Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 64 รายงานผลการวิจัย

64 รายงานผลการวิจัย

Published by วิจัย แม่โจ้, 2022-06-10 04:17:13

Description: 64 รายงานผลการวิจัย

Search

Read the Text Version

329 ความไม่สุข นีเ้ ป็ นสัมปชัญญะ ให้รู้อยู่ว่า เวลานีเ้ รามีทุกข์ หรือเรามีสุข หรือว่า เราไม่สุขไม่ทุกข์ 207ถ้าเรา ความไมท่ ุกข์ พอใจสิ่งนั้น เรียกว่า อาการความสุข เป็ นความสุขโลกีย์ ปรารถนาสมหวัง พอใจส่ิงน้ันเป็ น ของจิต อาการของความสุข 208อาการอทุกข์กับอสุข คือ ความไม่ทุกข์ไม่สุข ทุกข์กไ็ ม่มีสุขกไ็ ม่ใช่ มัน พอใจเรียกวา่ เฉยๆ เป็ นอารมณ์ ว่างจากความสุขความทุกข์ 209พระพุทธเจ้ าสอนให้ คิด รู้เพื่อจะให้ มี อาการสุข เป็น สัมปชัญญะเป็ นความไม่ประมาทในชีวิต ไม่มัวเมาในชีวิต ท่ีคิดว่า เป็ นความสุขตลอดเวลา โลกีย์ สอนให้เป็นคนไม่ประมาท ความจริงของขนั ธ์ 5 ให้คิด รู้ เพื่อจะให้มีสัมปชัญญะเป็นความไม่ อารมณว์ ่างจาก ประมาท ในชีวิต ไม่มัวเมาในชีวิต ที่คิดว่าเป็นความสุขตลอดเวลา สอนให้เป็นคนไม่ประมาท สุข ทุกข์ เรียก ความจริงของขันธ์ 5 อทกุ ขมสุข เวทนา 210กรรมฐานจุดใดจุดหน่ึง จิตเกาะอารมณ์ จิตมีความวุ่นอยู่ เยอื กเยน็ สังขารุเบกขาญาณ (ท่าน ให้คิดรู้เพื่อมี สอนใหว้ างเฉยในเมื่อสงั ขารภายใน คือ ร่างกายของตนเอง สงั ขารภายนอก คือ ร่างกายของคน สมั ปชญั ญะ และสัตว์ ไดต้ ิดใจปลงไดว้ า่ ธรรมดาตอ้ งเป็นอยา่ งน้ี ไม่มีทางหลีกเล่ียงได้ มีจิตสบายเป็นปกติ ความจริงขนั ธ์ 5 ไม่มีความหวน่ั ไหว เสียใจ น้อยใจ เกิดข้ึน) 211ทุกขเวทนา ไม่มีอามิส ไดแ้ ก่ วิตก วนั พรุ่งน้ีมี กินม้ยั เจา้ มาถวงหน้ีม้ยั เรามีสภาพเป็ นอย่างไร เป็ นธรรมดาที่เราแกไ้ ขไม่ได้ เป็ นส่ิงกฎของ วธิ ีกำร กรรม ช่างหัวมนั เกิดแล้วก็ตาย ตายแล้วก็ดบั 212เข้าใจความทุกข์ ความทุกข์คือส่ิงท่ีต้องทน อะไรท่ีจะต้องทน ทนจนชิน จนไม่รู้ว่ามันทน เห็นเป็ นธรรมดา 213นักปฏิบัติกรรมฐาน เพ่ือ สงั ขารุเบกขา มรรคผลต้องมปี ัญญา ไม่ใช่มสี ัญญา 214จิตของเรามีความสุขหรือความทกุ ข์ หรือว่าเราไม่สุขไม่ ญาณ จิตเกาะ ทุกข์ คาว่า “อามิส” หมายถึง วัตถุหรือสิ่งของ เวลานีร้ ่ างกายเราเป็ นอย่างไร มันสุขหรือทุกข์ อารมณเ์ ยอื กเยน็ ทุกข์เพราะเหตุว่าส่ิงของท่ีเรามีอยู่มันสลายไป หรือว่า คนท่ีเรารักเขาจากไป ให้รู้สุข เพราะ ทุกขเวทนา ไม่มี อะไร กาหนดรู้ไว้เท่าน้ัน เวลาจิตเราว่างจากความสุขหรือความทุกข์นี้ อามสิ 215ไม่ยึดถืออะไรๆ ในโลกดว้ ย ไม่ยึดถือในเวทนา ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา เวทนา เขา้ ใจทกุ ข์ ทน เกิดข้ึน ใชค้ าวา่ “ช่ำงมัน” เราไม่สนใจ ไม่ยึดถือทุกอย่ำงในโลก เราไมม่ ีความรู้สึกวา่ มนั เป็นเรา เห็นเป็ นธรรมดา ของเรา นกั ปฏิบตั กิ รม ฐานมปี ัญญา ไม่ใช่มสี ญั ญา กาหนดรู้จิตว่าง จากสุข ทกุ ข์ ผล ไมย่ ึดติดเวทนา ไมย่ ึดถืออะไร ในโลก ช่างมนั ตารางที่ 4.5.10 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “มหำสตปิ ัฏฐำนสูตร-10 จติ ตำนุปัสสนำ” แนวทางปฏิบตั ิ พระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษีลงิ ดำ) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั L10] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด L10-216วา่ ดว้ ยจิต จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน พิจารณาเห็นจิตในจิต การพจิ ารณาจิต 217 “มหำ สติ” แปลว่า สติใหญ่ ใชท้ าท้งั ตลอด ไม่ยอมให้สติคลาดเคลื่อนไป 3)จิตตานุปัสสนาสติ พจิ ารณาจิตในจิต ปัฏฐาน เป็นท้งั สมถะและวปิ ัสสนา 4)พระพทุ ธเจ้าทรงส่ังสอนให้รู้อารมณ์ของจิต ให้รู้สติ มหาสติ แปลวา่ สติ เป็นอย่างไร กาหนดรู้ไว้ ท่านให้รู้ 16 ข้อ ใหญ่ใช้ตลอด ไมใ่ ห้ คลาดเคล่ือน

330 จิตตานุปัสสนาเป็ นท้งั 220ศูนยก์ ลางแห่งการเจริญกรรมฐานท้งั หมด ความสาคญั อยู่ที่จิตมีความเขา้ ใจเร่ืองของจิต สมถะและวปิ ัสสนา เราใชม้ หาสติปัฏฐานาสูตรเฝ้าสังเกตจิตในจิต 221 1)จิตมีราคะ 2)จิตปราศจากราคะ 3)จิตมี สอนใหร้ ู้อารมณ์ของ โทสะ 4)จิตปราศจากโทสะ 5)จิตมีโมหะ 6)จิตปราศจากโมหะ 7)จิตรวมกันอยู่ 8)จิต จิตให้รู้สติเป็นอยา่ งไร ฟ้งุ ซ่าน 9)จิตแผข่ ยายออกไป 10)จิตไม่แผข่ ยายออกไป 11)จิตยงั ไม่ถึงภาวะสูงสุด 12)จิต กาหนดรู้ 16 อยา่ ง ถึงภาวะสูงสุด 13)จิตเป็ นสมาธิ 14)จิตไม่เป็ นสมาธิ 15)จิตหลุดพน้ 16)จิตไม่หลุดพน้ 222อารมณ์จิต ราคะ โทสะ โมหะ พิจารณาเห็นอยู่ รู้อยู่ เราใชส้ ติปัฏฐาน มหาสติปัฏฐาน ใช้ หลกั กำร กาลงั อยตู่ ลอดเวลา ไม่ทาใหส้ ติคลาดเคล่ือนไป สติ จิตมีสติต้งั อยู่ ไม่ยดึ ถืออารมณ์ใดๆ ใน โลกปล่อยไป 223อาการจิตอย่าง 16 ข้อ ไม่ต้องท่ องจาก็ได้ ไม่จาต้องเกาะตารา ศนู ยก์ ลางสติปัฏ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีสัปชัญญะ ว่า เรามีอารมณ์เป็นอย่างไร คือ รู้อารมณ์ คุมอารมณ์ ฐานสาคญั อยทู่ ่ีจิต เท่านั้น ว่า เรามีอารมณ์เป็ นอย่างไร แก้อารมณ์พยายาม 224สรุปจิตมีอารมณ์ ดี กุศลให้ ส่งเสริม พยายามทาให้มากขึน้ อารมณ์ช่ัว แก้ไขทันที น่ังดูกระแสจิตว่า เวลานีจ้ ิตของเรา เฝา้ สังเกต จิตในจิต 16 มสี ี หรือไม่มสี ี อยา่ ง จิตมีราคะ ปราศจากราคะ มโี ทสะ 225จิตทรงฌาน อารมณ์แนบแน่นอยู่ในความดี รักษาจิตให้ทรงตวั อย่าให้ฌานสลายตวั ไป ปราศจากโทสะ มีโมหะ ใชอ้ านาปานสติเขา้ มาช่วย จิตใหม้ ีอารมณ์ 226พิจารณาจิตในจิต ภายใน คือ จิตของเรา จิต ปราศจากโมหะ รวมกนั ภายนอกเห็นจิตคนอื่น อารมณ์ของเราไปเกาะเก่ียวคนอื่น รู้อารมณ์ของเรารู้อารมณ์ของ อยู่ จิตฟ้งุ ซ่าน แผ่ขยาย คนอื่น ธรรมดาเกิดข้ึนใจจิตความเส่ือมไป อารมณ์ของความดี อารมณ์ฌาน อารมณ์ ออกไป ไม่แผ่ขยาย วิปัสสนาอยา่ งสูง 227ดูจิตว่าเราทรงสมาธิ อานาจ อานาปานสติกรรมฐาน จิตเขา้ สู่อุปจาร ออกไป ยงั ไมถ่ ึงภาวะ สมาธิ จิตมีความอ่ิมเอิบ ขนลกุ น้าตาไหล ตวั โยกตวั ลอย ตวั เบาโปร่งอารมณ์สบาย 228ท่าน สูงสุด ถงึ ภาวะสูงสุด ปฏิบตั ิจงอย่าวางกาลงั ใจ เอาสติเขา้ ไปคุมกาลงั ใจ อย่าให้ราคะเกิดข้ึนในจิตใจ ราคะเขา้ เป็นสมาธิ ไม่เป็นสมาธิ จิตใจวุ่นวาย เป็นทุกข์ กาลงั ใจทาใหค้ รบถว้ น ไม่ยึดถืออะไรๆ ในโลก 229เอาสติเขา้ คุมไว้ หลดุ พน้ ไม่หลดุ พน้ อย่าให้ราคะเกิดข้ึนในจิต ดูจิตมีราคะเกิดข้ึนหรือไม่ ให้จับอาการ 32 ปฏิกูล จับ มา อารมณจ์ ิต พจิ ารณาเห็น ใคร่ครวญพิจารณา โทสะตอ้ งใชพ้ รหมวิหาร 4 ตอ้ งทรงตวั อยู่ตลอดวนั ตดั ให้หมด ทรง อยู่ รู้อยู่ ไมถ่ ืออารมณ์ ตลอดดว้ ยอารมณ์จิตของท่านสบาย 230โมหะดว้ ยใจของท่าน ใหร้ ักความจริง จิตใจตอ้ งรัก รู้อารมณ์ คุมอารมณ์ แก้ ความจริง อย่าไปรักความไม่จริง เราหลงว่า เป็นเราของเรา เป็นอยา่ งไรบา้ ง 231อย่ายึดกาย อารมณ์ ภายในกาย ภายนอก ตวั ตดั วิปัสสนาญาณ และกาลงั ใจ สร้างความรู้สึกเป็นประจาว่า โลก ดกู ระแสจิตกศุ ลอกศุ ล น้ีไมม่ ีอะไรเป็นของเรา ไม่มีร่างกายเป็นของเรา ไม่มีอะไรยดึ ถือได้ 232ส่ิงที่เราตอ้ งการ คือ อารมณ์วา่ ดว้ ยพระนิพพาน 233รู้อาการจิตประกอบด้วย 1)รู้อย่วู ่าจิตมรี าคะ 2)รู้อย่วู ่าจิตของ วธิ กี ำร เราปราศจากราคะ 3)รู้อย่วู ่าจิตมีโทสะ ความโกรธ ไม่ชอบใจ 4)รู้อย่วู ่าจิตปราศจากโทสะ เราไม่ได้โกรธใคร เราไม่คิดโกรธใคร ไม่คิดฆ่าใคร ไม่พยาบาทปองร้ายใคร 5)รู้อย่วู ่าจิตมี รกั ษาจิตทรงฌานใชอ้ า นาปานสติเขา้ ช่วย พิจารณาจิตในจิต เรา และจิตผอู้ นื่ ดูจิตทรงอานาจสมาธิ ดว้ ยอานาปานสติ กรรมฐานเขา้ อปุ จาระ สมาธิ เอาสติคุมกาลงั ใจ ไม่ให้ ราคะเขา้ จิตใจ เอาสตคิ มุ ไวพ้ ิจารณา อาการ 32 ปฏกิ ลู พรหม วิหารทรงตวั อารมณ์จิต สบาย จิตใจตอ้ งรกั ความจริง สร้างความรู้สึกประจาว่า ไมม่ อี ะไรในโลกเป็น ของเรา มีอารมณ์พระนิพพาน รู้อาการจิต 16 อยา่ ง ราคะ โทสะ โมหะ หดหู่ ฟ้งุ ซาน อารมณ์ อารมณ์ เย่ยี ม จิตต้งั มน่ั จิตส่าย หลุดพน้ ไมห่ ลุดพน้

ผล 331 ทาลายนิวรณ์ โมหะ ความหลง ความช่ัว ยึดถือเป็ นเราของเรา หลอกตัวเองด้วยโมหะความโง่ 6)รู้จิต อารมณ์จิตดี ของเราปราศจากโมหะ คือ เวลานีจ้ ิตมีปัญญารู้ ร่ างกายมันตายไม่มีอะไรทรงสภาพ เป็ น ไมส่ นใจเรื่องชาวบา้ น อนิจจังไม่เที่ยง เป็นทุกขัง อนัตตา สลายไป 7)รู้ว่าจิตของเราหดหู่ คือ มันเห่ียวแห้ง ไม่มี เขาจะดีจะชว่ั เรื่องของ กาลังใจ 8)รู้ว่าจิตของเราฟุ้งซ่าน คิดสร้ างวิมานในอากาส หาสิ่งท่ีเป็นสาระไม่ได้ 9)รู้ว่า เขา จิตมีอารมณ์ ใหญ่ 10)รู้ว่าจิตไม่มีอารมณ์ ใหญ่ 11)รู้อยู่ว่าอารมณ์ อย่างอื่นเยี่ยมกว่า ศึกษามหาสตปิ ัฏฐาน 4 ปรารถนาเป็นคนดีมีศีล เป็นคนมีสมาธิ คนมีวิปัสสนาญาณแจ่มใส อยากไปพระนิพพาน เป็นอาการสุขวปิ ัสสโก เป็ นอารมณ์ท่ีเยี่ยมกว่า อารมณ์ธรรมดา หลังพระนิพพานเป็นอารมณ์ 12)รู้อยู่ว่าเราไม่มี ไดว้ ิชชา 3 อารมณ์ท่ีเย่ียมกว่า 13)รู้จิตต้ังมั่น เราตั้งใจในอารมณ์ใดอารมณ์ หนึ่ง คืออานาปานสติ กรรมฐาน อารมณ์อยู่ ตั้งอย่เู ฉพาะเท่านนั้ ไม่สอดส่ายไปในอารมณ์อ่ืน ย่ิงไปกว่านี้ อารมณ์ จิตต้ังมั่น 14)รู้ว่าในขณะนี้ เรามีอารมณ์จิตไม่ต้ังมั่น จิตมันส่ายออกนอกลู่นอกทาง 15)รู้ ว่าเวลานี้ จิตหลดุ พ้นแล้ว 16)เรารู้อย่จู ิตไม่หลดุ พ้น 234ทาลายนิวรณ์ ถา้ หลุดพน้ ดว้ ยวิปัสสนาตดั ขาดไปเลย 235อารมณ์จิตดีขึน้ หรือเลวลง ยับยั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง 236ช่ัว คือ ความเศร้ าหมอง ถ้ารักความช่ัว สนใจ เร่ืองชาวน้านให้มาก เขาจะดี จะช่ัวเรื่องของเขา เร่ืองของเรามาชาระกระแสจิต 237อาการ ของท่าน สุขวิปัสสโก ศึกษามหาสติปัฏฐานสูตร 238เจริญอานาปานสติกรรมฐานแล้ว ทรง วิชชา 3 หรือได้ ทิพยจักขญุ าณ การฝึ กวิชชาสาม การบรรลมุ รรคผลเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว 7 วัน 7 เดือน 7 ปี ตารางท่ี 4.5.11 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “มหำสตปิ ัฏฐำนสูตร-11 ธัมมำนุปัสสนำ-นวิ รณ์บรรพ” แนวทางปฏิบตั ิ พระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษลี งิ ดำ) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั L11] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ L11-239นิวรณ์ 5 กาหนดรู้พิจารณา 1)กามฉันทะ 2)พยาบาท ความมุ่งร้าย 3)ความง่วงเหงาซึมเซา ถินมิทธะ 4)ความขนุ่ เคือง อุทฺธจฺกกุ ฺจฺจ 5)ความเคลือบแคลงสงสยั วิจิกิจฺฉา 240พิจารณานิวรณ์ 5 กาหนดรู้ เห็นธรรมในธรรม กามฉันทะ พยาบาท เกียจคร้าน ง่วงเหงา ฟุ้งซ่าน เคลือบแคลงสงสัย พิจารณานิวรณ์ 5 พิจารณารู้ชดั วา่ มีในจิต ไม่มีในจิต ยงั ไมเ่ กิดข้ึน เกิดข้นึ แลว้ ละแลว้ ละแลว้ ไม่เกิดข้ึนอีกต่อไป เห็นธรรมใน 241ธรรมานปุ ัสสนาสติปัฏฐาน นิวรณ์ 5 อาการท่ีกนั ความดี กันตัวปัญญา อาการอวิชชา ความโง่ ธรรมนิวรณ์ 5 คือโมหะ อวิชชา แปลว่า ความโง่ 242หลวงพ่อฯ ท่านสอนอย่างนักปฏิบัติ เป็ นสาวก นิวรณ์ 5 อาการท่ี พระพุทธเจ้าเร่ืองทางโลกไม่รู้ รู้เหมือนกันแต่ไม่สนใจ พูดกันเร่ืองธรรมะ จะไปห่างชาวโลก กนั ความดีกนั เพื่ออะไร เร่ืองชาวโลกเราไม่ห่วง ถ้าห่วงชาวโลกเรากต็ ิดอย่ตู ลอดเวลา 243มหาสติปัฏฐานสูตร ปัญญา สอนอยา่ งนกั จับนิวรณ์ให้เป็ นสัมปชัญญะ 244นักปฏิบัติไม่ต้องลอกศัพท์จากตารามาใช้กับนักปฏิบัติต้องคิด ปฏิบตั ิ พูด จากของยากให้ง่าย ไม่ใช่คิดจากของง่ายให้ยาก มคี นชอบเอาศัพท์เลอะ มาคิด คิดให้มนั มากไป ธรรมะ ไมส่ นใจ ศัพท์เลก็ คิดให้มันใหญ่ ศัพท์น้อยคิดให้มันมาก ศัพท์ง่าย คิดให้มันยาก วินิจฉัยความไปต่างๆ เรื่องทางโลก จบั นิวรณ์เป็น สมั ปชญั ญะ เป็นนกั ปฏิบตั เิ อา ดีทีใ่ จ ทาของ

332 ยากใหง้ า่ ย ไม่ ท่ีความหมายเลอะเทอะ เอาดีไม่ได้ 7)เป็นนักปราชญ์แค่ลิน้ นกั ศพั ท์แสงต่างๆ โยนท้ังหมด หัน ตอ้ งลอกศพั ท์ มาสรุปรวบรวมแบบง่าย ๆ นกั ปฏิบตั ิเขาไม่ได้เอาดีที่ลิน้ เอาดีที่ใจ ของยากทาให้ง่าย ของกว้าง จากตารา ทาให้สั้น ของส้ันทาให้ยาว สร้างด้วยเข้าใจปรากฏการณ์ นิวรณ์ 5 245เอาจิตเขา้ ไปรับรู้นิวรณ์ 5 รู้เป็ นสมถภาวนา จิตมีความรู้สึกว่า นิวรณ์ 5 เกิดข้ึนในจิตเรา หลกั กำร อาการท้งั หลายเกิดข้ึนในจิตของเรา 246เอาสติไปคุมจิตไวเ้ สมอ เป็นสติปัฏฐาน สติคุมจิตเสมอ เอาจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็นตวั ยืน มหาสติปัฏฐานสูตร 247เอาจิตไปรับรู้เป็นสมถภาวนา มี เอาจิตเขา้ ไปรับรู้ อารมณ์เขา้ ไปรู้สมถภาวนา พิจารณาตามจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน มีอารมณ์เขา้ สู่สมถภาวนา นิวรณ์ 5 เป็น จิตมีความรู้สึกจิตของเรา เรารู้อาการ สิ่งท้งั ปวงละได้ อาการอย่างไร มีอารมณ์รู้ เอาจิตไปรู้ไป สมถภาวนา 2481)กามฉันทะ ความพอใจรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส รักใคร่ ในรูปสวย ในเสียงเพราะ ใน อาการนิวรณ์ 5 กลิ่นหอม 2)พยาบาท ความโกรธ คิดจองล้างจองผลาญคนอ่ืน คิดประทุษร้ าย คิดด่า ฆ่า กล่ัน เกิดข้ึนในจิตเรา แกล้ง เป็ นอารมณ์คิดยังไม่ถึงกระทา 3)อุทฺธจฺกุกฺจฺจ อารมณ์คิดนอกลู่นอกทางส่ายไปหา เหตผุ ลไม่ได้ 4)ถินมิทธะ ความง่วงหาวนอน เข้ามาแทรกความดี 5)วิจิกิจฉา ความสงสัย สงสัย สตไิ ปคมุ จิต ผลท่ีเราทามนั จะได้หรือไม่ คาสอนสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริงหรือไม่ เสมอ เอาจิตตา นุปัสสนาสติ 249นิวรณ์ 5 เกิดตอ้ งหกั ลา้ งดว้ ย 1)ปฏิกูลสัญญา อาการ 32 ว่า ร่างกาย คนสัตว์ มีสภาพ สกปรก ปัฏฐานเป็ นตวั แบ่งตามอาการ 32 อุจจาระ ปัสสาวะ 2)ธาตุ 4 เขา้ มาประชุมในร่างกาย เป็นของสกปรก 3)ดูน ยืน วสี คนตายซากศพ พิจารณาอยู่เสมอๆ ร่างกาย คน สัตว์ ท่ีเราหลงรักมันสกปรก ความรัก จิตมคี วามรู้สึก ระหว่างเพศ ตวั อุเบกขาตอ้ งสร้างให้เกิด อารมณ์ความวางเฉย สมถะภาวนาตดั นิวรณ์ 5 250กาม จิตรู้อาการ ส่ิง ฉันทะ อารมณ์รัก คนรูปสวย สัตว์ วตั ถุ เหมือนกันหมด หักล้างดว้ ยอสุภกรรมฐาน ปฏิกูล ท้งั ปวงละได้ สญั ญา อาการ 32 ร่างกายเป็นของสกปรก เตม็ ไปดว้ ยความสกปรก อจุ จาระ ปัสสวะ น้าเลือดน้า หนอง ปฏิกูลบรรพ หักลา้ งกายฉันทะ ถุงอุจจาระเครื่อนที่ ถา้ พิจารณาใวเ้ สมอ จิตเป็ นสมาธิ รู้ลกั ษณะนิวรณ์ ทรงตวั ที่เขาหลงรัก สกปรก พอใจความรักระหว่างเพศ สังขารุเบกขาญาณ เกิดอุเบกขาและ กามฉันทะ สมาธิเกิดข้ึน เป็ น เอกกัตคตารมณ์ ความวางเฉยต่อร่างกาย ใจเราสบาย 251ความพยาบาท พยาบาท อารมณ์ หักลา้ งดว้ ย พรหมวิหาร 4 ความรักเมตตา สงสาร ทุกคนในโลกเกิดมาไม่มีใครตอ้ งการศตั รู คดิ งว่ งหาวนอน ตอ้ งการมิตร การกระทาของเขาเป็นการรู้เท่าไม่ถึงการ จิตเราใหอ้ ภยั เขา เน้ือแทเ้ ขาไม่ตอ้ งการ สงสัย เช่นน้นั หักอารมณ์โกรธ พยาบาท ดว้ ยพรหมวิหาร 4 252ความง่วงเหงาหาวนอน เกิดข้ึนอาการ รู้จกั หักลา้ งดว้ ย จงทาให้กวา้ ง แหงนดูดาว เอาน้าลา้ งหน้า ลุกข้ึนเดิน มีอาการอ่อนเพลียให้ วิธีกำร พกั ผอ่ น นอนพกั ผอ่ น จิตใจเราสบาย ร่างกายหายเพลีย เร่งรัดปฏิบตั ิความดี 253ความฟ้งุ ซ่านใช้ อานาปานสติ กาหนดรู้ลมหายใจเขา้ ออก ใหจ้ ิตดูลมหายใจ หายใจเขา้ ยาว หายใจออกส้ันทา 2-5 หักลา้ งนิวรณ์ 5 นาที ทาให้มาก ทาส้ันๆ ธรรมดาจิตคนเราจะบังคบั ให้ทรงตัวไม่ได้ ไม่ต้องภาวนาแต่ให้ พจิ ารณาปฏกิ ลู พิจารณา เอาแค่กาหนดรู้ลมหายใจเขา้ ออก เวลาน้ีรู้ลมหายใจเขา้ ออกยาวส้นั รู้อยู่ 254อย่ายดึ มนั่ สัญญาธาตุ 4 ซากศพ นวสี9 กามฉนั ทะ หักลา้ ง อสุภ กรรมฐาน ปฏกิ ูล สัญญา พยาบาท หกั ลา้ ง พรหมวิหาร งว่ งเหงา หาวนอน หักลา้ ง ดว้ ย พกั ผ่อน ฟ้งุ ซ่าน ใชอ้ านา ปานสติ กาหนด รู้ลมหายใจ อยา่ ยดึ มนั่ เป็น อารมณเ์ รำ อนิจจงั ไม่เท่ียง เป็นทกุ ข์ สลายตวั รูปไม่คงสภาพ สลายตวั ไป

333 อาศยั มีความโง่ เป็ นอารมณ์เป็ นของเรา อารมณ์จิตทว่ั ไป รัก โกรธ ฟุ้งซ่าน สงสัย โลกน้ีเป็ นอนิจจงั ไม่เท่ียง เสมอกนั มีสภาพ เป็นทุกข์ สลายตวั ไป ทุกส่ิงทุกอย่าง ไม่มีการทรงตวั เห็นแลว้ สักแต่วา่ เห็น จงอยา่ เขา้ ใจวา่ มนั ทกุ ขเ์ ช่นกนั เป็นเราเป็นของเรา ร่างกายเรา ร่างกายเขา เป็นสภาวะเตม็ ไปดว้ ยความสกปรก สร้างอารมณ์ ทา รีบปฏิบตั ิธรรม ให้เห็นว่า โกรธ พยายาท เป็ นปัจจยั แห่งความช่วั ไม่ยึดถือว่า ร่างกายของเรา วตั ถุของเรา ให้ทนั ชาวบา้ น อารมณ์ใจเรากเ็ ขา้ ถึงพระนิพพาน 255กามฉันทะ รูปของใครมนั ทรงสภาพ สภาพมันสลายไปไม่ รีบดบั ฟ้งุ ซ่าน ทรงสภาพ เสียงผ่านหูไปหายไป ไม่คงสภาพ รส กลิ่น หายไป รสผ่านลิน้ ไปหายไป การสัมผัส เกิดแก่จิต ต้องการไม่มีอะไรคงสภาพ ไม่ใช่ของดี 256พยาบาท คิดฆ่าคนอ่ืน ไปฆ่าเขาทาไม ไปโกรธเขา สงสัยคาสง่ั สนอ ทาไม ไปเกลียดเขาทาไม คนเกิดมามันมีดี มีชั่วเหมือนกัน เพราะอาศัยมีความโง่เสมอกัน เขามี ให้ลองพสิ ูจน์ สภาพเช่นเดียวกัน ไม่ต้องไปโกรธ อย่าไปทาให้เขามีความทุกข์ เขาทุกข์ของเขาอย่แู ล้ว ทุกข์ ดว้ ยการปฏบิ ตั ิ ของเขา ยกไม่ไหว หนกั จะทับเขาตายแล้ว เราเองกเ็ หมือนกัน 257ความง่วงเหงาหาวนอน กางก้ัน นิวรณเ์ กิดข้ึนกบั ความดี ปฏิบตั ิธรรมไม่ทันชาวบ้าน 258ความฟ้งุ ซ่าน ความคิดพล่านเกิดขึน้ แก่จิต เกิดความอยาก ใจ จงรู้วา่ เกิดข้ึน ดี อยากได้ อยากร่ารวย ความโกรธพยาบาท เกิดความหลงในร่ างกาย เมาในทรัพย์ ร่ างกาย วางจากจิตให้มี ตัวเองและคนอ่ืน ถ้ามันเกิดแล้ว จงรีบดับ 259 ความสงสัย สงสัยคาสั่งสอนที่ในพระไตรปิ ฏก สัมปชญั ญะ เป็ นของพระพุทธเจ้าหรือเปล่า รุ่นก่อนพากันโกหกไว้ พระสูตร ชาดก นิทานเป็ นเร่ืองจริง อารมณจ์ ิตวา่ ง หรือไม่ ให้ลองพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ จะไม่ต้องน่ังพูดหรือน่ังคิดเสียเวลาเปล่าทาไม 260รู้ให้มี จากนิวรณ์ จิต สัมปชัญญะ ว่า มีกามฉันทะ เกิดขึน้ กับใจเราแล้วหรือยัง นิวรณ์เกิดขึน้ จงรู้ว่าเกิดขึน้ แล้ว ถ้า เป็ นปฐมฌาน นิวรณ์วางจากจิต สอนให้มีสัมปชัญญะ 261ให้รู้ว่า นิวรณ์เกิด นิวรณ์ดับเม่ือไร นิวรณ์มันกั้น ความดีของจิต กั้นกุศลที่จะเกิดขึน้ ถ้านิวรณ์เกิด กุศลมันไม่มี ทาลายไม่ได้ เกิดนิวรณ์ 5 ไม่ได้ ผล เกิดกบั จิต อารมณ์จิต ว่างจากนิวรณ์เมื่อใด ซ่ือว่าจิตทรงปฐมฌานอย่างตา่ 262ถ้าความช่ัวเข้าสิงจิต เข้าถึงจิตเมื่อใด ความดไี ม่ปรากฏเม่ือนัน้ นิวรณ์ 5 กันตวั ปัญญา เป็น นิวรณเ์ ป็นกนั อาการอวิชชา คือ ความโง่ โมหะ คือ ความหลง เข้าสิงจิตเรา กจ็ ะหาความดไี ม่ได้ ตวั ปัญญา ตารางที่ 4.5.12 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “มหำสติปัฏฐำน - 12 ธัมมำนุปัสสนำ ขนั ธบรรพ” แนวทางปฏิบตั ิ พระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษลี งิ ดำ) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั L12] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ L12-263ขนั ธ์ 5 เป็ นวิปัสสนาลว้ น 264ขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในมหา สติปัฏฐานสูตร “ขันธ์” แปลว่า กอง นิวรณ์ 5 เป็ นสมถกรรมฐาน ส่ วนขันธ์ 5 เป็ น ขนั ธ์ 5 วปิ ัสสนาลว้ น วิปัสสนากรรมฐาน “อุปทาน” แปลว่า เข้าไปยึดถือ ขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา เรามีในขนั ธ์ 5 ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา มีในเรา 265ขันธ์ 5 ในมหาสติปัฏฐาน อุปทานขันธ์ 5 เห็นธรรมในธรรมทั้งหมด ย่อม สังขาร วญิ ญาณ พิจารณาเห็นรูป ความเกิดแห่งรูป ความดับแห่งรูป แม้ว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ อปุ ทานขนั ธ์ 5 เห็น ธรรมในธรรม เหมือนกัน รูปเป็นอย่างนี้ ตามที่เราเห็นด้วยตาเนือ้ ก่อตง้ั ด้วยอานาจ ธาตุ 4 มอี าการ 32

334 หลกั กำร 266พระพุทธเจา้ ทรงฝึ กอุปทานขนั ธ์ 5 ไว้ สักกายะทิฏฐิ ละร่างกาย เกิดข้ึน แปรปรวน ตาย สลายตัว อุปทาน เป็ นการเข้าไปยึดถือ อุปทานคือ การยึดมั่น ถือม่ันว่า ขันธ์ 5 267ใช้ ละการยึดมน่ั ถือมน่ั สติสัมปชัญญะควบคุมไปด้วย คือ อานาปานสติกรรมฐานหายใจเข้าออก เป็นกรรมฐานที่ ขนั ธ์ 5 สาคัญมาก นักปฏิบัติกรรมฐานทุกแบบไม่ทิ้งสมถกรรมฐาน กรรมฐานสาคัญมาก คือ เป็น ใชส้ ตสิ มั ปชญั ญะอา วิปัสสนาญาณ แต่อย่าทิง้ สมถะ อย่าทิง้ ทรงสติสัมปชัญญะ 268มหาสติปัฏฐาน ไม่ใช่ทาอย่าง นาปานสติกรรมฐาน ใดแล้วทิ้ง ต้องย้อนไปย้อนมา เอาเข้าเคล้ากัน 269รูปเป็นหนังกาพร้ า มีเนือ้ มีเลือด มีตับไต ผังผืด ปอด อาการ 32 ครบด้วยเป็นรูป รู้เกิดได้ต้องดู ธาตุ 4 อาศัยธาตุ 4 มาประชุมกนั ก่อตัว มหาสตปิ ัฏฐาน ตอ้ ง กัน เป็นอาการเกิดของรูป 270สังขาร คือ สภาพท่ีปรุงแต่งจิต หมายถึง อารมณ์จิต อารมณ์ท่ี ยอ้ นไปมา เข้ามาแทรกจิต ปุญญาภิสังขาร คือ อารมณ์ท่ีมีความสุข อปุญญาภิสังขาร คือ อารมณ์ท่ีมี อาการของรูป ความทุกข์ อเนญชาภิสังขาร คือ อารมณ์วางเฉยเป็นอารมณ์กลาง อุเบกขารมณ์ เป็นอารมณ์ สงั ขารคอื สภาพทป่ี รุง ที่ว่างจากกิเลส มปี ัญญาใช้เป็นจิตสังขาร แตง่ จิต อารมณ์จิต 271รูปมีการเปลี่ยนแปลงเกิดข้ึน สลายตวั รูปเกิดดบั การเปล่ียนแปลง อาศยั พ่อแม่ จึงมีรูป อารมณท์ ีเ่ ขา้ มาแทรก เกิดข้ึนมา รูปเกิดรูปดบั รูปเกิดข้ึนไดอ้ าศยั ตณั หา เวทนาปรากฏเสวยอารมณ์ต่างๆ 272รูป จิต เกิดข้ึนโดยอาศยั ตณั หา เวทนาปรากฏเสวยอารมณ์ต่างๆ ถา้ ไม่มีรูปยอ่ มไม่มีเวทนา สัญญา เกิดข้ึนโดยอาศยั รูป สังขาร คือ ความคิด สังขารความคิดในอารมณ์ของความคิด อารมณ์ วธิ กี ำร ของสังขาร 273เวทนาอาศยั รูปเป็นสาคญั ถา้ ไมม่ ีรู้ยอ่ มไม่มีเวทนา สญั ญาเกิดไดโ้ ดยอาศยั รูป ให้รู้จักอาการเกิดดับของรู้ กิเลส ตัณหา อุปทาน กุศลกรรม 274วิญญาณเป็ นความรู้ตวั รูปเกิดดบั เวทนา อารมณ์เป็ นความรู้สึก สัมผสั ของแข็งกระทบ เรารู้ อ่อนกระทบเรารู้ จุดสัมผสั นิ่มนวล เสวยอารมณ์ อาศยั เรียกว่า “วิญญาณ” 275มุ่งนิพพานเป็นจุดมุ่งหมาย จะทาอะไรหวงั นิพพานอย่างเดียว ทรงอยู่ รูป เปล้ืองขนั ธ์ 5 ไดเ้ ป็นโสดาบนั การเกิดมนุษยพ์ ิจารณาขนั ธ์ 5 ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ขนั ธ์ 5 มาจากธาตุ 4 สลายตวั ไปในท่ีสุด ตดั อารมณ์รักในขนั ธ์ 5 276ตอ้ งมีศีล 5 เป็ นสาคญั ตอ้ งมี รูปอาศยั ตณั หาเกิด พรหมวิหาร 4 สอนให้มีศีลบริสุทธ์ิ ป้องกนั อุบายภูมิ เมตตาร่วมมีพรหมวิหาร 4 เมตตา เวทนาเสวยอารมณ์ กรุณา มุทิตตา อุเบกขา ตดั ความกาหนดั ความยินดี มนุษยโลกและพรหมโลก ไม่ยึดถือ สัญญาอาศยั รูป สงั ขาร อะไรๆ ท้งั หมด 277ขันธ์ 5 เป็ นปัจจัยแห่ งพระนิพพาน เข้าใจรูป เวทนา สัญญา สังขาร ความคิดอารมณ์ วิญญาณ วิจัยกันขันธ์ 5 ให้หมดตรงขันธ์ 5 278รูป คือ กายคตานุสติกรรมฐาน คือ อาการ 32 เวทนา อาศยั รูปเป็น มนั เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ทกุ ขงั เตม็ ไปด้วยความทุกข์ อนัตตา มกี ารสลายตวั ไปในท่ีสุด เรื่อง สาคญั สัญญษเกิดได้ ไตรลักษณ์ 279เวทนา คือ อารมณ์ อารมณ์ท่ีเป็นสุข อารมณ์ท่ีเป็นทุกข์ หรือ อารมณ์ท่ีไม่สุข อาศยั รูป ไม่ทุกข์ 280สัญญา คือ ความจา เอาใจเข้าไปจา 281อาการของวิญญาณ คือ ประสาท ไม่ใช่ วญิ ญาณตวั รู้อารมณ์ วิญญาณ คือ จิต ความสัมผัสรู้สึกว่า อ่อน แขง็ หนาว ร้ อน 282คนที่บรรลุพระโสดาบัน พระ ความรู้สึกสมั ผสั สกิทาคา อนาคา อรหันต์ อาศัยขันธ์ 5 เป็ นปัจจัย ให้พิจารณาขันธ์ 5 ว่า รูป เวทนา สัญญา มุ่งนิพพานเป็ น สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ไม่มีในเรา ปลงให้ตก ขันธ์ 5 จุดหมาย พจิ ารณาขนั ธ์ ตัวเดียวเป็ นเหตุละกิเลสได้ทุกตัว 283นักปฏิบัติไม่ต้องพูดกันยาก เข้าพูดกันแบบง่ายๆ 5 ประเด๋ียวจาได้ ประเด๋ียวจาไม่ได้ โผล่ๆ ผลบุ ๆ ดีๆ ช่ัวๆ เกิดๆ ดับๆ ธรรมกองใดกองหนึ่ง ศลี 5 ร่วมกบั พรหม วหิ าร 4 เขา้ ใจขนั ธ์ 5 รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ รูป คอื กายคตานุสติ กรรมฐาน เวทนา คอื อารมณส์ ุข ทุกข์ สัญญา คอื ความจา เอา ใจเขา้ ไปจา วญิ ญาณ คอื ประสาท ไม่ใช่จิต อาศยั ขนั ธ์ 5 ตวั เดียว ละกิเลสทุกตวั บรรลุ นิพพาน

335 นกั ปฏิบตั ไิ มต่ อ้ งพดู ทาลายกิเลสทั้งหมดได้ ท่านวิจัยช่ือของกิเลสทั้งหมดเข้าไว้ ธรรมกองนที้ าลายกิเลสทั้งหมด กนั ยาก ได้ 284ใช้ปัญญาพิจารณาความดี มีนิพพานเป็ นอารมณ์ จะทาอะไรทุกอย่างที่เราหวงั พระ ผล นิพพานอยา่ งเดียว 285เป็นมนุษย์ ทรงอารมณ์ใหไ้ ด้ พิจารณาขนั ธ์ 5 มนั ไม่ใช่เรา ไมใ่ ช่ตวั เรา ขนั ธ์ 5 สร้างข้ึนดว้ ยอานาจ ธาตุ 4 ขนั ธ์ 5 สลายตวั ไปสภาพเหมือนศพ ตดั อารมณ์ท้งั หมด ปัญญาพิจารณาความดี 286อารมณ์ที่เข้ามาสิงจิต ฝ่ ายกุศลเป็ นความสุขใจ อารมณ์ที่ฝ่ ายอกุศล อารมณ์ทุกข์กลัด มีนิพพานเป็ นอารมณ์ กล้มุ ใจ อารมณ์พระนิพพาน มีแต่ความเยือกเยน็ 287ทุกอย่างมันไม่คงสภาพ เกิดดับ ไม่คงที่ ตดั อารมณห์ มด ให้พิจารณาเป็นวิปัสสนา ไม่มีอะไรทรงตวั เลิกสังโยชน์ 3 ได้ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพั ตป พจิ ารณาขนั ธ์ 5 รามาส อารมณ์พระนิพพาน เยือกเยน็ ใหพ้ จิ ารณาเป็น วิปัสสนาทกุ อยา่ งไม่ คงท่ี ละสังโยชน์ 3 ตารางที่ 4.5.13 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “มหำสติปัฏฐำน-13 ธรรมำนุปัสสนำ- อำยตนะบรรพ” แนวทางปฏิบตั ิ พระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษีลงิ ดำ) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั L13] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ L13-288พระพุทธเจา้ สอนให้ยอมรับนับถือความจริงเป็ นของธรรมดา เราทุกข์เพราะเราฝื นกฎ ธรรมดา 289อายตนะภายในภายนอก ตาเห็นรูป หูไดย้ นิ เสียง จมูกไดก้ ล่ิน ลิ้นรับรส กายสัมผสั ยอมรบั นบั ถอื ใชก้ บั อารมณ์ พระพุทธเจา้ ให้พิจารณาหาความจริง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผสั อารมณ์ท่ีเกิดข้นึ ความจริงเป็ น ในใจ 290อายตนะ 6 ภายในภายนอก พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย ได้แก่ อายตนะ ของธรรมดา ภายใน 6 อายตนะภายนอก 6 อายตนะ ภายใน 6 ได้แก่ ตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ อายตนะภายนอก พจิ ารณาหา 6 ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผสั 291อายตนะภายในกับอายตนะภายนอก มนั กระทบกนั ชนกัน ความจริง 292สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเป็นเคร่ืองร้ อยรัด ในใจอัดเกาะ ร้ อยไม่พอยงั รัดเข้าไปอีก เรียกว่า มัน อายตนะ รูป ท้ังร้ อยทั้งรัดเกาะแน่น รู้จักรูป อาศัยจักษุ รู้ความเกิดแห่งสังโยชน์ ยังไม่เกิด มีอยู่ ไม่เกิดอีก เสียง กลิ่น รส ต่อไป แห่งสังโยชน์ มีอย่างไร กร็ ู้อย่างน้ัน 293นักปฏิบัติอย่ามีมานะทิฏฐิ ท้ังนักเจริญวิปัสสนา สัมผสั อารมณ์ สมถะ สัมปชัญญะ เป็ นตัววิปัสสนาญาณ ตัวสติกับสัมปชัญญะเป็ นสมถะ นักปฏิบัติพระ อายตนะ 6 กรรมฐาน สมถะเป็นตัวกาลัง วิปัสสนาเป็นอาวธุ ฆ่ากิเลสให้ตาย ภายในภายนอก กระทบกนั 294จิตคมุ จิต ตวั เดียว คือ มหาสติปัฏฐาน เอาสติไปเตือนจิต อารมณ์ของใจพิจารณาความถูกตอ้ ง สังโยชน์ กิเลส เท่าน้นั สภาวะไม่มี พอใจกลบั ทาให้เราเป็ นอย่างไร มีความสุขมีความทุกข์ อยา่ ทิ้งกาหนดลม เครื่องร้อยรดั หายใจ 295ศูนยก์ ารปฏิบตั ิอยทู่ ่ีใจ ตวั เดียว ใหร้ ะวงั ใจ เจริญมหาสติปัฏฐาน 4 ไมใ่ ช่เจาะเฉพาะจุด สมถะตวั กาลงั ใดจุดหน่ึง ปฏิบตั ิแบบไมบ่ งั คบั กท็ าไปตามปกติ 296ละสังโยชน์ 10 ตดั สักกายะทิฏฐิ ได้ตัวเดยี ว วิปัสสนาเป็ น ไปนิพพาน ศีลนาเราไปพระนิพพาน มันเกิดกาลังใจ กร็ ักษาศลี ได้ อาวุธ หลกั กำร จติ คมุ จติ เอาสตไิ ป เตอื นจติ อารมณใ์ จ พิจารณาความ ถกู ตอ้ ง อารมณใ์ จพิจารณา ถูกตอ้ ง ศูนยก์ ลางปฏิบตั ิ อยทู่ ่ีใจ

336 ละสังโยชน1์ 0 ตดั 297เห็นรูปในปัจจุบนั เกิดข้ึนในเบ้ืองตน้ โทรมลงในท่ีสุด สลายตวั ไป เตม็ ไปดว้ ยความสกปรก สักกายะทฏิ ฐิ พิจารณาปฏิกูล ธาตุ 4 นวิสี 9 เห็นรูปต้องเอาจิตไปจับสภาวะเป็ นรูป เสื่อมไป ตาเห็นรูป หลงใหลใฝ่ ฝันในรูป รูปสวย จงรู้วา่ รูปมีสภาพไม่ทรงตวั เสื่อมสลายไปในท่ีสุด ความจริงเป็น วธิ ีกำร กฎธรรมดาเท่าน้ัน 298ใจสัมผสั กายสัมผสั บอกว่า กายมีอะไร ปฏิกูล ธาตุ นวสี กายที่กาลงั สมั ผสั สะอาดหรือสกปรก เกิดข้ึน เส่ือมไป สลายตวั ปัจจยั นามาซ่ึงความทุกข์ 299จิตฟ้งุ ซ่านให้ เห็นรูปเอาจิต นอ้ มไปอานาปานสติ ทุกอย่างหา้ มใจบอกใจวา่ จงอย่าติดส่ิงท่ีสัมผสั คือ ใจ กายท่ีเขา้ ไปสัมผสั ไปจบั สภาวะ กายเป็นอย่างไร 300กายเป็นอะไร กายเขา้ ไปสัมผสั เห็นดูปฏิกูล ธาตุ 4 นวสี 9 กายท่ีสัมผสั มนั จริ งเป็ นกฎ สะอาดหรือสกปรก เป็ นอุจจาระ เคล่ือนท่ี ไม่มีอะไรเป็ นเรา 301สังโยชน์ 10 ได้แก่ 1)สักกา ธรรมดา ยะทิฏฐิ หลงผิดว่า ร่ างกาย ขันธ์ 5 เป็นเราของเรา ขันธ์ 5 มีในเรา ร่ างกายอย่กู ับเราตลอดไป 2) วิจิกิจฉา สงสัยในคาสอนของพระพุทธเจ้า 3)สีลัพตะปรามาส การรักษาศีลไม่จริง รับศีลส่ง ใจสมั ผสั กาย เดช โกหกตัวเองโกหกพระ 4)กามฉันทะ ความพอใจในรูป เสียง กล่ิน รสและสัมผัส ตามท่ี สมั ผสั ปฏกิ ลู อายตนะกระทบกัน 5)ปฏิฆะ มีอารมณ์ไม่พอใจ ข่นุ ใจ หมองใจ เคืองใจ 6)รูปราคะ การติดใจ ธาตุ นวสี สุขใจ พอใจ หลงใหลใฝ่ ฝันสุขที่ได้จากการเจริญรูปฌาน 7)อรูปราคะ ความตัดใจในอารมณ์ จิตฟ้งุ ซ่านนอ้ ม แห่ งอรูปฌาน ในอรูปธรรม ความปรารถนาในอรู ปภพ 8)มานะ ความถือตัวตน ใจมีการ ไปอานาปานสติ เปรียบเทียบกับสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขาว่า ดีกว่า ด้วยกว่า 9)อุทธจะ อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดเร่ือย กายสมั ผสั เห็น เปื่ อย 10)อวิชชา ความหลงใหลมนษุ โลก เทวโลก พรหมโลก เวยี นอย่ใู นวัฏฏะสงสาร ปฏกิ ูล ธาตุ 4 302ไมย่ ดึ ติดเป็นสาคญั อารมณ์ของใจ พจิ ารณาความถูกตอ้ ง สภาวะไมม่ ี ละสงั โยชน์ นวสี 9 ไมม่ ี อะไรเป็ นของเรา ลกั ษณะสงั โยชน์ 10 สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพั ตะ ปรามาส กาม ฉนั ทะ ปฏฆิ ะ รูปราคะ อรูป ราคะ มานะ อทุ ธ จะ อวิชชา ผล อารมณ์ใจ พจิ ารณาความ ถูกตอ้ ง ตารางที่ 4.5.14 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “มหำสตปิ ัฏฐำนสูตร-14 ธรรมำนุปัสสนำ-โพฌชงค์ 7” แนวทางปฏิบตั ิ พระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษลี งิ ดำ) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั L14] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ L14-303โพชฌงค์ 7 การปฏิบตั ิไม่ใช่การแกะตวั หนงั สือเป็นสาคญั แกะหนงั สือเรียกว่า สัญญา ตอนใชป้ ัญญา ไม่ใช่ความจาอย่างเดียว ความจาได้ พิจารณาทรงอารมณ์ โพชฌงคเ์ ป็นสมถะ ความจาไดท้ รง และวิปัสสนา 2)โพชฌงค์ แปลว่า ธรรมเคร่ืองตรัสรู้ คนท่ีเข้าถึงการบรรลผุ ลต้องมี โพชฌงค์ อารมณใ์ ชป้ ัญญา 7 ประการ โพชฌงค์ 7 เป็น สมถะวิปัสสนา 305โพชฌงค์ 7 ในมหาสติปัฏฐาน 4 เครื่องปัญญา 7 อยา่ ง การใชป้ ัญญาจาไดต้ ิดตามธรรม จา โพชฌงค์ 7ธรรม อยา่ งเดียวใชไ้ ม่ได้ ให้คิดไปดว้ ยแลว้ คปู่ ัญญา 306สติจากอานาปานสติกรรมฐาน ไปโพชฌงค์ เคร่ืองตรสั รู้ 7 พิจารณาทบทวนเป็นปกติเสมอคลายกิเลส 307โพชฌงค์ 7 ประการ ได้แก่ 1)สติ ความระลึก หลกั กำร โพชฌงค์ 7 เครื่อง ปัญญา 7 อยา่ งใหค้ ิด ไปสู่ปัญญา

337 พจิ ารณาสติจากอานา ได้ 2)ธรรมวิจัย การวินิจฉัยธรรม 3)วิริยะ ความเพยี ร 4)ปิ ติ ความอิ่มใจ 5)ปัสสัทธิ ความสงบ ปานสตกิ รรมฐาน ไป 6)สมาธิ จิตตั้งมน่ั 7)อเุ บกขา ความวางเฉย รวม 7 ข้อด้วยกนั ต้องมีอาการโพชฌงค์ 7 เท่านั้น โพชฌงค์ 7 308โพชฌงค์ 7 เป็ นเครื่องมือในการบรรลธุ รรม เป็นเคร่ืองมือ เป็นสิ่งแวดล้อม ธรรมให้อย่ใู น สติ ธรรมวิจยั วิริยะ ปิ ติ ขอบเขต ปัสสทั ธิ สมาธิ อุเบกขา เครื่องมือการบรรลุ 309สติสัมโพชฌงค์ สัมปชญั ญะ อิริยาบถ เวทนาสุขทุกข์ ตอ้ งทบทวนอยูเ่ สมอ ตอ้ งใชป้ ัญญา ธรรม ในการพิจารณาดว้ ย สตินึกไดอ้ านาปานสติ ทบทวนอย่เู สมอ คลายอานาจกิเลส 310ธมั มวิจยั ยะ จิตใจของเรามีความพอใจในธรรมหรือไม่ 311วิริยะ ละสังโยชน์ 3 ท้งั หมด เร่งรัดจดั ทา วิธกี ำร กามฉันทะ เราตดั ได้หรือยงั สามารถตดั ได้โดยอานาจปัญญา ตอ้ งตดั ให้หมด สภาวะเป็ น อย่างไร ความพอใจในขนั ธ์ 5 ใช้ปัญญาใคร่ครวญอยู่เสมอ ความเพียรเป็ นเครื่องต่อสู้ 312 สติสัมโพชฌงค์ ใช้ ปี ติสมั โพชฌงค์ ความสุข ปล้ืมใจ มี ณ ภายในจิต 313ปัสสัทธิ ความสงบใจสงบอารมณ์ เราไม่ ปัญญาทบทวน สติ สงสยั ในคาสอนพระพุทธศาสนา มีศีล อารมณ์สงบไม่วุน่ วาย 314สมาธิ ต้งั ใจทาลายสังโยชน์ สัมปชญั ญะ เวทนา ให้หมด สักกายทิฏฐิไม่มี เรามีกาลงั ใจต้งั ไวเ้ สมอว่า ไม่มีความรู้สึกในร่างกาย 315อุเบกขา ธมั มวจิ ยั ยะ จิตพอใจ วางเฉย เฉยมนั ทกุ อยา่ ง ๆ อารมณ์มีความสุข วางเฉย ไมม่ ีความหวนั่ ไหว มุง่ เอาสงั ขารุเบกขา ธรรม ญาณ วางเฉยในขนั ธ์ 5 ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกขเ์ พราะใจเรายึด 316สติ ความระลึกได้ สติ เพียรละสงั โยชน์ 3 คือ ตัวนึก มหาสติปัฏฐานสูตร นึกตามแบบนี้ เรากาหนดลมหายใจเข้าออกหรือเปล่า ท่านนึก ตดั ไดด้ ว้ ยอานาจ ได้หรือยงั ว่า ท่านรู้อย่หู รือเปล่าว่าลมหายใจเข้าออกของท่านมีอยู่ ท่านหายใจเข้าส้ันหรือยาว ปัญญา หายใจออกส้ันหรือยาว เป็นการใช้สติ อิริยาบถเดินอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ เดินอยู่ หรือทาอะไรอยู่ สัมปชัญญะ เรารู้ตัวอย่วู ่า เวลานีเ้ ราทาอะไร มีสตินึกอิริยาบถที่เข้าไปถึงสัมปชัญญะ ปฏิกูล ปี ตสิ ัมโพชฌงคม์ ี สัญญา ว่า สภาพร่ างกายมีอาการ 32 มันสะอาดหรือสกปรก ไปดูป่ าช้า 9 นึกถึงความตาย 9 อย่าง จิตเรามรี าคะโทสะ หรือ โมหะ นึกไว้ จิตมนี ิวรณ์หรือเปล่า นึกถึงขนั ธ์ 5 คือ รูป เวทนา ภำยในจติ สัญญา สังขาร วิญญาณ เราไม่มขี นั ธ์ 5 ขนั ธ์ 5ไม่มีในเรา มีสภาพเกิดขึน้ แล้วกเ็ สื่อมไป สลาย ไป ไม่บังคับบัญชาขันธ์ 5 ให้อย่ใู นอานาจของเราได้ 317ธรรมวิจยะ แปลว่า สอดส่องธรรม ปัสสัทธิ ความสงบ หรือ วินิจฉัยธรรม “วิจยะ” หมายถึง วิจัย วินิจฉัย ค้นคว้า ด้วยอานาจสติ มนั ถกู หรือไม่ มีตรง ใจสงบอารมณ์ หรือไม่ ตรงตามคาส่ังสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสหรือไม่ ธรรมะที่เราคิด เราคิดตรงหรือยงั สมาธิ ต้งั ใจทาลาย วิจัยไป วิจัยไปเม่ือตรงแล้ว เราทาตรงหรือยงั ทาเป็น มชั ฌิมาปฏิปทาหรือไม่ ทาตามนัน้ แล้ว สังโยชน์ ผลเป็นอย่างไร ผลของความสุขใจเกิดขึน้ บ้างหรือไม่ 318วิริยะ ความเพยี ร ทาเพียรให้ตรงแล้ว อุเบกขา วางเฉย เพียรละถ้อยคา เพียรละอาการท่ีเขาแสดงออกซ่ึงการเหยียดหยามต่างๆ เพียรตัด เพียรไม่ ความระลึกได้ สติ สนใจ เพียรไม่ย่งุ วิชชา 3 อย่าไปสนใจเร่ืองชาวบ้าน เขาจะดี จะเลวเขาจะว่าอย่างไร เขาจะ คือ ตวั นึก กาหนดลม แสดงอาการยังไง ก็ปล่อยเขาไป อย่าไปสนใจเขา เท่าน้ันเป็ นพอ เพียรไม่สนใจในของเขา หายใจเขา้ ออก การ เพียรปฏิบัติตามกฎที่พระพุทธเจ้าส่ังสอนในมหาสติปัฏฐานสูตร 319ปี ติ แปลว่า ความอ่ิมใจ ใชส้ ติ อริ ิยาบถ ทา กฎแห่งการปฏิบัติ พิจารณากรรมฐานในมหาสติปัฏฐานสูตร ข้อใดข้อหน่ึง ตามให้ เห็น อะไรอยู่ สมั ปชญั ญะ เหตุผล ความชุ่มช่ืนจะปรากฏเห็นชัด สุขของจิต ปี ติ แปลว่า ความอิ่มใจ สมาธิจิตท่ีให้ได้อา ความรู้ตวั นาปานสติกรรมฐาน เมื่อสมาธิเข้าถึงจุดมีอาการทรงตัว 320ปัสสัทธิ ความสงบ ทรง สติสัมปชัญญะ ทรงสมาธิ รักษาอารมณ์แห่งอานาปานสติกรรมฐาน ความสงบปรากฏ 321 ธรรมวจิ ยั แปลวา่ สอดส่องธรรม วินิจฉยั คน้ ควา้ เพยี รปฏิบตั ิตามกฎที่ พระพทุ ธเจา้ ส่งั สอน ในมหาสตปิ ัฏฐาน สูตร ความอม่ิ ใจ กฎแห่ง การปฏิบตั ิ ปัสสิทธิ ความสงบ ทรงสติสัมปชญั ญะ ทรงสมาธิ รกั ษา อารมณ์ อานาปาน สตกิ รรมฐาน สมาธิต้งั ใจมน่ั รกั ษา อารมณ์เป็ นหน่ึงนึก ถึงกรรมฐานกองใด กองหน่ึง วางเฉยในขนั ธ์ 5 อเุ บกขาที่แทต้ อ้ ง

เป็นสงั ขารุเปกขา 338 ญาณ สมาธิ ความตั้งใจม่ัน ได้แก่ การรักษาอารมณ์ให้เป็นหน่ึง เป็นเอกคตารมณ์ นึกถึงกรรมฐาน ผล กองใดกองหนึ่ง ข้อใดข้อหน่ึงในมหาสติปัฏฐานสูตร อารมณ์จิตกจ็ ะไม่หลบไปสู่อารมณ์อ่ืน วิจัยกองนึกถึงกองนั้นอยู่ เรียกว่าสมาธิ นักเจริญสมาธิแปลว่าต้ังใจม่ัน สมาธิไม่ใช่แปลว่า ตดั อารมณ์ ตดั นอนหลับ สมาธิแปลว่าต้ังใจมั่น กาลังใจคุมอารมณ์ใดอารมณ์หน่ึงอย่โู ดยเฉพาะจิตไม่สอด สักกายะทฏิ ฐิ ส่ ายไปสู่อารมณ์ อ่ืนอย่างนีเ้ ราเรียกกันว่าสมาธิ ถ้าเข้าถึงข้ันนิโรธสมาบัติข้างใน โพลง เชื่อกฎแห่ง หมายความว่ามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ถือว่าจิตกับกายมันแยกกัน อาการภายนอกไม่รู้จริง กรรม แต่อาการภายในมีเหมือนกับคนต่ืนอย่ปู กติ แล้วกม็ ีอารมณ์ต้ังม่ันโดยเฉพาะ มีความสุขไม่มี อารมณ์สงบ มี ความทกุ ข์ อาการนิโรธสมาบัติ สมาธิข้ันสูง 322อเุ บกขา ถอื วางเฉยต่ออาการของชาวบ้าน ไม่ พระนิพพาน ชอบใจ ชอบใจ เราเฉยเสียไม่ยอมรับนับถือท้ังชอบใจและไม่ชอบใจ เป็นเรื่องธรรมดา วาง พน้ โลกธรรม 8 เฉยในขันธ์ 5 เป็นตัวแท้ ตัวหน้าตัววางเฉยเร่ืองราวชาวบ้าน วางเฉยไม่เอาอารมณ์ไปย่งุ เป็น อาการของเปลือก ไม่ใช่เนือ้ อเุ บกขาท่ีแท้ต้องเป็นสังขารุเปกขาญาณ วางเฉยโนขันธ์ 5 323ตดั อารมณ์ ตดั สักกายะทิฏฐิ สตินึกเฉยๆ ใชไ้ ม่ได้ เอากาลงั ใจเห็นไปดว้ ย ใจนึก ใชป้ ัญญา พิจารณาไปตาม ตอ้ งใช้สติกับปัญญาพิจารณา ความห่วงใยไม่มีสาหรับเรา ขนั ธ์ 5 ไม่มี สาหรับเรา 324จงเชื่อในกฎแห่งกรรม 24)อารมณ์สงบ มีพระนิพพานเป็ นอารมณ์ ไม่มีความ วุ่นวาย พรหมวิหาร 4 การดับทุกข์ มีศีล สมาธิ ปัญญา มรรค 8 ประการ นึกถึง 325 พน้ โลก ธรรม 8 ประการ ไปได้ คือ มีลาภ เส่ือมลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทกุ ข์ อาการคนในโลกท้งั หมดหนีไมพ่ น้ ตารางที่ 4.5.15 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “มหำสติปัฏฐำน - 15 ธรรมำนุปัสสนำ- สัจจบรรพ” แนวทางปฏิบตั ิ พระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษลี งิ ดำ) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั L15] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด L15-327อริยสัจ 4 ทุกข์ ความทุกข์ อาการที่ตอ้ งทน สมุทยั การเกิดของทุกข์ ปัจจยั นิโรธ การดบั ทุกข์ มรรค ทางไปสู่ความดบั ทุกข์ ทางทาให้ทุกขด์ บั สลาย ทาให้สลายไป อริยสัจ มีอยู่ 4 อย่าง อริยสจั 4 ทกุ ข์ คือ ทุกขสัจ สมทุ ัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจ 328 จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็ นศูนยก์ ลาง อยทู่ ี่จิต สมทุ ยั นิโรธ มรรค เป็ นสาคญั 329ใชป้ ัญญาวิปัสสนาญาณ จิตมีสัญญาตอ้ งใชส้ ัญญา 330พิจารณาอริยสัจ ธรรมท่ีมี จิตตานุปัสสนา ความสาคญั เตรียมตวั เตรียมใจ 331 “สัจ” แปลว่า ความจริง “ทุกข” แปลว่า ทนได้ยาก อะไรก็ ศนู ยก์ ลางจติ สาคญั ตามท่ีจาจะต้องทน สิ่งนนั้ เป็นทกุ ข์ท้ังนน้ั เป็นอาการของความทุกข์ ใชป้ ัญญาวปิ ัสสนา ญาณ 332 เป็นนกั ปฏิบตั ิ ตอ้ งปฏิบตั ิ 323ทุกขอริยสัจ ไดแ้ ก่ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความ พิจารณาอริยสจั ตายเป็ นทุกข์ ความร่าไรราพนั ความทุกขก์ ายทุกขใ์ จ ความคบั แคน้ ใจ การไดพ้ บกบั ส่ิงท่ีไม่ “สจั ” ความจริง ชอบไม่พอใจ ความพลดั พรากจากส่ิงที่ชอบที่พอใจ 324พิจารณาอริ ยสัจ 4 ความรู้ในทุกข์ พิจารณาทุกข์ทั้งหลาย 335ความลบั ไม่มีในโลก นตฺถิ โลเก รโห นาม ใจเป็นใหญ่ ทกุ อย่างสาเร็จ หลกั กำร ด้วยใจ ธรรมทั้งหลายมีใจเป็ นหัวหน้า มีใจเป็ นใหญ่ สาเร็จด้วยใจ นโมปุพฺพงฺคมา ธมฺมา เป็นนกั ปฏิบตั ิ ตอ้ งปฏิบตั พิจารณาทกุ ขอ ริยสจั พิจารณาอริยสัจ 4

339 ธรรมท้งั หลายมี มเสฏฐา นโมมยา 336พระพุทธเจ้ากล่าวว่า คนที่เกิดมาแล้วมีแต่ความทุกข์ ความเกิดเป็ นทุกข์ ใจเป็ นหัวหนา้ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ ไม่สบายเป็ นทุกข์ ความพลัดพรากจากจองรักของชอบใจเป็ น คนเกิดมาแลว้ มี ทุกข์ ความตายเป็นทุกข์ ความรักมนั จึงทกุ ข์ แต่ทกุ ข์ 337กายานุปัสสนาสติปัฏฐานสาคญั ท่ีสุด ใชจ้ ิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเป็ นศูนยก์ ลางแห่งการ ปฏิบตั ิใช้จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเจริญกรรมฐานอยู่ที่จิตเป็ นสาคญั 338ใช้ปัญญาพิจารณา วธิ กี ำร ความทุกข์ เราและคนอ่ืน เกิดมาในโลกน้ีไม่มีความสุขท้งั น้นั 339พจิ ารณาทุกวนั ร่างกายของเรา ของคนอ่ืน สมบตั ิวตั ถุในโลกเป็ นปัจจยั แห่งความทุกข์ ใจอยากไดอ้ ยากมี ปัจจยั สาหรับความ ใชจ้ ติ เป็น ทุกข์ พิจารณาทุกๆ วนั ในใจเราเต็มไปดว้ ยความทุกข์ ไม่มีความสุข 340ควรรู้ทุกข์ ทุกข์มาจาก ศูนยก์ ลางปฏิบตั ิ ตณั หา ทาเพราะความอยาก อยากไดอ้ ยา่ งโนน้ อยากไดอ้ ยา่ งน้ี ทุกขเ์ พราะความอยาก นิ่งดูทุกข์ ปัญญาพิจารณา ให้เห็นทุกข์มาจากตณั หา อยากเราเกิดมาประสบความทุกขต์ ้งั แต่เกิด 341ถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้ว ทกุ ข์ มองไม่เห็นทุกข์ ถ้าใช้ปัญญาแล้วจะมองเห็นทุกข์ เอาสติเป็ นตัวนึกเข้าไปไว้ ใน โพชฌงค์ 342 พิจารณาร่างกาย ทกุ ข์คือตัวอารมณ์ ตัณหามี 3 ปรการ กามตัณหา ภาวตณั หา วิภาวตณั หา ทุกวนั 343รู้วา่ ทุกขเ์ กิดมาจากตณั หาและความอยาก รู้วา่ ร่างกายของเราของเขา หรือวตั ถสุ มบตั ิอ่ืน เป็น รู้ทกุ ขม์ าจากตณั หา ปัจจยั ใหเ้ กิดความทุกข์ 344มีความชวั่ เก็บไวใ้ นใจอย่าใหไ้ หลไปทางกายวาจา อารมณ์ชว่ั ท่ีมีอยู่ ใชป้ ัญญามองเห็น ในใจยบั ย้งั เอาไวเ้ ป็นขนั ติ เป็นเคร่ืองข่ม ใจดา้ นจากความดี ความชว่ั ก็เขา้ สิงห์ อารมณ์ชวั่ ท่ีอยู่ ทกุ ขเ์ อาสติเป็นตวั ในใจ เรายบั ย้งั เอาไว้ ใชข้ นั ติเป็ นเคร่ืองมือ อย่าให้ไหลไปทางกายวาจา ความลบั ไม่มีในโลก นึกโพชฌงค7์ นตฺถิ โลเก รโห นาม ทกุ ขค์ ือตวั อารมณ์ ผล รู้วา่ ทุกขจ์ าก ตณั หา อารมณช์ วั่ ขนั ตยิ บั ยง้ั ได้ ตารางที่ 4.5.16 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “มหำสติปัฏฐำน -16 ธรรมำนุปัสสนำ- สัจจบรรพ (สรุป)” แนวทางปฏิบตั ิ พระรำชพรหมยำน (หลวงพ่อฤำษีลงิ ดำ) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั L16] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ L16-345หลวงพ่อฯ รักพระพุทธเจา้ พระพุทธเจา้ เป็นที่พ่งึ 346อริยสัจในมหาสติปัฏฐาน 4 ปัญญา เห็นชอบ เห็นในอริยสัจ 4 ทกุ ข์ มองความทกุ ข์ ต้งั แต่เกิดมาจนถึงวนั น้ี มีอะไรสุขบา้ ง อริยสัจ รักพระพทุ ธเจา้ ในมหาสติปัฏฐาน 4 ทรงอยูใ่ นกรรมฐานตลอดเวลา 347การตดั ตณั หา ปัจจยั ให้เกิดความทุกข์ ปัญญาเห็นอริยสัจ ได้อาศัยมรรค 8 ประการเป็ นหนทางหรื อเคร่ื องมือปฏิบัติ ทาง 8 สายท่ีเรี ยกว่า 4 “มชั ฌิมาปฏิปทา” ทางสายกลาง 348พิจารณาถึงเหตขุ องทุกข์ ตวั ทกุ ข์ หาจุดของความทุกข์ให้ อาศยั มรรค 8 พบ ทุกข์ แปลว่า ทนได้ยาก ทุกข์แปลว่า ความเดือดร้ อน เป็นทุกข์อารมณ์นักปฏิบัติ คือ จุด หนทาง เครื่องมือ ละเอียด อนุสัย อยู่ในใจ เป็ นเหตุความทุกข์ ต้องรู้ว่าเป็ นความทุกข์ 349เจริญมหาสติปัฏฐาน ตดั ตณั หา สูตร 1)ต้องมีศีล 2)ต้องมีสมาธิ 3)ต้องมีปัญญา อย่างในมรรค 8 รวมกันแล้วเหลือ ศีล สมาธิ พิจารณาเหตุทุกข์ ปัญญา 350เราปฏิบัติเพื่ออะไร เราปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน ตัณหาตัดได้ด้วยมรรค 8 ศีล สมาธิ อารมณ์นกั ปฏบิ ตั ิ ปัญญา 351อย่าเกาะคนอื่น นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ พระพุทธเจ้าเกาะระดับ ตอ้ งละเอยี ด สูงสุด มีคุณประโยชน์มาก เจริญมหาสตปิ ัฏฐาน ตอ้ งมี ศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบตั เิ พอื่ พระ นิพพาน พระพทุ ธเจา้ เป็นทพ่ี ่ึง

340 หลกั กำร 352อาศยั มรรค 8 ประการเป็ นหนทางเครื่องมือแห่งการปฏิบตั ิ ปัญญาเห็นชอบในอริยสัจ 4 มองเห็นความทุกข์ เกิด แก่ เจบ็ ตาย ความโศกเศร้า เสียใจ พลดั พราก เป็นความทกุ ข์ การงาน มรรค 8 เครื่องมอื จิตดี การงานภายนอกดี 353จรณะ 15 บารมี 10 พรหมวิหาร 4 อิทธิบาท 4 ละนิวรณ์ 5 ตอ้ ง ปฏิบตั ิ ครบตลอดวนั ทาตลอดวนั หายใจเขา้ หายใจออก 354วิปัสสนาญาณตวั ยอดเป็นทาลายสังโยชน์ จรณะ 15 บารมี 10 10 ให้พินาศด้วยสักกายะทิฏฐิ 355ให้ยอ้ นไปดูมหาสติปัฏฐาน 4 ต้งั แต่ต้นทรงกาลงั ใจใช้ พรหมวหิ าร 4 อทิ ธิ ปัญญาเห็นอริยสัจ 4 ให้มีความรู้สึกต่ืนตวั ลืมตา จนหลบั ใชป้ ัญญาเห็นอริยสจั 4 กาย เวทนา บาท 4 ละนิวรณ์ 5 จิต รรม ทรงอารมณ์ความรู้สึก นงั่ มองความทุกข์ 356สมั มาทิฏฐิ เห็นชอบ เห็นอริยสัจ 4 ตณั หา วิปัสสนาญาณทาลาย เป็ นของไม่ดี ใชป้ ัญญาเป็ นตวั นา พิจารณาเห็นความทุกข์ 357สัมมาสังกปั ปะ ดาริชอบ ดาริ สังโยชน์ 10 ออกจากกาม เห็นเป็นของสกปรก ไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน ยอมรับนบั ถือความจริงของมนั ทรงกาลงั ใจใช้ รู้ว่า มีความรู้สึกว่าจิตใจไม่ผูกพนั ธ์ ดาริชอบส่ิงท้งั หลาย มีอารมณ์เป็ นประจา อิทธิบาท 4 ปัญญาเห็นอริยสัจ 4 พรหมวิหาร 4 จรณะ 15 บารมี 10 ละนิวรณ์ 5 สิ่งท้งั หลายประจาจิต ดาริชอบจดั ต้งั ไวเ้ สมอ ยอ้ นมหาสติปัฏฐาน 358สัมมาวาจา วาจาชอบ พดู ปด วาจาส่อเสียด วาจาหยาบคาย วาจาทาลายประโยชน์ บุคคลอื่น 4 ต้งั แต่ตน้ ใชป้ ัญญา ให้สะเทือน นินทา กิเลสฝังอยู่ในใจเขา ไม่ไหลมาถึงปาก กิเลสเลยหัวใจลงมาปาก ควรใช้ เห็น วาจาเป็ นสุภาษิตในมหาสติปัฏฐาน 4 เวลาคุยกนั ตลอดเวลา 359สัมมากมั มนั ตะ ทาการงาน ดาริออกจากกาม ชอบไมฆ่ ่าสัตว์ ไม่ลกั ทรัพย์ ไมป่ ระพฤติผิดในกาม หาทางทาลายตณั หา 360สมทุ ัย เหตุให้เกิด เห็นสกปรก ดาริชอบ ความทุกข์ 3 อย่าง กามตัณหา ภวตณั หา วิภาวตัณหา กามตณั หา อยากได้ของหรือวัตถุ บุคคล ในสิ่งท้งั หลาย หรืออารมณ์ ท่ียงั ไม่ปรากฏให้มีขึน้ อยากจะให้มีขึน้ 2)ภวตัณหา ส่ิงท่ีมอี ย่แู ล้ว อยากให้ตงั้ อยู่ วาจาชอบ ไมพ่ ดู ปด ตามรูปนั้น ไม่เคลื่อน 3)วิภาวตัณหา อารมณ์ดิน้ รน คัดค้าน เศร้ าหมอง ไม่ตรงกับอัธยาศัยท่ี เป็นมหาสตปิ ัฏฐาน เราต้องการ ต้องการให้ทรงสภาพ 361พิจารณาขนั ธ์ 5 คือ อตั ภาพร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของ 4 คยุ กนั ตลอด เรา เราไม่มีในขนั ธ์ 5 ขนั ธ์ 5 ไม่มีในเรา อย่าท่องคล่องเป็ นนกแกว้ นกขุนทอง จะไม่เกิดผล ทาการงานชอบ ไมใ่ หเ้ ห็นตามความเป็นจริง อตั ภาพร่างกาย คอื ขนั ธ์ 5 เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไมม่ ีในเรา เหตุเกิดทกุ ข์ 362ตอ้ งเห็นดว้ ยอานาจความจริงใจเป็ นเอกคตารมณ์ สบาย ไม่มีทุกข์เจือปน เหตุของความ กามตณั หา ภวตณั หา ทุกข์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็ นอนิจจงั ไม่เที่ยง ไม่ทรงสภาพตามความคิด ตามความ วภิ าวตณั หา นึก ตามความตอ้ งการ ปกติของมนั ธรรมดาของมนั เกิดข้ึนแลว้ เปล่ียนแปลงสลายตวั ไป พจิ ารณาขนั ธ์ 5 มรรค 8 คือ ปฏิปทาใหเ้ ขา้ ถึงความดบั ทุกข์ เขา้ ถึงนิโรธสัจ คือ ตวั ผล 363พิจารณาขนั ธ์ 5 ละ ไมใ่ ช่เรา เราไม่มีใน นิวรณ์ 5 ทรงโพชฌงค์ 7 ตลอดเวลา แลว้ มาอริยสัจ 4 ทรงตลอดเวลาทาให้คล่องทาให้เป็น ขนั ธ์ 5 ปกติ 364นักปฏิบตั ิมหาสติปัฏฐาน 4 เขา้ ถึงมรรคผลอย่างกระโจนลง อย่ากินช้างท้งั ตวั ใช้ ตอ้ งเห็นดว้ ยอานาจ ไม่ได้ เร่ิมต้นน้อย ถา้ อารมณ์เขม้ ขน้ ก็ไดข้ องมนั เอง การบรรลุอรหันต์มีหลายแผน ไม่ใช่ ความจริงใจ เฉพาะมหาสติปัฏฐาน 4 เสมอไป แบบแผนที่บรรลุไดอ้ ริยมรรคอริยผล นบั ไม่ถว้ น 365จิตรัก มรรค 8 เขา้ ถงึ ความ พระนิพพานเป็นอารมณ์ และเห็นวา่ ทุกสิ่งทุกอยา่ งท่ีกระทบเป็นธรรมดา โคตรภูญาณ ชื่อจิต ดบั ทุกข์ นิโรธสจั คือ อย่รู ะหว่างโลกียแ์ ละโลกุตระ จะเขา้ ถึงความเป็นพระ 366พิจารณาสักกายทิฏฐิ อยา่ ลืมทุกขอ้ ตวั ผล ในมหาสติปัฏฐานสูตร เอามาเป็นเครื่องประกอบกนั โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ โพชฌงค์ 7 อยา่ ทิง้ พิจารณาขนั ธ์ 5 ละ 367ใชป้ ัญญาเห็นอริยสัจ เห็นสภาวะดบั ในทุกขไ์ ด้ ทรงสติปัฏฐาน 4 ประการ ส่งกาลงั ใจทรง นิวรณ์ 5 ทรง อารมณ์ 368สมั มาสังกปั ปะ ดาริชอบออกจากกาม ไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน มองเห็นอะไรใน โพชฌงค์ 7 มา อริยสัจ 4 มหาสตปิ ัฏฐาน4 คอ่ ยๆปฏิบตั ิ จิตรักนิพพานเป็ น อารมณ์ เห็นสิ่งมา กระทบเป็ นธรรมดา ทกุ ขอ้ มหาสตปิ ัฏ ฐานเอาเป็ นเครื่อง ประกอบ วธิ ีกำร

341 ใชป้ ัญญาเห็น โลกตามความเป็ นจริง ให้มีความรู้สึกว่า จิตใจ ไม่ผูกพนั ในสิ่งน้ัน 369พรหมวิหาร 4 ให้มี อริยสจั ทรงสติปัฏ อารมณ์ประจาอยู่ มีอิทธิบาท 4 จรณะ 15 และบารมี 10 ละนิวรณ์ 5 370สัมมาอาชีวะ เล้ียงชีพ ฐาน 4 ชอบ อาการทุจริตท้งั หมดเราไม่ทา 371สมั มาสติ ระลึกชอบ ทรงกาลงั จิตตลอดเวลา ใจทรงอยู่ มองเห็นโลกตาม ในมหาสติปัฏฐานสูตร ตลอดเวลาที่ต่ืน 372สัมมำสมำธิ ทรงฌาน 4 ไวป้ กติ ใชก้ รรมฐานถอย เป็นจริง จิตไม่ เขา้ อุปจารสมาธิพิจารณา อารมณ์จบั ใจไม่ยึดถือต่อร่างกายของเราภายในและร่างกายของ ผูกพนั ธ์ บุคคลอื่น ภายนอก 373สัมมาวายามะ เพยี รชอบ เพียรละความชวั่ ไม่ใหเ้ กิดในสันดาน ละความ พรหมวหิ าร 4 อทิ ธิ ชว่ั ที่เกิดเพียรละ อกุศลท่ีเกิดข้ึนเม่ือเกิดข้ึนแลว้ รักษาอารมณ์ให้ทรงตวั สัมมาวามะ เพียร บาท 4 จรณะ 15 ระวงั ความชวั่ ไม่ให้เกิดในสันดาน เพียรละความชวั่ อารมณ์ชวั่ อย่าให้มนั เกิดข้ึน จาไดด้ ว้ ย บารมี 10 ละนิวรณ์ 5 ปฏิบตั ิดว้ ยดูกาลงั ใจขจดั นิวรณ์ 5 ทาลายนิวรณ์ 5 เพยี รกุศลเกิดข้ึนในสันดาน 374อารมณ์มหา เล้ียงชีพชอบ ทุจริต สติปัฏฐานครบ จรณะ 15 บารมี 10 ละนิวรณ์ ให้มนั เกิดข้ึนแลว้ รักษาอารมณ์ให้ทรงตวั ฟัง ไมท่ า จา ประพฤติปฏิบตั ิ เขา้ ถึงนกั มหาสติปัฏฐาน 4 375สัมมาสติ ระลึกชอบ ระลึกมหาสติปัฏฐาน สมั มาสติระลกึ ชอบ 4 ทรงกาลงั จิตตลอดเวลา ระหว่าง โลภ โกรธ หลง ไม่ยอมให้เขา้ รากเหงา้ มายุ่งกาลงั ใจ ใจ มกี าลงั จิตอยู่ตลอด ของเราทรงอยมู่ หาสติปัฏฐาน 4 ตลอดเวลา 376สมั มาสมาธิ ต้งั ใจชอบ ทรงฌาน 4 ไวเ้ ป็นปกติ ใจอยใู่ นมหาสติปัฏ อุปจาระสมาธิ พิจารณามหาสติปัฏฐานสูตร 377การปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาให้ เข้า ฐาน 4 มรรคเข้าผลต้องรู้จักปฏิบตั ิ รู้จักวิจัย และรู้จักค้นคว้า ค้นด้วย คว้าด้วย ไม่ได้จับวาง ส่วนใหญ่ สัมมาสมาธิ ทรง ที่เขาเห็นกับเขาจับวางกัน อ่านพอเข้าใจแล้ววางตารา วางใจด้วยไม่สนใจ เวลาคุยกัน อวดรู้ ฌาน 4 ไวป้ กติ ใช้ กัน อวดรู้กันด้วยปัญญา ว่า จามาจากน้ันบ้าง จามาจากนีบ้ ้าง 378การปฏิบัติมหาสติปัฏฐาน 4 กรรมฐานถอยเขา้ ต้องทบทวนตลอดเวลา ในอารมณ์ต่างๆ ตามความเหมาะสม เวลาไหนควรใช้อานาปานสติ อปุ จารสมาธิ เวลาไหนควรใช้อิริยาบถบรรพ เวลาไหนควรใช้สัมปชัญญะ เวลาไหนควรใช้ปฏิกูล สัญญา สมั มาวายามะ เพียร ธาตุ 4 นวสี 9 หรือว่า เวทนา จิต ธรรม 379ขจัดกิเลสเครื่องร้อยรัดไปถึงพระนิพพาน สังโยชน์ ชอบ เพียรละความ ต้องค้นคว้าวิจัย 380ทาศีลของตนให้บริสุทธิ์ ทาสมาธิให้ตั้งม่ัน ใช้ปัญญาให้รู้ว่าทุกข์เกิดขึน้ ชวั่ เพราะอะไร เรากท็ าลายความอยาก อุปทานขันธ์ 5 ไม่มีอวิชชาสิน้ ไป 381วิธีละความอยาก ทา อารมณ์มหาสตปิ ัฏ อย่างไร เกบ็ มาต้ังแต่อานาปานสติกรรมฐานเกบ็ มาให้หมด อริยสัจ 4 ทวนหน้า ทวนหลังจน ฐานครบ จรณะ 15 คล่องแล้วปฏิบัติต้องมีท้ัง ศลี สมาธิ ปัญญา เราใช้มาแล้ว ต้องวางอารมณ์ให้มันถูกเท่านั้น 382 บารมี 10 ละนิวรณ์ ฝึ กปฏิบัติรู้ต้องทาให้คล่องจริงๆ ให้ขึน้ ใจ ให้จับใจ เป็นเอกคัตรารมณ์ ซื่อว่าจบมหาสติปัฏ สมั มาสติ ระลึกชอบ ฐาน 4 เราปฏิบัติจนคล่อง 383สังโยชน์ 10 กิเลสรัดทาให้เราเวียนว่ายตายเกิด จับตัวมันให้ได้ ระลึกมหาสติปัฏ ตวั 1)สักกายทิฏฐิ อัตภาพร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เมาชีวิตคิดว่าเราไม่แก่ เราเลวกว่าเขา เรา ฐาน 4 ทรงกาลงั จิต เสมอเขา คิดว่าเราดีกว่าเขา 2)สงสัยคาสอนพระพุทธเจ้า สงสัยพระสูตร ชาดก 3)ศีลัพะตะ ตลอดเวลา ปรามาส โกหกศีล โกหกพระ รับศลี มาแล้วไม่ปฏิบัติว่า ส่งเดช 4)เมาในกามคุณ รูป รส กลิ่น อุปจาระสมาธิ เสียง 5)เมาในความโกรธพยาบาท 6)รูปราคะ เมาในรูปฌาน 7)อรูปฌาน เมาในอรูปฌาน 8) พจิ ารณามหาสตปิ ัฏ มานะคือถือตวั ถือตน ว่า เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา 9)มอี ารมณ์ฟ้งุ ซ่าน นอกรีต ฐานสูตร นอกรอย 10)มีความรู้ไม่ครบ รู้ผิด รู้นอกลู่นอกทาง รู้ไม่ตรงตามความประสงค์พระพุทธเจ้า ปฏิบตั ิธรรมตอ้ งรู้จกั 384สักกายะทิฏฐิ ความเมาชีวิต ตัดเสียว่า อัตตภาพร่ างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา น่ังคิดอยู่ดู วจิ ยั คน้ ควา้ อะไรมันเป็นของเรา หนัง เนือ้ กระดูก เส้นเอน็ อย่างท่ีสุดมันต้องตาย ไม่ต้องทิง้ มัน มันกท็ ิ้ง ปฏบิ ตั มิ หาสตปิ ัฏ ฐาน 4 ตอ้ งทบทวน ตลอดเวลา ใน อารมณ์ตา่ ง ๆ เหมาะสมเวลาใด วิจยั คน้ ควา้ สังโยชน์ ศีลบริสุทธ์ิ สมาธิต้งั มน่ั ใชป้ ัญญาให้รู้วา่ ทกุ ขเ์ กิดเพราะ วางอารมณ์ให้ ถกู ตอ้ ง ทวนหนา้ ทวนหัง จนคล่อง ปฏิบตั ิ ฝึกปฏบิ ตั ิรู้ ทาให้ คล่อง ข้ึนใจ จบั ใจ สังโยชน์ 10 จบั ได้ ละสกั กายะทฏิ ฐิ

342 ไม่สงสยั คาสอน เราเอง มนั ตายมนั เอง 385ไม่สงสัยในคาสอนของพระพทุ ธเจ้า เมื่อเรารู้ต้องตาย ตายแล้วจิตกบั พระพทุ ธเจา้ ร่างกายจะแยกจากกนั ความดีความชั่วเท่าน้นั ที่จิตจะนาไป 386ละนิวรณ์ 5 387ความเยือกเยน็ ใจปรากฏ อารมณ์ก็จะเขา้ ถึงซ่ึงพระนิพพาน เห็นทุกส่ิงทุก ผล อย่างมนั เป็ นเร่ืองธรรมดา ความแก่เป็ นธรรมดา ความเจ็บไขเ้ ป็ นธรรมดา ความพลดั พราก จากของรัก ของชอบใจเป็นธรรมดา เวลาร่างกายเราตายจริงๆ ก็รู้สึกวา่ เป็นธรรมดา 388ศีล 5 ละนิวรณ์ ไม่บกพร่องความมนั่ คงปรากฏ มีพระพุทธเจา้ เป็ นที่พ่ึงเมตตา จิตคิดให้อภยั ทาน เห็นพระ เยือกเยน็ ใจอารมณ์ นิพพานเป็ นสาคญั ถงึ พระนิพพาน ศีล 5 มนั่ คง เห็นนิ พานเป็ นสาคญั [6] หลวงพ่อเทยี น จิตฺตสุโภ 4.6.1) ประวัติ : หลวงพ่อเทยี น จิตฺตสุโภ หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (ระหวา่ งวนั ที่ 5 กนั ยายน พ.ศ. 2454 ถึง 13 กนั ยายน พ.ศ. 2531 อายุ 77 ปี ) หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ68 เดิมช่ือ พนั ธ์ อินทผิว เกิดเมื่อวนั ท่ี 5 กนั ยายน พ.ศ.2454 ท่ีบา้ นบุฮม ตาบล บุฮม อาเภอเชียงคาน จงั หวดั เลย บิดาช่ือจีน มารดาช่ือโสม บิดาของท่านเสียชีวิตต้งั แต่ท่านยงั เด็ก ในสมยั น้นั หมู่บา้ นบุฮมยงั ไม่มีโรงเรียน ท่านจึงไม่ไดเ้ รียนหนงั สือ ในวยั เด็กไดช้ ่วยมารดาทาไร่ทานาเช่นเดียวกบั เด็กอ่ืนๆ ในหมู่บา้ น เมื่ออายุได้ 10 ปี เศษ ท่านบรรพชาเป็นสามเณรอยู่กบั หลวงนา้ ที่วดั ในหมู่บา้ น ไดเ้ รียน หนังสือลาวและตวั หนงั สือธรรม พออ่านออกและเขียนไดบ้ า้ งและเร่ิมฝึ กรรมฐานต้งั แต่คราวน้ัน ท่านได้ ปฏิบตั ิธรรมหลายวิธี เช่นวธิ ีพทุ โธ วธิ ีนบั หน่ึง สอง สาม.. หลงั จากบรรพชาเป็นสามเณรได้ 1 ปี 6 เดือน กล็ า สิกขาออกมาช่วยทางบา้ นทามาหากิน เมื่ออายไุ ด้ 20 ปี ท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุตามประเพณี ไดศ้ ึกษา และทาสมาธิกับหลวงน้าอีกคร้ังหน่ึงหลงั จากบวชได้ 6 เดือน ท่านได้ลาสิกขาออกมา และแต่งงานมี ครอบครัวเมื่ออายุ 22 ปี มีบตุ รชาย 3 คน ท่านมกั จะเป็นผนู้ าคนในหมูบ่ า้ นในการทาบุญจนเป็นท่ีนบั ถือและ ได้รับเลือกเป็ นผูใ้ หญ่บ้านถึงสามคร้ัง แม้จะมีภาระมาก ท่านก็สนใจการทาสมาธิและได้ปฏิบัติอย่าง สม่าเสมอตลอดมา ตารางท่ี 4.6 ขอ้ มลู ธรรมบรรยายเกี่ยวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ หลวงพ่อเทยี น จติ ฺตสุโภ (พนั ธ์ อนิ ทผวิ ) ผา่ นช่องทาง YouTube จาแนกตามรหสั รูปภาพ และรายละเอียดแหล่งที่มา [รหสั N1-10] 68หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ. ศทุ ธดา อชิรกมั พู. รวบรวม. ธรรมะจำกหลวงพ่อเทียน จติ ฺตสุโภ. พมิ พค์ ร้ังที่ 2 (ฉบบั แกไ้ ข) กรุงเทพฯ : อมรินทร์ธรรมะ.2554.

343 รหัส รูปภำพ แหล่งทม่ี ำ N1 https://www.youtube.com/watch?v=WDxLKWjP-l4 “เจริญสติปัฏฐำน 4 รู้ซื่อซ่ือ” ความยาว : 46.35 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 28 มี.ค. 2014 จานวนการดู : 101,629 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 6 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 N2 https://www.youtube.com/watch?v=RbEnGdYr5LA “วธิ เี ข้ำถงึ พระนิพพำน กระแสพระนพิ พำน” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 13 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 13 ก.ย. 2014 จานวนการดู : 162,463 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 6 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 N3 https://www.youtube.com/watch?v=BezGStfpvrk “อย่ำลืมตวั / ทำเหมือนกนั แต่ไม่เหมือนกนั ” ความยาว : 1 ชว่ั โมง 14 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 14 ก.ย. 2014 จานวนการดู : 39,782 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 7 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 N4 https://www.youtube.com/watch?v=e_amo_nnYCQ “ข้อปฏบิ ัติธรรมท่ีลดั ส้ัน” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 14 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 2 พ.ย. 2019 จานวนการดู : 3,130 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 6 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 N5 https://www.youtube.com/watch?v=noFDS2wk51s “วิธีกำรเจริญสติ” ความยาว : 15.02 นาที จานวนการดู : 311,184 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 6 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564

344 N6 https://www.youtube.com/watch?v=Zwq2npixQpQ “รู้เอง – เห็นเอง - เข้ำใจเอง, สัญญำกบั ปัญญำ” ความยาว : 1 ชว่ั โมง 14 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 13 ก.ย. 2014 จานวนการดู : 229,881 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 6 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 N7 https://www.youtube.com/watch?v=R_okPsubk_Y “ต้องรู้ต้องสัมผสั เอง” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 13 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 7 พ.ย. 2019 จานวนการดู : 1,972 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 6 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 N8 https://www.youtube.com/watch?v=386oGYeLp_A “กำรเจริญสตกิ บั กำรใช้ชีวิตจริง” ความยาว : 1 ชว่ั โมง 3 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 13 พ.ย. 2019 จานวนการดู : 1,113 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 6 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 N9 https://www.youtube.com/watch?v=d0k2mzEq3nI “เห็นควำมคิด คือ เห็นต้นทำงดับทุกข์” ความยาว : 25.09 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 10 ก.พ. 2017 จานวนการดู : 73,726 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 7 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564 N10 https://www.youtube.com/watch?v=fSdSZB0S__s “หลวงพ่อเทียนสอบอำรมณ์” ความยาว : 24 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 23 มี.ค. 2012 จานวนการดู : 28,503 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 7 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2564

345 จากตารางท่ี 4.6 แสดงขอ้ มลู ธรรมบรรยายเกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ หลวง พ่อเทียน จิตฺตสุโภ(พนั ธ์ อินทผวิ ) ผา่ นช่องทาง YouTube จาแนกตามรหสั รูปภาพและรายละเอียดแหลง่ ท่ีมา [รหัส N1-10] จากการรวบรวมขอ้ มูลธรรมบรรยาย จานวน 10 คลิป ไดแ้ ก่ “เจริญสติปัฏฐาน 4 รู้ซ่ือซ่ือ” “วธิ ีเขา้ ถึงพระนิพพาน กระแสพระนิพพาน” “อยา่ ลืมตวั ทาเหมือนกนั แตไ่ ม่เหมือนกนั ” “ขอ้ ปฏิบตั ิธรรม ท่ีลดั ส้ัน” “วิธีการเจริญสติ” “รู้เอง-เห็นเอง-เขา้ ใจเอง สัญญากบั ปัญญา” “ตอ้ งรู้ตอ้ งสัมผสั เอง” “การ เจริญสติกบั การใชช้ ีวิตจริง” “เห็นความคิด คอื เห็นตน้ ทางดบั ทุกข”์ “หลวงพ่อเทียนสอบอารมณ์” แสดง ตารางที่ 4.6.1 ถึงตารางท่ี 4.6.10 ผลการศึกษาพบวา่ ตารางท่ี 4.6.1 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “เจริญสติปัฏฐำน 4 รู้ซ่ือซ่ือ” แนวทางปฏิบตั ิหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (พนั ธ์ อินทผวิ ) จาแนกตาม สกดั หลกั แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั N1] แนวคดิ ประเด็นคำสอน หนทาง 1นิพพาน คืออะไร ปฏิบตั ิอย่างไรถึงหนทางนิพพาน รู้สัญญา สังขาร วิญญาณ เวทนา ให้ต้งั นิพพาน คาถาม ปฏิบตั ิอย่างไรไดก้ ระแสนิพพาน เครื่องวดั ไดห้ นทางเดินแลว้ มีอะไร ที่สุดของทางเดิน ศกึ ษาเรียน มีอะไรเป็นเคร่ืองหมาย ลกั ษณะนิพพานคอื เยน็ อกเยน็ ใจ มีสัญญารู้ตลอดเวลา ความเป็นพทุ ธะ ตวั เอง กวา้ ง แปลว่า ผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบาน ปฏิบัติธรรมทาอยู่ตลอดเวลา พูดความจริ งเป็ นสัจธรรม ศอก ยาววา พระพุทธเจา้ สอนของจริง 2เรียนจากตวั เอง กวา้ งศอก ยาววา หนาคืบ มีพร้อมทุกอย่าง ทุกคน หนาคบื ศึกษาตวั เอง รู้ทุกขไ์ มว่ า่ ชาติใด ภาษาใด ทุกเพศทุกวยั ศาสนาใดก็ตาม ศึกษาคาวา่ “คน” ใหร้ ู้จกั ธรรมเป็ น คนและให้รู้ว่าหน้าท่ีของคน ให้รู้จกั กิจธุระคน ตอ้ งศึกษาตวั เอง คนเหมือนกนั มีรูปกบั นาม อกาลิโก กายกบั ใจ 3ธรรมเป็ นอกาลิโก ศึกษาตาราทฤษฎีก็ดีแล้วแต่เม่ือปฏิบตั ิมนั ตอ้ งรู้ของจริง ไม่ ข้นึ อยกู่ บั กาลไม่ต้งั อยกู่ บั สมยั ธรรมตอ้ งรู้เองเห็นเองเขา้ ใจเอง เจริญสติและเจริญปัญญา หลกั กำร 4การเจริญสติโดยการใชก้ ารเคล่ือนไหว เป็ นวิธีปฏิบตั ิกรรมฐานหลวงพ่อเทียน บญั ญตั ิข้ึนมา เอง เพื่อใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิธรรมไดก้ าหนดรู้อยูต่ ลอดเวลาในอิริยาบถ ใหม้ ีสติกาหนดรู้ ธรรมเป็นของ เจริญสติใช้ จริง 5แนวปฏิบตั ิหลวงพ่อเทียนไดอ้ บรมสัง่ สอนอยเู่ สมอ คือ ให้รู้สึกตวั อย่ตู ลอดเวลา ไม่ว่าอยู่ การ ในอิริยาบถใดก็ตาม เช่น ยนื เดิน นง่ั นอน 6มหาสติปัฏฐาน 4 ธรรมอปุ การะมาก 2 อยา่ ง คือ 1) เคล่ือนไหว สติควรระลึกได้ 2)สัมปชญั ญะ ความรู้ตวั เกิดปัญญา แกป้ ัญหาตวั เองได้ 7ศึกษาจากของจริงลดั ให้รู้สึกตวั ตรงท่ีสุด วิธีปฏิบตั ิธรรมมีหลายวิธี แตข่ อใหท้ าใหด้ ู อยใู่ หเ้ ห็น พดู ใหฟ้ ัง ท่านใดรู้วิธีไหนนามา ตลอดเวลา สอน ก่อนนาความรู้ไปสอนผอู้ ่ืน เราตอ้ งรับรองได้ ศึกษาปฏิบตั ิที่ตวั เราสอน เพ่ือให้ทุกคนละ สติระลกึ ได้ ชว่ั ทาความดี 8ท่านสอนให้รู้จกั ตนเอง เรียนรู้จากตนเองและให้เขา้ ใจตนเอง และศึกษาเขา้ ใจ สัมปชญั ญะ สมมติ ศึกษาตวั เองให้รู้จกั ทุกขงั ทนอยู่ไม่ได้ อนิจจงั ไม่เท่ียง อนัตตา บงั คบั บญั ชาไม่ได้ 9 รู้ตวั เกิด ความจาไดห้ มายรู้ ปัญญารับรู้ เป็ นกฎธรรมชาติ มีปัญญาแลว้ สัญญามีญาณเขา้ ไปรู้ รู้สัญญา ปัญญา เราเห็นความคิดของเราไม่มีทุกข์ ทุกขเ์ พราะไม่รู้ทนั ความคิด ปัญญาเห็นคิดรู้ดบั ไป ฝึ กหดั เป็น ศึกษาของจริง นิสัย ญาณปัญญา เรียนรู้ตวั เอง สญั ญามญี าณ เขา้ ไปรู้

346 วิธีกำร 10ให้มีสติกาหนดรู้ในอิริยาบถ ยืนให้มีสติรู้ เดินให้มีสติ ไปกาหนดรู้ นง่ั ให้มีสติไปกาหนดรู้ นอนให้มีสติเขา้ ไปกาหนดรู้ กาหนดรู้ในอิริยาบถท้งั 4 อิริยาบถย่อยมีสติกาหนดรู้ คูเ้ หยียด มีสติกาหนด เคล่ือนไหว พลิกมือข้ีนกาหนดรู้ ทาชา้ ๆ ให้มีสติ ให้มีสติกาหนดรู้ในอิริยาบถ 4 เคล่ือนไหว รู้ในอริ ิยาบถ กาลงั ยนื เดิน นงั่ นอน ขณะเดินตอ้ งรู้สึกตวั รู้ให้มีสติ กาหนดอิริยาบถใหร้ ู้จริง 11ปฏิบตั ิมีการ สร้างจงั หวะ สร้างจงั หวะ 16 จงั หวะ การนงั่ สมาธิ ฝึกสติพลิกมือข้ึนทาความรู้สึกตวั ความรู้สึกเบาๆ สอนให้ ฝึ กความ รู้สึกตวั เคล่ือนไหวให้รู้สึกตวั การมีสติกาหนดรู้ตอ้ งมีจงั หวะ ทาชา้ เพ่ือให้รู้สึกตวั ทาเพ่ือให้ รู้สึกตวั รู้สึกตวั เรียกว่า สติควรระลึกได้ ระลึกไดเ้ กิดปัญญา ไม่ตอ้ งไปนึกว่า ซ้ายย่างหนอ ขวาย่าง เดินจงกรม หนอ ไม่ตอ้ งพุทโธ อะระหัง ยุบหนอพองหนอ 12เดินจงกรม เดินกลบั ไปกลบั มาไม่ตอ้ งพูดไม่ ทาความ ตอ้ งบริกรรม เดินเฉยๆ อยา่ งสบายๆ ทาความรู้สึกตวั เรียกการเจริญสติ เจริญปัญญาเพียงให้มี รู้สึกตวั สติกาหนดรู้ความเคล่ือนไหว ขากา้ วไป ใหม้ ีความรู้สึก เทา้ สัมผสั พ้ืนให้มีความรู้สึก เดินไปมา สติติดตอ่ กนั กอดอก เอามือไขวห้ ลงั 13ตอ้ งมีสติติดตอ่ กนั เหมือนลูกโซ่ ทาอยตู่ ลอดวนั สติระลึกไดใ้ ห้ระลึก เหมือน ทุกขณะทุกเวลาทุกลมหายใจ เคล่ือนไหวทางเทา้ ก็ให้รู้ เคลื่อนไหวทางมือก็ให้รู้ พริบตาก็ให้รู้ ลกู โซ่ หายใจก็ใหร้ ู้ นึกคิดอะไรก็ใหร้ ู้เท่าทนั สติกาหนดทาให้เหมือนลูกโซ่ ไม่มีช่องคลาดกนั ได้ ทา ทาตวั เองเป็น ไดท้ ุกท่ีไดท้ ุกเวลา ทามากๆ สมบูรณ์แลว้ พริบตามองเห็น หายใจมองเห็น มีคิดข้ึนมาไม่เห็น พระใน ไม่รู้ ความรู้สึกมีสติ สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์แลว้ จะเป็นเอง 14วิธีปฏิบตั ิตอ้ งทาตวั ของเราเป็นอยู่ บา้ นเรือน ในวดั เป็นพระ เป็นพระในบา้ นในเรือน เป็นทางไปสวรรค์ ไปนิพพาน ฝึ กหดั เป็นคนจริง ไม่ แมวจบั หนู ตอ้ งพูดอะไรมาก เอาจริงเอาจงั อยู่คนเดียว ดูใจไม่พูดไม่คุย ดูใจของเรา รักษาศีลรักษาความ คดิ รู้ทนั ที ไม่ ปกติ 15มนั คิด คิด คือ แมวจับหนู พอคิดแมวจับ คิดแล้วแลว้ ไป คิดให้รู้ทนั ที ไม่เขา้ ไปใน เขา้ ไปใน ความคิด ความคิดเป็นอุปสรรค รู้ท่ีตวั เราเคลื่อนไหวรู้ อยา่ เขา้ ไปในความคิด ให้มาดูความคิด ความคดิ รู้สึกตวั อยู่เสมอ การเดินจงกรมและสร้างจงั หวะ ความคิดวาง มีความรู้สึกตวั ปฏิบตั ิให้มาก จิตนึกคิด เรียนตารามาแลว้ ท่องมาแลว้ แกท้ ุกข์เราไม่ได้ หายใจเขา้ ออก 16จิตนึกคิดก็ตอ้ งรู้ ความรู้สึก ตอ้ งรู้ เรียกวา่ สมาธิ เรียกวา่ สติ เรียกวา่ ปัญญารอบรู้ ฝึกหดั ความรู้สึกตวั ไปจนเคยชิน มีจิตใจเขม้ แข็ง ทาความรู้สึกตวั ทาบ่อยๆ จิตใจคดิ รู้ ทาบอ่ ยๆ คิดมาแลว้ ปัดทิ้ง ผล 17การปฏิบตั ิเกิดปัญญา ความยดึ มนั่ ถือมนั่ หายไป มานะทิฏฐิหายไป โทสะ โมหะ โลภะ หายไป สัญญาความจาไดห้ มายรู้หายไป จิตใจเหนือสมมติไป ทาลายความโลภ โกรธ หลง และทาลาย เกิดปัญญา สมมติ จากความโลภ โกรธ หลง รู้สวรรคใ์ นอก นรกในใจ 18เห็นเองรู้เอง เขา้ ใจเอง เอาความรู้ ทาใหโ้ ทสะ มาแกไ้ ขปัญหาตนเอง ปฏิบตั ิธรรมเพ่ือให้เกิดปัญญา ฟังธรรมเพ่ือให้เกิดปัญญา ให้ละชวั่ ทา โมหะ โลภะ ความดี ทาดี พดู ดี คดิ ดี คือธรรมะ แกป้ ัญหาตวั เองได้ คือ ทุกขไ์ ม่เกิดข้ึนภายในจิตใจเรา หรือมี หายไป ทุกข์น้อยท่ีสุด 19ควรศึกษาการกระทา คาพูด ในความคิด การรู้ความคิดทาให้มีความสุข เมื่อ ละชว่ั ทาดี ประพฤติธรรมทาความรู้สึกตวั เกิดปัญญา กาจดั กิเลสอยา่ งหยาบได้ กิเลสลดนอ้ ยลง ความรู้สึกตวั เกิดปัญญา

347 ตารางท่ี 4.6.2 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “วธิ ีเข้ำถงึ พระนิพพำน กระแสพระนพิ พำน” แนวทางปฏิบตั ิหลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโภ (พนั ธ์ อินทผิว) สกดั หลกั จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั N2] แนวคิด ประเดน็ คำสอน เรียนรู้จาก 20)หลวงพ่อเทียนสอนใหเ้ จริญสติ กาหนดรู้จกั ตวั เรา เรียนรู้จากตวั เอง เขา้ ใจตวั เอง สอนของจริง ตวั เอง เรียนจากตวั เอง กวา้ งศอกยาววา หนาคืบ 21รู้รูปนาม 22เขา้ ใจความเป็ นพุทธะ ผูร้ ู้ ผูต้ ่ืน ผูเ้ บิก รู้รูปนาม บาน - เป็นพทุ ธะ 23 ความรู้สึกตวั มีอย่เู สมอ มหาสติปัฏฐานให้มีสติกาหนดรู้ใน อิริยาบถท้งั 4 ยนื เดิน นง่ั นอน หลกั กำร ใหม้ ีสติกาหนดรู้ ให้รู้สึกตวั มีสติ เกิดปัญญา ใหม้ ีความรู้สึกตวั อย่เู สมอ เคล่ือนไหวใหร้ ู้สึกตวั 24ศึกษาอนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา 25ศึกษาตามตาราจะไมเ่ ป็นของจริง ธรรมะตอ้ งเป็นของจริง ศึกษา มสี ตกิ าหนด จากของจริงลดั ที่สุด ตรงที่สุด 26ปฏิบตั ิเหมือนลูกโซ่ ความรู้สึกตวั ให้มีสติปัญญารอบรู้ ให้มี รู้สึกตวั สติติดตอ่ กบั เหมือนลูกโซ่ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา 27วิธีปฏิบตั ิมีหลายวิธี การสอนคนอ่ืนตอ้ งทาให้ดู อยู่ให้เห็น พูดให้ฟัง น่ังสมาธิให้รู้สึกตวั ศึกษาของจริง เคล่ือนไหว ให้รู้สึกตวั 16 จงั หวะ จะอิริยาบถนั่งทา นอนทา ยืนทา เวลาเดินให้รู้ ตอ้ งรู้สึกตวั ปฏบิ ตั เิ หมือน ใหร้ ู้จริงใหม้ ีสติกาหนดในอิริยาบถ ใหส้ ร้างจงั หวะพลิกมือตะแคงข้ึนใหร้ ู้สึกตวั มือเป็นจงั หวะ ลูกโซ่ ทามากๆจะสมบูรณ์เอง มีสติ สมาธิ ปัญญา การพลิกมือไปมา อิริยาบถย่อยเห็นตวั ทุกขว์ ่า ทน ไม่ได้ 28การเดินจงกรมไปมา ไม่พูดไม่บริกรรม เดินเฉยๆ ให้มีสติกาหนดรู้เอาความรู้สึกตัว วิธีกำร เคลื่อนไหว เอามือไหวข่ า้ งหลงั เดินกลบั ไปกลบั มา เดินเป็นธรรมชาติ 29การปฏิบตั ิเกิดปัญญา คาส่ังสอนของผูร้ ู้เกิดปัญญา การฟังเทศน์เกิดปัญญา นามาใชก้ บั ชีวิต นง่ั สมาธิแบบ ของเรา และไมเ่ ช่ือสิ่งไร้สาระ เคล่อื นไหวให้ รู้สึกตวั 16 จงั หวะ สติกาหนด ความรู้สึกตวั ผล เกิดปัญญา ตารางท่ี 4.6.3 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “อย่ำลืมตวั - ทำเหมือนกนั แต่ไม่เหมือนกัน” ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโภ (พนั ธ์ อินทผวิ ) สกดั หลกั จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั N3] แนวคดิ ประเดน็ คำสอน ทาแบบซ่ือๆ 30การเจริญวิปัสสนาสมาธิ ให้ทาแบบซ่ือ ๆ การตีปัญหาจากหนงั สือแปลผิดความหมาย การ ปัญญาญาณ ปฏิบตั ิไปผิด 31ปัญญาญาณมาจากกฎธรรมชาติ 32ความเป็ นพุทธะ รู้ธรรมเห็นธรรม เขา้ ใจ เป็ นกฎ ธรรม เขา้ ใจพระพุทธเจา้ ไดก้ ระแสพระนิพพาน เท่ากบั เป็น ตน้ ทางความคิด ปฏิบตั ิวิปัสสนา ธรรมชาติ ฟังแลว้ จาได้ กระแสนิพพาน

348 หลกั กำร 33เข้าใจเน้ือแท้ รู้จักอัตถบัญญัติ รู้จักสมมติบัญญติ รู้จักปรมตั ถ์บญั ญตั ิ สมมติช่ือให้มันมี ความหมาย เขา้ ใจคาพูด รู้รูปนาม รู้ปรมตั ถ์ ความรู้ถูกตอ้ ง คือรู้ของจิต เห็นความคิด พน้ จาก เขา้ ใจเน้ือแท้ ความคิด เอาชนะกิเลส ใหเ้ ห็นอยา่ งซ่ือๆ ถา้ คิดอยากไดค้ วามสงบ เหมือนหินทบั หญา้ อะไรให้ รู้จกั อตั ถ รู้จิตใจไม่เปลี่ยนแปลง 34ให้รู้สึกตวั ใหร้ ู้ใจ ใจมนั คิด รู้จกั แบบซ่ือๆ มีอะไรเห็นได้ ดีใจเสียใจ บญั ญตั ิ รู้จกั ไม่พอใจ เป็ นทุกขม์ ีทุกข์ ปล่อยมนั ไป รู้เขารู้ทนั รู้จกั กนั รู้จกั แก้ มรรคเป็ นขอ้ ปฏิบตั ิ ให้ถือ สมมติ รู้จกั ความดบั ทุกข์ มีศีลประจาตวั ชนะโทสะ โมหะ โลภะ ลดนอ้ ยลงสูก้ บั กิเลส 35ญาณเป็นพาหนะ ปรมตั ถ์ ไปหาพระพุทธเจา้ คนมีปัญญา เอานิพพานไปใช้ทางานจนหมดลมหายใจ การปฏิบตั ิไม่ได้ ใจมนั คิด รู้จกั ข้นึ อยกู่ บั ครูอาจารย์ ข้ึนอยกู่ บั การกระทาตวั เอง ขยนั ทาภาวนาทาใหม้ าก ไมท่ อ้ ถอย แบบซ่ือๆ ญาณเป็ น 36ทาแบบเคลื่อนไหว รู้จกั รูปนาม เห็นความทกุ ข์ เห็นแจง้ ดว้ ยสติปัญญา ทาซ้าๆ พลิกมือข้นึ มนั พาหนะ เคล่ือนไหว ให้รู้จกั การทาจงั หวะ ทาความรู้สึกตวั ทาใหเ้ ราเกิดปัญญา 37ความจาไดห้ มายรู้ จา ไดแ้ ลว้ มีญาณปัญญา มีความรู้เป็นพาหนะ ขนส่งเขา้ ไป ไดต้ น้ ทาง ตน้ ความคิด เรารู้เขา้ ใจไม่ วธิ กี ำร เขา้ ไปในความคิด ความคดิ ตอ้ งละ 38คนทกุ ขห์ ยดุ ความคิดไม่ไดเ้ พราะความคิดถูกปรุง ทกุ ขใ์ ห้ กาหนดรู้ รู้ตวั คิด ไม่อยากคดิ หา้ มไมไ่ ด้ ใหม้ นั คิดปล่อยไป ปลอ่ ยละวาง มนั ยง่ิ คดิ เรายงิ่ รู้ ยงิ่ คดิ ทาแบบ เรายิ่งรู้ รู้กลไกของความคิด แต่ตอ้ งหาวิธีเอาน้าออกจากตะกอน ความเป็ นเอง เอาออกให้กนั เคล่ือนไหว ไม่ได้ นิ่งสงบเห็นจิตใจคิด ไม่ห้ามความคิด ปล่อยมนั คิดไป 39ต้งั ใจให้มีอารมณ์เดียว คิดมา ทาจงั หวะ เห็นรู้ เขา้ ใจ เป็นมรรคผล ตอ้ งเห็นตอ้ งรู้และตอ้ งเขา้ ใจจริง ๆ มรรค เห็นถกู ตอ้ ง ตอ้ งเห็นตวั เรา ญาณปัญญา ทาดีเพราะตวั เราทา ทาชวั่ เพราะตวั เราทา รู้จกั ปกติ มรรคผลใหเ้ ป็นไปตามลาดบั จนถึงที่สุดไม่ ความรู้เป็ น ตอ้ งถามใคร 40สมมติบญั ญตั ิ มีมากตอ้ งรู้จกั ใหค้ รบ รู้สมมติรู้จกั ศาสนา คาสั่งสอนท่านผูร้ ู้เป็น พาหนะ ท่ีพ่ึง เม่ือปฏิบตั ิรู้จกั ตวั เองและรู้รูปนาม เอาปัจจุบนั มาใชก้ บั การทางาน การปฏิบตั ิตอ้ งปฏิบตั ิ รู้ตวั ความคดิ จริง เมื่อปฏิบตั ิจริงผลออกมาจริงๆที่ตวั เราได้ อารมณ์เดียว 41ความสงสัย อยากรู้อยากเห็น อยากเขา้ ใจ ผปู้ ฏิบตั ิธรรมเห็นธรรม เขา้ ใจธรรม ซาบซ้ึงธรรม คดิ เห็น รู้ เปลี่ยนแปลงจิตใจของเรา รักษาโรคทางจิตใจ โรคทางวญิ ญาณ มนั เป็นทุกขเ์ บาอกเบาใจ วา่ งๆ รู้จกั สมมติ บาป คือ มืดไม่รู้ทิศ บาปคือโง่ หนกั อกหนกั ใจ 42ใหร้ ู้จกั คุณค่าของคน หน้าที่ของตน รู้ธรรม บญั ญติ ให้ เห็นธรรมอยดู่ ว้ ยธรรม ธรรมะชนะอธรรม คือ ความไม่รู้ ความคดิ สบั สนวนุ่ วายไมเ่ กิด 43ผตู้ รัส มาก รู้ตามพระพุทธเจา้ เห็นตวั เองครบถ้วน ผูเ้ ป็ นอริยบุคคล เลิกละความชัว่ เราทาอะไรต้องมี พ้ืนฐานดี เห็นรู้เขา้ ใจ สมั ผสั แนบแน่น ผล ซาบซ้ึงธรรม รู้คุณคา่ หนา้ ที่คน ละชวั่ ทาดี ตารางที่ 4.6.4 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “ข้อปฏบิ ัตธิ รรมที่ลดั ส้ัน” สกดั หลกั ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (พนั ธ์ อินทผวิ ) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั N4] ประเดน็ คำสอน

349 แนวคดิ 44ความหมายฌาน 45รูปนาม รูปโลกนามโลก ให้รู้รูปนามอยู่เสมอ 46รู้ทุกข์ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา รู้สมมติ ทุกส่ิงทุกอย่างเป็ นสมมติ ปรมตั ถ์เป็ นของจริงไม่แปรผนั สอนให้เขา้ ใจหลกั ฌาน พระพทุ ธศาสนา ทาดี คิดดี พดู ดี รูปนาม อนิจจงั ทกุ ขงั 47วิธีการเคล่ือนไหว รู้ความคิดตนเอง รู้รูปนาม ตอ้ งทาให้รู้จริงๆ ต้งั ใจรู้แจง้ เห็นจริงอยู่ด้วย อนตั ตา ความรู้แจง้ เห็นจริง รู้แจง้ เห็นจริงตามความเป็ นจริงรู้สมมติบญั ญติ และปรมตั ถบ์ ญั ญตั ิ สมมติ รู้เท่ารู้ทนั รู้ทุกส่ิงทุกอย่าง 48จงประพฤติ รู้ เห็น เป็ น มี คือ จิตใจสะอาด สว่าง สงบ บริสุทธ์ิ หลกั กำร ปกติมีธรรมมาก ท่ีตอ้ งรู้ เห็น เขา้ ใจ การทบทวนอารมณ์จาให้ได้ ทวนอารมณ์กลบั ไปกลบั มา เห็นดว้ ยปัญญาญาณ 49เหมือนหนูกบั แมว แมวคือตวั รู้ หนูวิ่งไปมา แมวจบั หนูอย่างเร็ว ตวั รู้ วิธีการ มากข้ึนๆ หนูไม่มีแลว้ ฆ่าหนูได้ 50เม่ือคิดใหค้ ิดไม่หา้ มความคิด แต่ใหร้ ู้จริงๆ ทวนอารมณ์ ไม่ เคลื่อนไหวรู้ ห้ามคิดให้คิด ทาให้สบาย รู้รูปนามธรรม ทวนกลบั ไปมา เห็นเวทนาเกิด จบั ให้ได้ ทวนให้ ความคิด คล่องแคล่ว 51ภาวนาทาให้เจริญๆ รู้ธรรมเป็ นเคร่ืองออกจากทุกข์ ศึกษาปฏิบตั ิ คน้ ควา้ เพ่ือ รู้ เห็น เป็น มี แกป้ ัญหาตวั เอง การเจริญสติตอ้ งปฏิบตั ิติดต่อกนั อยู่ไหนตอ้ งปฏิบตั ิไป ไม่ติดรู้อยู่ในใจ รู้ให้ ทวนอารมณ์ หมด รู้ใหจ้ บครบถว้ น แมวกบั หนู 52การเจริญสติตอ้ งปฏิบตั ิติดต่อกนั เป็ นลูกโซ่ติดต่อกนั ตลอดเวลา ความคิดตามลมหายใจ วิธี แมวคือตวั รู้ ปฏิบตั ิ ยกมือไปมาเคลื่อนไหวใหร้ ู้ จิตใจนึกคิดให้เห็นรู้ ปฏิบตั ิธรรมอยูท่ ่ีไหนก็ปฏิบตั ิไป ถา้ ทวนอารมณ์ เรารู้แลว้ ดู ฟังธรรมจากครูบาอาจารยต์ อ้ งปฏิบตั ิตาม ใหร้ ู้รูปนาม ทวนรูปนาม กลบั ไปกลบั มา จาใหไ้ ด้ ไม่หลงไม่ลืมโดยทาความรู้สึกตัว ทาจงั หวะ เร็วข้ึน หรือขา้ ลง ปฏิบตั ิต้องทาให้เขา้ ใจ ทา เจริญสติตอ้ ง จังหวะช้าเร็ว ต้องรู้อยู่ในใจเสมอ 53ฟังให้ใช้สติพิจารณา ปัญญาให้เกิดข้ึน ทาปัญญาให้ ปฏิบตั ิต่อกนั แกป้ ัญหาตวั เองให้มาก ให้ดูตวั เองให้มาก ไม่ดูคนอ่ืน ไม่เบียดเบียดตวั เอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น จิตไม่เบียดเบียน พยายามทาความสงบ เราไมร่ บกวนตวั เอง เราไมร่ บกวนคนอ่ืน ศีลกาจดั กิเลส วธิ ีกำร หยาบ สมาธิกาจดั กิเลสกลาง ปัญญากาจดั กิเลสละเอียด มรรคผลนิพพาน ความเยน็ อกเยน็ ใจ 54 รู้ปรมตั ถค์ ือ รู้เห็น สัมผสั แนบแน่น เห็นโทสะ โมหะ โลภะ ตอ้ งรู้ เขา้ ใจ อย่กู บั เวทนา สัญญา ยกมอื ไปมา สังขาร วญิ ญาณ ไม่เป็นทกุ ข์ ล่วงทกุ ขเ์ พราะปัญญา เห็นแจง้ ทาอริยมรรคมากๆ เคลื่อนไหวให้รู้ 55การฟังธรรมไม่เกิดปัญญาแก้ปัญหาไม่ได้ ถ้าแก้ปัญหาตัวเองได้มีค่ามาก เป็ นบุคคลไม่ จิตนึกคดิ ให้รู้ หวน่ั ไหวในโลกธรรม อารมณ์ไม่หวน่ั ไหว เราทาถูกตอ้ งมนั่ ใจตวั เองเป็ นคนพูดจริง ทาจริง ทาความ เห็นจริง 56เราใกลค้ าสอนพระพุทธเจา้ รู้สึกว่าตวั เองเป็น พระ เจริญรอยตามพระพุทธเจา้ รู้จกั รู้สึกตวั ความดี ยกมือไหวต้ วั เองได้ มีดีไม่ใช่อวดดี ขนั ธ์ 5 ไม่ปรุงแต่ง และปรุงแต่งไม่ได้ รู้แจง้ ตาม ใชส้ ติพจิ ารณา ความเป็นจริงมน่ั ใจในการทา จิตใจสะอาด บริสุทธ์ิ ปกติ วอ่ งไว มองเห็นอะไรไดใ้ นชีวิต 57ฝึก ปัญญาให้ ธรรม คือ ฝึ กนิสัย ลดมานะลดทิฏฐิ ลดความเห็นแก่ตวั ใจไม่รับรู้ให้ใจเขา้ ใจเห็นเขา้ ไปขา้ งใน เกิดข้ึน ผลทาใหจ้ ิตใจน่ิมนวลไมไ่ ปตามอารมณ์ รู้ปรมตั ถ์ คือ รู้ เห็น สัมผสั แนบแน่น ผล แกป้ ัญหา ตวั เองได้ รู้สึกตวั เอง เป็นพระ ขนั ธ์ 5 ไม่ปรุงแต่ง จิตใจนิ่มนวล

350 ตารางที่ 4.6.5 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “วธิ กี ำรเจริญสติ” ตามแนวทางปฏิบตั ิ หลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโภ (พนั ธ์ อินทผิว) สกดั หลกั จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั N5] แนวคิด ประเด็นคำสอน ศกึ ษาตวั เอง 58พระพุทธเจา้ สอนเรียนรู้ตวั เอง กวา้ งศอกยาวาหนาคืบ ให้ศึกษาตวั เอง เขา้ ถึง ทุกขงั อนิจจงั ฝึ กสติเพอื่ อนตั ตา การเจริญสติระลึกไดเ้ พอ่ื ใหเ้ กิดปัญญา ปัญญา 59อกาลิโก รู้เขา้ ใจเองเห็นเอง ศึกษารู้ตวั เอง ทุกคนเหมือนกนั มีกายใจคือ นามรูปเหมือนกนั หลกั กำร จากอิริยาบถ คือ ตวั ทุกข์ หายใจทุกข์ คิดทุกข์ 60การปฏิบตั ิธรรมโดยการฟังตอ้ งใหเ้ กิดปัญญา ดูวา่ เกิดปัญญาอยา่ งไร 1)เอาไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ 2)แกป้ ัญหาตวั เองได้ เม่ือเราไมร่ ู้ก็ตอ้ ง อกาลิโก รู้เอง ทาตาม “พทุ ธะ” รู้เอง ใหเ้ กิดปัญญา ศึกษารู้เอง พทุ ธะ เกิด 61ให้มีสติกาหนดรู้อิริยาบถท้งั 4 ยืน เดิน น่งั นอน และให้มีสติเขา้ ไป กาหนดอิริยาบถย่อย คู้ ปัญญา เหยียด เคล่ือนไหว ตอ้ งมีสติกาหนดรู้ 62สร้างจังหวะ เอาช้าให้รู้สึกตวั พลิกมือข้ึนให้มีสติ กาหนดใหร้ ู้สึกตวั 63“สติ” คือความระลึกได้ ใหร้ ู้สึกตวั หยดุ ใหร้ ู้สึกตวั ระลึกได้ “สัมปชญั ญะ” วธิ กี ำร คอื ความรู้สึกตวั ใหร้ ู้ความจริง จากสติ สมั ปชญั ญะ มสี ติกาหนดรู้ 64เรียนรู้เพอื่ แกป้ ัญหาตวั เอง ไมเ่ ชื่อเรื่องเหลวไหล อะไรเป็นปัญญาเอาไปใช้ อะไรไมใ่ ช่ปัญญา อิริยาบถ เลิกได้ ละชว่ั ทาความดี ธรรมะเป็นทาดี พูดดี คิดดี สรา้ งจงั หวะสติ การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “รู้เอง เห็นเอง เข้ำใจเอง รู้สึกตวั สัญญำกบั ปัญญำ” ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (พนั ธ์ อินทผิว) สติระลึกได้ จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั N6] สมั ปชญั ญะ รู้สึกตวั ประเด็นคำสอน 65หลวงพ่อเทียนไม่ไดเ้ รียนหนงั สือ ท่านไม่ยึดติดสานกั ฯ ไม่ยึดถือ สอนพูดความจริงให้ฟัง คน ผล ตอ้ งการความจริง ตอ้ งการความเขา้ ใจ การปฏิบตั ิธรรมตอ้ งรู้จริงๆ เขา้ ใจจริงๆ ถา้ ไม่รู้จริงแตเ่ รา ไปสอนผอู้ ื่นไมถ่ ูกแลว้ การสอนธรรมเป็นเร่ืองละเอียดลึกซ้ึง 66การปฏิบตั ิจริง เขา้ ใจจริง รับรอง ละชว่ั ทาดี คาพูดไดจ้ ริง พูดอย่างตอ้ งปฏิบตั ิให้ตรงกบั ส่ิงที่พูด -เรียนมาแลว้ ไม่ใช่ของเราไปเรียนของผอู้ ื่น มาพูด พูดอวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีในตน การปฏิบตั ิธรรม เขา้ ใจตวั เอง เห็นชีวิต จิตใจตวั เอง ตารางที่ 4.6.6 ใหป้ ฏิบตั ิเห็นเอง เขา้ ใจเอง 67ตวั สติคอื วิจยั ธรรมวจิ ยั ความสอดส่องธรรม รู้จกั กฎธรรมชาติ 68จาตาราไม่ใช่ของจริง ไม่เขา้ ใจ ตารากบั การปฏิบตั ิตอ้ งไปดว้ ยกนั ครูบาอาจารยช์ ้ีแนว ถา้ ไม่ช้ี สกดั หลกั แนวไม่รู้จกั คอยฟังเห็นตาม แนวครูอาจารย์ การสอนและการเรียนรู้ธรรมะไกลจากความจริง แนวคดิ ไม่ได้ สอนให้ไปหาความจริงไดค้ วามจริง 69เขา้ ถึงสภาวอาการเกิดดบั ได้ จาเอาไปปฏิบตั ิ ฌาน รู้เขา้ ไป รู้เห็น สัมผสั กบั สิ่งน้นั ๆ เขา้ ไปเห็นไดไ้ ม่เพ่ง เห็นความนึกคิดของตวั เอง ฌานตอ้ งเห็น ปฏิบตั ิธรรม ตอ้ งจริง ปฏบิ ตั ิเองเห็น เขา้ ใจ ตวั สติ คือ วจิ ยั สอดส่องธรรม หลกั กำร จาตาราไม่ใช่ ของจริง ตอ้ ง ปฏิบตั ิ

351 สภาวะเกิดดบั จริง รู้จริง เขา้ ใจจริง สัมผสั จริง 70ถา้ เห็นฌานจริงๆไม่เอาคาพูดคนอ่ืนมาพูด เห็นรูปนามอย่าง จาไปปฏิบตั ิ คนมีปัญญา สญั ญาทาหนา้ ที่กบั ปัญญา 71จิตใจสติปัญญารวมตวั ปรากฏตวั เห็นอยู่อยา่ งน้นั เขา้ ใจ เห็นฌาน เห็นเขา้ ไปคลุกคลีอยู่กบั สิ่งน้ัน 72 ให้เคารพตวั เองดว้ ยการทาดี 73ให้เจริญสติเหมือนลูกโซ่ อยา่ งปัญญา จิตใจสะอาดอยแู่ ลว้ เพยี งหลงเขา้ ไปในความคิด เคารพตวั เอง สติลูกโซ่ 74 การปฏิบตั ิธรรมตอ้ งเป็ นไปตามข้นั ตอน ต้งั ใจเดินจงกรม และฝึ กสร้างจงั หวะ เจริญสติปัฏ ฐาน 4 พลิกมือข้ึน เดินไปมา กระพริบตา เป็นวิธีสอนลดั เป็นธรรมที่มีอุปการคุณมากสมาธิติด วิธีกำร ความสวยงามเป็นกิเลสความสงบ มกั สงบนง่ั ตวั แข็ง ไม่ใช่ทางดบั ทุกข์ วิธีการทาให้ตวั แข็งจบั ลมหายใจทาใหต้ วั แขง็ ไม่ใช่ฌานมนั หลง 75การฝึกเหมือนแมวจบั หนู จบั หนูไดแ้ มวกระโดดจบั ปฏิบตั ิธรรม หนู เห็นสังขารเห็นทุกข์ อยดู่ ว้ ยสติปัญญาไมม่ ีทุกข์ มีทกุ ขค์ อื หนกั ใจ ใหฝ้ ึกหดั ดูความคิด คดิ ทนั ตอ้ งเป็น นักปฏิบตั ิตอ้ งรู้ทนั ความคิด เห็นความคิด ให้ออกจากความคิด ตดั ความคิดทิ้ง คิดวูบหน่ึง เรา ข้นั ตอน เห็นเราเขา้ ใจ ความคิดปรุงแต่งลดลงๆใจนึกคิดวตั ถุท่ีมีอยู่ วตั ถุเปลี่ยนแปลง 76สติ คือ ระลึกได้ ฝึ กเหมือน สัมปชญั ญะ คือ รู้ตวั คิด รู้ เห็น เขา้ ใจ คนละสิ่งกนั วิธีการปฏิบตั ิวิปัสสนา เขา้ ใจเป็นเอง ความ แมวจบั หนู เป็นเองไม่ว่าชาติไหนศาสนาใด ตวั คนเป็นตวั ศาสนา ตวั สติปัญญา 77ฟังธรรมดวงตาเห็นธรรม ฝึ กดูความคดิ พูดความจริงให้ฟัง ฟังเทศน์ ฟังธรรมให้รู้จกั ตวั เรา พูดความจริงให้ฟัง ใหด้ วงตาเห็นธรรม ไป เห็น รู้ทนั อยนู่ อกตวั ยากท่ีจะรู้ หากเอาไวท้ ี่ตวั ของเราสวรรคอ์ ยนู่ ้ี ไปพจิ ารณาเอง สอนใหพ้ น้ ทกุ ข์ ออกจากคดิ 78จิตใจเปล่ียนแปลง ทาลายกิเลสตณั หา ทาลายความโลภ โกรธ หลง ศีลขดั เกลากิเลสอย่าง คดิ รู้ เห็น หยาบ โลภะ โทสะ โมหะ จางคลายไป เห็นโลภ โกรธ หลง ถามตวั เอง ความโลภ โกรธ หลง เขา้ ใจ ลดลงหรือไม่ ปฏิบตั ิไมถ่ ูกไมไ่ ดผ้ ล จิตใจเปล่ียนสภาพ ไม่คบคนพาล ศีลกาจดั กิเลสอยา่ งหยาบ ใหร้ ู้จกั ตวั เรา สมาธิกาจดั กิเลสอยา่ งกลาง ปัญญากาจดั กิเลสอยา่ งละเอียด ธรรมยงิ่ กวา่ มนุษยท์ ่ีมี ผล ศลี กาจดั กิเลส หยาบ สมาธิ กาจดั กิเลสกลาง ปัญญากาจดั กิเลสละเอียด ตารางท่ี 4.6.7 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “ต้องรู้ต้องสัมผสั เอง” ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ (พนั ธ์ อินทผิว) สกดั หลกั จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั N7] แนวคิด ประเด็นคำสอน มีสตกิ ายในกาย 79สติปัฏฐาน 4 หมายถึง มีสติกายในกาย มีสติเวทนาในเวทนา มีสติจิตในจิต มีสติธรรมในธรรม เวทนา จิต ธรรม 80สูตรสาเร็จในการปฏิบตั ิธรรม คือ รู้จริง เห็นจริง ทาตามความเป็นจริง พุทธศาสนา เป็นผรู้ ู้ ผู้ รู้จริง เห็นจริง ต่ืน ผเู้ บิกบาน ทกุ ขงั อนิจจงั อนตั ตา 81คาสอนของพระพทุ ธเจา้ เป็นสากล การศึกษาและปฏิบตั ิ ตามจริง พดู จริงตามความจริง ธรรมตอ้ งรู้สัมมาทิฏฐิ การเจริญสติตอ้ งเจริญปัญญา คาสอนสากล 82หลวงพ่อเทียน ไม่อาศยั ตารา มีหรือไม่มีในพระไตรปิ ฏก ก็ได้ การทาความเขา้ ใจวิปัสสนา หลกั กำร ตอ้ งไม่ติดตารา ติดพระไตรปิ ฎก พูดความจริง รู้จกั ความจริง 83ต้งั ใจฝึ กฝน รู้แจง้ เห็นจริงตาม ความเป็นจริง อาศยั การปฏิบตั ิใหม้ ากๆ อยา่ ไปติดความสงบ จะสงบกไ็ ดไ้ ม่สงบกไ็ ด้ เป็นสภาพ ไมอ่ าศยั ตารา เช่นน้นั ของมนั อยแู่ ลว้ ถา้ ไม่ปฏิบตั ิไม่รู้จิตใจ สันทิฏฐิโก อนั ผรู้ ู้จะรู้เอง 84สมมติบญั ญตั ิ อตั ถ

352 ต้งั ใจฝึกฝน รู้ บญั ญตั ิ ปรมตั ถบ์ ญั ญตั ิ ส่วนปรมตั ถเ์ ป็ นของจริง รู้ของจริงถึงท่ีสุดของทุกข์ 85ญาณบอกทาง แจง้ เห็นจริง ไม่ ไปพบพระพุทธเจา้ การรู้อยา่ งไม่รู้ รู้อยา่ งผรู้ ู้ รู้เรื่องทุกข์ การเคลื่อนไหวไปมา 86ศึกษาอยา่ ง รู้ ติดสงบ เห็น เป็น มี รู้ลกั ษณะโมหะโทสะโลภะ ปรมตั ถบ์ ญั ญตั ิ ญาณ 87การมีสติกาหนดรู้ ในอิริยาบถ 4 อย่าง ยืน เดิน น่ัง นอน ให้มีสติกาหนดรู้ เป็ นทางลดั สูตร ศึกษา รู้ เห็น สาเร็จ ทาเพื่อเกิดปัญญา รู้แจง้ เห็นจริง พลิกมือข้ึน ยกมือไปมาทาจงั หวะ มีสติสมาธิ ปัญญา เป็น มี สอนใหม้ ีสติกาหนดรู้ในอิริยาบถท้งั 4 ยนื เดิน นง่ั นอน ใหม้ ีสติกาหนดรู้ 88 เห็นภายในใชใ้ จ เห็น ใจรู้ใจเขา้ ใจ เราตอ้ งเห็นจิตในจิต ถา้ ไม่เห็นจิตใจตวั เอง หลงตนลืมตวั อาการเกิดดบั ตอ้ ง วธิ ีกำร เป็น รู้เห็น เขา้ ใจ สัมผสั แนบแน่น สภาพรู้เห็นเขา้ ใจเกิดดบั ใหอ้ ยกู่ บั ปัจจุบนั ใกลค้ วามรู้สึกตวั ความรู้สึกตวั เองมากๆ ทาเป็นจงั หวะ ไม่มีในตารา พลิกมือไปมา ยกมือข้ึน 89คิดป๊ บุ เห็นป๊ับ ไม่ มีสติกาหนดรู้ ปรุงแตง่ ความคดิ รู้การงานข้เี กียจไม่กา้ วหนา้ ถึงเวลาตอ้ งปฏิบตั ิ รู้หนา้ ท่ีของเราท่ีตอ้ งทา คิดเรา ในอิริยาบถ เห็นเรารู้ เราเขา้ ใจ สัมผสั แนบแน่น รู้แล้วเขา้ ไปในความคิด แกป้ ัญหาตวั เองไม่ได้ 90ต้งั ใจ เห็นภายใน จิตใจเขม้ แข็ง พูดจริงทาจริง ความสาเร็จอยู่ท่ีความต้งั ใจ ความต้งั ใจไม่มี ของดีจะเกิดข้ึนได้ ใชใ้ จเห็น อย่างไรตอ้ งเป็นคนจริง คนไม่จริง ปฏิบตั ิไม่กา้ วหน้าคนเขม้ แขง็ ไม่โกหกตวั เองโกหกคนอื่น เห็นจิตในจิต ไม่ได้ คิดป๊ ุบ เห็น 91ญาณวิปัสสนาเกิดข้ึน รู้แจง้ เห็นจริงตามความเป็ นจริง เป็ นผูม้ ีสติ ไม่หลงตน ลืมตวั 92ไม่มี ปั๊บ ไม่ปรุง กิเลส จิตใจสะอาด สว่าง สงบ บริสุทธ์ิ ปกติ ผอ่ งใส วอ่ งไว ความทุกขไ์ ม่เกิดในจิตใจ มองเป็น แตง่ ความคดิ อะไรทุกอย่าง ใจเห็นทุกข์เห็นสุข 93เคารพตวั เอง ไหว้ตัวเอง ความดีความงาม ธรรมใด ต้งั ใจ จิตใจ เบียดเบียนตนเองและผูอ้ ่ืน ไม่เป็นคาสอนของพระพุทธเจา้ 94เห็นนรกมีจริง ทาบาปดว้ ยวาจา เขม้ แขง็ ทาไม่ดี พูดไม่ดี ใจไม่ดี คิดไม่ดี ทุกขม์ ีจริง รู้มรรคผล จดั การ โทสะ โมหะ โลภะ ได้ รู้จกั บุญ บาป ผล รู้แจง้ เห็นจริง ตามเป็ นจริ ง จิตใจสะอาด สว่าง สงบ บริสุทธ์ิ ผอ่ งใส ว่องไว เคารพตวั เอง รู้มรรคผล ตารางที่ 4.6.8 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “กำรเจริญสตกิ บั กำรใช้ชีวติ จริง” ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ(พนั ธ์ อินทผวิ ) สกดั หลกั จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั N8] แนวคดิ ประเด็นคำสอน ศาสนา คอื ตวั 95พระไตรปิ ฎกคือ ตวั คน ศาสนาคอื ตวั เรา สติบรรพในพระไตรปิ ฎก พระพุทธเจา้ สอนแบบน้ี เรา ให้ “รู้สึกตวั ” 96การประพฤติปฏิบตั ิเป็นหนา้ ท่ีของพวกเราทาเอง อยากรู้ตอ้ งทาเอาเอง ทาแทน อยากรู้ทาเอง ไม่ได้ เจริญสติทาลายความหลงผิด ความโกรธ โลภ หลง ตถาคตเป็นเพียงผแู้ นะนาวิธี 97รู้รูป รู้ รูปนาม นาม หลกั กำร 98หลวงพ่อเรียนปฏิบตั ิมาหลายรูปแบบ หลวงพ่อเทียนฝึ ก พทุ โธ สัมมาอรหงั ยบุ หนอพองหนอ ทามาท้งั หมด 8 ปี ทาแลว้ ไม่เกิดปัญญา สอนพูดความจริง สอนให้เกิดปัญญาบารมี รู้จกั เท่าใด

ทาใหเ้ กิด 353 ปัญญาบารมี ทาความรู้สึก ก็สอนเท่าน้นั ไม่ใหส้ อนเหนือความรู้ของเราไปได้ 99การสร้างจงั หวะ หรือ รูปแบบหลวงพ่อ คนจริงตอ้ งได้ เทียนทาใหเ้ กิดปัญญา ทาท้งั วนั ท้งั คืน ทาความรู้สึกเอาเอง คนจริงตอ้ งไดข้ องจริง คนไมจ่ ริง ทา ของจริง ไม่จริง พูดไม่จริง ไม่รู้จริง 100สติคือ ระลึกได้ รู้สึกตวั ระลึกไดก้ ่อน ทาพูดคิด เป็นแก่นแท้ มี สติระลกึ ได้ ค่ามาก ใหม้ ีสติอยเู่ รื่อยๆ ทาทกุ วนั รู้ตวั ระลกึ ได้ 101การทาบุญดีแลว้ ตอ้ งมีสติ จึงดบั ทกุ ขไ์ ด้ ดีกวา่ ทาบุญทาทานอยา่ งเดียว 102เอาสติมาดูความคิด วิธกี ำร คอยดูความคิด อย่าเขา้ ไปในความคิด คิดแลว้ แลว้ ไป เห็นแลว้ เฉยๆ ไม่หลงเขา้ ไปในความคิด ไม่วิพากษว์ ิจารณ์ ความคิดนาโทสะ โมหะ โลภะ ถา้ คิดสติปัญญา อยดู่ ว้ ยสติ สงบเห็นแจง้ 103 มีสตดิ บั ทุกข์ เดินจงกรมใหร้ ู้ เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ นง่ั นอนยนื ไมเ่ อาสติมาไวท้ ่ีเทา้ เดินจงกรมกา้ วไปมาใหร้ ู้ รู้ เอาสติมาดู เดินไปเฉยๆ รู้สึกเดินไปใหร้ ู้สึก เหลียวซา้ ยแลขวาใหร้ ู้สึก รู้ทาอยา่ งน้ีสะสมไว้ รู้ใหม้ ากข้นึ ๆ ความคิด อยา่ ง เขา้ ไปในคิด 104การเจริญสติปัฏฐาน 4 มีอานิสงค์ บุญกุศลและบารมี บญุ เป็นปกติไมท่ ุกข์ กุศลอยดู่ ว้ ยความ เดินจงกรมให้ ฉลาด บารมีรู้เท่าทนั ดว้ ยการเจริญสติ เป็นอริยบุคคลไดต้ อ้ งรู้ธรรม เห็นธรรม เขา้ ใจตวั เองได้ รู้สึกตวั จิตใจไมย่ อมแพ้ ความมีชีวติ จิตใจมองไมเ่ ห็น เห็นชีวิตจริง ผล อริยบคุ คล ตารางที่ 4.6.9 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “เห็นควำมคิด คือ เห็นต้นทำงดับทุกข์” ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโภ (พนั ธ์ อินทผิว) สกดั หลกั จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั N9] แนวคดิ ประเด็นคำสอน วิปัสสนา รู้ 105วิปัสสนา แปลวา่ การเห็นแจง้ รู้จริง รู้แจง้ เห็นแจง้ เห็นตามขอ้ เท็จจริง ตอ้ งมีอุดมการณ์ เพ่ือ แจง้ เห็นจริง ความรู้แจง้ เห็นจริง 106จิตใจอเุ บกขา จิตใจเป็นปกติ เป็นพุทธะ ผรู้ ู้ ผตู้ ื่น ผเู้ บิกบาน จิตอุเบกขา 107รู้จารู้จกั วธิ ีทาใหร้ ู้แจง้ เห็นจริง 108มีสติมาดูความคิด รู้จกั วิธีดูความคิด เอาสติมาดูใจ เห็นธรรม หลกั กำร คือเห็นความคิด ดูความคิด ความคิดเกิดไม่เขา้ ไปในความคิด การเห็นธรรมตอ้ งทาเอง ผูม้ ี ปัญญาใชป้ ัญญา 109รู้จกั เรื่องสมมติ ไมต่ ิดสมมติ จาวิธีรู้แจง้ 110วิธีการหลบั ตามีประโยชน์น้อย น่ังสมาธิจะน่งั หรือไม่นง่ั ก็ได้ หลบั ตาหรือไม่หลบั ตาก็ได้ รู้วธิ ีดูความคดิ 111เคลื่อนไหวเห็นรูปนาม กระพริบตา กามือ เหยยี ดมือ คนอื่นมองเห็น จิตใจคนอ่ืนมองไม่เห็น เห็นรูปกาย กาลงั นงั่ ยนื เดิน นอน พูด คิด 112เห็นความคิดตวั เอง เห็นธรรม ไปดูความสงบเรา วิธกี ำร ตอ้ งการไมถ่ กู จุด สงบแบบไม่รู้ ท่ือๆ กอ้ นหิน ไม่สงบแบบการเห็นแจง้ รู้จริง เห็นความคดิ ชีวิต จิตใจตนเอง เห็นแจง้ รู้จริง เอาไปใชป้ ระโยชน์ได้ ทาการงานไม่ทุกข์ อย่าเห็นแก่ตวั ทาลาย หลบั ตาหรือลืม ความหลงผิด พูดตามความเป็นจริง 113เอาสติมาดูความคิด ตอ้ งความคิด ไม่ให้ความโกรธเกิด ตา ก็ได้ ดูความคิดดูจิตใจ คิดมาเห็นป๊ับ หดั บ่อยๆ ฝึ กบ่อยๆ ชกไปไม่ไปไหวค้ รู ใหท้ นั เหตุการณ์ ตอ้ ง เคล่อื นไหวเห็น ฝึ กหดั รูปนาม เห็นความคดิ ตวั เองเห็น ธรรม สตดิ ูความคดิ ความคดิ ดจู ิต

ผล 354 จิตสะอาด 114กาจดั ความโกรธ ความโลภ ความหลง มีความโลภโกรธหลงเห็นแจง้ รู้แจง้ เป็นบุญกุศล เห็น สวา่ ง สงบ ความคดิ ทาลายความยดึ มนั่ ดูจิตใจตวั เอง ไม่มีความโกรธอยแู่ ลว้ จิตใจสะอาด สวา่ ง สงบ ตารางที่ 4.6.10 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “หลวงพ่อเทียนสอบอำรมณ์” ตามแนวทางปฏิบตั ิหลวงพอ่ เทียน จิตฺตสุโภ (พนั ธ์ อินทผวิ ) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั N10] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคิด 115อริยสัจ 4 ความรู้แจง้ อริยสัจ 4 116สติ สัมปชญั ญะตอ้ งมี 117หนูกบั แมว หนูอยูใ่ นรู แมวอยขู่ า้ งนอก ถา้ เรารู้ส่ิงคิดอะไร รู้ทนั ที เขา้ ใจ 118มีสติเขา้ ไปกาหนดรู้ ปฏิบตั ิง่าย ๆ ไม่ตอ้ งหลบั ตา ทาความรู้สึกตวั ใหม้ าก หลกั กำร 119ยนื รู้ คิดรู้อยู่กบั เคลื่อนไหว มาอยู่กบั การเคล่ือนไหว ฝึ กทาเป็นจงั หวะอย่กู บั การเคล่ือนไหว สติ รู้สึกตวั เคล่ือนไหว ไม่ตอ้ งเพ่งไม่ตอ้ งข่ม มองไกลๆ ทาจงั หวะให้เป็นอารมณ์เดียว มองไกลๆ สมั ปชญั ญะ มองใกลเ้ วียนหัว ทาให้สบาย ส่งความรู้สึกไป ความรู้สึกน้อยๆ สบายๆ ไม่ตอ้ งยึดมนั่ ถือมน่ั หนูกบั แมว ตอ้ งทาแบบสบายๆ ต้งั ใจมากอยา่ งไปเพ่ง ใหร้ ู้บา้ งไม่รู้บา้ ง คิดรู้ทาตวั สบาย 120คิดแลว้ รู้ทนั ที มสี ติเขา้ ไป คดิ แลว้ แลว้ ไป ทาความรู้สึกตวั คิดแลว้ ปลอ่ ยไป คดิ แลว้ ทิง้ ไป อยา่ ไปดูมนั คดิ ใหร้ ู้ ทิง้ ไป ทา กาหนดรู้ ความรู้สึกดี 121ความดบั ทกุ ขไ์ ด้ เอาชนะกิเลสได้ ทาดีเพอ่ื ให้เขา้ ใจ ซาบซ้ึงดี วธิ กี ำร คดิ รู้อยกู่ บั เคล่ือนไหว คิดแลว้ รู้ทนั ที ทาความ รู้สึกตวั คดิ ปล่อยไป ผล ดบั ทุกข์ [7] พระครูภำวนำนุศำสก์ (แป้น ธมฺมธโร) 4.7.1) ประวตั ิ : พระครูภำวนำนุศำสก์ (แป้น ธมฺมธโร) พระครูภำวนำนุศำสก์ (แป้น ธมฺมธโร) ระหว่างวนั ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2457 ถึง 9 ตุลาคม พ.ศ.2548 อายุ 91 ปี หลวงพอ่ ใหญ่ ธมฺมธโรภิกฺขุ ประวตั ิโดยยอ่ พระผทู้ รงธรรมผใู้ หแ้ สงสวา่ งในธรรมตามหลกั มหา สติปัฏฐานสูตรพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโรภิกฺขุ) พ.ศ.2505 เป็ นผูร้ ักษาการเจา้ สานักวิปัสสนา กมั มฏั ฐาน สวนพุทธธรรม วดั ชายนา อาเภอเมือง จงั หวดั นครศรีธรรมราช พ.ศ.2511 ต่อมา เป็นผรู้ ักษาการ เจา้ สานกั วิปัสสนากมั มฏั ฐาน ไทรงามธรรมธราราม ตาบลดอนมะสังข์ อาเภอเมือง จงั หวดั สุพรรณบุรี พ.ศ.

355 2528 เป็นเจา้ อาวาสวดั ไทรงามธรรมธราราม พ.ศ. 2530 สรีระร่างศพพระครูภาวนานุศาสก์ คณะศิษยานุศิษย์ มีมติไม่ทาการฌาปนกิจต้งั ไวเ้ พ่อื สักการะบชู า ระลึกคณุ มณฑปวดั ไทรงาม จงั หวดั สุพรรณบุรี ประวตั ขิ องหลวงพ่อใหญ่ ธมฺมธโร ภิกฺขุ แห่งวัดไทรงำมธรรมธรำรำม สุพรรณบรุ ี69 ควำมสำมำรถ พเิ ศษสมยั ครองเพศฆราวาส ทา่ นมีความสามารถเขา้ สมาธิไดต้ ้งั แต่อายุ 7 ขวบ เม่ือโตแลว้ ไดศ้ ึกษาวิชาอาคม เวชศาสตร์ โหราศาสตร์ วิชาป้องกนั ตวั วิชาเสกเป่ า คาถามหานิยมต่างๆ หรือเดรัจฉานวิชา วิชาพรางกาย วิชานานาชนิด ไดแ้ ก่ วิชาป้องกนั อาวุธปื น มีด ดาบฟันแทงไม่เขา้ นาฏศิลป์ เล่นลิเก ร้องเพลง แหล่ทาขวญั นาคตามงานวดั ต่างๆ หลงั จากอุปสมบทแลว้ ไดอ้ อกเดินธุดงค์แสวงหาแนวทางหลุดพน้ 67 จงั หวดั ทัว่ ประเทศไทย ศึกษำหลักกำรปฏิบัติตำมสำนักปฎิบัติกัมมัฏฐำนต่ำงๆจนท่ัวประเทศจนสามารถมี”ญาณ พิเศษ” คือสามารถมองเห็นบคุ คลอ่ืนดว้ ยตาพิเศษหรือท่ีเรียกว่าตาทิพย์ ซ่ึงเห็นว่าสิ่งเหล่าน้ีลว้ นเป็นส่ิงที่ทา ใหห้ ลงติดไม่ใช่ทางหลุดพน้ ไดเ้ กิดความสงสัยในธรรมขอ้ ที่ เห็นกายในกายคืออะไร จึงขอ้ งใจในธรรมขอ้ น้ีมาก เดินทางไปสอบถามครูอาจารยจ์ ากเจา้ สานกั วิปัสสนาในท่ีต่างๆ เช่น วดั ระฆงั โฆษิตาราม กรุงเทพฯ วดั มหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ กรุงเทพ ฯ วดั ปากน้าภาษีเจริญ กรุงเทพ ฯ ก็ให้คาตอบไดไ้ ม่ จึงไดต้ ดั สินใจ คน้ ควา้ ดว้ ยตนเองโดยปฎิบตั ิอยทู่ ่ีวดั ปุบผาราม เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฝ่ังธนบุรีเป็นเวลา 2 ปี ก็ไม่หาย สงสยั จึงไดต้ ดั สินใจเดินธุดงคเ์ พอ่ื ไปสอบถามกบั ครูอาจารยอ์ ีกคร้ัง กไ็ มส่ ามารถใหค้ วามกระจ่างได้ จึงได้ กลบั มาอยทู่ ่ีวดั กงจกั รตามเดิม ตอ่ มาเจา้ คณุ วกิ รมมุณี เจา้ คณะจงั หวดั สุพรรณบุรีไดพ้ บในปฏิปทา ก็ใหพ้ ระ เลขา ฯ ไปสอบถามและให้นิมนตม์ าสังกดั วดั ปราสาททอง ต.ท่าพี่เล้ียง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี ใกลเ้ ทศบาล เมืองสุพรรณบุรี ใหม้ าเป็นพระผชู้ ่วยใชเ้ วลาอยู่ 2 ปี ท่านคิดวา่ หากมวั แต่ทากิจของผอู้ ื่นเช่นน้ีคงไม่ไดก้ าร แน่ จึงไปขออนุญาตท่านเจา้ คุณวิกรมมุณี เจา้ คณะจงั หวดั สุพรรณบุรีระงบั การทาหนา้ ที่ฝ่ ายพระผชู้ ่วย เพ่ือ เขา้ หอ้ งกมั มฏั ฐานภายในวดั ประสาททองอยา่ งไมม่ ีกาหนด ต่อมาไดพ้ บหลกั ธรรมในมหำสติปัฏฐำนสูตรที่ พระพุทธเจ้ำทรงแสดงไว้ จากหนงั สือบทสวดมนตแ์ ปลของมกุฎราชกุฎราชวิทยาลยั ไดก้ ล่าวไวว้ ่า ทางน้ี เป็นทางสายเอกคอื สติปัฏฐาน 4 ธรรมเป็นท่ีต้งั ของสติ 4 อยา่ งคือ ดูก่อนภิกษทุ ้งั หลาย ภิกษุในธรรมวนิ ยั จง พิจารณาใหเ้ ห็นกายในกายเนื่อง ๆ อยู่ อาตาปี มีความเพยี รเผากิเลสใหเ้ ร่าร้อน สมั ปชาโน มีสมั ปชญั ญะ สติ มา มีสติพึงกาจดั อวิชชาและโทมนสั ในโลกเสียให้พินาศ จงพิจารณาใหเ้ ห็นเวทนาในเวทนาเนือง ๆ อยู่ อา ตาปี มีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน สัมปชาโน มีสัมปชญั ญะ สติมา มีสติ พึงกาจดั อวิชชาและโทมนสั ใน โลกเสียใหพ้ ินาศ จงพิจารณาให้เห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่ อาตาปี มีความเพียรเผากิเลสใหเ้ ร่าร้อน สัมปชา โน มีสัมปชัญญะ สติมา มีสติ พึงกาจดั อวิชชาและโทมนัสในโลกเสียให้พินาศ ด้วยควำมสงสัยในข้อ ธรรมในมหำสติปัฏฐำนสูตรนี้ ไม่มีใครให้คำตอบได้ จึงตดั สินใจอย่างแน่วแน่อยู่ในห้องกมั มฏั ฐานเพียง อยา่ งเดียว โดยต้งั ปณิธานไวว้ ่า “ หากไม่พบพระสัจธรรมจกั ไม่ยอมออกไปไหนอีกต่อไปจนกว่าชีวิตจะหา ไม่ หากไดพ้ บพระสัจธรรมแลว้ จกั ขอทาหน้าที่เป็ นตวั แทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ เพ่ือ 69 ทา้ ว ปราโมทย.์ (2564,29 ธนั วาคม) “ ประวตั ิของหลวงพ่อใหญ่ ธมฺมธโร ภิกฺขุ แห่งวดั ไทรงามธรรมธราราม สุพรรณบุรี” Facebook. https://web.facebook.com/groups/753693218068753/user/100004563675004/

356 ประกาศธรรมของพระองค์ให้บุคคลอ่ืนได้รู้ได้เห็นตาม” ในการทากิจของตนคือ เม่ือกลบั มาจาก บิณฑบาตแลว้ ก็เขา้ หอ้ งกมั มฏั ฐานภายในกุฏิหลงั แคบ ๆ ขนาด 3 คูณ 3 เมตร โดยการใชอ้ ิริยาบถท้งั 4 นง่ั ยนื เดิน นอน พยายามศึกษาและปฎิบตั ิตามหลกั มหาสติปัฎฐานสูตรจากหนงั สือสวดมนตแ์ ปลจนแจ่มแจง้ ดว้ ยญาณปัญญา โดยใชเ้ วลาประมาณ 36 เดือนเศษ เมื่อแจ่มแจ้งในสัจธรรมแล้ว จึงออกเดินธุดงคไ์ ปในที่ ต่างๆอีกประมาณ 5 ปี เศษ เพ่ือทดสอบภูมิธรรมจะมีการเสื่อมลงไปไดห้ รือไมค่ ือ กปุ ปะธมั หรืออะกุปปะธมั กาเริบไดห้ รือไม่กาเริบได้ ไดเ้ ดินธุดงคไ์ ปทว่ั ประเทศอีกคร้ัง และคร้ังสุดทา้ ยเหมือนท่านทราบดว้ ยญาณวา่ ที่นัน่ คือมีผูท้ ่ีสามารถเห็นธรรมไดแ้ ละหลกั ชยั ในการปฏิบตั ิธรรม จึงตดั สินใจเดินธุดงค์องค์เดียวตามทาง รถไฟลงไปทางใต้ แมว้ า่ ตอนน้นั จะมีโจรก่อการร้ายคอมมิวนิสตจ์ านวนมากก็ตาม แต่ก็ไม่เคยหวน่ั ไหว โดย มุ่งไปเพ่ือไปนมสั การพระบรมธาตุยอดทองเมืองนครศรีธรรมราช จนไดพ้ บป่ าชา้ วดั ร้างชื่อวดั ชายนา ซ่ึง เกิดอยู่หลงั วดั ท้าวโคตรในปัจจุบันโดยมีถนนตัดผ่าน ในปี พุทธศกั ราช 2505 ในระหว่างท่ีพกั อาศัยอยู่ ชวั่ คราวอยนู่ ้นั ทาใหใ้ นเขตเมืองนครศรีธรรมราชไดร้ ับโศกนาฏกรรมอย่างร้ายแรงที่สุดมีผคู้ นลม้ ตายแลสูญ หายไปเป็ นจานวนมากแต่ตวั ท่านเองไดน้ ่ังสมาธิเขา้ ฌานจนดับกายธาตุหมดจนไม่รู้ว่าเกิดอะไรข้ึน และ ไม่ไดร้ ับอนั ตรายแต่ประการใดชาวบา้ นแถวน้นั ไดเ้ กิดศรัทธาจึงนิมนต์ให้ท่านไดพ้ กั อาศยั อยู่ท่ีนัน่ ต่อมา ท่านนาเอาวิธีปฎิบตั ิตามท่ีท่านปฎิบตั ิไดร้ ู้ไดเ้ ห็นมา นามาสั่งสอนให้พระภิกษุสงฆ์และฆราวาสทดสอบ ปฎิบตั ิตามดูทาให้สามารถรู้เห็นตามได้อย่างน่าอศั จรรย์ จนระยะต่อมาไดม้ ีผูค้ นจากทวั่ ประเทศและใน ต่างประเทศ ไดเ้ ดินทางไปศึกษาตามแนวทางที่ท่านนามาสอนให้ปฎิบตั ิตาม คือหลกั มหาสติปัฏฐาน 4 และ อริยมรรคมีองค์ 8 จนป่ าชา้ วดั ร้าง(วดั ชายนา)ไดก้ ลายเป็นศูนยว์ ิปัสสนากมั มฏั ฐานแห่งแรกในประเทศไทย ณ สวนพุทธธรรมวดั ชายนา ตาบลในเมือง(เดิมเป็ นตาบลนา) อาเภอเมือง จงั หวดั นครศรีธรรมราช และ เผยแพร่ไปยงั สานกั สาขาออกไปเร่ือย ๆ จนทว่ั ประเทศ 4.7.2) ธรรมบรรยำยคำสอน : พระครูภำวนำนุศำสก์ (แป้น ธมฺมธโร) ตารางที่ 4.7 ขอ้ มลู ธรรมบรรยายเกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิ รหัส พระครูภำวนำนุศำสก์ (แป้น ธมฺมธโร) ผา่ นช่องทาง YouTube จาแนกตาม รหสั รูปภาพ Y1 และรายละเอียดแห่งท่ีมาขอ้ มลู [รหสั Y1-8 ] รูปภำพ แหล่งทมี่ ำ https://www.youtube.com/watch?v=dSpovF7Ehao “ทำงเข้ำสู่วิปัสสนำญำณ 1 มหำสติปัฏฐำน 4” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 2 นาที วนั ที่เผยแพร่ : 17 ก.ค. 2015 จานวนการดู : 19,399 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 20 มกราคม พ.ศ. 2564

357 Y2 https://www.youtube.com/watch?v=eoGoe8c_O-c “อธิบาย สติปัฏฐานธรรมในธรรม” ความยาว : 59 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 26 ก.ค. 2015 จานวนการดู : 14,836 ครง้ั วนั ที่คน้ หา : 20 มกราคม พ.ศ.2564 Y3 https://www.youtube.com/watch?v=rXMZAQ7bHKU “อธิบำยมหำสติปัฏฐำนสี่ ตอน 01” ความยาว : 1 ชวั่ โมง 2 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 27 พ.ย. 2018 จานวนการดู : 646 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 20 มกราคม พ.ศ.2564 Y4 https://www.youtube.com/watch?v=RmL0CFvwAT0 “อธิบำยมหำสติปัฏฐำนส่ี ตอน 02” ความยาว : 1 ชว่ั โมง 2 นาที วนั ท่ีเผยแพร่ : 27 พ.ย. 2018 จานวนการดู : 588 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 13 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 Y5 https://www.youtube.com/watch?v=GjGpXiJc-LE “อธิบำยมหำสติปัฏฐำนสี่ ตอน 03” ความยาว : 1 ชวั่ โมง วนั ที่เผยแพร่ : 27 พ.ย. 2018 จานวนการดู : 742 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 13 มิถุนายน พ.ศ. 2564 Y6 https://www.youtube.com/watch?v=8zFRWZzP3EI “อธิบำยมหำสติปัฏฐำนส่ี ตอน 04” ความยาว : 1 ชว่ั โมง วนั ท่ีเผยแพร่ : 27 พ.ย. 2018 จานวนการดู : 3,107 คร้ัง วนั ที่คน้ หา : 13 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564

358 Y7 https://www.youtube.com/watch?v=JZaHkFptFCI “อธิบำยมหำสตปิ ัฏฐำนส่ี ตอน 05” ความยาว : 1 ชวั่ โมง วนั ท่ีเผยแพร่ : 27 พ.ย. 2018 จานวนการดู : 619 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 13 มิถนุ ายน พ.ศ. 2564 Y8 https://www.youtube.com/watch?v=idGMRPMCCeg “อธิบำยมหำสติปัฏฐำนสี่ ตอน 06” ความยาว : 1 ชวั่ โมง วนั ที่เผยแพร่ : 27 พ.ย. 2018 จานวนการดู : 189 คร้ัง วนั ท่ีคน้ หา : 13 มิถุนายน พ.ศ. 2564 จากตารางที่ 4.7 ขอ้ มูลธรรมบรรยายเกี่ยวกบั เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทางปฏิบตั ิพระครู ภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) ผา่ นช่องทาง YouTube จาแนกตาม รหสั รูปภาพ และรายละเอียดแห่งท่ีมา ขอ้ มูล จากการรวบรวมขอ้ มูล จานวน 8 คลิปขอ้ มูล ไดแ้ ก่ “ทางเขา้ สู่วิปัสสนาญาณ 1 มหาสติปัฏฐาน 4” “อธิบาย สติปัฏฐานธรรมในธรรม” “อธิบายมหาสติปัฏฐานสี่ ตอน 01” “อธิบายมหาสติปัฏฐานส่ี ตอน 02” “อธิบายมหาสติปัฏฐานสี่ ตอน 03” “อธิบายมหาสติปัฏฐานส่ี ตอน 04” “อธิบายมหาสติปัฏฐานส่ี ตอน 05” “อธิบายมหาสติปัฏฐานส่ี ตอน 06” ผลการศึกษาธรรมบรรยายเก่ียวกบั เร่ืองมหาสติปัฏฐาน 4 ตามแนวทาง ปฏิบตั ิ พระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) ดงั แสดงในตารางท่ี 4.7.1 ถึงตารางที่ 4.7.8 พบวา่ ตารางที่ 4.7.1 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “ทำงเข้ำสู่วิปัสสนำญำณ 1 มหำสตปิ ัฏฐำน 4” แนวทางปฏิบตั ิพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั Y1] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคิด Y1-1สมาธิเป็นธรรมอนั จิตใจสะอาด ตถาคตนามาสอน สมาธิอนั ใดไดผ้ ล มรรคผล คือสมาธิ ต้งั ใจชอบ เสมอดว้ ยสมาธิไมม่ ี 2ชีวิตท่ีเราเกิดมาลาบาก ความทกุ ขท์ รมานสงั ขาร 3ตอ้ งเขา้ ใจ สมาธิเป็ นธรรม สมาธิมีหลายแบบ 4อารมณ์วิปัสสนา จิตดูมาก ผสั สะมีปัจจุบันมโนสัมผัส วิบากมีทางเขา้ มรรคผล สังเกตรู้ได้ รูปเขา้ ทางตา มโนสัมผสั รับรู้อารมณ์ รับอารมณ์ ส่งติดต่อกนั ภพต่อภพ ภพใหม่ เกิดมาลาบากทุกข์ เป็นชาติ ชาติตอ่ กนั ที่ตา หู จมูก กาย ใจ 5กาหนดปัจจุบนั ตดั ขาดหมด ทรมาณสังขาร สมาธิมหี ลายแบบ อารมณว์ ิปัสสนา จิตดู มาก ผสั สะมปี ัจจบุ นั มโนสมั ผสั กาหนดปัจจบุ นั ตดั ขาด

359 หลกั กำร 6ธรรมะ กำรฟังธรรมะซ้ำและฝึ กกันบ่อย รู้จักวิธีกำรใช้ธรรมะ เป็ นหน้าที่ฟังกบั หน้าท่ีฝึ ก ฝึกอะไรฝึก จิตใจตวั เอง กายอาศยั ใจ การฝึกท่ีกาย ใจอยใู่ นกาย 7สมาธิเป็นธรรมจิตใจสะอาด ธรรมฟังกนั ซ้าๆ ฝึก ตถาคตนามาสอน สมาธิอนั ใดไดผ้ ล มรรคผล คือสมาธิต้งั ใจชอบ คือ ผลอื่นเสมอดว้ ยสมาธิ บอ่ ยๆรู้จกั วิธีการใช้ ไม่มี 8ธรรมะประจาตวั หิริ โอตัปปะ ทาความเขา้ ใจชีวิตสดชื่นแจ่มใสต่อการฝึ ก แลว้ ฟังกนั ธรรมะ ฝึกท่กี ายใจ ไปเร่ือย ๆ เหมือนอาหารทานกนั ทุกวนั ถ่ายกนั ทุกวัน เมื่อชีวิตอยู่ตอ้ งเปลี่ยนแปลงแก้ไข สมาธิเป็ นธรรม ตอ้ งฟังธรรมของพระองค์ 9ศำสนำอย่ทู ีก่ ำยยำวหน่งึ วำ หนำหนงึ่ คืบ ท่คี ้นกนั อยู่ อย่ำงค้นจำก จิตใจสะอาด “สนฺทิฏฺฐิโก อกาลิโก” 10กรรมในปัจจุบนั ชาติ กรรมในอดีต อารมณ์เขา้ ใจจากการปฏิบตั ิทา ธรรมะประจาตวั หิริ ใหเ้ ขา้ ใจสัญญาตอ้ งออกมาลบหมด โอตปั ปะ ศาสนาอยทู่ ่ี กายยาว 11การเจริญวิปัสสนาตอ้ งฝึ กเดิน 1 ชวั่ โมง ยืน 1 ชว่ั โมง น่ัง 1 ชวั่ โมง ตามอิริยาบถ 4 12การ หน่ึงวา หนาหน่ึงคบื เดินจงกรมวางจิตใจให้สบายในการเดินเป็ นขณิกสมาธิ 13รู้อย่ทู ี่กายใจอยทู่ ี่ไหน เดินอยู่ ยก อารมณเ์ ขา้ ใจจาก เท้าข้ึน สืบเท้าไปตรง อย่างอเข่า สมาธิต้งั ใจไวก้ ารยก สมาธิในการสืบเทา้ ลงกบั พ้ืน มา การปฏิบตั ิ คน้ หาใจขณะเคลื่อนไหวร่างกาย ใจอยู่ทว่ั ตวั พร้อม ในการเดินจงกรม 14การสวด การฟัง การฝึ ก ไปกาหนดไป เห็นธรรมในไปบา้ ง เป็นธรรมนอกไปบา้ ง ธรรมปรากฏ 15การฝึ กจิต วธิ ีกำร ไม่ใช่นงั่ นึกคิด วิปัสสนาทาอารมณ์ปัจจุบนั ชวั่ ขณะหน่ึง 16การเดินตอ้ งทุ่มเทกาลงั กาย วาจา ใจ อาศยั ความฟัง ฝึ กอยู่ กระหายในธรรมะปรมตั ิเกิดจากการปฏิบตั ิดว้ ย การเดินจงกรม ฝึกวิปัสสนา ตอ้ งเดิน 1 วิธีการฝึ กจิตตอ้ งหยง่ั สมาธิไวก้ บั การ ยก ย่าง สืบเทา้ ไป เป็นกายวิญญาณทวั่ กายความรู้สึกมี ชวั่ โมง ยืน 1 ชวั่ โมง กายวิญญาณมีจิตอย่ทู ่ีกาย 17ตอ้ งเดินกนั มาก ๆ เดินเป็นงานหนกั ใชอ้ ิริยาบถเดิน ส้นเทา้ กบั นง่ั 1 ชวั่ โมง ปลายเทา้ กบั ความรู้สึกอยูท่ ี่เทา้ อยู่ท่ีมโนทวาร ฟังไดจ้ าไปเอาไปฝึ กเพ่ือเฟ้นเห็นธรรม การ เดินจงกรมวางจิตใจให้ เดินเทา้ ตรงสืบเทา้ ไป ฝึ กเขา้ ใจในการฟัง เวลายกเทา้ ต้งั สติเป็ นปัจจุบนั การยกเท้ำมีขันธ์ 5 สบาย รองรับ การสืบเทา้ ไปมีความรู้สึก กา้ วยาวกา้ วส้นั 18เดินแลว้ มายนื การยนื อาจยกมือ กรรมวิธี คน้ หาใจขณะ นง่ั เมื่อยกมือจบั ความสังเกต การยกมือในเวลายืนเอาสติไปไวฝ้ ่ าเทา้ เหมือนดินพ้ืนกาหนด เคลอ่ื นไหวร่างกาย ใจ ฝ่ าเทา้ 19เวทนาผปู้ ฏิบตั ิฝึ กเขา้ ฐานจิต ปฏิบตั ิต่อไป กระเทือนถึงมโนทำงใจทาความเขา้ ใจไป อยทู่ ว่ั ตวั พร้อม เดิน ดูมโนสัมผัส ไปดูจิตในจิต การฟังเป็นการเขา้ ถึงจิต การทาความเขา้ ใจถึงจิต 20เห็นจิต มโน จงกรม สัมผสั ทางใจ สฬำยตนะตอ้ งดูมโนสัมผสั ยนื ฝ่ าเทา้ กาหนดที่พ้ืน ขณะยืนอยู่หรือโอนไปมา วิปัสสนาทาอารมณ์ ยืนชว่ั โมงหน่ึง ต้องฝึ กไว้ยืนชั่วโมงเหมือนกับกำรฝึ กสมำธิ เป็ นขณิกสมาธิเป็ นสมาธิใน ปัจจุบนั ชว่ั ขณะหน่ึง ขนั ธ์ มีศีลเกิดข้ึนในขนั ธ์ ทาลายกิเลสเกิดข้ึนในข้นั ปัญญาเกิดข้ึนในข้นั 21อิริยาบถนั่ง การเดินจงกรมวธิ ีการ อาการนง่ั วปิ ัสสนา เทา้ ขาวทบั ซา้ ยดูตามผสั สะดูเน้ือสัมผสั พ้ืนตรงไหนดูตรงน้นั เป็นอารมณ์ ฝึกจิตตอ้ งหยงั่ สมาธิไว้ สังเกตไวใ้ นใจมีความรู้สึกในอะไร ตอ้ งให้ศรีษะต้งั ได้ 22นงั่ ยกมือเป็นผทู้ าสัมปชญั ญะสร้าง กบั การยก ยา่ ง สืบเทา้ อตั ตาข้ึน สร้างและทาลายตวั ตน สร้างดว้ ยบริกรรมภาวนา สร้างการยกมือ ต้งั ใจไวช้ อบ เอา ไป เป็นกายวิญญาณ หวั เขามือใหต้ รงกนั จับควำมรู้สึกไวเ้ ป็นระยะ สัมมำสมำธิต้ังใจเป็นระยะ สัมมำสติระลึกอยู่ ใชอ้ ริ ิยาบถเดิน สน้ เทา้ ที่มือ ในขณะที่ยกมือ ทาสติควบคุมอยู่มือ เราเห็นจิตตวาโย วูบไปขณะหน่ึง ๆ การเจริญ ปลายเทา้ กบั ความรู้สึก วิปัสสนาได้จากความรู้สึก อาตาปี สัมปชาโน สติมา 23พิจารณาเห็นกาย จิต ธรรม คือ อยทู่ เ่ี ทา้ อยมู่ โนทวาร ยกมือสงั เกตเุ อาสติไป ไวฝ้ ่าเทา้ ฝึกฐานจิต ปฏิบตั ิ กระเทือนมโนทาง ใจเขา้ ใจไปดูมโน สัมผสั ดจู ิตในจิต เห็นจิต มโนสมั ผสั ทางใจ สฬายตนะ อาการนง่ั วปิ ัสสนา เทา้ ขาวทบั ซา้ ยดู ผสั สะเน้ือสัมผสั พ้ืน การเจริญวิปัสสนา ไดจ้ ากความรู้สึก

360 อาตาปี สัมปชาโน ความรู้สึก 24การยกมือเป็นระยะว่าเหมือนกนั หรือมีลกั ษณะ ขณะจบั ควำมรู้สึกตดั อำรมณ์ได้ สติมา หรือไม่ ถา้ ตดั ไดแ้ สดงว่ามีอารมณ์แลว้ กำรยกมือตัดอำรมณ์ เม่ือคิดเร่ืองอดีต เรายกมือตดั พิจารณาเห็นกาย จิต เรื่องได้ เรื่องใหมเ่ กิดข้ึนอีกเกิดซ้าซากอยู่อยา่ งน้นั ยนื เดินนงั่ อยอู่ ยา่ งน้นั มีซ้าซาก ๆ อารมณ์ ธรรม คือความรู้สึก เบ่ืออยา่ งน้นั น้ี 25กาหนดอิริยาบถนอน ดูมโนสัมผัส ดูใจเตน้ ดูมนโนวิญญาณผา่ นสมอง ทา้ ย การยกมอื ตดั อารมณ์ สะบกั มีความรู้สึกเป็ นทาง ผ่านหลงั ข้ึนประสาท การยกมือผ่านวิญญาณผ่านสมอง นอน จบั ความรู้สึกตดั ตะแคงขาวเท้าซ้ายเล่ือมเขา้ มา ขาวย่ืนออกไป นอนสองแทบ มโนวิญญาณตดั อารมณ์ อารมณ์ วิญญาณดบั นามรูปดบั 26การดูจิตยกจิตขึน้ สู่ไตรลักษณ์ อารมณ์วิปัสสนาคู่เคียงสัมมาสมาธิ มโนวญิ ญาณตดั เกิดความเขา้ ใจ ขณิกสมาธิ สมาธิที่กาหนดมโนสมั ผสั 27เขา้ ฌานจิตสงบวา่ งไมม่ ีอารมณ์ไม่มี อารมณ์ วญิ ญาณดบั ตวั ตน ไม่มีเขาไม่มีเรา ตอ้ งเกาะกายในกายไวก้ ่อนมีอารมณ์ในอานาปานบรรพ 28ควำมรู้สึก นามรูปดบั ทำงใจมีสุขเวทนำ ทุกข์ อุเบกขำ สัญญาในอดีต วิจารณ์อนาคต 29กาหนดผสั สะ บริกรรม การดูจิต ยกจิตข้นึ สู่ ภาวนาไม่ใช้ ปัจจุบนั เป็ นสาคญั รับรู้สร้างมโนสัมผสั ให้ชัดเจน ใช้ความสังเกตเป็ นมโน ไตรลกั ษณ์ สัมผสั กำรทำสมำธิมำกเข้ำฌำน จิตดิ่ง ไม่เห็นไตรลักษณ์ ต้องดูมโนสัมผัส ดูใหแ้ ยบคลาย มโนสมั ผสั ภพเก่ารอดจากภวงั ค์ ถา้ ไม่กาหนดจึงนึก ถา้ ไมน่ ึกตอ้ งกาหนดมโนสัมผสั อาศยั เขา้ ฌานจิตสงบวา่ งไม่ รูป เกิด เวทนา มโนสัมผสั เกิดจากวิญญาณ มโนวิญญาณ ออกทางวิญญาณ กาหนดท่ีจิตติด มอี ารมณ์ไมม่ ตี วั ตน ตามท่ีผสั สะ ขณะๆ ตอ้ งเกาะกายในกายไว้ 30บรรลุเห็นธรรม ไม่ตอ้ งเป็นอากาลิโก อิริยาบถยอ่ ย กิน ดื่ม ยนื ไปยกมือได้ ขยบั นิ้ว ความรู้สึกทางใจมีสุข มือ เป็นระยะ ตอ้ งมีความสานึก 31ความสังเกต ผปู้ ฏิบตั ิสังเกตในใจ เป็นการบริหารดู เวทนา ทกุ ข์ อุเบกขา จิตในจิต หรือดูใตฝ้ ่าเทา้ จับควำมรู้สึกในร่ำงกำย เพราะควำมรู้สึกอยู่ท่ีไหนวิญญำณอยู่ ไมน่ ึกกาหนดมโน สมั ผสั อาศยั รูปเกิด ท่ีตรงน้ัน ๆ คนเป็นมีเวทนาในขนั ธ์ เอาความสังเกตไวใ้ นใจ มนสิการ ความสังเกตุใน เวทนา มโนสัมผสั เกิด อิริยาบถยืน 32ธรรมย่อมรักษาผูป้ ระพฤติธรรม ไม่เพลิดเพลินไปตามธรรมารมณ์ ไม่ วิญญาณ พะวงรูป เสียงกล่ิน การสมั ผสั มีปัจจุบนั เป็นอารมณ์อยู่ ผล บรรลเุ ห็นธรรม จบั ความรู้สึกร่างกาย เพราะความรู้สึกอยทู่ ่ี ไหนวิญญาณอยทู่ ต่ี รง น้นั ๆ ธรรมยอ่ มรักษาผู้ ประพฤติธรรม ไม่ เพลิดเพลนิ ไปตาม ธรรมารมณ์ ตารางท่ี 4.7.2 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “อธบิ ำย สติปัฏฐำนธรรมในธรรม” แนวทางปฏิบตั ิพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั Y2] สกดั หลกั ประเด็นคาสอน แนวคิด 33 เห็นธรรมในธรรมเห็นธรรมสมมติ เห็นธรรมในธรรมท้งั ภายในภายนอก ผู้รู้เท่ำน้ันเหน็ ได้ เห็นธรรมในธรรม 34การพูดทุกคาเป็ นธรรมนอก ไม่ติดในคาพูดไม่ให้ติดในกำรศึกษำ ภิกษุสวดแบบนอกแกว้ เห็นธรรมสมมติ ผูร้ ู้ นกขนุ ทอง ไม่ใหค้ นหลงติด คนมีความรู้ความเขา้ ใจการเจริญวิปัสสนากรรมฐานยาก 35พระ เห็นได้ ธรรมเห็นคุณในพระธรรม อำกำลโิ กไม่เลือกกำลเวลำ ยนื เดิน นอน นง่ั ไดท้ ้งั น้นั ขอให้มนั่ คง ในกำรปฏิบัติจริงๆ ตอ้ งเป็นคนขยนั 36เห็นในจิต มโนสัมผสั เห็นธรรมในธรรม ตอ้ งหยง่ั รู้ท่ี พดู ทุกคาเป็นธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม 37เห็นธรรมในธรรม เวทนาในเวทนา จิตในจิต เห็นภายในต่อเนื่อง เห็น นอก ไม่ให้ติดใน การศึกษา

361 เห็นพระธรรม อากา ความเป็ นคน เห็นขันธ์ 5 เห็นภายใน เห็นความเป็ นคนของตัวเอง 38การเจริญวิปัสสนำ ลิโก ไม่เลือก กรรมฐำน องค์ศีล5 รักษาให้แน่นไปนิพพาน บุญก็ไม่เอำ บำปก็ไม่เอำ การเจริญวิปัสสนา กาลเวลา กรรมฐาน ทำควำมเห็นให้ตรงกับสภำวะท่ีกายในกาย ที่เวทนาในเวทนา ท่ีจิตในจิต ที่ธรรมใน เห็นในจติ มโนสัมผสั ธรรม ปฏิบตั ิตรงแล้ว “เอกำยโน อย ภิกฺขเว มคฺโค” 39วิปัสสนาเหนือบุญเหนือบาป เหน็ ธรรมในธรรม ตอ้ ง เหนือกว่าศาสนาอ่ืน ๆ สอนให้คนทาดี ละชวั่ และศาสนาพุทธ ละท้งั ดีละท้งั ช่ัว เป็ นหลกั หยง่ั รู้ทก่ี าย เวทนา จติ อนตั ตา ตอ้ งรู้วา่ หลกั อตั ตาเป็ นส่ิงสมมติหรืออนตั ตา ไม่สิ่งสมมติ แต่ตอ้ งอาศยั กายท่ีมีอตั ตา ธรรม ฐานกายในกาย ฐานเวทนาในเวทนา ฐานจิตในจิต ฐานธรรมในธรรม ธรรมสมมติและ เหน็ ภายในต่อเน่ือง ธรรมปรัมตั ิ ตดั ส่ิงสมมติได้ เห็น เห็นขนั ธ์ 5 เห็น ความเป็นคนของตวั เอง 40พิจารณาเห็นธรรมในธรรม เรียกวา่ ผใู้ ดบรรลุแลว้ เห็นเอง เหน็ ธรรมในธรรม เห็นท่ีตวั เรา 41 วิปัสสนากรรมฐาน ทา พระธรรมคาสั่งสอนเป็ นตวั แทนพระพุทธเจา้ ตรัสไวด้ ีแล้ว เห็นพระธรรมในพระธรรม รู้ ความเหน็ ใหต้ รงกบั ธรรม สวดธรรมสารยธรรม ท่องธรรม เรียนนกั ธรรม บุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งใหเ้ กิดบุญแต่ สภาวะท่กี าย เวทนา ที่ บงั ทางพระนิพพาน 42“จิตฺเต จิตฺตานุปสฺสี วิหรติ” จิตในจิต ท่านผรู้ ู้ตอบภาคปฏิบตั ิว่า เห็น จิต ทธี่ รรม ปฏิบตั ิตรง จิตในจิตอย่างไร มีปัญหา เห็นจิตในจิตนอก ตอบเป็ นปริยัติ การพูดตามปริยตั ิมาพูดกนั ถ้ำ ละท้งั ดีละท้งั ชว่ั เป็น ตอบปฏิบัติกันจริง ๆ แล้วไม่มีเสียงนะ เราตอบจิตในจิตตอบแลว้ ทางจิตแลว้ ใครรู้บา้ งม้ยั 43 หลกั อนตั ตา ตอ้ งรู้วา่ การเจริญวิปัสสนาเป็ นการฝื นกระแสของโลก กิเลส ธรรมทวนกระแสโลก กายวาจา ตดั หลกั อตั ตาเป็นสิ่ง กระแสของโลกได้ ตวั สัญญำสำคญั มำก สัญญาจาเอาไปประพฤติปฏิบตั ิ สมมติ 44เห็นธรรมในธรรมนอก เห็นธรรมในทำลำยธรรมนอก ธรรมนอกเป็ น บุญญำภิสังขำร ปรุง แต่ง บุญบงั ทำงพระนิพพำน ธรรมนอกไมใ่ หต้ ิดในการสวด ไม่ติดในการเรียน ไมต่ ิดในตารา หลกั กำร 45อยใู่ นความอยาก ภวตณั หา การตดั อารมณ์ ตอ้ งเห็นธรรมในธรรม คือ ธรรมารมณ์ ที่เกิดข้ึน ในธรรม ธรรมนอกจริงโดยสมมติ สัจจะ 46 “ในกายนี้ มผี ม ขน เลบ็ ฟัน หนงั เนือ้ เอน็ กระดูก เห็นธรรมในธรรม เหน็ เย่ือในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ลาไส้ใหญ่ ลาไส้เลก็ อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี ทต่ี วั เรา เสลด หนอง เลือด เหง่ือ มันข้น นา้ ตา เปลวมัน นา้ ลาย นา้ มูก ไขข้อ มูตร” เป็นธรรม ธรรม บญุ ญาภิสังขาร ปรุง โดยสมมติบัญญติเป็ นธรรมนอก โดยสมมติสัจจะเป็ นของไม่สวยไม่งามเป็ นธรรมนอก แตง่ ใหเ้ กิดบญุ แตบ่ งั สมมติมาจากของจริง จริงโดยสมมติสัจจะเป็นธรรมนอก 47ธรรมเห็นธรรมในธรรม นิวรณ์ 5 ทางพระนิพพาน กามฉันทะ (ความพอใจในกาม) พยาบาท (ความคิดร้าย) ถีนมิทธะ (ความหดหู่และเซื่องซึม) เหน็ จติ ในจติ นอก ตอบ อุทธัจจกุกกุจจะ(ความฟุ้งซ่านและร้อนใจ) วิจิกิจฉา (ความลงั เลสงสัย) ธรรมในธรรม คือ พดู ตามปริยตั ิ ถา้ ตอบ อะไร รูปธรรมปรากฏ ญาณปัญญา ความรู้สึกอยใู่ นมโนสมั ผสั เป็นธรรมนอก เป็นธรรมารมณ์ ปฏิบตั ิจริง ๆ แลว้ ไมม่ ี เกิดเป็ นธรรมนอก เห็นธรรมในธรรม 48กาหนดวิปัสสนำกรรมฐำน สังเกตธรรมในธรรม เสียง สัมมาวาจาชอบ การจบั ความรู้สึกในวาจา ธรรมไม่ติดสมมติ คนติดเรียนตาราอ่านตาราที่ตวั เจริญวปิ ัสสนาเป็นการ เรา ตวั เรามีตารา บญั ญตั ิธรรมนอก สมมติขนั ธ์ 5 เป็ นธรรมนอกท้งั หมด 49ส่ิงปรากกฎมโน ฝืนกระแสโลก กิเลส สัมผัส ตอ้ งบรรลุแลว้ เห็นเอง ปรากฏเป็นธรรมในธรรม การสวดมนต์ ระงบั ตดั ตณั หาไม่ได้ วิธกี ำร เห็นธรรมในทาลาย ธรรมนอก ธรรม นอกเป็ น บุญญาภิสงั ขาร ปรุง แต่ง การตดั อารมณ์ ตอ้ ง เห็นธรรมในธรรม คอื ธรรมารมณ์ ธรรมโดยสมมติ บญั ญติเป็นธรรม นอกสมมติจากของ จริง ธรรมในธรรม ปรากฏ ญาณปัญญา ความรู้สึกในมโน สมั ผสั ธรรมารมณ์ เกิด เห็นธรรมใน ธรรม กาหนดวปิ ัสสนา กรรมฐาน สงั เกต ธรรมในธรรม

362 ส่ิงปรากกฎมโน ตอ้ งเห็นในธรรมในธรรมเป็ นธรรมารมณ์ เป็ นธรรมสมมติ 50อยากเห็นธรรมะแท้จริงทา สมั ผสั ตอ้ งบรรลุ อย่างไร รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ท่ีไหน อยู่ที่กาย เรายาวหน่ึงวาหนาหน่ึงคืบ แลว้ เห็นเอง เป็น พร้อมด้วยสัญญากายกับใจ กวา้ งวาหนาหน่ึงคืบ เป็ นธรรมบัญญตั ิธรรมโดยสมมติ เรียก ธรรมในธรรม วา่ บญั ญติข้นึ มาแลว้ 51แพขา้ มฝากตอ้ งใชแ้ พ เมื่อขา้ มไปแลว้ จะเอาแพข้นึ ไปหรือไม่ เม่ือถึงฝั่ง รูป เวทนา สัญญา แลว้ เมื่อเห็นมรรคผลเป็นแก่นสารแลว้ “สัพเพธัมมา นาลงั อภินิเวสายะ” ส่ิงทั้งหลายท้ังปวง สงั ขาร วญิ ญาณ อยู่ที่ ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” สภำวธรรมท้ังหลำยไม่ถือมั่น ไม่ถือมน่ั อะไรได้ 52ขนั ธ์ 5 อายตนะ ไหน อยทู่ ี่กาย เรา ท่านบญั ญตั ิเป็นธรรมนอกท้งั หมด 53ธรรมในธรรมตอ้ งปฏิบตั ิใหแ้ ตกฉาน รูป เวทนำ สัญญำ ยาวหน่ึงวาหนาหน่ึง สังขำร วญิ ญำณ อายตนะ ไมใ่ หย้ ดึ ถือตอ้ งการเห็นภายในความรู้สึก บรรลแุ ลว้ เห็นเอง ตณั หา คบื จะเกิดข้ึนที่ความรู้สึกทางใจ เมื่อต้งั อยู่อยู่ความรู้สึกทางใจน้ัน เห็นธรรมในธรรมารมณ์ไม่ สภาวธรรมท้งั หลาย เหลือวิสยั ทาไดแ้ น่นอน 54ความรู้สึกเกิดข้นึ ในกายในกาย ตณั หามีความรู้สึกแตเ่ ราเอาทุกขไ์ ป ไม่ถอื มนั่ ขา้ มฝาก ละสมุทยั ความรู้สึกต่อความรู้สึก 55ให้พยายายามดูมโนสัมผสั ธรรมในธรรม การหยง่ั รู้มน ตอ้ งใชแ้ พ โนสัมผสั ไม่ติดบุญ ไม่ติดสบาย ไม่ติดความสุขในบุญ ทามรรคผลนิพพาน “เอกายโน อย ขนั ธ์ 5 อายตนะ เป็น ภิกฺขเว มคฺโค” ทางเส้นเดียว บคุ คลผเู้ ดียวทางไมว่ นตดั ความหมุนเวียน วา่ ธรรมในธรรมนอก ธรรมนอก 56ขนั ธ์ 5 ควบคุมกายกบั ใจไว้ ปิ ดอุบายภมู ิตอ้ งปิ ดไว้ พลงั ภายในมีมากกวา่ 57ปฏิบตั ิเห็นจิตใน เห็นธรรมใน จิต เห็นธรรมารมณ์ ประคองมโนสัมผสั ดูตามเทา้ ยนื อยู่ ดูกายสัมผสั ผปู้ ฏิบตั ิตอ้ งสาเหนียก ธรรมารมณเ์ ห็น ให้แยกกาย ธรรมชาติละเอียดประณีต เห็นความรู้สึก ดวงตาเห็นธรรมแลว้ ส่ิงหน่ึงส่ิงใด ภายในความรู้สึก เกิดข้ึนเป็นธรรมดา สิ่งน้นั แตกดบั เป็นธรรมดา 58“ธมฺเมสุ ธมฺมานุปสฺสี วิหรติ” พระพุทธเจา้ บรรลุแลว้ เห็นเอง ต้องการให้คนเห็นธรรมในธรรม รูปธรรม วิญญาณธรรมะ สังขารธรรมะ ธรรมะเป็ น มโนสัมผสั ธรรมใน ธรรมชาติ ที่มีรูป มีเวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ เป็นธรรมชาติของคนแต่ละคน ธรรม การหยง่ั รู้มโน สัมผสั 59คนไม่ถึงธรรมใน 60ตอ้ งพิจารณาธรรมตอ้ งพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ในกรรมดีกรรมชวั่ ขนั ธ์ 5 ควบคมุ กาย กรรมเป็นของตน เราตอ้ งทากายกรรมตอ้ งตดั ให้ขาด วจีกรรมให้ขาด มโนกรรมตดั ให้ขาด 61 กบั ใจ เจริญกรรมฐานตอ้ งทาลายสังสารวฏั กรรมหมุ่นเวียน สตั วโ์ ลกเป็นไป ปฏบิ ตั เิ ห็นจิตในจิต เห็นธรรมารมณ์ ธรรมะเป็ นธรรมชาติ ที่มรี ูป มเี วทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ เป็น ธรรมชาติของคนแต่ ละคน ผล คนไมถ่ งึ ธรรมใน ตอ้ งพิจารณาเห็น ธรรมในธรรม กรรมฐานตอ้ งทาลาย สังสารวฏั ตารางท่ี 4.7.3 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “อธิบำยมหำสติปัฏฐำนส่ี ตอน 01” แนวทางปฏิบตั ิพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั Y3] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ 62ทาความเห็นใหต้ รงมหาสติปัฏฐานสูตร พูดถึงอารมณ์ของการปฏิบตั ิวิธีใชป้ ฏิบตั ิธรรม ในสัมปชัญญะบรรพ เป็ นบรรพรวม “อำตำปี สัมปชำโน” ให้จับความรู้สึกเรียกว่า ความเห็นให้ตรงมหา สัมปชญั ญะ แมแ้ ต่ฐานจิตในจิต “อาตาปี สมฺปชาโน” สติมาลงในสัมปชญั ญะ ทาใหง้ ่าย 63 สติปัฏฐานสูตร

363 ทดสอบพิสูจน์ในห้อง เราต้องทดสอบพิสูจน์ในห้องกรรมฐาน 64คน้ ควา้ วิธีมหาสติปัฏฐานสอน ไม่ใช่เอามา กรรมฐาน สอนมาเล่นง่าย ๆ หรือตารามาค้นคว้า 65ความเข้าใจปริยัติ เป็ นการสอนคาแปล คน้ ควา้ วิธีมหาสติปัฏฐาน ความหมาย ขยายความให้ฟัง คลายขอ้ งใจใหป้ ระชาชนทวั่ โลก ท้งั หมด 66ทา่ นเกจิอาจารย์ หรือตารามาคน้ ควา้ ท้งั หลาย วิจัยธรรมพระพุทธเจ้ำต้องทาให้ตรงแสดงธรรมท้ังอรรถะและพยัญชนะ เขา้ ใจปริยตั ิ เป็นการสอน ควำมหมำยให้ตรงกัน การขดั กันไม่เขา้ กัน 67ขอแนะนาทางผูป้ ฏิบตั ิให้กล่าวมาแล้ว คาแปลความหมาย ขยาย “สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา” ย่อมเป็นผู้ทำสัมปชัญญะในการเดินเราเดินไป ความ ได้ แตจ่ ะเดินอยา่ งไร เดินชา้ เดินเร็ว ยนื กไ็ ด้ กำหนดฐำนเวทนำในเวทนำ อิริยาบถยนื นงั่ เกจิอาจารย์ วจิ ยั ธรรม หลบั ตา ลืมตาตื่น ก็ได้ น่ิงอยู่ก็ดูความเงียบ 68ภาคปฏิบตั ิท้งั สมถะกรรมฐาน วิปัสสนา พระพุทธเจา้ ตอ้ งทาให้ กรรมฐาน ขบความหมายออก หรือไม่ออกเท่าน้ัน บรรลุแล้วเห็นเอง เห็นอะไร 69สติปัฏ ตรงแสดงธรรมท้งั อรรถะ ฐำน 4 กำยในกำย เห็นอะไร? บางอยา่ งขบความหมายไม่ถึง บาลีแปลมาตอนหน่ึงถูก ถา้ และพยญั ชนะ ความหมาย ไม่ปฏิบัติต้องมีพ้ืนฐานการปฏิบัติให้เข้าใจ ฟังกันรู้เร่ืองแล้วง่าย ลองทาดูมีตารา ใหต้ รงกนั สัมปชญั ญะบรรพ ฉบบั แปล ทาสมั ปชญั ญะเดินไป 70สมั ปัชญะบรรพ รวม ทุกๆ “อำตำปี สัมปชำโน” ใหจ้ บั ความรู้สึก เรียกวา่ “สมั ปชญั ญะ” อยา่ งไร 71อิริยาบถบรรพอาศยั สัมปชญั ญะ ในจิตตอ้ งอาศยั สัมปชญั ญะ “อาตาปี สัมปชาโน สติ บรรลุแลว้ เห็นเอง มา” ลงในสัมปชญั ญะ ท่านนกั ปราชญผ์ อู้ ่านตารา “ธัมเมสุ ธัมมำนุปัสสี วิหะระติ” ตอ้ ง สติปัฏฐาน 4 กายในกาย ลง “อาตาปี สัมปชาโน” คือ สัมปะชัญญะ ความรู้ตวั กบั ความรู้สึก เป็นคนละอนั เราตอ้ ง เห็นอะไรขบความหมาย แยกให้เขา้ ใจ จึงปฏิบตั ิให้เขา้ ใจไดง้ ่าย 72การปฏิบัติเอำปริยัติเป็ นหลักวิธีกำรศึกษำคมั ภีร์ กล่ำวไว้ เป็ นมำตรฐำน พระไตรปิ ฏก ขุมทรัพย์จำกโอษฐจึงหำหลัก 73หลกั เงื่อนไขผู้ หลกั กำร ปฏิบตั ิตอ้ งปฏิบตั ิใหเ้ ขา้ ใจ แลว้ เอาความเขา้ ใจสอนผูอ้ ่ืน จึงจะเขา้ ใจง่าย ผูร้ ู้เห็นก่อนแลว้ ส่ิงใดรู้แลว้ ก็เสนอให้ผอู้ ื่นรู้ตาม ประโยชน์ตนมีแลว้ ประโยชน์ท่านใหม้ ีดว้ ย 74อาตมาได้ “อาตาปี สมั ปชาโน” อยู่ห้องกรรมฐำนอยู่เฉพำะในห้องกรรมฐำน 36 เดือนเศษ ประโยชน์ตนเต็มที่ แลว้ ไดร้ ับ ให้จบั ความรู้สึก ผลประโยชน์ตนแล้ว จึงแนะนามาสอนประชาชน 75พระวินัย พระอภิธรรม พระ เรียกว่า “สัมปชญั ญะ” สุตตนั ตปิ ฎก จานวน 84,000 พระธรรมขนั ธ์ จริงโดยสมมติสัจจะท้งั น้นั จบั สมมติข้ึน 76 หลกั การเป็ นอนัตตา ต้องยกแบบข้ึนมาอา้ งอิง จึงเขา้ มาสงเคราะห์ เพ่ือกำหนดหยั่งรู้ ในจิตตอ้ งอาศยั อปุ ทำนขนั ธ์ เอา รูปปู าทานกั ขนั โธ ขนั ธ์อนั เป็นท่ีต้งั แห่งควำมยึดมั่น คอื รูป เวทะนูปาทา สมั ปชญั ญะ “อาตาปี สัมป นักขันโธ ขนั ธ์อนั เป็นที่ต้งั แห่งความยึดมน่ั คือ เวทนา สัญญูปาทานักขันโธ ขนั ธ์อนั เป็น ชาโน สติมา” ลงใน ท่ีต้งั แห่งความยดึ มน่ั คือ สัญญา สังขารูปาทานักขันโธ ขนั ธ์อนั เป็นที่ต้งั แห่งความยึดมนั่ สัมปชญั ญะ คือ สังขาร วิญญาณูปาทานักขันโธ ขนั ธ์อนั เป็ นที่ต้งั แห่งความยดึ มน่ั คือ วิญญาณ เยสัง การปฏิบตั ิเอาปริยตั เิ ป็น ปะริญญายะ เพ่อื ใหส้ าวกกาหนดรอบรู้อปุ าทานขนั ธ์เหลา่ น้ีเอง 77ตอ้ งขบคดิ บำลี เป็นผทู้ า หลกั วิธีการศกึ ษาคมั ภรี ์ “อาตาปี ” เป็ นผู้มีความเพียร สร้างข้ึนทาการงานอริยมรรค ต้องทดสอบพิสูจน์ในห้อง เป็ นมาตรฐาน กรรมฐำน อำรมณ์วิปัสสนำกรรมฐำน 78การเจริญวิปัสสนาไม่ตอ้ งเรียกกาลเวลา เพราะ ผปู้ ฏบิ ตั ิตอ้ งปฏิบตั ิให้ ตณั หาคนไม่เลือกเวลา เป็นการฆ่าตณั หา เป็นการภาวะตณั หา วิภาวตณั หา 79สติปัฏฐาน เขา้ ใจ เอาความเขา้ ใจสอน สูตร ให้ทำเป็ นฐำนวำงสมถะไว้หน้ำถูกตอ้ งทุกหมวดไป วิปัสสนาว่า กำเย กำยำนุปสฺสี ผอู้ ่นื จึงเขา้ ใจง่าย ผูร้ ู้เห็น ก่อนแลว้ อยหู่ ้องกรรมฐานอยู่ เฉพาะในหอ้ งกรรมฐาน จริงโดยสมมตสิ จั จะจบั สมมตขิ ้ึน หลกั การอนตั ตา มา สงเคราะห์ กาหนดหยง่ั รู้ อุปทานขนั ธ์ ขนั ธอ์ นั เป็น ทต่ี ้งั แห่งความยึดมน่ั ตอ้ งขบคิดบาลี ทา “อาตา ปี ” เพียร สร้างอริยมรรค ทดสอบพสิ ูจน์ในหอ้ ง กรรมฐาน อารมณ์ วิปัสสนากรรมฐาน เป็นฐานวางสมถะไวห้ นา้ ถกู ตอ้ งทุกหมวด เห็นกาย

364 ในกาย ภายในเริ่มเป็น วิหรติ การเห็นกายในกาย ภายในเริ่มเป็ นวิปัสสนาแล้ว เห็นกายในกายเน่ืองๆ อยู่ วปิ ัสสนา วิปัสสนำรวมได้เป็ นทำงเส้นเดียว 80ทุกหมวด ฐานเวทนาพิจารณาเห็นเวทนาในขนั ธ์ 5 ฐานเวทนาพิจารณาเห็น เวทนาในขนั ธ์ 5 ทางสาย ทางสายเอกทางเดียววางไม่เคล่ือนสัมมาทิฏฐิ 81เห็น “จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ” เห็น เอกทางเดียว จิตในจิตเน่ือง แปลวา่ เห็นตวั ใน ไม่เคลื่อนกาย เห็นจิตในจิตเน่ือง “ธัมเมสุ ธมั มานุปัสสี เห็นจิตในจิตเนื่อง แปลว่า วิหะระติ” พิจารณาเห็นธรรมในธรรมเนื่อง รวมเป็นอำรมณ์วิปัสสนำ ตอนตน้ อายตนะ เห็นตวั ใน ไมเ่ คลื่อนกาย ภายในภายนอก จริงโดยสมมติลงท้ำย พิจำรณำเห็นธรรม เห็นธรรมในธรรมเนื่อง ธรรม สภาวะธรรมท้งั หลายไม่ ท้งั หลายท้งั ปวงเป็นอนตั ตา 82แมส้ ภาวะธรรมท้งั หลายไม่ถือมนั่ เป็นหลกั อนตั ตาเป็นกฎ ถอื มนั่ เป็นหลกั อนตั ตา ธรรมชาติ กบั ไปแลว้ ทุกขณะชวั่ ยง่ั รู้ เป็นอารมณ์วิปัสสนากรรมฐาน เป็ นกฎธรรมชาติ 83สัมปชญั ญะบรรพ จบั ได้ “อำตำปี สัมปชำโน” คือ ทำควำมเพียร “สติมำ” ให้มีสติอยู่ กบั สัมปชำโน อย่ตู ำมฐำน เช่น สติปัฏฐาน ตอ้ งทาไปตามฐาน ถา้ เจริญไม่ถกู ฐานยงั ไม่เกิด วธิ ีกำร และไม่เขา้ ใจ และจะไปไม่รอดและก็วน เด๋ียวสังขารปรุงแตง่ เกิดเป็นอภิสังขารมารดูไป ตามฐาน 84อำตำปี สัมปชำโน ความรู้สึกและความรู้ตวั ทวั่ พร้อม ถา้ พดู ถึงอารมณ์วิปัสสนา “อาตาปี สมั ปชาโน” คือ กรรมฐานแลว้ ตอ้ งสัมปชำโน คือควำมรู้สึก ถา้ หากท่านกล่าวไว้ วา่ สติ สัมปชัญญะ ยงั ไม่ ทาความเพยี ร “สตมิ า” ให้ เขา้ อารมณ์วิปัสสนา ในธรรมอุปการะมากสองอย่างน้นั 85การรู้กาย รู้ปริยตั ิ รู้จิต รู้เวทนา มสี ติอยกู่ บั สมั ปชาโน อยู่ รู้ธรรมารมณ์ต่าง ๆ เรียกวา่ รู้ แต่ตอ้ งอาศยั ตัวสัมปชำโน ลงวางไว้ เรียกวา่ เหน็ กำยในกำย ตามฐาน เห็นเวทนำในเวทนำ เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม 86อำตำปี เพยี รอยู่ตำมฐำน ฐานะ อารมณว์ ิปัสสนา เป็นท่ีต้งั “ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา” ฐานมี 4 ฐาน ต้งั ไว้ฐำนกำยในกำย ต้งั ไว้ในฐำน กรรมฐานแลว้ ตอ้ ง สมั ป เวทนำในเวทนำ ต้ังไว้ฐำนจิตในจิต ต้ังไว้ฐำนธรรมในธรรม เอำสติต้ังไว้ตำมฐำน เพียร ชาโน คอื ความรู้สึก ไปตำมฐำน สัมปชำโนจะเกิดขึน้ มำ เมื่อเกิดข้ึนเป็นความรู้ ความรู้สึก ในความรู้สึกเราจะ การรู้กาย รู้จิต รู้เวทนา รู้ เห็นความเกิดดบั 85พระธรรมคุณ “สันทิฏฐิโก” ลงมือทาความเพียรในสติปัฏฐานสูตร ธรรมารมณ์ เรียกวา่ รู้ แต่ ผใู้ ดบรรลุแลว้ เห็นเอง ตรงกับอริยมรรค เห็นเอง “สัมมาทิฐิ” ในปัญญำเห็นชอบ เห็นเอง ตอ้ งอาศยั ตวั สัมปชาโน เห็นอะไร 86 คาว่า “เห็นเอง” เห็นอะไร เห็นกายในกาย “ในกำย” คืออะไร เห็นขันธ์ 5 ลงวางไว้ เห็นเวทนาในเวทนำ คือเห็นขนั ธ์ 5 เห็นจิตในจิต คือ เห็นขนั ธ์ 5 เห็นธรรมในธรรม คือ อาตาปี เพียรอย่ตู ามฐาน เห็นขนั ธ์ 5 ภายในคือตวั สภาวะคือ ขนั ธ์ 5 คน้ บุคคลในบุคคลในขนั ธ์ 5 เป็นปรมตั ิ 87เม่ือ เป็นที่ต้งั เอาสตติ ้งั ไวต้ าม ขันธ์ 5 ในธัมมจกั กปั ปวตั ตนสูตร รูปหรือรูปขนั ธ์ไม่เที่ยง เวทนาไม่เท่ียง สัญญาไม่เที่ยง ฐาน เพียรไปสัมปชาโน สังขารขนั ธ์ไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง สังขาร รูปัง อนิจจัง รูปไม่เที่ยง เวทนา อนิจจา เกิด เวทนาไม่เท่ียง สัญญา อนิจจา สัญญาไม่เท่ียง สังขารา อนิจจา สังขารไม่เท่ียง วิญญานัง ความเพียรในสติปัฏฐาน อะนิจจงั วิญญาณ ไม่เท่ียง รูปปัง อนตั ตา จะปรุงแต่งออกจากวิญญาณท้งั 6 ก็ดบั ไปเป็ น สูตร ผใู้ ดบรรลุแลว้ เห็น อนตั ตา 88รูปไม่ใช่ตวั ตน เวทนาอนตั ตา เวทนาไม่ใช่ตวั ตน สัญญาอนตั ตา สัญญาไม่ใช่ เองอริยมรรค เห็นเอง ตวั ตน สงั ขารอนตั ตา สงั ขารไมใ่ ช่ตวั ตน วญิ ญาณงั อนตั ตา วิญญาณไม่ใช่ตวั ตน 89สติปัฏ “สมั มาทิฐิ” ในปัญญา ฐานต้องเจริญตำมฐำน ถา้ สติตกจากฐาน ญาณตกสภาวะไม่แจง้ อาตมาใชอ้ ยู่ คน้ พบอยู่ ที่ เห็นชอบ ชัดเจนในการปฏิบัติ ค้นจากกำยในสัมปชัญญะบรรพ จับได้ง่ายเป็ นแบบฉบับใน เห็นขนั ธ์ 5 ภายในคอื ตวั สมั ปชญั ญะบรรพท่านไดก้ ล่าววา่ ยอ่ มเป็นผทู้ าสัมปชญั ญะ ทาการงาน สัมมากมั มนั โต 90 สภาวะคือ ขนั ธ์ 5 ปรุงแต่งออกจากวญิ ญาณ ท้งั 6 ดบั ไปเป็นอนตั ตา รูป เวทนา สญั ญา สญั ญา สงั ขารวิญญาณ ไมใ่ ช่ ตวั ตน สตปิ ัฏฐานตอ้ งเจริญตาม ฐาน สติตกฐาน ญาณตก สภาวะไม่แจง้ ต้งั สติไว้ กระดิกนิ้วมือ เป็นระยะ สัมปชาโนจะ เกิด จิตอาศยั ธาตดุ ินน้าไฟลม จิตอาศยั ลมท่ีวิง่ ไป สรรพางคก์ าย

365 ยกจิตข้นึ พระไตรลกั ษณ์ ในการคูอ้ วยั วะแขนของเรา แขนเขา้ มาต้งั สติไว้ ที่ต้งั แต่ขอ้ มือถึง 5 นิ้วมือ ขอ้ ศอกติด ใชอ้ านาปานสติ จิตวา่ งจิต ยกข้ึนเป็ นระยะ ในการปฏิบตั ิไม่ตอ้ งสงสัย ยกข้ึนเป็ นระยะให้ตรึง ต้ังสติไว้ กระดิกนิ้ว สงบ มือเป็ นระยะ สัมปชำโนจะเกิด จวนมาถึงเข่าข้ึนไปอีกเป็ นระยะ 91จิตอาศยั ธำตุดินน้ำไฟ การดบั ทุกขด์ บั จะตามดบั ลม จิตอาศยั ลมท่ีว่ิงไปสรรพำงค์กำย ลมทวั่ ไปลมหายใจ จิตอาศยั อยู่ เม่ือทา“สัมมิญชิเต ทกุ ขต์ อ้ งดบั ตามฐาน ปะสาริเต” ชดั เจนเห็นเองตดั อารมณ์ได้ กำรเจริญวปิ ัสสนำ ต้องตดั อำรมณ์ได้ รู้ว่ำ กำรนกึ คดิ ท่เี กดิ ขนึ้ ในใจ จะตัดอำรมณ์ได้ เรียกวา่ สันทิฏฐิโก เห็นเอง เขา้ ใจเอง ข้นึ มา การเห็นเอง ฐานกายในกายไดแ้ ลว้ เขา้ ใจเอง บรรลแุ ล้วเห็นเอง เหน็ อำรมณ์ที่ดบั ไป การจบั ความรู้สึกเขา้ อวยั วะ เป็ นฐานกาย ความรู้สึกไปถงึ หมด จบั สาคญั ที่ตอ้ งจบั ให้ 92ยกจิตขนึ้ พระไตรลักษณ์ คนทาสมาธิเวลาจิตถูกบงั คบั ใชอ้ านาปาน ไดส้ ่งไปฐานไหนก็ได้ สติ จิตว่างจิตสงบ พระพุทธเขา้ บญั ญติ ทุกข์ สมุทยั นิโรค มรรค เอาทางสุขไปฆ่ากิเลส เป็นหลกั สมั ปชาโน กิเลสไม่ตาย 93บญั ญตั ิสอนเรื่องทุกข์ อริยสจั 4 กบั ความดบั ทุกข์ นิโรธ-กำรดับทกุ ข์ดับ จะ ตำมดับทุกข์ต้องดับตำมฐำน เพราะกิเลสตณั หาเกิดในอิริยาบถ 4 ในที่ตำมฐำน ฐำนกำย จบั กายทุกส่วนจบั ไปหา ในกำย ฐำนเวทนำในเวทนำ ฐำนจิตในจิต ฐำนธรรมในธรรม 94 ฐานกายในกายไดแ้ ลว้ จิตเอง เขา้ ที่มโนสมั ผสั ความรู้สึกไปถึงหมด “สัมมิญชิเต ปะสาริเต สัมปะชานะการี โหติ” จับได้แล้วจะส่งไป แลว้ เป็น “จิตเต จิตตา ฐำนไหนก็ได้ เพรำะเป็ นหลักสัมปชำโน มืออย่างไร มโนสัมผัส “จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะ นุปัสสี วหิ ะระติ” ทา ระติ” มีเหมือนกนั อายตนะภายใน ฐานเวทนาในเวทนา 95จกั ขุสัมผสั ชาเวทนา ชิวหา ควบคไู่ ปที่จิตน้นั เวทนา สมั ผสั สชาเวทนา มโนเมื่อจบั กำยะวิญญำณงั ในจติ ได้แล้ว เม่ือผสั สะที่ไหนมีลกั ษณะอนั มนั ตอ้ งเสวยอารมณ์ เดียวกนั เพมิ่ ความง่าย ถา้ เราจบั กายทกุ ส่วนใหช้ านาญแลว้ แลว้ จะไปไหนใจเป็ นใหญ่ ไป ตลอดเวลา เอง ญานควบคมุ เอง ทกุ ส่วนอวัยวะทุกส่วนเกิดมำจำกจติ เมื่อจบั กำยทกุ ส่วนจับไปหำจิต เห็นเวทนาในเวทนาเป็ น เอง ญาณกไ็ ม่ถึงมโนสัมผสั เอง เมื่อเราเขา้ ท่ีมโนสัมผสั แลว้ เป็น “จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะ อยา่ งเดียวกบั ฐานกาย เป็น ระติ” ทาควบคู่ไปที่จิตน้ัน เวทนามนั ตอ้ งเสวยอารมณ์ตลอดเวลา มนั มีอารมณ์ 6 รู้ 96 ภาคปฏิบตั ิ “สันทฏิ ฐิโก” กำหนดเวทนำในเวทนำ มี “จักขสุ ัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผสั สชาเวทนา ฆาน สัมผสั สชา ผศู้ ึกษาปฏิบตั เิ ห็นไดด้ ว้ ย เวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา” เวทนาให้ ตนเอง เห็นเวทนาในเวทนาน้นั เวลานง่ั หนอ เวลาหนอ เราเห็นเวทนำในเวทนำเป็ นอย่ำงเดียวกับ ภาคปฏิบตั ิ ไมเ่ หลอื วิสยั ฐำนกำย เป็ นภาคปฏิบตั ิ ไม่เหลือวิสัยนะ “สันทิฏฐิโก”-เป็ นส่ิงที่ผู้ศึกษำและปฏิบัติพึง เห็นได้ด้วยตนเอง “อะกำลิโก”-เป็นสิ่งที่ปฏิบตั ิไดแ้ ละใหผ้ ลไดไ้ ม่จากดั กาล “เอหิปัสสิ ทกุ ฐานจิตยืนอริ ิยาบถท้งั โก”-เป็นส่ิงท่ีควรกล่าวกบั ผอู้ ่ืนว่าท่านจงมาดูเถิด “โอปะนะยิโก” -เป็นสิ่งท่ีควรนอ้ มเขา้ 4 มาใส่ตวั “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหีติ”-เป็นสิ่งที่ผรู้ ู้ก็รู้ไดเ้ ฉพาะตน เป็นอารมณ์สมถะ เดินเจริญวปิ ัสสนาฐาน 97เห็นเวทนาในเวทนาเป็นอยา่ งเดียวกบั ฐานกาย เป็นภาคปฏิบตั ิ ไม่เหลือวิสัย 98ทกุ ฐานจิต เวทนาในเวทนาอยใู่ นฐาน ยนื อิริยาบถท้งั 4 ตอ้ งใชเ้ ท่า ๆ กนั 99 การเดินเจริญวิปัสสนำตอ้ งเดินอยา่ งไร เดินวิปัสสนา กาย มลี กั ษณะเหมือนมีลม กรรมฐาน ตอ้ งยกส้นเทา้ กบั ฝ่ าเทา้ ใหข้ ้ึนพร้อมกนั เทา้ ไม่แบะ แลว้ เสือกเทา้ ไปตรง ยกเทา้ รองทเี่ ทา้ มคี วามรู้สึกอยู่ ข้ึนเต็ม ๆ แนะเทา้ เต็ม แลว้ ไม่มีบริกรรม เดินตามปกติอย่าไปเกร็ง แต่ว่าเดินให้ถูกส่วน ใตฝ้ ่าเทา้ เทา้ พน้ จากพ้นื ลกั ษณะของการเดินให้ถูกส่วนยกข้ึน แลว้ มีลมใตฝ้ ่ าเทา้ แลว้ วิป ความรู้สึกอยู่ใตฝ้ ่ าเท้า การยนื ตอ้ งดฐู านเวทนา ฐำนเวทนำในเวทนำอยู่ในฐำนกำย มีลักษณะเหมือนมีลมรองท่ีเท้ำ มีควำมรู้สึกอยู่ใต้ฝ่ ำ ในเวทนา มคี วามรู้สึก อยา่ งเดียวกนั ทกุ ทวาร เหมือนกนั หมด บญั ญติศีลไวห้ ลาย กระบวน ในอริยมรรค เป็นศลี ขนั ธ์ ผทู้ าสัมปชญั ญะ เม่อื ถา่ ยปัสสวะ อุจจาระ เป็น วปิ ัสสนากรรมฐาน กาหนดความรู้สึก สัมปชา โน คอื ธรรม มีความรู้สึก อยู่ เรียกว่า เจริญวิปัสสนา กรรมฐาน อกาลิโกไม่ เลือกกาลเวลา มศี รทั ธาตอ้ งมีปัญญา ตอ้ ง เกิด สัมมาทฐิ ิ ความเห็น ขนั ธ์ 5 รูปเวทนาสญั ญา สังขาร มหาสตปิ ัฏฐาน 4 ความ จริงพสิ ูจน์ได้

366 ตอ้ งขบความหมาย ตวั เท้ำ เท้ำพ้นจำกพืน้ ใหท้ าความสังเกตใตฝ้ ่ าเทา้ สัมผสั กบั พ้ืน เวลาเราเสือกเทา้ ตรงไป ตอ้ ง ละเอยี ดการเจิรญวปิ ัสสนา มีวิธีเดิน ตอ้ งมีวธิ ีทาแลว้ เสือกเทา้ ไปให้ตรง ๆ เวลาเสือกไปกาหนดฐานกาย กายเสือกไป กรรมฐานตอ้ งมตี วั รับรอง ใชล้ ม กระทบเทา้ ลงเสมอกนั อีกเทา้ ลงเสมอกนั รูป เวทนา สญั ญา สังชาร วิญญาณ รองรับ เจริญอารมณ์สมถะ ไมไ่ ด้ แล้วเห็นดับลงไป ดับลงไปเท้ามีรูปรองรับ 100การยืนต้องดูฐำนเวทนำในเวทนำ มี พิจารณา ตอ้ งมีสติหยาบ ความรู้สึกอย่างเดียวกนั ทุกทวารเหมือนกนั หมด แสดงถึงวิปัสสนา 101กำรกินการอยู่ท่ีได้ ๆ พจิ ารณา เป็นผมู้ ปี กติ กลา่ วกนั มาแลว้ วา่ ผา้ สังฆาฏิ การด่ืม เค้ยี ว ตอ้ งกาหนด ทางท่ีเรากาหนด ธรรมะข้นั ปรมตั ิ ทาความรู้สึกตวั ทวั่ พร้อม ธรรม เป็นศีลขนั ธ์ ปัญญาขนั ธ์ เป็นสีเลนะ สุคะติง ยันติ บญั ญติศีลไวห้ ลายกระบวน ใน มคี วามรู้สึกอยู่ เห็นฐาน อริยมรรค เป็นศีลขนั ธ์ 102ยอ่ มเป็นผทู้ าสัมปชญั ญะ เมื่อถา่ ยปัสสวะ อจุ จาระ เป็นวิปัสสนา เวทนาในเวทนา เป็น กรรมฐาน เป็นศีลไปนิพพาน ฆ่ากิเลส กรรมภพชาติหมดกนั ในชาติน้ี เป็นของท่ีสาคญั 103 อารมณ์วิปัสสนา ผสั สะ ตอ้ งกำหนดควำมรู้สึก สัมปชำโน คือธรรม มีความรู้สึกอยู่ กาหนดท่ีความรู้สึกเรียกว่า ทางกาย ใชไ้ ด้ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน อกาลิโกไม่เลือกกาลเวลาทาไดท้ ้งั อุจจาระ ปัสสวะ ได้ 104การ สารวมอนิ ทรีย์ 6 ตาหูจมกู เจริญวิปัสสนากรรมฐานต้องประณีต ศรัทธำควำมเชื่อ คำสอนพระพุทธเจ้ำได้ผล มี ล้นิ กายใจ กาหนดที่ใตฝ้ ่า ศรัทธาตอ้ งมีหวงั ปัญญาตอ้ งเกิด สัมมำทิฐิ ความเห็นขนั ธ์ 5 รูปเวทนำสัญญำสังขำร 105 เทา้ ยก แลว้ เสือกเทา้ ไป หลกั เกณฑ์มหาสติปัฏฐาน 4 ความจริงพสิ ูจน์ได้ ไมเ่ ชื่ออยา่ งไร ค้นคว้ำสำมปี เอำมำสอน ขณะยกไปยกไวใ้ ตฝ้ ่าเทา้ กลวั ผิด ตาราผิด โกหกไป ถ้ำสอนผิดบำปกรรมอยู่กับคนต้น ตอ้ งให้แน่ใจการปฏิบัติ เสือกเทา้ ไป เทา้ กระทบ ตนเอง ภายหลงั ไม่มวั หมอง ผูเ้ ป็ นบัณฑิต ต้องต้งั ตนสมควรก่อน 106เห็นแก่บุญ บาป ไป กาหนดขณะปัจจุบนั ตามมา ถือตาราพากันผิดชั่วโครตคน ต้องขบควำมหมำย ก่อนเวลาทานอาหาร ตวั ขณะผสั สะ เห็นความดบั ละเอียดการเจิรญวิปัสสนากรรมฐานตอ้ งมีตวั รับรอง ตอ้ งไมม่ ีไปทาบาป ตอ้ งมีตวั รับรอง ลงไปเทา้ จึงลงไปได้ 107นุ่งเส้ือใส่ผา้ ห่มจีวร โยนิโส ฉันอาหาร เวลานอน ดูอาสนะบา้ ง เจริญอารมณ์สมถะ ไม่ไดพ้ ิจารณา ตอ้ งมีสติหยาบ ๆ พิจารณา “สังฆาฏิ ปัตตะ จีวะระ, ธาระเณ สัมปะชานะ ผกู้ ระทาฉลาดเพราะ การี โหติ” เป็ นผู้มปี กตทิ ำควำมรู้สึกตัวทัว่ พร้อม, ในการทรงสงั ฆาฏิ บาตร จีวร, “อะสิเต กระทาโดยแยกคลาย ปี เต ขายิเต, สายิเต สัมปะชานะการี โหติ” เป็นผมู้ ีปรกติทาความรู้สึกตวั ทว่ั พร้อม ในการ กาหนดความรู้สึก กาหนด กิน การดื่ม การเค้ียว การลิ้ม, “อุจจาระปัสสาวะ กมั เม, สัมปะชานะการี โหติ”, เป็ นผูม้ ี สัมปชาโน ปรกติทาความรู้สึกตวั ทวั่ พร้อม, ในการถา่ ยอจุ จาระ ปัสสาวะ, 108เจริญวปิ ัสสนากรรมฐาน มีสัมปชาโน คือ กล่าว มีความรู้สึกอยู่ เห็นฐานเวทนาในเวทนา เป็ นอารมณ์วิปัสสนา มีความรู้สึกเป็ น ความรู้สึก มโนวญิ ญาณ ธรรมชาติ แลว้ สวมผา้ ผัสสะทำงกำย ใช้ได้ ลูบหมอน ฐานเวทนาในเวทนา เอามาใชไ้ ด้ ข้ึนความรู้สึกในการ ท้งั น้นั แสดงถึงหยง่ั รู้ 109การเดิน ตอ้ งทอดสายตา สำรวมอินทรีย์ 6 ตำหูจมูกลิน้ กำยใจ เคล่ือนไหว เอาสติไวท้ า้ ย สำรวมกันไว้ก่อน แล้วกำหนดท่ีใต้ฝ่ ำเท้ำยก แล้วเสือกเท้ำไป ขณะยกไปยกไว้ใต้ฝ่ ำเท้ำ ถอย เสือกเท้ำไป เท้ำกระทบไป กำหนดทข่ี ณะปัจจุบัน ขณะผัสสะเห็นควำมดับลงไปเท้ำจึงลง ไปได้ 110รู้จกั ควรชา้ ควรชา้ รู้จกั การด่วนในทางด่วน ผู้กระทำฉลำดเพรำะกระทำโดยแยก คลำย การเหลียวไปขา้ งหนา้ มองไปขณะ ควำมรู้สึกของคอเคลื่อนไหวไปได้ แลว้ เลว้ ไป ไปขา้ งหลงั อวยั วะ เล้ียวไปขา้ งซ้าย เส้ียวไปขา้ งขวา กาหนดการเล้ียวซ้ายขาว กาหนด ความรู้สึก เล้ียวกาหนดสัมปชาโน เป็ นความรู้สึกเป็ นภาคปฏิบตั ิ เหมาะกับประชาชน ทว่ั ไป 111มีสัมปชำโน คือ ควำมรู้สึก มโนวิญญำณข้ึน เล้ียวชา้ ยวญิ ญาณ เล้ียวซ้ายและขาว

367 ถูกตอ้ งตามแบบ หลกั การวิธีการในพระไตรปิ ฎกต่างๆ ตรงสภาวะ มหำสติปัฏฐำนสูตร เป็ นกำรท่ีถูกต้องแล้ว ควำมรู้สึกไว้ท้ำยถอย ควำมรู้สึกในกำรเคลื่อนไหว ก้มใช้ เอำสติไว้ ท้ำยถอย มหี ลกั ควำมเคลื่อนไหว จะมีควำมรู้สึกมีของภำยในอยู่ ผล 112ทดสอบดู ยนื ยนั ดูวา่ อยา่ งไร รับรองในการสอนวา่ หลกั กล่าวมาน้ีเป็นความจริง 113สวด ทดสอบดู ยืนยนั ดู เก่งแตไ่ ม่รู้ความหมายกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ที่เรียนสอนจะ สวดเกง่ แตไ่ มร่ ู้ รู้การเรียน 114พิจารณาเห็นกายในกาย เป็นเครื่องเทียบได้ วา่ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็น ความหมาย ทกขท์ ่ีสุด พอเร่ิมแก่มาทุกอย่าง หูตึง ตาฟ่ าง หนงั ยน่ แรงลดนอ้ ย สังขารร่ายกายไม่ดารง พจิ ารณาเห็นกายในกาย เป็น คงท่ีเกิดอีกก็แก่เจบ็ ตาย 115ประโยชนต์ นประโยชนท์ ่านใหถ้ ึงพร้อมดว้ ย ดูดว้ ยศรัทธา เพอ่ื เครื่องเทียบ ประโยชน์แก่ประชาชน พุทธศาสนา ถา้ ถามเรื่องสมาธิตอบได้ เรื่องปัญญา ศีล ตาราวา่ ง ไปไว้ ประโยชนต์ น ประโยชนท์ ่าน ตารางที่ 4.7.4 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเรื่อง “อธิบำยมหำสติปัฏฐำนสี่ ตอน 02” แนวทางปฏิบตั ิพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั Y4] สกดั หลกั ประเดน็ คำสอน แนวคดิ 116มหาสติปัฏฐาน 4 และอริยมรรคมีองค์ 8 117ประกาศพรหมจรรย์ คือ แบบแห่งการ ปฏิบตั ิอนั ประเสริฐ บริสุทธ์ิ บริบูรณ์ส้ินเชิง พร้อมท้งั อรรถะ (คาอธิบาย) พร้อมท้ัง อริยมรรคมอี งค์ 8 พยญั ชนะ (หัวขอ้ ) “สาตถัง สะพย๎ ญั ชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พ๎รัหมะจะริ แบบปฏิบตั ิ บริสุทธ์ิ ยงั ปะกาเสสิ” ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือ แบบแห่งการปฏิบตั ิอนั ประเสริฐ บริสุทธ์ิ บริบรู ณ์ พร้อมท้งั อรร บริบูรณ์ ส้ินเชิง พร้อมท้งั อรรถะพร้อมท้งั พยญั ชนะ 118แสดงอรรถะและพยญั ชนะ อรร ถะ (คาอธิบาย) ถะ ยกขนั ธ์ 5 ข้นึ มา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม มีความจริงเป็ น พยญั ชนะ (หวั ขอ้ ); การยืนยนั ท้งั ภายในภายนอกปฏิบตั ิใหเ้ ขา้ ใจ จึงเป็นท่ียนื ยนั ของประชาชนได้ เราปฏิบตั ิ ยกขนั ธ์ 5 กายในกาย ให้มีประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน จึงปรากฏภายหลงั คมั ภีร์ สอนไวเ้ ป็ น เราสอนมี เวทนาในเวทนา จิตใน ที่มาที่ไป พระองคแ์ สดงบาลี กลา่ ว จิต ธรรมในธรรม มี ความจริงเป็ นการยืนยนั 119“เอกายะโน อะยัง ภิกขะเว มัคโค” หนทางน้ีเป็ นหนทางเพียงทางเดียวไปไดผ้ ูเ้ ดียว ที่ ท้งั ภายในภายนอก ปฏบิ ตั ใิ หเ้ ขา้ ใจ หลกั กำร เป็นหนทางเพยี งทางเดียว แห่งเดียว วิปัสสนากรรมฐานมีหลายทางจะขดั กบั พุทธวจนะ ทำงไปอันเอกเป็ นที่ไปอัน ไปไดผ้ เู้ ดียว ที่แห่งเดียว เอก บุคคลไปแห่งเดียว วิปัสสนากรรมฐานมีหลายทางไม่ใช่การสอนวิปัสสนากรรมฐาน ทางเสน้ เดียวคือ สติปัฏ มีอยา่ งเดียวไมใ่ ช่มีหลายอยา่ ง 120ทางเสน้ เดียวคอื สติปัฏฐาน 4 อยา่ งมีอะไรบา้ ง “ยะทิทงั ฐาน 4 อยา่ ง จตั ตาโร สะติปัฏฐานา” หนทางน้ีคือสติปัฏฐานสี่ 121พระพุทธเจา้ สอน พุทธศาสนาไม่ สอนมองเห็นความเป็ น สอนให้เราติดสุข มองเห็นความเป็ นจริงของความทุกข์ 122เร่ืองทุกข์ใช้อิริยำบถ 4 เห็น จริงของความทกุ ข์ ควำมทุกข์ในตัวท่ำนเท่ำไร กำรดูจิตดูท่ีมโนสัมผัส การเดินจงกรมตอ้ งฝื นอารมณ์ ไม่เดิน ทกุ ขใ์ ชอ้ ริ ิยาบถ 4 เห็น ไปตามอารมณ์ ดูอยา่ งทกุ ข์ ดูจิต ดูทกุ ขเ์ ป็นเดือน ๆ กวา่ เขา้ ใจ การกาหนดทกุ ขเ์ ห็นขนั ธ์ 5 ความทกุ ข์ในตวั การดูจิต ดูทมี่ โนสัมผสั อารมณ์ 6 เป็นตวั สมุทยั เพลิดเพลินในอารมณ์

368 วธิ กี ำร 123กายในกาย “กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ” พิจารณาให้เห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่เพียร ชอบเพื่อใหเ้ ป็นมาตรฐานและเป็นหลกั “กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ” เป็นผมู้ ีปรกติเห็น กายในกาย “กาเย กายา กายในกายอยู่ 124เห็นกายในกาย วางหลกั การปฏิบตั ิ “อาตาปี สัมปชาโน สติมา” เอำสติ นุปัสสี วิหะระติ” ควบคุมไว้กบั ควำมรู้สึก เป็ นผ้ทู ำสัมปชัญญะ การคูอ้ วยั วะ แขนเขา้ เหยยี ดออก อีกนยั หน่ึง พจิ ารณาให้เห็นกายใน กายเคล่ือน กายไหว กายกม้ เงย เหลียว ซา้ ย เป็นอิริยาบถยอ่ ย ท่านวางไวส้ าหรับส่วนของ กายเนือง ๆ อยเู่ พียรชอบ กาย เป็นความรู้สึกในกายในกาย สังเกตดู มีความรู้สึกอยภู่ ายในกาย โอนเอียง ซา้ ยขาว มี เพ่อื ให้เป็นมาตรฐานและ ความรู้สึกอยู่ในกาย ส่วนกาย วำงอิริยำบถ 4 เดิน ยืน น่ัง นอน เราเขา้ ใจ แทจ้ ริงกล่าว เป็ นหลกั ตามลาดบั ฐานกาย 125“เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ” เป็ นผูม้ ีปรกติเห็นเวทนาใน วางหลกั การปฏบิ ตั ิ “อาตา เวทนาท้งั หลายอยู่,“อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา” เธอมีความเพียรเครื่องเผาบาป มีความ ปี สมั ปชาโน สติมา” เอา รู้สึกตวั ทว่ั พร้อม มีสติ “วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนสั สัง” นาความพอใจและความไม่ สติควบคุมไวก้ บั พอใจในโลกออกเสียได้ เรียกวา่ เวทนำนุปัสสนำสติปัฏฐำน 126จงพจิ ำรณำเห็นเวทนำใน ความรู้สึก เป็นผทู้ า สัมปชญั ญะ เวทนำเนืองๆ อยู่ สงบอยู่ ผัสสะเป็ นปัจจัยให้เวทนำ เวทนำสุข ทุกข์ โทสนัส อุเบกขำ เวทนำ เป็นเวทนาเกิดข้นึ 127เป็นปัจจยั ขา้ มไปสู่ตณั หา เราไม่ไดก้ าหนดทุกข์ เป็นตวั สมุทยั “เวทะนาสุ เวทะนา แยก 3 คือ กำมตัณหำ ภำวตัณหำ วิภำวตัณหำ ตณั หาท้งั สามเป็ นตวั สมุทยั ตวั ภพตวั นุปัสสี วหิ ะระติ” อุปทานมีข้ึน เป็นปัจจยั เป็นเวทนา ตณั หา อุปทาน เป็นปัจจยั ภพ 128การเวทนำเป็ นปัจจัย เป็นผมู้ ปี รกติเห็น ให้ตัณหำ ตัณหำเป็ นปัจจัยอุปทำน ตัวสัญญำ ท่านวางพิจารณา กำหนดหยั่งรู้ในปัจจุบัน เวทนาในเวทนา เป็นตวั พิจารณาแลว้ ขณะหน่ึงเป็นตวั พิจารณาแลว้ 129ยกมือเป็ นตัวกำหนดแล้ว เห็นกำย ท้งั หลายอยู่ ในกำย เป็ นการพิจารณา กำยสักแต่กำย เวทนำสักเวทนำ จิตสักว่ำจิต ธรรมสักว่ำธรรม ผสั สะเป็นปัจจยั ให้ เป็ นสมถกรรมฐำน เป็นพิจารณากายสกั วา่ กาย เรามีความแก่เป็นธรรม เราลว่ งความแก่ไป เวทนา เวทนาสุข ไม่ได้ เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา เราล่วงความเจ็บไปไมไ่ ด้ 130พจิ ำรณำในส่ิงสมมติ คาวา่ ทุกข์ โทสนสั พิจำรณำ ว่ามีปัจจุบนั เป็ นการพิจารณา 131เห็นแลว้ ซ่ึงเวทนาในเวทนาแลว้ วางฐานใน อุเบกขาเวทนา เป็น เวทนาในเวทนาไว้ ถา้ ปล่อยเวทนำเสวยเวทนำท้ัง 6 เป็ นภพ รูปเป็ นอำรมณ์ สอนให้เห็น เวทนาเกิดข้ึน เวทนำในเวทนำน้ัน มีรูป เวทนำ สัญญำ สังขำร ปรุงแต่งออกทำงตำ เป็ นวิญญำณ รับรู้ กามตณั หา ภาวตณั หา อารมณ์ เอารูปเป็ นอารมณ์ เกิดตณั หา อุปทานสัญญาข้ึนมา กำหนดให้เห็นเวทนำและ วภิ าวตณั หา ตณั หาท้งั เวทนำในเวทนำ มีรูปอยใู่ นเวทนาเสวยกบั รูป เป็นปัจจยั การ สังขาร ปรุง วญิ ญาณออกรับ สามเป็น ตวั ภพตวั อารมณ์ 132กายสัมผสั สชาเวทนา เวทนาท่ีเกิดข้ึนเพราะกายสัมผสั ความรู้สึกที่เกิดข้ึน อุปทาน เพราะการที่กาย โผฏฐพั พะและกายวิญญาณประจวบกนั 133มองเห็นคนมาอยู่ในแกว้ ตา เหมือนเงาเขา้ มาอยใู่ นแกว้ ตา จกั ขวุ ิญญำณจติ มจี ิตมำรับภพชำติ เม่ือหยั่งรู้ จกั ขุในเวทนำ เวทนาเป็นปัจจยั ให้ เม่ือเราไม่รู้ รูปเป็นของเรา เวทนาเป็นของเรา สังขารเป็นของเรา วิญญาณเป็นของเรา เรา ตณั หา ตณั หาเป็น เข้ำไปอยู่ในวิญญำณ ถา้ รูปไม่ใช่เรา เวทนาไม่ใช่เรา สังขารไม่ใช่เรา วิญญาณไม่ใช่เรา ปัจจยั อปุ ทาน ตวั ถอนเราออกจากรูป จักขุสัมผัสสชำเวทนำ เวทนำที่เกิดขึน้ เพรำะจักขุสัมผัส ควำมรู้สึกท่ี สัญญากาหนดหยง่ั รู้ เกดิ ขนึ้ เพรำะกำรท่ี ตำ รูป และจกั ขุวิญญำณประจวบกันออกจำกวิญญำณ ไม่ใช่เราไม่ได้ ในปัจจุบนั เขา้ ไปอาศยั ในวิญญาณแลว้ สัญญำเป็ นอนัตตำ รูปารัมมะนงั วา, ให้กาหนดรูป ใหห้ ยงั่ รู้ ยกมอื เป็นตวั กาหนด แลว้ กายสกั กาย เวทนาสกั เวทนา จิต สักวา่ จิต ธรรมสกั วา่ ธรรม เป็นสมถกรรม ฐาน พิจารณาในส่ิงสมมติ คาวา่ พจิ ารณา ว่า ปัจจุบนั เป็นการเห็น แลว้ สอนให้เห็นเวทนาใน เวทนาน้นั มีรูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร ปรุงแต่ง

369 ออกทางตา เป็น ท่ีรูป ท่ีผสั สะ อารมณ์ 6 เป็นภพชาติต่อไป อีก 134 เป็ นธรรมนอก ธรรมเป็ นอุปทำน หยัง่ รู้ วิญญาณ รับรู้อารมณ์ กำหนดกำหนดรู้เป็ นธรรมในธรรมอีกที เป็ นจริง ๆ เห็นธรรมในธรรม เห็นขนั ธ์ 5 เป็ น เวทนาเกิดข้นึ เพราะกาย ธรรมารมณ์ในสัญญาที่ผกู มดั ไว้ เห็นธรรมในธรรม ธรรมท้งั หลาย 84000 พระธรรมขนั ธ์ สมั ผสั ความรู้สึก ท้งั ปวงมีหมด เห็นธรรมในธรรมเป็ นอนตั ตา 135มรรคผลนิพพำนเกิดที่ไหน แท้จริงเกิด เกิดข้ึนเพราะกาย กำยใจ ขนั ธ์ กายธาตุ ผสมกนั อยู่ เป็นกายทางนอก จริงโดยสมมติสจั จะ มีเน้ือ มา้ ม อาหาร โผฏฐพั พะและกาย ใหม่เก่าเป็ นกายนอก จริงโดยสมมติข้ึน เป็ นธรรมนอกเหมือนกนั 136อานาปานบรรพ วญิ ญาณประจวบกนั สอนให้ดาเนิน เห็นกายในกายในกายเนือง อยู่อย่างไรเล่า สู่ป่ ำ โคนไม้ ต้ังกำยให้ตรง จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา นั่งขัดสมำธิ ดำรงไว้สติเฉพำะหน้ำ คาว่า “สติเฉพำะหน้ำ” ดารงกายให้ตรง ทรงไวส้ ติ เวทนาท่ีเกิดข้ึนเพราะ เฉพาะ ฐานไหน เราตอ้ งขบฐานไหน เคลื่อนกาย ฐานกาย เฉพาะหน้ามองซ่ึงสัมผสั พ้ืน จกั ขสุ ัมผสั ความรู้สึก เฉพาะหน้าในฐานน้ัน 137วางไว้ ดำรงไว้สติเฉพำะหน้ำ ย่อมมีสติหำยใจเข้ำ ย่อมสติ ท่ีเกิดข้ึน หำยใจออก ทำเป็ นอำรมณ์วิปัสสนำ ดูผสั สะเป็ นอารมณ์วิปัสสนา ดูผสั สะ หายใจเขา้ เป็นธรรมนอก ธรรม หายใจออก อารมณ์ วิปัสสนำกรรมฐำน ดวู บิ ำกส่งผลเข้ำมำ เรำน่ังสมำธิ จมกู มีสองรู้ ทาง เป็นอปุ ทาน หยง่ั รู้ น่ังวิบากส่งผลมีทุกขณะของจิต ทำไปเห็นเอง ถึงเอง ทาให้ถึง อารมณ์สมถะกรรมฐาน กาหนดกาหนดรู้ วิปัสสนากรรมฐาน อานาปาบรรพว่ากนั ไว้ ติดอยู่ ควำมสงบ 32 ปี ว่างหมด 32 ปี ทา เหมือนเป็นพระอรหนั ต์ จิตระงับมันสงบเอง สำเหนียกรู้ตลอดกองลมหำย หายใจเขา้ เรา มรรคผลนิพพานเกิด ระงับกายสังขาร หายใจเข้า ไประงับ เราไประงับกายสังขารหายใจเข้า หายใจออก ท่ีไหน แทจ้ ริงเกิดกาย พิจารณาเห็นกายในกาย 138เป็ นธรรมนอก ธรรมเป็ นอุปทาน หยงั่ รู้กาหนดกาหนดรู้เป็น ใจ ธรรมในธรรมอีกที เป็นจริง ๆ เห็นธรรมในธรรม เหน็ ขนั ธ์ 5 เป็ นธรรมำรมณ์ในสัญญำที่ ผูกมัดไว้ เห็นธรรมในธรรม ธรรมท้งั หลาย 84000 พระธรรมขนั ธ์ ท้งั ปวงมีหมด เห็น สติเฉพาะหนา้ ดารง ธรรมในธรรมเป็นอนตั ตา 139ต้งั ใจกาหนด มีความรู้สึกท่ีตา มองเห็นสักแต่ว่า เห็น ไม่มีชี กายใหต้ รง ทรงไวส้ ติ พระ ศาลา ไม่มีไฟ ถ้ากาหนดไดง้ ่ายกว่าทางหูอีก ตามทวาร เป็ นฐานเวทนาในเวทนา เฉพาะ ตอ้ งขบฐาน ท้งั หมด 140ธรรมชาติละเอียด ประณีต ไปสู่ป่ า โคนไม้ เรือนวาง ท่านบอกไว้ นักปฏิบตั ิ ไหน เคลือ่ นกาย เขา้ ใจในเร่ืองน้ีว่า กล่าววา่ ถึงจิต เวทนายกข้ึน เสียงสัมผัสกับหูอย่ำงไร เสียงกระทบใน เฉพาะหนา้ ในฐาน เวทนาน้ัน มีความรู้สึก ผัสสะ เรียกว่ำ ผัสสะทำงโสตะ หูมีธาตุท้งั 4 อยู่ รูปละเอียดเป็ น คล่ืน เสียงมนั ยืด ผสั สะกบั หูโสตสัมผสั สชาเวทนา ให้เห็นเวทนาในเวทนา หู เห็น เอา ดผู สั สะเป็นอารมณ์ เสียงเป็ นอารมณ์ ฐานเวทนาท้งั หมด 141จิตรวมลงท้งั หมด มีนยั มีนอก มีเวทนำ อุเบกขำ วปิ ัสสนา ดูผสั สะ ต้องให้เห็นเวทนำในเวทนำน้นั การฉนั เวทนา ตณั หาเขา้ เทา้ เป็นฐานเวทนาในเวทนา ตูด หายใจเขา้ หายใจออก สัมผสั พ้ืน เป็ นปัจจัยตัณหำ เป็ นตัณหำท่ีฝ่ ำเท้ำ เวทนาในเวทนา เป็ นทางเขา้ ทุกส่วน ผสั สะทางตาเป็นตณั หา ผสั สะทางจมูก ลิ้นกาย รู้ผสั สะรอบนอก ตวั ใหญ่ 142พิจารณาเห็น ทาไปเห็นเอง ถงึ เอง จิตในจิตเน่ือง อยู่ฐานจิตแยกไวว้ ่า จิตประกอบราคะ จิตประกอบโทสะ โมหะ รู้จิตกำร ทาใหถ้ งึ อารมณส์ ม นึกคิดท้ังหมด สัญญำกล่ำวเดิม รู้จิต แต่ไม่ได้ ฆ่ากิเลสในจิต รู้จิต รู้ดบั ท้งั รู้ท้งั เห็นเป็ น ถกรรมฐาน ติดอยู่ ทางถูก จิตเต จิตตำนุปัสสี วิหะระติ, เป็นผมู้ ีปรกติเห็นจิตในจิตอยู่ “อาตาปี สัมปะชาโน ความสงบ สะติมา” เธอมีความเพียรเคร่ืองเผาบาป มีความรู้สึกตวั ทวั่ พร้อม มีสติ “วิเนยยะ โลเก ธรรมนอก ธรรมเป็น อปุ ทาน หยง่ั รู้กาหนด กาหนดรู้เป็ นธรรมใน ธรรมอกี ที ต้งั ใจกาหนด มคี วามรู้สึก ท่ตี า มองเห็นสกั แต่ว่า เห็น เสียงสัมผสั หูกระทบ เวทนา มีความรู้สึก ผสั สะ เรียกว่า ผสั สะทางโสตะ มีเวทนา อุเบกขา ตอ้ งให้ เห็นเวทนาในเวทนา รู้จิต นึกคิดท้งั หมด สัญญา เดิม รู้จิต รู้ดบั ท้งั รู้ท้งั เห็น เป็ นทางถูก บริกรรมภาวนา จิตสงบ มากข้นึ ไมใ่ ช่ยกจิตข้ึนสู่

370 ไตรลกั ษณไ์ ด้ พอตดิ อะภิชฌาโทมะนสั สัง” นาความพอใจและความไมพ่ อใจในโลกออกเสียได้ เรียกวา่ จิตตา สญั ญา ภาวนา พทุ โธ พอง นุปัสสนาสติปัฏฐาน 143กำรบริกรรมภำวนำ มี ท้งั หมด แบบไหนก็ตาม เม่ือบริกรรม หนอ อปุ ทานยึดอยู่ ยึด ภาวนาไดม้ ากข้ึน จิตสงบมากข้ึน ไม่ใช่ยกจิตข้ึนสู่ไตรลกั ษณ์ได้ เป็นวิธีใดก็ตามใชแ้ บบ มาก ทอ่ งมาก พุทโธ สัมมาอรหัง พองหนอยุบหนอ เมื่อเราบริกรรมภาวนา พอติดสัญญำ ไม่ตอ้ งท่อง ดว้ ยปาก แลว้ ติดสัญญำไปแล้วไปไหนมันพุทโธไปเอง เราท่องหนงั สือไม่ตอ้ งออกเสียง สัมมาสมาธิ ต้งั ใจชดั นึกไปบรรทดั สัญญำภำวนำ พทุ โธ พองหนอ อุปทำนยึดอยู่ ยึดมำก ท่องมำก ยึดมำก เรำ มีสมาธิอยแู่ ลว้ เหน็ เอง ท่องมำก เหน็ เอง เสีย เกจิในเมืองไทย ทกุ อำจำรย์มำทำเท่ำนี้ ติดอย่เู พยี งเท่ำนี้ จติ จะบริกรรมภำวนำเพยี งเท่ำน้นั 144สัมมำสมำธิ ต้งั ใจชัด มสี มำธิอย่แู ล้ว เป็นจกั ษุสัมผัสสะ เห็นจิตในจิต วิธียกจิตข้ึน ชำ เวทนา ต้งั ใจ ไว้ กาหนดไว้ กลิ่น จมกู ต้งั ใจกาหนด ขณิกสมาธิ เป็นหลกั เขา้ ใจ 145เห็น สู่ไตรลกั ษณ์ ดตู าม จิตในจิต วิธียกจิตข้ึนสู่ไตรลกั ษณ์ ดูตามอายตนะ เป็ นบาลียืนยนั เป็ นภาษิตรับรองการ อายตนะ เจริญวิปัสสนาทางจิต ภายในรับรอง 146ฐำนจิตยกจิตขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ยกจิตฐำนจิต ฐานจิตยกจิตข้ึนสู่พระไตร คลื่นจิต ทุป ๆ ชีพจรเต้น จิตรอดไปหมวดเป็ นตวั สัญญา ป้ัมตวั หนงั สือ ไม่มีหมึกไม่มี ลกั ษณ์ ยกจิตฐานจิต คลน่ื อารมณ์ 147จิตตอ้ งรอดจากภงั คอ์ นั น้นั จึงเป็น มโนสัมผสั เป็ นยกจติ ขึน้ สู่พระไตรลกั ษณ์ ดู จิต ผสั สะ ขณะหน่ึงไมม่ ีอารมณ์ แยกออกไป ผสั สะแยกออกไป ยกจิตข้นึ สู่ไตรลกั ษณ์ ทาไม มโนสมั ผสั เป็นยกจิตข้นึ ยกจิต บริกรรมภำวนำ เคยทำอำนำปำนสติ จิตสงบว่ำง จติ ถกู บังคับ ได้รูปฌำน อรูปฌำน สู่ไตรลกั ษณ์ ดูผสั สะ ไม่มี อารมณ์ แยกออกไป ทำสมำบัติ 8 ผสั สะ 148สภำวะธรรมท้ังหลำยเป็ นอนัตตำ เป็ นอนัตตา จริงโดยสมมติท้ังหมดเป็ นอนัตตา เรียกวา่ ทา่ นผรู้ ู้ 149กำรกำหนดวิปัสสนำกรรมฐำน มาจบั สภาวะได้ คร้ังหน่ึงดีกวา่ คน 100 ผล ปี ไมเ่ ห็นสภาวธรรม ทา่ นผรู้ ู้กลา่ ว เห็นสภาวธรรมค้งั หน่ึง เรียนพระไตรปี กฎ จบไป เมื่อ เราไม่ปฏิบตั ิไม่มีปัญญาเกิด 150 สัพเพ ธัมมำ อนัตตำติ ธรรมท้งั หลายท้งั ปวง ไม่ใช่ตวั ตน สภาวะธรรมท้งั หลายจริง 151อริยบุคคล 4 เกิดข้ึน เห็นธรรมในธรรม ธรรมสองประการ เรียกว่า ธรรมโดยสมมติ โดยสมมติ เป็นอนัตตา สมมติสัจจะเป็ นธรรมนอกเป็ นธรรมโดดยสมมติ ท่ีพระองคแ์ สดงไว้ ธรรมโดยสมมติ กาหนดวิปัสสนา เมื่อเราปฏิบัติเห็นรูปธรรมะ สัญญาธรรมะ สังขารธรรมะ จึงเรียกว่าเห็นธรรมใน กรรมฐาน มาจบั สภาวะได้ ธรรมารมณ์ ที่เกิดข้ึน หากเราท่องในห้องกรรมฐำน เราไดน้ ี่ รูป สัญญำ วิญญำณ สัญญำ ธรรมท้งั หลายท้งั ปวง นามรูป เป็นทอ่ งอยา่ งน้ี เป็นธรรมนอกท้งั หมด เป็นความจริงที่เราทอ่ ง เป็นธรรมนอก 152 ไมใ่ ช่ตวั ตน ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม ตอ้ งปฏิบตั ิให้แตกฉาน มีหลกั อยู่ ว่า “ญายปฏิปันโน” เห็นธรรมในธรรม 1) แปลว่ำ ผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุญำยธรรม, ผูด้ าเนินไปในหนทางที่ถูกต้อง ญายปฏิปันโน ธรรมโดยสมมติ สจั จะ หมายถึงผปู้ ฏิบตั ิเพ่อื เขา้ ถึงความจริง ความถูกตอ้ ง เป็นธรรมนอก 2) ปฏบิ ตั ิ เห็น เห็นธรรมใน ธรรมารมณ์ ทเี่ กิดข้นึ พิจารณาเห็นธรรมใน ธรรม ตอ้ งปฏิบตั ใิ ห้ แตกฉาน“ญายปฏปิ ันโน” ตารางที่ 4.7.5 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “อธิบำยมหำสติปัฏฐำนส่ี ตอน 03” แนวทางปฏิบตั ิพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) จาแนกตาม แนวคิด หลกั การ วธิ ีการ และผล [รหสั Y5] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน

371 แนวคิด 153 การสอนหลกั รู้ความหมายปลายทาง ตน้ ทางอริยมรรคมีองค์ 8 เป็ นทำงเส้นเดียวกัน จบั มรรค 8 ได้ ตอ้ งลงส่ีลอ้ จบั สติปัฏฐาน 4 เห็นปัจจุบนั เห็นชอบ เห็นทางดบั เห็นภายใน สอนหลกั รู้ความหมาย 154ฐานกายวางอิริยาบถบรรพ ตอ้ งลงสัมปชาโน ต้องโยงความรู้สึก 155อาจารยส์ าคญั ปลายทาง ทางอริยมรรคเป็น กลั ยาณมิตรสาคญั มรรคผลนิพพาน ทางเส้นเดียวกนั จบั ไดง้ สี่ลอ้ สตปิ ัฏฐาน 4 156อานาปาบรรพ ใชไ้ ดจ้ ิตเป็นทกุ ขม์ าก เจ็บระบมมาก สูดลมแรงๆ กาหนดความรู้สึกค่อย ฐานกายวางอริ ิยาบถบรรพ ยงั ชว่ั ฐานจิต สังเกตดูทีม่ โนสัมผัส เข้ำถึงฐำนจิตไปแล้ว ท่านวางฐานกายไวค้ วบกนั อย่าง ตอ้ งลงสัมปชาโน ตอ้ งโยง เดียวกนั 157รู้ความหมายในสติปัฏฐานสูตร ให้ดูเขา้ ใจและปฏิบตั ิเกิดความเขา้ ใจ 158“สัมป ความรู้สึก ชาโน” เป็นตวั ละสมุทยั จบั ความรู้สึกไดม้ าก ๆ ตวั ท่านจะเบาทาความรู้สึกติดต่อกนั แค่ 7 อาจารยส์ าคญั กลั ยาณมิตร วนั เป็นอรหัตต์ เป็นโสดำบัน สกทำคำมี อนำคำมี อรหันต์ ความรู้สึกสัมปชาโน เราทาไม่ สาคญั ติดต่อ ทาติดต่อกนั ไดผ้ ลอยู่แลว้ 15 วนั ไดผ้ ล มนั ทุกขท์ ี่เจ็บมโนสัมผสั มีอารมณ์แทรก ปรุงแต่งอดีต อนาคต เขา้ ถึงฐานจิต 159ใหจ้ บั สัมปชญั ญะบรรพ ทุกฐานใหม้ ี สติมำ สัมป หลกั กำร ชำโน วินัยมีสติ วินยั เป็ นกรอบ อย่างพระ มีวินยั ศีล สัมปชำโนคือ สติ เป็ นกรอบ ธรรม เป็นปลอกสวม ถา้ ไม่มีสติ สัมปชำโน ถา้ ไม่มีปราศจากสติ ไม่ปรับอาบตั ิ บา้ คลงั่ เสียสติ อานาปาบรรพ ใชไ้ ดจ้ ิต ปราศจากสติ 160ยืนยนั ในพระไตรปิ ฎกได้ว่า ยกมือ คนพูดเป็ นบ้า เขาสนใจอภิธรรม เป็นทุกขม์ าก สังเกตดูที่ จาหลกั พระสูตรไดข้ ้ึนมา บางคนเรียนอภิธรรมว่าอาจารยส์ อนไดแ้ ต่คนโง่ ควายดีว่าผม มโนสมั ผสั เขา้ ถงึ ฐานจิต ควาย เลย เราไม่ใช่ควาย ไม่เป็ นไรเอาไวค้ ุยกนั ก่อน สอนวิปัสสนำสอนได้แต่คนโง่ ว่า ไปแลว้ อาจารย์ การยกมือ เรายดึ หลกั ไว้ เราไดท้ างแลว้ เหมือนกบั เบด็ ติดปากปลา เราถือคนั ไว้ รู้ความหมายในสติปัฏฐาน มนั ด้ินไปไหนเจ็บ ใครว่ำสอนผิดถูก ผลงำนมันตำมไปเอง จับควำมรู้สึกได้ เรายึดยนั สูตร ปฏิบตั เิ กิดความ ธรรมของพระพุทธเจา้ อยา่ งน้ีก็ใชไ้ ดแ้ ลว้ 161ธรรมะลึกซ้ึงจะติดตวั พระคุณเจา้ ไปดว้ ย มี เขา้ ใจ สติ มีปัจจุบนั อารมณ์ สอนถี่ถว้ นไปดว้ ย เป็นมาตรฐาน จบั สัมปชญั ญะบรรพ เขา้ กนั ทุก “สมั ปชาโน” จบั บรรพ 162ความเป็ นผูส้ ัมปชญั ญะ มโนสัมผัสฐำนจิต คูแ้ บบไหนก็ได้ ไดห้ ลกั 163ในห้อง ความรู้สึกไดม้ าก ๆ กรรมฐาน 3 ปี เศษ คน้ ควา้ ตามตารายากอยู่ ทาอย่างน้ีตอ้ งเป็ นอย่างน้ัน เราไปสอนได้ จบั สมั ปชญั ญะทกุ ฐานให้ อยา่ งน้นั ไดธ้ รรมะแทจ้ ริงไดเ้ มื่อแจง้ ภายในเรียนกายในออก ดูภายนอกใหต้ รงภายใน เอา มี สติมา สมั ปชาโน สมั ป ตารามากลางดู 164เม่ือมีสติ ณ ตรงท่ีใด ระลึกถึงตวั ได้ ไม่ตอ้ งว่ิงไปหาอารมณ์อ่ืน ตอ้ ง ชาโนคือ สติ เป็นกรอบ นอ้ มไปท่ีเทา้ เรารู้อารมณ์ที่จิต เดินขา้ เร็ว เรากม้ เหลียวซา้ ยแลขวา 165ไม่เลือกกาลเวลา ธรรม สอนอยเู่ ป็นประจา มี สมั ปชญั ญะ ธรรมของพระพทุ ธเจา้ สอนปากทะลุทวาร ยนื ยนั ในพระไตรปิ ฎก สอนผิดถูก ผลงานตามไป 166เวลาเดินอยู่ กร็ ู้ชดั วา่ เราเดินอยู่ เม่ือเราเดินอยกู่ ็รู้ชดั วา่ เราเดินอยู่ เป็นการวางหลกั ขณะ เอง จบั ความรู้สึกได้ ยึด เม่ือเดินอยตู่ อ้ งจบั ฐาน เทา้ การเดินไปจบั เวลาเสือกเทา้ ตอ้ งยดึ หลกั วา่ เวลาเสือกเทา้ ตอ้ ง ยนั ธรรมพระพุทธเจา้ เสือกตรงๆ ยกข้ึนเสมอกนั รู้ชดั ยกเทา้ ข้ึน รู้สึกชดั ท่านกล่าวไว้ รู้ชดั ในการเดิน 167เวลา ธรรมะลึกซ้ึงจะตดิ ตวั มีสติ ยนื อยู่ ยนื อยู่ อิริยาบถ เวลายนื จดั เป็นฐานเวทนาในเวทนา กายสมั ผสั สะชา เวทนาอยทู่ ี่เทา้ มีปัจจบุ นั อารมณ์ จบั สัมปชญั ญะ ความเป็นผสู้ มั ปชญั ญะ มโนสมั ผสั ฐานจิต ห้องกรรมฐาน 3 ปี เศษ คน้ ควา้ ทาอยา่ งน้ีตอ้ งเป็น อยา่ งน้นั ไดธ้ รรมะแทจ้ ริง ไดเ้ มือ่ แจง้ ภายในเรียนกาย ในออก ดภู ายนอกให้ตรง ภายใน เอาตารามากลางดู มสี ติ ณ ตรงที่ใด ระลกึ ถึง ตวั ได้ ไมเ่ ลอื กกาลเวลา สอนอยู่ เป็นประจา มี สัมปชญั ญะ ธรรม วิธีกำร เวลาเดินอยู่ ก็รู้ชดั ว่า เรา เดินอยู่ เดินอยตู่ อ้ งจบั ฐาน เทา้ ยนื จดั เป็นฐานเวทนาใน เวทนา กายสัมผสั สะชา

372 เวทนาอยทู่ ีเ่ ทา้ เรียกวา่ เรียกวา่ อิริยำบถบรรพ รู้ชัดท่คี วำมรู้สึก ใตฝ้ ่ าเทา้ 168 เวลานง่ั รู้ชดั วา่ เดียวน้ีเรานง่ั อยู่ ตอ้ ง อริ ิยาบถบรรพ รู้ชดั ท่ี ใช้ สัมปชำโน สัมปชัญญะบรรพ เขา้ ควบท้งั หมด ไมว่ า่ ฐำนเวทนำ กำย รู้ชัดว่ำ เรำนง่ั อยู่ ความรู้สึก คนไม่เข้ำใจไม่จับควำมรู้สึกไปตำมฐำน คุมตวั เฉยๆ ไม่ใช่อารมณ์วิปัสสนากรรมฐาน 169 ฐานเวทนา กาย รู้ชดั ใช้ เรายืน เรายืนเป็ นเรา เราเป็ นผูย้ ืน ตอ้ งปักลงไปฐาน ยืนปักไปฐานฝ่ าเทา้ เวลานง่ั ปักไป สัมปชาโน สมั ปชญั ญะ ฐานเวทนา ทา่ นวางควบกนั ไว้ 170สัมปชำโน ได้แก่ควำมรู้สึก ทา่ นวางไว้ เวลานงั่ เวลายนื บรรพ เขา้ ควบท้งั หมด เวลานอนกร็ ู้ชดั วา่ เด่ียวน้ีรู้ชดั วา่ เรานอน คลาฐาน ไวท้ ่ีตะโพก หรือไวท้ ี่หวา่ งหู กไ็ ด้ พกั ยนื เป็นเรา เราเป็นผูย้ ืน กลางวนั สังเกตใครไปมา มนสิกำ รู้ชัดในทำงผัสสะ ต้องวำงอิริยำบถบรรพ วางควบกนั ตอ้ งปักลงไปฐาน ยืนปัก ไว้ 171เม่ือต้งั อยอู่ ยา่ งใดกย็ อ่ มรู้ชดั วา่ การน้นั อยา่ งน้นั รู้ชดั วา่ อาการกายน้นั อยา่ งน้นั ๆ ต้งั ไปฐานฝ่าเทา้ ไปฐาน กายไวอ้ ยา่ งไรให้รู้ชดั การท่ีรู้ชดั ตอ้ งนึกถึงฐานดว้ ย อย่ำลืมฐำน สติปัฏฐำนอย่ำทิ้งฐำน เวทนา ทา่ นวางควบกนั ฐำนกำย เวทนำ จิต ธรรม คล่ากนั ไว้ 172มโนสัมผัส เป็ นฐำนจิตให้รู้ควำมหมำย 173“อิติ สมั ปชาโน ไดแ้ ก่ อัชฌัตตงั ” พิจารณาเห็นกายในกาย เป็ นไปภายใน อิริยาบถภายในความรู้สึ กในกาย ความรู้สึก นงั่ ยืน นอนกร็ ู้ เป็นไปภายใน เห็นกายเห็นกายในกายเป็นไปภายใน เห็นกำยในกำยเป็ นไปภำยนอกบ้ำง ชดั มนสิกา รู้ชดั ทาง ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในและภายนอก เหมือนมีสองคน เพราะกายนอกเป็น ผสั สะ ตอ้ งวางอริ ิยาบถ กายเปื่ อย ฟุพอง หนอนกินเรา กินตา กินหน้า กินตา ฟันเป็ นแมง หนอนกินต่อมกินอยู่ บรรพ วางควบกนั ไว้ กายนอก ชดั ภำยในควำมรู้สึกอย่ขู ้ำงใน ยอ่ มพจิ ารณาเห็นธรรมดา คอื ความเกิดข้นึ เฮือก ไปขณะหน่ึง ธรรมดำต้ังอยู่ดับไป ดูควำมเกิดขึ้น ดับไป เกิดวูบไปทีก็เส่ือมไปท่ีน้ัน ดู รู้ชดั ตอ้ งนึกถึงฐาน อยา่ ความส้ินไปความเส่ือมไป สติต้งั อยู่ ดูระลึกรู้วา่ กายมีอยู่ ก็สักว่า กายไม่ใช่ต้งั ตนบุคคล ลืมฐาน สติปัฏฐานอยา่ ท้ิง เราเขา ของเธอมีอยู่ ตวั ตนเราเขา เธอมีอยสู่ ติ ก็เพยี งสักวา่ เป็ นท่เี คร่ืองรู้ เป็ นทอี่ ำศัยระลึก ฐาน ฐานกาย เวทนา จิต เธอย่อมไม่ติดอยู่ด้วย พิจำรณำเห็นกำยในกำย เนือง “กำเย กำยำนุปัสสี วิหรติ” 174“ปุนะ ธรรม จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ” ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ข้ออ่ืนยงั มีอยู่อีกภิกษุ ความเป็ นผู้ทา สมั ปชญั ญะ ความเป็นผรู้ ู้ตวั กา้ วไปขา้ งหนา้ กลบั ไปขา้ งหลงั ความเป็นผทู้ าในการแลไป มโนสมั ผสั เป็นฐานจิตให้ ขา้ งหนา้ เหลียวซา้ ย แลขาว กม้ เงย เป็ นผ้ทู ำสัมปชัญญะ ในกำรคู้อวัยวะ ยกมือ ควำมเป็ น รู้ความหมาย ผู้ทำสัมปชัญญะในกำรคู้อวัยวะ คือ แขนเข้ำมำ ทำควำมรู้สึกเวลำเหยียดแขนออก 175เดิน ชดั ภายในความรู้สึกอยู่ จงกรมทาวิปัสสนาอิริยบถเดิน ไม่มีคำบริกรรมภำวนำ เป็นเร่ืองสาคญั 176กาหนดเวทนา ขา้ งใน ยอ่ มพจิ ารณาเห็น ในเวทนาได้ ดูเวทนาในเวทนากาหนดไดด้ ี ถา้ ไม่กาหนด อุปทานตวั กูของกู ไมไ่ ดธ้ รรมะ ธรรมดาต้งั อยดู่ บั ไป ดู ถา้ กาหนดเราอยู่คนเดียว อยู่ลบั ล้ีเป็นตวั เราไม่กาหนดที่ตวั เรา อำรมณ์กำรนึกคิดมันออก ความเกิดข้ึน ดบั ไป เกิด มีควำมรู้สึกอยู่ในควำมรู้สึกผัสสะ ไม่มีตวั ไม่มีเราตอ้ งดูนะ 177วางควบๆ กนั ไว้ ดูกาล ดู วบู ไปทกี เ็ สื่อมไปท่นี ้นั เวลาเหมือนกัน เป็ นอารมณ์ท้ังหมด คนเจริญวิปัสสนากรรมฐาน มีกาไรต่อชีวิต ความเป็นผทู้ าสมั ปชญั ญะ การปฏิปฏิบูชา ตามเราท่ีเรารู้เห็นอย่างไร มีปัจจุบันอารมณ์เป็ นเครื่องหมาย เป็ น ในการคอู้ วยั วะ คือ แขน ความรู้สึก ไม่ตอ้ งไปหาบุญที่ไหน ที่ตวั เราท้งั น้นั 178ย่อมเป็ นผู้ทำสัมปชัญญะในกำรเดิน เขา้ มา ทาความรู้สึกเวลา ควำมรู้สึกในการเดิน ยืน ท่านสอนซ้า ๆ กนั ไว้ กล่าวไวใ้ น สัมปชัญญะ น่ัง หลับตำ จิต เหยยี ดแขนออก หลบั ลืมตา จิตโล่ง ในหนา้ อกมีสปริงอยู่ หลบั ตาลืมตา มีถึงกนั น่ิงอยู่ดูอยฐู่ านหน่ึงฐาน ใด เป็นอารมณ์ท้งั หมด ดูความรู้สึกรวมขอ้ ความไว้ 179พจิ ำรณำเห็นกำยในกำรเป็ นไปใน วปิ ัสสนาอิริยบถเดิน ไมม่ ี ภำยใน ไม่ใช่เห็นกายในกายเป็ นไปในภายนอก ภายนอกเป็ นสมมติสัจจะ ย่อมพิจารณา คาบริกรรมภาวนา ดเู วทนาในเวทนากาหนด ได้ ถา้ ไมก่ าหนดอปุ ทาน ตวั กขู องกู เจริญวิปัสสนากรรมฐาน การปฏิบชู า มีปัจจุบนั อารมณเ์ ป็นเคร่ืองหมาย เป็ นความรู้สึก เป็นผูท้ าสัมปชญั ญะ ความรู้สึกในการเดิน ยืน หลบั ตาลมื ตา นิ่งอยูฐ่ าน หน่ึงเป็นอารมณ์ท้งั หมด ดู ความรู้สึกรวม พิจารณาเห็นกายในการ เป็นไปในภายใน ภายนอก เป็นสมมตสิ จั จะ พิจารณาเห็นธรรมดา คอื ความเกิดข้ึนในกาย เรา ต้งั อย่ใู นกาย เกิดทไ่ี หน ดบั ที่นนั่

373 เห็นธรรม ท้งั อนั เป็นเหตุ เห็นกายในกายเป็ นไปในภายนอก เห็นขา้ งนอกเห็นขา้ งใน บางคร้ังเห็นท้งั ภายในและ เกิดข้นึ และเสื่อมไปใน ภายนอก 180ยอ่ มพิจารณาเห็นธรรมดา คือ ความเกิดข้ึนในกาย เราต้งั อยูใ่ นกาย เกิดท่ีไหน กาย สตอิ นั เขา้ ไปต้งั อยู่ ดบั ท่ีนนั่ ความรู้สึกเกิดที่ไหน ก็ดบั ไปท่ีน้นั อบรมตามลาดบั รวมไวเ้ พ่ือไม่เคล่ือนคลาด เฉพาะหนา้ 181ยอ่ มพิจารณาเห็นความธรรมดา เส่ือมไปในกายบา้ ง “สะมทุ ะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส กายสักแตว่ ่ากาย เป็นสม มิง วิหะระติ” เห็นธรรม ท้ังอันเป็ นเหตุเกิดขึน้ และเส่ือมไปในกำยน้ีบา้ ง ก็หรือว่าสติอัน ถกรรมฐาน อา่ นไมอ่ อก เข้ำไปต้งั อย่เู ฉพำะหน้ำ ก็รู้วา่ กายมีอยู่ สักแตว่ า่ กายน้ีไม่ใช่สตั วบ์ ุคคล เราเขา ถา้ เราไมเ่ ขา้ ปฏิบตั ิแจง้ จึงบอก สัตว์ บุคคล ตวั ตน เราเขา เป็นข้นั สมถกรรมฐาน 182กำยสักแต่ว่ำกำย เป็ นสมถกรรมฐำน ความหมาย ลงขอ้ ความไวต้ อนทา้ ยทกุ บรรพ การพิจารณาอยา่ งน้ี เราอ่านไม่ออก ถ้ำปฏบิ ัติแจ้งจึงบอก สติ คอื ความระลึกวา่ กาย ควำมหมำย เห็นหรือไม่ สักว่า กายมิใช่สัตว์ บุคคล ตวั ตนเราเขา ของพวกเธอมีอยู่ ถา้ มีอยู่ เป็นสติทเ่ี ธอดารงไว้ พรรณนาอย่างน้ี เป็ นสมถกรรมฐำน 183 “อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โห สติเพยี งสักวา่ เป็นทีเ่ ครื่อง ติ” ก็แหละสติ คือควำมระลึกว่ำ กำยมีอยู่ ดงั น้ี ของเธอน้นั เป็ นสติที่เธอดารงไว้ สติก็ รู้ เป็นที่อาศยั ระลกึ ไม่ติด เพียงสักว่ำ เป็ นที่เครื่องรู้ เป็ นที่อำศัยระลึก เธอย่อมไม่ติดอยู่ดว้ ยไม่ยึดถืออะไรในโลก อยดู่ ว้ ยไมย่ ดึ ถืออะไรใน “ยาวะเทวะ ญาณะมตั ตายะ” เพียงเพ่ือรู้ “ปะติสสะติมตั ตายะ” เพียงเพื่ออาศยั ระลึก จบั โลก ตรงน้ี ไม่เป็นพิจารณา ดูก่อนภิกษุท้งั หลายย่อมพิจำรณำเห็นกำยในกำรในกำยเน่ือง ๆ อยู่ จบั ฐานหน่ึงฐานใด ยกมอื เห็นนะ ไม่ใช่รู้ 184การพิจารณาเหมือนกามือ เรากามือ หนงั สืออยู่ เราปล่อยหนงั สือ ว่าง จบั ฐานมอื จิตจบั ท่ีฐานจิต ปล่อยไปไม่ได้ สัญญาตามรู้อยู่ เวลาจบั หนังสือ กาอยู่ เราไม่ปล่อย เราไม่แบมือ กาเรื่อง ดฐู านเวทนา เวลายืนจบั ที่ ในอดีต อนาคตอยู่ เอวงั ภิขเว เรำจับฐำนหน่ึงฐำนใดเท่ำน้ัน ยกมือ จับฐำนมือ จิตจบั ที่ ใตฝ้ ่าเทา้ ตอ้ งปัจจุบนั จอั ง ฐานจิตน้ี ดูฐานเววทนา เวลายนื จบั ท่ีใตฝ้ ่ าเทา้ เวลาไหนจองจบั เราไมป่ ลอ่ ย ตอ้ งปัจจุบนั จบั มีความรู้สึกอยู่ จองจบั ท่ีมืออย่างเดียว มีความรู้สึกอยู่ 185เวลาทาให้ดู ดูดว้ ยตา จาแม่นยา เวลาสอนเราไม่ จบั ความรู้สึกอยา่ งเดียว เคลื่อนคลาน เห็นอิริยาบถ แลว้ เขาถาม เราตอ้ งอิบายให้เขาฟัง เราจบั เอ้ือมจา ปัจจุบนั เห็นกายในกายเนือง ๆ อารมณ์วิปัสสนาตดั ขาด เราเขา้ ไปตดั เอาไปวาง ไม่ได้ ตอ้ งมีปัจจุบนั ในการปลอย มี เห็นอยเู่ รื่อย เห็นกายใน ปัจจุบนั ลบสัญญาได้ ถา้ ออยา่ งน้นั ลบสัญญาไม่ได้ 186จับควำมรู้สึกอย่ำงเดียว เห็นกำยใน กายเนืองๆ กำยเนือง ๆ เห็นอยู่เรื่อย เห็นเนืองๆๆๆ เห็นกำยในกำยเนืองๆ อยู่ สัมปชัญญะบรรพ รวม หมด “เอวมั ปิ ภิกขะเว ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ” เป็นผปู้ รกติพจิ ารณาเห็นกายใน อยใู่ นกายนอก กายอย.ู่ 187ท่านสอนปฏิกลู บรรพใหเ้ ขา้ ใจวา่ อย่ใู นกำยนอกท้ังหมด ปฏิกลู บรรพ ท้ังหมด ท้งั หมด ปฏิกลู บรรพ เกสา นขา ทนั ตา อยู่ในมหาภูตรูปท้งั 4 ธาตุดิน น้า ลม ไฟ ย่อมพิจำรณำเห็นกำยนี้แล แต่ ท้งั หมด4 ธาตดุ ิน น้า พื้นเท้ำขึ้นไป แต่ปลำยเท้ำลงมำ เห็นหนังหุ้มรอบ ๆ เต็มๆไปด้วยของไม่สะอาด มี ลม ไฟ ยอ่ มพิจารณา ประการต่างๆ มีอยใู่ นกายน้ี มีขน ผม เลบ็ ฟัน หนงั ไต หัวใจ ตบั อาหารใหม่ ไดแ้ ก่กาย เห็นกาย โดยสมมติ เป็นกายโดยสมมติ ดี เสอด น้าเหลือง น้าเลือด น้าเหงื่อ น้ามีเหลว น้าไขขอ้ น้า มูด เป็ นสมถะกรรมฐำน เป็นธาตุท้งั 4 ดิน น้า ลม ไฟ ผสมกนั เปรียบเหมือน นายไถ้ มี เจริญสมถะตอ้ งอยู่ ปาก สองขา้ ง เต็มไปด้วยอตั ะชาติ ต่าง ๆ อย่างไรบ้าง เป็ นข้ันสมถะในร่ำงกำย ไม่ใช่ หนา้ วปิ ัสสนาตอ้ งอยู่ อำรมณ์วิปัสสนำ อนั ไหนใช่ อนั ไหนไม่ใช่ ถ้าเราไม่ปฏิบตั ิโซกโซน ก็อ่านไม่ออก 188 หลงั เจริญสมถะต้องอย่หู น้ำ วิปัสสนำต้องอย่หู ลัง กถ็ ูกแลว้ เม่ือเรารู้คราวๆ ของการปฏิบตั ิวา่ วา่ ขา้ วสาลี ถว่ั เขียว ถว่ั เหลือง มีงา มีขา้ วสาร ฉนั ใด 189พิจารณาเห็นกายน้ี แล แตเ่ พียงสัก พจิ ารณาเห็นกาย ต้งั แต่พ้นื เทา้ ข้นึ ไป แตป่ ลายเทา้ ลงมา มี หนงั หุม้ อยรู่ อบ เตม็ ไปดว้ ยของไม่สะอาด เป็ นอารมณ์สมถะ ท้งั หมด ไมใ่ ช่อารมณ์ วิปัสสนากรรมฐาน ใชป้ ัจจบุ นั สมถะอยู่ หนา้ วปิ ัสสนา ดฐู าน จิต ต้งั มโนสัมผสั จิต สัมปชาโน ความรู้สึก จิตในจิต จึงสบายมาก

374 พจิ ารณาเป็นธาตุดิน ว่า ต้งั แต่พ้ืนเทา้ ข้ึนไป แต่ปลายเทา้ ลงมา มีหนงั หุ้มอยู่รอบ เต็มไปดว้ ยของไม่สะอาด น้า ลม ไฟ เป็นกาย เป็ นอำรมณ์สมถะท้ังหมด ไม่ใช่อำรมณ์วิปัสสนำกรรมฐำน ผม เลบ็ ไส้ กระดูก ดีสะเลด นอก น้ามูก ไม่ใช่ มาใช่เอา อิติอตั ชะตงั ว่า เป็ นพิจารณาเห็นกายในกายเป็ นไปในภายในบา้ ง ป่ าชา้ 9 เป็นอสุภ เป็นพิจารณา เห็นกายกายนอกเป็นสมถะ พิจารณาเห็นกายในกายท้งั ภายในและภายนอก กรรมฐาน ตายแลว้ ใน 190ใชป้ ัจจุบนั สมถะอยู่หน้า วิปัสสนา ดูฐานจิต วิตก วิจาร เร่ืองเรำวต่ำงๆ ต้ังมโนสัมผัส วนั หน่ึง ผิดปกติไป แลว้ เป็นอารมณ์ จิต จิต ทุกขณะ เร่ืองอารมณ์ขาดหมด ทนไม่ได้ มาต้งั อยู่ในจิต ไม่ว่า อะไรท้งั หมดจะ สมถะ นอ้ มสู่ ต้งั อยู่ไม่ได้ วิตกมาก 191หลกั ใหญ่ สัมปชำโน ควำมรู้สึกจิตในจิต จึงสบายมาก มีความ วปิ ัสสนาได้ อสุภ วนุ่ วาย สงั ขารปรุงแต่ง มีมากมายในตวั ของเรา 192ธาตบุ รรพ พจิ ารณาเป็นธาตุไฟ มหาภูต กรรมฐาน ทาให้สลด รูป ธาตุดิน น้า ลม ไฟ มีขนเล็บ ฟัน หนงั ตบั ไต แยก ไว้ เป็ นกายนอก ดี เสลด หนอง คลายกาหนดั แต่ยงั เป็ นกายนอก ท้งั หลาย ไฟอย่างกาย เผาอาหารให้ย่อย น้ามูก น้าปัสสะวะ ลมในในทอ้ ง ไมห่ ลดุ พน้ ในหายใจ จดั เป็ นมหาภูตรูปท้งั 4 เป็ นกายนอก193ในป่ ำช้ำ 9 ล้วนแต่เป็ นอสุภกรรมฐำน เป็นอารมณ์วปิ ัสสนา ท้งั สมยั พุทธกาล ลองคิดดูซากศพ เราไปอินเดียแม่น้าคงคง ตลอดไปท้งั น้าไป ตามท่ีเขา กรรมฐาน พจิ ารณา เผา เราไปดู เผากนั อยู่น้ัน หัวโผล่ เผากนั อย่างเปิ ดเผย อย่างกบั ย่างเน้ือย่างปลา คนมาก เห็นกายในกาย พระเราไปเห็นอย่างน้ี เห็นซากศพท่ีทิ้งไว้ ในป่ ำช้ำ ตำยแล้วในวันหน่ึง ผิดปกติไปแล้ว เป็นไปในภายใน ตวั เป็ นอำรมณ์ สมถะเรำน้อมสู่ วิปัสสนำได้ เราไปบงั สุกุล เราเป็นพระมีกาไรมาก เห็นคน เรา ศพนอกกาย กาย ตายบ่อยๆ เห็นดี ไปเดินธุดงค์ เด็กวยั รุ่น คลอดบุตรตาย หนอนมนั ออก รูจมูก ยงั เห็น เน้ือ กายธาตุ กายนอก หน้าขาวเขียว ได้องค์กรรมฐาน หนอนทาให้น่าดู ออกทางจมูก ออกทางหู กินทางตา กายผอู้ น่ื เหม็นไม่มาก ประทบั ใจจริง ทาให้เรามีความเพียร เน้ือหนงั เป็ นเหยือรังหนอน เห็นคน การพิจารณาเห็นกาย ตายไดว้ นั หน่ึง ตายแลว้ ในเสียมนั ออก หนอนมนั ออก ทางไหนได้ มนั ออกแลว้ ตายวนั ในกาย ในกายเน้ือ มี หน่ึง หนอนมีแลว้ ตำยแล้วได้สองวัน อสุภกรรมฐำน ทำให้สลดคลำยกำหนัด แต่ยงั ไม่ รูป เวทนา สัญญา หลดุ พน้ ตายแลว้ ได้ สามวนั รถชน เขา้ ใกลไ้ ม่ได้ ตายท้งั ครอบครัวเน้ือ ช้ามีแต่เน่า ไปฉีด สังขาร วญิ ญาณ กาย ฟอมาริน ไปติด เห็นศพที่ไหน มี่ติดท่ีจีวะ ติด ศพความเหม็นติดจีวร อนั ข้ึน พองข้ึนมีสี นอกเปื่ อย พพุ อง เขียว น่าเกลียด มีน้าเหลืองไหน น่าเกลียด ออกตำมทวำรท้ัง 9 เราเห็นคนตายอยูอ่ ย่างน้ี อสุภกรรมฐาน เป็นประจา เรำมีอำยมุ ำกขนึ้ เรำเห็นคนตำย ทีร่ ู้จกั คนตำย มองดแู ล้ว นับเป็ นหมื่นๆ แสน ตำย ป่ ูย่ำ ตำยำย ตำยไป เธอน้อม ศพมำสู่กำยนี้ ถึงร่ำงกำยอนั นี้ เอวงั คงเป็นอยา่ งน้ี 194ไม่ การเห็นศพคนตาย ทา ล่วงพน้ ความเป็ นอย่างน้ีไปได้ เป็ นอารมณ์วิปัสสนากรรมฐาน เธอพิจารณาเห็นกายใน ใจสลด นอ้ มสู่สภาวะ กาย เป็นไปในภายใน ตวั เรา ศพนอกกำย กำยเนื้อ กำยธำตุ กำยนอก กำยผู้อื่น กายในเป็น เห็นชดั เจน เห็นจิตใน กายเรา เคล่ือนคลาดกนั เยอะ น่าสัมมนาวิจยั กนั อีกที สัก 3 เดือน ตอ้ งสัมมนากนั วิจยั กนั จิต เห็นกายในกาย ให้แน่นอน เอาความเห็น เอาส่วนมาก 195การพิจารณาเห็นกายในกาย ในกายเน้ือ มีรูป จบั สภาวะชดั เจนแจง้ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ กายนอกเปื่ อย พพุ อง อสุภกรรมฐาน เป็นกายนอกกาย อีก ดว้ ยปัญญา ที พิจารณาเห็นกายในกาย เห็นตวั เราเนืองๆ อยู่ ในป่ ำช้ำ 9 ท่ำนวำงไว้ให้เรำสลดลดใจ พจิ ารณาเห็นกายใน คลำยกำหนด มาดูความเกิดดบั ตวั ในของเรา สมยั ก่อน ปลงศพ ลอ้ มโลง เหม็น เห็นมือ กายเนืองๆ อยู่ พอง เขา้ ไปดู ฉันทข์ า้ วไม่ได้ สมยั ก่อนมีผีหลอกพระ สมยั ปัจจุบนั ไม่มี 196ใหพ้ ิจารณาอยู่ เหมือนกนั ทกุ ว่า ป่ าชา้ ผีดิบ กาจิก กิน เป็นป่ าชา้ ผีดิบ กำรเห็นศพคนตำย ทำใจให้สลดเหมือนกัน ทำใจ อริ ิยาบถ

375 ผล ให้สลด น้อมมำสู่สภำวะ เห็นชัดเจน เห็นจิตในจิต เห็นกำยในกำย จับสภำวะอนั น้ัน ชดั เจน แจ่มแจง้ ดว้ ยปัญญา 197ดูพจิ ารณาเห็นกายในกายเนืองๆ อยเู่ หมือนกนั ทกุ อิริยาบถ มีธรรมเป็นที่พ่งึ อยา่ เหมือน ใส่โลง 10 เดือนยงั มีเส้นเอ็น อำรมณ์สมถะ เป็ นกระดูกท่อนนอ้ ยใหญ่ พิจำรณำ มีวตั ถสุ ่ิงของเป็นที่พ่ึง เหน็ กำยในกำย พระเรำต้องใช้บังสะกุล ตลอดเวลำ มีเน้ือมีเลือดติดอยบู่ า้ ง ยงั มีเสน้ เอน็ รัด แน่ใจตวั เองเขา้ ถึง ตรึงอยู่ ตอ้ งนอ้ ม ศพเขา้ มาสู่ตวั เราบา้ ง เรานน้ ไปหมด พจิ ารณาศพ เป็นมหาสติปัฏฐาน 4 198ธรรมอาศยั วินยั วนิ ยั ก็อาศยั ธรรม ธรรมะตอ้ งกากบั วนิ ิย มีธรรมเป็นท่ีเกาะ มี ธรรมเป็นที่พ่งึ อยา่ มีวตั ถสุ ิ่งของเป็นท่ีพ่งึ 199ปฏิบตั ิในหอ้ งกรรมฐาน 3 ปี กวา่ จึงได้ สอน ผมแน่ใจตวั เอง ผมไมส่ อน เขา้ ถึงไม่เขา้ ถึง ดูอปุ นิสัย ดูหนา้ คนไดธ้ รรมะ หรือ ไม่ได้ ถา้ ไม่ไดต้ อ้ งสร้างบารมี คนน้ีไดธ้ รรมะ พอดูกนั ออก ตารางท่ี 4.7.6 การสกดั หลกั คาสอนจากธรรมบรรยายเร่ือง “อธิบำยมหำสตปิ ัฏฐำนสี่ ตอน 04” แนวทางปฏิบตั ิพระครูภาวนานุศาสก์ (แป้น ธมฺมธโร) จาแนกตาม แนวคดิ หลกั การ วิธีการ และผล [รหสั Y6] สกดั หลกั ประเด็นคำสอน แนวคดิ 200เจริญวิปัสสนำกรรมฐำน ฟังไดแ้ ลว้ เอาไปฝึ ก เอาให้ตรงกนั การฟังกบั การฝึ ก วิปัสสนากรรมฐาน ฟัง ท้ังอรรถะและพยญั ชนะสมบูรณ์กัน การอ้างคมั ภีร์ไม่เคล่ือนคลาด 201มุมสงบ ไดแ้ ลว้ เอาไปฝึก เอาให้ เพราะเจริญวิปัสสนากรรมฐาน หวงั ความสงบไม่สงบพบความทุกข์ก่อน พบ ตรงกนั การฟังกบั การฝึก ความสงบหลงั พบแตค่ วามสุขแลว้ ติดอยคู่ วามสุข ความเจริญจิตใจไม่ไดไ้ ม่ไดเ้ อา ท้งั อรรถะและพยญั ชนะ กิเลสออก ความสลดเป็ นช้นั สมถะกรรมฐาน แต่ตัววิปัสสนำกรรมฐำนเป็ นตัว สมบูรณ์กนั เห็นทุกข์ 202อาตมาไดบ้ รรยาย หลกั สูตรมหาสติปัฏฐาน เกิดจากการปฏิบตั ิทา ความเขา้ ใจ ไดผ้ ลปฏิบตั ิความสุข ไม่ในตำรำ ไม่นอกตำรำ ไม่เหนือตำรำ ไม่ทิง้ ความสลดเป็นช้นั สมถะ ตำรำ อ้ำงตำรำที่มี อ้ำงตำรำท่ีมี อ้ำงคัมภีร์ท่ีกล่ำวไว้ 203มหาสติปัฏฐานสูตร ไม่มี กรรมฐาน แต่ตวั วปิ ัสสนากรรมฐานเป็น บริกรรมภำวนำ บอกดว้ ยบริกรรมภาวนา ต่อไปไม่ตอ้ งบริกรรม พอจำได้ไม่ต้อง ตวั เห็นทุกข์ ออกเสียง สัญญำภำวนำ ขอใหน้ กั ปฏิบตั ิธรรม สถานท่ีอบรมนิสัย โลกวุน่ วายอยู่ ที่ตา หู จมูก สิ้น กาย ใจ พระพุทธเจา้ เมื่อไดฟ้ ังเพ่ือกาหนดคลายความกาหนัดได้ ปฏิบตั ิเขา้ ใจ ไดผ้ ล 204การสอนพูดกนั ให้เขา้ แนะนา ผูฟ้ ังรู้ในสิ่งไม่รู้ให้เกิดความรู้ข้ึน ส่ิงท่ีไม่เขา้ ใจ ปฏิบตั ิความสุข ไมใ่ น เกิดความเขา้ ใจข้ึน การฝึ กตอ้ งอาศยั จากการฟัง การเดินทางตามถนนสายน้ี สาย ตารา ไม่นอกตารา ไม่ โนน้ มีเครื่องหมาย บอกทางโคง้ สะพาน เคร่ืองหมายการเดินทาง ทางแยก เรา เหนือตารา ไมท่ ิ้งตารา เดินทางประสู่มรรคผลนิพพาน ทางคด โคง้ วิปัสสนู กล้นั ไม่สามารถเดินทางไป อา้ งตาราท่ีมี อา้ งตาราท่ีมี ดว้ ย ใหน้ กั ปฏิบตั ิ เกิดความรู้ความเขา้ ใจ อา้ งคมั ภรี ์ท่ีกลา่ วไว้ การฝึกตอ้ งอาศยั จากการ ฟัง ผูฟ้ ังรู้ในส่ิงไม่รู้ให้ เกิดความรู้ข้ึน ส่ิงท่ีไม่ เขา้ ใจเกิดความเขา้ ใจข้นึ หลกั กำร 205การเจริญวิปัสสนาพบของจริง เขา้ ไปสงบระงบั กองสังขำร รูป เวทนำ สังขำร เราหยงั่ รู้ให้เขา้ ไปสงบในกองสังขาร กองสังขารสงบ กองวิญญาณสงบ นิยมกนั

376 วปิ ัสสนาพบของจริง ไป เร่ืองปลงกรรมฐาน 206พิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่ อำตำปี สัมปชำโน สติ สงบระงบั กองสังขาร รูป มำ เป็ นจุดอำรมณ์วิปัสสนำกรรมฐำน วา่ การปฏิบตั ิการไม่เคล่ือนคลาด ถา้ เจริญ เวทนา สังขาร หยงั่ รู้ใหเ้ ขา้ ข้นั สงบ สงั ขารท้งั หลายไมเ่ ท่ียงหนอ เพยี งสลดลดใจเอำกเิ ลสออกไม่ได้ 207ความ ไปสงบในกองสังขาร จาเป็ นสอนให้ลึกซ้ึงเห็นตวั สังขาร เม่ือตายแลว้ เกิดสังขารข้ึนมาอีก สังขาร เป็ น พจิ ารณาเห็นกายในกาย ปัจจยั วิญญาณ นำมรูปเป็ นปัจจัย เวทนำก่อตัวตัณหำ อุปทำน ภพชำติ ตัดควำม เนือง ๆ อยู่ อาตาปี สัมปชา วน ควำมหมนุ เวยี น 207ติดประเพณีงอมแง่ม ติดตาราพาไม่พน้ ไมท่ ิ้งตารา ไม่นอก โน สติมา เป็นจดุ อารมณ์ ตารา มีเหตมุ ีผล 208ทางเดียวคือ ปัจจบุ นั อำรมณ์ กำยในกำย เวทนำในเวทนำ จิตใน วิปัสสนากรรมฐาน จิต ธรรมในธรรม ต้องเตือนตัวท่ำนเอง จะไปสงสัยเร่ืองอื่น เขาทาไดเ้ ราตอ้ งทา ใหล้ ึกซ้ึงเห็นตวั สงั ขารเป็น ได้ อย่าทอ้ ถอย พยายามฟัง พยายามฝึ ก จะเสียเวลา ตอ้ งเตือนตวั เอง จงเตือนตน ปัจจยั วิญญาณ นามรูปเป็น ของตนเองใหพ้ น้ ผิด 209ญำณปัญญำจะเกดิ ต้องมฐี ำนรองรับ ตอ้ งมีฐานรองรับ จิต ปัจจยั เวทนาก่อตวั ตณั หา ตกฐานตก คนที่เป็นบา้ เสียสติ ไม่ยดึ ฐาน ปล่อยลอยไปตามอารมณ์ไม่ได้ ตอ้ งไม่ อปุ ทาน ภพชาติ ทิ้งฐาน สัมปชาโน เกิดตามฐาน ทิ้งฐานญาณตก อย่ำทงิ้ ฐำนไม่ได้สตปิ ัฏฐำน 4 ติดตาราพาไม่พน้ ไมท่ ง้ิ ตารา ไม่นอกตารา มเี หตมุ ี 210ป่ ำช้ำ 9 กระดูกเป็ นท่อนน้อยใหญ่ กล่าวถึง กำรปลงสังขำร สังขำรภำยใน ไม่ใช่ ผล สังขารภายนอก กายสังขารปรุงแต่งทางกาย ขนั ธ์ 5 วจีสังขารทางวาจา 210ปรุงแต่งทำง ทางเดียวคอื ปัจจบุ นั ใจ เรียกว่ำ จิตสังขำร ปรุงแตง่ ภายในตวั เรา ปรุงแต่งทางกาย ปรุงแตง่ ทางวาจา พดู พร่า อารมณ์ กายในกาย เวทนา ไป จติ สังขำร ดนิ้ รนปรุงแต่ง ไม่มีควำมสุข 211สงั ขารไม่ปรุงแตง่ หยงั่ รู้กายในกาย หยง่ั ในเวทนา จิตในจิต ธรรม รู้ผสั สะ เวทนา 6 กายสังขารดบั วจีสังขาร จิตสังขารดบั ความเดือดไม่มี ความด้ือดา้ น ในธรรมทา่ นตอ้ งเตือนตวั ดน้ ไมม่ ี เป็นหลกั อนตั ตา ทา่ นนกั ปฏิบตั ิ ฟังเหตผุ ล ฟังธรรมะของพระพุทธเจา้ เป็นดวง ท่านเอง ประทีป อริยมรรค สอดส่องลงไป ซ่ึงกำยในกำย เวทนำในเวทนำ จิตในจิต ธรรมใน ญาณปัญญาจะเกิด ตอ้ งมี ธรรม ภายในรูปเวทนาสญั ญา สงั ขารวิญญาณ ภายนอก สมมติกนั ข้ึน ภายนอกกระดูก ฐานรองรบั เป็นผง 212 “อนิจจา วต สังขารา อปุ ปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วปู สโม สุโข” สังขำรท้ังหลำยไม่เท่ียงหนอ มีเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็ นธรรมดำ เป็ นปลง วิธกี ำร กรรมฐาน พระไปปลงกนั ปลงสังขารได้เช่ือมสัมพนั ธ์สำคัญวิปัสสนำ ซำกศพ ป่ ำช้ำ 9 เห็นศพจิตมีสลดเงียบ คลำยควำมกำหนัดแต่กิเลสไม่หมดแต่เจริญวิปัสสนำเข้ำตัว ป่ าชา้ 9 ปลงสงั ขาร ภายใน ภำยในเป็ นตัวทุกข์ 213สังขารไม่เท่ียง สังขำรตัวปัจจัยให้เกิดกำรปรุงแต่งภำยใน สังขาร ไม่ใช่สงั ขารภายนอก เน่าเป่ื อย เจริญวิปัสสนาไปพบของจริง เขา้ ไปสงบระงบั กองสังขาร รูป เวทนา สังขาร ปรุงแตง่ ทางใจ เรียกวา่ จิต หยงั่ รู้ให้เขา้ ไปสงบในกองสังขาร กองรู้สงบ กองสังขารสงบ กองวิญญาณสงบ นิยม สังขารปรุงแตง่ ทางกาย กนั ปลงกรรมฐาน ไปบงั สุกุล 214สงั ขารปรุงแต่ง วจีสังขาร ไม่รู้ปรุงแตง่ เกิดเป็นอวิชชา ปรุงแตง่ ทางวาจา ราคะ โทสะ โมหะ เป็นอารมณ์ 6 หยงั่ รู้เห็นกะโหลกศรีษะ ท่อนนอ้ ยใหญ่ สังขารไม่ สงั ขารไมป่ รุงแตง่ หยงั่ รู้ กายในกาย หยง่ั รู้ผสั สะ เวทนา 6 กายสังขารดบั สังขารท้งั หลายไม่เทย่ี ง หนอ มีเกิดข้ึนและเสื่อมไป เป็นธรรมดาซากศพ ป่ าชา้ 9 เห็นศพจิตมีสลดเงียบ คลายความกาหนดั แต่กิเลส ไมห่ มดแต่เจริญวิปัสสนา เขา้ ตวั ภายในเป็นตวั ทุกข์ สงั ขารตวั ปัจจยั ให้เกิดการ ปรุงแต่งภายใน สังขารปรุงแตง่ เกิดเป็น อวชิ ชา ราคะ โทสะ โมหะ เป็นอารมณ์ 6 ป่ าชา้ 9 เห็นซากศพท่ีท้งิ ไว้ ในป่ าชา้ พจิ ารณา นอ้ มเขา้

377 มาสู่ร่างกายอนั น้ี เรา เท่ียงหนอ สังขารตวั ปัจจยั ใหเ้ กิดการปรุงแต่งภายใน สังขารเน่าเป่ื อย 215ป่ าชา้ 9 เห็น เหมอื นกนั ซากศพท่ีทิ้งไวใ้ นป่ าชา้ เป็นท่อนกระดูก ผุละเอียดแลว้ กระดูผุแลว้ ก็รู้ว่า กระดูกศพ ป่ ู เห็นคนตาย นอ้ มเขา้ มาสู่ ยาตายาย ให้พิจารณาเหมือนกนั น้อมเขา้ มาสู่กายน้ี ถึงร่างกายอนั น้ี เราเหมือนกนั มี กาย ถงึ ร่างกายอนั น้ี ขนั ธ์ 5 เป็นเหมือนกนั การน้อมศพเข้ำมำสู่ตัวเรำ กำยนอกกำยเข้ำมำสู่กำยนอกของเรำ อาตาปี สัมปชาโน เป็น ในป่ าชา้ ท่ี 1 เป็นสมถกรรมฐาน 216ตอนไหนเป็นสมถกรรมฐาน ตอนไหนเป็นวิปัสสนา วิปัสสนากรรมฐาน เป็น เพื่อเกิดความเขา้ ใจจากการไดย้ ินไดฟ้ ัง เห็นคนตำยไดว้ นั หน่ึง ตายสองวนั ตายแลว้ ได้ ปรมตั ถธ์ รรม เมื่อจบั สามวนั อนั พองข้ึนมีสีเขียว น่าเกลียด มีน้าเหลืองไหลน่าเกลียด น้อมเข้ำมำสู่กำย ถึง ความรู้สึกได้ เป็นการ ร่ำงกำยอนั นี้ เมื่อตำยแล้วเรำเห็นศพ เป็ นข้ันสมถะ ใหน้ อ้ มเขา้ มาทกุ ๆ ป่ าชา้ แร้งจิกกิน พจิ ารณาภายใน สุนขั ป่ าใหน้ อ้ มขา้ มา เป็นสมถกรรมฐาน 217“กาเยกายานุปัสสี วิระระติ” ให้พิจำรณำ บริกรรมภาวนาโดยสมมติ ไปตดิ สมมติ วิปัสสนา คาวา่ พิจารณาหากไม่เขา้ ใจ การพจิ ารณาโดยสมมติ เป็นสมติเป็นสมถกรรมฐาน อาตา กรรมฐานไม่เกิด จง ปี สัมปชาโน เป็ นวิปัสสนากรรมฐาน เป็ นปรมตั ถธ์ รรม เม่ือจบั ความรู้สึกได้ เป็ นการ พิจารณาให้เห็นกายในกาย พิจารณาภายใน หากพิจารณาภายนอก อนิจจา ต้ังแต่ผม เล็บ ฟัน หนัง ยงั ได้รับ เนืองๆ อยู่ เป็นอารมณ์ กรรมฐาน 218บริกรรมภำวนำโดยสมมติ ไปติดสมมติ วิปัสสนำกรรมฐำนไม่เกิด วิปัสสนากรรมฐาน กรรมฐานท้งั 5 เป็ นสมถกรรมฐาน เป็ นการให้เนินช้า จงพิจำรณำให้เห็นกำยในกำย ป่ าชา้ 9 สมถะเดินหนา้ เนืองๆ อยู่ เป็นอารมณ์วปิ ัสสนากรรมฐาน ในฐานกายในกายน้ี เป็นหลกั สูตรใหญ่ 219ป่ ำ วปิ ัสสนาตามหลงั ช้ำ 9 สมถะเดนิ หน้ำวิปัสสนำตำมหลัง ฟังแลว้ จดจาคาสอนวา่ เรามีเน้ือหนงั น้ากระดูก มโนสัมผสั เป็นฐานจิตใน เหยอ่ื กระดูก ฟังเกิดความเขา้ ใจ ปฏิบตั ิเขา้ ใจแลว้ ตรงความรู้สึกกลา่ วมาใน นวสีบรรพ ใจ ธรรมารมณก์ ายนอก จบป่ ำช้ำ 9 จงพิจารณาใหเ้ ห็นกายเนืองๆ อยู่ เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิตเนืองๆ เป็นธรรมนอก กายในเป็น อยู่ เห็นธรรมในธรรมเนืองๆ อยู่ 220มโนสัมผัส เป็ นฐำนจิตในใจ ธรรมำรมณ์ กายนอก ธรรมใน จริงโดยสมมติ เป็นธรรมนอก กายในเป็นธรรมใน จริงโดยสมมติ 221ผปู้ ฏิบตั ิรู้ธรรมสองประการ กำย นอกเป็ นกำยสมมติ ภำยในเป็ นปรมตั ิธรรม กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรม กายนอกเป็ นกายสมมติ ในธรรม บรรลุอริยมรรถ ธรรมในธรรม ทุกฐานกล่าวไว้ ยึดหลักของกำรปฏิบัติได้ ภายในเป็นปรมตั ิธรรม หากเราไม่ปฏิบตั ิฟังเขา้ ใจยาก ไดย้ ินแลว้ นาแนวทางพระไตรปิ ฎกเดียวกนั 222บญั ญตั ิ ฐานเวทนาในเวทนา ฐานเวทนาในเวทนา อุปทำนขันธ์ในขันธ์ 5 ย่อมพิจำรณำเห็นเวทนำเสวยอำรมณ์ อปุ ทานขนั ธใ์ นขนั ธ์ 5 ยอ่ ม พจิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนา ความเสวยอารมณ์ 6 เหน็ เวทนำในเวทนำเนือง ๆ อยู่ เป็ น พจิ ารณาเวทนาเสวย ข้อตัวในสำคัญมำก เพราะไม่เห็น สุข ทุกข์ โทมนสั อุเบกขำ เป็ นเวทนำ รูปสัมผสั ตา อารมณ์ เห็นเวทนาใน เป็นรูปารมณ์ เสวยอารมณ์ 223เสวยอารมณ์เวทนาในเวทนา เสวยอารมณ์ จิตในจิต เสวย เวทนาเนือง ๆ จิตในจิต เป็นอารมณ์ธรรมารมณ์ ตามฐาน ตามท่ีดูกนั ผปู้ ฏิบตั ิลองเอามือลูบ เวลายืน เสวยอารมณเ์ วทนาใน ผสั สะกบั พ้ืน ดูความรู้สึก 224ดูเวทนำในเวทนำ ผัสสะทำงกำย ตำ จมูก ลิ้น ทำงกำย เวทนา เสวยจิตในจิต เป็น ผสั สะทว่ั ไป ๆ เป็นฐานเวทนา มโนสัมผสั สะชาเวทนาในเวทนา 225ต้องรู้ควบคู่กันไป อารมณธ์ รรมารมณ์ ตาม ปริยตั ปิ ระคองรองรับกำรปฏบิ ัติ ปริยตั ิไม่รับประคองรองรับอำจผดิ ทำงไปเลย 226คาวา่ ฐาน “เวทนา เสวยอารมณ์” มีรูปเวทนาเสวย โทมนัส สัญญาความจาในอารมณ์แยกกัน ออกไป สัญญำตัวสำคัญอยู่ในกองจิต รูปปรากฏ เสวยอารมณ์ท้งั 6 เสวยอำรมณ์แล้ว ดูเวทนาในเวทนา ผสั สะ ทางกาย ตา จมูก ลิ้น กาย ผสั สะทว่ั ไป ๆ เป็นฐาน เวทนา ตอ้ งรู้ควบค่กู นั ไป ปริยตั ิ ประคองรองรบั การปฏบิ ตั ิ “เวทนา เสวยอารมณ์” เขา้ ไปอาศยั ในอารมณ์ ให้ไป กาหนดเห็นเวทนาใน เวทนาอกี ที เวทนาคอื รูป รูปเป็นปรมตั ถ์ ความรู้สึก ชว่ั ขณะหน่ึง เห็นเวทนาใน เวทนา

378 รูปดบั เวทนาเสวยรูปดบั สัญญำจำ เสียงเป็นเรา เราเขา้ อาศยั ผสั สะเป็นเรา เราเขา้ อาศยั ในผสั สะ เราเขา้ ไปอาศยั สญั ญาความจาในรูปดบั ในอารมณ์ ให้ไปกำหนดเห็นเวทนำในเวทนำอีกที เวทนาคือรูป รูปเป็ นปรมัตถ์ สงั ขารปรุงแตง่ ดบั ไป ควำมรู้สึกชั่วขณะหนึ่ง เห็นเวทนำในเวทนำน้นั 227รูปดบั เวทนาเสวยกบั รูปดบั สัญญำ วิญญาดบั ไป ควำมจำในรูปดับไปดว้ ย สังขำรปรุงแต่งดบั ไปดว้ ย วิญญำดับไปดว้ ย ตวั ดบั ไม่เดือด ถา้ ไม่ดบั กเ็ ดือด ความด้ือ ความดา้ น ความดน้ ไม่เป็นตวั กู ส่ิงเหล่าน้ีดบั เป็นอนตั ตา 228เม่ือ เสวยสุขทุกข์ ตอ้ งเห็น เสวยสุขทกุ ข์ ต้องให้เห็นเวทนำในเวทนำให้รู้ชัด ในรู้ปัจจุบนั วา่ อยใู่ นทวารไหน โดยมา เวทนาในเวทนาใหร้ ู้ชดั รู้ ใช้กำยทวำร ทวารทางกาย ผัสสะทำงกำย ฐำนเวทนำดูเร่ือยๆ กายของเรา ผสั สะ ใน ปัจจุบนั ว่าอยใู่ นทวารไหน เวทนา มียบุ ๆๆๆ ขณะหน่ึง ๆ มีความสงั เกตไว้ เราจะรู้ชดั เห็นเวทนาในเวทนา ปรมตั ถ ผสั สะ ในเวทนา ธรรมไม่มีตวั ตน เห็นใบไมท้ ่ีไหว เราเห็นท่ีความรู้สึก ความรู้สึกนน่ั แหละ ความรู้สึกก็ จะหายไป 229สุขเวทนา ทุกขเวทนา โสมนสั โทมนสั ตอ้ งเห็นภำยในเวทนำ มีรูปชนิด การเห็นอริยสจั เห็นตาม หน่ึง เสวยอารมณ์หน่ึง มโนสัมผสั เวทนำ เจบ็ ปวด ขนลกุ ขนพอง ปวดสรรพคก์ าย ไม่ สัมผสั ท้งั 6 คอื เห็นทุกข์ เป็นไร เราเดินทางทุกข์ กิเลสตาย กิเลสคลายตวั ขยาย กำรเห็นอริยสัจ เห็นตำมสัมผัส เป็นทต่ี ้งั ตณั หาอปุ ทาน ภพ ท้ัง 6 คือ เห็นทุกข์ เอาทุกข์อนั น้ีละสมุทยั เป็ นที่ต้งั ตณั หาอุปทาน ภพชาติ การเจริญ ชาติ วิปัสสนากรรมฐาน เป็นเร่ืองสาคญั 230 ฐานเวทนาหากสงเคราะห์กนั แลว้ ตดั สังสารวฏั ผัสสะเป็ นเวทนำท้ัง 6 ทวำร ตอ้ งเกิดจากผสั สะ เป็นเวทนาสุขทุกข์ ทางโลกมา ตัณหำ ฐานเวทนา ตดั สงั สารวฏั เกิด ผัสสะ เกิดตัณหำ เกิดความรัก ภวตณั หา ควำมอยำกได้จำกผัสสะ ความอยากได้ ผสั สะเป็นเวทนาท้งั 6 ข้ึนมา รูปของที่เป็นภวตณั หา อยากได้ อยากไดท้ ุกๆ อย่างเกิดเป็นตณั หา อยากไดเ้ สียง ทวาร ตณั หาเกิดผสั สะ ไดก้ ล่ิน ไดร้ ส อยากไดค้ วามสมั ผสั ความอยากไดว้ ตั ถุ กามตณั หาเกิดมาได้ วภิ าวตณั หา ความอยากไดจ้ ากผสั สะ ความไม่อยากทางาน ไม่อยากทาไม่อยากต่ืน ไม่อยากเป็ น ไม่อยากทา เป็ นตณั หา ไม่ อยากไป เป็ นตณั หา มีความกาหนัดรักเป็ นกามตณั หา 231กามตณั หา ตณั หาท้งั 3 ทา กาหนดให้ตณั หาสลายตวั อยา่ งไรกำหนดให้ตัณหำสลำยตัวไป วิชชาเป็นปัจจยั สังขาร วิญญำณออก 6 ทวำร นำม ไป ผสั สะ 6 เกิดทวารท้งั 6 รูป เกิดผัสสะท้ัง 6 เกิดทวำรท้ัง 6 กำมตัณหำ ภาวตณั หา อุปทาน ยึดตวั สัญญา อุปทาน กามตณั หา ภาวตณั หา รูปเป็นเรา เขา้ อาศยั ในรูป เสียงเป็นเราเราเขา้ อาศยั ในกลิ่น กลิ่นเป็นเรา รสเป็นเรา เรา อุปทาน ยดึ ตวั สญั ญา เขา้ อาศยั ในรส ทานสุราเป็นเรา ของหวานเป็นเรา เราจึงตอ้ งทานของหวาน บุหรี่อยาก อปุ ทาน ตดั กามตณั หา สูบบุหรี่เป็นเราในใจแลว้ เราชอบควนั เราชอบอะไรตา่ งๆ พอเรานึกอยากตวั เรา เราเขา้ ภวตณั หา วิภาวตณั หา อาศยั รสบุหร่ี บุหร่ีเป็ นเรา เราหวงั ความเจริญต้องขยาย เรามีปัญญา ตัดกำมตัณหำ ภวตัณหำ วิภำวตัณหำ ลิ้นกบั รส เป็นภวตณั หา อย่างไร อยากในรส เปรียวหวาน มนั สงั ขารท้งั หลายไม่เที่ยง เค็ม เฮโรอิน ฝิ่ น กัญชา ความอยากในรสอาหารน้ัน เวทนาเสวยอารมณ์อยู่ท่ีลิ้น หนอ ให้ระงบั สังขารเอา กาหนดหยง่ั รู้ที่ชิวหา เห็นเวทนา และในเวทนาน้ันอีกทีหน่ึง รูปดับเวทนำดับ ตัณหำ สตปิ ัฏฐาน 4 รองรับไว้ ใน ดับ อุปทำนดับ ต้องกำหนดตำมฐำนในเวทนำในเวทนำที่วำงไว้ 232ฐานเวทนาวาง ฐานเวทนาในเวทนา เวทนาไว้ อนิจจา สังขำรท้งั หลำยไม่เท่ียงหนอ ให้ระงบั ตัวสังขำรจริงอยู่ เอำสตปิ ัฏฐำน สงั ขารดบั รูปดบั 4 รองรับไว้ ในฐำนเวทนำในเวทนำ สังขำรดบั รูปดับ ดบั ไม่เดือด ตณั หาท้งั 3 ภวตณั หา ร้ายแรงไม่ใช่กามอย่างเดียว โลภอยากไดล้ าภของผูอ้ ื่น ไม่อยากได้ ข้ีเกียจทางาน ไม่ เอาปัญญาเขา้ ไปอบรมจิต อยากพูดกบั คนน้ีเป็ นวิภาวตณั หา ทาไมตอ้ งตดั ตณั หาอย่างไร ต้องให้เห็นเวทนำใน เห็นขนั ธ์ในขนั ธ์ เห็นกาย ในกายทข่ี นั ธ์ ชดั ในปัจจุบนั ตามฐาน เสวยอารมณใ์ นเวทนา มอี า มีส ไมม่ อี ามีส เสวย อารมณ์อยู่ ฐานธรรมในธรรม เรียกว่า ผสั สะ ทางมโน ทางเวทนา ตอ้ งผสั สะ ผสั สะเป็น ตณั หาเรื่อย กาหนดหยง่ั รู้ตาม ความรู้สึก กาหนดได้ ความรู้สึกเน้ือเลือดหนงั ผสั สะเวทนาถึงกนั กบั จิต เห็นต๊บุ ๆ เห็นเวทนาใน เวทนา เวทนาเสวยอารมณ์ เห็นจิตในจิตตดั อารมณ์ ธรรมในธรรมตดั อารมณ์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook