายใจเขา้ ออก ใหต้ ้งั สติสัมปชญั ญะในอิริยาบถ ท้งั 4 อนั เป็นขอ้ อิริยาบถปัพพะขอ้ ว่าดว้ ยอิริยาบถ ให้ต้งั สติสัมปชญั ญะสัมปชญั ญะในอิริยาบถประกอบท้งั ปวง ปฏิบัติสติปัฏฐำนทำสัมปชัญญะควำมรู้ตัว กายวิเวก สงบกาย เรือนว่างในจิตใจ คือ ทาจิตใจสงบ ไม่ กงั วล ให้วา่ ง สงบสงดั และนง่ั ขดั บงั ลงั ค์ คือขดั สมาด ต้งั กายตรง ทาสติใหต้ ้งั อยจู่ าเพาะหนา้ หรือจะนงั่ ใน อิริยาบถไหน ปฏิกูลปัพพะขอ้ วา่ ดว้ ยปฏิกูล หรือกายคตาสติ สติท่ีไปในกาย 3) ทำงปฏิบัติอันเดียว คือ สติ ปัฏฐำนพจิ ำรณำกำย สติปัฏฐำนพจิ ำรณำเวทนำ สตปิ ัฏฐำนพจิ ำรณำจติ สตปิ ัฏฐำนพจิ ำรณำธรรมะ คือ เรื่อง ในจิต จิตดาเนินไปตรงสู่ธรรมะคือความถูกตอ้ งย่อมเป็นจิตท่ีตรงรู้ว่าอะไรเป็นธรรมคือถูกตอ้ ง อะไรเป็ น อธรรมคือไม่ถูกตอ้ ง ปฏิบตั ิเป็ นอรูปสมาบตั ิซ่ึงเป็ นสมาธิ ยงั ไม่เป็ นไปในทางปัญญาอนั จะเป็ นเหตุใหล้ ะ กิเลสและกองทุกขไ์ ด้ แมป้ ฏิบตั ิไดถ้ ึงอากิญจญั ญายตนะ ยงั มีกิเลสและทุกขอ์ ยู่ หมวดธรรมะซ่ึงเป็ นท่ีต้ัง ของสติพจิ ำรณำ กาหนดนิวรณ์ในจิต พร้อมท้งั การละนิวรณ์ ใหต้ ้งั สติกาหนดขนั ธ์ 5 กาหนดอายตนะภายใน ภายนอก กบั ท้งั สัญโญชน์ คือความผูกจิตใจอยู่ในอายตนะ ให้ต้งั สติกาหนดในโพชฌงค์ สัจจะธรรมคือ อริยสัจจท์ ้งั 4 อนั เป็นท่ีต้งั แห่งญาณ คือ ความหยงั่ รู้ ความหยงั่ รู้ในอริยสัจจ์ 4 ไดแ้ ก่ ทุกข์ สมุทยั นิโรธ ขอ้ ปฏิบตั ิให้ถึงความดบั ทกุ ข์ เหตุที่นิวรณ์ เกิดข้ึน กามฉนั ท์ ความพอใจรักใคร่ในกาม เหตุแห่งพยาบาท ความ โกรธแคน้ ขดั เคือง คิดมุ่งร้ายปองร้ายบงั เกิดข้ึน ถีนมิทธะความง่วงงุนเคลิบเคลิ้มบงั เกิดข้ึน อุทธจั จะกุกกุจ จะ ความฟุ้งซ่านราคาญใจ

615 ภาพท่ี 5.4.2 แผนทีค่ วามคดิ จากการสกดั หลกั คาสอนเรื่องมหาสติปัฐานธรรมบรรยาย โดยสมเดจ็ พระญาณสังวร สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) : ดา้ นหลกั การ ด้ำนหลักกำรสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) พบวา่ 1) “สติปัฏฐำน” คือ พิจำรณำกำย พจิ ำรณำเวทนำ พิจำรณำจิต พจิ ำรณำมรรค ขอ้ ปฏิบตั ิอุปการะสติ ปัฏฐาน คือ 1. “อาตาปี ” มีความเพียรปฏิบตั ิ 2. “สัมปชาโน” มีความรู้พร้อม คือมีความรู้ตวั เรียกอีกช่ือห น่ีงว่า สัมปชญั ญะ ท่ีแปลว่าความรู้ตวั 3. “สติมา” มีสติคือความระลึกได้ หรือความกาหนดพิจารณา 4. “วินยั โลเก อภิชา โทมนสั สัง” กาจดั ความยินดีความยินร้ายในโลกเสีย สติในสติปัฏฐำน เป็นสติต้งั ในกาย เวทนาจิตธรรม ดว้ ย “อนุปัสสนา” คือตามดูหรือดูตาม มุ่งถึงอนุปัสสนา ดูตามกายเวทนาจิตธรรม ท่ีเป็ น ปัจจุบนั สติต้งั เป็ นสติปัฏฐำน กายปรากฏตวั ลมหายใจเขา้ ลมออกเอง เวทนาปรากฏ ตวั ความรู้ในลมหายใจ เขา้ ออก เป็นความรู้เสวย จิตปรากฏ จิตมีสติต้งั อยู่ในตวั ลมหายใจเขา้ ออก และในความรู้ลมหายใจเขา้ ออกท่ี เป็นความรู้เสวย ธรรมะจะปรากฏ ขอบเขตแห่งกำรปฏิบัติสติปัฏฐำนท้ัง 4 น้ีไวด้ ว้ ยว่า ต้งั สติพิจารณากาย ในกาย ต้งั สติพิจารณาเวทนาในเวทนา ต้งั สติพิจารณาจิตในจิต ต้งั สติพิจารณาธรรมในธรรม เม่ือจะปฏิบตั ิ ขอ้ ไหนก็ตอ้ งต้งั สติพิจารณาในขอ้ น้นั มิใช่ในขอ้ อ่ืน 2) สติปัฏฐำน 4 คือต้ังสติ คือควำมระลึกได้หรือควำม ระลกึ รู้ในกำย ในเวทนำ ในจิต ในธรรม วิธีต้ังสติพิจำรณำ 6 ประกำร ต้งั สติพิจารณากายในกายในภายใน พิจารณากายในกายในภายนอก พิจารณากายในกายในท้งั ภายในท้งั ภายนอก พจิ ารณาในกายว่ามีเกิดข้ึนเป็น ธรรมดา พจิ ารณาในกายวา่ มีเสื่อมดบั ไปเป็นธรรมดา พจิ ารณากายในกายวา่ มีท้งั เกิดข้ึนและเสื่อมดบั ไปเป็ น ธรรมดา รวบรวมพจิ ำรณำกำย คือ ขอ้ วา่ ดว้ ยลมหายใจเขา้ ออก ดว้ ยอิริยาบถท้งั 4 ยนื เดินนง่ั นอน สมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั ในความเย้ืองกรายอิริยาบถท้งั 4 น้ี และอิริยาบถประกอบท้งั หลาย ดว้ ยกายจาแนกออกเป็นอาการ ท้งั หลายมี ผม ขน เลบ็ ฟัน หนงั เป็นตน้ ดว้ ยธาตุ 4 ดินน้าไฟลม ขอ้ วา่ ดว้ ยป่ าชา้ 9 พิจารณาศพท่ีเขาทิง้ ไวใ้ น ป่ าชา้ “สัมปชัญญะ” แปลกนั ว่า ความรู้ตวั คู่กบั สติความระลึกได้ สติความระลึกได้ และสัมปชญั ญะความ รู้ตวั ธำตุปัพพะ ข้อว่ำด้วยธำตุ คอื ใหพ้ ิจารณาวา่ กายประกอบดว้ ยธาตตุ า่ งๆ คือ ปฐวีธาตุ ธาตดุ ิน อาโปธาตุ

616 ธาตนุ ้า เตโชธาตุ ธาตุไฟ วาโยธาตุ ธาตุลม คือพจิ ารณาแยกกายออกไปเป็นธาตุตา่ งๆ ท้งั 4 มีสติหายใจเขา้ มี สติหายใจออก ต้งั จุดกาหนด 3 จุด หายใจเขา้ จุดแรก คือ ปลายจมูกหรือริมฝี ปากเบ้ืองบน จุดกลางคือ อุระ ทรวงอกภายใน จุดสาม คอื นาภี และ ขณะหายใจออก จุดหน่ึงคอื นาภี สอง คอื อรุ ะ สามคือ ปลายจมูก หรือ ริมฝี ปากเบ้ืองบน ในพระสูตร คือ เข้ำสู่ป่ ำ โคนไม้ เรือนว่าง อนั เป็ นท่ีเรียกว่า กายวิเวกสงบกาย เป็ นจุด ตอ้ งการ เป็นเรือนวา่ งในจิตใจ คอื ทาจิตใจใหส้ งบ ไม่กงั วลถึงสิ่งตา่ งๆ ถึงบคุ คลตา่ งๆ สถำนที่ สงบสงดั การ ปฏิบตั ิตอ้ งการสถานท่ีอนั ประกอบดว้ ยสุญญตาคือความว่าง สุดแต่สัปปายะของแต่ละบุคคล นั่งขัดบัลลงั ก์ คือ ขดั สะหมาด ต้งั กายตรง ทาสติใหต้ ้งั อยจู่ าเพาะหน้า ไม่ใหฟ้ ุ้งซ่านไปขา้ งไหน โดยมีสติหายใจเขา้ มีสติ หายใจออก หายใจทว่ั ทอ้ ง คือ หายใจถึงทอ้ งท่ีพองข้ึนเม่ือหายใจเขา้ และยุบลงเม่ือหายใจออก ให้นั่งต้ังกำย ตรง ดารงสติจาเพาะหนา้ คอื รวมจิตเขา้ มากาหนดอยู่เฉพาะหนา้ ต้งั จุดกำหนดไว้ 3 จุด หายใจเขา้ จุดแรกคือ ปลายจมูกหรือริมฝี ปากเบ้ืองบน จุดกลางคืออุระหรือทรวงอกภายใน และจุด 3 คือ นาภี 3) ข้อปฏิบัติโดย ลำดับ ได้สตเิ ป็ นสตปิ ัฏฐำนขึน้ ได้สติทีเ่ ล่ือนขนึ้ มำโดยลำดบั เอง คือธรรมปฏบิ ัติจะเล่ือนช้ันขึน้ ไปเอง โดยผู้ ปฏิบตั ิเป็นผปู้ ระคองสติ ปฏิบัติดับกรรม ดับสงสัย ดับตัณหำ คือ ปล่อยวาง ไม่ยึดถือ ปล่อยวางอารมณ์ของ อรูป กามไม่มี สงสัยไม่มี ทางวิปัสสนาปัญญา เห็นเป็นมรรคปัญญา กาจดั สังโยชน์ กิเลส ผกู จิตใจ นอ้ มไป ในอากิญจญั ญายตนะอาศยั อารมณ์ท่ีไม่มี นอ้ มธรรม ธรรม ขอ้ ปลดเปล้ืองสัญญา ใชว้ ิมุติเป็น หลุดพน้ ดว้ ย มรรค จิตมีนิวรณ์ครอบงำ ไม่สามารถปฏิบตั ิในโพชฌงคท์ ้งั 7 ได้ ต่อเมื่อปฏิบตั ิสงบรางบั นิวรณ์ท้งั 5 ได้ ย่อมสามารถปฏิบตั ิในโพชฌงคไ์ ด้ อุเบกขำสัมโพชฌงค์ย่อมจะวางเฉย พิจารณาให้รู้จกั สัจจะคือความจริง ความรู้จกั ดีชวั่ ยอ่ มไม่เป็นประโยชน์ เพราะไม่ไดฝ้ ึ กหัดทาสติ ให้มนั่ คงมิไดฝ้ ึ กปัญญาใหม้ ีกาลงั เรียกว่าเป็น ผปู้ ระมาทปัญญา ขาดความเพ่งพินิจพจิ ารณาใหค้ วามจริงปรากฏในจิตใจและใหจ้ ิตใจรับรู้ ภาพที่ 5.4.3 แผนท่ีความคดิ จากการสกดั หลกั คาสอนเร่ืองมหาสตปิ ัฐานธรรมบรรยาย โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) : ดา้ นวิธีการ

617 ด้ำนวิธีกำรสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) พบวา่ 1) กำรปฏบิ ตั ิต้องกำรสถำนท่ีปฏิบัตใิ นควำมว่ำง คอื สถานท่ีในความวา่ ง จะเป็นป่ า โคนไม้ เรือนวา่ ง ที่ ๆ มีความวา่ ง สงบสงดั นงั่ ขดั บงั ลงั ค์ เรียกวา่ การนงั่ ขดั สมาธิ นงั่ ขดั สะมาด สุดแต่สปั ปายะ ของแต่ละคน แนะให้นงั่ ต้งั กายตรง ดารงสติจาเพาะหนา้ คือ รวมจิตเขา้ มากาหนดอยู่เฉพาะหนา้ ให้ต้งั ใจถึงพระพุทธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ต้งั ใจสารวมกาย วาจา ใจ ใหเ้ ป็น “ศีล” อนั ศีลเป็นพ้ืนของสมาธิ ควำมสำรวม กำยสำรวมวำจำสำรวมใจ ก็เป็นศีลข้นึ มาทนั ทีเป็นขอ้ สาคญั อนั เป็นท่ีต้งั ของสมาธิ ต้งั ต้นในศีล 5 ความปกติ ใจท้งั กายและวาจา ความปกติใจคือ ใจไม่ถูกราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ครอบงา ไดส้ รณะได้ศีลมาเป็ น พ้ืนฐาน ศีลเพื่อสมำธิจึงตอ้ งมีความสารวมกาย อาจจะเป็นนง่ั ก็ได้ เป็นเดินที่เรียกวา่ เดินจงกรมก็ได้ หรือว่า อาจจะเป็ นนอน โดยมากก็ใช้จงกรมหรือนัง่ เม่ือจะทาจิตให้สงบจริงๆ ก็ตอ้ งนงั่ ศีลเพื่อสมาธิ เป็ นที่ต้งั ความบริสุทธ์ิ เม่ือจิตถึงจิตย่อมไดค้ วามสงบความเยน็ ศีลคือความสารวมกายสารวมวาจาสารวมใจข้ึนโดย อตั โนมตั ิ อิริยาบถนั่ง นั่งกายตรง นั่งขดั สะหมาดหรือน่ังขดั สมาธิ น่ังขดั บลั ลงั ก์ ต้งั กายตรง ย่อมเป็ น อิริยาบถที่ทาจิตให้สงบไดง้ ่าย กำรปฏิบัติแรก สติเหมือนเดินเข้ำเดินออกสำมจุด ข้นั ต่อมา นงั่ ดูอยู่จุดเดียว แต่ว่าให้รู้ท้งั หมดมีสติต้งั อยู่เป็ นสมาธิในลมหายใจ ศึกษำกำหนดว่ำ รู้กำยท้งั หมดรูปกาย นามกาย หายใจ เขา้ หายใจออก กายท้งั หมดดว้ ย รู้ลมหายใจเขา้ ออก ลมหายใจถือเป็นกายอย่างหน่ึงอยูใ่ นหมวดกาย ปฏิบัติ ด้วยสติ เดินดูนั่งดูลมหำยใจเข้ำออกท้ังสำมจุด กำหนดลมหำยใจเข้ำออกท่ีปลำยจมูกหรือริมฝี ปำกเบือ้ งบน หรือ กำหนดนำภี ทพี่ องหรือยบุ หรือวา่ กาหนดที่อุระทรวงอกขา้ งใน ใหก้ าหนดสามจุด คือ ใหท้ าสติตามดู ลมหายใจเขา้ เดินตามลมหายใจเขา้ ออกไปมา ไปมาท้งั สามจุด หยุดนิ่งดูจุดเดียว กาหนดท้งั 3 จุด คือใหท้ า สติตามดูลมหายใจเขา้ จุดแรก คือ ปลายกระพุง้ จมูกหรือริมฝี ปากเบ้ืองบน จุดสอง คืออุระหรือทรวงอกขา้ ง ใน จุดสามคือนาภี และเมื่อหายใจออกก็ตามดูจากนาภีเป็ นจุดที่หน่ึง อุระเป็ นจุดท่ีสอง ปลายกระพุง้ จมูก หรือริมฝี ปากเบ้ืองบนเป็นจุดที่สาม เดินตามลมหายใจเขา้ ลมหายใจออกไปมา ไปมาท้งั สามจุด อุระกบั นำภี ไม่ทราบถึงความกระทบได้ เป็ นแต่เพียงความรู้สึก ว่านาภีพองข้ึน และยุบลงเท่าน้ัน กาหนดรู้ “ความ เคล่ือนไหวนาภีพองข้ึนยุบลง” ปลายจมูกและริมฝี ปากรู้กระทบลม กาหนดลมหายใจได้ที่กระทบ เป็ น อายตนะภายในภายนอกมากระทบ หำยใจท่ัวท้อง เรียกว่ำ หำยใจเข้ำยำวหำยใจออกยำว ต้งั สติดู ร่างกาย สงบ จิตใจสงบเขา้ รวมจิตใจได้ ปลายจมูกหรือริมฝี ปากเบ้ืองบนกระทบของลมหายใจเขา้ ออก กาหนดลม หายใจไดท้ ี่การกระทบ จดั เป็นอายตนะภายในภายนอกที่มากระทบกนั ว่ากายและโผฏฐพั พะ คือ ส่ิงที่กาย ถูกตอ้ ง กำรปฏิบัติเบื้องต้น หำยใจให้ยำวหรือส้ัน เร่ิมต้งั แต่เมื่อลมถึงปลายกระพุง้ จมูก หรือริมฝี ปากเบ้ือง บน ก็นบั หน่ึง และเรื่อยไปจนถึงเกา้ คือ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 เม่ือถึง 9 ก็ใหถ้ ึงทอ้ งพอดีที่พองข้ึน ปฏิบตั ิจนถึง รวมจิตไดด้ ี ส้ันเขา้ มาเอง ปล่อยให้เป็ นไปตามธรรมดา ให้ควำมรู้สึกอยู่ตำมควำมเป็ นจริง หายใจทว่ั ทอ้ ง ตามปกติ การปฏิบตั ิเบ้ืองตน้ จาเป็นตอ้ งกระทาให้ยาว เวลาหายใจเขา้ เร่ิมต้งั แต่ ลมถึงปลาย จมูก ริมฝี ปาก เบ้ืองบน นับหน่ึงเร่ือย ๆ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ถึง 9 ให้ถึงทอ้ งพอดีพอง ข้ึนเป็ นการหายใจเข้า “บริกรรม ภำวนำ” ตอ้ งมีสติหายใจเขา้ มีสติหายใจออก คือ มีสติกาหนดอยู่ท่ีลมหายใจตอ้ งใชว้ ิธีนบั ลมหายใจช่วย 1-

618 10 หรือว่าใช้ “วิธีพุทโธ” หายใจเขา้ พุท หายใจออกโธ ซ้าไปซ้ามา ดงั่ น้ี เป็นบริกรรมภาวนา ต้งั สติกาหนด จนถึงข้นั นง่ั ดู ร่างกายจะสงบเขา้ จิตใจจะสงบเขา้ เพราะสามารถท่ีรวมจิตใจได้ สาเหนียกกาหนดวา่ เราจกั สงบรางบั กายสังขารหายใจเขา้ หายใจออก “กายสังขาร”แปลวา่ เครื่องปรุงกาย กายท้งั หมดหมายถึงกองของ ลมหายใจ ให้ทาความรู้ลมหายใจท้งั หมด กำย คือร่ำงกำยประกอบด้วยธำตุเป็ นวัตถุต่ำงๆ ดิน น้ำ ไฟ ลม ทุกๆ คนมีอยู่ เบ้ืองบนแต่พ้ืนเทา้ ข้ึนมา เบ้ืองต่าแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ รูปกำยคือ กาย ประกอบ ดินน้าลมไฟ ทุกคนมีกาย เบ้ืองบนพ้ืนเทา้ ข้ึนมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบกาย นามกาย ได้แก่ ใจ จาแนก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ “ใจ” ประกอบ ความรู้และความคิด ใหร้ ู้ใจของตน ถา้ คิดออกไปขา้ ง นอกก็เอาใจเขา้ มา พร้อมท้งั กายน่ังอยู่ตามอิริยาบถ ต้งั สติกาหนดกาย ส่ิงปฏิกูลไม่สะอาด ไป อาการ 32 กาหนดพิจารณาธาตุท้งั 4 ในกายน้ี คือ ธาตุดิน น้า ไฟ ลม อากาศธาตุ เป็ นต้งั สติกาหนด ต้งั สติ สติกบั สัมปชญั ญะตอ้ งคู่กนั ไป ต้งั สติกาหนดกายว่าประกอบดว้ ยอาการ หรือส่ิงท่ีปฏิกูลไม่สะอาดต่างๆ กาหนด ป่ าช้าท้งั 9 คือ พิจารณาศพท่ีทิ้งไวใ้ นป่ าช้า พิจารณาเป็ นกายยงั ดารงชีวิต และพิจารณากายสิ้นชีวิตเป็ น ซากศพ การปฏิบตั ิทาสติปัฏฐานสมบูรณ์ข้ึน จนถึงข้ันรู้เกิด รู้ดับ เม่ือถึงข้นั น้ี ก็รู้คลุมไปได้หมดท้งั กาย เวทนาจิตธรรมของตนเอง ท้งั กายเวทนาจิตธรรมของผอู้ ่ืน คำว่ำ “ธำตุ” มคี วำมหมำยถึง สภาพหรือลกั ษณะ อนั เป็นท่ีรวมในกายอนั น้ี ส่วนท่ีแขน้ แข็งเรียกวา่ ปฐวธี าตุ ธาตดุ ิน ส่วนเอิบอาบเหลวไหลเรียกว่า อาโปธาตุ ธาตุน้า ส่วนอบอุ่นเรียกว่า เตโชธาตุ ธาตุไฟ ส่วนพดั ไหวเคลื่อนไปไดเ้ รียกว่า วาโยธาตุ ธาตุลม ปฐวีธำตุ ธาตุดิน มี ผูค้ รองคือยงั มีชีวิต ก็ไดแ้ ก่ เกสา ผม โลมา ขน นขา เล็บ ทนั ตา ฟัน ตโจ หนัง มงั สัง เน้ือ นหารู เอน็ อฏั ฐิ กระดูก อฏั ฐิมิญชงั เยอ่ื ในกระดูก วกั กงั ไต หทยงั หวั ใจ ยกนงั ตบั กิโลมกงั พงั ผืด ปิ หกงั มา้ ม ปัป ผาสงั ปอด อนั ตงั ไส้ใหญ่ อนั ตคุณงั สายรัดไส้ อุทริยงั อาหารใหม่ กรีสงั อาหารเก่า มตั ถเกมตั ถลงุ คงั ขมอง ในขมองศีรษะ เป็นภายใน คอื มีอยใู่ นกาย อำโปธำตุ ธาตุน้าที่เป็นภายใน คือ มีอยใู่ นกาย ไดแ้ ก่ ปิ ตตงั น้าดี เสมหงั น้าเสลด ปุพโพ น้าหนอง น้าเหลือง โลหิตงั น้าเลือด เสโท น้าเหง่ือ เมโท มนั ขน้ อสั สุ น้าตา วสา มนั เหลว เขโฬ น้าลาย สิงฆาณิกา น้ามูก ลสิกา ไขขอ้ มุตตงั มูตร วำโยธำตุ ธาตุลมไดแ้ ก่ ส่ิงที่พดั ไหวท่ีมีอยใู่ น กายน้ี อนั ไดแ้ ก่ ลมพดั ข้ึนเบ้ืองบน ลมพดั ลงเบ้ืองต่า ลมในทอ้ ง ลมในลาไส้ ลมท่ีพดั ไปทวั่ สารพางคก์ ายลม หายใจเขา้ ลมหายใจออก และลมอื่นๆ อากาศธาตุ ธาตุอากาศ อากาศส่วนที่เป็ นช่องว่าง และ วิญญาณธาตุ ธาตุรู้ จึงรวมเป็นบุคคล เตโชธำตุ ธาตุไฟไดแ้ ก่ ส่ิงที่อบอุ่น ร้อน มีอยใู่ นกายไดแ้ ก่ ไฟอบอุ่น ไฟทรุดโทรม ไฟเร่าร้อน ไฟย่อยอาหาร ท่ีกินด่ืมเค้ียวลิ้มเขา้ ไปแลว้ ธำตุรวมเป็ นกำยต้องเปล่ียนแปลง เกิดดบั จึงมิใช่ตน ตามท่ียึดถือ เป็ นสมมติบญั ญตั ิว่าเป็ นตวั เราของเราเท่าน้ัน พุทธศาสนาถือว่าเป็ นสมมติสัจจะ สัจจะโดย สมมติ เป็ นความจริงอย่างหน่ึง แต่โดยปรมตั ถสัจจะความจริงโดยปรมตั ถค์ ือ ไม่มีตวั เราไม่มีของเรา เป็ น ธรรมชาติธรรมดา เป็นสภาวะธรรม ให้มำหัดพิจำรณำกำยประกอบดว้ ยอาการต่างๆ พิจารณาแยกเป็นธาตุ ออกไปธาตุดิน ธาตุน้า ธาตุไฟ ธาตุลม มาประกอบกนั เขา้ เม่ือธาตุมารวมกันเขา้ ก็เป็ นสังขาร คือ ส่วน ประสมปรุงแต่ง ดง่ั เป็นกายอนั น้ีของทุกๆ คน ศึกษำคือ สำเหนียกกำหนดว่ำ เราจกั รู้กายท้งั หมด หายใจเขา้ ออก กาหนด ดว้ ยเจตนาคือความจงใจ ว่าจกั รู้กายท้งั หมด พร้อมไปกบั หายใจเขา้ ออก กายท้งั หมด รูปกาย นามกาย สติกบั สมั ปชญั ญะตอ้ งคู่กนั ไป ต้งั สติกาหนดกายวา่ ประกอบดว้ ยอาการ หรือสิ่งท่ีปฏิกูลไมส่ ะอาด

619 ต่างๆ กำรปฏิบัติเป็ นประจำตอ้ งเป็นไปตามธรรมดาของการหายใจ ปฏิบตั ิรวมจิต รวมใจส้ันข้ึนมาเอง ปล่อยเป็ นไปตามธรรม ตอ้ งมีการศึกษา คือ สาเนียกกาหนดดว้ ยเจตนาคือความจงใจว่า จะรู้กายท้งั หมด พร้อมไปกบั หายใจเขา้ พร้อมไปกบั หายใจออก ข้อพจิ ำรณำภำยในภำยนอก ขอ้ วา่ “ในภายใน” ก็คอื ในกายที่ เป็นภายใน ท่านอธิบายว่าคือ กายตนเอง “ในภายนอก” คือในภายนอกจากกายตนเอง คือกายผอู้ ื่น พิจารณา ในทางปฏิบตั ิไดอ้ ีกวา่ ในภายในน้นั คือในจิตใจ ในภายนอกน้นั ก็ คือในอารมณ์ที่เป็นภายนอก จำกข้อกำย ต้งั สติกาหนดลมหายใจเขา้ ออก ต้งั สติกาหนดอิริยาบถ ยืนเดินนัง่ นอน ต้งั สติกาหนดอิริยาบถนอ้ ย แห่ง อิริยาบถใหญ่ เรียกว่า ทาสัมปชญั ญะคือความรู้ตวั 1)“สาตถกสัมปชญั ญะ” ความรู้ตวั ในส่ิงที่มีประโยชน์ 2) สัปปายสมั ปชญั ญะ ความรู้ตวั ในสิ่งที่เป็นสปั ปายะคือสบาย 3) โคจรสัมปชญั ญะ ความรู้ตวั ในโคจรคือท่ี เท่ียวไป หรืออารมณ์ของใจ ซ่ึงเป็นท่ีเท่ียวไปของใจ อารมณ์ 2 อยา่ ง คือ อารมณ์ที่เป็นที่ต้งั นาใหเ้ กิดโลภ โกรธหลง กบั อารมณ์ที่เป็นกรรมฐาน 4) อสัมโมหสมั ปชญั ญะ สัมปชญั ญะคอื ความรู้ตวั ในความไมห่ ลง อำ นำปำนสติ คือ สติที่กำหนดลมหำยใจเข้ำ ลมหำยใจออก กบั ในสติปัฏฐำน 4 แต่วา่ อานาปานสติ ในหมวด ธรรม้ แสดงอานาปานสติ 16 ช้นั โดยท่ี จดั เป็นข้นั กายานุปัสสนา 4 ช้นั เวทนานุปัสสนา 4 ช้นั จิตตานุปัสส นา 4 ช้นั และธรรมานุปัสสนา 4 ช้นั กายานุปัสสนา 4 ช้นั แสดงไว้ ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐานในมหาสติ ปัฏฐานสูตร อันเชิญพระพุทฌจ้ำ พระธรรม พระสงฆ์ประทบั จิตใจมีศีล พ้ืนฐานสมาธิ ให้กาย วาจา ใจ เป็นท่ีต้งั รองรับ ของสรณะ ปัญญำในธรรมน้นั ตอ้ งอาศยั สมาธิ ควรต้งั ใจ การถึงสรณะ ถึงพระพุทธเจา้ เป็น สรณะเป็ นท่ีพ่ึงต้งั ใจ ต้งั ใจถึงพระธรรมเป็ นสรณะ คือท่ีพ่ึง ต้งั ใจถึงพระสงฆ์เป็ นที่พ่ึง 4 ข้นั คือ ช้นั ที่ 1 หายใจเขา้ ยาวก็รู้ หายใจออกยาวก็ให้รู้ ช้นั ที่ 2 หายใจเขา้ ส้ันก็ให้รู้ หายใจออกส้ันก็ให้รู้ ช้นั ที่ 3 ศึกษาคือ ต้งั ใจสาเนียกกาหนดไวว้ ่า เราจะรู้ทว่ั ถึงกายท้งั หมด หายใจเขา้ เราจะรู้กายท้งั หมด หายใจออก ช้นั ท่ี 4 ศึกษาคือสาเหนียกกาหนดวา่ เราจะระงบั กายสังขาร ปรุงกายหายใจเขา้ เราจะระงบั กายสังขาร เคร่ืองปรุงกาย หายใจออก ท้งั สี่น้ีรวมเป็นช้นั กายานุปัสสนา ต้งั กำยตรง ต้งั สติ ให้มหี น้ำโดยรอบ ร่ำงกำยส่ีหน้ำ รูปพระพห รมส่ีหนา้ เห็นไดท้ ุกดา้ น ปฏิบตั ิต้งั สติให้มีหนา้ โดยรอบ คือ ให้เหมือนอย่างสติมีหน้า 4 หน้า หรือมีหน้า โดยรอบ เป็นสติท่ีรู้ท่ีเห็นรอบดา้ น รวมเขา้ มาไดไ้ ดฉ้ นั ทะพอใจ ดว้ ยอานาจพอใจ ลมหายใจเขา้ ออก ยาวส้นั จะละเอียดเขา้ จะได้ ปราโมทย์ คือความบนั เทิง จิตรวมเขา้ มามาก รู้กายท้งั หมด และรางบั กายสังขาร เครื่องปรุงกาย เวทนำนุปัสสนำ 4 ช้ัน สาเหนียกกาหนด ว่าเราจกั รู้ทว่ั ถึงปี ติหายใจเขา้ หายใจออก ข้นั ท่ี 1 ต่อไปข้นั ท่ี 2 เราจกั ศึกษาคือสาเหนียกกาหนด รู้ทวั่ ถึงสุข หายใจเขา้ หายใจออก ต่อไปข้นั ท่ี 3 จกั ศึกษาคือ สาเหนียกกาหนด ให้รู้จกั ทว่ั ถึงจิตตสังขารเครื่องปรุงจิตหายใจเขา้ หายใจออก และข้นั ที่ 4 เราจกั ศึกษา สาเหนียกกาหนดให้รู้จกั เราจกั ศึกษารางับจิตตสังขารเคร่ืองปรุงจิต หายใจเขา้ หายใจออก 2) ต้ังสติ พจิ ำรณำเวทนำ คือต้งั สตกิ ำหนดเวทนำ ควำมรู้เป็ นสุขเป็ นทกุ ข์ หรือเป็ นกลำงๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข พจิ ำรณำเป็ น เวทนำ ควำมรู้สึกเป็ นสุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกขท์ างกายกายใจ มีอามิส ไม่มีอามิส เป็ นกิเลสเป็ นเร่ืองล่อ มี อารมณ์ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องล่อ บงั เกิดข้ึนบา้ ง พิจารณา เวทนา คือความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกขเ์ ป็นกลางๆไม่ ทุกขไ์ ม่สุขทางกายทางใจ ท่ีเป็น สามิส คือมีอามิสมีกิเลสเป็นเครื่องล่อ มีอารมณ์อนั ประกอบดว้ ยกิเลสเป็ น เครื่องล่อให้บงั เกิดข้ึนบา้ ง เป็น นิรามิส คือ ไม่มีกิเลสไม่มีอารมณ์ประกอบดว้ ยกิเลสเป็นเคร่ืองล่อใหบ้ งั เกิด

620 ข้ึนบา้ ง 3) จิต เป็ นธรรมชำติ ไม่มสี รีระสัณฐำน มีคหู า คือ กายเป็นที่อาศยั จิตใจเป็นตวั ธาตุรู้ และมีลกั ษณะ ที่รู้ที่คิด คิดคือรู้ รู้คือคิดก็ได้ ปรากฏเป็นรู้ข้ึนมาดว้ ยความคิด และปรากฏความคิดดว้ ยความรู้ เอาเรื่องหรือ เอาสิ่ง เอาภาวะ เกิดข้ึนในจิต เป็ นอย่างไร จิตเป็ นไปตาม และเวทนาเป็ นไปตาม กายเองเป็ นไปตาม “ธรรมะ” หมำยถึง ภำวะ เร่ืองเกิดขึน้ เป็ นไปอยู่ในจิต ปรากฏเป็นความคิด สิ่งท่ีคิด เป็นส่ิงที่ประกอบอย่ใู น จิต ภาวะในจิต ธรรมะบงั เกิดข้ึน ต้งั อยู่ เป็นไปอยใู่ นจิต เวทนำเป็ นควำมรู้อยา่ งหน่ึงของจิตเป็นสุข เป็นทุกข์ หรือเป็ นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข อนั เป็ นไปทางกายเป็ นไปทางจิต เป็ นความรู้ รู้ถึงความสัมผสั แห่งสิ่งหรือ เร่ืองน้นั ๆ ทางกายทางใจ สมาธิต้งั มน่ั แตย่ งั ไม่แนบแน่น กำรภำวนำคือกำรปฏบิ ัติในระยะอุปจำรภำวนำ เขา้ มาถึงจิตใจในภายใน การปฏิบตั ิจนถึงข้นั จิตแนบแน่นเป็ นสมาธิต้งั มนั่ ในภายในเป็ นอปั ปนาภาวนา เป็ น ภายใน ภายในภายนอกรวมอยู่ที่ผูป้ ฏิบัติ ให้ พิจำรณำ จิต น้ี จิตที่มีราคะมีโทสะโมหะก็ให้รู้ว่ามี จิต ปราศจากราคะโทสะโมหะก็ให้รู้ว่ามี จิตท่ีฟุ้งซ่านหรือจิตท่ีหดหู่อย่างไรก็ให้รู้ ให้หัดปฏิบัติ กำหนดดู ธรรมะในจิต เม่ือมีอกุศลธรรมเกิดข้ึนในจิตคือนิวรณ์ท้งั 5 ให้ต้งั สติกาหนดดู ขนั ธ์ อายตนะ พร้อมท้งั สัญ โยชน์ท่ีบงั เกิดข้ึน ให้ต้ังสติกำหนดโพชฌงค์ องค์ของควำมรู้ คือตัวสติ โพชฌงคค์ ือเป็นองคข์ องความรู้ ทา ให้ไดธ้ รรมวิจยั เลือกเฟ้นธรรมข้ึนในจิตใจเอง อะไรเกิดข้ึนในใจก็รู้ทนั ที พิจารณาจิตราคะ โทสะ โมหะ ก็ ให้รู้ว่ามี กาหนดทาความรู้จิตของตน กำหนดดูธรรมในจิต คือ มีอกุศลธรรม นิวรณ์ 5 มีไม่มี เกิดข้ึนได้ อย่างไร ต้งั สติกาหนดดูขนั ธ์ อายตนะ สังโยชน์เกิดข้ึนไดอ้ ย่างไร ต้ังสติพิจำรณำจิต คือ ต้งั สติกาหนดดู จิตใจน้ี ท่ีมีราคะความติดใจยนิ ดี ปราศจากราคะความติดใจยินดี ที่มีโทสะปราศจากโมสะ ท่ีมีโมหะความ หลง ปราศจากโมหะความหลง สติปัฏฐำนของพระพุทธเข้ำ เป็ นวิธีทาให้จิตให้ตรงการาบจิตของตน ให้ สงบจากกิเลสปฏิบตั ิธรรมสติปัฏฐาน อนั เป็นเคร่ืองดดั จิตใหต้ รงมีสติหายใจเขา้ ออกให้รู้ หายใจเขา้ ออกยาว หรือส้ัน ตามที่เป็ นไปจริง จิตไดร้ วมเขา้ มาสู่เครื่องดดั ให้ตรง เอำปัญญำขึ้นมำพินิจพิจำรณำ มีสติ ระลึก สานึกอยู่ ดูจิตเองวา่ เป็นอยา่ งไร และจิตยึดถือว่าเป็นอย่างไร ต้งั ใจไวใ้ ห้เป็นกลางมากที่สุด บอกจิตว่า อยา่ เพ่ิงรับรอง ในสิ่งที่ยึดถือน้นั น่ารักหรือน่าชงั เอามาเพ่งพินิจพิจารณากนั ย่อยเห็นไดว้ ่า จิตประกอบดว้ ย ตณั หา ราคะ ลาภะ 4) วิธีปฏิบัติต้ังสติใน กำย เวทนำ จิต ธรรม ให้ปฏิบัติต้ังสติ คือควำมระลึกได้ ควำม กำหนดได้ ให้ปฏิบัติพจิ ำรณำกำย เวทนำ จิต ธรรม ท้ังหมด โดยเป็ น “อนิจจะ” คือไม่เท่ียง เป็ นส่ิงท่ีเกดิ ดับ เตรียมพร้อมปฏิบตั ิสมาธิทาปัญญา เรียกวา่ “กรรมฐาน” ตามท่ีพระพุทธเจา้ ทรงแสดงส่ังสอนได้ เม่ือไดต้ ้งั เลือกสติปัฏฐาน คือ ต้งั สติ กาหนดกายเวทนาจิตธรรม นอ้ มนาสติปัฏฐานท่ีพระพุทธเจา้ แสดงเอาไวแ้ ละ ครู บาอาจารยไ์ ดส้ ่ังสอนต่อมากาหนดปฏิบตั ิท่ีจิตไดต้ ้งั ข้ึนจาเพาะหนา้ อาจปฏิบตั ิไดต้ ามขอ้ ต่าง ๆ แสดงไว้ ต้งั สติพิจารณาธรรม คือต้งั จิตกาหนดดูธรรมะท้งั หลายท่ีบงั เกิดข้ึนในจิต ต้งั ตน้ แต่กาหนดดูนิวรณ์ 5 ต้งั สติ กาหนดดูอายตนะภายในท้งั 6 ต้งั สติกาหนดดูโพชฌงคท์ ้งั 7 ต้งั สติกาหนดดูอริยสัจจ์ท้งั 4 สติ สมำธิ ญาณ ปัญญา จิตผ่องใส เป็นสมาธิต้งั มนั่ อุเบกขาเป็นโพฌงค์ สมบูรณ์ เป็นมรรคองค์ 8 รู้ทุกข์ ดบั ทุกข์ เป็นญาณ ความหยง่ั รู้ในสัจจะท้งั 4 เป็นต้งั สติกาหนดธรรมครบ 4 เป็นทางปฏิบตั ิ ต้ังสติกำหนดโพชฌงค์ องค์ควำมรู้ คอื ตวั สติ เป็นองคค์ วามรู้ไดธ้ รรมวิจยั เลือกเฟ้นธรรมในจิตใจ อะไรเกิดรู้ทนั ที เป็นธรรมวจิ ยั และมเพียรละ

621 ข้ึนเอง เป็ นชวั่ อกุศล ละดบั หายไปได้ มุ่งสติเพ่ือสมาธิดว้ ย มุ่งสติเพื่อปัญญาดว้ ย ไดส้ ติเพ่ือสมาธิ ภายใน ภายนอก ท้งั ภายในท้งั ภายนอก ดาเนินสติเพ่ือปัญญาเป็นสติเพื่อปัญญา เพื่อญาณความหยงั่ รู้ อากิญจญั ญายต นะไม่เส่ือม ต้งั อยู่ไม่เส่ือม เพระว่า เมื่อได้ นอ้ มจิตท่ีเป็นสมาธิอนั กาหนดอารมณ์วา่ ไม่มีน้นั เป็นทางปัญญา วธิ ปี ฏิบัติ ว่ำ “ภำวนำ” ท่ีแปลวา่ ทาใหเ้ กิดข้ึน ทาใหม้ ีข้ึน หมายถึง ปฏิบตั ิทาสติ ความระลึกได้ ความกาหนด ทาญาณความหยง่ั รู้ท่ีเป็ นตวั ปัญญาให้บงั เกิดข้ึน ให้มีข้ึน ทนั ในธรรมะที่เกิดข้ึนในเวลาน้ัน พิจำรณำท้ัง ภำยในภำยนอก การปฏิบตั ิ ใหก้ าหนดพิจารณาในภายใน ใหก้ าหนดพิจารณาในภายนอก เป็น 2 ใหก้ าหนด พิจารณาท้งั ภายในท้งั ภายนอก เป็น 3 การท่ีไดม้ ีขอ้ ท่ี 3 ไวอ้ ีก คอื ท้งั ภายในท้งั ภายนอกเป็นการแสดงว่า ตอ้ ง มีท้งั 2 อย่าง จะมีแต่ภายในไม่มีภายนอก หรือวา่ มีแต่ภายนอกไม่มีภายใน ดงั่ น้ีไม่ได้ ตอ้ งมีท้งั 2 อย่างคู่กนั ธรรมำนุปัสสนำสตปิ ัฏฐำน การละความยนิ ดียนิ ร้ายดว้ ยปัญญา เป็นอุเบกขาคือเขา้ ไปเพง่ เฉยอยู่ สติปัฏฐานก็ ตอ้ งมีอุเบกขาเป็ นที่สุด นำมรูปเรียกว่ำ กำยใจอำยตนะปรำกฏ คือตากับรูปที่ประจวบกันอยู่ มโนคือใจ ธรรมะเรื่องราวประจวบกนั อยู่ปรากฏ และตวั สัญโญชน์ปรากฏข้ึนแก่ความรู้ ปรำกฏสติกำหนดอยู่ เลื่อน ข้ึนเป็นสติสัมโพชฌงค์ เป็นสติท่ีประกอบดว้ ยปัญญา คู่กนั ไปกบั ปัญญา และเล่ือนเป็น ธมั วิจยสัมโพชฌงค์ วิจยั ธรรมเลือกเฟ้นธรรม คือ อายตนะภายในภายนอก ท่ีประจวบกนั ปรากฏ มองเห็นธรรมะเกิดข้ึนในจิต เอง รู้จกั ว่า เป็ นกุศล เป็ นอกุศล เป็ นอพั ยากตธรรมกลางๆ ตวั อายตนะภายในภายนอก เป็ นอพั ยากตธรรม กลางๆ ตวั สติปัฏฐานดูอยมู่ องเห็นเลือกเฟ้น เป็นตัวกุศล ตดั อกุศลธรรม สัญโญชน์ดบั ไป เป็นนิวรณ์อกุศล ธรรม ปรากฏ และเมื่อสติต้งั กาหนดอยู่นิวรณ์จะดบั การปฏิบตั ิปรากฏ เป็ นรูป เป็ นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อุเบกขำสัมโพชฌงค์ คือความวางเฉย เป็ นอุเบกขาที่ประกอบกนั อยู่กบั เอกคั คตา อนั จะนาไปสู่ ญาณคือความหยงั่ รู้ในอริยสัจจ์ ญาณในอริยสัจจ์น้ันจะตอ้ งมีอุเบกขานา ตอ้ งเป็ นอุเบกขาท่ีประกอบดว้ ย สมาธิ ยกเอำอเุ บกขำออกมำ เพื่อให้เช่ือมกบั อริยสัจจญำณ ผทู้ ี่มีจิตต้งั มนั่ เป็นสมาธิแลว้ ยอ่ มรู้ตามเป็นจริง รู้ วา่ น้ีทุกข์ น้ีทุกขสมุทยั เหตุเกิดทุกข์ ทกุ ขนิโรธ ความดบั ทกุ ข์ ทกุ ขนิโรธคามินีปฏิปทา ขอ้ ปฏิบตั ิใหถ้ ึงความ ดบั ทุกข์ คืออริยสัจจญาณ หรืออริยสัจจปัญญา อุเบกขา เขา้ ไปเพ่งเฉยอยู่ ต้งั ข้ึนภายใน จิตสงบอยู่ในภายใน ปรากฏอยู่ในตวั สติท่ีกาหนดในจิต สมำธิสัมโพชฌงค์ คือ ตัวสมำธิ ต้งั มนั่ แน่วแน่ ประกอบดว้ ยความที่จิต สงบบริ สุทธ์ิ ไม่ฟุ้งซ่านไปไหน ต้ังสงบอยู่ จิตเพ่งกาหนดอยู่ในภายใน ไม่ออกไปภายนอก ธัม วจิ ยสัมโพชฌงค์ เห็นธรรมท้งั หลายเกิดข้ึน และดบั ไปในจิต ไดม้ ีวิริยะสัมโพชฌงคเ์ ป็นตวั ความคมกลา้ ของ ปัญญาของสติ ตดั อกุศลได้ ปรากฏเป็ นสติสัมโพชฌงค์ น้อมจิตประกอบอุเบกขาเพ่ือรู้สิ่งปรากฏจิต ย่อม เห็นอริยสัจจ์ได้ จะเห็นทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค จิตต้ังสงบภำยใน รู้อย่ใู นภายในเป็ นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป็นจิตท่ีว่าง ไม่วุ่นวาย รู้ต้งั มนั่ ของจิต สมาธิจิต จึงรู้ท้งั ตวั สมาธิคือตวั ความต้งั มน่ั ของจิต ต้ังสติ กาหนดดู ธรรม คอื ธรรมะที่เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล หรือท่ีเป็นกลางๆ ต่างๆ สติเข้ำต้ังอยู่จำเพำะหน้ำ วา่ กายมีอยู่ ใน ขอ้ กาย เวทนามีอยู่ในขอ้ เวทนา จิตมีอยู่ในขอ้ จิต ธรรมะมีอยู่ในขอ้ ธรรม เพื่อรู้ เพ่ือต้งั สติ สติไม่หลงลืม ญาณความหยงั่ รู้ไมห่ ลงใหล สติยอ่ มต้งั กาหนด ญาณยอ่ มต้งั รู้ คอื ไม่ติดไมย่ ดึ มน่ั อะไรๆ ในโลก

622 ผล : สมเดจ็ พระญำณสงั วร สมเดจ็ พระสังฆรำช สกลมหำสังฆปรณิ ำยก (เจรญิ สุวฑฺตโน) ภาพท่ี 5.4.4 แผนท่ีความคิดจากการสกดั หลกั คาสอนเรื่องมหาสตปิ ัฐานธรรมบรรยาย โดยสมเดจ็ พระญาณสงั วร สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) : ดา้ นผล ด้ำนผลสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน)พบวา่ 1) กำรปฏิบัติเพ่งอำรมณ์สมำธิเพ่งทำงปัญญำใช้ได้ ในสติปัฏฐำน สอนทาสติตามดูกายเวทนาจิต ธรรม ต้งั สติกาหนดดูกาย เวทนา จิต ธรรม ต้งั ข้ึนเป็นอารมณ์ ต้งั กายมีอยู่ เวทนามีอยู่ เพื่อเป็นที่ต้งั ของสมาธิ เป็นที่ต้งั ของสติ ทุกข้อเป็ นต้นเป็ นปลำยของกันและกนั ไดต้ ่าง ตอ้ งอาศยั ซ่ึงกนั และกนั เป็นไปอย่สู อนใหใ้ ชส้ ติ ดว้ ย วิธี อนุปัสสนา คือตามดู ตามรู้ตามเห็นกายเวทนาจิตธรรมว่าเป็ นไปอยู่อย่างไรในปัจจุบนั ขอ้ สัมปชญั ญะ สรุปในอริยสัจจ์ 4 ไดก้ ายคือธาตุท้งั 4 เป็นทุกขสัจจะ สภาพที่จริง คือ ทุกข์ กระทาสติสัมปชญั ญะเป็ นสติ ปัฏฐาน สติคือความระลึกได้ สัมปชญั ญะความรู้ตวั พร้อมท้งั ญาณคือความหยง่ั รู้ สติสมาธิญาณปัญญา จิต ต้งั มนั่ เป็นสมาธิมากข้ึน เป็นความต้งั มน่ั สงบภายใน อารมณ์อะไรผา่ นเขา้ มาตกอยแู่ ค่ตา แค่หู แคจ่ มกู แคล่ ิ้น แค่กาย แค่ มนะ คือใจ ไม่เขา้ ไปสู่จิต เพราะจิตต้งั สงบรู้อยู่ รู้อยู่ใน ภายในไม่ออกรับคืออุเบกขา ก็เป็ น โพชฌงคข์ ้ึนมาสมบูรณ์ ความเชื่อมต่อระหว่างขนั ธ์กบั กิเลสจึงอยทู่ ี่เวทนา มีสติมาคอยระงบั ได้ คือระงบั จิตตสังขาร กิเลสจะไม่บงั เกิดข้ึน กายเป็นท่ีต้งั เม่ือกายสัมผสั กบั ที่ต้งั ของสุข ก็เกิดสุขเวทนาสุขเวทนาปรุง จิต ให้เป็ นตัณหาราคะในสุข หรือว่าเมื่อกายสัมผสั กับส่ิง อันเป็ นท่ีต้ังของความทุกข์เกิดทุกขเวทนา ทุกขเวทนาปรุงจิต หนา้ ที่ภาวนาใหร้ วมอินทรียป์ ฏิบตั ิกิจพร้อมกนั รวมตา หู จมูก ลิ้น กาย และ มนะ คือใจ ใหม้ าปฏิบตั ิหนา้ ที่ สุดแต่วา่ จะยกเอาขอ้ ไหน กายขอ้ ไหน เวทนาขอ้ ไหน จิตขอ้ ไหน ธรรมะขอ้ ไหน ข้ึนมา สงบกายสังขาร หายใจเขา้ สงบหายใจออก กายสังขาร คือเครื่องปรุงใจ ระงบั กายสังขารมีความหมายว่า ระงบั การปรุงแต่งในการหายใจ ระงบั อาการส่วนหยาบ การปฏิบตั ิระงบั คอยควบคุมการหายใจขณะปฏิบตั ิ ให้เป็ นไปตามปกติอย่างเป็ นข้นั ตอน 2) กรรมฐำนปฏิบัติให้เข้ำไปถึงใจ ต้งั อยู่ในใจ ให้แผ่สร้านในใจ ปรากฏเป็นปี ติเป็นสุขข้ึนในใจ ใชค้ วามเพยี รปฏิบตั ิใหส้ ม่าเสมอไมท่ อดทิง้ ใหร้ ับเอาขอ้ ที่ปฏิบตั ิน้ีเขา้ ไปให้ ถึงใจ ให้ต้งั อยู่ในใจ นาความเพียรพยายามปฏิบตั ิกา้ วหนา้ ไป จนบรรลุถึงเป้าหมาย สติเป็ นญาณ กาหนด

623 รู้อยใู่ นธรรมะที่เกิดข้ึน เข้ำใจว่ำ คำสอนต่ำงๆ สำหรับฝึ กหัดปฏิบัติด้วยตนเอง หดั ฝึ กหดั ปฏิบตั ิจนมีความ ชานาญแลว้ อาจจะมีความรู้ทนั วา่ รูปธรรมอรูปธรรม หรือนามรูปอนั น้ี เกิดข้ึนดบั ไปอยูท่ ุกระยะ พบความ ระงับกายสังขารเคร่ืองปรุงกายมากข้ึน กายก็จะละเอียดเขา้ ๆหัดกาหนดดูปี ติสุขว่ามาเช่ือมกบั จิตยงั ไง กลายเป็ นจิตตสังขารรางบั จิตตสังขารเคร่ืองปรุงจิต 3) สรุปลงแล้วขันธ์ 5 นำมรูป อยู่ในสมำธิ น้อมจิตไป เพ่ือรู้ จึงมองเห็นนามรูปอนั เป็ นตวั วิปัสสนาถูกทุกขสัจจะ ทุกขสมุทยั ทุกขนิโรธ มรรคสัจจะ เป็น ทุกขตา อนิจจตา อนตั ตา ปรากฏข้ึน ปฏิบัติพิจำรณำแยกธำตุออกไป จนปล่อยวางความยึดถือว่าตวั เราของเราได้ ธาตุดินน้าไฟลมที่เป็นภายในท่ีมีอยใู่ นกายพิจารณาใหเ้ ห็นตามเป็นจริง ว่า เอต มม ไม่ใช่เรา เราไปยดึ ถือวา่ เป็ นตวั เราของเรา ดว้ ยตณั หาอุปาทาน ดว้ ยอวิชชาคือความไม่รู้ จึงควรพิจารณาให้เห็นสักแต่ว่าเป็ นธาตุ ร่างกายละเอียด จิตใจประณีต ความสงบ ดว้ ยสมาธิ จิตรวมเป็ นหน่ึง ไม่ว่อกแว่กไป ผู้ปฏิบัติธรรมน้อม สมำธิ น้อมจิตเป็ นสมำธิและอุเบกขำ ไปเพ่ือรู้ ยกจิตข้ึนสู่อารมณ์ของวิปัสสนาเพ่ือรู้ในอริยสัจจ์ คือจับ พิจารณาขนั ธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ปฏิบตั ิเพื่อรู้ในทุกขสัจจะสภาพท่ีจริง ความหยงั่ รู้ใน อริยสัจจ์อย่างสมบูรณ์ ปฏิบัติได้สติปัฏฐำนได้โพชฌงค์มำโดยลำดับ จนถึงอุเบกขำสัมโพชฌงค์ ตวั สมาธิ เป็ นตวั ความต้งั มน่ั แน่วแน่ของจิต ตวั รวมแห่งที่ต้งั ของปัญญาท้งั หมด ตัวอำยตนะภำยในภำยนอกเป็ นตวั ทุกขสจั จะ อาศยั อายตนะภายในภายนอก เป็นที่เกิดข้ึนต้งั อยรู่ วมในตวั สมาธิประมวลในจิตอาศยั อุเบกขา เขา้ ไปเพง่ ดู ใหร้ ู้เห็นอยภู่ ายในปรากฏตวั วา่ อะไรเป็นทกุ ข์ อะไรเป็นสมุทยั อะไรเป็นนิโรธ อะไรเป็นมรรค4) อำ นิสงค์ผู้ปฏบิ ัตสิ ตปิ ัฏฐำน บรรลปุ ัญญา อรหตั ผล ความเป็นอานาคามี สุดแตว่ า่ ผปู้ ฏิบตั ิเป็นบคุ คลประเภทใด การปฏิบตั ิตอ้ งไดร้ ับผลไมเ่ ร็วก็ชา้ ตอ้ งมีความเพียร ไมห่ ยดุ ทาทกุ ๆ วนั มีสัมปชญั ญะ มีสติ กาจดั ความยนิ ดี ยนิ ร้ายในโลก สรุปกำรสกดั หลกั คำสอนมหำสติปัฏฐำน 4 ตำมแนวทำงปฏิบตั สิ มเด็จพระญำณสังวร สมเดจ็ พระสังฆรำช สกลมหำสังฆปริณำยก (เจริญ สุวฑฺตโน)

624 ภาพที่ 5.4.5 แผนที่ความคิดการสกดั หลกั คาสอนของสมเด็จพระญาณสงั วร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสงั ฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) : มหาสติปัฏฐาน 5.4.2 สรุปผลและอภิปรำยผล : สมเด็จพระญำณสังวร สมเดจ็ พระสังฆรำช สกลมหำสังฆปริณำยก (เจริญ สุวฑฺตโน) ผลการศึกษาเรื่องการสกดั หลกั คาสอนเรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิสมเด็จพระญาณ สังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) สรุปผลการศึกษา จาแนกตามมหาสติ ปัฏฐาน 4 ประกอบดว้ ย กายนุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา 1) ฐำนกำยำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ สติปัฏฐานพิจารณากาย อานาปานบรรพวา่ ดว้ ยลมหายใจเขา้ ออก อานาปานสติ 16 ช้นั ขอ้ วา่ ดว้ ยลมหายใจเขา้ ออก ต้งั จุดกาหนด 3 จุด หายใจเขา้ จุดแรก คือ ปลายจมูก หรือริม ฝี ปากเบ้ืองบน จุดกลางคือ อุระ ทรวงอกภายใน จุดสาม คือ นาภี และ ขณะหายใจออก จุดหน่ึงคือนาภี สอง คือ อุระ สามคือ ปลายจมูก หรือริมฝี ปากเบ้ืองบน ปฏิบตั ิสติเดินดูนง่ั ดูลมหายใจเขา้ ออก กาหนดลมหายใจ เขา้ ออกท่ีปลายจมูกหรือริมฝี ปากเบ้ืองบน หรือ กาหนดนาภี ที่พองหรือยุบ ให้ความรู้สึกอยู่ตามความเป็น จริง ใหน้ งั่ ต้งั กายตรง รวมจิตเขา้ มากาหนดอยเู่ ฉพาะหนา้ ศีลเพื่อสมาธิ ความสารวมกายสารวมวาจาสารวม ใจ กาหนดระงบั กายสังขาร ปรุงกายหายใจเขา้ หายใจออกา ต้งั กายตรง ต้งั สติ ให้มีหน้าโดยรอบร่างกายสี่ หนา้ “บริกรรมภาวนา” ตอ้ งมีสติหายใจเขา้ มีสติหายใจออก กาหนดต้งั สติดูลมหายใจเขา้ ออก ไดต้ ้งั แต่ขอ้ กาย ต่อไปขอ้ เวทนา ข้อจิต และขอ้ ธรรม เป็ นการปฏิบตั ิต่อเน่ือง จะยกเอาขอ้ ไหน กายขอ้ ไหน เวทนาขอ้ ไหน จิตขอ้ ไหน ธรรมขอ้ ไหน ข้ึนมา สงบกายสังขาร หายใจเขา้ สงบหายใจออก ทาสัมปชญั ญะความรู้ตวั ใหต้ ้งั สติสัมปชญั ญะในอิริยาบถท้งั 4 ยนื เดินนง่ั นอน สัมปชญั ญะความรู้ตวั กายจาแนกออกเป็นอาการ ป่ าชา้ 9 พิจารณาศพท่ีเขาทิง้ ไวใ้ นป่ าชา้ พิจารณาเป็นกายยงั ดารงชีวิต และพิจารณากายสิ้นชีวิตเป็นซากศพ ต้งั สติ กาหนดกายว่าประกอบดว้ ยอาการ หรือสิ่งที่ปฏิกูลไม่สะอาด ธาตุ 4 ดินน้าไฟลม กาย คือร่างกาย ธาตุเป็ น วตั ถุต่างๆ ดิน น้า ไฟ ลม เบ้ืองบนแต่พ้ืนเทา้ ข้ึนมา เบ้ืองต่าแต่ปลายผมลงไป มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ ให้ พิจารณาวา่ กายประกอบธาตุต่างๆ คือ ปฐวีธาตุ ธาตุดิน อาโปธาตุ ธาตุน้า เตโชธาตุ ธาตุไฟ วาโยธาตุ ธาตุ

625 ลม คือพิจารณาแยกกาย เป็นธาตุ 4 วธิ ีต้งั สติพจิ ารณา 6 ประการ พิจารณากายในกาย ในภายใน มีเกิดข้นึ เป็น ธรรมดา มีเส่ือมดบั ไปเป็ นธรรมดา มีท้งั เกิดข้ึน เสื่อมดบั ไปเป็ นธรรมดา พิจารณากายในกาย ในภายนอก พจิ ารณากายในกายในท้งั ภายในท้งั ภายนอก 2) ฐำนเวทนำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ สติปัฏฐานพจิ ารณาเวทนา เวทนาเป็นความรู้ จิตเป็นสุขเป็ นทุกข์ หรือเป็ นกลางๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เป็ นไปทางกาย ทางจิต เป็ นความรู้ รู้ถึงสัมผสั สิ่งน้ันๆ ทางกายใจ ต้งั สติ พิจารณาเวทนา คอื ต้งั สติกาหนดเวทนา ความรู้เป็นสุขเป็นทกุ ข์ หรือเป็นกลางๆ ไมท่ ุกขไ์ ม่สุข พจิ ารณาเป็น เวทนา ความรู้สึกเป็นสุขทกุ ข์ 3) ฐำนจิตตำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ จิตเป็นธรรมชาติ กายอาศยั จิตใจ ตวั ธาตรุ ู้ลกั ษณะที่รู้ที่คดิ คดิ คือรู้ รู้คือคดิ ปรากฏเป็นรู้ข้ึนมาดว้ ยความคิด และปรากฏความคิดดว้ ยความรู้ เอาปัญญาข้ึนมาพินิจพิจารณา มีสติ ระลึกสานึกอยู่ ดูจิตเองว่าเป็ นอย่างไร สติปัฏฐานพิจารณาจิต ต้ังสติพิจารณาจิต กาหนดดูจิตที่มีราคะ ปราศจากราคะ ความติดใจยินดี มีโทสะ ปราศจากโทสะ ท่ีมีโมหะ ปราศจากโมหะความหลง กรรมฐาน ปฏิบตั ิให้เขา้ ไปถึงใจ ต้งั อยู่ในใจ ธรรมะ ภาวะเกิดข้ึน ในจิต ปรากฏความคิด ส่ิงคิด ภาวะในจิต ธรรมะ เกิดข้ึน ต้งั อยู่ เป็ นไปอยู่ในจิต ต้งั จิตกาหนดดูธรรมท้งั หลาย เกิดข้ึนในจิต จิตต้งั มนั่ เป็ นสมาธิ สงบภายใน อารมณ์มา แค่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่เขา้ สู่จิต ต้งั สงบรู้อยู่ รู้อยู่ในภายใน ไม่ออกรับ คือ อุเบกขา กาหนด ทาความรู้จิตตน ดูธรรมในจิต กาหนดดูนิวรณ์ 5 มีไม่มี กาหนดดูอายตนะ กาหนดดูขนั ธ์ สังโยชน์ ต้งั สติ กาหนดดูโพชฌงคท์ ้งั 7 ใหต้ ้งั สติกาหนดโพชฌงค์ องคค์ วามรู้คือตวั สติ โพชฌงคค์ ือเป็นองคข์ องความรู้ ทา ให้ได้ธรรมวิจัยเลือกเฟ้นธรรมข้ึนในจิตใจเอง ปฏิบัติได้สติปัฏฐานได้โพชฌงค์มาโดยลาดับ จนถึง อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ตวั สมาธิประมวลในจิตอาศยั อุเบกขา ต้งั สติกาหนดดูอริยสัจจ์ท้งั 4 ยกจิตข้ึนสู่อารมณ์ ของวิปัสสนาเพือ่ รู้ในอริยสัจจ์ เป็นสมาธิต้งั มนั่ อเุ บกขาเป็นโพฌงค์ สมบูรณ์ เป็นมรรคองค์ 8 4) ฐำนธรรมำนุปัสสนำ สรุปไดว้ า่ “มหาสติปัฏฐานสูตร” ทางปฏิบตั ิอนั เดียว “เอกยนมรรค” ทางไป อนั เดียว คือทางปฏิบตั ิอนั เดียว เพื่อความบริสุทธ์ิของสัตวท์ ้งั หลาย เพื่อกา้ วล่วงความโศก ความรัญจวนคร่า ครวญใจท้งั หลาย เพอื่ ดบั ทุกขโ์ ทมนสั ท้งั หลาย เพอ่ื บรรลธุ รรมะอนั ถูกชอบที่พงึ บรรลุ เพ่ือกระทาใหแ้ จง้ ซ่ึง นิพพาน “สติปัฏฐาน” คือ พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณามรรค อุปการะ “อาตาปี ” มี ความเพียรปฏิบตั ิ “สัมปชาโน” มีความรู้พร้อม คือมีความรู้ตวั (สัมปชญั ญะ) “สติมา” มีสติ ความระลึกได้ กาหนดพิจารณา “วินยั โลเก อภิชา โทมนัสสัง” กาจดั ความยินดีความยินร้าย วิธีปฏิบตั ิสติปัฏฐานท้งั 4 การปฏิบตั ิต้งั สติ มีที่ต้งั สติ ให้ต้งั สติ ท่ีกายเวทนาจิตธรรม ปฏิบตั ิขอ้ ไหนก็ตอ้ งต้งั สติพิจารณาในข้อน้ัน อนุปัสสนา คือตามดู ตามรู้ตามเห็นกายเวทนาจิตธรรมวา่ เป็นไปอยู่อยา่ งไรในปัจจุบนั ขอ้ ปฏิบตั ิโดยลาดบั ไดส้ ติเป็ นสติปัฏฐานข้ึน ไดส้ ติเลื่อนข้ึนมาโดยลาดบั เอง คือธรรมปฏิบตั ิจะเล่ือนช้นั ข้ึนไปเอง เขา้ ใจว่าคา สอนต่างๆ สาหรับฝึกหดั ปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง ต้งั สติพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม สติปัฏฐานพิจารณาธรรมะ เป็นท่ีต้งั ของสติพิจารณา กาหนดนิวรณ์ในจิต จิตมีนิวรณ์ครอบงาไม่สามารถปฏิบตั ิโพชฌงคไ์ ด้ ใหต้ ้งั สติ กาหนดขนั ธ์ 5 ในสมาธิ น้อมจิตไปรู้ เห็นนามรูป ตวั วิปัสสนา ทุกขสัจจะ สมุทยั นิโรธ มรรคสัจจะ เป็ น ทุกขตา อนิจจตา อนัตตา ปรากฏข้ึน กาหนดอายตนะภายในภายนอก ให้ต้ังสติกาหนดในโพชฌงค์

626 อุเบกขาสัมโพชฌงค์ย่อมจะวางเฉย ธัมวิจยสัมโพชฌงค์ เห็นธรรมท้งั หลายเกิดข้ึน และดบั ไปในจิต ความ หยงั่ รู้ในอริยสัจจ์ 4 ไดแ้ ก่ ทกุ ข์ สมุทยั นิโรธ พจิ ารณาใหร้ ู้จกั สัจจะคือความจริง ความหยงั่ รู้สัจจะท้งั 4 ต้งั สติ กาหนดธรรม ต้งั สติกาหนดโพชฌงค์ องคค์ วามรู้ คอื ตวั สติ ไดธ้ รรมวจิ ยั เลือกเฟ้นธรรมในจิตใจ ทกุ ขอ้ เป็น ตน้ เป็นปลายของกนั และกนั ปัญญาในธรรมตอ้ งอาศยั สมาธิ ควรต้งั ใจ วิธีปฏิบตั ิต้งั สติ ใน กาย เวทนา จิต ธรรม คือความระลึกไดก้ าหนดได้ พิจารณเป็นอนิจจงั ไม่เท่ียง เป็นสิ่งท่ีเกิดดบั เตรียมพร้อมปฏิบตั ิสมาธิทา ปัญญา เรียกวา่ “กรรมฐาน” วธิ ีปฏิบตั ิ วา่ “ภาวนา” ปฏิบตั ิสติ ระลึกได้ กาหนด ทาญาณความหยงั่ รู้ท่ีเป็นตวั ปัญญา สมาธิสัมโพชฌงค์ คือ ตวั สมาธิ ยกเอาอุเบกขา เช่ือมกบั อริยสัจ ผทู้ ี่มีจิตต้งั มนั่ เป็ นสมาธิแลว้ ยอ่ มรู้ ตามเป็ นจริง มุ่งสติเพื่อสมาธิ เพ่ือปัญญา ไดส้ ติเพื่อสมาธิ ภายในภายนอก ท้งั ภายในท้งั ภายนอก เพื่อญาณ ความหยงั่ รู้ ปฏิบตั ิไดต้ ามขอ้ ตา่ ง ๆ แสดงไว้ ต้งั สติพจิ ารณาธรรม พจิ ารณาท้งั ภายในภายนอก ธรรมานุปัสส นาสติปัฏฐาน การละความยนิ ดียนิ ร้ายดว้ ยปัญญา อภปิ รำยผล : สมเด็จพระญำณสังวร สมเดจ็ พระสังฆรำช สกลมหำสังฆปริณำยก (เจริญ สุวฑฺตโน) สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) พบงานวิจยั 1 เรื่อง “กรอบความประพฤติจากพระธรรมเทศนาและพระโอวาทเนื่องในวนั วิสาขบชู าของ สมเด็จพระญาณ สังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก(เจริญ สุวฑฺฒโน)” โดย จุลศกั ด์ิ ชาญณรงค์ ผลการศึกษา พบวา่ โจทยว์ ิจยั ศึกษาเกี่ยวกบั พระธรรมเทศนา แนวทางปฏิบตั ิพบวา่ รวมขอ้ ธรรมที่ควรปฏิบตั ิผา่ นงานพระ นิพนธ์ การระลึกถึงพระพุทธเจา้ ผ่านความมหัศจรรยแ์ ห่งพุทธบารมีที่มีการนอ้ มนาไปปฏิบตั ิเป้าหมายสงบ เยน็ แนวทางสมเดจ็ พระญาณสังวร สมเดจ็ พระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน) เป็นข้อ ธรรมท่ีควรปฏิบัติ การระลึกถึงพระพุทธเจ้าแห่งพุทธบารมีที่มีการน้อมนาไปปฏิบัติเป้าหมายสงบเยน็ เป็น ฐานธรรมมานุปัสสนานาทาง อาศัยข้อธรรมเป็นหลักคิดเพื่อการปฏิบัติ การอธิบายความเป็นไปอย่างเข้าใจ เรี ยงด้วยคาภาษาง่ายและเป็ นข้ันตอน 5.4.3 ข้อเสนอแนะกำรวจิ ยั : สมเดจ็ พระญำณสังวร สมเดจ็ พระสังฆรำช สกลมหำสังฆปริณำยก (เจริญ สุวฑฺตโน) ความไม่สมบูรณ์ของการศึกษาดา้ นเอกสารเพ่ิมเติมจากขอ้ สรุป ซ่ึงยงั ตอ้ งอาศยั การคน้ ควา้ เอกสาร ทบทวนเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งรองรับความเป็ นวิชาการในการเรียบเรียงเพื่อนาไปสู่การนาเสนอเป็นความวิจยั โดยอาศยั ขอ้ มลู คน้ พบนามาเรียบเรียงอีกคร้ัง ผศู้ ึกษาสนใจคาสอนศึกษาต่อในคาสอนเก่ียวกบั วิธีการปฏิบตั ิ ท่านเน่ืองดว้ ยความสอดคลอ้ งกบั เน้ือหาอธิบายความในมหาสติปัฏฐาน ดว้ ยภาษาธรรมเขา้ ใจง่าย น้าเสียงท่ี เขา้ ใจง่ายในการสอนธรรม ตอ้ งนาขอ้ มูลท่ีไดไ้ ปเรียบเรียงและคน้ หาเอกสารงานอื่นๆ ที่เกี่ยวขอ้ งเพ่ิมเติม เพ่ือให้งานสมบูรณ์นาไปสู่การเขียนบทความวิจยั ต่อไป นาเสนอบทความวิจยั เร่ือง “การสกดั หลกั คาสอน พระสูตรมหาสติปัฏฐาน ตามแนวทางปฏิบตั ิ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆป ริณายก (เจริญ สุวฑฺตโน)” เป็นการใชพ้ ระสูตรมหาสติปัฏฐาน 4 เป็นแกนหลกั

627 [5] พระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษีลงิ ดำ) 5.5.1 สรุปกำรสกดั หลกั คำสอนจำกธรรมบรรยำยเรื่องมหำสติปัฏฐำน4 พระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษี ลงิ ดำ) จากผลการวิเคราะห์จากตารางท่ี 4.5.1 ถึง ตารางท่ี 4.5.16 ซ่ึงเป็ นการสกดั หลกั คาสอนจากธรรม บรรยายแนวทางปฏิบตั ิพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี ลิงดา) จาแนกตามแนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ ผล ได้ สรุปผลการศึกษาเป็นแผนภาพความคิดจากการสกดั หลกั คาสอนเร่ืองมหาสติปัฐานจากการบรรยายโดยพระ ราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี ลิงดา) แสดงภาพที่ 5.5.1 สรุปผลการศึกษาพบวา่ ภาพที่ 5.5.1 แผนท่คี วามคดิ การสกดั หลกั คาสอนเรื่องมหาสติปัฐานจากแนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ ผล โดยพระราชพรหมยาน (หลวงพอ่ ฤาษี ลิงดา) ด้ำนแนวคดิ ของพระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษี ลงิ ดำ) พบวา่ 1) มหำสติปัฏฐำนเครื่องมือปฏิบัติ เพื่อทำนิพพำนให้แจ้ง “นิพฺพำนสจฺฉิกิริยำ” สอนวิธีการปฏิบตั ิเพ่ือทาพระนิพพานให้แจง้ เป้าหมายมุ่งหวงั พระนิพพาน “มหาสติ” แปลว่า สติใหญ่ใชต้ ลอด ไม่ให้คลาดเคล่ือนเจริญมหาสติปัฏฐาน การเจริญมหาสติ ปัฏฐานตอ้ งมี ศีล สมาธิ ปัญญา ได้ ฌาน 4 อภิญญา 6 อิทธิบาท 4 จรณะ 5 บารมี 10 รักษากาลงั ใจ ดงั น้นั สมถะตวั กาลงั วิปัสสนาเป็นอาวุธ มหาสติปัฏฐานเป็นขอ้ ปฏิบตั ิเพื่อบรรลุธรรมสุขวิปัสสโก 2) อานาปาน

628 สติมีความสาคญั มาก อานาปานสติกรรมฐานเป็ นภาคพ้ืนธรรมานุปัสสนาสติ นาอานาปานสติไปพิจารณา อิริยาบถ สัมปชญั ญะ ปฏิกูล ธาตุ 4 นวสี ศึกษาอานาปานสติกรรมฐาน พิจารณากรรมฐาน หมวดเดียวอยา่ ง เดียวถึงอรหนั ตเ์ ป็นอรหนั ตไ์ ด้ มหาสติปัฏฐาน อานาปานสติกรรมฐานให้คลอ่ ง 3) พิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม ด้ำนกำยำนุปัสสนำ ประกอบ อานาปานสติ อิริยาบถ สัมปชญั ญะ ปฏิกลู ธาตุ 4 นวสี กาหนดรู้พิจารณา กาย นง่ั นอน ยืน เดิน ต้งั ใจทรงจิต มีสัมปชญั ญะ รู้ตวั ใชป้ ัญญาพิจารณาร่างกาย สังขารุเปกขาญาณ ไม่ติด ร่างกาย ปฏิกูลบรรพ เป็ นสมถะและวิปัสสนา พิจารณาซากศพ ป่ าช้า 9 ร่างกายมีสภาพแบบเดียวกัน พิจารณาความเป็นธาตุ 4 ประชุมกนั ดินน้าลมไฟ พิจารณาตามความเป็นจริง ด้ำนจิตตำนุปัสสนำ ศูนยก์ ลาง จิตสาคญั จิตตานุปัสสนาเป็นท้งั สมถะและวิปัสสนาพิจารณาจิตในจิต จิตสิงอยใู่ นกาย ขนั ธ์ 5 วิปัสสนาลว้ น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อุปทานขนั ธ์ 5 เห็นธรรมในธรรม เห็นธรรมในธรรมนิวรณ์ 5 กาหนดรู้ พิจารณานิวรณ์ 5 จบั นิวรณ์เป็นสัมปชญั ญะนิวรณ์ 5 อาการที่กนั ความดีกนั ปัญญา รู้สังโยชน์เป็นกิเลสเครื่อง ร้อยรัด อายตนะ 6ภายในภายนอกกระทบกัน พิจารณาหาความจริง อายตนะ รูป เสียง กล่ิน รส สัมผสั อารมณ์ พิจารณาโพชฌงค์ 7 ธรรมเคร่ืองตรัสรู้ ความจาได้ทรงอารมณ์ใช้ปัญญาโพชฌงค์ 7 เป็ นสมถะ วิปัสสนา พิจารณาอริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค พิจารณาอริยสัจ “สัจ” ความจริง ใชป้ ัญญาวิปัสสนา ญาณ ปัญญาเห็นอริยสัจ 4 พจิ ารณาเหตุทกุ ข์ อารมณ์นกั ปฏิบตั ิตอ้ งละเอียด อาศยั มรรค 8 หนทาง เคร่ืองมือตดั ตณั หา 4)หลวงพ่อฯ สอนมหำสติปัฏฐำน 3 รอบแลว้ สอน ฟัง ทาได้ ใหแ้ นวคิดวา่ พระพุทธเจา้ เป็นท่ีพ่ึง รัก พระพุทธเจา้ ถือพระพุทธ เจา้ เป็นพ่อ ศึกษาพระสูตรจากคาภาษาบาลีอ่านภาษาบาลีรู้เน้ือแท้ ตรัสไว้ อ่าน ศึกษาบาลีธรรมะจากพระพุทธเจา้ สอนให้เป็นนกั ปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิเพื่อมรรคผล นกั ปฏิบตั ิไม่เกาะตารา สอน อยา่ งนกั ปฏิบตั ิ พดู ธรรมะ ไมส่ นใจเร่ืองทางโลก เป็นนกั ปฏิบตั ิเอาดีที่ใจ ทาของยากใหง้ ่ายไม่ตอ้ งลอกศพั ท์ จากตาราไม่ถือสายปฏิบตั ิ ปฏิบตั ิตอ้ งอย่างง่ายๆ เฉพาะเห็นว่าเหมาะ เจริญกรรมฐานมีหลายแบบชอบ อย่างไหนเอาไปใชอ้ ยา่ งน้นั มหาสติปัฏฐาน4 แปลงเป็นวิชชา 3 สอนใหร้ ู้อารมณ์ของจิตให้รู้สติเป็นอยา่ งไร กาหนดรู้ 16 อยา่ ง ยอมรับนบั ถือความจริงเป็นของธรรมดา ทกุ สิ่งในโลกเป็นอนตั ตา ด้ำนหลกั กำรของพระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษี ลงิ ดำ) พบวา่ 1)มหาสติปัฏฐาน 4 พ้นื ฐานหลกั อานาปานสติเป็นกรรมฐานภาคพ้ืนใหญ่ อานาปานสติกรรมฐานไดฌ้ าน 4 ป้องกนั ความฟุ้งซ่าน ตอ้ งทาให้ ไดฌ้ าน อานาปานสติกรรมฐาน ทรงฌาน 4 ได้ ใช้สติสัมปชญั ญะอานาปานสติกรรมฐาน มีสติสมบูรณ์ ก่อนจึงมีสัมปชญั ญะสมบูรณ์ เขา้ ถึงปฐมฌานจิตแยกกาย ทรงอารมณ์อานาปานสติกรรมฐาน ทรงฌาน 4 ทรงฌาน กาหนดรู้ลมหายใจเขา้ ออก เอาแค่จมูก ทรงฌานเขา้ ไว้ อานาปานสติกรรมฐานยกสมถะเป็ น วิปัสสนา เอาสมถะทุกกองใชเ้ ป็นวิปัสสนาญาณ สรุปว่าอานาปานสติกรรมฐานเป็นภาคพ้ืนมหาสติปัฏฐาน 4 ทาให้ ฌาน 4 ปฏิบัติจริง 2)พิจำรณำกำย ประกอบด้วย พิจารณาร่างกายเป็ นธาตุ 4 ดิน น้า ลม ไฟ พิจารณาเห็นกายในกาย มีสภาพธาตุ 4 ขาดความสามคั คี สลายตวั ร่างกายมีธาตุ 4 มาประชุมเป็นเพยี งที่อาศยั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook