Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 64 รายงานผลการวิจัย

64 รายงานผลการวิจัย

Published by วิจัย แม่โจ้, 2022-06-10 04:17:13

Description: 64 รายงานผลการวิจัย

Search

Read the Text Version

379 เจริญอารมณ์วิปัสสนา วาง เวทนำอย่ำงเดียว เหน็ จติ ในจิต เห็นธรรมในธรรม เห็นจติ ในจติ เห็นตวั ทุกข์ สมุทัยเป็ น ฐานรองไว้ ฐานรองไว้ ตัวตัณหำ ตัณหำท้ัง 3 เป็ นเครื่องร้อยรัด เอาสมาธิที่สมาธิขนั ธ์เขา้ ไปอบรม จึงเกิด ปัญญา สมาธิเกิดอบรมมาก ๆ ปัญญาท่ีขนั ธ์เกิดข้ึนมา ขณิกสมาธิอบรมท่ีสอน ขณิกส ปัญญาเขา้ ใจเร่ืองฐาน มาธิเรียกว่า สมาธิขนั ธ์ 233เอำปัญญำเข้ำไปอบรมจิต จิตมีอะไรอยู่จึงเขา้ ไปอบรม อธิ เวทนาในเวทนา เป็นไป ปัญญายง่ิ อธิศีล อธิสมาธิย่ิง ตอ้ งการเหน็ ขันธ์ในขันธ์ เห็นกำยในกำยที่ขันธ์ เห็นสมาธิ ภายในมีอะไร มีรูป มี ขนั ธ์ ศีลขนั ธ์ ปัญญาขนั ธ์ รู้วิมุตติขนั ธ์ หลุดพน้ จากกิเลส สมาธิขนั ธ์ ปัญญาธิขนั ธ์เกิด เวทนาเสวยอารมณ์อยกู่ บั ทาลายกิเลสในขนั ธ์ 234รู้ชัดในปัจจุบันตำมฐำน เสวยอำรมณ์ในเวทนำ มีอำมีส ไม่มีอำ รูป สญั ญาความจาทีร่ ูป มีส เสวยอารมณ์อยู่ สวยไมส่ วย ดีไม่ดี ใหร้ ู้ชดั ในฐาน ขณะยนื ผสั สะชัดเป็ นฐำนจิตใน เป็นธรรมารมณเ์ กิดข้นึ จิต 235เป็นฐานธรรมในธรรม เรียกว่ำ ผัสสะ ทำงมโน ทำงเวทนำต้องผัสสะ เรื่อย กำร เห็นสุขเวทนาทุกขเวทนา ผัสสะเป็ นตัณหำอยู่เรื่อย คือ กามตณั หา อยากไดใ้ นกาม ภวตณั หา อยากไดท้ ุกสิ่ง ไม่ โทมนสั เวทนาในเวทนา อยากไดเ้ ลยเป็นตณั หา 235ขอให้กำหนดหย่ังรู้ตำมควำมรู้สึก หากกาหนดไดค้ วามรู้สึก อีกที เห็นอุเบกขาเฉยๆ ใน อนั น้ี ในรู้สึกเน้ือเลือดหนงั ผสั สะ เวทนา ถึงกนั กบั จิต เห็นตุ๊บ ๆ เห็นเวทนาในเวทนา เวทนาอีกที สัญญาความจา เวทนาเสวยอารมณ์ ตดั รูปารมณ์ ไม่เสวยเห็นตดั อารมณ์แลว้ เห็นจิตในจิตตดั อารมณ์ สุขทุกข์ ธรรมในธรรมตดั อารมณ์ 236การเจริญอำรมณ์วิปัสสนำวำงฐำนรองไว้ ฐำนรองไว้ มนั ชดั ซ่ายอารมณ์ถึงฐาน เห็นความดบั ชดั เจน คนฟุ้งไม่ไดอ้ ารมณ์ถึงฐานแลว้ เคร่ืองบิน เห็นเวทนาในเวทนาท้งั ลงลอ้ ฐาน ลงฐานผสั สะ ฐานเวทนา ธรรมพระพุทธเจา้ เป็ นของธรรมชาติ ให้ขบคิด 237 ภายในและภายนอก ส่ิงใดเกิดข้ึนธรรม ดวงตาเห็นธรรม ทาน ผูม้ ีปัญญาเขา้ ใจเร่ืองฐำนเวทนำในเวทนำ พจิ ารณาเห็นธรรมคือ เวทนาในเวทนาเป็ นไปภายในเวทนา มีอะไร มีรูป มีเวทนาเสวยอารมณ์อยู่กบั รูป ความเกิดข้นึ ในเวทนา เมือ สัญญาความจาท่ีรูปเป็ นธรรมารมณ์เกิดข้ึน 238เห็นสุขเวทนา เห็นทุกขเวทนา เห็น ผสั สะเกิดข้ึนทีใ่ ดเวทนา โทมนสั เวทนาในเวทนาอีกที เห็นอุเบกขาเฉยๆ ในเวทนาอีกที สัญญาความจาสุขทุกข์ เกิดข้ึน ตณั หาเกิด ภพ ชรา เห็นเวทนาใน 239เอามือลูบแขน ฐานเวทนาในเวทนา เวทนาเป็นเราเป็นเขา เห็นในน้นั มรณะ เม่อื เกิดท่ีใดให้ดบั ท่ี ดบั ไป เห็นเวทนาในเวทนาท้งั ภายในและภายนอก ย่อมพิจารณาเห็นธรรมคือ ความ เกิดข้นึ ในเวทนำ เมือผสั สะเกิดขนึ้ ทีใ่ ดเวทนำเกิดขึน้ ตณั หำเกิด ภพ ชรำ มรณะ เม่ือเกิด พจิ ารณาเห็นความเส่ือม ท่ีใดให้ดับท่ีน้ัน 240ย่อมพิจารณาเห็นควำมเส่ือม เกิดที่ไหนก็เส่ือมไปในเวทนาน้ันไป เกิดท่ไี หนกเ็ สื่อมไปใน บา้ ง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดา ท้งั ความเกิดข้ึนและความเสื่อมไป แว๊บๆ หน่ึง ๆ ตอ้ ง เวทนา ยอ่ มพิจารณาเห็น หยง่ั รู้ฐานเวทนาในเวทนา 241เวทนำมีอยู่เข้ำไปต้ังอยู่เฉพำะหน้ำอยู่แก่เธอ ยนื เป็นสุข ธรรมดา เวทนา ทุกขเวทนา โทมนสั ให้เห็นเวทนำในควำมรู้สึก เห็นเวทนำ มีรูปเวทนำเสวยอยู่ กับรูป สัญญำ ควำมจำ สังขำร มีปัจจุบันเฉพำะฐำน เฉพาะหนา้ เฉพาะฐาน ฐานเป็นท่ี เวทนามอี ยเู่ ขา้ ไปต้งั อยู่ รองรับสติ เอาสติไปต้งั ไวต้ ามฐาน 242สักแต่ท่ีรู้ อาศยั ระลึก ย่อมไม่ติดอยู่ดว้ ย ยอ่ มไม่ เฉพาะหนา้ ใหเ้ ห็นเวทนา ยึดถืออะไรในโลกดว้ ย พิจำรณำเห็นเวทนำในเวทนำเนืองๆ อยู่ เหมือนภายใน รู้สึก ในความรู้สึก เห็นเวทนา มี ผสั สะ ท้งั เน้ือตวั มีอยู่ในน้นั เม่ือเราลูบกระดานดู มือเรา เรารู้สึก ความมือ มือเราลูบ มือ รูปเวทนาเสวยอยกู่ บั รูป เรารู้สึก ลองลูบ กระดานไม้ มือไม่มี มีแต่ความรู้สึก อำรมณ์ควำมนึกคิด ปัจจุบนั อยู่ สญั ญา ความจา สงั ขาร มี ฐานเวทนาในเวทนา การนึกคิดไม่มี ดบั ไปได้ มองเห็นในตามความจริง เห็นเวทนาใน ปัจจุบนั เฉพาะฐาน เฉพาะ เวทนา หนา้ เฉพาะฐาน ฐานเป็นที่ รองรับสติ เอาสตไิ ปต้งั ไว้ ตามฐาน พิจารณาเห็นเวทนาใน เวทนาเนืองๆ อยู่ เหมือน ภายใน รู้สึกผสั สะ อารมณ์ ความนึกคดิ ปัจจบุ นั อยู่ ฐานเวทนาในเวทนา การ นึกคดิ ไมม่ ี ดบั ไปได้ มองเห็นในตามความจริง เห็นเวทนาในเวทนา

ผล 380 ปัญญาเกิดข้นึ ศลี 243ปัญญาเกิดข้ึน ศีล สมาธิ ปัญญา เพียงเพื่อทาให้แจง้ พระนิพพาน เขา้ ไป เมาในรูป สมาธิ ปัญญา เพยี งเพ่ือ เสียงอารมณ์ 6 กามตณั หา ภาวตณั หา วิภาวตณั หา เขา้ ไปตัณหา ความดบั ทุกข์ เป็นทาง ทาใหแ้ จง้ พระนิพพาน ส้ินแห่งตณั หา เป็นทางแห่งฟอกจิต เป็นทางท่ีเราตอ้ งดบั ทุกข์ 244ศีลสมาธิปัญญา อบรม สมาธิปัญญาท่ีสมาธิ มีผลใหญ่ มีอานิสงค์ใหญ่ท่ีอบรมกนั สมาธิปัญญาท่ีสมาธิอบรมแล้วมีอานิสงค์ใหญ่ อบรมแลว้ มีอานิสงค์ ปัญญา จิตท่ีถูกปัญญาเขา้ อบรมแลว้ ยอ่ มพน้ จากอาสวะท้งั 3 พน้ จากภาวนะตณั หา วิภา ใหญ่ ปัญญาจิตถกู วตณั หา ตณั หาท้งั 3 นอนเนื่องในขนั ธ์ของคนทุกคนวา่ ใครรู้เทา่ รู้ทนั รู้ชดั หรือเปลา่ 245 ปัญญาเขา้ อบรมแลว้ “เอหิปัสสิโก” ธรรมะพระพุทธเจา้ เปิ ดเผย ถา้ ใครฟังดีเกิดสติปัญญา ทาไดแ้ ลว้ ผูน้ กั ยอ่ มพน้ จากอาสวะ ปฏิบตั ิท้งั หลาย คาพูด ความรู้สึกเหมือนบทบาทการเตน้ โขน เม่ือเราฟังแลว้ พากย์ “เอหิปัสสิโก” ธรรมะ อยา่ งไร เราฟังเขา้ ใจเราจึงเตน้ ถูก ฟังดีเกิดสติปัญญา ตารางที่ 4.7.7 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “อธิบำยมหำสตปิ ัฏฐำนสี่ ตอน 05” แนวทางปฏิบตั ิพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั Y7] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด 246การฟังธรรมะพร้อมด้วยกำรฝึ กไปดว้ ย ฟังไปด้วยช่วยเป็ นพลงั คาแนะนาให้ตรงกับ เป้าหมาย 247ได้โสดาบนั แต่อนุสัยสังโยชน์ยงั ไม่หมดต้องแยกออกไป ว่า ความเที่ยง ฟังธรรมะพร้อมดว้ ยการ หรือไม่เท่ียงของรูป เวทนำ สัญญำ สังขำร และวิญญำณ แยกออกไปโดยแยบคายอีกตอ้ ง ฝึ กไป เป็นพระโสดาบนั บุคคล หรือใกลเ้ ป็นโสดาบนั จึงจะแยกได้ 248คาวา่ “เหน็ ” “รู้” คนละอนั กนั “ผู้รู้” “ผู้เห็น” คนละอนั กนั ใหเ้ ราทาความสังเกต การเห็นไม่ใช่เห็นตำเนื้อ เห็นด้วย ไดโ้ สดาบนั แต่อนุสยั ตำปัญญำ มีดวงตาอนั ใหม่ เกิดข้ึน นามรู้นามเห็น ยกเป็นรูป เป็นนาม ได้ 249ขอใหอ้ ยา่ ทิ้ง สงั โยชน์ยงั ไมห่ มด ฐาน อย่าทิ้งฐาน สติไปต้งั ตามฐาน สัมปชาโนจะเกิดข้ึน มีสัมปชญั ญะ เกิดข้ึนที่ได้ เอาสติ ไปคุมที่ฐานน้ัน ทาความรู้สึกไว้ ที่มโนสัมผสั ชา เวทนาอธิบายให้เขา้ ใจเร่ือง ฐานจิต 250 “ผูร้ ู้” “ผเู้ ห็น” ละอยา่ ง ฐานเวทนาในเวทนา ในขนั ธ์มีเวทนาเป็ นธรรมชาติของขนั ธ์ เรียกว่า เวทนา เวทนาใน กนั สงั เกต เห็นไมใ่ ช่ เวทนา ท่ีเสวยสุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส ต้องมีเวทนา เพราะเวทนาในขันธ์ มีอยู่แล้ว เห็นตาเน้ือ เห็นดว้ ยตา ต่างกนั ท่ีเสพอารมณ์ ที่มีความรู้สึกอยู่ เรากาหนดไปตามความรู้สึกเรียกวา่ 251ฐานเวทนาใน ปัญญา เวทนา เรียกวา่ อารมณ์ ควำมรู้สึกคือ ควำมเหน็ ที่รู้วา่ ลมพดั เราไม่เห็นใบไม้ ถา้ เห็นใบไม้ ถูกตวั เราดว้ ย เรารู้สึกวา่ มีลม ควำมรู้สึกท่ีตัวเรำ เรำเห็นเวทนำในเวทนำ ให้ทำควำมสังเกต อยา่ ทงิ้ ฐาน สติไปต้งั สาหรับผปู้ ฏิบตั ิแลว้ ตอ้ งสนใจเป็ นพิเศษของชีวิตตวั เองทุกท่าน การฐานเวทนาในเวทนา ตามฐาน สมั ปชาโนจะ หลกั เกณฑใ์ นมหาสติปัฏฐาน โดยแยบคาย เกิดข้นึ มีสัมปชญั ญะ เกิดข้นึ ท่ไี ด้ ฐานเวทนาในเวทนา ใน ขนั ธ์มเี วทนาเป็น ธรรมชาติ เสพอารมณ์ ทีม่ คี วามรู้สึกอยู่ ฐานเวทนาในเวทนา เรียกวา่ อารมณ์ ความรู้สึก คือ ความเห็น ความรูส้ ึกที่ ตวั เรา เราเห็นเวทนาใน เวทนา ให้ทาความสงั เกต หลกั กำร 252พิจารณาเห็นจิตในจิต เนืองๆ อยู่ ตอ้ งให้รู้วา่ ท่านวางสมมติไว้ ป่ าชา้ 9 เวทนานอก วาง ขนั ธไ์ วจ้ ิตนอกวางไวเ้ ป็นสมถกรรรมฐำน เหมือนกบั ป่ ำช้ำ 9 ตอ้ งรู้ท่ีมา เหมือนกบั ป่ าชา้ 9 วางสมมติไว้ ป่ าชา้ 9 ตอนตน้ เป็นสมถกรรมฐาน เป็นข้นั รู้ ตอนปลายเป็นวิสสนากรรมฐาน เป็นเวทนาในเวทนา เวทนานอก วางขนั ธ์ไว้ วปิ ัสสนากรรมฐาน 253 รูปภายนอก หรือรูปภายในก็ตาม เพราะไมใ่ ช่สตั วบ์ ุคคลเราเขา เป็น จิตนอกวางไวเ้ ป็นสม ถกรรรมฐาน

381 รู ปเวทนาเป็ นไปแห่งกฏ เพียงอุปทานเขา้ ไปยดึ เทา่ น้นั เราหา้ มการเจบ็ ไม่ได้ หา้ มการแก่ก็ไมไ่ ด้ หา้ มการตายก็ไม่ได้ แห่งกรรมตามธรรมชาติ รูปเวทนำเป็ นไปแห่งกฏแห่งกรรมตำมธรรมชำติ ร่างกายภายนอกของเรา เราห้ามไม่ได้ ร่างกายภายนอก เป็ นไปตามธรรมชาติ 254เวทนาเสวยกบั รูป เวทนาห้ามไม่ให้ปวดก็ไม่ได้ ห้ามไม่ให้เจ็บ เวทนาเสวยกบั รูป ไม่ได้ เขาต้องเจ็บ แสดงว่า เวทนำไม่ใช่เรำแต่จะเป็ นเรำ “รูปูปาทานกฺขนฺโธ เวทนู เวทนาไม่ใช่เราแต่จะ ปาทานกฺขนฺโธ” ท่มี ีอปุ ทำนเข้ำไปยดึ เวทนูปาทานขนั ธ์ สญั ญปู าทานขนั ธ์ สัญญาเขา้ ไปยดึ เป็นเรา ทม่ี อี ุปปทานเขา้ สังขารูปาทานขนั ธ์ วิญญาณูปาทานขนั ธ์. วิญญาณตามทวารเขา้ มาเสพ รูปเสียงกลิ่นรส ไปยดึ วิญญาณตามทวาร ธรรมารมณ์แสดงว่า เป็นตวั เรา 255สัญญา สัญญูปาทานขนั ธ์ ส่ิงท่ีเขา้ ไปยดึ ไปถือ สัญญา เขา้ มาเสพ รูปเสียงกล่นิ ความจาว่า เราปวด เราเม่ือย เราข้ีคร้าน คือ ความง่วง มีโทสะ มีกามราคะ สัญญำมันจำ รส ธรรมารมณ์แสดงวา่ เป็ นสัญญูปำทำนขันธ์ รูปเป็ นปัจจยั ให้เวทนาเสวยอารมณ์อยู่ 256เวทนำให้เป็ นปัจจัยให้ เป็นตวั เรา สัญญำจำควำมสุข ความทุกข์ ความดีใจเสียใจสัญญูปาทานขนั ธ์ เม่ือสัญญาจาแลว้ สังขาร สัญญูปาทานขนั ธ์ ส่ิงที่ ปรุงแต่ง ออกตามทวาร กายกรรม 3 สังขารออกกาย ออกทางวจีกรรม 3 ปรุงแต่งออกทำง เขา้ ไปยึดไปถือ สัญญา ใจ มโนกรรม 3 257ปรุงแต่งออกทำงวญิ ญำณท้งั 6 มำรับรูปคอื จกั ขวุ ิญญาณ ออกทางโสตะ ความจาว่า ให้เวทนา วญิ ญาณ สังขารปรุงแตง่ ใหว้ ญิ ญาณ ออก ออกกนั เป็นแถว ท้งั 5 กอง เสวยอารมณ์อยู่ 258ออกมาทางฆานวิญญาณ ชิวหำวิญญำณ และกำยวิญญำณ และมโนวิญญาณ เพราะ ตวั สงั ขารเป็นปัจจยั ใหป้ รุงแต่ง วิญญาณเป็นปัจจยั ใหส้ ังขาร วญิ ญาณออกตอ้ งอาศยั ตวั สังขาร สัญญาจาแลว้ สังขาร ปรุงแต่ง สังขำรอำศัยสัญญำ ความจารูปเสียงกล่ินรส สังขารปรุงแต่ง ตวั สัญญา สุขทกุ ขก์ ็ ปรุงแต่ง ออกตาม เป็ นเวทนา เวทนาเสวยอารมณ์ได้ เป็ นปัจจัยไปจากรูป 259เมื่อรูปเกิดข้ึนเวทนำเกิดขึ้น ทวาร กายกรรม ตัณหำเกิดขึ้น เวทนาเสวย อุปทานสัญญา เกิดรักใคร่ ชอบ เกิดตณั หา ภาวตณั หา วิภา ปรุงแต่งออกทาง วตณั หา ผิดปกติไปแลว้ สัญญำเกิดตัณหำ สัญญำจำได้ คือ ตณั หาไปจากรูปเป็ นปัจจยั ให้ วญิ ญาณ6 มารับรูป เวทนา ตัวตัณหำอุปทำน ภพชำติต่อไป เป็ นปัจจัยเวทนำ สังขำร วิญญำณ ไปเสพอำรมณ์ รับรู้มารายงานตวั สังขาร สังขารมารายงานสัญญา สัญญารายงานเวทนาสุขทุกข์ เวทนา วิธกี ำร เสวยรูปเป็นอารมณ์ 260ให้กำหนดรูปขันธ์ เวทนำเสวย สัญญำจำ สังขำรปรุงแต่ง วิญญำณ เป็ นนำมธรรม ยึดรูป แลว้ นามธรรมอยใู่ นรูป รูปเปรียบเหมือนฟองสบู่ ในสัญญา สังขาร ตวั สงั ขารเป็นปัจจยั วญิ ญา อยใู่ นฟองสบู่ เม่ือกาหนดไปที่รูป รูปังอนิจจงั รูปไมเ่ ที่ยง เวทนา อนิจจา เวทนาไม่ ใหป้ รุงแตง่ สงั ขาร เท่ียง สัญญาอนิจจา สัญญาไม่เท่ียง สังขาราอนิจจา สังขารไม่เที่ยง วิญญาณัง อนิจจัง อาศยั สัญญา สุขทกุ ข์ วิญญำณไม่เท่ียง รูปัง อนตั ตา รูปไม่ใช่ตวั ตน เวทนา อนตั ตา เวทนาไม่ใช่ตวั ตน สัญญา เป็ นเวทนาเสวย อนัตตา สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารา อนัตตา สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณัง อนัตตา อารมณ์ได้ วิญญาณไม่ใช่ตวั ตน สัพเพ สังขารา อนิจจา สังขารท้งั หลายท้งั ปวงไม่เที่ยง สัพเพ ธมั มา ตณั หาเกิดข้นึ เวทนา อะนตั ตาติ ธรรมท้งั หลายท้งั ปวง ไม่ใช่ตวั ตน ดงั น้ี ธรรมท้ังหลำยท้ังปวงเป็ นอนัตตำ เรำ เสวย อุปทานสัญญา จึงถอดอัตตำออกจำกตัวตนได้เป็ นอุปทำน 261รูป เวทนำ สัญญำ สังขำร วิญญำณ ให้ เกิดตณั หา สัญญาจา กำหนดในควำมรู้สึก เช่น รูปหน้าเป็ นฐานเวทนา ลูบไปมาหน้าไม่มี มือไม่มี มีแต่ ได้ ควำมรู้สึก ใชไ้ ดม้ ีแต่เวทนาในเวทนา ลองเอามือลูบกระดานดู ต้งั ใจทา 262ฐานเวทนา จบั ให้กาหนดรูปขนั ธ์ อารมณ์ได้ เราอย่าทิ้งฐาน กำรเจริญวิปัสสนำทิ้งฐำนไม่ได้ ถา้ ทิ้งฐานท้งั หลกั เล่ือนลอย เวทนาเสวย สญั ญาจา สังขารปรุงแตง่ วิญญาณ เป็น นามธรรม ยึดรูป รูปไม่เทยี่ ง เวทนาไม่ เท่ยี ง สญั ญาไมเ่ ทีย่ ง สังขารไม่เท่ียง วิญญาณไม่เทีย่ ง ธรรมท้งั หลายท้งั ปวง เป็นอนตั ตา เราจึงถอด อตั ตาออกจากตวั ตน ไดเ้ ป็นอุปทาน รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ให้ กาหนดในความรู้สึก จบั อารมณไ์ ด้ เราอยา่ ท้งิ ฐาน การเจริญ

382 วิปัสสนาทิง้ ฐานไมไ่ ด้ อารมณ์ตอ้ งลอย ปักลงไป 263มโนสัมผัสสชำเวทนำให้ดูฐำนจิตในจิต ออกจากฐานจิต ดู หลกั เลอ่ื นลอย สมั ผสั สชาเวทนาในเวทนาเป็ นฐานเวทนาในเวทนา เรียกวา่ ผสั สะ เห็นเวทนำในเวทนำ 264 มโนสัมผสั สชาเวทนา ท้งั 6 ทวารเป็นฐานเวทนาในเวทนา ใหส้ ังเกตคาพูดกบั คนท่ีเขา้ ไปรู้เห็น คนพากษก์ บั คน ให้ดูฐานจิตในจิต เตน้ “สันทฏิ ฐิโก” ผใู้ ดบรรลุแลว้ เห็นเอง เห็นกายในกาย เห็นเวทนา ไม่เท่ียง เห็นสญั ญาไม่ ผสั สะ เห็นเวทนาใน เที่ยง เห็นสังขารไม่เที่ยง 265การเจริญเขา้ ถึงฐานจิต มีใจน้อย จุจ้ ้ี จุกจิก ราคาญ ปวดใน เวทนา หน้าอก เป็ นโรคมะเร็ง ท้งั หลงั ท้งั คอ ขนลุกขนชนั ไม่เป็ นไรเดียวก็หาย กาหนดไปทา 6 ทวารเป็นฐานเวทนา ความขนลกุ ขนพอง จิตใจราคาญ ไปถึงบา้ นกิเลส มโนสัมผสั สชำ เขา้ ไปฐานจิต สัญญาเก็บ ในเวทนา“สนั ทิฏฐิ ไวไ้ ปภพไปเกิด สญั ญาผกู มดั สญั ญาเป็นอนตั ตา กิเลสไมช่ อบ ฆ่ากิเลสใหต้ าย ตวั สญั ญารู้ โก” ผใู้ ดบรรลุแลว้ ตามฐาน 266จิตที่มีราคะ รู้จิต จิตมีราคะ เป็นสมถะ รู้กด็ บั คิดก็ดบั แตไ่ ม่เห็นดบั ใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิ เห็นเอง เห็นไมเ่ ทีย่ ง รู้ก็ดับ คิดก็ดบั แต่ไม่เห็นเห็นดับ กิเลสไม่ถูกฆ่า ยกจิตข้ึนสู่พระไตรลักษณ์ ยกสู่มโน สมั ผสั เป็นฐานเวทนา ในเวทนากไ็ ด้ เป็นฐานจิตในจิตกไ็ ด้ กำรรู้จติ กับกำรเหน็ จิตต่ำงกัน เขา้ ถึงฐานจิต มโน ตรง น้ี การรู้จิต เราไม่ไดย้ กจิตข้ึนสู่พระไตรลกั ษณ์ รู้กบั ดบั คิดก็ดบั แต่ไม่เห็นดบั 267กำร สมั ผสั สชา เขา้ ไปฐาน เห็นจิตดับ คือ ท่านวางไวเ้ ห็น จิตในจิต ตวั เห็นเห็นจิตในจิต เห็นจิตในกำรนึกคดิ เป็ นจิต จิต สัญญาเกบ็ ไวไ้ ป นอก เป็ นธรรมำรมณ์ จิตนอกเป็นธรรมรมณ์ ในธรรมารมณ์ เห็นในควำมรู้สึก เห็นอารมณ์ ภพไปเกิด ตวั สญั ญารู้ ขา้ งนอก ธรรมารมณ์ 268เหน็ ควำมรู้สึกของจติ ในจติ ตดั อำรมณ์ได้ เรียกวา่ เหน็ จิตในจิต ใน ตามฐาน ควำมรู้สึกที่มโนสัมผัสยกจิตขึน้ สู่พระไตรลักษณ์ เห็นจิตในจิตเป็นหลกั อนตั ตา เป็นหลกั การรู้จิตกบั การเห็นจิต อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา ถอดอนตั ตา ตวั ตน บคุ คลจากจิตในจิตได้ เห็นจิตในจิตในจิตเนือง ๆ ตา่ งกนั ไม่เห็นดบั อยู่ อำตำปี คือ ทำควำมเพยี ร ยกจิตขนึ้ สู่พระไตรลกั ษณ์ ทางมโนสัมผสั เห็นจิตในจิตที่เตน้ กิเลสไม่ถกู ฆา่ ยกจิต 269จิตในเตน้ มีดวงอยู่ ควำมรู้สึกเป็ นคลื่นอยู่ จิตรอดจากภวงั คอ์ อกมาที่เขา้ ภวงั ค์ เข้ำหัวใจ ข้นึ สู่พระไตรลกั ษณ์ จิตประกอบรำคะ โทสะ โมหะ จึงออกมาเป็ นมโนสัมผัส ตอนประกอบรำคะ โทสะ โมหะ การเห็นจิตดบั คือ เหมือนประกอบไว้ ไฟอยใู่ นหวั ไมข่ ีดน้นั แตไ่ ม่มีส่ิงที่กระทบ เป็นภพเก่าส่งเขา้ มาในภวงั ค์ เห็นจิตในจิต ตวั เห็น เหมือนเราหลบั อาศยั ภพเก่า จิตไม่ไดอ้ อกผสั สะ อาศยั ภพเก่า 270ปัจจุบนั มโนสัมผสั ตุบที จิตในการนึกคิด เป็น ดับที ตุบทีดับที สัญญาดับไปพร้อมกัน เหมือนจิตเป็ น คลื่นออกมาจากภังค์ท่ีใจเต้น จิตนอก เป็น เรียกว่า ชีพจรท่ีใจเตน้ ชีพจรท่ีใจเต้น ทางธรรมะเห็นจิตในจิต ยกจิตข้ึนพระไตรลกั ษณ์ ธรรมารมณ์ ตอ้ งอาศยั ความพยายาม 271เขา้ ถึงฐานจิตก็สบายเป็ นทางลดั สัญญำพำนึกคิด สังขำรปรุง เห็นความรู้สึกของจิต แต่ง ไมอ่ ยากใหเ้ ราดู เมื่อเราเห็นตอ่ ไปแยกเห็นสดั ส่วน ผสั สะเห็นมโนสมั ผสั ดูชดั เขา้ ๆ ผู้ ในจิต ตดั อารมณ์ได้ ปฏิบตั ิ ใหส้ ังเกต ดู ยกจิตข้ึนสู่พระไตรลกั ษณ์ จิตราคะ โทสะ โมหะ เรารู้ดบั คิดดบั เป็น เรียกว่า เห็นจิตในจิต ฐานดบั เป็นสมถะกรรมฐาน ถา้ เห็นผสั สะยกจิตข้ึนสู่พระไตรลกั ษณ์ เป็ นปัจจุบันฐำนจิต ในความรู้สึกที่มโน ในจิต ราคะ โทสะ จะหมดไป เรือท่ีข้ำมฟำก ยกจิตขึน้ สู่พระไตรลักษณ์ ตดั ราคะ โทสะ ท่ี สัมผสั ยกจิตข้ึนสู่พระ มโนสัมผสั 272ไม่แตกฉานการปฏิบตั ิ เราฟังไปตำมควำมรู้สึกใจเต้น ตาราถา้ ไม่ปฏิบตั ิเป็น ไตรลกั ษณ์ คาพูดพระอรหันต์ ปถุชนจะขบตำรำออกอย่ำงไร เวลำอธิบำยไปถ้ำเรำไม่ปฏิบัติเขา้ ตวั 273 ปัจจบุ นั มโนสมั ผสั กำรจิตฝึ กไว้ดีแล้ว เป็ นประโยชน์ตนพอควร แล้วจึงพร่าสอนผู้อื่นไม่ม่ัวหมอง รู้สึก เหมือนจิตเป็น คลื่น ประโยชน์ตนแลว้ เป็ นประโยชน์ผู้อื่น เหมือนวิปัสสนาสนใจสอนแนะนา ประชาชนให้ ออกมา เขา้ ใจ กิจการอย่างอ่ืน ไม่อยากจะเอาเท่าใดการทาบุญทาทาน พระวิปัสสนาถือว่าเป็นของ ผสั สะเห็นมโนสมั ผสั ชดั เขา้ ๆ สงั เกต จิต ราคะ โทสะ โมหะ ฟังไปตามความรู้สึก ใจเตน้ ปถุชนจะขบ ตาราออกอยา่ งไร เวลาอธิบายไปถา้ เรา ไม่ปฏิบตั เิ ขา้ ตวั การจิตฝึกไวด้ ี ประโยชน์ตนพอควร แลว้ จึงพร่าสอนผอู้ ่ืน ไมม่ วั่ หมอง

383 ใจความตอ้ งให้เห็นจิต สูง พระโสดาบนั ตามลาดบั ไป 274ผูม้ ีปัญญา เป็ นคาสอนพระพุทธเจา้ ท้งั หลาย การยกจิต ในจิต ในจิตสานึก ข้ึนสู่พระไตรลกั ษณ์ จิตประกอบราคะ โทสะ จิตมีโมหะ มีโทสะ วา่ กบั จิต แต่วา่ ใจความ ฟังเพอ่ื ฝึก ตอ้ งเกิดจาก ตอ้ งใหเ้ ห็นจิตในจิต ในจิตสานึกอีกทีหน่ึง 275ผปู้ ฏิบตั ิกาลงั ปฏิบตั ิอยจู่ งฟังใหด้ ี ฟังแลว้ เอา การฝึ ก ไปฝึกเสียดว้ ยใหเ้ ขา้ ใจเรื่องน้ี ฟังเพื่อฝึก ต้องเกดิ จำกกำรฝึ ก กฟ็ ังเรื่องฟัง การฝึกกบั การฟัง เนน้ หนกั ในอารมณ์ เป็นของคู่กนั 276ในจิตน้ีเน้นหนักในอำรมณ์แห่งกำรนึกคิด ท่ีในอารมณ์นึกคิดตอ้ งผสั สะ แห่งการนึกคิด ข้ึน เม่ือไฟเกิดข้นึ จิตนอก 277 เห็นมโนสมั ผสั เรียกวา่ ยกจิตข้ึนสู่พระไตรลกั ษณ์ นกั ปฏิบตั ิ เห็นมโนสัมผสั ท่านผูฟ้ ังท้งั หลาย เราทาได้ ตรงกนั หมด เป็นทางเส้น “เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค” เรียกวา่ ยกจิตข้นึ สู่ เป็ นทางเส้นเดียว ไปท่ีแห่งเดียว ผู้เดียว 278จิตเราไม่ผ่องใส สังเกตต่อไป การยกจิตเห็น พระไตรลกั ษณ์ ความเตน้ ตุบ ๆ ๆ ดูที่ตบุ ไป เราดูตุบ เป็นทางโนน้ ที ทางน้ีที มนั ส่ายท่ีมโนสัมผสั ส่ายไป จิตเราไมผ่ อ่ งใส ส่ายที่ มา เม่ือจิตรอดภวงั ค์ เห็นมโนสัมผสั ถา้ ไม่กาหนดตอ้ งเป็ นภพใหม่ ต่อ สัมผสั กาย ชิวหา มโนสัมผสั เห็นมโน มโน 279จิตไหลออกจากภงั ค์ เป็นมโนสัมผัส เป็ นธรรมำรมณ์ เป็นภพใหม่ เห็นเวทนา ให้ สมั ผสั เห็นเวทนาในเวทนา ในขณะที่จิตมีราคะ โทสะ โมหะ ดูต่อไปทะลุหลงั ดูมโนสัมผสั มโนสมั ผสั เป็น วิญญาณแยกกายออก เวทนาในเวทนา จิตในจิตธรรมในธรรม 280คาว่า “จิต” หรือ “ใจ” ธรรมารมณ์ ใหเ้ ห็น หรือคาว่า “สภาวะ” หรือ “นามรูป” หรือ ขันธ์ เรียกกันหลายอย่าง เรียกว่า ขนั ธ์ 5 281 เวทนาในเวทนา แยกกนั เป็น ปัจจยั การ รูป เวทนำ สัญญำ สังขำร วญิ ญำณ เรำต้องหยงั่ ลงไป ถึงจะรู้ เท่าน้นั ในขณะที่จิตมีราคะ รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ สังขารตวั ปรุงแต่งให้วิญญาณออกตามทวารท้งั 6 282สังขาร โทสะ โมหะ เหมือนเช้ือเพลิง สงั ขารปรุงแต่ง ไฟราคะ คดิ ไป โมหะ คดิ ไฟธรรมดา กบั ไฟปรุงแตง่ ผดิ “จิต” หรือ “ใจ” หรือ กนั แรงผิดกนั ไฟถูกปรุงแต่ง ไฟฟ้า ถูปรุงแต่ง ไฟธรรมดาเผาอะไรไม่ใหม่ ถูกปรุงแต่ง คาว่า “สภาวะ” หรือ อารมณ์ไปปรุงแต่งเขา้ มา เหลก็ ละลาย ทองละลายไม่มีอะไรเหลือ ปรุงแต่ละลายเลย เป็น “นามรูป” หรือ ขนั ธ์ 5 ตวั สงั ขาร 283เตสังโวขโม สุโข ระงบั ตัวสังขำรปรุงแต่งได้ ไปเช้ือหมดติดไฟ ถา้ ไม่มีลมเขา้ ตอ้ งหยงั่ ลงไป ถงึ จะรู้ ปรุงแตง่ ติดแลว้ ดบั ตัวสังขำรเป็ นตวั ปรุง เหมือนอดั ลมเขา้ ไป อาศยั ลม มีไฟ ตอ้ งอาศยั ลม เทา่ น้นั รูป เวทนา เมื่อไดล้ มตอ้ งอาศยั ลม เมื่อไฟมีลม สังขำรปรุงแต่ง ตัวปรุงตัวแต่ง อย่าให้ปรุงแต่ง สงบ สังขาร วิญญาณ ระงบั สังขาร ดูตำมมโนสัมผัส ที่จกั ษุ สัมผสั รูปดบั เวทนาดบั สังขารดบั วิญญาดบั ตามท่ี สงั ขารตวั ปรุงแตง่ ให้ กลา่ วให้เหน็ จติ ในจิต อยา่ งเราไม่เขา้ ใจอภิธรรม เมื่อเราเรียนจริงไมร่ ู้ความหมายการปฏิบตั ิ วญิ ญาณออกตาม 284จิตรู้ชดั ว่ามีมหัตตะจิต จิตเป็นมหัตตตะจิตอยา่ งไร เป็นรู้จิต ไม่ใช่เห็นจิต ถา้ เห็นจิตใน ทวารท้งั 6 จิตต้องเห็นในมโนสัมผัส จิตเป็น ประกอบเป็นใหญ่ เอาอะไรเป็น ฌานกด็ ี จิตที่เศร้าหมอง สงั ขารปรุงแตง่ ไม่ผ่องใส จิตนึกจิตคิด ท้งั หมด เห็นจิตโดยสมมติ แต่กำรท่ีเห็นจิตต้องเห็นที่มโนสัมผัส รอดจากภวงั คต์ อ้ งเห็นจากมโนสัมผสั กำรท่ีว่ิงจิตกระแทกหัวใจเรำรู้ควำมเหน่ือย รู้ผสั สะ ระงบั ตวั สังขารปรุง ตลอดเวลาเห็นความรู้สึกของจิตในจิต แลว้ ท่านรวมความไว้ เห็นจิตในใจ เรียกว่า จิต แตง่ ได้ ไปเช้ือหมด ไดแ้ ก่ วิญญำณท้ัง 6 จักษุวิญญำณ จิต วิญญำณไปจำกจิต จิตคือวิญญำณ โสตวิญญำณ สงบ ระงบั สังขาร ดู ฆำนวิญญำณ ชิวหำวิญญำณ กำยวิญญำณ มโนวิญญำณ เรียกว่า จิต ลองคิดดูวา่ เมื่อทราบ ตามมโนสมั ผสั วา่ จิตเห็นจิตแลว้ ในจิต เนืองๆ อยู่ เร่ืองที่เราตอ้ งเขา้ ใจกนั วา่ เหน็ จิตอย่ำงไร ในจติ อย่ำงไร เห็นจิตในจิตตอ้ งเห็น ให้เรารู้ว่าจิตท่ีมีราคะโทสะ เห็นจิตในจิต 285พิจารณาเห็นจิตในจิตภายในจิตไปบา้ ง ย่อม ในมโนสัมผสั เห็นจิต พิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นไปภายในบา้ ง เห็นจิตนอกเห็นที่ธรรมารมณ์ กำรนึกคิด เห็นจิต โดยสมมติ แต่การท่ี เห็นจิต ตอ้ งเห็นที่ มโนสมั ผสั เห็นอารมณ์ ทจี่ ิตนึก คดิ อบรมมาเราอาศยั จิตนอก เห็นจิตนอก เห็นธรรมารมณ์ การ นึกคดิ เห็นจิตนอกคดิ เพลนิ เห็นมโนสัมผสั จิตในจิตนอก จิตนอก ไดแ้ ก่ การนึกคิด เป็น ธรรมารมณ์

384 สญั ญาเป็นเราอยู่ คิด นอกคิดเพลิน เห็นมโนสัมผสั จิตอารมณ์นอกก็ดบั ไป เห็นท้งั จิตในและจิตนอก บางคร้ัง มาเป็นเราคดิ เรานึก เห็นอารมณ์ ท่ีจิตนึกคิด อบรมมาเราอาศยั จิตนอก เหมือนเราปล่อยนอกสักตวั จิตนอก เรา เราอยาก เราไม่อยาก กาไวต้ วั หน่ึง กาจิตนอกไว้ กาอารมณ์ไว้ เราจะปล่อยนก ตอ้ งมีนกปล่อย เม่ือเราเห็นจิต เราพอใจ เราไม่พอใจ นอก เราตอ้ งปล่อยจิตนอกไป ตอ้ งเห็นจิตในจิตอีกที 287ผูป้ ฏิบตั ิตอ้ งสนใจเร่ืองจิตในจิต พิจารณาเห็นความ นอก จิตนอกไดแ้ ก่ กำรนึกคิด เป็ นธรรมำรมณ์ การนึกคิดทุกส่ิงจะนึกอะไร คิดสักหน่อย เกิดข้นึ ในจิต ยอ่ ม ในตวั ของเรา 288สัญญาเป็ นเราอยู่ คิดมาเป็ นเราคิด เรานึก เราอยาก เราไม่อยาก เราพอใจ พจิ ารณาเห็นความ เราไม่พอใจ เช่นเรานงั่ สมาธิ ขณะน้ี เราคิดเห็นว่า นงั่ อยู่ น่ี จิตแลปไปนอกไปอยา่ งไร อ่อ เสื่อมไปในจิต มโนสัมผสั แลว้ เป็ นมโนวิญญาณส่งไป แลว้ มีทางออกทางหัวกะโหลกศรีษะ เป็ นมโน จงพิจารณาเห็นจิตใน ทวาร เราแยกออกไป กายมีสองแทบ จิตวิญญาณ ออกสองแทน มโนวิญญำณ ออกสอง จิตเนื่องๆ อยู่ เห็นจิต แทบ มโนสัมผสั มโนวิญญาณ สองขา้ ง หลกั ฐานจากการปฏิบตั ิจะรู้เห็นกนั ไดท้ ุกคน ผู้ ในจิต ยกจิตข้ึนสู่พระ เขา้ ถึงฐานจิต 289พจิ ารณาเห็นความเกิดข้นึ ในจิต ยอ่ มพิจารณาเห็นความเส่ือมไปในจิต ยอ่ ม ไตรลกั ษณ์ พิจารณาเห็นความเกิดข้ึนและความเส่ือมไปในจิตบา้ ง หรือวา่ สติมีอยเู่ ขา้ ไปต้งั อย่เู ฉพาะ หน้าแก่ ไม่ติดอยู่ดว้ ย ย่อมไม่ยึดถืออะไรในโลก ท่านรวมความไวท้ ้งั หมด เป็ นอารมณ์ ผล วิปัสสนาจาเพาะ เห็นกายในกาย เห็นเวทนา เห็นธรรมในธรรม ก็เหมือนเห็นในจิต 290“จิเต จิตตอ้ งยกข้นึ ในรูป จิตตานุปัสสี วิหะระติ” จงพิจารณาเห็นจิตในจิตเน่ืองๆ อยู่ สรุปขอ้ ความแลว้ เห็นจิตใน รส เสียง กล่ิน รส จิต ยกจิตข้ึนสู่พระไตรลกั ษณ์ เห็นจิตในจิต เอวังโข ภิขะเว เห็นจิตในจิต เห็นจิตในจิต ยกข้นึ สู่มโนสัมผสั ยก เห็นอารมณ์ท่ีดบั ไป เห็นอารมณ์สมั ผสั เวทนา เห็นเครื่องหมายการปฏิบตั ิ จิตสู่ไตรลกั ษณ์ ยก 291จิตเศร้าหมองไม่เศร้าหมอง มีความต่างกนั กาหนดวิปัสสนากกรรมฐาน การใหจ้ ิตผ่อง จากกาม โทสะ โมหะ แผว้ ออกจากกามคุณ จิตตอ้ งยกข้ึน ในรูป รส เสียง กลิ่น รส ไปตามความสัมผสั เห็นเร่ือง สนใจการปฏบิ ตั เิ ขา้ ใจ ใหญ่ เหมือนจิตยกข้ึนสู่อะไร ยกข้ึนจากมโนสัมผสั ยกข้ึนสู่มโนสัมผสั คือ มโนวิญญาณ เรื่อง จิต ธรรมารมณ์ ยกข้ึนสู่มโนสัมผสั ยกจิตสู่ไตรลกั ษณ์ ยกจากกาม โทสะ โมหะ 292ขอให้ท่านท้งั หลาย ก็ได้ เขา้ ถงึ ฐานจิต สนใจเรื่องการปฏิบตั ิเขา้ ใจเร่ือง จิต ธรรมำรมณ์ กไ็ ด้ เข้ำถึงฐำนจิต บญุ ญำธิสังขำร เกิดข้นึ บญุ ญาธิสงั ขาร รำคะ โทสะ โมหะ กาจดั ไวพ้ อควร ท่านวางธรรมารมณ์ไว้ ปฏิบตั ิดีแลว้ ดีอยา่ งไร กาจดั ท้งั เกิดข้นึ ราคะ โทสะ กายกรรม วจีกรรม 293“เอกายะโน อะยัง ภกิ ขะเว มคั โค” ทางเสน้ น้ี ไปไดค้ นเดียวจริงโดย โมหะ สมมติสัจจะ 84,000 พระธรรมขนั ธ์ เป็ นจิตนอกจิตในเป็ นธรรม เป็ นธรรมนอกธรรมใน จิตนอกจิตในเป็ น พิจารณาเห็นธรรมในธรรม พิจารณาเห็นจิตในจิต คือ เห็นธรรมในธรรม ธรรมารมณ์ ธรรม เป็นธรรมนอก “ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ” พิจารณาเห็นธรรมในธรรม จิรงโดยปรมตั ถ์ จริงโดย ธรรมใน พจิ ารณาเห็น สญั ญา จริงโดยสมมติ ผล ผม ขน เลบ็ หนงั มา้ ม ไสใ้ หญ่ จริงโดยสมมติ 294การเจริญสติปัฏ ธรรมในธรรม ฐาน 4 บรรลุแลว้ เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อกาลิโก ไม่ พิจารณาเห็นจิตในจิต เลือกกาลเวลา 295สวดมนต์เฉพาะวนั พระ ปฏิบตั ิไม่ปฏิบตั ิ ไม่ไดป้ ฏิบตั ิอย่างเคร่งครัด คอื เห็นธรรมในธรรม ธรรมารมณ์ จริงจงั กนั “สันทิฏฐิโก อกาลิโก เอหปิ ัสสิโก โอปนยโิ ก ปัจจัตตงั ” ไมเ่ ลือกกาลเวลา นุ่งสบง เจริญสตปิ ัฏฐาน 4 บรรลุแลว้ เห็นกายใน จีวร สังฆาฏิอิริยาบถ 4 ยอ่ ย ทาไดท้ ้งั น้นั ทาไดไ้ มเ่ ลือกกาลเวลา “อกาลิโก เอหปิ ัสสิโก” ได้ กาย เวทนาในเวทนา พดู บรรยายเรียกขอยนื ยน้ เรียกทา่ นมายนื ยนั ได้ นอ้ มมาดูเป็นอยา่ งไร ลงมือปฏิบตั ิแลว้ อนั จิตในจิต ธรรมใน วิญญูพึงเห็นไดเ้ ฉพาะตน ไดพ้ ระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหนั ต์ เป็นเร่ืองสาคญั หลกั สูตร

385 ธรรม อกาลิโก ไม่ สติปัฏฐาน 4 ยอ่ มาไว้ สัมปชัญญะบรรพ บรรลแุ ล้วเหน็ เอง ไม่เลือกกำลเวลำ 296ธรรมารมณ์ เลอื กกาลเวลา ท้งั หมด ธรรมจริงโดยสมมติสัจจะ ในโลกเป็นธรรมะท้งั หมด แต่ว่า ธรรมโดยสมมติ ถา้ “สนั ทิฏฐิโก อกาลโิ ก ไปติดธรรมสมมติ เขา้ ไปจดั อามิสสะบชู า เช่นดอกไม้ ธูปเทียน การสวด การสารยาย วินยั เอหิปัสสิโก โอปนยิ ก็ตาม ยงั เป็ นอามิสอยู่ ไม่ใช่ ปฏิบตั ิบูชา เป็ นดา้ นวินัย 297ธรรมะเป็ นปฏิบูชาโดยเฉพาะ โก ปัจจตั ตงั ” ไมเ่ ลือก ผใู้ ดเห็นเราผนู้ ้นั เห็นธรรม เราเห็นธรรม วนิ ยั ยงั เป็นสิ่งสมมติอยู่ บญั ญตั ิเป็นที่พระพุทธเจา้ กาลเวลา บญั ญตั ิข้ึนโดยสมมติ จริงโดยสมมติสัจจะ เรียกว่า มีอามีส เรียกวา่ อามิสบูชา 298ถา้ ปฏิปฏิ ธรรมารมณ์ท้งั หมด บูชา ไม่มีตัวบริกรรม ภาวนา “อำตำปี สัมปชำโน” ไว้ จับควำมรู้สึกอย่ำงเดียว “อำตำปี ธรรมจริงโดยสมมติ สัจจะ สัมปชำโน” อย่ำงแน่นอนไม่ต้อง “ธมฺเมสุ ธมฺมำนุปสฺสี วิหรติ” พิจำรณำให้เห็นธรรมใน ธรรมะเป็ นปฏิบูชา ธรรม 299หากเราปฏิบตั ิไปวิตกและวิจารณ์ ข้ึนโดยธรรมท้งั หลาย 84,000 พระธรรมขนั ธ์ โดยเฉพาะ จริงโดยสมมติสัจจะ เพื่อต้องกำรให้แวกว่ำย ให้เห็นปรมัตถ์สัจจะ เอง ท่านกล่าวไว้ ย่อม ถา้ ปฏิปฏิบชู า ไมม่ ตี วั พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ ดูก่อนภิกษุในธรรมวินยั น้ี ย่อมพิจารณาเห็นธรรม บริกรรม ภาวนา “อา ในธรรมเนือง ๆ อยู่ ไว้ ยกนิวรณ์ 5 “ปญฺจสุ นีวรเณสุ ฯ กถญฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ ธมฺเมสุ ธมฺมา ตาปี สัมปชาโน” ไว้ นุปสฺสี วิหรติ ปญฺจสุ นีวรเณสุ ฯ” ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมนิวรณ์ 5 ภิกษุธรรม จบั ความรู้สึกอยา่ ง วินัยน้ี เมื่อกามฉันทะเกิด พอใจในกาม ธรรมารมณ์ มีภายในจิตก็รู้ชดั กามฉันทะมีอยู่ เดียว “อาตาปี สัมปชา ภายในจิต ความเป็ นจริง ไม่ให้สารยาย ธรรมเป็ นบุญญาภิสังขาร ไม่ติดในกำรสวด กำร โน” อยา่ งแน่นอนไม่ ท่อง กำรสำรยำย ไม่เพลิดเพลินไปธรรมนอก ท้งั 84,000 ธรรมขนั ธ์ ไม่ติดตำรำ ไม่ติด ตอ้ ง “ธมฺเมสุ ธมฺมา ประเพณี โดยยกพระพระไตรปิ ฏก นึกวา่ เป็นผวู้ เิ ศษ นุปสฺสี วิหรติ” จริงโดยสมมตสิ ัจจะ เพ่อื ตอ้ งการใหแ้ ว กว่าย ใหเ้ ห็นปรมตั ถ์ สัจจะ ตารางท่ี 4.7.8 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “อธิบำยมหำสตปิ ัฏฐำนสี่ ตอน 06” แนวทางปฏิบตั ิพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั Y8] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด 300“ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วหิ ะระติ” ยอ่ มพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ยอ่ มพจิ ารณาเห็น “สาว -“ธมั เมสุ ธมั มานุปัส ขาโต” ให้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม เรียกว่า ผู้ใดบรรลุแล้วเห็นเอง คาว่า เห็นธรรมใน สี วหิ ะระติ” ยอ่ ม ธรรม ผใู้ ดบรรลแุ ลว้ เห็นเอง เห็นที่ตวั เรา เห็นใน สวาขาตะธรรม ในพระธรรมคาสอน ของ พจิ ารณาเห็นธรรม พระพุทธเจา้ เห็นธรรมในพระธรรมของพระองคท์ ้งั หมด 84,000 พระธรรมขนั ธ์ เห็นธรรม ในธรรม ยอ่ ม ในธรรม 301ธรรมในธรรมนอก เป็ นของอำศัยซึ่งกนั และกัน ธรรมนอกบอกใหเ้ ห็นธรรมใน พจิ ารณาเห็น “สาว ธรรมนอกทาลายธรรมใน ธรรมนอกเป็นบุญญำภิสังขำร ปรุงแต่งเร่ืองบุญ บุญบังทำงพระ ขาโต” ใหพ้ จิ ารณา นพิ พำน พุทธศาสนาทา่ นประณีต ลงไป บุญบงั ทางพระนิพพาน ใหข้ อใหเ้ ขา้ ใจ ทาไมเขา้ ใจ เห็นธรรมในธรรม วา่ บุญญาภิสงั ขาร บงั ทางพระนิพพาน พระธรรมคาส่งั สอนพระผมู้ ีพระภาคเจา้ เป็นตวั แทน เรียกวา่ ผูใ้ ดบรรลุ เป็นคาส่ังสอนพระพุทธบิดา ตรัสไวด้ ี แลว้ เห็นพระธรรมในพระธรรม อาการรู้ธรรมอยา่ ง แลว้ เห็นเอง หน่ึง สวดธรรม สำธยำยธรรม ท่องจำบำลี ศัพท์แสง เรียนนกั ธรรม เป็นบญุ ญาภิสังขาร ปรุง แต่งให้เกิดบุญ แต่ว่า บงั ธรรมพระนิพพาน 302รูปฌาน อรูปฌาน ไม่เกิดมรรคผลนิพพาน ธรรมในธรรมนอก เป็นของอาศยั ซ่ึงกนั และกนั ธรรมนอก ทาลายธรรมใน ธรรมนอกเป็ น

386 บุญญาภสิ ังขาร ปรุง ธรรมนอกไม่ติดในกำรสวด ไม่ใช่สวดเป็นนกแกว้ นกขนุ ทอง ไม่ให้ติดในการเรียน ไม่ให้ แตง่ เร่ืองบญุ บญุ บงั ติดในกำรดูตำรำ ไม่ติดในตำรำ เพรำะว่ำ เป็ นบญุ ญำภสิ ังขำร เจริญกรรมฐาน ถา้ ไปทอ่ ง ทิ้ง ทางพระนิพพาน ละการปฏิบตั ิไป บงั ธรรมใน เรียกวา่ อยา่ งภิกษุมกั สวดต่าง ทาวตั ร เยน็ วตั รเชา้ ไม่มีทางไป ธรรมนอกไมต่ ิดใน มรรคผลนิพพาน เพราะบญุ บังพระนพิ พำน การสวด ไมใ่ ห้ตดิ ในการดูตารา ไมต่ ิด 303สวดมากเป็ นอัตตามาก กลวั จะลืมบทน้ัน เรียงประโยคน้ี มันอยู่ในความอยาก ในตารา เพราะวา่ ภวตณั หา จะตดั อารมณ์ตอ้ งให้เห็นธรรมในธรรม เห็นธรรมารมณ์ธรรม หมวดธรรม เป็นบญุ ญาภิสังขาร เราจะรู้ว่า ธรรมสองประการอย่างไร จริงโดยสมมติสัจจะ เป็ นธรรมนอกอย่างหน่ึง ธรรมนอกจริงโดยสมมติ ธรรมโดยสมมติคืออะไร 304 เกสา โลมา นขา ทนั ตา ตะโจ หลกั กำร หนงั รอบตวั เป็นธรรมนอก แต่วา่ ธรรมโดยสมมติบัญญัติเป็ นธรรมนอก มหาภูปตรูป ธาตุ ดินน้า ลม เป็ นธรรมโดยสมมติสัจจะ พิจำรณำตนเอง เป็ นของไม่สวยงำม จริงโดยสมมตสิ จั จะ พิจารณาผอู้ ่ืน เป็นของไม่สวยไม่งาม เป็ นธรรมนอก ธรรมเป็ นสมมติสัจจะ สมมติวา่ เป็นธรรมนอก จะ น้าดี น้าเสลด น้าหนอง น้าเลือด น้าเหง่ือ จริงโดยสมมติสัจจะ ลมข้ึนบน ลมหายใจ ตดั อารมณต์ อ้ งให้ เป็นธรรม ไฟอยา่ งกายอบอุ่น ทรุดโทรม ท้งั 84,000 พระธรรมขนั ธ์ ยอ่ แลว้ เป็ นธรรม เห็นธรรมในธรรม นอกท้งั หมด 305ท่านให้อ่านตาราที่ตวั เรา มีอะไร มีตาราอยเู่ หมือนกนั ตอ้ งบรรลุแลว้ เห็นธรรมารมณ์ เห็นเอง ท่านบญั ญตั ิสิ่งท่ีเท่านรู้รู้เห็นมา เป็ นคำพูดเป็ นธรรมนอก กรอกเข้ำหู เข้ำไปรู้ ธรรม เห็นควำมเป็ นจริงภำยในตัวของเรำ ธรรมนอกจริงโดยสมมติสัจจะ รูปขนั ธ์ เวทนา ธรรมโดยสมมติ ขนั ธ์ เวทนาขันธ์ สังขารขนั ธ์ เป็ นธรรมนอกท้ังน้ัน “ เอ๊ เออ อ้อ” เป็ นธรรมนอก บญั ญตั เิ ป็นธรรม ท้งั หมด 306สิ่งที่ปรากฎ มโนสัมผัส จิตในจิต สิ่งท่ีเราเห็นปรากฏความรู้สึกสัมผสั เป็น นอก พจิ ารณาตนเอง ธรรมในธรรม 307เราสวดมนต์ไหวพ้ ระกนั ท้งั วนั ท้งั คืน บวช 20 ปี สึกไปก็สวด เรา เป็นของไมส่ วยงาม ระงบั ตดั ตณั หาไม่ได้ กำรระงบั ตัดตัณหำได้ ต้องเห็นธรรมในธรรม ท่มี ธี รรมรมณ์ ข้ึน จริงโดยสมมตสิ ัจจะ ในร่างกายเป็นสมมติ กายนอก สมมติท้งั หมดสมมติวา่ ผหู้ ญิง ผชู้ าย เป็นธรรมท้งั หมด ใหอ้ ่านตาราทตี่ วั เรา ตอ้ งบรรลุแลว้ เห็น 308ธรรมแทจ้ ริงตอ้ งเป็นธรรมโดยสมมติอีกที เห็นธรรมในธรรม นิวรณ์ 5 ไดแ้ ก่ กามฉนั ทะ เอง รูปขนั ธ์ เวทนา (ความพอใจในกาม) พยาบาท(ความคิดร้าย ความขดั เคืองแคน้ ใจ) ถีนมิทธะ (ความหดหู่และ ขนั ธ์ เวทนาขนั ธ์ เซื่องซึม) อุทธัจจกุกกุจจะ (ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ กระวนกระวายกลุม้ กงั วล) วิจิกิจฉา สังขารขนั ธ์ เป็น (ความลงั เลสงสัย) เป็นธรรมเหมือนกนั ความ หยงั่ ให้ดบั ไป เป็นปรมตั ถ์ 309ตอ้ งกาหนดลง ธรรมนอก ไปให้เห็นธรรมารมณ์ จริงโดยปรมตั ถส์ ัจจะ ในธรรมรูปธรรมท่ีปรากฏเกิดข้ึน เป็ นธรรม มโนสมั ผสั จิตในจิต นอกท้ังหมด เห็นด้วยญำณปัญญำ ความรู้สึกอยู่ในมโนสัมผสั มือเลบ็ ฟันหนงั เป็นธรรม ส่ิงทีเ่ ราเห็นปรากฏ นอก เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เป็ นธรรมนอก เห็นธรรมารมณ์ ความรู้สึกสมั ผสั ธรรมนอก เห็นธรรมในธรรม เวทนาธรรมะ วิญญาณธรรมะ เห็นธรรมในธรรม 310การ เป็ นธรรมในธรรม การระงบั ตดั ตณั หา ได้ ตอ้ งเห็นธรรมใน ธรรม มธี รรมรมณ์ ข้นึ ในร่างกายเป็น สมมติ วิธกี ำร ธรรมแทจ้ ริงตอ้ ง เป็ นธรรมโดย สมมติอกี ที เห็น ธรรมในธรรม กาหนดลงไปให้เห็น ธรรมารมณ์ จริงโดย ปรมตั ถส์ จั จะ เป็น ธรรมนอกท้งั หมด เห็นดว้ ยญาณปัญญา

387 ความรู้สึกอยใู่ นมโน สาธยายธรรม การสวดการพูด ถา้ กำหนดวิปัสสนำกรรมฐำนแลว้ ใหเ้ ราสังเกตดู เห็นธรรม สัมผสั ในธรรม สัมมาวาจา เจรจาชอบ เป็นธรรมในธรรม การจบั ความรู้สึกได้ พูดถึงธรรม ท่าน กาหนดวิปัสสนา ไม่ให้ไปติดสมมติ เรำคิดดูว่ำคนที่ดูเรียนตำรำ เขียนตำรำ เอำตำรำหนุนหัวตำย ไม่จบ 310 กรรมฐานสงั เกตดู ผม เลบ็ ฟัน หนงั สมมติเกิดข้ึน ธรรมโดยสมมติ จริงโดยสมมติสัจจะ เราอยากเห็นธรรมท่ี เห็นธรรมในธรรม แทจ้ ริง เห็นมีอะไร รูปธรรม เวทนาเป็ นธรรมะ สัญญาที่เป็ นธรรมะ สังขารที่เป็ นธรรมะ การจบั ความรู้สึก วิญญาณท่ีเป็ นธรรมะ อยู่ไหน 311อยู่ในกายยาวหน่ึงวา หน้าผาก ถึงหัวแม่นิ้วเทา้ กายยาว ได้ หน่ึงว่า หนาหน่ึงคืบ กวา้ ง หน้าอกของใครของมนั หนาหน่ึงคืบ จกั แร้ใครมนั เป็ นธรรม ธรรมโดยสมมติ จริง บัญญัติธรรมโดยสมมติไว้ เรียกว่า บัญญัติธรรมโดยสมมติ 312ปรมัตถ์เกิดในสมมุติ โดยสมมตสิ จั จะ รูปธรรม วิญญาณธรรมะ สังขาร ธรรมะเป็ นธรรมาชาติ รู้ตามความเป็ นจริงของวิญญาณ เห็นธรรมทแี่ ทจ้ ริง ธรรมชาติ วญิ ญาณกิเลส ตณั หา อุปทาน ภพชาติอยู่ เราต้องหยั่งรู้ วญิ ญำณ สังขำร ให้ดับไป อยใู่ นกายยาวหน่ึงวา เป็ นจริงปรมตั ถ์สัจจะ ไม่ให้ยึดบุญ สอนแทจ้ ริงสอนอนัตตา ให้ขา้ มพน้ ตวั อตั ตาไป 313ถา้ หนา้ ผาก บญั ญตั ิ เราไม่ท่องเรา ปฏิบตั ิอย่างไร ถา้ เราสวดไดม้ าก เรียนไดม้ ากกลวั ลืม สร้างอตั ตาอยู่ในตวั ธรรมโดยสมมติ เรียนมากกลวั ลืม เป็นอตั ตา ธรรมนนอกท้งั 84,000 ธรรมขนั ธ์ เป็นธรรมนอกเปรียบเหมือน ปรมตั ถเ์ กิดในสมมติ แพข้ำมฝำก เรำต้องใช้แพ เวทนาขา้ มฝั่งไปแลว้ เราเอาแพข้ึนไปดว้ ยม้ยั ไม่ตอ้ งเอาข้ึนไป ตอ้ งหยง่ั รู้ วญิ ญาณ เพราะถึงฝ่ังแลว้ 314ผูป้ ฏิบตั ิบรรลุญาญธรรม เห็นมรรคผลเป็นแก่นสาร เห็นธรรมท้งั หลาย สังขาร ให้ดบั ไป ท้งั ปวง แมส้ ภำวธรรมไม่ถือม่ัน ทาท่ีวา่ ไม่ถึงมน่ั สภาวะเป็นอนิจจงั ทุกขัง อนัตตำ ธรรมท้งั เป็นจริงปรมตั ถ์ 84,000 พระธรรม เป็ นธรรมนอก 315โลกน้ี เป็ นธรรมนอกเหมือนกันทุกส่วน ขันธ์ 5 สัจจะ อายตนะ 12 ธาตุ อินทรีย์ เป็นธรรมนอกท้งั หมด ทา่ นรวมความไวว้ า่ ธัมเมสุ ธัมมานปุ ัสสี วิ 84,000 ธรรมขนั ธ์ หะระติ ท่านพิจารณาเห็นธรรมในธรรมท่ีสมมุติ อีกที 316ท่านวางไว้ อายตนะ12 รูปน้ีทรุด เป็ นธรรมนอก โทรม ความเกิดข้นึ ของรูป ความดบั ไป ของรูป ความเกิดเวทนา ความดบั ไปแห่งวเทนา เป็น เปรียบเหมือน แพ ธรรมนอก ท่านผฟู้ ังท้งั หลำยเป็ นธรรมนอก แต่ธรรมใน เห็นควำมรู้สึก มโนสัมผัส เหน็ กำย ขา้ มฝาก เราตอ้ งใช้ ในกำย เห็นเวทนำ เห็นในธรรมสมมติ เห็นธรรมปรมตั ถ์ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ท้งั แพ ภายในและภายนอก เป็นของที่แฝงกนั อยู่ ตอ้ งมีผู้รู้เท่าน้นั จึงสามารถจะเห็นได้ ถา้ ไม่มีผูร้ ู้ เราไม่สามารถเห็นธรรมน้ี 317ท่านไม่ให้มีความลงั เล “อ่อ” อย่างน้ี คือเวทนา ไม่ให้ “ออ้ ” เห็นธรรมท้งั หลาย สังขาร ให้มีความรู้สึกเท่าน้นั วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง เพียงแต่สักวา่ เป็นท่ีอาศยั ท้งั ปวง แม้ ระลึกรู้อย่างเท่าน้นั ไม่ใหย้ ดึ ถือหน่วงเหนี่ยว ธรรมนอก ถา้ เราไปติดธรรม การล่าชา้ ในการ สภาวธรรมไมถ่ อื ปฏิบตั ิ 318 การปฏิบตั ิสวดวนั พระ ใหป้ ฏิบตั ิมาก ไม่ให้ติดอารมณ์สมมติต่างๆ ท่ีเกิดข้ึน เรา มน่ั เขา้ ใจรู้ธรรม ธรรมในธรรม หากเราไม่ปฏิบตั ิให้แตกฉาน เราไม่เขา้ ใจ รูป เวทนา สัญญา ธมั เมสุ ธมั มานุปัส สังขาร วิญญาณ อายตนะ 12 ขนั ธ์ 5 ไม่ใหย้ ึดถือ 319หากเรายดึ ถือ เราตอ้ งมนั่ เขาดบั แลว้ สิ้น สี วหิ ะระติ ท่าน ไปเอง บรรลุแลว้ เห็นเอง วาง “รูปา วา สัททา วา คันธา วา ระสา วา โผฏฐัพพา วา” รูป พิจารณาเห็นธรรม ในธรรมที่สมมุติ เสียง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ เป็นที่รักท่ีเจริญใจในโลก “เอตเถสา ตัณหา อุปปัชชะ อีกที มานา อุปปัชชะติ” ควำมรู้ทำงใจเป็ นท่ีท่ีรักใคร่ พอใจในโลก ตัณหำย่อมเกิดขึน้ ควำมรู้สึก ท้งั หลายเป็นธรรม ทำงใจน้ัน ต้ังอยู่ ก็ย่อมต้ังอยู่ที่ควำมรู้สึกทำงใจ ควำมกระทบทำงตำ ทำงหู เรียกว่ำ เห็น นอก แต่ธรรมใน เห็นความรู้สึก มโนสัมผสั เห็น กายในกาย เห็น เวทนา เห็นใน ธรรมสมมติ ตอ้ งมี ผรู้ ู้เท่าน้นั จึง สามารถจะเห็นได้ ไมใ่ หม้ ีความลงั เล สกั ว่าเป็นทีอ่ าศยั ระลกึ รู้อยา่ งเทา่ น้นั

388 ไม่ใหย้ ึดถือหน่วง ธรรมในธรรม ในธรรมรมณ์ อีกที สิ่งเหลา่ น้ีไมเ่ หลือวิสยั ทาไดแ้ น่นอน 320ทาความแน่นอน เหน่ียว ธรรมนอก ในการปฏิบตั ิ หมวดธรรมพรรณนาไวม้ าก พระองคต์ รัสวา่ ตณั หา เกิดข้ึนก็ย่อมเกิดข้ึนใน ความยากในรูป เม่ือต้งั อยู่ ต้งั อยใู่ นความอยากในรูปน้นั ท่านบอกไว้ ควำมรู้สึกเกิดขึน้ แห่ง ใหป้ ฏบิ ตั ิมาก ไมใ่ ห้ ตัณหำ ควำมรู้สึกกำยในกำย เวทนำ จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็ นทำงตัดตัณหำ ตัณหำเป็ น ตดิ อารมณ์สมมติ ควำมรู้สึก 321เอาทุกข์ไปละสมุทัย ควำมรู้สึกต่อควำมรู้สึก หนามยอกหนามบ่ง เป็ น ตา่ งๆ ธรรมชาติ ผเู้ จริญวิปัสสนา มาทดสอบพิสูจน์ไดท้ ุกหมวด ศีลขนั ธ์ ปัญญาธิขนั ธ์ เป็นธรรม นอกท้งั หมด เคยสนทนา 322ถามกนั เรื่อง จิตเต จิตตานุปัสสี วิหระติ เราดูไปตามความรู้สึก บรรลแุ ลว้ เห็นเอง รูป ว่า ตรวจดูจิตในจิต ท่านผูร้ ู้ท้งั หลายให้ตอบภาคปฏิบตั ิ ว่า เห็นจิตในจิตอย่างไร ไม่มีใคร เสียง กล่ิน รส กลา้ ตอบ อาตมา ตอบ เห็นจิตในจิต เห็นจิตในจิตนอก ในท่ีประชุมไม่ยอม หาว่า เราเอา โผฏฐพั พะ ปริยตั ิ เราไมเ่ ขา้ ใจ เป็นอยา่ งไร มี 1000 คนประชุม ร่วมกนั อยทู่ ี่น้นั เมื่อประชุมกนั อยู่ ลงมติ ธรรมารมณ์ กนั วา่ การพดู ทุกคา เราถามปฏิบตั เิ อำปริยัติมำพูด กนั อาตมาก็ ถ้ำตอบปฏิบัติกันจริงๆ แล้ว ความรู้สึกเกิดข้ึนแห่ง ไม่มีเสียง นะ นัง่ ดูจิตในจิต ดูธรรมารมณ์ที่เกิดข้ึนใน ผูฟ้ ังไม่เขา้ ใจ ตอบแลว้ ทางจิต ตอบ ตณั หา ความรู้สึกกาย โดยปริยตั ิ ใครรู้บา้ งม้ยั การพูดมาทุกคา เป็ นธรรมนอกท้งั หมด 323ท่านไม่ให้ติดในคำพูด ในกาย เวทนา จิตใน ไม่ให้ติดสำธยำย ไม่ติดในกำรศึกษำ แมแ้ ต่ไหวพ้ ระสวดมนตท์ ่านไม่ให้ติด ภิกษุนกแกว้ จิต ธรรมในธรรม เป็น ไม่ให้หลงติด อุปมาต่างๆ ว่า คนท่ีมีความรู้ควำมเข้ำใจ เร่ืองธรรมในธรรม เรื่องวิปัสสนำ ทางตดั ตณั หา ตณั หา กรรมฐำน ยำกเหมือนกัน เป็นพระวิปัสสนาเห็นอปั มงคล เห็นพระอหันตไ์ ม่ใช่ คนแลว้ ไม่ เป็ นความรู้สึก สนใจเรื่องพระอรหันต์ บางคนเห็นพระอปั มงคล รังเกียจก็เยอะ เราเป็นพระสังเกตุได้ คน ไม่ถึงธรรมใน คนสงสาร ตกั บาตรจนลงไป ทาบุญบุญไม่ช่วย แต่ความจริงให้เราเขา้ ใจ ดูไปตามความรู้สึก ว่า ธรรมในธรรมนอก 324ธรรมสมมติสัจจะ ทอดกฐิน ทอดผา้ ป่ า หรือบวช 3 เดือน เลือกกาล ตรวจดูจิตในจิต ถาม เลือกเวลา ไม่ใช่การปฏิบตั ิบูชา อาตาปี เพียรมากๆ “สันทิฏฐิโก” เห็นกายในกาย เห็น ปฏิบตั ิเอาปริยตั มิ าพดู เวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม เอง เรียกว่า พระธรรมคุณ ถา้ ใครปฏิบตั ิ ตอบปฏิบตั ิกนั จริงๆ ตามพระธรรมคณุ อำกำลิโก ไม่เลือกกำลเวลำ ยนื เดิน นงั่ นอน กไ็ ด้ ถ่ายปัสสะวะ ขอใหเ้ รา แลว้ ไมม่ ีเสียง มน่ั คงในการปฏิบตั ิจริง 325สอนมา 23 ปี ที่นครศรีธรรมราช เห็นคนหลายแบบ จะพดู หรือไม่ พูด แข่งดี ความถือตวั งอนตอ้ งงอ้ ถือตวั ว่า เป็ นนั่นเป็ นนี่ ดูหมิ่น ผูอ้ ื่น พ่อแม่พี่น้องญาต ไมใ่ ห้ติดในคาพูด โยม มวั่ เมา อุปกิเลสเคร่ืองเศร้าเหมอง เป็ นธรรมนอก เราเห็นอภิชชา ความละโมบ ไม่ ไม่ใหต้ ิดสาธยาย ไม่ สม่าเสมอ ความแข่งดี เราต้องเหน็ ในจติ หรือในธรรมำรมณ์ เราตอ้ งเห็นโทสะ เกิดจากมโน ตดิ ในการศึกษา สัมผสั โกรธ ความโกรธเกิดข้ึน ต้องเห็นธรรมในธรรมเนือง ๆ อยู่ การผกู โกรธผอู้ ่ืนไว้ จิต การปฏิบตั ิบูชา อาตาปี ตอ้ งรับความโกรธท่ีผูกไว้ เหมือนสะวะ ปลูกหัวตะพ่าน อุปทานยึดไว้ ติดหัวสะพานไว้ เพียรมากๆ “สนั ทิฏฐิ ปล่อยอารมณ์ ไป ปล่อยอารมณ์ไม่คา้ ง ปล่อยมนั ไป อารมณ์ คา้ งเป็นธรรมารมณ์ ความรัก โก” เห็นกายในกาย ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็ นธรรมโดยสมมติท้งั น้นั ตอ้ งพิจารณาธรรมใหแ้ จ่มแจง้ เห็นเวทนาในเวทนา ลงไป ผูเ้ จริญวิปัสสนากรรมฐานต้องพิจารณาเห็นธรรมในธรรมในธรรม 326การเจริญ เห็นจิตในจิต เห็น วปิ ัสสนากรรมฐาน เหน็ คน เหน็ ขนั ธ์ รู้จกั ขนั ธ์ รูปขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ วญิ ญาณขนั ธ์ ขนั ธ์ 5 มี ธรรมในธรรม เอง อา อุปทาน ภพชาติ ธรรมารมณ์ การนึกคิด อารมณ์ ตกคา้ ง เสพในธรรมารมณ์ 327การนึกคิด กาลโิ ก ไม่เลือก เป็ นธรรมนอก พระคุณเจา้ ให้พยายามดูธรรมในธรรม ดู ที่มโนสัมผัส เห็นธรรมในธรรม กาลเวลา ตอ้ งเห็นในจิต หรือใน ธรรมารมณ์ เราตอ้ ง เห็นโทสะ เกิดจาก มโนสมั ผสั โกรธ ความโกรธเกิดข้ึน ตอ้ ง เห็นธรรมในธรรม เนือง ๆ อยู่ เจริญวิปัสสนา กรรมฐาน เห็นคน เห็น ขนั ธ์ รู้จกั ขนั ธ์ รูปขนั ธ์ สญั ญาขนั ธ์ วิญญาณ ขนั ธ์ ขนั ธ์ 5 มีอปุ ทาน การนึกคดิ เป็นธรรม นอก ธรรมในธรรม ดู ทมี่ โนสัมผสั เห็น ธรรมในธรรม “เอกายะโน อะยงั ภกิ ขะเว มคั โค” ธรรม ในและธรรมนอก

389 ตอ้ งดูธรรมารมณ์ ที่ นึกถึงบุญและบาป ไม่ตอ้ งการให้ติดบุญ โดยมากคนติดบุญติดสบาย เพลินเพลิน ในบุญ เกิดในตวั เรา มเี หตุ แลว้ มรรคผลนิพพานไม่ทา 328“เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มคั โค” ทางเสน้ น้ี ไปเสน้ เดียว ไป ให้ทากรรม กิเลส เพียงบุคคลเดียว ไปท่ีแห่งเดียว ตดั ความวน ไม่วน ตดั ความหมุ่นเวียน ท่านไดก้ ล่าว ไว้ กรรมวฎั เกิดแก่ เจบ็ ธรรมในและธรรมนอก เราดูพุทธศาสนา ตอ้ งดูแง่ ซ้ึง ๆ บวชอยา่ งธรรมดา ไดอ้ ยา่ งธรรมดา ตาย คอื กรรม การมาบวช 3 เดือน เรียนนกั ตรี นกั โท ไปสึกไป เดี๋ยวไปเมา ไปโกรธ ไมพ่ น้ ขมุ นรก คือ ขมุ คุก 329คนเราตอ้ งเป็ นแบบน้ี ไม่มีธรรมะประจาใจ ตามใจปาก ตามใจตวั มีราคะ การคิด เห็นธรรมะเนือง ประทุษร้ายเกิดข้ึน โกรธแล้วใครเอำไม่อยู่ เม่ือเกิดความรักข้ึนเอาไม่อยู่ ทิ้งบิดามารดาไป อะไร คือ เห็นกายใน นอกใจสามี มีชูไ้ ป สาหรับตวั ใคร เรำไม่มีธรรมะเป็ นที่ยับย้ังจิตใจ เกิดเป็ นคนท้งั ที เอาดี กายเนือง ๆ เวทนา ไมไ่ ด้ ทา่ นไม่ไดบ้ อก ถืออตั ตาธิปไตย กิน กาม เกียรติ ถือตนเป็นใหญ่ พระพุทธเจา้ หา้ มตน ในเวทนาเนือง ๆ จิต ของตนไม่พน้ จากกรรม ไม่พน้ กิลส ต้องดูธรรมำรมณ์ ท่ีเกิดในตวั เรา เกิดมาจากกิเลส มีเหตุ ในจิตเนือง ๆ ธรรม ให้ทากรรม กิเลสกรรมวัฎ เกิดแก่ เจ็บตำย คือ กรรม 330เราเห็นธรรมะเนือง อะไร คือ เห็น ในธรรม เนืองๆ อยู่ กายในกายเนือง ๆ เวทนาในเวทนาเนือง ๆ จิตในจิตเนือง ๆ ธรรมในธรรม เนืองๆ อยู่ เห็น ภายใน เห็นธรรมะ เห็นอยา่ งไร เห็นธรรมะคืออะไร คอื เห็นขนั ธ์ 5 รู้จกั ความเป็นคน ถา้ เรา ศีล 5 รกั ษาใหแ้ ม่น ไม่เจิรญวิปัสสนากรรมฐาน เราไม่รู้จกั ความเป็นคน เกิดเป็นคน จนธรรมะ เราไม่รู้จกั ความ รู้จกั ประมาณทุก เป็ นคนของตนเอง แส่ตนไปหาความชวั่ อยู่เสมอไป 331การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ตอ้ ง อยา่ ง บญุ กไ็ มเ่ อา อาศยั ส่ิงแวดลอ้ ม ศีล 5 รักษาให้แม่น รู้จกั ประมาณทุกอยา่ ง ในชีวิตของคนเรา ใจความสูง บาปไม่เอา ดบั จะไปหนทางนิพพาน บุญก็ไม่เอา บาปไม่เอา บุญบงั พระนิพพาน การเจริญ ธัมเมสุ ธัม มำนุปัสสี วิหะระติ 332การฟังการปฏิบตั ิ อำรมณ์กำรปฏิบัติ ประคองจดจ่อไว้ท่ีมโนสัมผัส อารมณก์ ารปฏิบตั ิ เห็นธรรมะคือ เห็นขันธ์ 5 เกิดเป็ นคนรู้จักความเป็ นคน การเจริญกรรมฐานต้องอาศัย ประคองจดจอ่ ไวท้ ่ี สิ่งแวดลอ้ ม ตอ้ งรักษาให้แม่น รู้จกั ประมาณทุกอยา่ ง ในชีวิตคนเรา ในข้นั สูง เรียกว่า ดบั มโนสมั ผสั เห็นธรรมะ บุญเราก็ไม่เอา บาปก็ไม่เอา บุญบงั พระนิพพาน การเจริญพระนิพพาน 333พูดอำรมณ์กำร คือ เห็นขนั ธ์ 5 ปฏิบัติ เม่ือปฏิบัติจิตในเจิตเห็นธรรมำรมณ์ อยู่ ประคองจดจ่อที่มโนสัมผสั ดูตามสัมผสั ดู ที่เทา้ ดูความเสือกทา้ วไป ขณะยืนอยดู่ ูกายสัมผสั 334ท่านผูป้ ฏิบตั ิธรรม ธรรมชาติละเอียด ปฏิบตั จิ ิตในเจิตเห็น ประณีต เราเห็นเหมือนกนั โดยมากเห็นความรู้สึกชวั่ ขณะ วูบหนึ่ง เห็นควำมรู้สึกเรียกว่ำ ธรรมารมณ์ อยู่ ดวงตำเห็นธรรมแล้ว สิ่งหน่ึงสิ่งใดเกิดข้ึนแลว้ ไม่ธรรมดา ส่ิงน้นั ยอ่ มแตกดบั เป็นธรรมดา ประคองจดจอ่ ทม่ี โน 335การท่ีอาตมาภาพ ได้อธิบายเรื่อง ธัมเมสุ ธัมมำนุปัสสี วิหะระติ ธรรมนอก ท้งั 84,000 สมั ผสั ดูตามสมั ผสั ธรรมขนั ธ์ จดั เป็นธรรมนอก พระพุทธเจา้ ไม่สรรเสริญ ให้คนเห็นธรรมในธรรม รูปธรรมะ ความรู้สึกชวั่ ขณะ วูบ เวทนาธรรมะ สัญญา ธรรมะ สังขาร ธรรมะ วิญญาณธรรมะ เป็ นธรรมชาติ ท่ีนกั ปราชญ์ หน่ึง เห็นความรู้สึก ยอมรับแก่นกั ปฏิบตั ิ นกั ศึกษาและชาวพุทธ ท้งั หลาย 336ธรรมะเป็ นธรรมชำติ มีรูป เวทนำ เรียกวา่ ดวงตาเห็น สัญญำ สังชำร วิญญำณ เป็ นธรรมชำติของคนแต่ละคน 337ฐำนกำยในกำย ฐำนเวทนำใน ธรรมแลว้ เวทนำ จิตในจิต ธรรมในธรรม ธรรมสมมติธรรมปริยตั ิ ต้งั ใจให้เขา้ ธรรมปรมตั ถ์ เป็ น ลูกจา้ งลาบาก บวชตลอดชีวิต เราจะปฏิบตั ิกนั อยทู่ าไม ฉอ้ ราษบงั หลวงกนั อยทู่ าไม เราบวช ท้งั 84,000 ธรรมขนั ธ์ เพ่ือทำพระนิพพำนให้แจ้ง การทาพระนิพพานให้แจง้ ทางนิพพานอย่ไู หน กายยาวหน่ึงวา จดั เป็นธรรมนอก หนาหน่ึงคืบ ยาวกายกับใจ ทางพระนิพพานอยู่ท่ี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางอ่ืนไม่มี ธรรมะเป็ นธรรมชาติ มีรูป เวทนา สัญญา สัง ชาร วิญญษณ เป็น ธรรมชาตขิ องคนแต่ ละคน บวชเพื่อทาพระ นิพพานให้แจง้ ทาง นิพพานอยไู่ หน กาย ยาวหน่ึงวา หนาหน่ึง คืบ ยาวกายกบั ใจ ทาง พระนิพพานอยทู่ ่ี ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ เราไม่ทิ้งตารา ไม่นอก ตารา จิตมีธรรมารมณ์ มีราคะ มีโทสะ มี โมหะ เห็นจิตในจิต มโนสมั ผสั เราเห็นจิต ในจิตท่มี โนสมั ผสั เห็นจิตใตจ้ ิตสานึก ยก

390 จิตข้นึ สู่พระไตร นอกจาก มโนวิญญาณ ท่ีมีข้ึนในตวั ของเรา ที่ไดบ้ รรยายมา 338ในมหาสติปัฏฐานสูตร ฐาน ลกั ษณ์ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เวทนาท้งั 5 เห็นจิตในจิตเนืองๆ เราไม่ ทิ้งตารา ไม่นอกตารา เห็นจิตในจิต จิตนอกสมมตว่า ผูห้ ญิงผูช้ าย จิตในจิต อย่างไร จิตมี ผล ธรรมารมณ์ มีราคะ มีโทสะ มีโมหะ เห็นจิตในจิต มโนสัมผสั เราเห็นจิตในจิตท่ีมโนสัมผสั เห็นจิตใตจ้ ิตสานึก ยกจิตข้นึ สู่พระไตรลกั ษณ์ โดยมาเขา้ ตวั เอง เจริญวปิ ัสสนาเป็น 339การเจริญวิปัสสนาเป็นการฝื นกระแสกิเลส ทวนกระแส ธรรมะทวนกระแสโลก ถา้ เราเห็นกาย การฝื นกระแส ในกาย ทวนกระแส ตดั กระแสของโลก เราเอาอย่างอนื่ ไปตดั กระแสของโลก ไม่ไหว สัญญาเรื่อง กิเลส ทวนกระแส สาคญั 340เราสร้างกรรมท้งั ดี ท้งั ชวั่ เราเป็นผรู้ ับผลของกรรม กายกรรม ตดั ให้ขาด วจีกรรมตดั ให้ ตดั กระแสของโลก ขาด มโนกรรมคือทางใจ ตอ้ งตดั เหมือนกนั การเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ทาลายภพชาติ หกั กรง เจริญวปิ ัสสนา กรรมฐาน ทาลายภพ กรรม ดงั ที่ลอ้ เรียกว่า ธรรมจกั ร บดขยี้ สังสำรวัฏ ท่านว่ากรรม 12 ค้ากรงไว้ หมุ่นเวียนไปตาม ชาติ สถานกรรม กรรมคา้ งไว้ 341การทาดีไดด้ ี ทาชว่ั ไดช้ ว่ั ที่หวั ใจผปู้ ฏิบตั ิธรรม ตกอยใู่ นกรรม กรรม หวั ใจผูป้ ฏิบตั ิธรรม ที่ชั่วนองอยู่ในขนั ธ์ กดบดขย้ี หักกรงกรรม คือ ธรรมจกั รกปั ปตวสูตร ตดั ทาลายสังสารวฏั ตดั ตกอยใู่ นกรรม กรรม วฏั ฏะ ตัดควำมหมุ่นเวียน ความเป็นคนและสัตว์ อาศยั ธรรมนอกตดั ต่างคนต่างนอนตาย ต่างคน ทช่ี ว่ั นองอยใู่ นขนั ธ์ ต่างจากกนั คนเจอกนั แลว้ จากกนั ในชาติน้ี แน่นอน 342ให้เรานึกดูให้ดีว่า เราเกิดมาในโลกน้ี ที่พบ ตดั ทาลายสังสารวฏั พระธรรมคาสั่งสอน เราไม่มีอะไรมาเลย มาตวั เปล่า กลบั ไปเขาไปตวั เปล่า เราเอาอะไรไป ไม่มี การปรุงแต่งใหม้ ีภพ อะไร ท่านบญั ญตั ิพระธรรมคาสั่งสอนไว้ ในบุญญาภิสังขารไว้ การปรุงแต่งให้มีภพ มีชาติ ให้ มีชาติ ใหเ้ วยี นว่าย เวียนว่าย ตายเกิด เกิดแก่ เจ็บตาย เวียนอยู่ 343ท่านบญั ญตั ิไวท้ ีถว้ น ประโยชน์ในปัจจุบนั น้ี เป็ น ตายเกิด เกิดแก่ เจ็บ ธรรมในอนาคตเบ้ืองน้ี ให้ทาความดีในชาติน้ี ส่งผลไปชาติหน้า บุคคลหว่านพืชไวเ้ ช่นใด ย่อม ตาย เวียนอยู่ ไดผ้ ลเช่นน้นั กรรมอยกู่ บั ตวั ย่อมไดผ้ ลการกระทาตวั เอง เราอยู่ภายใตอ้ านาจของกรรม กรรมดี ใหท้ าความดีในชาติ และกรรมชว่ั บุญญาภิสงั ขาร กรรมดี ดีและชว่ั พนั พวั อยใู่ นคน ในขนั ธ์ 344กรงกรรม หยง่ั รู้ทาลายกิ น้ี ส่งผลไปชาตหิ นา้ เลศในกรรมให้สิ้นไป ท้งั หมดประมวลความว่า สภาวธรรมเราไม่ถือมน่ั ท่านเราเขา้ ใจวา่ มีขนั ธ์ 5 กรรมอยกู่ บั ตวั อยู่เราควบคุมกายกบั ใจ ไม่ติดคุก แลว้ ก็มีความสุขโลกน้ีพอควร จิต มนุษย์ 345เวลาท่ีเราตอ้ งการ บุญญาภสิ ังขาร ปฏิบตั ิกนั ให้เป็นมาตรฐาน ทุกทา่ นวา่ ต้องมำปฏบิ ัตกิ นั กำรวปิ ัสสนำ เป็นแลว้ ควรเจริญกนั ทุกคน กรรมดี ดีและชว่ั พนั ท่านกลา่ ววา่ ภิกษทุ ้งั หลาย อนั ปัจจยั แห่งความตาย ชีวิตมนุษยส์ ตั วม์ ีมาก ตายภายใน เป็นโรคปวด พวั อยใู่ นคน ในขนั ธ์ ทอ้ ง มะเร็ง เกิดข้นั ภายใน เป็นลมตายภายในออก ตายภายนอกเขา้ ระหว่าง รถชนกนั คอขาดกนั มขี นั ธ์ 5 อยเู่ รา ตายภายนอกเขา้ ไป ตกอยู่ในเกณฑ์ตายไม่หนีไม่พน้ ทุกคนอยู่ไม่ถึง 100 ปี อยู่อย่างมีโรคภยั ไข้ ควบคมุ กายกบั ใจ การเจริญวิปัสสนา เจบ็ ไมม่ ีประโยชนอ์ ะไร สาหรับตนเองและผอู้ ื่น กำรเจริญวิปัสสนำกรรมฐำน ทำควำมเห็นให้ตรง กรรมฐาน ทา ความเห็นใหต้ รง สภำวะ ที่ตรงในกำย ในกำย ตรงท่ีเวทนำในเวทนำ ตรงท่ีธรรมในธรรม เรียกว่ำ ปฏิบัติตรงแลว้ สภาวะ ทตี่ รงในกาย ปฏิบตั ิตรงแลว้ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน การเจริญวิปัสสนา ตวั บญุ ไมเ่ อา ตวั บาปไม่เอา เป็นธรรม ในกาย ตรงที่เวทนา ที่สูงกวา่ เพอ่ื น เหนือบุญเหนือบาป เหนือศาสนาอน่ื ถา้ ศาสนาอืน่ เขา้ มาถาม สอนให้คนทาความดี ในเวทนา ตรงที่ ละชวั่ สอนให้คนทิ้งดี ท้งั ชวั่ ตวั อนตั ตา เหนือศาสนาอน่ื 346ธรรมที่เป็นกศุ ล กด็ ี อกุศลกด็ ี เป็นการ ธรรมในธรรม ละดีละชวั่ หลกั อนัตตากบั อตั ตาต่างกนั อย่างไร อย่างไร เป็ นสิ่งสมมติ หลกั อนัตตา ไม่เป็ นส่ิง เรียกว่า ปฏบิ ตั ติ รง สมมติ หลกั อนตั ตา อาศยั กายเน่า กายเป่ื อย พพุ อง เป็นกายที่มีอตั ตา เรารักเราถนอม เขาแก่ เราป่ วย ธรรมท่เี ป็นกศุ ล ก็ดี เราเม่ือย ทุกๆ คน อกศุ ลก็ดี เป็นการละ ดีละชว่ั เป็นส่ิงสมมติ หลกั อนตั ตา

391 [8] พระธรรมธีรรำชมหำมนุ ี (โชดก ญำณสฺ ิทธิ) 4.8.1) ประวัติ : พระธรรมธีรรำชมหำมุนี (โชดก ญำณฺสิทธ)ิ พระธรรมธีรรำชมหำมุนี (โชดก ญำณฺสิทธิ) ระหว่างวนั ที่ 16 เมษายน พ.ศ.2461 ถึง 30 มิถุนายน พ.ศ. 2531 อายุ 70 ปี ประวัติโดยย่อ การศึกษา พ.ศ.2472 จบการศึกษาช้นั ประถมปี ท่ี 4 จากโรงเรียนบา้ น หนองหลุบ ตาบลบา้ นทุ่ม อาเภอเมือง จงั หวดั ขอนแก่น บรรพชา วนั ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2477 เมื่ออายุ 15 ปี ไดอ้ ปุ สมบถท่ีวดั มหาธาตุยวุ ราชรังสฤษฎ์ิ สอบไดน้ กั ธรรมช้นั ตรี โท เอก สอบได้ ป.ธ.ช้นั 5 ถึง ป.ธ.ช้นั 9 ในสานกั วดั มหาธาตุฯ ในสมยั สอบ ป.ธ.9ไดใ้ น พ.ศ.2494 เป็นเพียงรูปเดียวในประเทศไทย เป็ นอดีตพระ อาจารยใ์ หญ่ฝ่ ายวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย วดั มหาธาตุยุวราชรังสฤษด์ิ ปี พ.ศ. 2495 ไปดูการพระ ศาสนาที่ประเทศพม่า และไดป้ ฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐาน ณ สานกั ศาสนายสิ สา เมืองอย่างกุง้ ประเทศพม่า เม่ือสาเร็จการศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนาแลว้ ได้เดินทางกลับประเทศไทยพร้อมกับพระอาจารย์ด้าน วิปัสสนากรรมฐาน 2 รูป รัฐบาลไทยขอจากรัฐบาลพม่าเพื่อมาสอนวิปัสสนากรรมฐาน ประจาอยู่อยู่ใน ประเทศไทย พระวิปัสสนาจารย์ 2 รูปน้นั คือ ท่านอาสภเถระปธานกมั มฏั ฐานาจริยะและทา่ นอินทวงั สะ ธมั มาจริยะกมั มฏั ฐานาจริยะ เมื่อท่านกลบั มาประเทศไทยแลว้ ท่านไดป้ ฏิบตั ิวิปัสสนากรรมฐานอยูอ่ ีก 4 เดือน ในสมยั น้ันท่านเจา้ ประคุณเด็จพระพุฒาจารยค์ ร้ังดารงสมณศกั ด์ิที่ พระพิมลธรรม ไดป้ ระกาศต้งั สานัก วิปัสสนาธรรมฐานแห่งประเทศไทย ข้ึนท่ีวดั มหาธาตุ และไดแ้ ต่งต้งั ท่านคร้ังเป็นพระมหาโชดก ป.ธ. 9 ให้ เป็นพระอาจารยใ์ หญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระเป็นรูปแรก ท่านไดร้ ับภาระหนกั มาก เพราะเป็นกาลงั สาคญั ของท่าน เจ้าประคุณสมเด็จ ในการวางแผนขยายสานักสาขาไปต้งั ในท่ีต่างๆทวั่ ประเทศ จดั ทาหลกั สูตรวิปัสสนา กรรมฐานคดั เลือกพระวิปัสสนาจารยไ์ ปสอนประจาอยู่ตามสานกั สาขาท่ีต้งั ข้ึนและจดั ไวส้ อนประจาท่ีวดั มหาธาตุ พระวิปัสสนาจารยท์ วั่ ประเทศ ส่วนมากเป็นศิษยข์ องท่าน พระธรรมธีรราชมหามุนี เป็นพระมหา เถระเช่ียวชาญแตกฉานในพระไตรปิ ฏกและมี ความทรงจาเป็นเลิศ สามารถบอกเรื่องราวต่างๆว่าอย่ใู นเล่ม ใด และบางคร้ังบอกหนา้ หนังสือเล่มน้นั ดว้ ย และท่านยงั เป็นนักประพนั ธ์ ที่นิพนธ์เรื่องศาสนาไดร้ วดเร็ว และได้นิพนธ์ไวม้ ากมายหลายเร่ือง เฉพาะที่หาข้อมูลได้ และบทนิพนธ์ของท่านเป็ นประเภทดังน้ี 1 ประเภทวิปัสสนากรรมฐาน มี เช่น เรื่องความเป็นมาของวิปัสสนากรรมฐาน คาบรรยายวิปัสสนากรรมฐาน 2) ประเภทพระธรรมเทศนา เช่น เร่ืองเทศน์คู่อริสจั ฯลฯ 3) ประเภทวิชาการ เช่น อภิธมั มตั ถสงั คหะปริเฉท ท่ี 1-9 ฯลฯ 4) ประเภทสารคดี เช่น เร่ืองพระมาลยั โปรดสัตวน์ รก ฯลฯ 5) ประเภทตอบปัญหาทว่ั ไป เช่น ตอบปัญหาเรื่องบุญบาปและนรกสวรรคเ์ ป็ นตน้ หน้าท่ีเก่ียวกบั พระไตรปิ ฎก พ.ศ.2492 ไดร้ ับแต่งต้งั เป็ น กรรมการแปลพระไตรปิ ฎกเป็ นภาษาไทยในแผนกตรวจสานวน พ.ศ.2524 ได้รับแต่งต้งั เป็ นกรรมการ ตรวจทานพระไตรปิ ฎกภาษาไทยฉบบั หลวง พ.ศ.2528 ได้รับแต่งต้งั เป็ นประธานการปาลิวิโสธกะพระ อภิธรรมปิ ฎก ฉบบั สังคายนา พ.ศ.2530 และไดร้ ับแต่งต้งั เป็ นประธานบรรณกรในการพิมพพ์ ระไตรปิ ฎก ฉบบั สังคายนา ท่านไดถ้ ึงมรณภาพ โดยอาการอนั สงบในอิริยาบถน่ังเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ขณะไปทา

392 การสอนวิปัสสนากรรมฐานท่ีบา้ นโยมอุปัฏฐาก ในวนั พฤหสั 30 มิถุนายน พ.ศ.2531 เวลา 15.00 น. รวมสิริ อายไุ ด้ 70 ปี ตารางท่ี 4.8 ขอ้ มลู ธรรมบรรยายเก่ียวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมธีรรำชมหำมนุ ี (โชดก ญำณสิทธิ ) ผา่ นช่องทาง YouTube รหัส จาแนกตามรหสั รูปภาพและรายละเอียดแหลง่ ท่ีมา [รหสั S1-10] S1 รูปภำพ แหล่งทมี่ ำ https://www.youtube.com/watch?v=m-YgkdAP1bU “สติปัฏฐำน 4” ความยาว : 49 นาที จานวนการดู : 151,463 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 5 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 S 2 https://www.youtube.com/watch?v=JKVpbP6vOxI “ทำงสำยเอก” ความยาว : 52 นาที จานวนการดู : 72,556 คร้ัง วนั ที่เผยแพร่ : 30 ก.ย. 2012 วนั ที่คน้ หา : 5 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 S 3 https://www.youtube.com/watch?v=1yIQMhMEJik “วปิ ัสสนำทถ่ี ูกต้อง” ความยาว : 56 นาที จานวนการดู : 151,274 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 25 เม.ย. 2014 วนั ที่คน้ หา : 5 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 S 4 https://www.youtube.com/watch?v=qCnlwV-6Yj0 “พระพุทธเจ้ำทรงสอนพอง ยุบไว้อย่ำงไร” ความยาว : 58 นาที จานวนการดู : 38,245 คร้งั วนั ท่ีเผยแพร่ : 24 เม.ย. 2014 วนั ท่ีคน้ หา : 5 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564

393 S 5 https://www.youtube.com/watch?v=CgXf0rMQcfo “ทำงไปนพิ พำน” ความยาว : 55 นาที จานวนการดู : 38,210 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 24 เม.ย. 2014 วนั ที่คน้ หา : 5 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 S 6 https://www.youtube.com/watch?v=P0hxYCRTgs0 “พระไตรลกั ษณ์ (อนจิ จัง ทุกขงั อนัตตำ )” ความยาว : 47 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 1 พ.ค. 2014 จานวนการดู : 35,224 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 5 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 S 7 https://www.youtube.com/watch?v=u69Rw1eJiOQ “คนเรำเป็ นพระโสดำบันได้อย่ำงไร” ความยาว : 40 นาที จานวนการดู : 5,551 คร้ัง วนั ที่เผยแพร่ : 29 เม.ย. 2014 วนั ที่คน้ หา : 5 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 S 8 https://www.youtube.com/watch?v=PlP2B89V9wQ “วปิ ัสสนำเบื้องต้น 1” ความยาว : 52 นาที จานวนการดู : 33,632 คร้ัง วนั ที่เผยแพร่ : 25 เม.ย. 2014 วนั ท่ีคน้ หา : 5 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 S 9 https://www.youtube.com/watch?v=3Hi4NiZXrRc “วปิ ัสสนำเบื้องต้น 2” ความยาว : 53 นาที จานวนการดู : 13,598 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 25 เม.ย. 2014 วนั ที่คน้ หา : 5 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564

394 S10 https://www.youtube.com/watch?v=YAvexrRLdNk “วปิ ัสสนำเบื้องต้น 3” ความยาว : 57 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 26 เม.ย. 2014 จานวนการดู : 11,472 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 5 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 จากตารางท่ี 4.8 แสดงขอ้ มูลธรรมบรรยายเก่ียวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิพระ ธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทธิ ) ผ่านช่องทาง YouTube จาแนกตามรหัส รูปภาพและรายละเอียด แหล่งท่ีมา [รหสั S1-10] จานวน 10 คลิปขอ้ มูล ประกอบดว้ ย “สติปัฏฐาน 4” “ทางสายเอก” “วิปัสสนาท่ี ถูกตอ้ ง” “พระพุทธเจา้ ทรงสอนพอง ยุบไวอ้ ย่างไร” “ทางไปนิพพาน” “พระไตรลกั ษณ์ (อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา )” “คนเราเป็นพระโสดาบนั ไดอ้ ย่างไร” “วิปัสสนาเบ้ืองตน้ 1” “วิปัสสนาเบ้ืองตน้ 2” “วิปัสสนา เบ้ืองตน้ 3” จากธรรมบรรยายเก่ียวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมธีรราชมหามนุ ี (โชดก ญาณสิทธิ ) ดงั แสดงในตารางท่ี 4.8.1 ถึงตารางท่ี 4.8.10 ผลการศึกษาพบวา่ ตารางท่ี 4.8.1 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “สตปิ ัฏฐำน 4” แนวทางปฏิบตั ิพระธรรมธีรรำชมหำมนุ ี (โชดก ญำณสิทธิ ) จาแนกตาม สกดั หลกั แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั S1] แนวคิด ประเด็นคำสอน มหาสตปิ ัฏฐาน แผน - สติปัฏฐาน 4 อนั เป็นแนวทางดาเนินของพระพทุ ธเจา้ / สติปัฏฐาน 4 มีแผนที่เดินทางไปสู่พระ ทช่ี ้ีทางไปนิพพาน นิพพานตอ้ งเดินตามสติปัฏฐาน 4 ความหมายคือว่า ต้องลงมือปฏิบัติตำมสติปัฏฐำน 4 / “สติ ตอ้ งลงมอื ปฏิบตั ิตาม ปัฏฐาน” ที่ต้งั ของสติจาแนก 1.กาย 2. เวทนา 3. ใจ หรือจิต 4. ธรรมะ/ สตปิ ัฏฐาน 4ท่ีต้งั สติ กาย เวทนา จิต -เดินไปทางถกู ตอ้ งอำศัยหลกั ปริยตั ิ ชี้บอกเหมือนแผนที่ เรียนแผนท่ีต้องเดินทำงตำมแผนท่ี ลง ธรรมะ มือปฏิบตั ิ แล้วปฏิเวธผลท่ีจะเกิดข้ึน เดินกนั อยา่ งไรเดินตามสติปัฎฐาน 4 / สติปัฏฐาน 4 มีแผน ที่ช้ีบอกใหเ้ ห็นวา่ จะเดินทางไปสู่พระนิพพานตอ้ งเดินตามสติปัฏฐาน 4 ความหมายคือต้องลง หลกั กำร มือปฏบิ ตั ติ ำมสติปัฏฐำน 4 / “สติปัฏฐำน” แปลว่ำ ทตี่ ้งั ของสติ “สต”ิ สตเิ กิดต้องมที ่ตี ้งั ต้องมีท่ี ยึด / กาหนดกายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนาวา่ หมายความวา่ อาศยั หลกั ปริยตั ิ เจริญกายานุปัสสนา กาหนดกายสามารถไปถึงมรรคผลนิพพานได้ กาหนดเวทนาเจ็บปวดต่าง ช้ีบอกเหมอื นแผน ๆ ก็สามารถไปถึงมรรคผลนิพพานได้ กำหนดจิต มีรำคะ ปรำศจำกรำคะ หรือจิตฟุ้ง จิต ทล่ี งมอื ปฏบิ ตั ิ แลว้ เกิดผล “สติปัฏฐาน” แปลวา่ ที่ต้งั ของ สตติ อ้ งมที ่ีต้งั มีท่ี ยึด กาหนดจติ กาหนด ขนั ธ์ 5

395 วิธกี ำร หงุดหงิดต่าง ๆ ก็สามารถจะถึงได้ กาหนดธรรมะ เช่น ง่วงหงาวหาวนอน หรือกำหนดขันธ์ 5 เป็นตน้ สามารถไปถึงมรรคผลนิพพานได้ ท่ีประชุมไปที่เดยี ว คือ สู่นิพพำน ที่ต้งั สติ คอื การตาม กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน “กาย” ร่างกาย อนุปัสสนา เห็นเนือง ๆ บ่อย ๆ สติปัฏฐำน ท่ีต้ังของ เหน็ ตามพจิ ารณา สติ คือการตามพิจารณาเนือง ๆ “อนุ” แปลว่ำ เนือง ๆ หรือ ตาม “ปัสสนำ” แปลว่ำ เห็น ตาม เนือง ๆ “อนุ” แปลวา่ เห็นเนือง ๆ ซ่ึงกำย ท่ีต้ังของสติ คือกำรตำมเห็นเนือง ๆ ซ่ึงกำย / เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน เนือง ๆ หรือ ตาม ท่ีต้ังของสติ คือ ตำมพิจำรณำ หรือพิจำรณำเนือง ๆ ซ่ึงเวทนา เวทนา ความ โศกความทุกข์ “ปัสสนา” แปลวา่ ความเฉย สบาย ไม่สบาย เฉยเรียกว่า เวทนำ คือว่ำ เสวยอำรมณ์ คือรู้ทุกขเ์ ฉย / จิตตานุปัสสนา เหน็ ตามเห็นเนือง ๆ สติปัฏฐาน สติที่ต้งั ของสติ คือตามพิจารณาซ่ึงจิต / ธมั มานุปัสสนาสติปัฏฐาน สติตามพิจารณา เวทนา คอื เสวย ที่ต้งั ของสติ คอื ตามพจิ ารณาธรรม เรียกวา่ ทำงเดินของพระพุทธเจ้ำ กำหนดทำงเดนิ 4 เส้น กำย อารมณ์ ท่ีต้งั ของสติ เวทนำ จิต ธรรม / เดินจงกรม กาหนดกายานุปัสสนาใชเ้ ดินจงกรม “ขวา ยา่ ง หนอ” “ซา้ ย ยา่ ง คอื ตามพจิ ารณา หรือ หนอ” เดินเสร็จ “นงั่ หนอ” / ภำวนำว่ำ “ยืนหนอ” กำหนดกำย /นงั่ ลงขดั สมาธิ ภาวนาว่า พอง พิจารณาเนือง ๆ หนอ ยบุ หนอร่างกายท้งั หมดต้งั แตผ่ มถึง ยนื หนอ ยนื หนอ คือ กายานุปัสสนา แต่ เวทนากม็ ี จิต ธมั มานุปัสสนา สติ ก็มี ธรรมะก็มี เจตนามุ่งปฏิบัติกาย แต่มนั ถูกหมดท้ังเวทนา ท้ังจิตอนั เป็ นธรรมะด้วย มุ่ง ตามพิจารณาทต่ี ้งั ของ ร่างกายท้งั หมดในรูป เวทนำอยู่ในกำย จิตอยู่ในกำย ธรรมอยู่ในกำย / เป็ นจิต ใจในขณะน้ัน สติ คือตามพิจาณา รู้สึกโทสะ โกรธแลว้ กาหนดโกรธหนอ โกรธหนอ คือ จิตตานุปัสสนา จิตมีโทสะ ก็กาหนด ธรรม กิเลสตวั น้ัน / ครบหมดแต่มุ่งจะกาหนดเฉพาะส่วนแยกกันไป ว่าดว้ ยสภาวะการปฏิบตั ิ แต่ นง่ั ลงขดั สมาธิ ภาวนา ปริยตั ิแยกออก กายมีเท่าน้ัน เวทนามีเท่าน้นั จิตมีเท่าน้ัน / กาหนดง่วงหนอ กาหนดทอ้ งพอง ว่า พองหนอ ยุบหนอ ยุบ เป็ นขันธ์ 5 คือ ท้องพอง ท้องยุบ ยุบหนอ พองหนอ เป็นธมั มานุปัสสนา /มุ่งกาหนดขนั ธ์ 5 ร่างกายท้งั หมด อายตนะ อริยสจั หรือมุง่ กาหนดนิวรณ์ 5 เป็นธมั มานุปัสสนา / เดินจงกรม กาหนด กายานุปัสสนา “ขวา -การกาหนดสติปัฏฐาน 4 ผลท่ีจะเกิดปัญญา / รู้เหตุและผล เป็นลกั ษณะญาน / ผใู้ ดเห็นรูปเห็น ย่าง หนอ” “ซ้าย ยา่ ง นามเกิดดบั อานาจการปฏิบตั ิ คือลกั ษณะของปัญญา เห็นรูป เห็นนามเกิดดบั / ถึงผลญาณมี หนอ” นิพพานเป็นอารมณ์ / ปัญญาเกิด เพราะการเจริญสติปัฏฐาน 4 ความรู้เกิด ญำณเกิดเป็ นลำดับ / จิตตานุปัสสนา จิตมี ประโยชน์ คอื อานิสงส์ท่ีจะตอ้ งได้ เมื่อผปู้ ฏิบตั ิถกู ตอ้ งตาม / โทสะ กาหนดกเิ ลส ตวั น้นั มงุ่ กาหนดขนั ธ์ 5 อายตนะ อริยสัจ นิวรณ์ 5 เป็นธมั มา นุปัสสนา กาหนดทอ้ งพอง ยุบ เป็นขนั ธ์ 5 คือ ทอ้ ง พอง ทอ้ งยบุ หนอ เป็นธมั มานุปัสสนา ผล กาหนดสติปัฏฐาน 4 ผลปัญญา รูเ้ หตุผลเป็น ลกั ษณะญาณ เหน็ รูปเห็นนาม เกิดดบั ตารางท่ี 4.8.2 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “ทำงสำยเอก” แนวทางปฏิบตั ิพระธรรมธีรรำชมหำมุนี (โชดก ญำณสิทธิ ) จาแนกตาม สกดั หลกั แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั S2] แนวคิด ประเด็นคำสอน กาหนดขนั ธ์ 5 เกิด -กำหนดขันธ์ 5 เกิดท่ีไหน กาหนดท่ีนน่ั / ขนั ธ์ 5 ยอ่ เหลือ รูป นำม คือ อำรมณ์ของวิปัสสนำ รูป นาม คือ เกิดท่ีตำ หู จมูก ลิน้ กำย ใจ มี 6 ช่องทาง มรรค 8 ตอ้ งยดึ ขนั ธ์ 5 คอื รูปกบั นาม / เกิดศีล สมาธิ อารมณว์ ปิ ัสสนา ปัญญา / มรรค 8 หนทางประเสริฐสุด เมื่อปฏิบตั ิแลว้ เทียบอริยสัจ 4 อริสัจเป็นสจั จะ ประกอบ

396 เทียบอริยสจั 4 องค์ 3 อำตำปี (ต้ังใจ) สติมำ (มีสติ) สัมปชำโน (มีสัมปชัญญะ) /นิพพานประเสริฐกว่าธรรม ประกอบองค์ 3 อา ท้งั หลายในโลก /สัมมำทิฏฐิ เห็นชอบเห็นอริยสัจ 4 ตาปี (ต้งั ใจ) สติมา (มสี ติ) สมั ปชาโน -ลกั ษณะการฟังธรรม 1)ฟังเอาบุญ 2)ฟังเอำควำมรู้ 3)ฟังเป็นอุปนิสัย 4)ฟังปฏิบตั ิ / ฟังปฏิบตั ิ (มสี ัมปชญั ญะ) หมายถึง ฟังกำหนดตำม เสียงผเู้ ทศนไ์ ปกระทบหู กำหนดตรงขนั ธ์ 5 บุญเกิดตรงน้นั กิเลสเกิด ตรงน้นั เม่ือเสียงกระทบหู ขันธ์ 5 เกิดอำรมณ์วิปัสสนำอยู่ /ฟังธรรมพระพุทธเจา้ นาไปปฏิบตั ิ หลกั กำร / อายตนะอยู่ตรงไหน กาหนดกายอยู่ไหนไปหากาหนดกาย / คำว่ำ “หนอ” ทำให้เกิดปัญญำ ระดบั ภาวนามยปัญญา เกิดจากการเจริญวิปัสสนาท่านกาหนด “ไดย้ นิ หนอ ยนิ หนอ” ลกั ษณะการฟงั ธรรม 1)ฟังเอาบญุ 2)ฟังเอา -น่งั ขดั สมาธิ มือขาวทบั มือซ้าย ทาตวั ให้ตรง หลบั ตาให้กาหนดที่หู ภาวนาว่า ไดย้ ินหนอ ๆ ความรู้ 3)ฟังเป็น อยทู่ ่ีหู / มรรค 8 หนทำงฆ่ำกเิ ลส ไดแ้ ก่ สมั มนาทิฏฐิ(เห็นชอบ) สัมมาสังกปั ปะ (กาหนดชอบ) อุปนิสัย 4)ฟังปฏบิ ตั ิ / สัมมนาวาจา (วาจาชอบ) สัมมากัมมันตะ(กระทาชอบ) สัมมาอาชีวะ(เป็ นอยู่ชอบ) ฟังปฏิบตั ิหมายถึง ฟัง สัมมาวายามะ (พากเพียรชอบ) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (ต้งั ใจมน่ั ถูกตอ้ ง) รวมกนั กาหนดตาม กาหนด เหลือ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อลงมาขอ้ เดียวคือ สติ ตวั เดียวเท่าน้นั / วิธีฟังเอาความรู้ ตอ้ งจา มี “ไดย้ นิ หนอ ยิน กระดาษเขียน มีเทปบนั ทึกไว้ / สัมมำสติระลึกชอบในสติปัฏฐำน 4 “ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ” หนอ” หูเรียกว่า กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน กาหนดกาย แล้วได้ยิน “หนอ” รู้สึกอย่ำงไร ดูตวั ของเรา กาหนดตรงขนั ธ์ 5 ถา้ สบายเป็นสุขเวทนา เป็นเวทนา ใครเฉยเป็ นอุเบกขำเวทนำไม่ทกุ ขไ์ ม่สุข กาหนดไดย้ นิ หนอ ขนั ธ์ 5 เกิดอารมณ์ ใจของเรารู้ ไม่ทกุ ขไ์ มส่ ุข ก็เฉย เป็นเวทนาขนั ธ์ เป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน / ใจของเรำรู้ วปิ ัสสนาอยู่ ไดย้ ินหนอ ยินหนอ เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน แปลงขันธ์ 5 ได้ยินหนอ เกิดรูปนำม เกิด ธัมมนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน สติที่กำหนดได้ยินหนอ เป็ นสติสัมโพชฌงค์ เป็นธัมมานุปัสสติ คาวา่ “หนอ” ทาให้ ปัฏฐาน ตอ้ งรู้องคธ์ รรม / ไดย้ นิ หนอ ยนิ หนอ เพง่ อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา เสียงกบั หู เป็นรูปได้ เกิดปัญญา ยินเป็นนาม พระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ หูกับเสียงกระทบกันเกิดตัวทุกขอริยสัจ / กาหนดกายไปหาเวทนาอยู่ตรงไหน ไปหาธัมมานุปัสสนาท่ีจริงอยู่ท่ีเดียวกนั กาหนดไดย้ ิน วิธกี ำร หนอ ยนิ หนอหูโสตประสาท กายเวทนารู้สึกเฉยๆไดย้ ินเสียงเป็นอุเบกขา ผู้ได้ยินคือ จิต เป็ น จิตตำนุปัสสนำสติปัฏฐำน ขนั ธ์ 5 เกิดข้ึนต้งั อยู่ ดบั ไป เป็นธรรมานุปัสสนา สติกาหนดไดย้ ิน มรรค 8 ไดแ้ ก่ ศีล หนอ ไดย้ ินหนอ เป็ นสติสัมโพชฌงค์ มีธรรมำนุปัสสนำ คือ เสียงกับหูเป็ นทุกขสัจ สรุปว่า สมาธิ ปัญญา ยอ่ ลง กาหนดไดย้ นิ หนอ ถกู ท้งั 4 ขอ้ / ต้องกำหนดจึงเห็น อนจิ จงั ชัด “กำหนดได้ยินหนอ ยนิ หนอ” มาขอ้ เดียวคอื สติ ตวั ปัญญาจบั ได้ ป๊ ุบ / สติอยู่ 1)ต้ังใจ 2)คอยจ้อง 3)คอยจับ กิเลสเข้ำไม่ได้ สมาธิเกิด / “ได้ยิน ตวั เดียวเทา่ น้นั หนอ” เรียกว่ำ ภำวนำ ทำให้บ่อยๆ มากเข้า เป็ นอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา “อธิ” แปลว่า ยิ่ง สัมมาสตริ ะลกึ ซอ้ นทบั สูงข้ึนๆ ศีลเกิด สมาธิเกิด ยบุ หนอพองหนอ เกิดเรื่อยๆ เรียกวา่ “อภิ” สมบูรณ์ ชอบ ใชส้ ติปัฏฐาน 4 “ไดย้ ินหนอ ” กาหนดกาย ไดย้ ิน “หนอ” รู้สึก อยา่ งไร ดูตวั เวทนาขนั ธ์ เป็น เวทนานุปัสสนา กาหนดไดย้ นิ หนอ ใจของเรารู้ ไม่ทุกข์ ไม่สุข กเ็ ฉย แปลงขนั ธ์ 5 ไดย้ ิน หนอ เกิดรูปนาม เป็น ธมั มนานุปัสสนา สติ กาหนดไดย้ นิ หนอ เป็นสติสมั โพชฌงค์ ตอ้ งรูอ้ งคธ์ รรม ไตรลกั ษณ์ อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา หูกบั เสียงกระทบกนั เกิด ตวั ทกุ ขอริยสจั ผไู้ ดย้ นิ คือ จติ เป็นจิตตา นุปัสสนา ขนั ธ์ 5 เกิดข้นึ ต้งั อยู่ ดบั ไป เป็น ธรรมานุปัสสนา ตอ้ งกาหนดจึงเหน็ อนิจจงั ชดั ตวั ปัญญาจบั ได้ สติอยู่ 1)ต้งั ใจ 2)คอย จอ้ ง 3)คอยจบั กเิ ลสเขา้ ไม่ได้

ผล 397 มศี ลี สมาธิ ปัญญา -มศี ีล มสี มำธิ มีปัญญำ / รักษาใจใหอ้ ยกู่ บั รูปนาม ไม่ไปท่ีอ่ืน พองหนอไดย้ นิ อยทู่ ี่หู / มี รกั ษาใจใหอ้ ยกู่ บั รูป ความรู้เป็ นเคร่ื องพิสูจน์ นาม มีความรูเ้ ป็นเครื่อง พสิ ูจน์ ตารางท่ี 4.8.3 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “วิปัสสนำท่ถี ูกต้อง” แนวทางปฏิบตั ิพระธรรมธีรรำชมหำมนุ ี (โชดก ญำณสิทธิ ) จาแนกตาม สกดั หลกั แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั S3] แนวคิด ประเด็นคำสอน -อำรมณ์วิปัสสนำท่ีถูกต้องเห็นมรรคผลนิพพาน ภาวนาต้องเห็นพร้อมท้ัง อนิจจัง ทุกขัง อารมณ์วปิ ัสสนาที่ อนัตตำ / เกิดจากขนั ธ์ 5 ย่อเป็ น รูปและนำม อยู่ไหนกำหนดถูกหมด ขนั ธ์ 5 คือ รูป เวทนา ถูกตอ้ งเกดิ จากขนั ธ์ 5 สญั ญา สังขาร วิญญาณ / ขันธ์ 5เป็ นอำรมณ์วิปัสสนำ ขนั ธ์ 5 เกิดที่ไหนรูปนามเกิดที่น้นั / ญำณ คอื รูป เวทนา สญั ญา คือ ตัวปัญญำ / ตอ้ งบริกรรมไม่บริกรรมไม่เป็ นกรรมฐาน / กาหนดทอ้ งพองยุบถูกอารมณ์ที่ สังขาร วญิ ญาณ เป็น แทจ้ ริง /กาหนดอริยสัจเห็น ทุกขอริยสัจจากทกุ ขเวทนา เป็นอนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา รูปและนาม ขนั ธ์ 5เป็นอารมณ์ -มีองค์ 3 เป็ นวิปัสสนำ / กรรมฐำนต้องบริกรรมภำวนำ ถ้าไม่มีบริกรรมแล้วกำหนดเป็ น วปิ ัสสนา ขนั ธ์ 5 เกิด กรรมฐำนไม่ได้ / อารมณ์วิปัสสนา ย่อ คือ ขนั ธ์ 5 คือ รูปกบั นาม เรียกเป็น อายตนะ เป็นธาตุ ทไี่ หนรูปนามเกดิ ที่ เป็นอินทรีย์ / คำสอนพระพทุ ธองค์ เน้นขันธ์ 5 มำกทส่ี ุดในพระไตรปิ ฏก ยดึ รูปนามเป็นตวั เป็น น้นั คนเป็ นเรำเป็ นเขำ / ยกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาช้ีให้เห็นว่า เวทนำไม่เท่ียง เป็ น ภาวนาตอ้ งเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ / ขันธ์ 5 มีอยู่ในพองหนอ ยุบหนอ กาหนดพองหนอยุบหนอถูก อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา วิปัสสนา อำรมณ์วิปัสสนำคือ ขันธ์ 5 / กายน้อมไปรู้เป็นกายานุปัสสนา ถูกขนั ธ์ 5 /ถูกขนั ธ์ 5 ทกุ ขอริยสัจจาก อารมณ์วปิ ัสสนาถูกตอ้ ง เดินจงกรมถูกขนั ธ์ 5 อะไรก็ได้ มีองค์ 3 1)ต้งั ใจ 2)คอยจ้อง 3)คอยจับ ทุกขเวทนา / อารมณ์วปิ ัสสนาตอ้ งพร้อมการกาหนดภาคปฏิบตั ิตอ้ งกาหนดรู้ ญาณ คือ ตวั ปัญญา -อำยตนะ 12 มีรูปมากกวา่ นามแต่ในขนั ธ์ 5 ไดแ้ ก่ รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ขนั ธ์ 5 มี นามมากวา่ รูป “ใจ” เป็นนาม มีรูป 10 ตา หู จมูก ลิน้ กาย เป็นรูป รูป เสียง กลิ่น รส โผฏรัพพะ หลกั กำร ธรรมารมณ์ / ขันธ์ 5 เกิดท่ีไหน กำหนดท่ีน่ัน ใช้ได้ท้ังน้ัน ถูกสติปัฏฐาน 4 / สติปัฏฐาน 4 กับ ขนั ธ์ 5 เป็นอนั เดียวกนั เจริญสติปัฏฐาน 4 กเ็ จริญขนั ธ์ 5 กำหนดขนั ธ์ 5 คือ วปิ ัสสนำ / ขณะยบุ มีองค์ 3 เป็น หนอพองหนอถูกขนั ธ์ 5 อารมณ์วิปัสสนาถูกตอ้ ง อาการกายนอ้ มไปดูขนั ธ์ 5 / บริกรรมภาวนา วิปัสสนา 1)ต้งั ใจ ตอ้ งมีอุปจารสมาธิตอ้ งบริกรรม ไม่เป็ นกรรมฐำนเพรำะไม่มีบริกรรมภำวนำ / ขนั ธ์ 5 คือ รูป 2)คอยจอ้ ง 3)คอย ร่างกายท้งั หมด เอาหมดท้งั ตวั มองแต่ละบคุ คล อนิจจงั เป็ นหมดท่ัวร่ำงกำย ท้งั หมดเป็นอนตั ตา จบั กรรมฐานตอ้ ง บริกรรมภาวนา อารมณว์ ิปัสสนา ยอ่ คือ ขนั ธ์ 5 คอื รูปกบั นาม ขนั ธ์ 5 มอี ยใู่ นพองหนอ ยบุ หนอ วธิ ีกำร ขนั ธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ กาหนด เป็นสตปิ ัฏฐาน เจริญสตปิ ัฏฐาน 4 เจริญขนั ธ์ 5 กาหนดขนั ธ์ 5 คอื วิปัสสนา ขนั ธ์ 5 คอื รูป ร่างกาย มอง

อนิจจงั อนตั ตา ทว่ั 398 ร่างกาย ทวั่ ร่างกายตวั / ขนั ธ์ 5 1)รูป ไดแ้ ก่ ร่างกายท้งั หมด 2)เวทนำ ความเสวยอารมณ์ โศกทกุ ขเ์ ฉยๆ ขนั ธ์ 5 1)รูป ร่างกาย เวทนาขนั ธ์ 3)สัญญำขนั ธ์ จาไดห้ มายรู้ เป็นเจตสิกมีหนา้ ที่จา 4)สังขำร คอื ความปรุงแต่งใจ ให้ ท้งั หมด 2)เวทนา ความ ดีไม่ดี ให้เฉยๆ มีหน้าที่แต่งใจ เกิดกบั ใจ ดบั พร้อมกบั ใจ มีอารมณ์เดียวกบั ใจ 5)วิญญำณ จิต เสวยอารมณ์ สุขทกุ ข์ เป็นนามเป็นจิตเป็ นใจ รู้ว่าอารมณ์ต่างๆ / ขนั ธ์ 5 ย่อเหลือ รูปกับนำม กาหนดที่กายกบั ใจ รูป เฉยๆ เวทนาขนั ธ์ 3) กบั นาม / เดินจงกรมเอำใจไว้ที่ไหน “ยืน” ภาวนาว่า ยืนหนอ ยนื หนอ เอำใจไว้ท่ีร่ำงกำยต้งั แต่ สญั ญาขนั ธ์ จาไดห้ มายรู้ ผม ขน เล็บ ไดท้ ้งั น้นั ให้รู้อยู่ท่ีร่างกาย อำกำรรู้ในองค์ 3 1)อำตำปี มีความเพียงเผ่ากิเลสเร่า มหี น้าทีจ่ า 4)สงั ขาร ร้อน ท้งั ต้งั ใจทา 2)สติมำ แปลวา่ “รู้” ระลึกไดก้ ่อนทา ก่อนพูด ก่อนคิด รู้ตวั อยทู่ ี่วา่ กาลงั ยืน ปรุงแตง่ ใจ ใหด้ ไี ม่ดี ให้ หนอ ยืนหนอ สติรู้ในอาการยืน 3)สัมปชัญญะ รู้ทุกขณะในร่างกายของเรา ยืนหนอก็เห็นรูป เฉยๆ มหี น้าท่ีแตง่ ใจ ยนื ยนื หนอรู้ทกุ ขณะ กำหนดดทู ้งั รูปท้งั นำม ถูกหมดท้งั สตปิ ัฏฐำน คือ อำรมณ์ของวิปัสสนำท่ี เกดิ กบั ใจ ดบั พร้อมกบั ถูกต้อง / เดินเอาใจไวต้ รงไหน ส้นเทา้ ขา เทา้ เดิน ตรงไหนไดผ้ ลดี ถา้ กาหนดลองทาดู เวลา ใจ มอี ารมณเ์ ดียวกบั ใจ เดินใหร้ ู้ว่าเดิน ไม่ออกจากกาย กายท้งั หมด เอำไว้ที่ไหนก็ได้ กำหนดไว้องค์ 3 กำหนดอย่างไร 5)วญิ ญาณ จิตเป็นนาม ถูกองค์ 3 ใชไ้ ดใ้ ห้ถูกสติปัฏฐาน 4 ตรงไหนถูกสติปัฏฐาน 4 ลองกาหนด / ยืนหนอ กำหนด ใจ รู้วา่ อารมณต์ ่างๆ ขันธ์ 5 ถกู ขนั ธ์ไดอ้ งค์ 3 เอำสูตรขนั ธ์ 5 มำเทียบเคยี ง กำหนดเรำยืน ถกู ขนั ธ์ 5 หรือไม่ สติอยทู่ ่ี ส้นเทา้ ส้นเทา้ เป็นขนั ธ์ ขณะเดินไปกา้ วไป รู้สึกสบายเป็ นสุขเวทนา ไม่สบายเป็นทุกขเวทนา ยืนหนอ เอาใจไวท้ ี่ เฉยๆ เป็ นอุเบกขาเวทนา ไม่อย่างใดอย่างหน่ึง เมื่อจิตเรำรู้กำลังเคลื่อนส้นเท้ำไป เป็ นจิตตำ ร่างกายต้งั แต่ผม นุปัสสนำสติปัฏฐำน ถูกขนั ธ์ 5 / อย่าเอารูปอดีตมาเป็ นอารมณ์ มนั เสร็จไปแลว้ เอาคืนไม่ได้ ขน เลบ็ ไดท้ ้งั น้นั อยา่ งเอารูปอนาคตมาเป็นอารมณ์เพราะยงั มาไม่ถึง วิปัสสนำต้องกำรอำรมณ์ปัจจุบัน /ไม่มีสติ ใหร้ ูอ้ ยทู่ ร่ี ่างกาย กาหนดอยู่เป็ นมิจฉาสติ ไม่เป็ นสัมมาสติ ในมรรค 8 โมหะ คือ อวิชชำ ถา้ ไม่กาหนดไม่เป็ น อาการรูใ้ นองค์ 3 ตอ้ งกาหนด ยืนหนอและตอ้ งมีองค์ 3 จึงเป็นสมาธิ / ถา้ ปวดร่ำงกำยไม่กำหนดเป็ นทุกขเวทนำ เฉยๆ ไม่เป็ นทุกขอริยสัจ ตอ้ งกาหนด ปวดหนอ กำหนดจึงเป็ นทุกขอริยสัจได้ สติไปรู้อาการ อาการรู้ในองค์ 3 1)อา ปวดเห็นอาการปวด มากเขา้ เป็นอนิจจงั ทกุ ขขงั อนตั ตา / “กลิ่นหนอ” เป็นกรรมฐานตรงไหน ตาปี มีความเพยี งเผา่ อนิจจงั ตรงไหน กลิ่นกระทบจมกู กลิ่นเป็ นรูป กลน่ิ หนอ มำกเข้ำ น้อยลง หำยไป เป็ นอนจิ จงั / กเิ ลส ท้งั ต้งั ใจทา 2)สติ ทุกข์เพราะรูปนามเกิดข้ึน ต้งั อยู่ดับไป เรียกว่า อนัตตา บังคบั บญั ชาไม่ได้ อนิจจัง ทุกขงั มา “รู”้ ระลกึ ไดก้ อ่ นทา อนตั ตา อยทู่ ่ีเดียวกนั / กำหนดตรงไหน เป็ นอำรมณ์วิปัสสนำทีถ่ ูกต้องตรงน้นั / การเดิน ยนื นงั่ ก่อนพูด กอ่ นคดิ รู้ตวั อยู่ นอน หลบั ตื่น ภำวนำเดินหนอ ยืนหนอ นั่งหนอ หลับหนอ ตื่นหนอ พูดหนอ นั่งหนอ เป็ น ทวี่ ่า กาลงั ยืนหนอ ยืน สัมปชัญญะ อำรมณ์วปิ ัสสนำเป็ นตวั กำหนด ไม่กำหนดไม่เป็ นอำรมณ์วิปัสสนำท่ีถกู ตอ้ ง หนอ สตริ ู้ในอาการยืน -ละความโลภ ความโกรธ ความหลง / ธรรมปฏิบัติเป็นบุญเป็ นกุศล / พระธรรมพระพุทธเจา้ 3)สมั ปชัญญะ รูท้ ุกขณะ แกโ้ รค คอื ความทุกขค์ วามยาก แกโ้ รคตดั ภพตดั ชาติ สาคญั ที่สุด คอื ตวั บุญตัวกศุ ล ในร่างกายของเรา ยืน หนอกเ็ หน็ รูปยืน ยืน หนอรู้ทกุ ขณะ วปิ ัสสนาตอ้ งการ อารมณ์ปัจจบุ นั ปวดร่างกายไม่ กาหนดเป็ น ทกุ ขเวทนา ไมเ่ ป็น ทุกขอริยสจั ตอ้ ง กาหนด ปวดหนอ กาหนดจงึ เป็นทุกขอ ริยสจั ได้ สตไิ ปรู้ อาการปวดเห็น อาการปวด มากเขา้ เป็นอนิจจงั ทกุ ขขงั อนตั ตา ผล ละโลภโกรธ หลง เป็นตวั บุญ เป็นกศุ ล ตารางท่ี 4.8.4 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “พระพุทธเจ้ำทรงสอนพอง ยบุ ไว้ อย่ำงไร” แนวทางปฏิบตั ิพระธรรมธีรรำชมหำมนุ ี (โชดก ญำณสิทธิ ) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั S4]

399 สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด -พระพุทธเจา้ สอนมรรค 8 ย่อให้ส้ัน คือ ศีล สมำธิ ปัญญำ อารมณ์ศีล สมาธิ ปัญญาคือ ขนั ธ์ 5 อายตนะ 12 ธาตุ 18 อินทรีย์ 22 อริยสัจ 4 ปฏิจจสมุปบาท 12 ย่อแลว้ เหลือ รูปกับนำม คือ อำรมณ์วิปัสสนำท่ี มรรค 8 ยอ่ คอื ศลี แท้จริง / ตอ้ งเขา้ ใจรูปนามอยู่ท่ีไหน อะไร คือ รูป อะไร คือ นาม ตอ้ งเขา้ ใจ / พองยุบเป็นอย่างไร / สมาธิ ปัญญา สังขารท้งั หลายคือ รูปนาม มีความเกิดข้ึนและดบั ไปเป็นธรรมดา เธอท้งั หลายจงยงั ความไม่ประมาท อารมณ์ศลี สมาธิ ใหถ้ ึงพร้อม / พระพุทธเจา้ เทศนาได้ 45 ปี ไดห้ นงั สือ 45 เลม่ ยอ่ ไดเ้ ป็น ศีล สมำธิ ปัญญำ ยอ่ ลงมาเม่ือ ปัญญาคือ ขนั ธ์ 5 เจอนิพพานคือ ควำมไม่ประมำท ให้มสี ติ / ต้งั สติกำหนดเจริญวิปัสสนำภำวนำพองหนอ ยุบหนอ เร่ิม พองยบุ ยตุ แิ ล้วโดยสภำวะเป็ นอย่ำงไร โดยปริยัตเิ ป็ นอย่ำงไร ลมเขา้ (พอง) ลมออก (ยบุ ) /พระพุทธเจา้ รูปกบั นาม คอื สอนทอ้ งพองยบุ ไวท้ ี่ร่างกายของแตล่ ะคน โดยสภาวะ ยตุ ิกนั โดยสภาวะ ไมต่ อ้ งโตเ้ ถียงกนั แลว้ ปริยัติ อารมณ์วิปัสสนาท่ี คือ สภำวะกำรปฏิบัติ แทจ้ ริง สังขาร คอื รูปนาม -กำหนดพองยุบโดยสภำวะ / การเจริญวิปัสสนา ประสงค์ คือ การกาหนดรูปนามเป็ นอารมณ์ มคี วามเกิดข้ึน ดบั วิปัสสนา สอนให้กาหนดรูปท่ีละเอียด ไดแ้ ก่ ลมหำยใจเข้ำออกที่ถูกต้อง ถูกกับที่ใดให้กำหนดท่ีน้ัน ไปเป็ นธรรมดา สถานท่ีลมหายใจถกู คือ ท่ีจมูก กบั บริเวณทอ้ ง / สังขารคือ รูปนาม เกิดข้ึนและดบั ไปเป็นธรรมดา จง ต้งั สตกิ าหนดเจริญ ไม่ประมาทให้ถึงพร้อม / สมำธิ มหี น้ำที่ปรำบกเิ ลสอย่ำงกลำง ได้แก่ นวิ รณ์ 5 กามฉนั ทะ พยาบาท ถีน วปิ ัสสนาภาวนา มิทธะ อุทธจั จะกุกจจะ วิจิกิจฉา / นิวรณ์ แปลว่ำ บำป ก้นั จิตไม่ให้บรรลุคุณงามความดี หรือ ธรรมที่ พองหนอ ยบุ หนอ ก้ันจิตไม่ให้บรรลุคุณงามความดี / “ยุบกับพอง” เป็ นอนั หน่ึง “หนอ” เป็ นอนั หน่ึง / วิปัสสนา เริ่มพองยบุ ยตุ ิแลว้ จาเป็นตอ้ งใช้ ขณิกสมาธิ / เติมคำภำวนำลงไป เป็ นกำรเพมิ่ กำลังให้สมำธติ ้งั อย่ไู ด้นำน พอดีกบั อำกำร โดยสภาวะ ที่ปรำกฏตำมสภำวะที่เป็ นจริง เติมคำว่ำ “หนอ” ตรงกบั บาลี “วตะ” เพิ่มใหส้ มาธิมีกาลงั พอดี ควรแก่ กำรเจริญวิปัสสนำ พองยุบ พองยุบ มนั ส้ัน ไม่เห็นรูปนามเกิดดบั ไม่ทนั ปัญญา มนั หยาบ / เคา้ โครง โดยสภาวะเป็ น วิปัสสนาคือ กายกบั ใจ รูปกบั นาม ทุกคนมีเหมือนกนั ทุกชาติทุกภาษาทวั่ โลก อยา่ งไร โดยปริยตั ิ เป็นอยา่ งไร ลมเขา้ -มชั ฌิมาปฏิปทา นิสัยกลางเอำอะไรเป็ นอำรมณ์ / การเจริญสมถกรรมฐาน ใช้อุปจารสมาธิ (พอง) ลมออก เรื่อยไปจนถึงอปั ปนาสมาธิ คือ สมาธิแนบแน่นมงั่ คงเท่าใด สมถกรรมฐานก็ได้ผลดียิ่งข้ึน (ยบุ ) ปริยตั คิ อื เทา่ น้นั พละ คือ กำลังสมำธิ สมาธิยง่ิ มากยง่ิ ดี เพราะตอ้ งการความสงบใจเป็นสาคญั / การเจริญ สภาวะการปฏิบตั ิ หลกั กำร กาหนดพองยบุ โดย สภาวะ วิปัสสนา คอื การ กาหนดรูปนามเป็ น อารมณ์ วิปัสสนา ลมหายใจเขา้ ออก ถกู กบั ท่ีใดให้ กาหนดทน่ี ้นั สถานทีล่ มหายใจถูก คือ ที่จมูก กบั บริเวณทอ้ ง สมาธิหนา้ ท่ปี ราบ กเิ ลสอยา่ งกลาง ไดแ้ ก่ นิวรณ์ 5 วปิ ัสสนาตอ้ งใช้ ขณิกสมาธิ เติมคา ภาวนาลงไป เพ่ิม กาลงั สมาธิต้งั อยไู่ ด้ นาน อาการท่ีปรากฏตาม สภาวะทีเ่ ป็นจริง เติมคาว่า “หนอ” เคา้ โครงวิปัสสนา คอื กายกบั ใจ รูปกบั นาม ทุกคนมี เหมอื นกนั ทุกชาติ ทุกภาษาทวั่ โลก วิธกี ำร เอาอะไรเป็ นอารมณ์ ใชอ้ ปุ จารสมาธิ ถงึ อปั ปนาสมาธิ คือ สมาธิแนบแน่น

400 พละ 5 คอื กาลงั วปิ ัสสนำต้องกำรพละท้งั 5 กาลงั คือ ศรัทธำ ปัญญาพละ กาลงั คือ ปัญญา สมาธิกาลงั คอื สมาธิ สมาธิ ย่ิงมากยงิ่ ดี วิริยะพละกาลงั คือความเพียร สติพละ กาลงั คือสติ พละเสมอกนั เพื่อให้เกิดปัญญำท่ีเรียกว่ำ เพราะตอ้ งการความ “ญำณ” / กาหนดท่ีบริเวณจมกู ชดั เจนเพียงระยะเริ่มแรก นานเม่ือละเอียดลมหายใจไม่ปรากฏ สงบใจเป็ นสาคญั ชดั เจน กำหนดบริเวณท้องท่ีมีอำกำรพองยุบ กำหนดชัดเจนสม่ำเสมอแสดงสภำวะชัดเจนกว่ำ พละ 5 กาลงั คือ จมูก จึงเหมำะเป็ นที่ต้ังกำหนด เพ่ือเจริญวิปัสสนากรรมฐานอำศัยกำรกำหนดรูปนำมเป็ น ศรัทธา ปัญญา สำคัญ วำโยธำตุเคลื่อนไหว เกิดจากการกระทบของลม คือ พองยุบ / ร่ำงกำยผู้ปฏิบัติอยู่ใน สมาธิ วิริยะ สติ อำกำรใดๆ ก็ตำม ต้ังสติกำหนดอำกำรน้ัน อาการเดินก็ต้ังสติกำหนดว่ำ ซ้ำยย่ำงหนอ ขวำย่ำง พละเกิดปัญญา หนอ อาการยืน น่ัง นอน ให้ต้งั สติกาหนดว่า ยืนหนอ น่ังหนอ นอนหนอ เดินหนอ อาการ เรียกว่า “ญาณ” เล็กน้อยตอ้ งกาหนดด้วย / ถ้ากำหนดได้เห็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขังเป็ นทุกข์ อนัตตำ ไม่ใช่ กาหนดบริเวณทอ้ ง ตวั ตน เป็ นอาการของรูปนาม ตามความเป็ นจริงแท้ / รูปนำมคือ ขันธ์ 5 ขยายออกไป 1) รูป อาการพองยบุ ได้แก่ ร่างกายท้ังหมด 2) เวทนำได้แก่ ความเสวยอารมณ์สุข ทุกข์ เฉยๆ 3)สัญญำ ได้แก่ กาหนดชดั เจน ความจาไดห้ มายรู้ 4)สังขำร ไดแ้ ก่ ความปรุงแต่งใจของเรา 5)วิญญำณ ไดแ้ ก่ ความรู้แจง้ ย่อ สมา่ เสมอแสดง เหลือ รูปกับนำม กำยกับใจ / ขนั ธ์ 5 เกิดท่ีไหน เกิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ / เม่ือขนั ธ์ 5 เกิด สภาวะชดั เจนกวา่ กิเลสเกิดตวั กิเลสเกิด โลภะ โมหะ โทสะ ตอ้ งปฏิบตั ิตวั อย่างไร ตอ้ งเจริญวิปัสสนา / วิธีเจริญ บริเวณจมกู วปิ ัสสนำ จะเจริญตำมสตปิ ัฏฐำน 4 เรียกว่ำ “มหำสตปิ ัฏฐำน4” / ลมหายใจมีพองยบุ แลว้ สอน การกาหนดรูปนาม ให้กำหนดพองยุบไว้ที่กำย ของแต่ละคน เพราะอำรมณ์วิปัสสนำ คือ ขันธ์ 5 คือ กายท้งั หมด สาคญั วาโยธาตุ กำยมพี องมยี ุบ / พระพทุ ธเจา้ สอนพองยบุ กายคนทกุ คนโดยสภาวะ เรียกวา่ โดยยตุ ิ คือ ยุติโดย เคลือ่ นไหว เกิดจาก สภำวะ คือ ของจริงมีอยู่ตรงน้นั ใครมีกำย มีรูปกับนำม คนตอ้ งมีพองกบั ยุบ สอนให้กาหนด การกระทบของลม พองยบุ ยนื หนอก็ถกู พองยบุ นงั่ หนอ กถ็ กุ พองยบุ / หายใจเขา้ ออก อำนำปำนสติ ต้งั สติกำหนด คือ พองยุบ ลมหำยใจ บริเวณจมูก 1)หายใจเขา้ ตน้ ลมหยดุ เพียงจมูก กลางลมท่ีหัวใจ ปลายลมที่สะดือ คือ รูปนามคอื ขนั ธ์ 5 พองยุบ ที่สองนบั ลมหายใจเขา้ ทอ้ งนูนออกมา หายใจออกทอ้ งแฟบ นบั เป็นหน่ึงพองยุบอีก 1) รูป ไดแ้ ก่ ร่างกาย แลว้ / ยตุ ิโดยสภาวะ หมายความวา่ จะต้องรู้โดยสภำวะ เรายนื ยนั และรับรองวา่ ร่ำงกำยท้งั หมด ท้งั หมด 2) เวทนา เป็ นอำรมณ์วิปัสสนำ / ยืน ย่าง หนอ ทอ้ งพองยุบมีไปด้วย น่ังกาหนด ทอ้ งพองยุบ ที่มีถูก ไดแ้ ก่ ความเสวย กาหนด ทอ้ งพองยุบก็มี / อย่ำติดศัพท์บัญญัติ เอำสภำวะถูกท่ีสุด พระพุทธเจา้ สอนพองยบุ ตรง อารมณส์ ุข ทกุ ข์ พระไตรปิ ฏก เลา่ ท่ี 10 เลม่ ท่ี 12 หมวดอาปานสติ หายใจเขา้ หายใจออกทอ้ งเป็นอยา่ งไร หำยใจ เฉยๆ 3)สัญญา เข้ำท้องนูน หรือ แฟบ เป็ นผู้มีสติ หายใจเขา้ เป็นผมู้ ีสติหายใจออก หายใจเขา้ มนั นูน หายใจออก ไดแ้ ก่ ความจาได้ มนั แฟบ ถา้ ไม่ถูกองค์ 3 ไม่มีประโยชน์ / กายต้งั อยู่น้อมไปในอาการใดๆ ให้กำหนดรู้อำกำร หมายรู้ 4)สงั ขาร น้นั ๆ กำยน้อมไปโดยอำกำรใดรู้ตัว ดว้ ยอาการน้นั ถูกแลว้ คือ พองยุบ รู้ตำมอำกำรกำยท้ังหมด ไดแ้ ก่ ความปรุงแต่ง ท้องพองยบุ เป็ นกำย ใจของเรา 5) -การต้ังสติกำหนดอำรมณ์ กิเลสหำย วิปัสสนาทาลาย / เจริญวิปัสสนาตามมรรค 8 คือ ศีล สมาธิ วิญญาณ ไดแ้ ก่ ปัญญา ยึดรูปนำมเป็ นอำรมณ์ ถงึ อริยมรรคยดึ นิพพานเป็นอารมณ์ ความรู้แจง้ ยอ่ รูป กบั นาม กายกบั ใจ วิธีเจริญวิปัสสนา ตามสตปิ ัฏฐาน 4 เรียกว่า “มหาสติปัฏ ฐาน4” อารมณว์ ปิ ัสสนา คอื ขนั ธ์ 5 กายมพี องมี ยุบ กายทุกคนโดย สภาวะ เรียกว่า โดย ยุติ คือ ยุตโิ ดย สภาวะ คอื ของจริง มีอยตู่ รงน้นั อย่าติดศพั ทบ์ ญั ญตั ิ เอาสภาวะถกู ท่สี ุด ตอ้ งรู้โดยสภาวะ ยตุ โิ ดยสภาวะ หมายความวา่ จะตอ้ งรูโ้ ดยสภาวะ ร่างกายท้งั หมดเป็น อารมณว์ ปิ ัสสนา ผล การต้งั สตกิ าหนด อารมณ์ กเิ ลสหาย ยึดรูปนามเป็ น อารมณ์ ถึงอริยมรรค

401 ตารางที่ 4.8.5 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “ทำงไปนพิ พำน” แนวทางปฏิบตั ิพระธรรมธีรรำชมหำมุนี (โชดก ญำณสิทธิ ) จาแนกตาม สกดั หลกั แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั S5] แนวคดิ ประเดน็ คำสอน -เส้นทางเดิน 7 เส้น นรก เปรต เดรัชฉาน มนุษย์ สวรรค์ ทางไปนิพพาน เดินตำมมรรค 8 ทางไปนิพพาน มัชฌิมำปฏิปทำ เจริญวิปัสสนา สติปัฏฐำน เอกายมรรค ทางสายเดียว ทางสายเอก เป็นไปเพ่ือ เดินมรรค 8 เจริญ มรรคผลนิพพาน ไปคนเดียวละหมู่ เดินคนเดียว ทาแทนไม่ได้ ทาคนเดียว /สติปัฏฐาน 4 ทาง วิปัสสนา สตปิ ัฏ สายเอกเป็นไปเพื่อความบริสุทธ์ิของสัตวท์ ้งั หลาย เพอื่ บรรลมุ รรคผลนิพพาน / ควำมหมำยทำง ฐาน เอกายมรรค ไปนิพพำน เดินตามมรรค 8 การปฏิบตั ิเจริญวิปัสสนา มรรค 8 กบั วิปัสสนา / เส้นทำงไป ทางสายเดียว เดิน นิพพำน ได้แก่ สติปัฏฐำน 4 ทางสายน้ีเป็นสายเอกเป็นไปพร้อมดว้ ยความบริสุทธ์ิหมดจดของ คนเดียว ทาคน สัตวท์ ้งั หลาย / ทำงสำยเอก ต้องไปคนเดียวเท่ำน้ัน เป็ นทำงคนเดียว ละหมู่ไปปฏิบตั ิในท่ีสงดั เดียว คนเดียว มีอยใู่ นศาสนาพุทธแห่งเดียวไม่มีศาสนาอ่ืน / ไปสู่หนทำงเดียวไปสู่นิพพำนแห่งเดียว เสน้ ทางไป เท่าน้นั เป็นแผน่ ที่นาทาง นิพพาน เดินตาม มรรค 8 และการ -แผนที่หนทำงท่ีไปจะไปอย่ำงไร พระพุทธเจา้ เป็ นพ่อทางธรรมเช่ือพระพุทธเจา้ / เอกยมรรค ปฏิบตั ิ สติปัฏฐาน ทำงอันประเสริฐค้นพบโดยพระพุทธเจ้ำ มีอย่แู ห่งเดียว คือ พุทธศาสนาเป็นทางเดิน / แม่น้าคง 4 เป็นแผน่ ท่นี า คาไหลลงน้อมไปนิพพาน สติปัฏฐำน 4 เดินตำมทำงน้ี ปฏิบตั ิตามทางน้ี ทางสายเดียวทาที่สุด ทาง กองทกุ ขส์ ิ้นไป / ภำวนำมยปัญญำ 16 ข้นั ญำณ ไดแ้ ก่ 1) นามรูปปริจเฉทญาณ 2) ปัจจยปริคคห ทางสายเอก ตอ้ ง ญาณ 3)สัมมสนญาณ 4)อุทยพั พยญาณ 5)ภงั คญาณ 6)ภยตูปัฏฐานญาณ 7)อาทีนวญาณ 8) ไปคนเดียวเทา่ น้นั นิพพิทาญาณ 9)มุญจิตกมั ยตาญาณ 10)ปฏิสังขาญาณ 11)สังขารุเบกขาญาณ 12)อนุโลมญาณ เป็ นทางคนเดียว 13)โคตรภูญาณ 14)มรรคญาณ 15)ผลญาณ 16)ปัจจเวกขณญาณ / พิสูจน์ดว้ ยตารา เป็น สุ ตมย หนทางเดียวไปสู่ ปัญญำ / จิตมยปัญญำเชื่อโดยการคน้ หาเหตุผล ปัญญาข้นั นึกคิด นึกเหตุผลตวั อย่างที่ผ่านมา / นิพพาน นกั ปฏิบตั ิต้องมีครูบำอำจำรย์ / ปฏิบตั ิสติปัฏฐาน 4 หมวดกาย อานาปานสติ นับลมตำมลมเป็ น สมถะ กำหนดลมกระทบเป็ นวปิ ัสสนำ / มอบกายถวายตวั ธรรมที่ไมม่ ีใหเ้ กิดตรงแน่วไดผ้ ลเร็ว / หลกั กำร อภิญญาเป็นโลกียะ ยงั มีกิเสลตณั หาเจือปนอยู่ / ต้องพสิ ูจน์ด้วยภำวนำมยปัญญำ 16 ข้นั ข้นั ที่ 1 เจริญวิปัสสนาเกิดปัญญำข้นั ตน้ แยกรูปนาม ออกจากกนั ได้ พิสูจน์ไม่ได้ ข้นั ที่ 2 รู้เห็นและผล ทางอนั ประเสริฐ รูปนำม พิสูจน์ไม่ได้ ข้นั ที่ 3 พิจำรณำรูปนำมเป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ พิสูจน์ได้ 15 % / คน้ พบโดย ปฏิบตั ิสติปัฏฐาน เจริญปฏิบตั ิเตม็ ที่ยอ่ มเป็ นไปดว้ ยความเบ่ือหน่าย เพ่ือคลายความกาหนดั เพือ่ พระพุทธเจา้ สติปัฏ ความดบั สนิท เจริญสติปัฏฐานเต็มที่แลว้ ยอ่ มนอ้ มไปสู่พระนิพพาน /สติปัฏฐานท่ีต้งั สติ กายา ฐาน 4 เดินตามทาง นุปัสสนา สติตามพิจารณากายเป็ นตามอารมณ์ เวทนานุปัสสนา สติตามพิจารณาเวทนาเป็ น ภาวนามยปัญญา 16 อารมณ์ จิตตนุปัสสนา สติตามพิจารณาจิตเป็นอารมณ์ ธรรมานุปัสสนา สติตามพิจารณาธรรม ข้นั ญาณ 1)นามรูป ปริจเฉทญาณ 2) ปัจจยปริคคหญาณ 3) สมั มสนญาณ 4) อทุ ยพั พยญาณ 5)ภงั ค ญาณ 6)ภยตปู ัฏฐาน ญาณ 7)อาทีนวญาณ 8)นิพพทิ าญาณ 9) มุญจิตกมั ยตาญาณ 10)ปฏสิ ังขาญาณ 11) สังขารุเบกขาญาณ 12)อนุโลมญาณ 13) โคตรภญู าณ 14) มรรคญาณ 15)ผล ญาณ 16)ปัจจเวกขณ ญาณ อานาปานสติ นบั ลมตามลมเป็ น สมถะ กาหนดลม กระทบเป็ น วิปัสสนา นกั ปฏบิ ตั ติ อ้ งมคี รู บาอาจารย์

402 ตอ้ งพสิ ูจน์ดว้ ย เป็นอารมณ์ / “สติมำ” มีสติระลึกไดก้ ่อน ทา พูด คิด คือ ระลึกไดก้ ่อนรูปนามจะเกิด / สัมปชา ภาวนามยปัญญา โน มีสัมปชญั ญะ คือ รู้รูปนามอยู่ทุกขณะ / นักปฏิบัติต้องสนใจศึกษำจำกครูบำอำจำรย์ ที่มี 16 ข้นั ความรู้ความชานาญ เป็นพิเศษ เขา้ ใจ แมน่ ยา แลว้ นามาปฏิบตั ิจึงจะไดผ้ ลดีตามที่ตนปรารถนา สตปิ ัฏฐานต้งั สติ กา ยานุปัสสนา สตติ าม -เดินจงกรม ยืนหนอๆ ควำมรู้สึกตัวอยู่ท่ีร่ำงกำย ขวายา่ งหนอ ซ้ายย่างหนอ วิธีเดินโดยสังเกต พจิ ารณากายเป็นตาม ต้งั ใจ / คอยจ้องสติ ขวาย่างหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ ทาใหช้ า้ ทาให้ทันองค์ 3 ทนั กนั ใชไ้ ด้ ถา้ ไม่ทนั อารมณ์ เวทนา ผิด 1) ต้ังใจ 2) สติ 3) สัมปชัญญะ เอารูปนามเป็นอารมณ์ / เดินจงกรมใหไ้ ดส้ มาธิเป็นพ้ืนฐาน นุปัสสนา สติตาม 1 ชวั่ โมงดีท่ีสุด เดินเสร็จลงนงั่ ขดั สมาธิ หลบั ตา เอาใจต้งั ไว้ ภาวนาบริกรรม ยบุ หนอ พองหนอ พจิ ารณาเวทนาเป็น ให้ทนั กาหนด ท้องพองท้องยุบ / วิปัสสนาเห็นแจง้ ขาวยา่ งหนอ กิเลสหายไป นิพพานน้อยๆ / อารมณ์ จติ ตนุปัสส พองหนอยบุ หนอ ศีล สมำธิ ปัญญำ ถึงนพิ พำน จติ เกดิ ดับเป็ นบญุ กิเลสขาดนอ้ ยๆ ขาดชว่ั ระยะ นา สติตามพิจารณา รวม 1 ถึง 100 ไดแ้ ลว้ ขนาดใหญ่ได้ / เดินจงกรมไปนิพพำนได้ นัง่ หนอ คิดหนอ ไดย้ ินเสียง จิตเป็นอารมณ์ ธรร หนอ ก็ใหก้ าหนดไว้ นอนหนอ / กาหนดองค์ 3 อาตาปี (มีความเพยี รเผา่ กิเลส) สติมา (ระลึกได)้ มานุปัสสนา สตติ าม สัมปชาโน (รู้รูปนามไดท้ ุกขณะ) กำหนดองค์ 3 ให้ทันปัจจุบัน / “กาย” มีสติตามพิจารณากาย พจิ ารณาธรรมเป็น เป็ นอารมณ์ “เวทนา” มีสติตามพิจารณาเวทนาเป็ นอารมณ์ “จิต” มีสติตามพิจารณาจิตเป็ น อารมณ์ อารมณ์ “ธรรม” มีสติตามพิจารณาธรรมเป็นอารมณ์ / แผ่เมตตำจิต ขออธิษฐานตวั ต้งั ใจปฏิบตั ิ เจริญมรณสติชีวิตไม่ยง่ั ยืน ความตายเป็นของย้งั ยืน / พิสูจน์ไดด้ ว้ ยจิตมยปัญญา นึกถึงเหตุผล วธิ กี ำร ตวั อย่างท่ีประสบมาก็พอพิสูจน์ได้ เรียกว่า ขอ้ เท็จจริง แต่พิสูจน์ไดล้ ะเอียดที่สุดดว้ ยปัญญา / วิปัสสนำต้องให้ทันปัจจุบัน ตอ้ งรู้แจง้ มรรคผล นิพพาน / หลกั วิธีปฏิบตั ิ เดินจงกรมเดินเสร็จ เดนิ จงกรม ยนื หนอๆ นงั่ ขดั สมาธิ เพราะสมำธเิ ป็ นพืน้ ฐำนให้เกิดปัญญำ เดินนำน 1 ชั่วโมงดที ่ีสุด นง่ั สมาธิขาขวาทบั ความรูส้ ึกตวั อยู่ท่ี ขาซา้ ย มือขาวทบั มือซ้าย ต้งั กายใหต้ รง หลบั ตา แลว้ เอำใจไว้ที่ท้อง บริกรรมว่ำ พองหนอ ยุบ ร่างกาย คอยจอ้ งสติ หนอ ให้ความสัมพนั ธ์เอาใจไวท้ ี่ทอ้ งพองยุบ อย่ำเอำไว้ท่ีจมูก ถ้ำเอำไว้ท่ีจมูกเป็ นสมถะ / ทา ขวาย่างหนอ ซา้ ยย่าง วปิ ัสสนากาลงั ไปนิพพาน ในขณะเดินขาวยา่ งหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ กิเลสมนั ขาด เดินจงกรม ขาว หนอ ทาให้ชา้ เดนิ ยา่ งหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ ไปนิพพาน / รถคือมหาสติปัฏฐาน 4 ทางคือ มรรค 8 กาหนดพองหนอ จงกรมไปนิพพานได้ ยบุ หนอ เดิน นงั่ นอน / ทนั องค์ 3 ต้งั ใจ สติ สัมปชญั ญะ เอารูปนามเป็ น อารมณ์ นงั่ สมาธิ หลบั ตา เอา ใจต้งั ไว้ ภาวนา บริกรรม ยบุ หนอ พองหนอ ใหท้ นั กาหนด ทอ้ งพอง ทอ้ งยุบ กาหนดองค์ 3 อาตาปี (มีความเพียรเผา่ กิเลส) สตมิ า (ระลึก ได)้ สัมปชาโน (รูร้ ูป นามไดท้ กุ ขณะ) กาหนดองค์ 3 ใหท้ นั ปัจจุบนั “กาย” มสี ติตาม พิจารณากายเป็ น อารมณ์ “เวทนา” มี สติตามพจิ ารณา เวทนาเป็ นอารมณ์ “จติ ” มสี ตติ าม พิจารณาจติ เป็น อารมณ์ “ธรรม” มี สติตามพจิ ารณา ธรรมเป็ นอารมณ์ วปิ ัสสนาตอ้ งใหท้ นั ปัจจบุ นั ตอ้ งรูแ้ จง้ มรรคผล นิพพาน เดนิ จงกรมเสร็จ นงั่ ขดั สมาธิ เป็น พ้นื ฐานให้เกดิ ปัญญา เดนิ นาน 1 ชว่ั โมงดี ท่ีสุด เอาใจไวท้ ที่ อ้ ง บริกรรมวา่ พองหนอ ยุบหนอ

ผล 403 พสิ ูจน์อาศยั เจริญ -พสิ ูจน์ได้อย่ำงไร อำศัยกำรเจริญวิปัสสนำ ละความโลภ ความโกรธ ความหลง / คุณธรรม 5 วิปัสสนา ละโลภ ประการ 1) ศรัทธา 2)ไมม่ ีโรคภยั 3)ไมโ่ ออ้ วด ไม่มีมายา 4)มีความเพยี ร 5) มีปัญญาพอสมควร โกรธ หลง / คณุ ธรรม 5 ประการ 1) ศรทั ธา 2)ไมม่ ี โรคภยั 3)ไม่โออ้ วด ไม่มีมายา 4)มคี วาม เพียร 5) มปี ัญญา พอสมควร ตารางที่ 4.5.6 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “พระไตรลกั ษณ์ (อนจิ จงั ทกุ ขัง อนตั ตำ )” แนวทางปฏิบตั ิพระธรรมธีรราชมหามนุ ี (โชดก ญาณสิทธิ ) จาแนกตาม สกดั หลกั แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั S6] แนวคดิ ประเดน็ คำสอน -พระไตรปิ ฎก 45 เล่ม เวลาเทศนา 45 ปี / สอนไม่ประมำท มีสติ เจริญสติปัฏฐาน 4 เป็ น สติ เจริญสตปิ ัฏฐาน วิปัสสนา / แก่นแท้พระพุทธศำสนำเป็ นมรรค วิมุตติ ความหลุดพ้นจำกกิเลสตัณหำอำศัย 4 เป็นวปิ ัสสนา ปัญญำขึน้ วิปัสสนำ ละสักกำยทิฏฐิ / พระพุทธเจา้ ประกาศคาสอนมากที่สุด คือ ขนั ธ์ 5 1) รูป คาสอนมากที่สุด คือ ขนั ธ์ กองรูปส่วนที่เป็นร่างกาย 2)เวทนาขนั ธ์ กองเวทนา ส่วนที่เป็นความรู้สึก 3) สัญญาขนั ธ์ ขันธ์ 5 1) รูปขนั ธ์ การจาส่ิงที่ได้ 4) สังขารขนั ธ์ การคิดปรุงแต่งแยกแยะสิ่งท่ีรู้สึกหรือจดจาได้ 5) วิญญาณขนั ธ์ กองรู ปส่ วนที่เป็ น จิตเป็ นการรู้แจง้ ถึงสิ่งต่างๆ ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ / สติปัฏฐาน 4 ทางเดินของ ร่ างกาย 2)เวทนา พระพุทธเจา้ ทำงสำยเอกสติปัฏฐำน 4 กำย เวทนำ จิต ธรรม / ภำวนำมยปัญญำ ข้นั 3 เห็นไตร ขัน ธ์ ก อง เ ว ท น า ลกั ษณ์เป็นภาคปฏิบตั ิ ขาดปัญญาเท่ากบั ไม่เจริญวิปัสสนา ปัญญำสุตมยปัญญำ การฟังการเล่า ส่วนทีเ่ ป็นความรู้สึก เรียน / จินตมยปัญญา ปัญญาสาเร็จมาจากการคิด “จิตตา”+ “สุตมย” ท่องจาได้ เรียนจาคิด 3) สัญญาขันธ์ การ ปัญญาหาเงินหาทอง จาสิ่งที่ได้ 4) สังขาร -กิเลส 3 ประเภท 1) หยาบ-กาย ปาก ไดแ้ ก่ ฆ่าสัตว์ พูดคาหยาบ สร้างมาจากกายวาจา ศีลเป็ น ขนั ธ์ การคดิ ปรุงแตง่ พรหมจรรย์ 2) กลาง-ใจ ความชว่ั ออกมาจากนิวรณ์ 5 กิเลสอยา่ งกลาง ทาใหไ้ ม่บรรลคุ วามดี 3) แยกแยะสิ่ งที่รู้สึ ก ละเอียด-อนุสัย โลภะ โทสะ โมหะ ปัญญาอภิธรรม ละกิเลสไดโ้ ดยเด็ดขาด กำจัดถูกถอนรำก หรื อจ ด จ า ไ ด้ 5) ถอนโคน / เห็นพระไตรลักษณ์อยา่ งไร กาหนดตามไดย้ ินหนอ ๆ เห็นหนอๆ ฟังเฉยๆ ไม่ได้ วิญญาณขนั ธ์ จิตเป็น ต้องเจริญวปิ ัสสนำเหน็ ไตรลกั ษณ์ได้ / พระไตรลกั ษณ์ รูปนามเป็นอนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา แสดง การรู้แจง้ ถึงส่ิงตา่ งๆ ความไม่เที่ยงขนั ธ์ 5 จบั ร่างกาย ยาววาหนาคืบ / ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ -อำนำจสมำธิ อีกอยไู่ ปต่อวิปัสสนา “ฌาน” กิเลสละเอียดได้ มีสมาธิเหมือนหินทบั หญา้ ขณะ อยู่ในสมาธิใจสบาย / ญำณทัศนะ คือ กำรหย่ังรู้ กำรเห็นท่ีเป็ นญำณ หรือเห็นดว้ ยญาณ อย่าง หลกั กำร ต่าสุดหมายถึง วิปัสสนากรรมฐาน เปลือกได้แก่ สมาธิไดฌ้ าน / วิธีกำร 4 ข้ันตอน ข้ันต้น กเิ ลส 3 1) หยาบ- กาย ปาก 2) กลาง- ใจ ความชวั่ ออกมา จากนวิ รณ์ 5 3) ละเอยี ด-อนุสัย โลภะ โทสะ โมหะ เห็นพระไตรลกั ษณ์ อย่างไร กาหนดตาม ไดย้ ินหนอ ๆ เหน็ หนอๆ พระไตรลกั ษณ์ รูป นามเป็นอนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา แสดง ความไมเ่ ทย่ี งขนั ธ์ 5 วิธีกำร “ฌาน” กิเลส ละเอยี ดได้ มสี มาธิ เหมอื นหินทบั หญา้

404 ขณะอยใู่ นสมาธิใจ ท่องจำ ตำรำ ไม่เห็นจริง ท่องได้จำได้ ทาวตั รเชา้ เห็นขนั ธ์ 5 ท่องจาตารา ไม่ใช่เราเห็น รูปัง สบาย อนิจจัง (รูปไม่เท่ียง) เวทนา อนิจจา (สัญญาไม่เท่ียง) สังขารา อนิจจา (สังขารไม่เท่ียง) วญิ ญาณงั อนิจจงั (วิญญาณไม่เท่ียง) ข้ัน 2 เป็ นจินตำมยปัญญำ เห็นไตรลกั ษณ์ (คดิ เอง) 15 % ญาณทศั นะ คอื คือ คิด พิจำรณำ ไปเผาศพ ปลงอนิจจงั รูปนาม สังขาร นึกคิดวาดภาพ โอก้ ายไม่นานหนอ เอำ การหยงั่ รู้ การเห็น ศพมำปลงพิจำรณำสังขำรรูปนาม ขนั ธ์ 5 ตวั เราไม่เท่ียงหนอ พิจารณาท้งั ตวั / กิเลสไม่ขาด ใจ ทีเ่ ป็นญาณ ลดความด้ือความทะยานอยาก เห็นไตรลกั ษณ์ นึกถึงลมหายใจเขา้ ออก เกิดดบั มีแต่อนิจจงั ทุก ขงั อนตั ตา กาหนดพิจารณาพองหนอ ยบุ หนอ เห็นสมถะ / ข้ัน 3 พระไตรลักษณ์ 50 % เจริญ ข้นั ตน้ ทอ่ งจา วิปัสสนำ ปัญญำ 16 ข้ัน เดินจงกรม นง่ั พองหนอยุบหนอ เห็นรูปนามเท่าน้ัน ร่ำงกำยเป็ นรูป ตารา ไม่เห็นจริง นำม ถึงคนอ่ืนเหมือนกัน มีรูปกบั นามเท่าน้ัน รู้เหตุผลรูปนาม มีเหตุผล กาหนดพองหนอ รูป ทอ่ งไดจ้ าได้ ข้นั เกิดก่อน ญาณพิจารณารูปนามไม่เท่ียง ปลงกรรมฐำนเห็นควำมไม่เท่ียง ยกตวั อย่างหลวงพ่อ สอง เป็นจินตามย วดั ปากน้า เห็นธรรมกาย ไดฌ้ าน 4 กาหนดเห็นหนอ เห็นหนอ กำหนดรู้ องค์ 3 อำตำปี สัมปชำ ปัญญา เห็นไตร โน สติมำ อนิจจังปรำกฏตำมเอง / ข้นั 4 ตอ้ งกาหนดยุบหนอ พองหนอ เป็ นอนิจจัง บงั คบั ลกั ษณ์ (คดิ เอง) 15 บญั ชาไม่ได้ เป็นอนตั ตา ทนอยไู่ มไ่ ด้ เป็นทุกขงั ทกุ ขเวทนาความเจ็บปวด สรุปมนั อยทู่ ี่เดียวกนั % คอื คิด พิจารณา ต้องผ่ำนญำณ 16 ญำณ 12 จะเห็นไตรลักษณ์ 100 % ถึงเห็นชดั เมื่อถึงญาณน้ี ถ้ำใครไม่เจริญ ข้นั สาม พระไตร วปิ ัสสนำไม่สำมำรถเห็นไตรลกั ษณ์ / คำถำบังสุกลุ เพ่ือปลงพระกรรมฐาน อนิจจา วะตะ สงั ขา ลกั ษณ์ 50 % เจริญ รา (สังขารท้งั หลายไม่เท่ียงหนอ) อุปปาทะวะยะธัมมิโน (มีความเกิดข้ึน และมีความเส่ือมไป วปิ ัสสนา ปัญญา เป็นธรรมดา) อุปปัชชิตวา นิรุชฌนั ติ (เกิดข้ึนแลว้ ยอ่ มดบั ไป) สังขำรท้ังหลำย รูปนำม กำยใจ 16 ข้นั ตอ้ งผ่าน สังขำรไม่มีอีกแล้ว ถงึ นพิ พำนเป็ นสุข ญาณ 16 ถงึ ญาณ 12 จะเหน็ ไตร -วิมุตติญำณทัศศนะ ความรู้ความเห็นในวิมุตติ ความรู้เห็นว่า จิตหลุดพน้ แล้ว จากอาสวะ ลกั ษณ์ 100 % ท้งั หลาย / ให้ทำน รักษำศีล หมั่นภำวนำ อนิจจงั เห็นชัด ปรากฏชดั ในใจ เห็นนิพพาน เห็น เหน็ ไตรลกั ษณ์ นึก อนตั ตา สม่าเสมอ ดว้ ยปัญญา ถึงลมหายใจเขา้ ออก เกิดดบั มีแต่ อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา กาหนด พิจารณาพองหนอ ยบุ หนอ เหน็ สมถะ กาหนดรู้ องค์ 3 อา ตาปี สมั ปชาโน สติมา อนิจจงั ปรากฏตามเอง คาถาบงั สุกลุ เพื่อ ปลงพระกรรมฐาน อนิจจา วะตะ สงั ขารา สังขาร ท้งั หลาย รูปนาม กายใจ สงั ขารไมม่ ี อีกแลว้ ถงึ นิพพาน เป็ นสุข ผล ความรูค้ วามเหน็ ในวมิ ุตติ ความรู้ เหน็ ว่า จติ หลดุ พน้ ใหท้ าน รกั ษาศลี หมนั่ ภาวนา อนิจจงั เหน็ ชดั ตารางที่ 4.8.7 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “คนเรำเป็ นพระโสดำบนั ได้อย่ำงไร” สกดั หลกั แนวทางปฏิบตั ิพระธรรมธีรรำชมหำมนุ ี (โชดก ญำณสิทธิ ) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั S7] ประเด็นคำสอน

405 แนวคดิ -เป็นโสดาบนั ไดอ้ ยา่ งไร สัจธรรมท่ีพบจาก 1)ปริยตั ิ พระธรรมวินยั 2)ปฏิบตั ิ ลงมือปฏิบตั ิ 3) ปฏิเวธ รูปนาม ไตรลกั ษณ์ มรรค ผล นิพพาน / มีสติอยปู่ ระจา เจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นวิปัสสนา สัจจธรรมพบจาก 1) ปริยตั ิ พระธรรมวนิ ยั -เป็นโสดาบนั ได้ ตอ้ ง 1)เรียนรู้ 2)ปฏิบตั ิตาม อาศยั กนั และกนั 3)คนั ธธุระและวิปัสสนาธุระ / 2)ลงมือปฏิบัติ 3) ละสังโยชน์ 10 ผูดมดั รัดร้อยจากกองทุกข์ ผมู้ ีปัญญาทางานสังโยชน์เด็ดขาด 1)สังกายทิฏฐิ 2) ปฏิเวธ รูปนาม ไตร วิจิกิจฉา 3)สีลพั พตปรามาส 4)กามราคะ 5)พยาบาท 6)รูปราคะ 7)อรูปราคะ 8)มานะ 9)อุทธัจ ลัก ษ ณ์ ม ร ร ค ผ ล จะ 10)อวิชชา พระโสดาบนั ทาสังโยชน์ 3 ให้สิ้นไป คือ สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพั พตปรา นิพพาน มาส / อำยตนะ 6 ผู้เข้ำถึงกระแสนิพพำน ทาให้กิเลสหายไป 3 ตวั เป็นโสดาบนั / ปิ ดอุบายภมู ิ เจริญสตปิ ัฏฐาน 4 เกิดตายน้อยภพชาติ ไดศ้ ีล สมาธิ ปัญญา บูชาพระพุทธเจา้ ไดเ้ ป็ นตวั อย่าง เป็ นผูไ้ ม่ประมาท เป็นวิปัสสนา มีสติ ปฏิบตั ิตามพุทธโอวาท เป็ นประจา -1) ตำดี ทำเหมือนตำบอด ปิ ดตาถึงมีอะไรมาก็อยา่ ไปสนใจ สารวจตวั เอง ไม่สนใจเรื่องคนอ่ืน สนใจหนา้ ที่ของเรา อะไรคา้ งอยู่ 2)หูดี ทำเหมือนหูหนวก ใหก้ าหนด ยนิ หนอ ยนิ หนอ ท่ีหูฟัง หลกั กำร แลว้ ใหม้ ีสติกาหนดรู้ 3)มีลิน้ ทำเหมือนเป็ นไบ้ อย่าพูด อดทน นกั ปฏิบตั ิไม่พูดมาก ตดั ปริโพธิ 4)มีกำลังแข็งแรง ทำเหมือนคนแก่ คนเจ็บ ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ กาหนดละเอียด 5)มี เป็นโสดาบนั ได้ ตอ้ ง เร่ืองรำวเกิดขึน้ ให้นอนหลับสบำย ใจทุกขอ์ ายุส้ัน มีเร่ืองรำวเป็ นทุกข์คดิ อะไรไปน่ังกรรมฐำน ละสังโยชน์ 10 1) ไปหลับตำ ดูพระพุทธรูปภาวนาพุทโธ เมื่อง่วงนอน นอนหนอๆ / ควำมเข้ำใจขนั ธ์ 5 สรรพสัตว์ สั ง ก า ย ทิ ฏ ฐิ 2) เวียนว่าย ตายเกิด เป็ นสัตว์ เป็ นบุคคล เป็ นเราเป็ นเขา เห็นเขา้ ใจ ขนั ธ์ 5 เป็ นตวั เราเขา เป็ น วิ จิ กิ จ ฉ า 3) วิปัสสนากรรมฐาน รูปนำมเกิดขึน้ ท่ีไหน ทำงตำ หู จมูก ลิ้น กำย ใจ / ธรรมารมณ์ สังโยชน์ สีลัพพตปรามาส 4) สักกายทิฏฐิ ต้องมีสติกำหนดรู้ ขณะเห็นกาหนดว่า “เห็นหนอ” ทาใหค้ นเป็ นพระ เพราะ ละ กามราคะ 5)พยาบาท สักกายทิฏฐิ / กำรกำหนดรูปนำม ทาลาย “สักกายทิฐิ” เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ญาณ 1-14 6)รู ปราคะ 7)อรู ป มรรคญาณพระอริยบคุ คลไดเ้ ป็นโสดาบนั ร า ค ะ 8)ม า น ะ 9) อุทธัจจะ 10)อวิชชา -คนเราทุกขเ์ พราะยึดมนั่ ถือมน่ั / กรรมที่ทามีทางไป นรก เปรต เดรัจฉาน มนุษย์ พรหม พ ร ะ โ ส ด า บั น ท า โลก นิพพาน / เป็ นอริ ิยบุคคล ละสักกำยะทิฏฐิ / โสดาบนั มีศีล 5 มน่ั คง กิเลสสังขารไม่ สงั โยชน์ 3 ใหส้ ้ินไป ก่อกรรมก่อเวร ไม่ก่อควำมเดือดร้อน ให้แก่ใคร / เจริญวิปัสสนา เมตตำ จำคะ สันโดษ สติ / อริยบคุ คล ครองเรือน สมั มาอาชีวะ เล้ียงชีพชอบ วิธีกำร ตาดี ทาเหมือนตา บอด หูดี ทา เหมือนหูหนวก มี ล้นิ ทาเหมือนเป็น ไบ้ มีกาลงั แขง็ แรง ทาเหมือนคนแก่ มีเรื่องราวเกิดข้ึน ให้นอนหลบั สบาย เป็นทกุ ขค์ ดิ อะไร ไปนงั่ กรรมฐานไป หลบั ตา ความเขา้ ใจขนั ธ์ 5 สรรพสตั ว์ เวยี น ว่าย ตายเกิด เป็น สตั ว์ เป็นบุคคล เป็ นเราเป็ นเขา รูปนามเกิดข้นึ ทาง ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ การกาหนดรูปนาม ทาลาย “สักกายทฐิ ิ” เจริญ วิปัสสนา กรรมฐาน ญาณ ผล เป็นอริ ิยบคุ คล ละ สกั กายะทิฏฐิ โสดาบนั มีศีล 5 มนั่ คง เมตตา จาคะ สนั โดษ สติ

406 ตารางท่ี 4.5.8 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “วิปัสสนำเบื้องต้น 1” แนวทางปฏิบตั ิพระธรรมธีรรำชมหำมนุ ี (โชดก ญำณสิทธิ ) จาแนกตาม สกดั หลกั แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั S8] แนวคดิ ประเดน็ คำสอน -วิปัสสนำกรรมฐำน การกระทากรรมฐานเป็นเหตุปัจจยั ใหบ้ รรลุผลใหไ้ ดส้ มาธิ เกิดปัญญา วปิ ัสสนากรรมฐาน เรียกวา่ กรรมฐาน / เห็นปัจจบุ ันรูปนำม กฎไตรลักษณ์ เห็นปัญญำ 16 ข้นั / คาวา่ “หนอ” (วตะ) เห็นปัจจุบนั รูปนาม เป็นคาสอนของพระพุทธเจา้ / ร่างกายท้งั หมดเป็ นขันธ์ 5 กำหนดท้งั หมดทว่ั ร่างกายเป็นขนั ธ์ 5 กฎไตรลกั ษณ์ เห็น / อำตำปี สตมิ ำ สัมปชำโน ปัญญา 16 ข้นั ร่างกายท้งั หมดเป็น -ศรัทธาให้ทาน รักษาศีล เป็ นสัมมาทิฏฐิ ทาบุญทาทานภำวนำศรัทธำเห็นรูปนำม พระไตร ขนั ธ์ 5 กาหนดอาตา ลักษณ์ มรรคผลนิพพำน / น่ังสมำธิ ขันธ์ 5 กำหนดหมดท้ังตัว นงั่ หนอๆ หมดทว่ั ร่าง อิริยาบถ ปี สตมิ า สมั ปชาโน ใหญ่ น่ังหนอๆ อิริยาบถย่อย ท้องพองหน้าท้อง ภาวนาสังเกตพองหนอ ยุบหนอ เรียกว่า วิปัสสนำ / ลักษณะเพ่งรูปนำม อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ / หายใจเขา้ ทอ้ งพองหนอ หายใจออก หลกั กำร ทอ้ งยุบหนอ นกั ปฏิบตั ิโดยมากปฏิบตั ิใหม้ นั ถูก / สมถะ วิปัสสนา อาการทอ้ งพองยบุ ปรมตั ถ์ รูปนาม / สมาธิเป็นโลกียะ เป็นสมถะ โลกุตระเป็ นปัญญำ โลกียปัญญารู้รูปนาม พระไตรลกั ษณ์ ภาวนาศรัทธาเหน็ ยงั ไม่ถึงพระนิพพานมรรคผล / โลกุตรปัญญา เป็ นภำวนำมยปัญญำ เป็ นอธิปัญญา เจริญ รูปนาม พระไตร วิปัสสนากรรมฐาน / อาตาปี เผากิเลส ที่ร้อนทว่ั / “หนอ” อยู่ในพระไตรปิ ฏก หนอภาษา ลกั ษณ์ มรรคผล พระพุทธเจา้ / ขวำย่ำงหนอ ซ้ำยย่ำงหนอ ดูองค์ 3 อำตำปี (ต้ังใจ) สัมปชำโน (คอยจ้อง) สติมำ นิพพาน (คอยจำ) / “ต้นใจ” คือ ความอยากตอ้ งกาหนดใจก่อน อยากลุกหนอ หัวใจดา้ นซ้าย อยากลุก นงั่ สมาธิกาหนดขนั ธ์ หนอ ลุกหนอ อยากเดินหนอ ขวายา่ งหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ เพิ่ม “ ตน้ ใจ” เขา้ ไป 5 หมดท้งั ตวั นง่ั หนอๆ ทอ้ งพอง หนา้ -วิธีกำรรับกรรมฐำน ถวายสักการะต่อครูอาจารยผ์ ใู้ ห้กรรมฐาน สมำทำนศีล 5 ศีล 8 มอบกาย ทอ้ ง ภาวนาสงั เกต ถวายตวั ต่อพระรัตนตรัย เพื่อเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ขอกรรมฐาน แผ่เมตตา / บวชกายวาจา พองหนอ ยบุ หนอ ใจ เสียสละความสุขมาทาร่างกายปฏิกูลให้อยู่ใน ศีลสมาธิ ปัญญาไม่ทอ้ ถอยพบของจริง / เรียกวา่ “วิปัสสนา” สัมมำทิฏฐิเป็ นศรัทธำ / ผูเ้ จริญวิปัสสนากรรมฐานทุกคนต้องไตรสิกขา ปฏิบัติวิปัสสนำ หายใจเขา้ ทอ้ งพอง กรรมฐำน ดวงตำเห็นธรรม / สอนกรรมฐาน เดินจงกรม สอนใหก้ าหนดทางใจ ไดย้ ิน ไดร้ ส หนอ หายใจออกทอ้ ง ไดก้ ล่ิน ไดค้ ดิ และอิริยาบถยอ่ ย / ยืนหนอ ๆ นกึ ในใจ นกึ ช้ำๆ เอำสติไว้ทีร่ ่ำงกำย ต้งั ใจ คอย จา ยบุ หนอ คอยจับร่างกาย ยืนหนอช้าๆ นึกช้าช้าๆ / ใจคิดกงั วล กำหนดจิต กำหนดที่หัวใจ “คิดหนอ” เสียงเพลงหนวกหู กาหนดไว้ “ไดย้ ินหนอๆๆ” / เวทนาหนอ นอนหนอ / เดินจงกรม ยืนหนอ ขวายา่ งหนอ ซา้ ย เดินขวายา่ งหนอ ซา้ ยยา่ งหนอ ใหเ้ ดินชา้ ๆ ไดอ้ งค์ 3 อาตาปี สมั ปชาโน สติมา คอยจอ้ ง คอยจา ยา่ งหนอ ดอู งค์ 3 อาตาปี (ต้งั ใจ) สัมปชาโน (คอย จอ้ ง) สติมา (คอย จา) “ตน้ ใจ” คือ ความ อยากตอ้ งกาหนด ใจกอ่ น อยากลกุ หนอ หัวใจ ดา้ นซา้ ย วธิ กี ำร วิธีการรับ กรรมฐาน ตอ่ ครู อาจารย์ สมั มาทฏิ ฐิเป็น ศรทั ธา ยืนหนอ ๆ นึกใน ใจ นึกชา้ ๆ เอาสติ ไวท้ ร่ี ่างกาย กาหนดจิต กาหนด ทหี่ วั ใจ “คดิ หนอ” ไดอ้ งค์ 3 อาตาปี สมั ปชาโน สติมา คอยจอ้ ง คอยจา

407 เดินจงกรม เดิน 1 ทุกกระเบียนนิ้ว / กรรมฐานสอนภาคปฏิบตั ิ เดินจงกรม / เดินจงกรม เทา้ เร่ิมยกข้ึน ยา่ งเอาเทา้ ชว่ั โมงแลว้ มา ชา้ ๆๆ หยดุ “หนอ” ขวา ส้นเทา้ และปลายเทา้ ขวาย่างหนอเหยยี ดแนบไวก้ ่อน สันเทา้ ข้ึน ขวา นง่ั ขดั สมาธิ ยา่ งหนอ ใหช้ า้ ๆ ซา้ ยยา่ งหนอ กลบั หนอๆๆ หมุน เดนิ จงกรม เดนิ 1 ชั่วโมงแล้วมำน่ังขัดสมำธิ เกิดเวทนาให้ / เกิดเวทนาใหก้ าหนด “เจบ็ หนอ คนั หนอ ทนไมไ่ ดก้ เ็ กาหนอ” แลว้ กลบั ไปกาหนดทอ้ งพองยุบ กาหนด “เจบ็ หนอ / ปฏิบตั ิทางาน 8 ชว่ั โมง นอน 8 ชวั่ โมง 6 ชว่ั โมงคยุ กบั แม่ท่ีเหลือ 30 นาทีถึง 1 ชว่ั โมงให้ทำทุก คนั หนอ ทนไม่ได้ วัน ก็เกาหนอ” แลว้ -ขา้ พเจา้ ตอ้ งการความสุข เกลียดความทุกขฉ์ นั ใด สัตวท์ ้งั หลายก็เกลียดความทุกขฉ์ นั น้นั / ตน กลบั ไปกาหนด ทากรรมใดไว้ ดีหรือชว่ั ชีวิตไม่ยั่งยืนควำมตำยเป็ นของยั่งยืน / ผใู้ ดปฏิบตั ิตามขอ้ ปฏิบตั ิผนู้ ้นั ทอ้ งพองยบุ เป็ นพระ ไม่ทอ้ ถอยจะพบของจริง / ศรัทธารักษาศีล ทาบุญทาทาน ภาวนา / กำรปฏิบัติเพ่ือ ให้ทาทกุ วนั บำเพญ็ เพมิ่ พูน ศีล สมำธิ ปัญญำ / เจริญบรรลมุ รรค ผล นิพพาน / มีโอกาสใหล้ องปฏิบตั ิ / ละ โทสะ โลภะ โมหะ กิเลสท้งั หมด / ไม่ประมำทในชีวติ ชีวิตไมม่ ีอะไรแน่นอน ผล ชีวติ ไมย่ ง่ั ยืน ความตายเป็ น ของยงั่ ยืน การปฏิบตั เิ พ่อื บาเพญ็ เพมิ่ พนู ศลี สมาธิ ปัญญา ละโทสะ โลภะ โมหะ กิเลส ท้งั หมด ตารางที่ 4.8.9 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “วิปัสสนำเบื้องต้น 2” แนวทางปฏิบตั ิพระธรรมธีรรำชมหำมุนี (โชดก ญำณสิทธิ ) จาแนกตาม สกดั หลกั แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั S9] แนวคิด ประเดน็ คำสอน ปัญญา คอื ความ -การเดินจงกรม รูปแบบการกาหนดเป็นระยะ / ปัญญำ คือ ควำมรอบรู้ตำมควำมเป็ นจริง สุตมย รอบรูต้ ามความ ปัญญำ ต้องเรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ได้ประโยชน์ / แก่นแทศ้ าสนา คือ การเจริญวิปัสสนา เป็นจริง สุตมย มรรคผล นิพพาน ปัญญาวิมุตติ / ทางไปนิพพาน กิเลสดบั ดว้ ยการเจริญวิปัสสนา / วิปัสสนามี ปัญญา ตอ้ งเรียน เฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่าน้นั ใหร้ ู้ ดใู หจ้ า ทาให้ จริง ไดป้ ระโยชน์ -กำหนด “ต้นใจ” ตอ้ งเขา้ ใจสมถะกบั วิปัสสนา ต่างกนั อย่างไร / อธิษฐานธรรม ตอ้ งเอาไวใ้ จ แกน่ แทศ้ าสนา คือ ต้งั ใจไว้ในใจ / สมถะ อารมณ์ 40 อยา่ ง กสิณ 10 ไดฌ้ าน ไดอ้ ภิญญา กิเลสยงั อยู่ พิจารณาซากศพ การเจริญวิปัสสนา เป็นอารมณ์กรรมฐาน อนุสติ 10 พทุ ธานุสติคนไทยนิยม พทุ โธ สัมมาอรหงั นะมะพะธะ ไดเ้ ป็น มรรคผล นิพพาน อุปจาระสมาธิ / สมาธิเจริญกรรมฐานในซ่ึงปัจจุบนั / ทางเดิน 7 เส้นทาง นรก เปรต เดรัจฉาน มนุษย์ ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน / เอำสมถะได้ฌำน ได้บาทวิปัสสนา อภิญญา หลกั กำร มากกวา่ ฌาน -สอบอารมณ์ ผเู้ ป็นครูบาอาจารยต์ อ้ งสอบอารมณ์ / ตำ กำหนดเห็นหนอ มือพลิก ยกหนอๆ ไป กาหนด “ตน้ ใจ” หนอๆ ถูกหนอๆ จับหนอๆ ยกหนอๆ มำกหนอๆ ลงหนอๆ เวลำกินข้ำว อ้ำปำกหนอๆ เคีย้ วหนอๆ อธิษฐานธรรม ต้งั ใจไวใ้ นใจ เอาสมถะไดฌ้ าน ไดบ้ าทวิปัสสนา อภญิ ญา มากกว่า ฌาน วิธีกำร ตา กาหนดเห็น หนอ มือพลิก ยก

408 หนอๆ ไปหนอๆ รสหนอๆ แหลกหนอๆ กำหนด / พูดคุยกบั คนอ่ืน ไม่จาเป็นกาหนดเท่าท่ีควร อย่าใหร้ ่ัว กิเลสเขา้ ถูกหนอๆ จบั มาไดผ้ ลชา้ / นั่งหนอๆ ต้องฝึ ก ยุบหนอ พองหนอ ท้องนูน พองหนอยุบหนอ ตอ้ งฝึ ก ยุบหนอ หนอๆ ยกหนอๆ พองหนอ นง่ั หนอ ถูกหนอ รู้หนอ เพ่ิมระยะไปเพ่ือแกอ้ ารมณ์ฟุ้งซ่าน / เวลานอนกาหนด พอง มากหนอๆ ลง หนอยุบหนอ ถูกหนอเพ่ิม นั่งหนอ ใส่เขา้ ไปแล้วฟุ้งซ่านไม่ตอ้ งใส่ก็ได้ 2-3 ระยะพอ ถ้ามนั หนอๆ เวลากินขา้ ว ฟุ้งซ่านก็ไม่ตอ้ งเอา / เพ่ิมระยะไปทุกวนั เดินระยะ 5 ยกส้นหนอ ยกหนอ ยา่ งหนอ ลงหนอ ถูก อา้ ปากหนอๆ เค้ียว หนอ / เดินจงกรม 6 ระยะ 1) ยกส้นหนอ 2)ยกหนอ 3)ย่ำงหนอ 4)ลงหนอ 5)ถูกหนอ 6)กดหนอ หนอๆ รสหนอๆ มี 6 ระยะ กาหนด ถ้ำพอดีพอหนอ ยบุ หนอ ไม่ต้องเพม่ิ แก้อำรมณ์เพรำะมชี ่องว่ำงฟุ้งซ่ำน / ตน้ แหลกหนอๆ ใจ อยากลุกเดิน นงั่ หนอ เพิ่มเขา้ ไป กาหนด เดิน 3 ระยะ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ เดิน 4 กาหนด ระยะ ยกส้นหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ เดิน 5 ระยะ ยกส้นหนอ ยกหนอ ยา่ งหนอ ลง หนอ เหยียบหนอ / อำนำปำนสติ มีผูเ้ จริญมาก สมถะ วิปัสสนาก็มี กาหนด 8 นัย ติดตามลม นงั่ หนอๆ ตอ้ งฝึก หายใจเขา้ ตน้ ลมอย่รู ิมจมูก กลางลมอยลู่ มหายใจ ปลายลมอยทู่ ่ีสะดือ หายใจออก ตน้ ลมสะดือ ยบุ หนอ พองหนอ ปลายลมจมกู ลมกระทบทอ้ งพองยบุ ลมเขา้ ออกหายใจ / ต้งั ใจมน่ั กาหนดขนั ธ์ 5 รูปนามชดั ทอ้ งนูน -ควำมสงบ ควำมเยือกเยน็ วิธีแก้กเิ ลส / ถา้ ไดฌ้ าน ไมพ่ น้ อุบาย เดนิ จงกรม 6 ระยะ 1) ยกส้นหนอ 2)ยก หนอ 3)ย่างหนอ 4) ลงหนอ 5)ถกู หนอ 6) กดหนอ อานาปานสติ ติดตาม ลมหายใจเขา้ ตน้ ลม อย่รู ิมจมูก กลางลม อยู่ลมหายใจ ปลาย ลมอยู่ทส่ี ะดอื หายใจ ออก ตน้ ลมสะดือ ปลายลมจมกู ลม กระทบทอ้ งพองยบุ ลมเขา้ ออกหายใจ ผล ความสงบ ความเยอื กเยน็ วิธีแกก้ ิเลส ตารางท่ี 4.8.10 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “วิปัสสนำเบื้องต้น 3”แนวทางปฏิบตั ิ พระธรรมธีรรำชมหำมนุ ี (โชดก ญำณสิทธิ ) จาแนกตามแนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั S10] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน -กำหนดรูปแบบกำรฝึ กปฏิบตั ิ วนั ที่ 1 ถึงวนั ที่ 6 เพม่ิ การกาหนด อธิษฐานจิต เดินจงกรมระยะ แนวคิด 1-6 แลว้ นง่ั ใหส้ งบ อธษิ ฐำนจิตสงบให้มำก สมาธิมีกาลงั มาก สมาธิตอ้ งฝึ ก ตอ้ งหาเวลาฝึกให้ มาก ๆ / สอนลงสู่ “สติ” ตวั เดียว / ฝึกสมาธิฝึกไปตามลาดบั / สมถะ วิปัสสนา สมถะหินทบั กาหนดรูปแบบ หญา้ ไดแ้ ค่น้นั จาเป็นตอ้ งตอ่ วิปัสสนา ติดสมถะแกย้ าก เนน้ อิทธิฤทธ์ิ การฝึกปฏิบตั ิ ไป ตามลาดบั -การเจริญวปิ ัสสนาตอ้ งมีอาจารย์ ผใู้ หก้ รรมฐานตามลาดบั พระพทุ ธเจา้ พระอรหนั ต์ พระอานา สอนลงสู่ “สติ” คามี พระสกทาคามี พระโสดาบนั ผทู้ รงพระไตรปิ ฎก ฯ / ฝึ กตำมระบบ เพ่มิ ข้ันตอน เพิ่มเป็ น ตวั เดียว บทเรียน ตำมจำนวนวัน แต่ละวัน ตำมอธิษฐำนจิต / จิตมนุษยบ์ งั คบั ได้ ต้องฝึ กกันจริงๆ / ตถาคตเป็ นเพียงผูบ้ อกทาง บงั คบั ไม่ได้ / ชีวิตคนตายง่าย ควรตอ้ งทาความเพียรต้งั แต่บดั น้ี ทา หลกั กำร ความเพียงกรรมฐาน เป็นผไู้ ม่ประมาท ชีวิตคนเราอยา่ ทาชว่ั ทาแต่ความดี / กรรมฐานตอ้ งมีครู อยา่ ทาเอง / วิปัสสนำเข้ำใจยำก เรียนต้องรู้ ต้องให้รู้ ดูให้จำ ทำจริงๆ / เห็นธรรมกายเป็นสมถะ ฝึกตามระบบ เพิ่ม ข้นั ตอน เพิ่มเป็น บทเรียน ตาม จานวนวนั แตล่ ะ วนั ตามอธิษฐาน จิต จิตมนุษยบ์ งั คบั ได้ ตอ้ งฝึกกนั จริงๆ

409 วิปัสสนาเขา้ ใจยาก กาหนด เห็นหนอๆ ยกข้นึ สู่ไตรลกั ษณ์ / สมถะต่อวิปัสสนาไปนิพพาน ไม่ตอ่ วิปัสสนาไปไม่ได้ เรียนตอ้ งรู้ ตอ้ งให้ ทางเดินคนละอยา่ ง รู้ ดใู หจ้ า ทาจริงๆ -เดินจงกรม 1-6 ระยะ ปฏิบตั ิครบ 6 ระยะ สภาวะ 6 ระยะ ไดผ้ ลปฏิบตั ิ 6 ระยะ / น่ังขัดสมำธิ ต้งั จติ อธษิ ฐำน ว่ำเบือ้ งสูงท่ียังไม่เกิด ขอให้เกดิ ขึน้ ภำยใน 24 ชั่วโมง กาหนดพองหนอ ยบุ หนอ วธิ กี ำร ครบ 1 ชวั่ โมง แลว้ ลกุ เดินจงกรม / อธิษฐาน ใหเ้ ห็นการเกิดดบั ใหม้ าก เดินจงกรม ระยะ 1-6 นงั่ ให้อธิษฐานจิต ขอใหเ้ ห็นการเกิดดบั เพ่ิมระยะการเดินจงกรม 1-30 นาที นง่ั 2 ชว่ั โมง 2-3 วนั นงั่ ขดั สมาธิ ต้งั จติ เดิน 2 ชวั่ โมง 3 ชว่ั โมง ให้สงบ เงียบ ขำดควำมรู้สึกไปเลย เป็ นอปั ปนำสมำธิ / ปฏิบตั ิจริงจงั 24 อธิษฐาน ชวั่ โมง / ขณะจิตนิพพำนเป็ นอำรมณ์ เอำขันธ์ 5 ไปรู้สังขำรขนั ธ์ / สร้างหอ้ งกรรมฐาน / ขอให้ หนทางไปนิพพาน ทาจริง / ฟังปฏิบตั ิ กาหนดหูไว้ ไดย้ ินหนอ ได้ยินหนอ ฟังปฏิบตั ิฟังแลว้ ทาตาม หนทำงไป คือ ขนั ธ์ 5 ตา หู นิพพำน คือ ขันธ์ 5 ตำ หู จมูก ลิ้น กำย ใจ สอนให้กำหนดรู้ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ / ศีล จมูก ลิ้น กาย ใจ สมาธิ ปัญญา ไดย้ ินหนอๆ กาหนดที่หู มรรคอริยสัจ 4 ทำหน้ำท่ี ทุกขสัจจะ ละเอียด รู้ยาก ทา สอนให้กาหนดรู้ ใจ อริยสัจ 4 ปฏิบตั ิเขา้ ใจง่ายไดท้ ้งั หมด / อธิษฐานจิต ไม่ลุกตลอดคืน จิตมนุษยฝ์ ึ กสมาธิ ขอ เหน็ อนิจจงั ทุกขงั ธรรมวิเศษจงเกิด / ลำดับญำณ ภำคปฏิบัติและภำคทฤษฎี สรุป / หนงั สือเอาไปเทียบเคียงดู อนตั ตา เขยี นไวม้ ีอยใู่ นหนงั สือ สมถะ วิปัสสนา / สานกั ต่างๆ เหมือนกนั หรือต่างกนั เทียบเคียงกนั ลาดบั ญาณ -ฌำนสมำบัติ คือ สงบ เงียบ เขา้ ไปนิพพาน ถา้ สงบเงียบต้องมีปัญญา จึงไปนิพพาน / ฌาน ภาคปฏิบตั แิ ละ สมาบตั ิ เงียบมากที่สุด ไม่มีอะไรรบกวน เวทนาเงียบเหมือนคนตาย / ประกอบความเพียร ภาคทฤษฎี ปฏิบตั ิ / ไดอ้ ปั ปนาสมาธิ / น่ัง 24 ชว่ั โมงได้ / นิพพานตดั ภพตดั ชาติ / ความมุ่งหมาย การฟัง เทยี บเคียงดู เขียน ธรรม เกิดบุญเกิดกุศล ชำระกำยกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตายแลว้ เกิดเป็นคน / ฟังเทศน์แลว้ ไวม้ อี ยใู่ นหนงั สือ ไดบ้ ญุ / ตรวจดูผลการปฏิบตั ิ / พสิ ูจน์การปฏิบตั ิไดผ้ ลดีหรือไม่ / เรียนใหร้ ู้ เรียนศึกษาใหจ้ า ทา ใหส้ งบ เงยี บ ขาด ใหจ้ ริง / ปริยตั ิ ปฏิบตั ิ ปฏิเวธ อาศยั ซ่ึงกนั และกนั มีพ้ืนฐาน ปรับประยกุ ตเ์ ขา้ กนั ใหไ้ ด้ ความรู้สึกไปเลย เป็นอปั ปนาสมาธิ ปฏบิ ตั จิ ริงจงั 24 ชว่ั โมง ผล ฌานสมาบตั ิ คอื สงบ เงียบ เขา้ ไป นิพพาน ชาระกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม [9] พระรำชสังวรญำณ (พุธ ฐำนิโย) 4.9.1) ประวตั ิ : พระรำชสังวรญำณ (พธุ ฐำนิโย) พระรำชสังวรญำณ (พุธ ฐำนโิ ย) ระหวา่ งวนั ท่ี 8 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2465 ถึง 15 พฤษภาคม พ.ศ.2542 อายุ 78 ปี ประวัติโดยย่อ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย หรือ พระราชสังวรญาณ เป็ นอดีตเจา้ อาวาสวดั ป่ าสาลวนั อาเภอเมืองนครราชสีมา เป็นพระเกจิอาจารยอ์ ีกทา่ นหน่ึงแห่งดินแดนอีสาน และเป็นลกู ศิษยอ์ งคส์ ุดทา้ ยของ พระครูวเิ วกพุทธกิจ (เสาร์ กนฺตสีโล) ท่านกาพร้าพอ่ แมม่ าต้งั แต่เดก็ และในช่วงวยั เด็ก ทา่ นมกั จะมีสุขภาพที่ แข็งแรง แต่มีนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผูอ้ ื่น และสามารถปฏิบตั ิตนได้อย่างเหมาะสมในขณะอยู่ในเพศ บรรพชิต เป็ นลูกศิษยร์ ุ่นสุดทา้ ยของ หลวงป่ ูเสำร์ กันตสีโล ท่านกาพร้าพ่อแม่มาต้งั แต่เด็ก นามเดิมว่า พุธ อินทรหา ท่านเกิดเมื่อวนั พุธท่ี 8 พ.ศ.2464 ณ หมู่บา้ นชนบท ตาบลหนองญา้ เซ้ง อาเภอหนองโดน จงั หวดั สระบุรี อุปสมบท ในช่วงวยั เยาวท์ ่านไดอ้ อกศึกษาหาความรู้ในโรงเรียนประชาบาลวดั ไทรทอง ท่านได้ เรียนจบช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 จึงไดล้ าออกมาบรรพชาเป็ นสามเณรเม่ือ ปี พ.ศ.2479 เม่ืออายุ 15 ปี ท่ีวดั

410 อินทรสุวรรณ ซ่ึงต้งั อยภู่ ายในหมูบ่ า้ นโคกพทุ รา ตาบลตาลเนิ้ง อาเภอสวา่ งดินแดน จงั หวดั สกลนคร เรียนรู้ ธรรม หลงั จากบรรพชาแลว้ ศึกษาดา้ นปริยตั ิธรรมด้วย และเริ่มรับการฝึ กอบรมดา้ นการปฏิบตั ิวิปัสสนา กรรมฐาน จากพระอาจารยเ์ สาร์เป็นคร้ังแรก พ.ศ.2483 ท่านพระอาจารยเ์ สาร์ ไดพ้ าหลวงพ่อพุธ ไปฝากตวั เป็นศิษยท์ ่านเจา้ คณุ ปัญญาพิศาลเถระ ณ วดั ปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร ปี 2535 ท่านไดร้ ับพระราชทาน สมณศกั ด์ิ เป็นพระราชคณะช้นั ราช ท่านมุ่งมน่ั ในเร่ืองการอบรมการปฏิบตั ิใหก้ บั พระภิกษุสามเณร ศรัทธา ญาติโยม และพุทธบริษทั ท้งั หลายเสมอมา ท่านหวงั ใหท้ ุกคนไดเ้ ขา้ ใจถ่องแทถ้ ึงแก่นแห่งพระพุทธศาสนา สามารถนาไปปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งถูกทางและถูกตอ้ ง ท่ำนเคยเล่ำให้ฟังว่ำ70 ขณะท่ีท่านป่ วยเป็นวณั โรคอยเู่ กือบ 10 ปี น้นั ท่านตอ้ งรักษาพยาบาลตวั เอง ต้งั หนา้ ต้งั ตาปฏิบตั ิธรรม เดินจงกรม นง่ั สมาธิ ภาวนา โดยมุ่งที่จะ พิจารณาดูความตาย โดยคิดว่าก่อนที่เราจะตายน้ี ควรจะไดร้ ู้ว่า ความตายคืออะไร จึงไดต้ ้งั อกต้งั ใจพิจารณา ดูความตาย อยู่เป็ นเวลาหลายวนั ในวนั สุดทา้ ยไดค้ น้ ควา้ พิจารณาดูความตายอยู่ถึง 7 ชว่ั โมง ในตอนแรก เพราะความอยากรู้อยากเห็น ความตายคืออะไร เป็นอาการของกิเลส ในเม่ือถูกกิเลสมนั ปิ ดดงั ดวงใจ ความ สงบใจที่เป็ นสมาธิก็ไม่มี ความรู้แจง้ เห็นจริงก็ไม่มี เร่ิมนั่งสมาธิอยู่ต้งั แต่ 3 ทุ่มจนกระทง่ั ถึงตี 3 จนเกิด ความรู้สึกเหน็ดเหน่ือยแทบจะทนไม่ไหว ในขณะน้ันความรู้สึกทางจิตมนั ผุดข้ึนมาว่าชาวบา้ นชาวเมือง ท้งั หลายเขานอนตายกนั ท้งั น้นั ท่านจะมานั่งตาย มนั จะไดอ้ ย่างไร และพร้อมๆ กนั น้นั ก็เอนกายลงนอน อยา่ งไม่เป็นทา่ พอเอนกายนอนลงไปกก็ าหนดจิตไปพร้อมๆ กนั เมื่อเกิดความหลบั ข้ึนมาจิตกลายเป็นสมาธิ แลว้ จิตก็แสดงอาการตาย คือ วิญญาณออกจากร่างกาย รู้กายที่นอนเหยียดยาวอยู่ แสดงไดร้ ู้เห็นความตาย ลกั ษณะแห่งความตาย ในเมื่อตายแลว้ ร่างก็ข้ึนอืด เน่าเป่ื อย ผผุ งั ไปตามข้นั ตอน ในเม่ือร่างกายท่ีมองเห็นอยู่ น้ัน สลายตวั ไปหมดแลว้ ก็ยงั เหลืออยู่แต่จิตว่าง จิตว่างแลว้ ก็ยงั มองเห็นโลก คือ แผ่นดินในอนั ดบั ต่อไป โลกคือแผ่นดินก็หายไป ยงั เหลือแต่จิตดวงเดียวท่ีสว่างไสวอยู่ มองหาอะไรไม่พบ พอจิตมีอาการไหวเกิด ความรู้สึกข้ึนมา ก็เกิดความนึกคิดข้ึนมาว่า นี่หรือ คือความตาย อีกจิตหน่ึงก็ผุดข้ึนมารับว่า ใช่แลว้ ก็ เป็นอนั วา่ ไดร้ ู้จริงเห็นจริงในเรื่องของความตาย 4.9.2) ธรรมบรรยำยคำสอน : พระรำชสังวรญำณ (พธุ ฐำนิโย) ตารางท่ี 4.9 ขอ้ มลู ธรรมบรรยายเกี่ยวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พธุ ฐำนิโย) ผา่ นช่องทาง YouTube จาแนกตามรหสั รูปภาพ และรายละเอียดแหล่งท่ีมา [รหสั Pu1-10] 70 พระราชสังวรญาณ . ธรรมปฏิบตั ิ และตอบปัญหำกำรปฏบิ ตั ธิ รรม โดยพระรำชสังวรญำณ . มูลนิธิมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั ในพระบรมราชูปถมั ภ์ . พิมพค์ ร้ังท่ี 4 . 2559 . โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลยั : นครปฐม.

411 รหัส รูปภำพ แหล่งท่มี ำข้อมูล Pu1 https://www.youtube.com/watch?v=vc1GKu7o3RA “เทศนำธรรมหลกั ของสตปิ ัฏฐำน4” ความยาว : 59 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 21 ธ.ค. 2012 จานวนการดู : 117,713 คร้งั วนั ท่ีคน้ หา : 3 มกราคม พ.ศ. 2564 https://www.youtube.com/watch?v=OMbDJuOPMgY Pu2 “ฝึ กสมำธิด้วยตนเอง” ความยาว : 14 นาที จานวนการดู : 922,378 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 20 เม.ย. 2018 วนั ที่คน้ หา : 8 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 Pu3 https://www.youtube.com/watch?v=lBm0hJeT3ys “วธิ ีกำรทำ สมำธิ ภำวนำ พทุ โธ” ความยาว : 1 ชวั่ โมง จานวนการดู : 104,729 คร้ัง วนั ที่เผยแพร่ : 29 ต.ค. 2016 วนั ที่คน้ หา : 8 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 Pu4 https://www.youtube.com/watch?v=9TrAVwvYsnc “จิตเพ่งจิต” ความยาว : 59 นาที จานวนการดู : 93,412 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 14 ก.ค. 2017 วนั ที่คน้ หา : 8 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 Pu5 https://www.youtube.com/watch?v=UtQdeKYvZ7E “วิธสี ร้ำงพลงั จติ ” ความยาว : 1 ชว่ั โมง จานวนการดู : 307,504 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 14 ก.ค. 2017 วนั ท่ีคน้ หา : 8 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564

412 Pu6 https://www.youtube.com/watch?v=OaaBP5of12Y “ฐำนกำรภำวนำ ½” ความยาว : 29 นาที จานวนการดู : 34,871 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 15 ก.ค. 2017 วนั ท่ีคน้ หา : 8 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 Pu7 https://www.youtube.com/watch?v=vc1GKu7o3RA “หลกั ของสตปิ ัฏฐำน 4” ความยาว : 59 นาที จานวนการดู : 118,743 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 21 ธ.ค. 2012 วนั ที่คน้ หา : 8 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 Pu8 https://www.youtube.com/watch?v=YXsToeDkZ7M “สร้ำงพลงั งำนทำงจติ ” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 3 นาที จานวนการดู : 212,935 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 8 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 Pu9 https://www.youtube.com/watch?v=NE0o0XbVXZ0 “สตติ ำมรู้จิต” ความยาว : 1 ชว่ั โมง 4 นาที จานวนการดู : 47,155 คร้ัง วนั ที่เผยแพร่ : 20 มี.ค. 2014 วนั ที่คน้ หา : 8 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 Pu https://www.youtube.com/watch?v=-YMGSknjYnc 10 “กำรฝึ กสมำธิภำวนำท่เี ป็ นองค์แห่งณำน” ความยาว : 55 นาที จานวนการดู : 74,736 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 20 พ.ย. 2012 วนั ที่คน้ หา : 8 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564

413 Pu https://www.youtube.com/watch?v=j9S2diICqqg 11 “วิธีกำรฝึ กสมำธิ หลวงป่ ูเสำร์” ความยาว : 59 นาที จานวนการดู : 69,434 คร้ัง วนั ท่ีเผยแพร่ : 10 ส.ค. 2012 วนั ที่คน้ หา : 8 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 จากตารางท่ี 4.9 แสดงขอ้ มูลธรรมบรรยายเกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิของ พระราชสังวรญาณ (พธุ ฐานิโย) ผา่ นช่องทาง YouTube จาแนกตามรหสั รูปภาพ และรายละเอียดแหลง่ ที่มา [รหัส Pu1-11] จานวน 11 คลิปขอ้ มูล ประกอบดว้ ย “เทศนาธรรมหลกั ของสติปัฏฐาน4” “ฝึ กสมาธิดว้ ย ตนเอง” “วิธีการทา สมาธิ ภาวนา พุทโธ” “จิตเพ่งจิต” “วิธีสร้างพลงั จิต” “ฐานการภาวนา ½” “หลกั ของ สติปัฏฐาน 4” “สร้างพลงั งานทางจิต” “สติตามรู้จิต” “การฝึกสมาธิภาวนาที่เป็นองคแ์ ห่งณาน” “วธิ ีการ ฝึ กสมาธิ หลวงป่ ูเสาร์” ผลการศึกษาธรรมบรรยายเก่ียวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระ รำชสังวรญำณ (พธุ ฐำนิโย) ดงั แสดงในตารางท่ี 4.9.1 ถึงตารางที่ 4.9.11 พบวา่ ตารางท่ี 4.9.1 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “เทศนำธรรมหลกั ของสติปัฏฐำน 4” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พธุ ฐำนิโย) สกดั หลกั จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั Pu1] แนวคดิ ประเด็นคาสอน ธรรมะคาสั่งสอน -ธรรมะ คือ กำยกบั ใจ รูปกับจติ / คาส่ังสอนของพระพุทธเจา้ หลกั คาสอน คือ ศีล สมำธิ ปัญญำ พระพทุ ธเจา้ คอื กาย / กำรพิจำรณำขันธ์ 5 มีกำย เวทนำ จิต ธรรม / แนวทางพุทธศาสนา อบรมสติ สัมปชญั ญะ กบั ใจ รูปกบั จติ เป็นศีล สมาธิ วิธีปฏิบตั ิเจริญวิปัสสนาตอ้ งทาความเขา้ ใจ สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน คือ สมาธิ ปัญญา อะไร ทาจิตให้มีความสงบเป็ นสมาธิ เพ่ือรู้แจ้ง เห็นจริงตามสภาวะ ตามความเป็ นจริง / การพจิ ารณาขนั ธ์ 5 มี วิปัสสนากรรมฐาน เป็นความคิดพิจารณา สติสัมปชญั ญะ กาหนดรู้ท่ีจิต คอยดูความคิดทาให้ กาย เวทนา จติ ธรรม สติ ตามรู้ความคิด / วปิ ัสสนากรรมฐาน เป็นความคดิ พจิ ารณา -หลักคำสอนธรรม ศีล สมำธิ ปัญญำ / ส่ิงท่ีเรารู้โดยจิตใจ เรียนธรรมะรู้โดยสภำวธรรม เรียน สติสมั ปชญั ญะ กาหนด ธรรมะ ทาความเขา้ ใจธรรมคาสัง่ สอน เขา้ ใจแจ่มแจง้ ให้รู้เรื่องกำยกับใจ กำย เวทนำ จิต ธรรม / รูท้ ีจ่ ติ ให้สติ ตามรู้ ยดึ หลกั วิชา ยดึ แบบไหน ใหย้ ดึ หลกั ให้มง่ั คง พระตถาคตเป็นเพียงผบู้ อกทางให้เท่าน้นั / 1)สติ ความคดิ ยึด กำรยืน เดิน น่ัง นอน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติทุกลมหำยใจ ให้มีสติ สติระลึกรู้ ลงที่จิตของ เราให้รู้ไวท้ ่ีจิต / บริกรรมภำวนำ พุทโธ สบายแค่น้ี เมื่อทาลงไปจิตสงบไปแลว้ เกิดควำมคิด หลกั กำร ข้ึนมาเหมือนน้าพุ ให้พิจำรณำ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ เป็ นจริงจัง มุ่งเฉยไม่คิดอ่านเป็นจริงจงั / หลกั คาสอนธรรม ศีล สมาธิ ปัญญา เรียนธรรมะรู้โดย สภาวธรรม ให้รู้เร่ืองกายกบั ใจ กาย เวทนา จิต ธรรม

414 สติ ยดึ การยนื เดิน จาเป็ นคิดเร่ืองอะไรให้ความคิดพิจารณากรรมฐาน ความรู้หลกั วิชาการแตกต่างกนั ออกไป นง่ั นอน ดื่ม ทา จาเป็นตอ้ งคิด เกี่ยวกบั วิชาการ “สติ” มำพจิ ำรณำ ทำสติสัมปชัญญะ เอาความคิดเป็นอารมณ์ พูด คิด ใหม้ ีสตทิ กุ กรรมฐาน จัดเป็ นสมาธิ เป็ นสัมปชัญญะ การคิดเป็ นการปฏิบตั ิสมถะ / ปฏิจจสมุปบาท กฎ ลมหายใจ ธรรมชาติ สภำวธรรมที่เรียนรู้ในหลักไตรลักษณ์ / พระไตรลกั ษณ์ ความคิดเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา เป็นอนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา อนิจจงั ความไม่เท่ียง ทุกขงั ความทนอยไู่ ม่ได้ อนตั ตาคือ บริกรรมภาวนา พทุ โธ ความเป็นธรรมชาติ โดยสภาวธรรมที่พึงเป็นไป / เกิดความคดิ ให้ พิจารณา อนิจจงั ทกุ ขงั -สภำวธรรม ศาสตร์ความรู้สิ่งท่ีเรียนรู้โดยจิตใจ รู้โดยสภำวะ เรียกว่ำ “ธรรมะ” การเรียนรู้คาสงั่ อนตั ตา เป็นจริงจงั เอา สอนเขา้ ใจแจ่มแจง้ กำรเรียนรู้ธรรม คือ กำรเรียนรู้เร่ืองกำยกับใจ / สำยกำรปฏิบัติสมถะ พุท ความคดิ เป็นอารมณ์ โธ สัมมาอรหงั ยบุ หนอพองหนอ ถูกตอ้ งใชก้ ารไดท้ ้งั น้นั เอำจริงเพยี งอย่ำงเดียว แบบใชก้ าร กรรมฐาน ไมไ่ ดเ้ มื่อไม่แน่ใจ จะเอำแบบไหนก็ได้ คำบริกรรมไหนกไ็ ด้ท้ังน้ัน แมจ้ ะขณะน้ีคิดถึงคนท่ีบา้ น เอาเป็ นคำบริกรรมภำวนำเป็ นอุบำย ทำให้จิตสงบเอาจิตให้สงบเป็ นสมาธิได้เหมือนกัน / “สติ” มาพิจารณา วิธีการเดินมาทางานกาหนดสติรู้ท่ีจิต ต้ังใจทำสติรู้ท่ีจิต จิตเป็นผสู้ ่ังให้เดิน จิตเป็นผูส้ ่ังใหห้ ยดุ ทาสตสิ มั ปชญั ญะ จติ เป็ นผู้ส่ัง จติ ผ้รู ู้ชัดผ้สู ่ัง ในชีวติ ประจาวนั ฝึ กหดั สติรู้ตำมจริง รู้ตามความเป็นจริงไม่เสียเวลา นงั่ สมาธิ ไม่เขา้ ห้องกรรมฐาน ทำสติทุกลมหำยใจ ปฏิบตั ิเพียงเท่าน้ัน จิตสงบตาม / สติตามรู้ สภาวธรรมที่ ตามดู ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทานอาหาร ด่ืม ทา พูด คิด หลบั จิตสงบอยู่ในสมำธิมีความ เรียนรู้ในหลกั ไตร สว่างไสว ฝึ กทาสติ ตามรู้ความคิดไปจนกว่านอนหลับ นอนหลบั ไป ก่อนหลับ จิตสะสม ลกั ษณ์ ภายในสงบ / ปฏิบัติสมถะแบบสำกล ไม่มีอุปสรรค เอำงำนเป็ นอำรมณ์ เขียนหนังสือ เป็ น อารมณ์ เอำสติสัมผัสเขา้ ใหช้ ดั เจนเป็นการปฏิบัติทุกขณะจิต ทาสติตามยนื เดิน นง่ั นอน และ วธิ ีกำร อิริยาบถอ่ืนๆ / วธิ กี ำร “องค์บริกรรมภำวนำ” ใหม้ ากนง่ั สมาธิ แลว้ นกึ ในใจท่องบริกรรม คาถา อนั ใด พุทโธ เป็นตน้ ก็ได้ อะไรก็ได้ ท่ีท่ำนถนัด ใจอยู่กับ “พุทโธ” ตลอดเวลำ 24 ชั่วโมง ท่อง สภาวธรรม “พุทโธ” จนรู้สึกว่า ท่องพุทโธโดยไม่ต้งั ใจ ตลอดแลว้ ใจปล่อยใหท้ ่องพุทโธอยอู่ ยา่ งน้ี ใจท่ีมี ศาสตร์ความรู้ สิ่งรู้ ยึดอย่างเหนียวแน่น เอาความคิดที่วุ่นวายมารวมอยู่จุดเดียวคือ “พุทโธ” / จิตอยู่กับพุทโธ ให้ โดยจิตใจ โดย องค์ฌำน วิตก วจิ ารณ์ ปี ติ สุข เกิดข้ึนสมาธิย่อมเกิดข้ึน จิตอย่กู ับพุทโธท้ังตัวสติตำมรู้ไปเร่ือยๆ สภาวะ ทาสติตามรู้ไปเรื่อยๆ การงานไปนึกอยใู่ นชีวิตประจาวนั / นึกอะไร ปล่อยใหค้ ดิ ไป ทาสติตามรู้ ไป / สองมิติ ควำมคิด คิดไป สติตำมรู้ตำมไปไม่หยุด / จิตท่อง “พุทโธ” จุดเดียวไดอ้ งคฌ์ าน สายการปฏิบตั ิ สมาธิยอ่ มเกิดข้นึ ทดสอบท่องคาถา “พุทโธ” จิตอยกู่ บั พุทโธ ต้งั สติตามรู้ไปเรื่อยๆ การงานให้ สมถะ เอาจริงเพียง นึกอยู่ในชีวิตประจาวนั นึกถึง ทาสติตามรู้ไป / สติมำพจิ ำรณำทำสติสัมปชัญญะ เอำควำมคิด อยา่ งเดียว เป็ นอำรมณ์กรรมฐำน / โลกฐานแห่งการฝึ กจิต กายในกาย ระลึกสุขทุกข์ เวทนา ใจทาจิตคิด อ่าน จิตกายเป็นหลกั เอาจิตมาพิจารณาอารมณ์จิตสุข ธรรมเป็นอุปนิสัย การปฏิบตั ิจิตใจชดั ใน คาบริกรรมภาวนา ธรรมานุปัสสนา / หลบั ตา กำหนดจิต ลงไปรู้ทันมีกำย มีสติระลึกรู้ สุข ทุกข์ ที่กำยเป็ นเวทนำ เป็นอุบาย ทาให้จิต สงบ ต้งั ใจทาสติรู้ที่จิต จิตเป็นผสู้ ่ัง จิตผรู้ ู้ ชดั ผสู้ ั่ง ฝึกหดั สตริ ู้ตามจริง ทาสติทกุ ลม หายใจ ปฏบิ ตั สิ มถะแบบ สากล เอางานเป็น อารมณ์ เอาสติ สมั ผสั ปฏิบตั ทิ ุก ขณะจิต วิธีการ “องค์ บริกรรมภาวนา” นึกในใจทอ่ ง บริกรรม อะไรก็ ได้ ท่ถี นดั ใจอยกู่ บั “พทุ โธ” ตลอดเวลา 24 ชว่ั โมง จิตอยกู่ บั พทุ โธ ท้งั ตวั สติตามรู้ไป เร่ือยๆ ความคดิ คดิ ไป สติตามรู้ตามไปไม่ หยดุ

415 สติพิจารณาทา กำหนดคิดอ่ำน เรียกว่ำ จติ ตำนุปัสสนำ ความหงดุ หงิดปฏิบตั ิทางานเป็นธรรมานุปัสสนาสติปัฏ สติสมั ปชญั ญะ เอา ฐาน / ธรรมโอสถ อาศยั ความเชื่อมน่ั ยึดจิตพลังจิต เป็ นสมำธิ อุปจำรสมำธิ ส่งกระแสจิต ตรง ความคิดเป็ น รักษำพลังจิต อุปจำรสมำธิ สว่างสงบ รักษาโรคของตวั เอง ของผูอ้ ่ืนได้ เพ่งกระแสจิต สงบ อารมณ์กรรมฐาน สว่างมองเห็นในร่างกายคน แผ่เมตตาให้ตรงน้ันมากๆ ค่อยๆ หายไป ใช้พลังงำนสมำธิรักษำ กาหนดจติ ลงไป โรค โรคภยั ไขเ้ จบ็ หายไป ไม่ทานยา / ทาสมาธิ จิตสงบนิ่ง สวา่ ง เอำพลังจติ มองในกำย มองเห็น รู้ทนั มีกาย มีสติ อวัยวะ ทกุ ส่วนรักษาใหห้ ายได้ ถา้ ไมใ่ ช่โรคกรรม / นอนกาหนดจิต ดูลมหายใจเบาๆ ไปเห็น / ระลึกรู้ สุข ทุกข์ ที่ กำหนดกำรพจิ ำรำณำกำยคตำสติ กำยเป็ นตัวต้งั เอำสตริ ะลึกอยู่ทก่ี ำย ผม ขน เลบ็ กระดูก นึกที กายเป็ นเวทนา ละอาการ ตามสติและจิตสงบลงเป็นสมาธิ ไดฌ้ านไดญ้ าณ ต้งั ใจระลึกอยใู่ นกาย ไดพ้ ลงั งานได้ กาหนดคดิ อา่ น สติ สติรู้ระลึกเพม่ิ พลงั งาน / ใหก้ ำหนดจิต เพ่งหน้ำอก หำยใจเข้ำออก ฝึกถึงกระดูก เพง่ หนา้ อก เรียกว่า จติ ตานุปัสส จอ้ งอยู่ตรงน้นั มองเห็นกระดูกท่ีหน้าอก / พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กรรมฐาน 5 อย่าง นา เจริญกำยคตำสติ ได้สติชัด สมาธิเกิดไดค้ วามปกติของจิต ศีล สงบน่ิง จิตปกติไม่หวน่ั ไหวสิ่ง ยึดจิตพลงั จิต เป็น ตา่ งๆ / สติมีพลงั ปฏบิ ตั ิ จิตโดยกายคตา ไดม้ ีสติเป็นหลกั เจริญกายคตาสติ ไดส้ ติเด่นชดั สมาธิ สมาธิ อปุ จารสมาธิ เกิดได้ จิตปกติไมห่ วนั่ ไหวต่อส่ิงต่างๆ / ส่งกระแสจติ ใชพ้ ลงั งานสมาธิ -รักษำศีล 5 ให้บริสุทธ์ิ เกิดประโยชน์กบั ชีวติ ประจาวนั เคยฝึกสมาธิแลว้ ใชส้ มาธิเกิดประโยชน์ รักษาโรค เอาพลงั จติ กบั ตวั เอง / ส่ิงรู้ของจิตคือ ส่ิงระลึกของสติ จิตใจอำรมณ์ให้เกิดควำมสุข อำศัยกำยกับใจ / เรา มองในกาย มองเหน็ ทุกขเ์ พราะ ขาดสติ สัมปชญั ญะ ไม่รู้ตวั ตามกฎธรรมชาติ อนิจจงั ทุกขงั ไม่รู้จิตใจ ขาดสติ / อวยั วะ ท่านปฏิบตั ิใหไ้ ดส้ ติปัญญา แก้ปัญหำชีวิตเลกิ เชื่อคนอื่นๆ ให้เชื่อตัวเอง / กาหนดมองเห็นไดง้ ่าย กาหนดการพิจารณา สติและสัมปชัญญะ มีสมถรรภาพ มีพลังงานเข้มแข็ง ความม่ันใจเพ่ิมพลังงาน/ รู้กำร กายคตาสติ กายเป็น เปลย่ี นแปลง อนจิ จงั ทกุ ขัง อนัตตำ อารมณ์เกิดข้ึน ภาวะยนิ ดี ยนิ ร้าย สุขทกุ ข์ เกิดข้นึ กบั ตวั ต้งั เอาสติระลึก จิต มีสติสัมปชญั ญะ / ทุกขอริยสัจ ได้ควำมรู้ปรำกฏแก่จิต รู้ธรรมเห็นธรรมตามความ อยทู่ ก่ี าย เจริญกายค เป็ นจริง / ให้พิจารณาความตาย เรามีความตายเป็ นธรรมดาไม่ล่วงพน้ ความตายไปได้ / ตาสติ ไดส้ ติชดั การปฏิบตั ิเกิดจิตปรากฎ ศีลอตั โนมตั ิ เกิดท่ีใจ “สุตะ” หมายถึง จิตมีปัญญา รู้ในจิต รู้สึก กาหนดจติ เพง่ แต่วา่ อาศยั เป็นส่ิงรู้ เป็นส่ิงระลึก รู้แจง้ ขอ้ เทจ็ จริง รู้แลว้ ปลอ่ ย หนา้ อก หายใจเขา้ ออก ผล รกั ษาศลี 5 ให้ บริ สุทธ์ ิ สิ่งรู้ของจิตคือ ส่ิง ระลึกของสติ จิตใจอารมณใ์ ห้ เกิดความสุข อาศยั กายกบั ใจ ปฏิบตั ใิ หไ้ ด้ สตปิ ัญญา แกป้ ัญหา ชีวิตเลิกเช่ือคนอ่นื ๆ ใหเ้ ช่ือตวั เอง ทกุ ขอริยสัจ ได้ ความรู้ปรากฏแก่จิต รูธ้ รรมเห็นธรรม ตารางที่ 4.9.2 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “ฝึ กสมำธดิ ้วยตนเอง” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พุธ ฐำนิโย) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั Pu2] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด -สติระลึกในกำย เวทนำ จิต ธรรม เป็ นธรรมะโดยธรรมชาติ เม่ือ กาย เวทนา จิต ธรรม การ สติระลึกในกาย ปฏิบตั ิสมาธิ ควรเป็ นไปตำมหลกั โดยธรรมชำติ ธรรมะท่ีเรียนรู้ เป็ นธรรมะเป็ นส่ิงรู้ของจิต เป็ น เวทนา จิต ธรรม สิ่งระลึกของสติ / กำยคตำสูตร จิตรู้เห็นทั่วในร่ำงกำย มีหนังหุ้มสุดรอบ เต็มไปดว้ ยของไม่

416 เป็ นไปตามหลกั สะอาด เกสา (ผม) โลมา (ขน) นขา (เล็บ) ทตั ตา (ฟัน) ตโจ (หนงั ) มงั สัง (เน้ือ) ฯลฯ / ต้งั ใจจริง โดยธรรมชาติ ปัญญาอบรมสมาธิ ใชป้ ัญญาแบบสติปัญญา ต้งั ใจคิดเอง พิจารณาเอง พฒั นารูปนาม น้อม ไปสู่ไตรลกั ษณ์ อนจิ จัง ทกุ ขงั อนตั ตำ คดิ ของคดิ เอง / เรียนรู้ เป็น ธรรมะเป็ นส่ิงรู้ -กำยเป็ นส่ิงรู้ของจิต การปฏิบัติควรนึกสติให้รู้อยู่กับกำย เป็ นเรื่องชีวิตในปัจจุบนั อำรมณ์ใน ของจิต เป็นส่ิง ปัจจบุ นั จนสามารถระลึกรู้เทา่ ทนั ปัจจุบนั / กายใจเป็นธรรมะ สถานการณ์และสิ่งแวดลอ้ มธรรม ระลึกของสติ กายกบั ใจ / ต้ังใจปฏิบัติตำมแบบแผนตำรำ ครูบำอำจำรย์ / ไม่ยึดวิธีกำรเกินไป กาหนดรู้จิต ตนเอง เฉยๆ / นิโรธสมาบตั ิ ฐำนสร้ำงพลังจิต กำหนดโลกียสุขสู่ โลกุตระ ต้งั ใจกาหนดลม หลกั กำร หายใจ กาหนดรู้ จิตหยดุ คดิ แลว้ ดูลมหายใจ / ทุกขอริยสัจ ที่พระพุทธเจา้ ตรัสรู้ทุกข์ จิตรู้กาหนด ทุกข์ เกิดดบั นอกจาก ทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจาก ทุกข์ ไม่มีอะไรดบั ทุกขเ์ ท่าน้ัน แลว้ จะรู้ กายเป็ นส่ิงรู้ของ ความจริง “สิ่งใดเกิดขึน้ เป็ นธรรมดำ สิ่งน้ันดับไปเป็ นธรรมดำ” ดวงตำเห็นธรรมเป็ นไปตาม จิต ปฏบิ ตั ิควรนึก ธรรมชาติของสมาธิ / จิตเข้ำมำรู้กำย ทำสมำธิ อำศัยคำบริกรรมภำวำนำเป็ นหลัก สมาธิเกิด จิต สติใหร้ ูอ้ ยกู่ บั กาย ปฏิบตั ิไปเองในเบ้ืองปลายเป็ นอุปจำรสมำธิ ได้ฌำนได้ญำณ สมาธิมุ่งม้นั มีทุกลมหายใจ ตลอด ต้งั ใจปฏบิ ตั ิตาม อิริยาบถ / พละ 5 สถานที่รวมอริยมรรค รู้อยู่ในส่ิงเดียวคือ กำย ฐำนสร้ำงพลังจิตและสร้ำงพลัง แบบแผนตารา ครู แห่งสติปัญญำ จิตสงบละเอียด เขา้ ไปสว่าง / อรูปฌำน คือ ฌำนไม่มีรูป อากาสานัญอายตนะ บาอาจารย์ ไมย่ ดึ วิญญาณญั จายตนะ อากิญจญั ญายตนะ เนวสญั ญานาสัญญายตนะ วธิ ีการเกินไป ฐานสร้างพลงั จิต -วิธีกำรภำวนำพุทโธเป็ นวิธี สัมมาอรหนั ตเ์ ป็นวิธี ยุบหนอพองหนอเป็ นวิธีกำร เม่ือปฏิบตั ิตาม กาหนดโลกียสุขสู่ วิธีกำรจิตคล่องตัวตำมวิธีกำร / กายาคตาสติ พิจารณารูป เป็ นวิธีการ / การปฏิบตั ิตามวิธีการ โลกตุ ระ ภำวนำพุทโธ เป็นตน้ จิตสงบ มีความสุข เป็นหน่ึง เอกคั คตา จิตมี วิตก วจิ ารณ์ ปี ติ สุข เอกกคั ตา ทกุ ขอริยสจั รมณ์ / มีบริกรรมภาวนาอยู่ มีสติรู้พร้อม กายเบา จิตเบา มีความสงบ มีความเป็นหน่ึง จิตดำเนิน กาหนดทกุ ข์ เกิด อย่ใู นสมำธนิ ำนๆ ช่ัวโมง เป็ นกำรทำสมำธิได้ปฐมฌำน / ปฐมฌำน มอี งค์ 5 ได้แก่ วติ ก วจิ ำร ปี ติ ดบั ไม่มอี ะไรเกิด สุข เอกัคตำ (อำรมณ์เป็ นหน่ึง) / จิตเกิดปี ติ ความสุข ทิ้งพุทโธไปอย่ำงอ่ืน ปล่อยให้ไปตำม นอกจาก ทุกข์ ไม่ ธรรมชำตขิ องจิต จิตสงบละเอียดเขา้ ๆ สงบและปี ติ เกิดเป็นความสุข ปี ติเกิด จิตสงบเขา้ ละเอียด มอี ะไรดบั ปี ติหาย ความสุขเจือจาง ในที่สุดความสุขหาย ร่างกายหายไปดว้ ย / จิตเดินไปสู่อัปปนำสมำธิ สิ่งใดเกิดข้นึ เป็น หรือเรียกว่ำ “ฌำน 4” / ความเป็นไปของจิต จิตสงบละเอียด จนร่ำงกำยตัวตนหำยไปหมด ทุก ธรรมดา สิ่งน้ันดบั ส่ิงทุกอยา่ งหายไป เหลือจิตดวงเดียว นงั่ สว่างเป็นอารมณ์ / สติเป็นจิตเอาสติ สวา่ งเป็นอารมณ์ ไปเป็ นธรรมดา ความสวา่ งของจิตเป็นอารมณ์ เป็น “รูปฌาน” จิตยดึ ความสวา่ งอยู่ / จิตยดึ อยใู่ นอารมณ์ ความคิด ดวงตาเหน็ ธรรม ปล่อยให้คิด รู้สึกกำยเบำ จิตเบำ กาหนดรู้อยูท่ ่ีจิตไม่หยุด เกิดดบั จิตเป็ นผู้คิด สติเป็ นผู้กำหนดรู้ จติ เขา้ มารู้กาย ทา สักแต่ว่ำ “คิด” คิดแล้วปล่อยว่ำงไป สักแต่ว่า “คิด” คิดแลว้ ปล่อยวางไป ไม่สาคญั มน่ั หมายวา่ สมาธิ อาศยั คา บริกรรมภาวานา เป็ นหลกั อปุ จารสมาธิ ได้ ฌานไดญ้ าณ วิธกี ำร วธิ ีการภาวนา พทุ โธ สมั มาอรหัน ยบุ หนอพองหนอ เป็นวิธีการ วิธีการ จติ คล่องตวั ตาม วิธีการ ภาวนาพุทโธ จติ สงบ ปฐมฌาน มีองค์ 5 วิตก วิจาร ปี ติ สุข เอกคั ตา (อารมณ์ เป็ นหน่ึง) จิตเดินไปสู่อปั ป นาสมาธิ เรียกว่า “ฌาน 4” จติ เป็นผคู้ ิด สติ เป็นผกู้ าหนดรู้ สกั แตว่ ่า “คิด” คดิ แลว้ ปลอ่ ยว่างไป

417 จติ สงบละเอยี ด จน เป็นอะไร จิตคิดไปสุด จิตตัดกระแสไปสู่ควำมสงบน่ิง เป็ นไปสู่อัปปนำสมำธิ เช่นเคย สงบและ ร่างกายตวั ตน น่ิงไป จิตไหวตวั ออกมา มีกายเทา่ น้นั “อ๋อควำมคดิ ” เป็นการบริหารจิต ผอ่ นคลายความเจ็บปวด หายไปหมด ผ่อนคลายความตรึงเครียด สภาวะเครื่องหมาย อะไรไม่เที่ยงเป็ นอนัตตำ ความคิดเป็ นอารมณ์ เกิดความยินดียินร้าย เป็ นกิเลสก่อภพก่อชาติตรงน้ี / จิตสงบควำมสุข “พุทโธ” หำย นกั สอน จิตคิดไปสุด จติ ตดั สมาธิท้งั หลายวา่ จิตไม่นึก “พทุ โธ” ไปคดิ อยา่ งอื่น ท่านใหถ้ ึงมาหา “พทุ โธ” จิตผภู้ าวนาเริ่มตน้ กระแสไปสู่ความ ดูอยทู่ ่ีเริ่มตน้ / จติ คิดถงึ “พทุ โธ” ทิง้ “พทุ โธ” ไปคดิ ถึงเรื่องอื่น ปล่อยให่จติ คิดไป ไมม่ ีความสุข สงบน่ิง เป็นไปสู่ ดึงกลบั มา “พุทโธ” จิตทิ้ง “พุทโธ” ไปคิดส่ิงอ่ืน ข้ึนมา แต่มีความสุข ปล่อยให้จิตคิดไป คิดไป อปั ปนาสมาธิ เหนือใต้ โลกธรรม บุญบาป กุศลอกุศล ปล่อยให้คิดไป แต่ให้มีสติรู้ๆๆ ไป เม่ือจิตถอดออกจาก สมาธิยอ้ นข้ึนมามีกายเทา่ น้นั / จติ สงบเป็ นสมำธิ จะยกจิตขึน้ สู่วปิ ัสสนำ จิตสงบน่ิงเป็นสมาธิจน “อ๋อความคดิ ” เป็น ตวั หาย จิตถอนจากสมาธิอนั ละเอียดมาแลว้ มีกายเทา่ น้นั ควำมรู้ควำมคิดอำจเกิดเป็ นน้ำพุ ปลอ่ ย การบริหารจิต ใหค้ ิดไป ดำเนินไปอัตโนมัติ หากไม่มีจิตตามรู้อตั โนมตั ิ ปลอ่ ยใหจ้ ิตตามรู้ รู้โดยความต้งั ใจ หรือ อะไรไม่เทย่ี ง สมาธิ ในทางท่ีเกิดปัญญายงั ไม่เขม้ แขง็ ถา้ เขารู้กาหนดรู้ / จติ สว่ำงพุ่งออกไปทว่ั ร่ำงกำย เห็นผม ความคดิ เป็น ขน เล็บ หนงั ในร่างกายมองเห็นปอดสูดลมหายใจเขา้ ออก มองเห็นหัวใจสูบฉีดโลหิตเป็ นไปใน อารมณ์ ส่วนร่ำงกำย ต่ำงๆ ของร่ำงกำย มองเห็นอวัยวะต่ำงๆ ทำหน้ำท่ีร่ำงกำยสมบูรณ์ / ลมหายใจเขา้ ลมหายใจออก หายใจเขา้ ยาวละเอียด จิตรู้อยเู่ อง โดยอตั โมนตั ิ เป็นผรู้ ู้ ตอ้ งรู้แจง้ ชดั เจน ในสิ่งที่รู้ จติ สงบความสุข ของแท้ จิตรู้เห็นตามเป็นผรู้ ู้ ผดู้ ู อยกู่ ็รู้ตามความจริงของลมหายใจ ส้นั ยาว หยาบละเอียด / สติอยู่ “พทุ โธ” หาย ดึง กับลมหำยใจต้ังมั่นอยู่กับลมหำยใจ พยำยำมดูเฉยๆ อย่ำไปบังคับจิต ข่มจิต ใหอ้ ยใู่ นความสงบ กลบั มา “พทุ โธ” อยา่ งไปบงั คบั จติ ทงิ้ ลมหำยใจปล่อยให้คิดไป จิตไมห่ ยดุ คดิ ปล่อยใหค้ ดิ ไปเร่ือยไป / จิตมองเห็น จิตทง้ิ “พุทโธ” ไป ท้งั หมด จิตนิ่งสว่าง ท่ามกลางมองเห็นทุกส่ิงส่วนในร่างกาย จิตดาเนินอยู่ข้นั สมถะกรรมฐาน คิดส่ิงอน่ื ดาเนินจิตมน่ั คง กำหนดรู้ในอำกำร 32 เป็ นสมำธิท่ีเป็ นเองโดยธรรมชำติ ความรู้ความเห็นเป็น ลอ่ ยใหค้ ิดไป แต่ เองโดยธรรมชาติ สมาธิก็ธรรมชาติ อารมณ์ก็ธรรมชาติ / จิตรู้อยู่ภายในกาย ดาเนินอยู่ สติมีฐาน ให้มีสติรูๆ้ ๆ ไป ท่ีต้งั อยา่ งมนั่ คง จิตรู้อวัยวะอำกำร 32 ครบถ้วน ฐำนท่ีต้ัง ฐำนสร้ำงพลังจิต ฐานต้งั พลงั จิตและ เมือ่ จิตถอดออก ปัญญา เป็นสิ่งรู้ของสติ พลงั ธรรมชาติของจิต เป็นพลงั นามธรรม สัมผสั แนบแน่นสมาธิมน่ั คง / จากสมาธิยอ้ น ฐานสร้างพลงั จิตและสร้างพลงั แห่งสติปัญญา จิตสงบละเอียดเข้ำไปส่ องสว่ำง ไม่ได้นึกถึง ข้ึนมามกี ายเท่าน้นั ร่างกาย ปล่อยกำยหำยไป ย้อนไปสู่อัปปนำสมำธิ ควำมไม่มีตัวตนอีกคร้ัง / สมาธิเกิดกาหนดรู้ จติ สงบเป็นสมาธิ ตามสมาธิ หลกั ปฏิบตั ิพุทโธ ยบุ หนอ สัมมาอรหัง อำรมณ์จิต เป็ นส่ือนำจิตไปสู่ควำมสงบเป็ น จะยกจิตข้นึ สู่ สมำธิ / ทาสติระลึก หลักกำรทำสมำธิ คือ ทำจิตให้มีสิ่งรู้ / สมาธิระเอียดลงไป จิตละเอียดลงไป วิปัสสนา บรรลุฌำน ควำมคิดปัญญำเกิดอัตโนมัติ ทุกอยา่ งพร้อม สมาธิไล่ตามจิต จิตละเอียดลงไปหลาย เป็น ผู้รู้ ผ้ตู ่ืน ผู้เบกิ บำน / ปฐมฌำน กาหนดรู้ลมหายใจ ทุกสิ่งจดจอ้ งอยลู่ มหายใจ จิตรู้อย่ทู ไี่ หน จติ สวา่ งพงุ่ ออกไป สตอิ ย่ทู น่ี นั่ จิตเป็นหน่ึง / ธรรมชาติจิต รู้สึก รู้สึก รู้คดิ / ทวั่ ร่างกาย มองเห็นหัวใจสูบ ฉีดโลหิตเป็ นไป ในส่วนร่างกาย ตา่ งๆ ของร่างกาย มองเหน็ อวยั วะ ตา่ งๆ ทาหนา้ ท่ี ร่างกายสมบูรณ์ กาหนดรูใ้ นอาการ 32 เป็นสมาธิทีเ่ ป็น เองโดยธรรมชาติ จิตรู้อวยั วะอาการ 32 ครบถว้ น ฐาน ทตี่ ้งั ฐานสรา้ งพลงั จิต ฐานต้งั พลงั จติ และ ปัญญา เป็นส่ิงรู้ ของสติ พลงั ธรรมชาติของจติ อารมณจ์ ิต เป็นสื่อ นาจิตไปสู่ความ สงบเป็ นสมาธิ หลกั การทาสมาธิ คือ ทาจติ ใหม้ ีส่ิงรู้ จิตละเอียดลงไป บรรลุฌาน ความคิดปัญญาเกิด อตั โนมตั ิ

ผล 418 รูไ้ ดว้ ่า อะไรดี กาหนดหมายรู้ได้ว่ำ อะไรดีอะไรช่ัว อะไรเป็ นบุญเป็ นบาป อะไรเป็ นคุณธรรม / ความรู้คิด อะไรชว่ั สติปัญญา ภาวตณั หา วภิ าวตณั หา ควำมทุกข์ สุข ย่อมปรำกฏแก่ผ้ปู ฏบิ ัติ จิตท่ีมีสติสัมปชญั ญะ / ความทุกข์ สุข ตัดกระแสอาสวกิเลส พิจำรณำสติสัมปชัญญะมีพลังงำน / จิตสงบในระดับอุปจารสมาธิ ยอ่ มปรากฏแก่ผู้ ความคดิ และความสงบ เกิดข้ึน ปล่อยใหส้ ติรู้ไป สงบลงเป็นสมาธิ ปฏิบตั ิ จติ ทีม่ ี สตสิ ัมปชญั ญะ พจิ ารณา สติสัมปชญั ญะมี พลงั งาน ตารางท่ี 4.9.3 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “วธิ กี ำรทำ สมำธิ ภำวนำ พทุ โธ” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พุธ ฐำนิโย) สกดั หลกั จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั Pu3] แนวคดิ ประเดน็ คำสอน ฝึกหดั นอ้ มกาย -บริกรรมภำวนำ สำเร็จ ผบู้ ริกรรมภาวนาสงบนิ่ง แบบสมาธิบ่อยๆ ฝึกหดั นอ้ มกาย กำยคตำสติ กายคตาสตแิ บบ แบบปฏิบตั ิ สติปัฏฐำน 4 สติกำหนดรู้ตำมกำย ทาจิตเป็ นสมาธิดี / ทุกส่ิงทุกอย่ำงในโลกเป็ น ปฏบิ ตั ิ สติปัฏ สภำวธรรม สถานการณ์เป็ นเคร่ืองปรุงแต่งจิต เครื่องระลึกของสติ / บริกรรมภาวนาสาเร็จ ผู้ ฐาน 4 สติ ภาวนาสงบนิ่ง แบบสมาธิบ่อยๆ ฝึ กหัดน้อมกำย กำยคตำสติแบบปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 สติ กาหนดรู้ตามกาย กาหนดรู้ตามกาย ทาจิตเป็นสมาธิดี / ทุกสิ่งในโลกเป็นสภาวธรรม สถานการณ์เป็นเครื่องปรุง ทาจิตเป็ นสมาธิดี แต่งจิต เคร่ืองระลึกของสติ / สมถะ 40 เป็ นอุบำยให้จิตสงบเป็ นสมำธิ ยึดพุทโธ ยึดยุบหนอ ทุกส่ิงทกุ อยา่ ง พองหนอ จิตเป็นผกู้ ่อเป็นผสู้ ่ังสม ความดีความชวั่ กศุ ลและอกศุ ลไวใ้ นจิต ในโลกเป็ น สภาวธรรม -ธรรมะเป็ นของเรำ หมำยถึง สภาวธรรมท่ีมีอยู่กบั ทุกคน กายกบั ใจ เป็นธรรมะ เรามีกาย มีใจ สถานการณเ์ ป็น เป็นสมบตั ิ / หลักศีล 5 ประกับควำมปลอดภัย ควบคุมความประพฤติ ปฏิบตั ิทางกาย วาจา อยู่ เคร่ืองปรุงแตง่ เย็นเป็ นสุข / ทำสมำธิถูกต้อง สนับสนุนวิชำกำรที่เรำเรียนมำ สมาธิเป็ นอุปกรณ์ทางานที่ จิต เครื่องระลึก รับผิดชอบ สมาธิสนบั สนุความสาเร็จ / จิต ติดกับคำว่ำ “พุทโธ” มำบริกรรมภำวนำ จิตเป็ น ของสติ สมาธิคาบริกรรมทวั่ ไป จิตปล่อยวาง จิตดวงเดียวเป็ นอิสระ ฝึ กเป็ นอิสระ ทรงตวั ปกติภายใน เป็ นอยู่ในสมาธิ จิตดวงเดียว / จิตข้ันสมถะ นิ่งว่างอยู่เฉยๆ ไม่เกิดความรู้ จิตอยู่ในฌำน ไม่มี หลกั กำร ควำมรู้ เป็นอปั ปนาสมาธิ จิตน่ิงสว่างไม่มีความรู้สึกตวั ตน ตวั หายไปหมด ไม่เกิดความรู้อนั ใด / จิตอยู่ในสมำธิเพื่อกำหนดรู้ กาหนดดูจิตของเรา สักแต่ว่า เป็นความคิด จิตรู้ความคิดวางเฉย / สภาวธรรมท่มี อี ยู่ บริกรรมภำวนำ “พุทโธ” จิตสงบลงไป จิตนิ่งอยเู่ ฉยๆ กาหนดรู้อย่ตู วั น่ิงรู้อยูใ่ นที ปล่อยให้จิต กบั ทกุ คน กายกบั วา่ งเฉยๆ ทรงตวั อยู่อยา่ งน้นั กาหนด “พุทโธ” ปล่อยใหเ้ ฉยๆ / พุทโธ กับจิต จิตนึกพุทโธ โดย ใจ เป็นธรรมะ ไม่ต้ังใจ จิตติดกับพุทโธ มีความสงบลงไป ปล่อยให้จิตนึกพุทโธ จิตกาหนดรู้ ลงท่ีจิต นิ่งเฉยๆ หลกั ศลี 5 ควบคุม ใหก้ าหนดรู้อย่ทู ่ีจิต อย่างที่เดียว มีอะไรเกิดข้ึนลงที่จิตอยา่ งดี / จิตสงบลงไป ละเอียดลงไป คำ ความประพฤติ จิต ตดิ กบั คาว่า “พุทโธ” มา บริกรรมภาวนา จติ ปล่อยวาง ฝึกเป็น อิสระ จติ ข้นั สมถะ จติ อยู่ ในฌาน ไม่มี ความรู้ จิตอยใู่ นสมาธิเพ่ือ กาหนดรู้ กาหนดดู จติ สักแตว่ า่ เป็น ความคดิ

419 พุทโธ กบั จติ จติ นึก บริกรรมภำวนำหำยไป เกดิ ปี ติ ควำมสุข จิตมีความสุขอยา่ งย่งิ ความรู้สึกกายหายไป ลมหายใจ พุทโธ โดยไมต่ ้งั ใจ หายไป จติ ผ้ภู ำวนำ นง่ิ สว่ำง น่ิงอยทู่ ่ีจิต กายหาย มีจิตวา่ ง สวา่ งไสว / ควำมคดิ เป็ นเคร่ืองรู้ของ จติ ติดกบั พุทโธ จิต เป็ นอุบำยจิต กาหนดรู้จิตเกิดตลอดเวลา อาศยั จิตเป็นเคร่ืองรู้ สติเป็นกาลงั “สติพละ” / จิต จติ สงบลงไป คิดรู้ รู้คิดอะไร ก็รู้ กำหนดจดจำที่จิต อะไรเกิดข้ึนมากาหนดรู้ รู้ไปเฉยๆ / ภำวนำ “พุทโธ” จิต ละเอยี ดลงไป คา สงบ ไม่สงบ ใหน้ ึกภาวนาพทุ โธ ไวต้ ลอดเวลา / บริกรรมภาวนา หายไป เกิดปี ติ กำรภำวนำ 3 ข้ันตอน 1)บริกรรม พทุ โธ จนจติ บริกรรมจิตเป็ นสมำธิ 2)ฝึ กหัดจิต พจิ ำรณำก้ำว ความสุข เดิน จิตเกิดสติปัญญำรู้เท่ำทัน 3)ตำมรู้กำหนดรู้ ควำมรู้สึกตัว รู้เท่ำทันจิต / “สติพละ” สติมี ความคดิ เป็นเครื่องรู้ กาลงั กายเป็นปฏิบตั ิ จิตไปสู่ภมู ิธรรม ภูมิความรู้ / จิตเป็ นตวั รู้ ตวั มโนธำตุ เป็ นวญิ ญำณ รู้จกั จุติ ของจติ เป็นอบุ ายจิต ตาย เกิดเป็ นคน เป็ นสัตว์ เกิดตายเกิดใหม่ / จิตต้งั มนั่ อยู่ในสมาธิ สมาธิกาหนดจิต เอาจิต กาหนดรูจ้ ติ เกดิ พิจารณาบริกรรมภาวนา การพกั ผ่อนดว้ ยสมาธิ /สมำธิ คือ ควำมต้ังใจ คือ ควำมม่ันใจ ภาวนา ตลอดเวลา อาศยั จิต คือ การอบรม กาย วาจา ใจ ใหอ้ ยใู่ นศีลธรรม / กาหนดใจลงระหวา่ ง ความยนิ ดีและยนิ ร้าย พุท เป็นเครื่องรู้ สติเป็น โธ ธมั โม สงั โฆ กำหนดลงทีจ่ ิตนึกพุทโธ อยู่นึกไม่ข่ม ไม่บงั คบั จิต นกึ พุทโธ เฉยๆ ไมน่ ึกอะไร กาลงั “สตพิ ละ” / กำหนดตำมรู้กำยภำยนอก ทำสติ นั่ง ยืน เดิน นอน ด่ืม กิน พดู คิด 1)รู้วา่ เราทาสติรู้อยา่ งเดียว 2)กำหนดตำมรู้กำยภำยใน กำหนดอำกำร 32 พิจำรณำ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก ปฏิกูล วิธกี ำร โสโครก พิจารณาความน่าเกลียด ไม่งามปฏิกูล ปรำกฏพจิ ำรณำกลับไปกลับมำ ใหจ้ ิตชานาญ การพิจารณา จิตปฏิบตั ิไดเ้ อง อตั โนมตั ิ โดยไม่ต้งั ใจ จิตสงบเป็นอุปจารสมาธิ สู่อปั ปนาสมาธิ การภาวนา 3 ข้นั ตอน 1) จิตมีสติปัญญา นิมิต พิจารณา บริกรรม พุทโธ จนจติ บริกรรมจติ เป็นสมาธิ 2) -พระพทุ ธเจา้ อยทู่ ี่ใจ พระธรรมอยทู่ ี่ใจ เกิดข้ึนในจิตใจผู้ปฏิบตั ิมธี รรมอย่ใู นจิตใจ ปฏิบตั ิดี ฝึกหัดจติ พจิ ารณากา้ ว ปฏิบตั ิชอบอยใู่ นจิตใจ / ผลบริกรรมภาวนาได้ อปั ปนาสมาธิ นงั่ สวา่ ง / พลังจิต สตปิ ัญญำ การ เดิน จิตเกดิ สตปิ ัญญา งานที่รับผดิ ชอบ แกป้ ัญหาชีวติ ประจาวนั นกั ปฏิบตั ิสมาธิมีความต้งั มน่ั ตอ่ หนา้ ที่การงาน / รูเ้ ท่าทนั 3)ตามรูก้ าหนด รู้ ความรูส้ ึกตวั รู้เทา่ ทนั จิต จติ เป็นตวั รู้ ตวั มโนธาตุ เป็นวญิ ญาณ สมาธิ คอื ความต้งั ใจ คอื ความมน่ั ใจ ภาวนา คือ การอบรม กาย วาจา ใจ กาหนดตามรู้กาย ภายนอก ทาสติ นงั่ ยืน เดนิ นอน ดื่ม กนิ พูด คดิ กาหนดตามรู้กาย ภายใน กาหนด อาการ 32 พิจารณา ใหจ้ ิตชานาญการ พิจารณา จติ ปฏบิ ตั ิ ไดเ้ อง อตั โนมตั ิ ผล พลงั จิต สติปัญญา จิตใจผปู้ ฏบิ ตั มิ ี ธรรมอยู่ในจิตใจ ตารางที่ 4.9.4 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “จติ เพ่งจติ ” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พุธ ฐำนิโย) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั Pu4] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ -นิวรณ์คอยก้นั ไม่เกิดควำมเพยี ร ในการปฏิบตั ิธรรม จิตมีอารมณ์ยนิ ดีในอารมณ์จิต มีความใคร่ อบุ ายจิตเดินทาง ในความยนิ ดี กามสุขนิโยค ติดในอารมณ์ดี จิตไมพ่ อใจติดในความยนิ ร้าย อบุ ำยจติ เดินทำงสำย สายกลาง กลำง / ควำมรู้เห็นผ้เู ห็นอำรมณ์จิต / มีสติสัมปชัญญะแก่กลา้ ย่อมรู้ทุกข์ เกิดทกุ ข์ ภำยในจิต ความรู้เห็นผเู้ ห็น อารมณจ์ ิต

420 สตสิ มั ปชญั ญะ ทกุ ขอริยสัจ มีสติปัญญา อารมณ์จิต เป็นแนวทางพิจารณากาหนดรู้แจ่ง / ทุกขเ์ ป็นธรรมชาติเพยี ง ยอ่ มรู้ทุกข์ กาหนดรู้ ไมก่ าหนดละ กาหนดรู้ๆ ภายในจิต ทุกขอริยสจั -จิตเพ่งจิต เกดิ สติปัญญำ ตำมควำมเป็ นรู้พระไตรลกั ษณ์ / รู้อริยสัจ 4 คือ ทุกข์ ส่ิงท่ีทน ไดย้ าก หมายถึง ความทุกขใ์ จ รู้สมุทยั คือ ตณั หา ความทะเยอทะยาน รู้นิโรธ คือ ความไม่ หลกั กำร ยินดียินร้าย ในอารมณ์ที่ผ่านเขา้ มาทาง หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้มรรคคือ หนทางปฏิบตั ิเพื่อ ความพน้ ทุกข์ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา / จิตมีควำมคิดขนึ้ มำ อำรมณ์ต่ำงๆ ให้มีสติ สัมปชัญญะ จิตเพ่งจติ เกิด ความรู้ไปทุกขณะจิต เป็ นการเจริญวิปัสสนา จิตผ่านสมาธิ อย่างละเอียด ยกจิตข้ึนสู่ภูมิ สตปิ ัญญา ตาม วิปัสสนา จิตถอดออกเป็ นอปั ปนาสมาธิ มีกายปรากฏ จิตมีความคิดผุดข้ึนมา สติตามรู้ ความเป็นรูพ้ ระ ความคิด / ความคิด จิตกำหนดควำมคิด อำรมณ์จิต สิ่งระลึกสติ เป็ นฐำนท่ีต้ัง ไตรลกั ษณ์ สติสัมปชัญญะ ฐำนที่ต้ังสติ เรียกว่ำ จิตตำนุปัสสนำสติปัฏฐำน / อุบายวิธี จิตเดินทางสาย กลาง 1)บริกรรมภาวนาบอ่ ย 2) พิจารณาบอ่ ย ใหช้ านาญมีความดูดด่ืม จิตใจมงุ่ ตรงตอ่ การปฏิบตั ิ รูอ้ ริยสจั 4 ฝ่ ายเดียว / มชั ฌมาปฏิปทา ทางสายกลาง ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบตั ิอยู่ ดูจิตในขณะปฏิบตั ิเป็ น จติ มีความคดิ ข้นึ มา กลาง เฉยๆ ยนิ ดียนิ ร้าย กิเลสไม่มีความเป็นกลาง เที่ยงธรรม เป็นท่ีต้งั ปกติของจิต อารมณ์ตา่ งๆ ใหม้ ี สติ สัมปชญั ญะ -ต้งั ใจให้มสี ัจจะ ความจริงใจในการนง่ั สมาธิ ภาวนาใหเ้ กิดสติ รู้แจ้งเหน็ จริงตำมควำมเป็ นจริง / ความรู้ไปทกุ ขณะ กำหนดบริกรรมตำมถนัดที่ตนปฏิบัติมำ พยายามข่มใจใหอ้ ยใู่ น อำรมณ์พุทโธ ให้จิตและพุทโธ จติ เป็นการเจริญ สนิทแน่นไม่แยกจากกนั จิตมีปี ติ มีสุข มีควำมเป็ นหน่ึงอยู่ที่พุทโธ จิตนีกพุทโธ โดยอัตโนมัติ วปิ ัสสนา จ ภาวนาเขา้ สู่ความสงบ / กาหนดรู้จิตเฉยๆ ไม่สนใจอาการของ ปี ติแลว้ สิ่งอ่ืน เพราะเห็นทางผ่าน จิตกาหนด การบาเพญ็ สมาธิ ปล่อยให้เป็นไปตามเรื่องราว ของจิต สนใจภาวนากบั การรู้จิตอยา่ งเดียว ถา้ รู้ ความคิด อารมณ์ จิตอยู่ สมาธิต้งั มน่ั อยู่ ผา่ นอุปจารณสมาธิไปสู่อปั ปนาสมาธิ / ผ่านอัปปนำสมำธิ ร่ำงกำยตัวตน จิต สิ่งระลกึ สติ หำยไป ไม่มีร่ำงกำยอยู่ในควำมรู้สึก มีจิตสงบน่ิง รู้ต่ืนเบิกบาน อยใู่ นจิตเดียว หายไปพร้อมกาย เป็ นฐานที่ต้งั เป็นเอกกคั ตา เป็นจิตนิ่ง จิตรู้อยูใ่ นจิต ไม่พ่ึงพาอารมณ์ จิตเป็นตวั ของตวั เอง / พุทโธ หำยไป จิต สตสิ มั ปชญั ญะ เข้ำสู่ภำวะ “พทุ ธะ” เป็นคณุ ธรรม จิตรู้ต่ืน เบิกบาน เป็นคณุ ธรรมเกิดในจิตผภู้ าวนา จึงไปถึงข้นั ฐานท่ีต้งั สติ น้ีแลว้ ดารงอยู่นานหรือไม่นานแลว้ แต่พลงั ของจิต / ผูภ้ าวนาหมดความรู้สึก เจตนา สัญญา จิต เรียกวา่ จิตตา เป็ นอตั โนมตั ิ / ศีล สมำธิ ปัญญำ รวมพลังเป็ นอุปจำรสมำธิ กายปรากฏ ความคิดปรากฏ จิตมี นุปัสสนา ความคิดผดุ ข้ึนมา ไมเ่ ลิกภาวนาให้กาหนดตามอารมณ์จิต / จิตรู้แลว้ ปล่อยวาง ไม่ยดึ อะไรเอาไว้ ไม่คิด คิดแล้วปล่อยวำงไป รู้ว่ำ จิต ก็ดี ควำมคิด ก็ดี ไม่ใช่ตัวตน ไม่เป็ นของเรำ เห็นความคิด อบุ ายวธิ ี จติ กาหนดรู้ จิตในใจ กาหนดความคิดในความคิด เห็นจิตในจิต เรียกว่า “จิตตานุปัสสนาสติปัฏ เดินทางสายกลาง 1)บริกรรมภาวนา บ่อย 2) พิจารณา บ่อย ใหช้ านาญ ดูจติ ในขณะปฏบิ ตั ิ เป็นกลาง เฉยๆ วิธีกำร ต้งั ใจใหม้ ีสัจจะ รู้ แจง้ เหน็ จริงตาม ความเป็ นจริ ง กาหนดบริกรรมตาม ถนดั ทีต่ นปฏิบตั ิมา อารมณ์พทุ โธ ใหจ้ ติ และพุทโธ มีความ เป็นหน่ึงอยทู่ ี่พทุ โธ จติ นีกพทุ โธ โดย อตั โนมตั ิ อปั ปนาสมาธิ ร่างกายตวั ตนหายไป ไม่มีร่างกายอยู่ใน ความรู้สึก มจี ิตสงบ นิ่ง พุทโธ หายไป จติ เขา้ สู่ภาวะ “พทุ ธะ”จิตรูต้ ่นื เบิกบาน คดิ แลว้ ปลอ่ ยวาง ไป รูว้ า่ จิต กด็ ี ความคิด ก็ดี ไม่ใช่ ตวั ตน ไม่เป็นของ เรา

421 ส่ิงใดส่ิงหน่ึงเกิดข้นึ ฐาน” / สิ่งใดสิ่งหน่ึงเกิดขึ้นเป็ นธรรมดำ สิ่งน้ันดับไปเป็ นธรรมดำ จิตวูบลงไป จิตสว่าง เป็นธรรมดา สิ่งน้นั ดบั ไปเป็นธรรมดา สงบนิ่ง รู้ต่ืนเบิกบาน กำหนดรู้ จิตอัตโนมัติ ญำณหย่ังรู้ได้กำเหนิดขึน้ ปัญญำเกิดขึน้ คือ จิตวบู ลงไป ความรู้ความคดิ รู้แลว้ ปล่อยว่าง อาศยั ความรู้แจง้ เห็นจริง จิตยอมรับสภาพความเป็นจริง รู้ กาหนดรู้ จิต อตั โนมตั ิ ญาณหยง่ั รู้ แลว้ ปล่อยวาง / จิตดำเนินตำมแนวทำงอริยมรรค สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกดิ ขึน้ เป็ นธรรมดำ ส่ิงน้ัน ไดก้ าเหนิดข้นึ ปัญญาเกิดข้นึ คือ ดับไปเป็ นธรรมดำ ดวงตำเห็นธรรม / พลงั ศีล สมาธิ ปัญญา มองเห็นส่ิงเกิดดบั ภายในจิต ความรูค้ วามคดิ รู้ อะไรเกิด อะไรดบั จิตเกิดจิตดบั กาหนดหมาย ความเกิดดับเป็นอารมณ์ เป็นฐานที่ต้งั ของ แลว้ ปล่อยว่าง อาศยั สติ จิตมีสติรู้ทนั เป็ นกริยาเตือนตนเอง จิตรับรู้แลว้ ปล่อยวาง วิชารู้แจง้ เห็นจริงปรากฏ / ความรู้แจง้ เห็นจริง สติสมั ปชญั ญะ มีพลงั แก่กลา้ ข้นึ การเกิดดบั อารมณ์จิตภายใน ถึงอนิจจงั ความไม่เที่ยง ทกุ จิตยอมรับสภาพ ขงั ความทนอยไู่ ม่ได้ อนตั ตา ความไมเ่ ป็นตวั สภาวธรรม ความเป็ นจริง ศีล สมาธิ ปัญญา รวมกนั เป็นหน่ึงเดียว เป็นบญุ ญาภิสังขาร ปฏบิ ัติตนสู่ภูมิควำมรู้ จิตอยใู่ นอปั ป อะไรเกิดดบั จติ เกดิ นาสมาธิ / สติมีควำมม่ันคง ปรำศจำกควำมยินดียินร้ำย ความยึดมนั่ ปล่อยวาง จิตเดินทางสาย จิตดบั กาหนดหมาย กลาง เรียกว่า “มชั ฌิมาปฏิปทา” / ปฏิบัติตนเป็ นผู้มีศีล ปฏิบตั ิสมาธิ วิปัสสนา มีศีล มีสัจจะ ความเกดิ ดบั เป็น ควำมจริงใจ รักษาศีล ขันติ อดทน ไม่ทำบำป เจตนางดเวน้ ความชวั่ ศีล 5 ชานาญ / หิริโอตปั ปะ อารมณ์ เป็นฐานท่ีต้งั กลวั บาปไม่ทาบาป ท้งั ท่ีลบั และท่ีแจง้ / รู้อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทยั นิโรธ มรรค เอาความรู้มาอบรม ของสติ จติ มีสตริ ู้ทนั สิ่งน้ันให้ดวงตาเห็นธรรม นักปฏิบตั ิ ศีล สมาธิ ปัญญา / นิวรณ์ 5 หายไป ปลอดโปร่ง แจ่มชื่น ภายในจิต อปุ สรรคไม่มี จิตเป็นปกติ ศีลปกติ ศีลอยใู่ นจิตเป็นทาง สุขคติ / ความยนิ ดียนิ ร้ายไม่มี ผล นิโรธความดบั กิเลส ความยินดียินร้ายดบั ไป / ศีล สมาธิ ปัญญา วำจำ ใจ สุภำพอ่อนโยน วำจำ ไพเรำะ กำยปกติ วำจำปกติ ศีลปกติ มีเจตนาต้งั ใจละความชว่ั มีศีล 5 / ต้งั ไม่ทิ้ง สัจจะ ปฏิญาณ ปฏิบตั ิตนสู่ภมู ิ สัจจะ ควำมจริงใจ พูดจริง ทำจริง มรรคผล นิพพาน ขนั ติ อดทน ในการปฏิบตั ิ ความรู้ สตมิ คี วามมนั่ คง ปราศจากความ ยนิ ดียนิ ร้าย ปฏิบตั ติ นเป็นผู้ มศี ีล สัจจะ ความ จริงใจ พดู จริง ทาจริง หิริโอตปั ปะ กลวั บาปไมท่ าบาป ท้งั ที่ลบั และท่ี แจง้ ตารางท่ี 4.9.5 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “วธิ ีสร้ำงพลงั จิต” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พธุ ฐำนิโย) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั Pu5] สกดั หลกั แนวคดิ ประเดน็ คำสอน -วิธีสร้ำงพลังจิตนึกพุทโธ กาหนดลมหายใจเขา้ ออก กาหนดรู้พร้อม พุทโธ คาเดียว ให้จิตแนว วธิ ีสรา้ งพลงั จติ นึก แน่ จิตอยู่ในพุทโธไม่พรากกนั / ทำจิตให้มีสติ ทำพลังงำน สานึกผิดชอบชวั่ ดี น้อมจิตอารมณ์ พุทโธ กาหนดลม เขา้ สู่ใจ / หายใจเขา้ ออก กาหนดรูพ้ รอ้ ม -ควำมรู้เกิดขึน้ ในขณะจิตมีควำมสงบ ความรู้เกิดข้ึนมาเอง พลังของจิต มีสมำธิ มีสติ มีปัญญำ / พุทโธ คาเดียว จติ จิตเป็ นหน่ึง รู้ต่ืน รู้เบิกบำนภายในจิต / สมำธิเป็ นเองโดยธรรมชำติของจติ มพี ลัง ส่ิงที่กระทบจิต แนวแน่ จิตอยใู่ น วิ่งพิจารณาเหตุผลและอำรมณ์นำไปสู่ควำมสงบ รู้ตื่นเบิกบำน / รู้สภาพจิตฝึ กฝนอบรม สงบ พทุ โธ หลกั กำร ความรู้เกิดข้นึ ในขณะจิตมีความ สงบ ความรูเ้ กิด ข้ึนมาเอง จติ เป็น

422 หน่ึง รูต้ น่ื รู้เบกิ ความเยือกเยน็ เปล่ียนแปลง รู้อนิจจัง จิตสงบน่ิง สว่าง จิตสงบเป็ นสมถะ ความรู้แจง้ จริงหาย บาน สงสัยเป็ นวิปัสสนา จติ ฝึกฝนอบรม สงบ รู้อนิจจงั -ในขณะจิตนึกพุทโธอยู่ ปล่อยให้ฝึ กอยู่นึกพุทโธ สงบทุกขเวทนา จิตนิ่งเฉย คิดถึงปล่อยให้จิต คิดไป ใหม้ ีสติรู้ไป มีความคิดต้งั ใจกาหนดรู้ / หยดุ คิดเกิดความว่าง คิดรู้ อยู่ท่ีความคิดสลบั ไป วธิ กี ำร เป็นการภาวนา / บริกรรมภาวนา “พุทโธ” นึกพุทโธ ดว้ ยความรู้สึกเบา ๆ / แกป้ ัญหาแกท้ ี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ / สร้างพลงั จิตแนะนา การนอนเป็ นเวลา ต่ืนเป็ นเวลา รับประทานอาหารเป็น จติ นึกพุทโธอยู่ เวลา อาบน้าชาระร่างกายเป็นเวลา ทำอะไรเป็ นเวลำ เป็ นกำรสร้ำงสัจจะบำรมี / สติสัมปชญั ญะ รู้ ปลอ่ ยใหฝ้ ึกอยนู่ ึก พร้อมอยู่ท่ีเท้าเดิน หยุดเดิน ยืน สติสัมปชัญญะ รู้พร้อมการยืน น่ังสมำธิ สัมปชัญญะ นอน พุทโธ สงบ สติสมั ปชญั ญะการนอน รับประทำนอำหำร สติสัมปชญั ญะรู้พร้อม / เวลำพูด คิด สติสัมปชัญญะ ทกุ ขเวทนา ตำมรู้ควำมคิดตลอดเวลำ ตำมรู้ทุกขณะจิต ทุกลมหำยใจ ปัญญำเกดิ ขนึ้ รู้เหตุรู้ผล ผลไดผ้ ลเสีย / หยดุ คิดเกิดความ นักภำวนำต้องอดทน จิตสมำธิ ตัดขำดจำกร่ำงกำย เอำชนะให้ได้ ต่อสู้ได้ / หลกั การมากกว่า ว่าง คดิ รู้ อยทู่ ่ี หลาย พุทโธ ยุบหนอ สัมมำอรหันต์ ยึดอะไรให้ยึดไป คิดแล้วรู้ทันที เข้ำสู่สมำธิได้หรือเปล่า ความคิดสลบั ไป ภาวนาพุทโธ จิตสว่างปี ติ ยุบหนอพองหนอ มีปี ติ มีความสุข บงั คบั จิตอยู่กบั บริกรรมภาวนา เป็ นการภาวนา ปล่อยไป ควำมคิดดูอำรมณ์จิตได้หรือไม่ ตามไปสุดกาลงั / นักปฏิบัติพยำยำมทำใจให้เป็ นกลำง สรา้ งพลงั จติ ต่อวิธีกำรปฏิบัติ / อารมณ์คิดปัจจุบนั ความชอบไม่ชอบ ย่อมมีกิเลสอยู่ ดูให้รู้แจง้ ชดั เจน ชอบ แนะนา ทาอะไร อะไรเป็นบาปบุญ / ฝึ กหดั ดัดนสิ ัย คล่องตวั ต่อกำรทำควำมดี ละความชวั่ ละบาป / หม่นั นกึ “พทุ เป็นเวลา เป็นการ โธ” มำกๆ ลืมความหลงั ไม่นึกบาป จิตไม่กงั วลบาปในอดีต “พุทธำนุสติ” ทำสมำธิภำวนำตอ้ ง สร้างสจั จะบารมี พยายามเอาสมาธิใหไ้ ด้ / คำถำปลกุ ใจ “พุทโธ” สตสิ มั ปชญั ญะ รู้ พร้อมอยทู่ เี่ ทา้ เดิน -นกั ปฏิบตั ิมีจติ ใจเข้มแข็ง ไมเ่ ห็นแก่ความสุข ความสบาย เพลิดเพลิน / แก้ปัญหำชีวิต สติปัญญำ ยืน นง่ั สมาธิ นอน ควำมรู้แจ้งเห็นจริง อะไรบุญอะไรบาป เป็นการปฏิบตั ิดี ปฏิบตั ิชอบ เป็นควำมต้ังใจ มีสัจจะใน รับประทานอาหาร ใจ / ความอดทน ความเพียร เผากิเลส ความโลภ โกรธ หลง ชอบเกลียด เรามีเจตนามุ่งมน่ั เพื่อ เวลาพดู คดิ ขจดั กิเลสท้งั หลาย / ขันติ ต้ังใจอดทน น้อมจิตไปในท่ีท่ีถูกที่ชอบ อดทน ฝึ กหดั / พูดจา สุภาพ สติสมั ปชญั ญะ ออ่ นโยน เปล่งออก ไมท่ าผิดศีล / จิตใจโนม้ ไปทางบุญทางกุศล นิสัยสร้าง กาย วาจา เจตนาแน่ว ตามรู้ความคดิ แน่ ละเอียดลึกซ้ึงไปในจติ เป็ นอปุ นสิ ัย เป็ นอัตโนมตั ิ ฝึ กหดั คล่องตวั ตลอดเวลา ตามรู้ ทุกขณะจิต ทุกลม หายใจ ปัญญา เกิดข้นึ พุทโธ ยบุ หนอ สัมมาอรหันต์ ยดึ อะไรให้ยึดไป คิด แลว้ รู้ทนั ที เขา้ สู่ สมาธิไดห้ รือ หมนั่ นึก “พุทโธ” มากๆ คาถาปลกุ ใจ “พุทโธ” ผล จติ ใจเขม้ แขง็ ความต้งั ใจ มสี จั จะ ในใจ แกป้ ัญหาชีวติ สตปิ ัญญา ความรู้ แจง้ เหน็ จริง ขนั ติ ต้งั ใจอดทน นอ้ มจติ ไปในทท่ี ี่ ถกู ที่ชอบ ตารางท่ี 4.9.6 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “ฐำนกำรภำวนำ ½” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พุธ ฐำนิโย) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั Pu6] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน

423 แนวคดิ -ควำมรู้สึกอยู่ที่ไหน ? สติอยู่ตรงน้ัน / พระพุทธเจา้ เอาอะไรเป็ นหลกั ในการปฏิบตั ิสมาธิ 1) อารมณ์ทางกาย หายใจเขา้ ออก 2)อารมณ์ทางจิต ความคิดเร่ิมตน้ กาหนดรู้ ลมหายใจ มีสติ ความรู้สึกอยทู่ ี่ กาหนดรู้ลมหายใจเขา้ ออก เฉยๆ ไม่มีการบงั คบั ลมหายใจ ไม่แต่งลมหายใจ มีสติกำหนดรู้ ไหน ? สติอยตู่ รง หำยใจเทา่ น้นั จิตวา่ งลงปล่อย คดิ ปล่อยใหค้ ดิ / ให้จิตเดนิ อยู่ท่ีลมหำยใจ ความคดิ ความวา่ ง ให้ น้นั เดินอยู่ใน 3 จังหวะ ลมหำยใจ ควำมคิด ควำมว่ำง / จิตและกายสัมพนั ธ์กนั รู้ลมหายใจโดย หลกั ปฏิบตั สิ มาธิ 1) อตั โนมตั ิ ว่ำงอยู่ คิดขึน้ มำเองโดยไม่ต้ังใจ ลมหายใจ ความคิด ความวา่ ง จิตจับที่ลมหำยใจ ลม อารมณท์ างกาย หายใจเป็นอารมณ์ สติ จิต ไมพ่ รากกบั ลมหายใจละเอียด ความสงบของจิต หายใจเขา้ ออก 2) อารมณท์ างจติ -จิตเป็ น พุทธะ มีคุณธรรม อาศยั ความรู้สึกผิดชอบชว่ั ดี เป็ นเคร่ืองกระตุน้ เตือนใจ ทุกคนมี ความคดิ เร่ิมตน้ ความรู้สึกผิดชอบชว่ั ดี / คุณธรรมเกิดข้ึนกบั จิต ทาจิตเป็นพุทธะ ความรู้สึกผิดชอบชว่ั ดี ต้งั ใจ กาหนดรู้ ลมหายใจ ปฏิบตั ิสมาธิภาวนา / กำรทำสมำธิ คือ กำรทำจิตให้มีอำรมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึกอะไร ต้ังใจ มสี ติ กาหนดรู้ลม ปฏิบัติสมำธิด้วยควำมจริงใจ / ท่อง “พุทโธ” ทุกขณะจิต ยืน เดิน น่ัง นอน ดื่ม ท่องพุทโธ หายใจเขา้ ออก เหมือนท่องเล่นๆ ไม่ตอ้ งการผลตอบแทนอย่างไร ท่องพุทโธใดต้ ลอดเวลา / ทาสมาธิ ทาจิต มี มีสตกิ าหนดรู้ สติรู้ สติมีสิ่งระลึก ธรรมชาติเพ่มิ พลงั สติดีเขม้ แขง็ วอ่ งไว หายใจ ใหจ้ ติ เดิน อยทู่ ่ีลมหายใจ -จิตสงบน่ิง รู้ตื่น เบิกบาน ปี ติ เบากาย เบาจิต สงบจิต ความรู้สึกรู้ต่ืนเบิกบาน ของจิตให้เป็ น เดินอยใู่ น 3 จงั หวะ พุทธะ อิทธิพลพุทธะ เกิดในใจแสดงออกทำงกำย / ขณะปฏิบตั ิท่อง “พุทโธ สัมมาอรหัง ยุบ ลมหายใจ ความคิด พอง ฯลฯ” ต้ังใจท่องบทใดไม่ขำดสำย บทใดซ้ำๆ ท่องได้ตลอดเวลำ ปฏิบตั ิแบบไม่รู้เหตุรู้ผล ความวา่ ง ท่องทุกขณะ จิตทุกลมหายใจ ท่องไม่หยุด สมาธิ รู้ต่ืน รู้เบิกบาน / ขณะพูด มีสติอยู่ คำพูด คิด ให้มีสติ อยู่ควำมคิด ทำ พูดคิด ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา / จิตเกิดความคิดข้ึนมา ปล่อยให้คิด จิต หลกั กำร กาหนดรู้ จิตหยุดคิดทนั ที จิตน่ิง เอาสติ ตวั เดียวกาหนดรู้ / จิตสงบ เอาความต้งั ใจไปแทรก สมาธิถอยทนั ที เอำสติ กำหนดรู้ สิ่งที่เรำทำในปัจจุบันตลอดเวลำ / เวลาวิจยั งาน คิดวกเวียนมา การทาสมาธิ คือ การ ต้งั ใจแน่แน่ว ท่ำนปฏิบัติสมำธิ เผลอๆ สิ่งท่ีต้องกำรผุดโผ่ มาเป็ นปัญญาในสมาธิ / ลมหายใจ ทาจติ ให้มีอารมณ์สิ่ง แผว่ เบา จิตสงบละเอียด ว่ิงตามลมหายใจ ไปอยใู่ นกาย สงบน่ิงในร่างกาย เปล่งรัศมี ข้ึนมานอก รู้ สตใิ หม้ สี ิ่งระลกึ ร่างกาย / อะไร ต้งั ใจปฏิบตั ิ สมาธิดว้ ยความ -ความรู้สึกผิดชอบชว่ั ดี มีเจตนำต้งั มั่น ละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตให้บริสุทธ์สิ ะอำด / สมาทาน ศีล จริงใจ 5 ปฏิบตั ิธรรม เป็ นผูม้ ีศีลบริสุทธ์ิ ปฏิบัติในระดับคฤหัสถ์ ยึดหลักศีล 5 / อดทน สัจจะ ความ ท่อง “พุทโธ” ทุก จริงใจ ประพฤติตน ไม่ทาอะไรตาม ความโลภ โกรธ หลง ตดั กรรมตดั เวร ละโลภ โกรธ หลง ขณะจติ ยนื เดนิ นงั่ ในใจ / ศีล 5 บริบูรณ์สงบจากการทาบาป กายปกติ วาจาปกติ จิตใจปกติ / เราพูด คิด ทาดว้ ย นอน ด่มื ทอ่ งพุทโธ สติสัมปชญั ญะรอบคอบ / พลงั ของสมาธิ ใดต้ ลอดเวลา วิธกี ำร ต้งั ใจท่องบทใดไม่ ขาดสาย บทใด ซ้าๆ ท่องได้ ตลอดเวลา ทอ่ ง ทุกขณะ จติ ทกุ ลม หายใจ ท่องไม่ หยดุ ขณะพดู มสี ติอยู่ คาพูด คดิ ให้มีสติ อยคู่ วามคดิ จติ เกิดความคิด ข้นึ มา ปล่อยใหค้ ิด จิตกาหนดรู้ จิต หยดุ คดิ ทนั ที เอาสติ กาหนดรู้ ส่ิงทเี่ ราทาใน ปัจจุบนั ตลอดเวลา ผล เจตนาต้งั มน่ั ละชว่ั ประพฤติดี ทาจิต ให้บริสุทธ์ิสะอาด อดทน สัจจะ ไม่ ทาอะไรตาม ความ โลภ โกรธ หลง ศีล 5 บริบรู ณ์

424 ตารางที่ 4.9.7 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “หลกั ของสติปัฏฐำน 4” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พธุ ฐำนิโย) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั Pu7] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด -ธรรมะคืออะไร กายกบั ใจ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ำ หลักธรรมคำสั่งสอน ศีล สมำธิ ปัญญำ และธรรมฝ่ ำยสภำวธรรม กายกบั ใจ ส่ิงท่ีประสบอยู่เป็ นสภาวธรรม ส่ิงใดรู้อยู่ด้วย จิตใจ มี ธรรมะคืออะไร สภาวธรรมเรียนธรรมะ / การปฏิบตั ิสมาธิ ยดึ ตามแบบตารามาขดั แยง้ กนั ตอ้ งต้ังใจปฏิบตั ิธรรม กายกบั ใจ คาสง่ั เพื่อให้คุณธรรม สติปัญญา แกป้ ัญหาเร่ืองชีวิต เลิกเช่ือคนอื่น เช่ือตัวเอง / หลักสติปัฏฐำน ยืน สอนของ เดิน น่ัง นอน ตำมรู้ทุกขณะจิต ปฏิบัติสมถกรรมฐำน แบบสำกล ไม่มีอุปสรรค เอำงำนปัจจุบัน พระพุทธเจา้ เป็ นอำรมณ์ เขียนหนงั สือเป็นอารมณ์ เอำสตสิ ัมผสั ไปใช้ชดั เจน / โลกแสดงธรรมใหเ้ กิดความสุข หลกั ธรรมคาสั่ง / พจิ ำรณำกำยคตำสติ บอกจิตกำยเป็ นที่ต้ังของสติ เอำสติมำระลึกอยู่กำย อำกำร 32 จิตสามารถ สอน ศลี สมาธิ สงบลง เป็ นสมำธิได้ได้ฌำน ไดญ้ าณ ตามสมาธิ / ขันธ์ 5 กำรพจิ ำรณำภำคปฏิบัติ พจิ ำรณำ รูป ปัญญา เวทนำ สัญญำ สังขำร วิญญำณ เอำควำมรู้จำได้ คือ สัญญำ พิจำรณำ พิจำรณำย้อนกลับไปมำ พจิ ารณาโดยอตั โนมตั ิ หลกั สติปัฏฐาน ยืนเดิน นง่ั นอน -มหำสติปัฏฐำน เรื่องกำยใจ ทาความเขา้ ใจเรียนรู้ เร่ืองกายกบั ใจ อยู่ท่ีกายกบั ใจเท่าน้ัน / กฎ ตามรูท้ ุกขณะจติ ปฏบิ ตั ิสมถกรรม ฐาน แบบสากล เอางานปัจจุบนั เป็ นอารมณ์ พิจารณากายคตาสติ บอกจติ กายเป็นทต่ี ้งั สตมิ าระลึกอยกู่ าย อาการ 32 ขนั ธ์ 5 พจิ ารณา ภาคปฏิบตั ิ รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ เอาความ รูจ้ าได้ คือ สัญญา พจิ ารณายอ้ นกลบั ไป มา หลกั กำร มหาสติปัฏฐาน ธรรมชำติเป็ นสภำวธรรม / กฎอนิจจงั ทุกขงั อนัตตา อยู่ในกฎอนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ เราไม่ เรื่องกายใจ สมหวงั สมหวงั ไม่ชอบใจ จักรวาลทุกส่ิงปรากฏทรงตวั และสลายตวั ในที่สุด เปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา / กำยและใจเป็ นสภำวธรรม หมุนเวียนตลอดเวลำ เรียกว่ำ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตำ กฎธรรมชาติเป็ น ร่างกายไม่เท่ียง ดีใจเสียใจ ผิดหวงั ทุกขณะ / อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา พูดไดค้ ิดได้ ไม่รู้ช่ืออะไร สภาวธรรม อยใู่ น ตอ้ งอบรมจิตใหเ้ ขม้ แขง็ รักษาสภาพจิตใหด้ ารงอยตู่ ลอดเวลา อบรมหรือปฏิบตั ิสมาธิ การปฏิบตั ิ กฎอนิจจงั ทุกขงั สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน / ทำงโลกอำรมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งรู้ของสติ โลกเป็ นฐำน อนตั ตา ที่ต้ังแต่งกำรฝึ กจิต อำศัย กำยใจกำหนดรู้ จิตทันควำมคิดอ่ำน ควำมจริง ชัดเจนต่อสิ่งพจิ ำรณำ กายและใจเป็ น อยู่ อำรมณ์จิตทำอะไร / หลบั ตากำหนดจิต กำยสติรู้กำย เวทนำรู้สุขทุกข์เกิดแก่กำย จิตตำม สภาวธรรม กำหนดคิดอ่ำนจิต ธรรมสตกิ ำกบั ปฏิบัติ / รู้อยทู่ ่ีจิตอยา่ งเดียว เรารู้เรำมี กำย มีเวทนำ มีสัญญำ มี หมุนเวยี น สังขำร มวี ญิ ญำณ จติ รู้เท่ำทัน เมื่อกำยปรุงแต่งไปตำมกเิ ลสอำรมณ์ / ตลอดเวลา เรียกวา่ อนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา ทางโลกอารมณส์ ิ่ง รูข้ องจติ สิ่งรู้ของ สติ โลกเป็นฐาน ทตี่ ้งั แตง่ การฝึกจิต กาหนดจิต กายสติ รูก้ าย เวทนารู้สุข ทุกขเ์ กิดแกก่ าย จิต ตามกาหนดคดิ อ่านจิต ธรรมสติ กากบั ปฏิบตั ิ

425 วิธกี ำร -ทาสมาธิเพอ่ื ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั / ความปกติของจิต ไม่หวน่ั ไหวต่อส่ิงต่างๆ จิตสงบนิ่ง ความจริงใจ ปี ติ ความสุข จริงใจ / สมถะทาสมาธิไดฌ้ าน วปิ ัสสนาในความคิดพจิ ารณาสิ่งต่างๆ สติสมั ปชญั ญะ สติสัมปชัญญะ กำหนดรู้ท่จี ิต ควำมคิดทจ่ี ิต ตำมสตคิ วำมรู้ควำมคดิ เป็ นวิธกี ำรทำจิตให้มีสภำพ กาหนดรู้ทจี่ ิต รู้แจ้งตำมสภำวธรรมตำมควำมจริง / ต้งั ใจภาวนา สำยปฏิบัติ ขัดแย้งกัน สับสน ลงั เลสงสัย ความคดิ ทีจ่ ติ ตามสติ ปฏิบตั ิ ไมท่ ราบตามแบบใคร วิธีกำรถูกต้องหมดใช้กำรได้ท้งั น้นั รูปแบบใช้กำรได้ ขอให้ท่ำนเอำ ความรูค้ วามคดิ เป็น จริง ส่วนใชก้ ารไม่ไดเ้ พราะทา่ นไมแ่ น่ใจ / เอำแบบไหนกไ็ ด้ ใช้ได้ท้งั น้นั ทาจิตสงบเป็ นสมำธิได้ วิธีการทาจติ รูแ้ จง้ เลย ยืน เดิน นงั่ นอน ท่องพุทโธ ใชป้ ระจาจิต ให้ท่องยุบหนอพองหนอ ท่องสัมมาอรหันต์ / ตามสภาวธรรมตาม วิธีกำรภำวนำ ท่ำนยึดหลักไหน ให้ยึดหลักของท่ำนมั่นคง อย่างไปเร่ืองอื่น / พระตถาคตเจา้ เป็น ความจริง เพยี งผบู้ อกทางเทา่ น้นั / วิธีการ 1 ทำสตติ ำมรู้ ยืน เดนิ น่ัง นอน ทำ ด่ืม พูด คิด ทำสติระลึกรู้ ส่ิง สายปฏบิ ตั ิ ขดั แยง้ ที่จิตของเรา รู้ไวท้ ่ีจิต เพียงอยา่ งเดียว เดินกา้ วขา ต้งั ใจ ทาสติรู้ท่ีจิต จิตสิ่งให้เดิน เวลานอน จิตรู้ กนั วธิ ีการถกู ตอ้ งใช้ เป็นผสู้ ่งั / จิตเป็นผรู้ ู้ผสู้ ั่ง เป็นเรื่องชีวติ ประจาวนั / ฝึกหดั ตามสติตามรู้วาระจิต ทกุ ลมหายใจ ไม่ การได้ รูปแบบใช้ จาเป็นตอ้ งเขา้ หอ้ งกรรมฐาน เพียงทาสติตามรู้สติตามรู้ / วิธีการ 2) อำศัยหลักบริกรรมภำวนำ การได้ ขอให้เอาจริง ตำมรู้ควำมคิด ไหวพ้ ระ นง่ั สมาธิ นึกในใจ ท่องคำถำไว้ในใจ “พุทโธ” ต้งั ใจบริกรรม ใจอยกู่ บั วิธีการภาวนา ท่าน พทุ โธ 24 ชว่ั โมง ท่อง “พุทโธ” ใจท่องพุทโธโดยไม่ต้ังใจ ทุกส่ิงพร้อมอตั โนมัตพิ อดี ใจมีหลักยึด ยดึ หลกั ไหน ใหย้ ดึ เอำควำมคิดวุ่นวำยรวมจุดเดียว คือ “พุทโธ” จิตใจอยู่กับ พุทโธ นำนๆ เข้ำ จิตสงบ / วิธีที่ 3 หลกั ของทา่ นมนั่ คง จำเป็ นต้องคดิ เรื่องอะไรกต็ าม ถือวา่ ควำมคิดเป็ น พจิ ำรณำกรรมฐำน ทนั ที รู้วชิ าการ จาเป็นตอ้ ง วิธีการทาสตติ ามรู้ คิดเกี่ยวกบั วิชาการ ตำมสติตำมรู้ควำมคิด ควำมคิดเป็ นอำรมณ์กรรมฐำน ทาให้จิตเป็ นสมาธิ ยืน เดิน นงั่ นอน ทา สติสัมปชญั ญะ / มองควำมคิดอ่ำน เกิดดับ เอำสติไปรู้ควำมคิด มีสติสัมปชัญญะ มีพลงั งาน ดมื่ พูด คดิ สติระลกึ เขม้ แขง็ เรียกวา่ ธรรมำนุสติปัฏฐำน / สติสัมปชญั ญะเพ่ิมพลงั งานกาหนดเปลี่ยนแปลง อนิจจงั รู้ ส่ิงท่จี ิต รู้ไวท้ ีจ่ ติ ทุกขงั อนตั ตา / สตสิ ัมปชัญญะ เป็ นตวั ปัญญำ ถ้ำมสี ตสิ ัมปชัญญะ คือ อริยสัจ อย่างเดียว -รักษำศีล 5 ให้บริสุทธ์สิ ะอำด รู้ความจริงของธรรม สมาธิเกิดประโยชน์ ชีวติ ประจาวนั นงั่ ฟัง วธิ ีการอาศยั หลกั ธรรม ทา่ นฝึกสมาธิ ใชส้ มาธิ เกิดประโยชนใ์ ชส้ มาธิเรียนหนงั สือ บริกรรมภาวนา ตาม รูค้ วามคดิ ทอ่ งคาถา ไวใ้ นใจ “พทุ โธ” ต้งั ใจ บริกรรม ใจอยกู่ บั พุท โธ 24 ชวั่ โมง ท่อง “พุทโธ” ใจทอ่ งพทุ โธโดยไมต่ ้งั ใจ ทกุ สิ่งพร้อมอตั โนมตั ิ ตามสตติ ามรู้ ความคดิ ความคิด เป็ นอารมณ์ กรรมฐาน สติสมั ปชญั ญะ เป็น ตวั ปัญญา ถา้ มี สติสัมปชญั ญะ คอื อริยสจั ผล รกั ษาศีล 5 ให้ บริ สุทธ์ ิสะอาด ตารางที่ 4.9.8 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “สร้ำงพลงั งำนทำงจติ ” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พุธ ฐำนโิ ย) สกดั หลกั จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั Pu8] แนวคดิ ประเด็นคำสอน สมาธิเป็ นกริ ยา -สมำธิเป็ นกริยำของจิต ต้ังใจกำหนดรู้ ทำสติสัมปชัญญะ กริยาของจิต ต้ังใจกาหนดรู้ ทา ของจติ ต้งั ใจ สติสัมปชญั ญะ ใหร้ ู้ อยู่ จิตมน่ั คง ต้งั ใจเป็นเอง สติเป็ นกำรฝึ กสมำธิ / จิตกาหนดเป้าหมายรู้ กำร กาหนดรู้ ทา เปลี่ยนแปลงลมหำยใจรู้ ควำมไม่เท่ียง ลมหายใจจิตกา้ วข้ึนสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา / ฌานสมาบตั ิ สติสัมปชญั ญะ สติ เป็นสมาธิแบบฌานไม่เกิดปัญญา สมาธิในอริยมรรค รู้อยา่ งไม่มีภาษาเรียกอะไร ฝึ กสมาธิ

426 ฌานสมาบตั ิ เป็น -ต้ังใจกำหนดรู้จิต อาศยั ประสาททางกาย เป็นเครื่องช่วย นกั ปฏิบตั ิต้ังใจกำหนดรู้จิตลงไป กาย สมาธิแบบฌานไม่ ปรำกฏรู้มกี ำย เวทนำสุขทุกข์ ไม่ทุกข์ไม่สุข / สติเป็ นใหญ่ กลำยเป็ นอินทรีย์ ความเป็นใหญ่ / ให้ เกิดปัญญา เจริญกายคตาสติ การเพ่งดูกายอาการ 32 เกสา โลมา นขา ฯลฯ เพ่งอำกำร 32 บ่อยๆ ตอนแรกเพ่ง วตั ถุ คล่อง ชานาญ สมาธิเกิดข้ึน จิตสัมผัสเกิดพลังงำนทำงจิต เพ่ง ผม ขน เลบ็ นขา จิตปล่อย หลกั กำร อารมณ์ พลังจิตกลับไปกลับมำ อำกำร 32 จิตมีพลังงำน / ฝึ กสมำธิคล่องตัวอยู่ในฌำน จิต ธรรมชำติ จติ ผ้มู สี มำธิ จติ อำศัยประสำททำงสมอง เป็ นผ้รู ับควำมคิดและนอ้ มนึก / ความคดิ เป็น ต้งั ใจกาหนดรูจ้ ิต อารมณ์ ส่ิงรู้สติ มีสติกำหนดควำมคิด เกิดดบั ในปัจจุบนั / นกั ปฏิบตั ิตอ้ งทาความเขา้ ใจ สมถะ อาศยั ประสาททาง และวิปัสสนากรรมฐาน เป็นวิธีการ เป็นช่ือแห่งวิธีการกรรมฐาน / สมถะ เพ่งกสิณ กาหนดลม กาย เป็นเคร่ืองช่วย หายใจเขา้ ออกพุทโธ กาหนดจิตให้ระลึกรู้ ยอู่ในอารมณ์เดียว หรือเพ่งกสิณ ภาวนาพุทโธ หรือ สัมมาอรหัง ปฏิบัติตำมสมถะ จิตดำเนินสงบ เป็ นอุปจำรสมำธิ และอัปปนำสมำธิ ได้ฌำน / สตเิ ป็นใหญ่ วิธีการยกจิตสู่วิปัสสนา ทาจิตเป็ นสมำธเิ จริญวิปัสสนำ หำกไม่ทำจิตเป็ นสมถะได้ ทำอย่ำงไรไม่ กลายเป็นอนิ ทรีย์ เกิด เกิดสมำธิไม่ได้ / ปฏิบตั ิแบบวิปัสสนาทาอย่างไร ควำมคิดเกิดขึน้ มีสติรู้ มีสติควำมจริง ยก อารมณ์วิปัสสนากรรมฐาน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาจากการพิจารณาต้งั ใจคิดเอง การเพ่งดกู าย เป็ นอนจิ จัง ทกุ ขงั อนตั ตำ เป็ นทกุ ข์อย่ำงไร ดบั ไปจนจิตเกิด วติ ก วจิ ารณ ปี ติ สุข เอกคั คตา เป็น อาการ 32 อปั ปนาสมาธิไดญ้ าณ ไดฌ้ าน เหมือนเพ่งกสิณ / ฝึ กปฏิบัติต้องกำรเป็ นฐำนท่ีสร้ำงพลังจิต จิต สงบมีสมาธิบ่อยๆ วิตกวิจารณ สุข เอกตั ตา เป็ นกำรสร้ำงพลังจิต จิตปี ติ สุข เกดิ พลังงำน ศรัทธา ฝึกสมาธิคลอ่ งตวั เชื่อมนั่ เขม้ แขง็ เช่ือมน่ั ในคุณพระพุทธศาสนา ในฌาน จิต -กาหนดสติ ทกุ ขเวทนา ทกุ ลมหายใจ ยนื เดิน นง่ั นอน กำรฝึ กสมำธิคือ กำรทำจติ ให้มีสิ่งรู้ และ ธรรมชาติ จิตผมู้ ี กำรทำสติให้มีส่ิงระลึก / กำหนดด้วยจิต เป็ นธรรมำรมณ์ โลกธรรมวิชาความรู้ หรือ ความรู้ทาง สมาธิ จติ อาศยั โลกก็ตาม รู้ด้วย จิต สิ่งน้ัน คือ ธรรม / ต้งั ใจกาหนดรู้จิต ความคิดเกิดรู้ ธรรมปรากฏ นิวรณ์ 5 ประสาททางสมอง เกิด เรามีกายอยู่ นิวรณ์ 5 ปรำกฏอยู่ ภาวนาจิตสงบลง จิตสงบเป็นสมาธิ / จิตสงบละเอียด เป็น เป็นผรู้ ับความคดิ อปั ปนาสมาธิ มีความสบาย เบากาย เบาใจ จิตปลอดโปร่ง กายมีความรู้สึก จิตสงบน่ิงไปสู่อปั ป นาสมาธิ กำยหำยไปหมดแล้ว สู่เวทนำ ทุกขเวทนาหายไปหมดแลว้ กายหายไปเหลือจิตดวงเดียว ความคดิ เป็นอารมณ์ / วิธีการปฏิบตั ิภาวนาพุทโธ จิตสงบอยู่ในสมาธิทาอะไร นึกถึงอาการใดๆ จิตกำหนดให้แน่วแน่ ส่ิงรู้สติ มีสตกิ าหนด ฝึ กจนคล่องทำชำนำญ มีสติกำหนดขึน้ มำ นึกถึงอตั โนมตั ิอาศยั โดยอตั โนมตั ิ / นึกถึงอาการใน ความคดิ เกดิ ดบั ใน พลงั จิตไปกระตุน้ อาการน้นั พลงั จิตมีสมาธิ / กระแสจิตไปกระทบท่ีไหน ไปกระทบที่น่ัน รู้สึก ปัจจุบนั สะเทือน เลือดลมเดินคล่องเป็นหตุปัจจยั กายเบา กายสงบ มีปี ติเกิดความสุข / สมาธิกายหายไป ปฏิบตั ติ ามสมถะ จติ ทุกส่ิงทุกอยา่ งหายไป อำรมณ์บริกรรมไม่มี จิตดวงเดียวสงบสะอำดสว่ำง รู้ต่ืนเบิกบาน นิ่งเฉย ดาเนินสงบ เป็น อยู่ ภาวนามาถึงจุดน้ี เขา้ ใจ สงบ อปั ปนาสมาธิ เป็ นข้นั สมถะ ท่านสอนว่า ยกจิตข้ึนสู่ภูมิแห่ง อุปจารสมาธิ วิปัสสนา / จิตสงบน่ิงอยู่ในสภาวะ ช่ัวโมง สักครู่ถอดออกมาความรู้สึกว่า มีกาย ลมหายใจ และอปั ปนาสมาธิ ได้ ปรากฏผปู้ ฏิบตั ิ จงทำสติกำหนดรู้ลมหำยใจ เข้ำออก ควำมรู้สึกอ่ืนไม่มี จิตยดึ อำรมณ์หำยใจเป็ น ฌาน เคร่ืองรู้ เป็ นเครื่องระลึกของจิต จิตกำหนดลมหำยใจ สติสัมปชัญญะ แก่กล้ำเป็ นปัญญำ รู้ลม ปฏิบตั วิ ิปัสสนา ความคิดเกิดข้นึ มีสติรู้ ยกอารมณ์วิปัสสนา กรรมฐาน รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ พจิ ารณาอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา วิธกี ำร การฝึกสมาธิคอื การ ทาจิตให้มีส่ิงรู้ และ การทาสติใหม้ สี ิ่ง ระลกึ กาหนดดว้ ยจติ เป็น ธรรมารมณ์ รู้ดว้ ยจิต ส่ิงน้นั คือ ธรรม ฝึ กจนคล่องชานาญ มีสตกิ าหนดข้นึ มา อาศยั โดยอตั โนมตั ิ จงทาสตกิ าหนดรูล้ ม หายใจ เขา้ ออก ความรูส้ ึกอนื่ ไม่มี จิต ยึดอารมณห์ ายใจเป็น เคร่ืองรู้ เป็นเคร่ือง ระลึกจิต สติสมั ปชญั ญะ เป็น ปัญญา สตสิ ัมปชญั ญะเป็น ตวั ปัญญา กาหนด หมายรูค้ วามคดิ “ไม่ เทย่ี ง” จุดเริ่มตน้ วปิ ัสสนา กายพิจารณาเอารูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ รูปไม่เท่ียง

427 สัญญาไม่เท่ียง หายใจเขา้ ออก / สติสัมปชัญญะเป็ นตัวปัญญำ กำหนดหมำยรู้ควำมคิด “ไม่เท่ียง” จุดเร่ิมต้น สังขารไมเ่ ท่ยี ง นอ้ ม วิปัสสนำบังเกิดขึน้ การยกจิตข้ึนสู่ภูมิแห่งวิปัสสนา จิตถอดสมาธิ รู้สึกว่า กายพิจารณาเอารูป จิต เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง น้อมจิตน้อมใจนึก อาศยั จิตในการฝึก ความสงบลงไป จึงไปรู้ อัปปนำสมำธิ / อำศัยจิตในกำรฝึ กพิจำรณำ จิตไม่ติดสงบสมาธิไม่ติด พิจารณา สตกิ าหนดรู้ สมาธิ มีสมาธิถอดออกมา มีกาย สติกำหนดรู้กำยไป เรื่อยๆ ควำมรู้อำกำรธรรม / จิตกาหนดรู้ กายไป เรื่อยๆ ความรู้ อาการเกิดดบั ว่างไปดูอาการอปั ปนาสมาธิ / ดวงตำเห็นธรรม สิ่งใดส่ิงหนึ่งเกิดขึน้ เป็ นธรรมดำ อาการธรรม สิ่งน้ันดับไปเป็ นธรรมดำ / สักแต่ว่ำรู้ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เรียกชื่อไม่ถูก จิตไม่รู้ รู้อย่ำงไม่มีภำษำเรียก ดวงตาเห็นธรรม สิ่ง ใดส่ิงหน่ึงเกิดข้นึ เป็น อะไร ธรรมดา ส่ิงน้นั ดบั -กาจดั กิเลส ไดส้ ร้ำงสติปัญญำ เป็ นพลังงำน ควำมเป็ นใหญ่ / สมาธิสงบมุ่งสู่สว่างพลงั งานจาก ไปเป็ นธรรมดา จิต พลังสตสิ ัมปชัญญะ พลงั งาน ตามข้นั ตอน เป็นอปั ปนาสมาธิ เป็นฌาน 4 / กาหนดจิต จิตสงบ สักแตว่ ่ารู้ ส่ิงใดสิ่ง ผุดข้ึนมาเหมือนน้าพุ จิตพลังงำนภูมิควำมรู้เกิดปัญญำ สติปัญญา จาเป็นเองโดยอตั โนมตั ิ / เกิด หน่ึง เรียกชื่อไมถ่ กู พลงั ศรัทธา เชื่อมนั่ มีพลงั เขม้ แขง็ เช่ือมน่ั ในพุทธศาสนา เชื่อมนั่ บุญบารมี เช่ือมนั ตวั เอง วิริยะ จิตไม่รู้ รูอ้ ย่างไม่มี ความเพียร พากเพียรเกิดข้ึน ต้งั ใจ มีสติ / สติต้ังใจเกิดควำมมั่นใจอำศัยจิตสงบ สมำธิ กลำยเป็ น ภาษาเรียกอะไร ตัวปัญญำ กำหนดรู้จติ ตวั เอง ผล สรา้ งสตปิ ัญญา เป็นพลงั งาน ความ เป็ นใหญ่ พลงั สตสิ มั ปชญั ญะ จิตพลงั งานภมู ิ ความรู้เกิดปัญญา ตารางท่ี 4.9.9 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “สตติ ำมรู้จิต” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พธุ ฐำนิโย) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั Pu9] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด -ศึกษาธรรมเรียนธรรม รู้กำยกับใจ ของตนเอง ปฏิบตั ิธรรมอาศยั กายกบั ใจ / เรียนปฏิบตั ิตามแต่ ละสำนกั ครูบำอำจำรย์ เรียนรู้หมดปฏิบตั ิแบบไหน / พระพทุ ธเจา้ กาหนดอานาปานสติ รู้ตามลม เรียนธรรมรู้กาย หายใจเขา้ ออกไดส้ มาธิข้ึนสู่ปฐมฌาน ยดึ อารมณ์ วิตก วจิ ารณ์ ปี ติ สุข เอกคั คตา เป็นกายานุปัสส กบั ใจ ตนเอง นาสติปัฏฐาน / สติเป็ นเครื่องมือสะสม จิตเป็นสมาธิ รู้แจง้ เห็นจริงทางธรรม สานกั ครูบา อาจารย์ เรียนรู้ -สตติ ำมรู้จติ ส่ิงประกอบอยทู่ ี่จิต “เจตสิก” / วตั ถุธรรมภำยใน คือ ร่ำงกำย คือ ขนั ธ์ 5 ธำตุ 4 ดิน หมดปฏิบตั ิแบบ นำ้ ลมไฟ นำมธรรม คือ จติ ใจของเรา / จิตน่ิงจิตพุทธะ อาศยั สมาธิตามหลกั ธรรมชาติ ลมหำยใจ ไหน จิตรู้ สติสัมปชัญญะ กำหนดลมหำยใจ สติรู้ลมหำยใจ จิตยดึ ลมหายใจ สงบไปตามฌาน จิตสงบ สตเิ ป็นเครื่องมือ นิ่งวา่ ง สวา่ ง ท่ามกลางกาย กาหนดรู้อาการ 32 / จิตรู้จิตรู้สมำธิ มีสติ รู้ตื่น เบิกบาน มีพลงั งาน สะสม จิตดวงสวา่ งไม่มีร่างกายตวั ตน เปล่งรัศมี รู้ในขณะจิตเดียว รู้อย่ำงไม่มีภำษำ จิตไม่มีร่ำงกำย ไม่ มีเครื่องมือ จึงพดู ไม่ได้ รู้เห็นสิ่งตา่ งๆ ท้งั หมด / จิตถอดออกจากสมาธิ จิตหายไปหมด เหลือกาย หลกั กำร กบั จิต จิตอาศยั ร่างกาย วตั ถุธรรมภายใน คอื ร่างกาย ขนั ธ์ 5 ธาตุ 4 ดินน้าลมไฟ นามธรรม คอื จิตใจ จติ รูส้ มาธิ มสี ติ รู้ต่นื เบิกบาน มีพลงั งาน จิตดวงสว่าง ไม่มี ร่างกายตวั ตน เปลง่ รัศมี จิตเดยี ว รูอ้ ย่างไมม่ ี ภาษา จติ ไม่มรี ่างกาย ไมม่ เี ครื่องมอื จึงพูด ไม่ได้ รูเ้ ห็นส่ิงต่างๆ

428 วธิ ีกำร -ฌำนสมำบัติ เป็ นรูปฌำน อรูปฌำน เป็ นพรหมด ไม่มีรูป ไม่มีร่างกาย กาลงั ฌานเส่ือมจุติไป พรหมโลก / สมาธิ เป็ นหน่ึงเดียว ประกอบ วิตก วิจารณ ปี ติ สุจ เอกคั คตา สมาธิดารงอยูอ่ ยา่ ง ฌานสมาบตั ิ เป็น แน่วแน่ / จิตเกิดควำมรู้แจ้งเห็นจริง ยอมรับสภำพควำมเป็ นจริงว่า เป็นเช่นน้ี การรู้จริง รู้โดยรู้ รูปฌาน อรูปฌาน ตามสภาพความเป็นจริง / สร้ำงพลังเข้มแข็ง ทำจิตให้อำรมณ์จิตเป็ นผู้ส่ังกำร สติเป็ นเคร่ืองมือ สร้างพลงั เขม้ แข็ง สำคัญ ส่ังให้สติตำมรู้ทำงำนให้มีสติ คดิ ไป ปล่อยให้คดิ มีสติตำมไปจนนอนหลับ / การฝึกสมาธิ อารมณจ์ ิตเป็นผูส้ งั่ โดยวิธีการทาจิตใหม้ ีอารมณ์ จึงทาสติให้มีสิ่งระลึก ยนื เดิน นงั่ นอน ด่ืม ทา พูด คิด ทำสติให้มี การ สตเิ ป็น ส่ิงระลึกเป็ นอำรมณ์จิต ให้มีสติรู้อยู่ในเร่ือง ชีวิตประจำวันตลอดเวลำ / สวดมนต์ กาหนดรู้ จด เคร่ืองมือ สาคญั จ่ออยู่ในบทสวดมนต์ทุกตวั อักษร กาหนดสติรู้ ต้ังใจรู้ให้ชัดๆ ปากเปล่งออกมาเป็ นเสียง / สั่งให้สตติ ามรู้ กาหนดในขณะนง่ั สมาธิ ยนื เดิน จงกรมกลบั ไปมา เวลานอนกาหนดจดั ทาสมาธิ ในทา่ นอน ทา ทางาน ปลอ่ ยให้ ความเขา้ ใจ ไม่ต้องเลือกกำลเวลำ ทำสมำธิเวลำทำงำน ทำสมำธิทุกขณะจิต ทุกลมหำยใจ รู้จิตรู้ คิด มสี ตติ ามไป พร้อม รู้เป็นกิริยาเป็นความพุทธะ คือ เป็นผรู้ ู้ รู้อยู่ กาหนดอยู่ / การฝึกสมาธิ โดย -ข้นึ ช่ือวา่ ควำมลบั ไม่มีใตโลก คนอ่ืนไม่รู้ เรำเป็ นผู้รู้ ทลี่ บั ในโลกจึงไม่มี / เจตนาต้งั ใจละความชว่ั วิธีการทาจิตใหม้ ี ประพฤติความดี ทาใจใหส้ ะอาด บริสุทธ์ิ เป็นไปโดยอตั โนมตั ิ ศรัทธาเป็นคณุ พระรัตนตรัย เช่ือ อารมณ์ ทาสตใิ ห้มี ในคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ / วิริยะ เสียสละ ละบาปอกุศท้งั หลาย ทุ่มเทกาลงั กาย สิ่งระลึก ยืน เดนิ นงั่ กาลงั ใจ มีสติ มีความรู้สึก สานึก ผิดชอบ ชว่ั ดี มน่ั คง จิตมุ่งตรง / คุณธรรมควำมไม่ประมำท มี นอน ดมื่ ทา พูด คิด สติสำนึกผิดชอบชั่วดี ตลอดเวลา / ศีล 5 กำรไม่ทำบำปท้ังปวง ศีลสะอาดดี สมำธิรักษำศีล ทาสติใหม้ ีส่ิงระลึก บริสุทธ์ิ สะอาด กายสงบ วาจาสงบ ทาบาปทางวาจาไมไ่ ด้ ปิ ดประตูบาป ปิ ดประตวู ำจำ ไม่โกหก เป็นอารมณ์จิต ให้มี ไม่ส่ อเสียด ไม่มัวเมำ / มีความรู้ผิดชอบช่ัวดี ออกมาจากตัวผู้รู้ ตัวสติ มีพุทโธ อยู่ในจิต สติรูอ้ ย่ใู นเร่ือง ตลอดเวลา พุทโ ที่เรากาหนดทอ่ งบริกรรม พทุ โธถึงจิต ชีวติ ประจาวนั ตลอดเวลา กาหนดรู้ จดจ่ออยู่ใน บทสวดมนตท์ กุ ตวั อกั ษร กาหนดสติ รู้ ต้งั ใจรูใ้ ห้ชดั ๆ ปาก เปล่งออกมาเป็ นเสียง ผล ความลบั ไมม่ ใี ต โลก คนอน่ื ไมร่ ู้ เราเป็นผรู้ ู้ ท่ลี บั ในโลกจึงไม่มี คุณธรรมความ ไม่ประมาท มีสติ สานึกผิดชอบชวั่ ดี สมาธิรักษาศลี บริสุทธ์ิ สะอาด กายสงบ วาจา สงบ ตารางท่ี 4.9.10 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “กำรฝึ กสมำธภิ ำวนำที่เป็ นองค์แห่งณำน” ตามแนวทางปฏิบตั ิ พระรำชสังวรญำณ (พุธ ฐำนโิ ย) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั Pu10] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด -เวลาฟังธรรมให้กำหนดรู้ จิตของตนเอง กายกบั จิตมีความสัมพนั ธ์กนั จิตกาหนดรู้จิต ส่ิงใด กายกบั จติ มี ผา่ นมา เรารู้ รู้โดยไม่ต้งั ใจ / กำรทำสมำธิคือ กำหนดจิตให้มีส่ิงรู้ จิตให้มีส่ิงระลึก อารมณ์ใหม้ ี ความสมั พนั ธก์ นั สิ่งระลึก เช่น สวดมนต์ กำหนดรู้ทำทกุ คำ เป็ นสมำธิ เป็นการทาสมาธิ / ฝึกสมาธิ สมำธเิ กิดขึ้น จิตมีพลังงำน สัมมาสมาธิ เกิดความรู้ เกิดอตั โนมตั ิ สติรู้พร้อม / กำหนดรู้ ทุกขอริยสัจ พลงั ทาสมาธิคอื กาหนด จิตให้มสี ิ่งรู้ จิตใหม้ ี ส่ิงระลกึ สมาธิเกิดข้ึน จติ มี พลงั งาน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook