Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_17

tripitaka_17

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_17

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 101ท อกั ษร. ก็พระอรหตั พงึ ทราบวา ประโยชนของตน. จรงิ อยู พระอรหตั นนั้ ทา นเรยี กวา ประโยชนของตน คือประโยชนต น เพราะอรรถวาเกี่ยวเน่ืองกับตน เพราะอรรถวา ไมล ะตน และเพราะอรรถวา เปนประโยชนอยา งย่ิงของตน. บทวา ปรกิ ฺขีณภวส โยชโน มวี นิ ิจฉัยวา สงั โยชน ๑๐ คือกามราคะ ปฏฆิ ะ มานะ ทฏิ ฐิ วิจกิ จิ ฉา สลี ัพพตปรามาส ภวราคะอสิ สา มจั ฉริยะ และอวิชชา เรียกวา สงั โยชนเครื่องผกู สัตวไ วใ นภพเพราะสงั โยชนเ หลา นี้ ยอ มผูก คอื ตามผูกสัตวทงั้ หลายไวใ นภพ อีกอยา งหน่ึง ยอ มเชอ่ื มภพไวดวยภพ สงั โยชนเ ครื่องผกู สัตวไ วใ นภพเหลาน้ีของพระอรหนั ต สิน้ รอบแลว อันทา นละไดแ ลว อนั ทา นเผาแลว ดว ยไฟคอื ญาณ ดวยเหตุนน้ั พระขีณาสพน้ัน ทานจึงเรียกวา ผมู ีสงั โยชนเครอ่ื งผกู สตั วไ วใ นภพอนั ส้ินรอบแลว . บทวา สมมฺ ทฺา ในบทวา สมฺมทฺา วิมตุ ฺโต นี้ ความวาเพราะรโู ดยชอบ. ทานกลาวอธิบายไวอ ยางไร ? ทา นกลา วอธิบายไววาเพราะรู คอื ทราบ ไดแกพจิ ารณา ตรวจตรา เปดเผย กระทําใหแจงซ่งึ อรรถแหง ขันธว าเปนขันธ อรรถแหงอายตนะวา เปน อายตนะ อรรถแหง ธาตวุ า เปน ธาตุ อรรถแหง ทกุ ขวา เปน การบบี ค้นั อรรถแหง สมทุ ยั วาเปนบอเกดิ ทกุ ข อรรถแหง ทกุ ขว าเปน ความสงบ อรรถแหงมรรควาเปน ทัสสนะ มปี ระเภทอยา งน้วี า สังขารทง้ั ปวงไมเ ทย่ี ง ดังนี้ โดยชอบคือตามความเปนจรงิ . บทวา วมิ ุตฺโต มวี ินจิ ฉยั วา วิมุตมิ ี ๒ อยาง คือ ความหลุดพนแหงจติ ๑ พระนิพพาน ๑ พระอรหนั ต ชื่อวา ผหู ลดุ พน แลวแมด วย

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 102ความหลดุ พนแหงจติ เพราะความมีจิตของทา นหลดุ พนแลว จากกิเลสทั้งปวง ชื่อวา หลุดพน แลว แมในพระนพิ พาน เพราะความท่ที านมีจิตนอมไปสพู ระนพิ พาน ดว ยเหตุน้ัน พระอรหันตท านจึงเรียกวา ผูหลุดพน แลวเพราะรูโดยชอบ. บทวา ปริฺาตนตฺ สสฺ ความวา ท่ตี ั้งแหงความสําคัญ (ผดิ )นั้นอนั พระอรหนั ตก ําหนดรแู ลวดวยปรญิ ญาท้ัง ๓ ฉะนั้น พระอรหันตนน้ั จึงไมส าํ คัญท่ตี ัง้ น้ัน อกี อยา งหน่ึง อธิบายวา พระอรหันตย อ มไมสําคัญความสําคัญ (ผดิ ) น้นั . คาํ ที่เหลอื มนี ยั ดงั กลา วแลว น่ันแล. สวนวาระ ๓ เปนตนวา ขยา ราคสสฺ ดังนี้ ทา นกลาวไวแ ลวในนพิ พานวาระ วาระเหลานัน้ ก็ควรใหพิสดารแมในวาระวาดว ยปฐวีเปน ตน. ก็ปริญญาตวาระนี้ ก็ควรใหพิสดารแมใ นนพิ พานวาระ. ก็บัณฑติ เมอ่ื จะใหความพสิ ดาร พงึ ประกอบคาํ วา ปริ ฺ าตนตฺ สฺส ดวยทุก ๆ บท แลวพึงประกอบความอกี วา ขยา ราคสสฺ วีตราคตตฺ าดงั น้ี ในบทนอกจากนน้ั ก็นัยน.ี้ ก็เทศนาทานยอ ไวว า คําท่ีกลาวแลว ในบทเดยี ว กเ็ ปน อนั กลา วแลว ในทกุ ๆ บทแท. ก็ในบทวา ขยา ราคสฺส วตี ราคฺตา นี้ ความวา เพราะเหตทุ ่ีนกั บวชนอกศาสนาเปน ผปู ราศจากความกาํ หนัดในกาม (แต) ไมใชเพราะหมดราคะ สว นพระอรหันต ชื่อวา เปนผปู ราศจากความกาํ หนัดในกาม เพราะความสิน้ ราคะ ฉะน้นั พระผูม พี ระภาคเจา จงึ ตรัสคาํ วาขยา ราคสสฺ วีตราคฺตติ า ดงั นี.้ แมในโทสะและโมหะกม็ นี ัยนี้.เหมือนอยางวา แมเม่ือพระผูมีพระภาคเจาตรสั วา เราตถาคตกลา ววาปริฺาต ตสฺส ดงั นี้ ยอ มไดค วามวา พระอรหนั ตน้นั ยอ มไมส ําคญั

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 103วัตถุน้ันหรอื ความสําคัญนัน้ เพราะทานไดกําหนดรแู ลว ฉนั ใด แมในท่ีนี้กฉ็ ันน้นั พระอรหนั ตนน้ั บัณฑิตเห็นวา ยอ มไมสําคญั วตั ถนุ ัน้ หรือยอ มไมสาํ คญั ความสาํ คัญ (ผิด) น้นั เพราะทา นหมดราคะแลว . ก็ในบรรดาวาระเหลา นัน้ วาระน้วี า ปริ ฺาต ตสฺส นี้ ทา นกลา วไวเพอ่ื แสดงความบรบิ รู ณแหงมรรคภาวนา. วาระนอกนี้ พึงเห็นวาทา นกลาวไวเ พอื่ แสดงความบริบูรณแหงการกระทําใหแจง ซงึ่ ผล. อีกอยา งหน่งึ พระอรหันตย อ มไมสาํ คญั ดว ยเหตุ ๒ ประการเพราะความท่วี ตั ถทุ านกาํ หนดไดแลว และเพราะอกุศลมลู ทานถอนขึ้นไดแ ลว ดวยเหตุนน้ั พระอรรถกถาจารยจงึ แสดงการกาํ หนดรวู ัตถขุ องพระอรหนั ตนั้นดว ยวาระแหง ปริญญา และแสดงการถอนข้ึนซึ่งอกศุ ลมูลดว ยวาระนอกน้ี ฉะน้ีแล. ในบรรดาวาระเหลา นน้ั พึงทราบความแปลกกันในวาระ ๓ ขอขางปลายดงั ตอไปน.้ี พระอรหนั ตน ั้น ทา นเห็นโทษในความกําหนดั ในวาระท้งั ๓ นั้นแลว พิจารณาเหน็ ทุกขอยู เปนผูหลุดพน แลว ดว ยอัปปณ-ิหติ วโิ มกข ยอมมีราคะปราศจากไป เพราะความสน้ิ ไปแหงราคะ. ทานเหน็ โทษในโทสะ พจิ ารณาเห็นโดยความเปน ของไมเ ท่ียง เปนผหู ลุดพนแลวดว ยอนมิ ติ ตวิโมกข ยอ มเปนผูม ีโทสะปราศไป เพราะความสิน้ โทสะ.ทานเห็นโทษในโมหะ พจิ ารณาโดยความเปน อนตั ตาอยู หลดุ พน แลวดว ยสญุ ญตวิโมกข ยอมเปนผปู ราศจากโมหะ เพราะสิน้ โมหะ. หากมคี าํ ถามวา เม่ือเปน เชน น้ัน บคุ คลคนเดียวยอ มหลุดพนดว ยวิโมกข ๓ (คราวเดยี วกนั ) ไมไ ด เพราะฉะน้นั ไมค วรกลา ว ๒ วาระไว.

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 104 พึงตอบวา ขอนั้นหาเปน เชนน้นั ไม. เพราะเหตไุ ร? เพราะวายงั มไิ ดก าํ หนดแนนอน. ความจริงพระผมู พี ระภาคเจา ตรัสไวโ ดยไมแนนอนวา โยป โสภกิ ขฺ เว ภิกฺขุ อรห ดังนี้ แตห าตรัสไวว า ยอ มเปน ผหู ลุดพน ดวยอัปปณหิ ิตวโิ มกข หรือหลุดพนดว ยวิโมกขนอกนี้ ดงั น้ีไม. ฉะนั้น สง่ิใดยอ มสมควรแกพ ระอรหนั ต ส่ิงนน้ั ท้ังหมดควรกลาวแท ดงั น้.ี อกี อยา งหนึ่ง เม่ือวาโดยไมแ ปลกกัน พระอรหนั ตท กุ รปู เมอื่ กิเลสมีราคะเปนตนสิน้ ไป ทา นก็เรยี กวา ผมู ีราคะไปปราศ เพราะราคะส้นิ ไปเหตทุ ท่ี านกําหนดรวู ปิ ริณามทุกข. ทานเรยี กวาผูป ราศจากโทสะ เพราะโทสะส้นิ ไป เหตทุ ท่ี านกาํ หนดรทู กุ ขในทกุ ข ชือ่ วา ผปู ราศจากโมหะเพราะโมหะสนิ้ ไป เหตทุ ที่ านกําหนดรสู ังขารทกุ ข. อกี อยางหนึง่ ทา นช่อื วา ปราศจากราคะ เพราะราคะสน้ิ ไป เหตทุ ่ีทานกาํ หนดรอู ฏิ ฐารมณ ชื่อวาปราศจากโทสะ เพราะโทสะส้ินไป เหตทุ ่ีทา นกําหนดรอู นิฏฐารมณ ชื่อวา ปราศจากโมหะ เพราะโมหะสิน้ ไปเหตทุ ี่ทา นกาํ หนดรมู ชั ฌัตตารมณ. อีกอยางหน่งึ ทา นชือ่ วาปราศจากราคะ เพราะราคะสิน้ ไป เหตุท่ีทา นถอนราคานุสยั ในสุขเวทนาเสียได ชอื่ วาปราศจากโทสะและปราศจากโมหะ ทา นถอนปฏิฆานสุ ัยและโมหานุสยั ในทุกขเวทนาและอเุ บกขาเวทนาเสยี ได ฉะนี้แล ฉะนนั้ พระผมู พี ระภาคเจา เม่อื จะทรงแสดงความตางกนั นัน้ จงึ ตรัสวา ขยา ราคสสฺ วีตราตฺตา ฯเปฯ ขยา โมหสฺสวตี โมหตฺตา ดงั น้ี. จบกถาวาดว ยนยั ท่ี ๓-๔-๕-๖ ดวยอํานาจพระขีณาสพ.

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 105 อธบิ ายคําวา ตถาคต พระผมู ีพระภาคเจา คร้นั ทรงแสดงความเปนไปของพระขีณาสพในวัตถุธาตุทง้ั หลายมีปฐวเี ปน ตน อยา งน้ีแลว บัดน้ี เมอื่ จะทรงแสดงความเปนไปของพระองคเ อง จึงตรสั คาํ เปน ตน วา ตถาคโตป ภิกฺขเว ดังน.ี้ บรรดาบทเหลา นั้น ในบทวา ตถาคโต มีวนิ ิจฉยั ดังนี้ พระผูมีพระภาคเจา ทา นเรียกวา ตถาคต ดวยเหตุ ๘ อยา งคือ (๑) เรยี กวาตถาคต เพราะอรรถวา เสด็จมาแลวอยางนั้น (๒) เรียกวา ตถาคตเพราะอรรถวา เสดจ็ ไปแลวอยางน้นั , (๓) เรยี กวา ตถาคต เพราะอรรถวา เสดจ็ มาสูลกั ษณะอนั แท, (๔) เรียกวา ตถาคต เพราะอรรถวา ตรสั รูพรอ มเฉพาะซง่ึ ธรรมอนั แทต ามเปนจรงิ , (๕) เรียกวา ตถาคต เพราะทรงเห็นแทจริง, (๖) เรียกวา ตถาคต เพราะตรัสวาจาจริง, (๗)เรียกวา ตถาคต เพราะทรงทําจรงิ , (๘) เรียกวา ตถาคต เพราะอรรถวาครอบงํา. ตถาคตผเู สด็จมาแลว อยางนี้ ถามวา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะอรรถวา เสด็จมาแลว อยา งนัน้ อยางไร? ตอบวา พระสมั มาสัมพุทธเจา องคก อน ๆ ทรงถงึ การขวนขวายเสดจ็ มาเพื่อประโยชนเก้อื กลู แกช าวโลกทั้งปวงโดยประการใด เหมือนอยางวา พระผมู พี ระภาคเจาทรงพระนามวา วปิ ส สี ๑ ทรงพระนามวาสขิ ี ๑ ทรงพระนามวา เวสสภู ๑ ทรงพระนามวา กกสุ ันธะ ๑ ทรง

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 106พระนามวา โกนาคมนะ ๑ ทรงพระนามวา กัสสปะ ๑ เสด็จมาเพ่อืประโยชนเ กอื้ กลู แกช าวโลกฉนั ใด (พระผมู ีพระภาคเจา ของเรานี้ ก็เสด็จมาเพ่ือประโยชนสขุ แกชาวโลกฉันนนั้ เหมอื นกนั ). ทานกลาวอธิบายไวอ ยา งไร. ทา นกลาวอธิบายไวว า พระผมู พี ระภาคเจาเหลา นน้ั เสดจ็ มาดว ยอภินิหารใด พระผมู พี ระภาคเจา ของเราทง้ั หลาย กเ็ สด็จมาดว ยอภนิ หิ ารนนั้ เหมอื นกนั . อกี อยางหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวา วิปสสี ฯลฯพระผมู ีพระภาคเจา ทรงพระนามวา กัสสปะ ทรงบําเพญ็ ทานบารมีศลี บารมี เนกขัมมบารมี ปญ ญาบารมี วิรยิ บารมี ขันติบารมี สจั จบารมีอธษิ ฐานบารมี เมตตาบารมี อเุ บกขาบารมี ไดทรงบําเพ็ญบารมี ๓๐ทัศน้ี คือ บารมี ๑๐ อปุ บารมี ๑๐ ปรมตั ถบารมี ๑๐ ท้ังไดทรงบําเพ็ญมหาบริจาค ๕ อยา งเหลา นี้ คอื ทรงบรจิ าคอวัยวะ ดวงพระเนตรพระราชทรัพย ราชสมบัติ โอรสและมเหสี ทรงบาํ เพ็ญบพุ พประโยคบพุ พจรยิ า การสอนธรรม และญาตตั ถจรยิ า เปน ตน มาจนถึงท่ีสุดดว ยพุทธจรยิ าฉันใด พระผูมพี ระภาคเจาแมข องเรา ก็เสด็จมาฉันนัน้ อน่ึง พระผมู พี ระภาคเจา ทรงพระนามวา วิปสสี ฯลฯ พระผูมพี ระภาคเจา ทรงพระนานวา กัสสปะ เสด็จมาบําเพญ็ เพ่ิมพนู สติปฏ-ฐาน ๔ สมั มปั ปธาน ๔ อินทรีย ๕ พละ ๕ โพชฌงค ๗ มรรคมีองค ๘ ฉนั ใด แมพระผมู พี ระภาคเจาของเราทงั้ หลายก็เสดจ็ มาฉันน้นัพระผมู ีพระภาคเจาเสดจ็ มาแลว โดยประการนั้น อยางน้ี เพราะฉะน้นัพระองคจึงทรงพระนามวา พระตถาคต.

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 107 พระมนุ ีท้ังหลายมีวิปสสพี ุทธเจา เปนตน ไดเ สดจ็ มา ถงึ ความเปนพระสพั พญั ใู นโลกน้ี โดยประการใด แมพ ระศากยมนุ กี ็เสด็จมาโดยประการนัน้ ดว ยเหตุ น้ัน พระผูม พี ระภาคเจา ผูมจี ักษุ ทา นจงึ เรยี กวา พระตถาคต ดังนแี้ ล. พระผูมีพระภาคเจา เสด็จมาแลว โดยประการนนั้ ดังพรรณนามาอยางนี้ ฉะน้ัน จึงทรงพระนามวา พระตถาคต. ตถาคตผเู สดจ็ ไปแลว อยา งน้นั ถามวา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงไดนามวา ตถาคต เพราะเสด็จไปแลว อยางน้นั อยา งไร ? ตอบวา พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวา วปิ สสี ฯลฯพระผมู ีพระภาคเจา ทรงพระนานวา กสั สปะ ประสตู ไิ ดค รูเดยี วกเ็ สด็จดาํ เนินไปไดฉนั ใด พระผมู พี ระภาคเจาของเราก็เสด็จดําเนนิ ไปไดฉันนน้ั ก็พระผูมพี ระภาคเจา ของเราน้ัน เสด็จดาํ เนินไปไดอ ยา งไร ?(อยา งนคี้ ือ) ประสูตไิ ดค รูเ ดยี ว ประทับยืนอยูบ นพืน้ ปฐพี ดวยพระบาทอันเรยี บเสมอ ผนิ พระพกั ตรตรงตอ ทิศอดุ ร ยา งพระบาทดาํ เนนิไปได ๗ กาว เหมือนอยา งทีพ่ ระองคตรสั ไวว า อานนท พระโพธสิ ัตวประสตู ไิ ดค รูเดียว ประทบั ยนื บนปฐพอี ยดู ว ยพระบาทอนั เรยี บเสมอผนิ พระพกั ตรต อ ทศิ อุดร ยางพระบาทดาํ เนนิ ไปได ๗ กาว โดยมีเทวดากน้ั เศวตฉัตรติดตามไป ทรงตรวจดูรอบทิศ เปลงอาสภวิ าจาวาเราเปนผูเลศิ เปนผเู จริญท่สี ุด ประเสรฐิ ทีส่ ุดของโลก ชาตินีเ้ ปน

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 108ชาติสุดทา ย บัดน้ี ภพใหมไมม ีอีกแลว ดังนี้ ก็การเสดจ็ ไปนนั้ ของพระองคน ้นั เปนอยา งนนั้ ไมผ ดิ จากน้ันโดยเปน บพุ พนิมิตแหงการบรรลคุ ณุ วิเศษอยา งมากมาย. ก็ขอทพี่ ระองคประสูตไิ ดครูหน่ึง และประทับยนื อยบู นพ้นื ปฐพีดวยพระบาทอนั เรยี บเสมอนีน้ ้ัน เปนบพุ พนิมติ แหงการไดอ ทิ ธบิ าท ๔. ขอท่พี ระองคห ันพระพกั ตรไ ปทางทศิ อดุ รนนั้ เปน บุพพนิมติ แหงความท่ีพระองคเปน ผูขา มพน โลกท้ังหมด. การยา งพระบาทดําเนินได ๗ กาว เปน บพุ พนมิ ติ แหงการไดรัตนะคอื โพชฌงค ๗ ประการ. การยกจามร ทก่ี ลาวไวใ นบทวา จามรมีดา มเปน ทองผานไปดังนี้ขึ้น เปนบุพพนิมติ แหงการยํา่ ยพี วกเดียรถียท ั้งหมด. การที่ทรงเศวตฉตั ร เปน บุพพนิมติ แหง การไดเศวตฉตั รอนั ประ-เสรฐิ วิเศษ ปราศจากมลทิน คอื การหลุดพนดว ยอํานาจความเปนพระอรหันต. การทที่ รงตรวจดูไปทวั่ ทิศน้ัน เปนบุพพนิมติ แหงการไดญ าณอนัประเสรฐิ คอื พระสัพพัญตุ ญาณ. การท่ที รงเปลงอาสภวิ าจา เปนบุพพนิมิตแหงการประกาศธรรมจักรอันประเสรฐิ ไมม ใี ครคดั คา นได. แมพระผมู พี ระภาคเจานี้เสด็จไปโดยประการน้ัน และการเสด็จไปของพระองคนนั้ เปนอยางนนั้ ไมผิดจากน้นั โดยเปน บุพพนมิ ิตแหงการไดบรรลคุ ณุ วเิ ศษมากมาย. ดว ยเหตนุ ั้น ทา นพระโบราณาจารยจ งึ กลาวไววา:-

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 109 พระโคดมน้นั นพอประสูติแลวครเู ดียวเทา นน้ั ก็ เหยียบพื้นพสธุ าดว ยพระบาทอันเรียบเสมอแลว เสดจ็ ดาํ เนินไปได ๗ กา ว เหมอื นโคผูน าํ ฝงู เดินนํา หนา ฝูงโคไปฉะน้ัน และหมเู ทวดาทั้งหลาย กไ็ ดกาง กน้ั เศวตฉัตรถวายพระโคดมนั้น ครั้นยางพระบาท ไปได ๗ กา วแลว ทรงตรวจดูท่วั ทุกทศิ อยางสมาํ่ เสมอโดยรอบ ไดเปลงพระสุรเสียงอันประกอบดว ย องค ๘ เหมือนพญาราชสหี ยืนอยูบนยอดภูเขาเปลง สหี นาทฉะนนั้ ดังนี้. พระผมู พี ระภาคเจา เสด็จไปแลว โดยประการนน้ั ดังพรรณนามาอยา งนี้ ฉะน้นั พระองคจึงทรงพระนาม วา ตถาคต. อีกอยางหนงึ่ พระผมู พี ระภาคเจา ทรงพระนามวา วปิ สสี ฯลฯพระผูมีพระภาคเจาทรงพระนามวา กสั สปะ เปนฉันใด พระผมู ี-พระภาคเจา ของเราแมน กี้ เ็ ปน ฉันน้นั เหมอื นกนั คือพระองคท รงละกามฉนั ทด ว ยเนกขมั มะเสดจ็ ไปแลว , ทรงละพยาบาทดวยความไมพยาบาททรงละถีนมิทธะดว ยอาโลกสัญญา ทรงละอุทธจัจกุกกุจจะดวยความไมฟุงซาน ทรงละวิจกิ จิ ฉาดว ยการกําหนดธรรมเสดจ็ ไปแลว . ทรงทาํ ลายอวชิ ชาดว ยญาณเสด็จไปแลว , ทรงบรรเทาความไมย นิ ดีดว ยความปราโมทยทรงเพิกถอนเครือ่ งก้นั คอื นิวรณดว ยปฐมฌาน ยังความมืดคอื วติ กวจิ ารใหสงบระงับดว ยทตุ ิยฌาน ทรงสํารอกปต ดิ ว ยตติยฌาน ทรงละสขุและทุกขด ว ยจตุตถฌาน ทรงลวงพน รูปสญั ญา ปฏฆิ สัญญา และนานัตต-สัญญาดว ยอากาสานญั จายตนสมาบัติ ทรงลวงพนอากาสานัญจายตน-

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 110สญั ญาดวยวิญญาณญั จายตนสมาบตั ิ ทรงลวงพน วญิ ญาณัญจายตนสญั ญาดวยอากญิ จัญญายตนสมาบตั ิ ทรงลว งพนอากญิ จญั ญายตนสัญญาดวยเนว-สัญญานาสญั ญายตนสมาบัติเสด็จไปแลว, ทรงละนิจจสญั ญาดว ยอนจิ จานุปส สนาญาณ ทรงละสุขสัญญาดว ยทุกขานปุ ส สนาญาณ ทรงละอตั ตคสัญญาดว ยอนัตตานปุ สสนาญาณ ทรงละความเพลดิ เพลนิ ดวยนพิ พิทานุปสสนาญาณ ทรงละราคะดวยวริ าคานปุ สสนาญาณ ทรงละสมุทัยดว ยนโิ รธานปุ สสนาญาณ ทรงละการถือมัน่ ดว ยปฏนิ สิ คั คานปุ สสนาญาณ ทรงละฆนสัญญาดว ยขยานุปสสนาญาณ ทรงละการประมวลมาดว ยวยานุปสสนาญาณ ทรงละธวุ สญั ญาดว ยวปิ ริณามานุปสสนาญาณ ทรงละนิมติ ตสัญญาดว ยอนิมติ ทานุปส สนาญาณ ทรงละความปรารถนาดว ยอปั ปณิหิตานปุ สสนาญาณ ทรงละอภนิ ิเวสดวยสุญญมานุปสสนาญาณ ทรงละการยดึ ถอื โดยเปน สาระดว ยอธปิ ญ ญาธมั มวปิ สสนาญาณ ทรงละการยึดมนั่ เพราะความหลงดว ยยถาภตู ญาณทัสสนญาณ ทรงละความยึดถอื ดว ยความอาลยั ดว ยอาทีนวานปุ ส สนาญาณ ทรงละการไมพิจารณาดว ยปฏสิ งั ขานุปส สนาญาณ ทรงละการยดึ มน่ั ดวยอาํ นาจสงั โยชนดว ยวิวฏั ฏา-นปุ ส สนาญาณ ทรงหกั รานกเิ ลสในปจ จุบนั ดวยโสดาปตตมิ รรค ทรงละกเิ ลสอยางหยาบดว ยสกทาคามิมรรค ทรงเพิกถอนกิเลสซึง่ ยังเหลืออยูเล็กนอยดว ยอนาคามิมรรค ทรงตัดขาดกเิ ลสทุกอยา งดว ยอรหัตตมรรคเสดจ็ ไปแลว . พระผูม ีพระภาคเจา เสด็จไปแลว อยา งนนั้ ดว ยอาการดงั พรรณนามาอยางน้ี ฉะนัน้ จงึ ทรงพระนามวา ตถาคต.

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 111 ตถาคตผูเสด็จมาสูลกั ษณะอนั แทจ รงิ ถามวา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพระเสด็จมาสูลักษณะอันแทจ รงิ น้นั อยา งไร? ตอบวา พระผูมพี ระภาคเจา เสด็จมาแลว คือถงึ โดยไมผิดไดแกบ รรลโุ ดยลําดับ ซ่งึ ลกั ษณะแหง ปฐวธี าตุวาเปนความเขมแขง็อยา งถกู ตองไมผ ดิ ซึ่งลักษณะแหงอาโปธาตวุ า เปนเคร่ืองไหล ลกั ษณะแหงเตโชธาตวุ าเปน ของรอน ลกั ษณะแหง วาโยธาตุวาเคลือ่ นไหวลักษณะอากาสธาตุวาถูกตองไมได ลักษณะแหง วิญญาณธาตุวา เปน เคร่อื งรูลกั ษณะแหงรูปวา การยอยยับไป ลักษณะแหงเวทนาวา การเสวยอารมณลักษณะสัญญาวา ความจําได ลกั ษณะแหง สังขารวา เปนเคร่อื งปรงุ แตงลักษณะแหง วิญญาณวา ความรแู จง ลักษณะของวติ กวา การยกจติ ข้ึนสูอารมณ ลกั ษณะของวิจารวาการเคลา อารมณ ลักษณะปต วิ า การแผซ า นไป ลักษณะแหงสขุ วาความยนิ ดี ลกั ษณะแหง จติ เอกัคคตาวาความไมฟุง ซาน ลักษณะแหง ผัสสะวา การถกู ตอ ง ลกั ษณะของสัทธนิ ทรียวาการนอมใจเชอื่ ลักษณะของวิรยิ ินทรยี ว า การประคองจติ ลักษณะของสติน-ทรียว า ความปรากฏชัด ลกั ษณะแหงสมาธินทรยี วา ความท่จี ิตไมฟ ุงซานลักษณะของปญญนิ ทรยี วาการทจ่ี ติ รูชดั ลักษณะของสทั ธาพละวาความท่ีจิตไมหวัน่ ไหวในเพราะสงิ่ ไมค วรเชือ่ ลกั ษณะของวริ ยิ พละวา ความที่จิตไมห วน่ั ไหวในเพราะความเกยี จคราน ลักษณะแหงสติพละวาความที่จติไมหวน่ั ไหวในเพราะความหลงลมื สติ ลักษณะแหง สมาธพิ ละวาความท่ีจิตไมห วั่นไหวในเพราะอทุ ธัจจะ ลกั ษณะแหงปญ ญาพละวา ความทจี่ ติ ไม

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 112หวน่ั ไหวในเพราะอวิชชา ลักษณะของสติสัมโพชฌงควา ความปรากฏชัดลกั ษณะแหงธรรมวจิ ยสัมโพชฌงคว า การพิจารณา ลกั ษณะของวริ ิย-สัมโพชฌงควา การประคองจติ ไว ลักษณะของปตสิ มั โพชฌงควา การแผจติ ไป ลักษณะของปส สัทธิสัมโพชฌงควา การสงบจิต ลกั ษณะของสมาธิสมั โพชฌงคว าความไมฟงุ ซานของจิต ลักษณะของอุเบกขาสัมโพชฌงควา การพิจารณา ลกั ษณะของสัมมาทฏิ ฐวิ าการเห็น ลกั ษณะของสัมมา-สังกัปปะวาการยกจิตขึน้ ลกั ษณะของสัมมาวาจาวาการกาํ หนดจิต ลกั ษณะของสมั มากัมมนั ตะวาความขยันหม่ันเพียร ลักษณะของสมั มาอาชีวะวาความผอ งแผว ของจิต ลักษณะของสมั มาวายามะวา การประคองจิตลกั ษณะของสมั มาสติวา ความปรากฏชดั ลกั ษณะของสมั มาสมาธิวา การที่จติ ไมฟ งุ ซาน ลักษณะของอวิชชาวาความไมรู ลกั ษณะของสงั ขารวาเจตนา ลักษณะของวญิ ญาณวา ความรูชดั ลักษณะของนามวา การนอ มจิตไป ลกั ษณะของรูปวาความยอ ยยับไป ลกั ษณะของอายตนะ ๖ วาบอเกิด ลักษณะของผสั สะวาการถกู ตอ ง ลักษณะของเวทนาวาการเสวยอารมณ ลักษณะของตัณหาวาเหตุแหงทกุ ข ลักษณะของอุปาทานวาความยดึ ถือ ลักษณะของภพวาการประมวลไว ลักษณะของชาตวิ าการเกดิ ลกั ษณะของชราวา ความแก ลกั ษณะของมรณะวาจตุ ิ ลักษณะของธาตวุ าความวางเปลา ลกั ษณะของอายตนะวาบอ เกิด ลักษณะของสติปฏฐานวา ความปรากฏชัด ลักษณะของสมั มัปปธานวาการตงั้ ความเพียรลกั ษณะของอทิ ธิบาทวาความสําเร็จ ลักษณะของอนิ ทรยี วาความเปน ใหญลักษณะของพละวาการไมหวน่ั ไหว ลกั ษณะของโพชฌงคว า ธรรมเคร่ืองนาํ สัตวอ อกจากทกุ ข ลักษณะของมรรควาเปนเหตใุ หถ งึ ความ

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 113ดับทกุ ข ลักษณะของสจั จะวา ความจรงิ ลักษณะของสมถะวาความไมฟุงซา น ลักษณะของวิปส สนาวาพจิ ารณาเหน็ ลกั ษณะของสมถะและวปิ สสนาวา มกี ิจอยางเดียวกนั ลักษณะของสิง่ ทเ่ี ปนคูก นั วา ไมล ะกนัลักษณะของศีลวิสุทธิวา การระวงั รกั ษา ลักษณะของจติ ตวิสทุ ธวิ าความไมฟ งุ ซาน ลกั ษณะของทฏิ ฐิวสิ ทุ ธวิ าการเห็น ลกั ษณะของญาณในธรรมเปน ที่ส้ินไปวาสมจุ เฉท ลักษณะของญาณในธรรมทย่ี งั ไมเกดิ ขนึ้ วาความสงบ ลักษณะของฉันทะวามูลเหตุ ลกั ษณะของมนสิการวาความขยันหม่นั เพยี ร ลกั ษณะของผัสสะวาที่รวม ลักษณะของเวทนาวา ท่ปี ระชมุลกั ษณะของสมาธิวา ธรรมท่เี ปนประธาน ลกั ษณะของสตวิ า ความเปนไหญลกั ษณะของปญญาวา สูงกวา ธรรมท้ังหมด ลกั ษณะของวิมุตวิ าแกนลักษณะของนพิ พานทหี่ ย่งั ลงสูอมตะวา ท่สี ิน้ สุด พระผูม พี ระภาคเจาเสด็จมาถงึ คือถงึ ไดแ กบ รรลุซึ่งลกั ษณะท่ีเปนจรงิ อยางน้ี อยางแทจรงิคือไมผิด ฉะนัน้ พระองคจึงทรงพระนามวา ตถาคต. พระผมู พี ระภาคเจาเสด็จมาถงึ ลกั ษณะอนั แทจริงอยางน้ี ฉะนั้นจงึ ทรงพระนามวา ตถาคต. ตถาคตผูตรัสรูธรรมทแ่ี ทจรงิ ถามวา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะตรสั รูพ รอ มเฉพาะซึ่งธรรมท่แี ทจริงตามความเปน จริงอยา งไร ? ตอบวา ทีช่ ่อื วา ธรรมท่จี รงิ แท ไดแ กอรยิ สจั ๔. เหมือนอยา งท่ีพระผูมพี ระภาคเจาตรัสไวว า ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย อริยสัจ ๔ เหลา นี้เปนของจริงแท ไมแปรผัน ไมเ ปน อยา งอน่ื . อรยิ สจั ๔ อะไรบาง ?

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 114ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ขอ ทวี่ า นีท้ กุ ข น่ันเปน ของจรงิ แท ไมแปรผนัไมเปนอยางอื่น ดังน้เี ปน ตน. ความพสิ ดาร (นักศึกษาพึงตรวจดเู อาเอง). ก็พระผมู พี ระภาคเจาตรสั รูพรอ มเฉพาะซงึ่ อรยิ สัจ ๔ เหลาน้ันเพราะเหตนุ ้นั จึงไดร ับขนานพระนามวา ตถาคต เพราะตรสั รพู รอ มเฉพาะอริยสัจทง้ั หลายท่จี รงิ แท. แทจริง คต ศพั ท ในคาํ วา ตถาคโต น้ี มคี วามหมา วา \"ตรสั รูพรอ มเฉพาะ.\" อีกอยา งหน่ึง สภาวะที่ชราและมรณะเกิดมีเพราะมีชาติเปน ปจจัยเปนสภาวะท่ีแทจรงิ ไมแ ปรผนั ไมเ ปนอยา งอ่นื ฯลฯ สภาวะทส่ี ังขารทั้งหลายเกดิ มีเพราะมีอวชิ ชาเปน ปจ จยั เปนสภาวะที่จริงแท ไมแปรผนัไมเปน อยางอ่นื . อน่ึง สภาวะทอ่ี วชิ ชาเปนปจจยั แหง (ใหเกดิ ) สงั ขารทง้ั หลายสภาวะท่ีสงั ขารทง้ั หลายเปน ปจจยั แหง (ใหเกดิ ) วิญญาณ ฯลฯ สภาวะทีช่ าตเิ ปนปจจัยแหง (ใหเกดิ ) ชราและมรณะเปน สภาวะที่จรงิ แท ไมแปรผัน ไมเปน อยางอื่น. พระผมู ีพระภาคเจาตรสั รพู รอ มเฉพาะซึ่งสภาวะนั้นทง้ั หมด แมเพราะเหตนุ ้ัน จงึ ไดร บั ขนานนามวา ตถาคต. พระผูม พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะตรัสรพู รอมเฉพาะซ่ึงธรรมที่จรงิ แทต ามความเปนจรงิ ดว ยประการดงั พรรณนามาฉะน้ี.

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 115 ตถาคตผูป กตเิ หน็ อารมณท จ่ี รงิ แท ถามวา พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงมีปกตเิ หน็ อารมณท่จี รงิ แทอ ยา งไร ? ตอบวา อารมณใดท่ชี อ่ื วา รปู ารมณ (อารมณค อื รูป) ซึ่งมาปรากฏในจักษทุ วารของสัตวท งั้ หลาย ไมมปี รมิ าณ มอี ยทู ้งั ในโลกกบั ท้งัเทวโลก ฯลฯ ในหมสู ตั วก ับทัง้ เทวดาและมนุษย (และ) ในโลกธาตุไมมปี รมิ าณ (กาํ หนดนับไมได) อารมณน ั้น พระผมู พี ระภาคเจาทรงรู คือทรงเหน็ โดยอาการทัง้ หมด. อารมณน้ันพระผูมีพระภาคเจา น้นั ทรงรแู ละทรงเหน็ อยูอยางนี้จาํ แนกออกไปตามชอ่ื เปน อเนก ตามวาระ ๑๓ วาระ (และ) ตามนยั๕๒ นยั โดยนยั มีอาทิวา รปู คอื รปู ายตนะนัน้ เปนไฉน ? รูปใดที่อาศยั มหาภตู รูป ๔ เปน รูปทมี่ ีวรรณะ (สี) มองเหน็ ได ถกู ตอ งไดเปน รูปสีเขยี ว เปน รปู สเี หลอื ง (นี้แหละเรยี กวารูป) ดวยอํานาจเปน รูปท่นี า ปรารถนา และไมน าปรารถนาเปน ตน บา ง ดวยอํานาจทีจ่ ะไดใ นรปู ทีไ่ ดเห็น เสียงทไี่ ดยิน กลิน่ รส โผฏฐพั พะท่ีไดทราบ และธรรมา-รมณทไ่ี ดร ูแจง บา ง ยอ มเปนของจริงแททีเดียว ไมม แี ปรผัน. ในบรรดาอารมณม ีเสียงเปน ตน ท่ีมาปรากฏในโสตทวารเปนตนกน็ ยั น.ี้ สมจริงดว ยพระดาํ รสั ท่ีพระผมู ีพระภาคเจาตรัสไวด งั นวี้ า ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลายอารมณใ ดท่โี ลกกบั ทง้ั เทวโลก ฯลฯ ท่หี มูส ัตวก ับทัง้ เทวดาและมนษุ ยไดเ หน็ ไดสดบั ไดท ราบ ไดรแู จง ไดบ รรลุ ไดแ สวงหา ไดค ดิคน ตถาคตรูอารมณ ตถาคตรอู ยางแทจรงิ ซึ่งอารมณน้นั อารมณน้ัน

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 116ตถาคตรู อารมณน ้นั ปรากฏแลว ในตถาคต. พระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงมีปกติเห็นอารมณทแ่ี ทจ รงิ ดว ยประการดังพรรณนามาฉะน้ี. ในบทวา ตถาคโต นัน้ นกั ศึกษาพึงทราบการใชบทวา ตถาคโตลงในความหมายวา ผมู ีปกตเิ หน็ อารมณทีจ่ รงิ แท ตถาคตผูม ีปกติตรัสวาทะที่จรงิ แท ถามวา พระผูม พี ระภาคเจา ทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงมีปกติตรัสวาทะทจ่ี ริงแท อยา งไร ? ตอบวา การทีพ่ ระผมู พี ระภาคเจา ประทับนั่งบนอปราชิตบลั ลังก(บัลลังกที่มารไมส ามารถทาํ ใหพายแพไ ด, บัลลังกข องผชู นะ) ภายใตควงไมโพธ์ิ ทรงบน่ั เศยี รมารท้งั ๓ แลวตรัสรูพรอ มเฉพาะซึง่ อนตุ ตร-สมั มาสัมโพธิญาณก็ดี การท่พี ระผมู พี ระภาคเจาเสดจ็ ดับขนั ธปรนิ ิพพานดวยอนปุ าทิเสสนพิ พานธาตุ ณ ระหวา งนางรงั ทงั้ คูใ นตอนกลางคืนกด็ ีตลอดระยะเวลา ๔๕ ป ในระหวางน้ี (ชว งหลงั ตรสั รแู ละกอนปร-ินพิ พาน) คือในระยะเวลาครง้ั ปฐมโพธิกาลบา ง ครง้ั มชั ฌิมโพธิกาลบา ง ครงั้ ปจ ฉมิ โพธกิ าลบา ง พระพุทธพจนใดทีพ่ ระผูมพี ระภาคเจาตรัสไว จะเปนสุตตะ เคยยะ ฯลฯ เวทัลละกต็ าม พระพุทธพจนน ้ันทงั้ หมดอนั วญิ ชู นกลาวตําหนิไมไ ดท ้ังโดยอรรถ (ความหมาย, เนอ้ื หาสาระ) ทั้งโดยพยญั ชนะ (ตวั หนังสือ) ไมขาดไมเกนิ บริบูรณดวยอาการทกุ อยา ง ยํ่ายีความเมาดว ยราคะ ยาํ่ ยีความเมาดวยโทสะและโมหะความผิดพลาดในพระพทุ ธพจนน ัน้ แมเพียงปลายขนทรายก็ไมม ดี ี ทัง้

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 117หมดน้นั เปนของจรงิ แท ไมแปรผนั ราวกบั ประทับตราดว ยพระราช-ลัญจกรอนั เดียวกัน ราวกบั วาดวงดว ยทะนานเดียวกนั และราวกับวา ชั่งดว ยตาช่งั คนั เดียวกันฉะนั้น. เพราะเหตนุ นั้ พระโบราณาจารยจงึ กลา ววา การที่พระตถาคตตรสั รูพรอ มเฉพาะซึง่ พระอนตุ ตรสมั มาสัมโพธิญาณในตอนกลางคนื ก็ดี การท่ีพระตถาคตปรินิพพานดว ยอนปุ าทิเสสนิพพานธาตุในตอนกลางคืนกด็ ี การทีพ่ ระตถาคตตรัสสนทนาช้ีแจงรนระหวา งน้กี ็ดี ท้งั หมดน้ันเปน ของจริงแท ไมเปน อยา งอืน่ เพราะฉะนั้น จงึ ไดรบั ขนานพระ-นามวา ตถาคต. แทจ ริง คต ศพั ท ในคาํ วา ตถาคโต น้ี มคี วามหมายเทา กบัคทะ (ตรสั , พูด). พระผมู พี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงมปี กติตรัสวาทะที่จริงแท ดว ยประการดังพรรณนามาฉะน้ี. อน่ึง การกลาว ชื่อวา อาคทะ อธิบายวา ไดแ กค ําพดู . การตรสั ของพระตถาคตนั้นจรงิ แท คือไมว ปิ รติ เพราะเหตนุ นั้ จึงไดรับขนานพระนามวา ตถาคต เพราะแปลง ท อักษรใหเปน ต อักษรและนักศึกษาพึงทราบบทสาํ เรจ็ รปู ในความหมายน้ดี ังพรรณนามาฉะน.้ี ตถาคต - ผูม ีปกติทําจรงิ ถามวา พระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะทรงเปน ผูมปี กติทาํ จรงิ อยางไร ? ตอบวา ก็กายกรรมของพระผูมีภาคเจายอมคลอยตามวจกี รรม ทง้ั

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 118วจกี รรมกค็ ลอ ยตามกายกรรม เพราะเหตนุ น้ั พระผมู พี ระภาคเจามปี กติตรัสอยางใด ส่งิ ทรงมีปกตทิ ําอยา งนนั้ และมปี กติทาํ อยางใด กท็ รงมีปกติตรัสอยางนน้ั อธบิ ายวา วจีกรรมของพระผมู พี ระภาคเจา น้ันผูทรงเปนอยา งน้ี เปน ฉนั ใด แมก ายกรรมกเ็ ปน ไปฉันนนั้ เพราะเหตนุ ้ัน จึงทรงพระนามวา ตถาคต. ดวยเหตุนัน้ พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลายตถาคตมีปกตพิ ดู อยางใด กม็ ีปกติทาํ อยา งนั้น มปี กติทาํ อยางใด ก็มีปกติพูดอยางน้นั เพราะเหตทุ ม่ี ีปกตพิ ดู อยางใด จงึ มปี กตทิ าํ อยา งนน้ัมีปกติทาํ อยา งใด จงึ มีปกตพิ ดู อยา งนน้ั ฉะน้นั จึงไดรบั ขนาดพระนามวา ตถาคต. พระผูม ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะเปนผมู ีปกติทาํ จรงิ ดังพรรณนามาฉะนี้. ตถาคต - ผคู รอบงํา ถามวา พระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะหมายความวา ครอบงําอยา งไร ? ตอบวา พระผูมพี ระภาคเจายอมครอบงาํ (มีอํานาจเหนือ )ในเบอ้ื งในตั้งแตภวัคคพรหมลงมา ในเบ้ืองลา งต้งั แตอ เวจมี หานรกขึน้ไป ในดา นขวางยอมครอบงํา (มีอํานาจเหนอื ) สรรพสัตวในโลกธาตุอัน หาปรมิ าณมไิ ดดว ยศีลบาง สมาธิบา ง ปญ ญาบา ง วมิ ุตบิ าง วิมุตติ-ญาณทัสสนะบา ง การช่งั หรอื การกาํ หนดวัด (พระคณุ มีศลี เปน ตน)ของพระผูมีพระภาคเจานนั้ ไมมี พระองคมีพระคุณอันใคร ๆ ชงั่ ไมไ ด

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 119กะประมาณไมไ ด ไมม ใี ครยิง่ ไปกวา เปนราชาของราชา เปนเทวดาของเทวดา เปน ทาวสักกะเหนือทา วสักกะท้ังหลาย เปน พรหมเหนือพรหมทงั้ หลาย. เพราะเหตุนน้ั พระผูมีพระภาคเจา จงึ ตรสั วา ดกู อ นภิกษทุ ้งั -หลาย ตถาคตเปน ผคู รอบงํา (แต) ไมมีใครครอบงาํ ได เปนผูเห็นอยางถอ งแท เปนผแู ผอาํ นาจไดในโลกกบั ท้ังเทวโลก ฯลฯ ในหมูสตั วกบั ทงั้ เทวดาและมนุษย. เพราะเหตุนน้ั จงึ ไดร บั ขนานพระนามวาตถาคต. ในบทวา ตถาคต นน้ั พึงทราบบทสาํ เร็จรูปอยางน้ี. ส่ิงทีเ่ ปน เหมอื นโอสถ ช่อื วา อคทะ. ก็โอสถน้ันคอื อะไร ? คอืการยักยายเทศนา (ตามอุปนสิ ัยของผฟู ง) และการเพ่ิมพูนแหง บุญ. ก็เพราะโอสถน่นั พระผมู ีพระภาคเจา น่นั จึงเปนหมอท่มี อี านภุ าพมาก ทรงครอบงาํ ผทู ี่ยึดถือลัทธิอื่นทงั้ หมดและโลกกบั ทงั้ เทวโลก เหมอื นกับปราบงู(พิษ) ดว ยทิพโอสถฉะนั้น. โอสถในการครอบงําโลกทงั้ หมด ของพระผูมีพระภาคเจา นั้น อันสาํ เร็จมาจากการยกั ยายเทศนา และสําเร็จมาจากบญุ เปนของจรงิ แท ไมแปรผนั เพราะเหตุนั้น พงึ ทราบวา พระผมู -ีพระภาคเจาไดร ับขนานพระนามวา ตถาคต เพราะแปลง ท อกั ษรเปน ต อกั ษร ดว ยประการดงั กลาวมานี.้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงพระนานวา ตถาคต เพราะหมายความวา ครอบงาํ ดังพรรณนามาฉะน้.ี

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 120 ตถาคต - ผูถึงดวยความจริงแท อีกอยา งหนึง่ พระผูมพี ระภาคเจาทรงพระนามวา ตถาคต เพราะหมายความวา ทรง (เขา) ถงึ ดว ยความจริงแทบ า ง ทรง ( เขา)ถงึ ความจรงิ แทบา ง. บทวา คโต หมายความวา หยั่งถึง พน แลวบรรลุแลว ดําเนนิ ไปถึงแลว . ในคําเหลานัน้ พึงทราบอธบิ ายดังตอไปน้:ี - พระผมู พี ระภาคเจา ทรงถึงแลว คือหย่งั ถงึ แลว ซงึ่ โลกทงั้ หมดดวยความจริงแท คอื ตีรณปรญิ ญา เพราะเหตนุ น้ั จึงทรงพระนามวาตถาคต. พระผมู พี ระภาคเจาทรงถงึ แลว คือพนแลวซ่ึงเหตเุ กิดของโลกดวยความจริงแท คอื ปหานปรญิ ญา เพราะเหตนุ ั้น จึงทรงพระนามวา ตถาคต. พระผมู พี ระภาคเจา ทรงถึงแลว คือบรรลแุ ลว ซงึ่ ความดบั ของโลกดวยความจริงแท คือการกระทาํ ใหแ จง เพราะเหตนุ นั้ จึงทรงพระนามวา ตถาคต. พระผมู พี ระภาคเจา ทรงถงึ แลว คอื ดําเนนิ ไปถงึ แลวซึ่งความจริงแท คือขอปฏบิ ัตอิ นั เปนเหตุใหถงึ ความดับโลก เพราะเหตุน้ันจึงทรงพระนามวา ตถาคต. เพราะเหตุนั้น คําใดที่พระผูม ีพระภาคเจา ตรัสไววา ดูกอนภิกษุท้งั หลาย โลกอนั ตถาคตตรัสรูพ รอมเฉพาะแลว ตถาคตหลุดพนไปแลว จากโลก ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย เหตเุ กิดของโลกอันตถาคตตรสั รูพรอมเฉพาะแลว ตลาดตละเหตุเกดิ ของโลกไดแ ลว ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ความดับโลกอนั ตถาคตตรัสรพู รอ มเฉพาะแลว ตถาคตทําใหแ จง ความดับโลกไดแ ลว ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย ขอปฏบิ ัตซิ งึ่ เปน

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 121เหตุใหถ งึ ความดับโบกอนั ตถาคตตรสั รูพ รอมเฉพาะแลว ตถาคตเจรญิขอปฏิบัติซ่งึ เปน เหตุใหถ ึงความดบั โลกไดแ ลว ดกู อ นภิกษุทัง้ หลายสง่ิ ใด (มอี ย)ู แกโลกกับทงั้ เทวโลก สิง่ นน้ั ทั้งหมดอันตถาคตตรสั รูพรอมเฉพาะแลว เพราะฉะนั้น จงึ ไดร บั ขนานพระนามวา ตถาคตความหมายแหง คําน้นั นกั ศึกษาพึงทราบแมอยางน้.ี และแมถอ ยคาํ ดังวา มาน้ี กเ็ ปน เพียงมุขกถาในการแสดงถงึ ภาวะทพี่ ระตถาคตเปน ผูเขา ถึงความจรงิ แทเ ทา น้นั . ก็พระตถาคตเทา นัน้ พงึพรรณนาภาวะทพ่ี ระตถาคตเปนผเู ขา ถึงความจรงิ ไดโ ดยอาการทุกอยาง. อธิบาย อรห สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธ สว นใน ๒ บทวา อรห สมมฺ าสมฺพทุ ฺโธ พงึ ทราบอธิบายดงั ตอไปน้:ี - อันดบั แรก พระผูมพี ระภาคเจาพึงทราบวา เปนพระอรหนั ตดวยเหตเุ หลา น้ีคือ ๑. เพราะทรงไกล (จากกิเลส ) ๒. เพราะทรงกําจดั ขาศกึ ทงั้ หลาย ๓. เพราะทรงหกั ซ่ีกํา (แหงสงั สารจกั ร) ท้งั หลาย ๔. เพราะเปน ผูควรแกป จจัยเปน ตน ๕. เพราะไมม คี วามลับในการทาํ บาป สวนที่ชื่อวา สมั มาสัมพทุ ธะ เพราะตรัสรธู รรมท้งั ปวงโดยชอบและดว ยพระองคเ อง ความยอในท่นี ีม้ ีเทาน้ี . แตบททั้ง ๒ (คือ อรห

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 122สมฺนาสมพฺ ุทฺโธ) น้ี พระพทุ ธโฆษาจารยไ ดอธบิ ายไวแลวโดยพสิ ดารในการพรรณนาพทุ ธานุสสติในวสิ ุทธมิ รรค. ปรญิ ญาตวาระ กใ็ นบทวา ปริฺาตนตฺ  ตถาคตสสฺ นี้ พึงทราบอธบิ ายวา วัตถุ(ซึง่ เปน ท่ตี ้งั แหง ) การสาํ คัญยดึ ถอื นน้ั พระตถาคตกําหนดรแู ลว ดงั นี้กไ็ ด. วตั ถนุ ้นั ช่ือวา ตถาคตกาํ หนดรแู ลว คอื มีวาระอนั พระองคทรงรูอยางรอบตอบแลว มที ี่สดุ อนั พระองคทรงรูอยางรอบคอบแลว อธบิ ายวาทรงรอมรูอ ยางไมม ีอะไรเหลอื . อันที่จริง พระพุทธเจา ท้ังหลายกบั เหลาพระสาวกไมมีความแตกตางกันในการละกเิ ลสดวยมรรคน้นั ๆ กจ็ ริง ถงึ กระนัน้ ก็ยังมคี วามแตกตางกนั อยใู นเรอื่ งปรญิ ญา (ความรอบรู) เพราะวา เหลาพระสาวกพิจารณาธาตุ ๔ เพียงบางสวนเทา นน้ั ก็บรรลนุ ิพพานได แตส าํ หรบั พระพทุ ธเจาท้งั หลาย สงั ขารแมม ปี ระมาณนอย ท่ียังมไิ ดเ ห็น ยงั มไิ ดไตรตรองยงั มิไดพ ิจารณา ยังมิไดท ําใหแ จงดว ยพระญาณ ยอ มไมม ี. สว นวาระวาดวยนพิ พาน คอื วาระมีอาทิวา นันทิ (ความเพลดิ -เพลนิ ) เปน มูลรากของทกุ ข น้ีใด ที่พระพุทธเจา ตรสั ไวแ ลว วาระน้นัควรขยายความใหพ ิสดารแมใ นวาระวาดวยปฐวธี าตุ เปน ตน วาระนเ้ี ปนวาระวา ดวยสิง่ ท่ที รงกําหนดรู และเมื่อจะขยายความใหพิสดารออกไป วาระทวี่ า ปริฺ าตนฺต ตถาคตสสฺ ควรประกอบเขากับบททกุ บท (ท้งั )คําวา นนั ทิ เปน มลู รากของทกุ ข เปนตน กค็ วรประกอบเขา มาอกี สว นเทศนา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงยอไวดวยทรงสาํ คัญวา วตั ถุ (ซ่งึ

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 123เปนทต่ี ง้ั แหง การสาํ คัญยึดถอื ) เปนอนั กลา วไวในทุกบททเี ดยี ว. แกบท นนทฺ ิ ทุกขฺ สสฺ มลู  อนึ่ง ในบทวา นนฺทิ ทุกขฺ สฺส มูล เปนตน พึงทราบอธิบายดงั ตอ ไปนี้ :- บทวา นนฺทิ ไดแกต ัณหาคร้ังแรก. บทวา ทกุ ขฺ  ไดแ กเ บญจ-ขันธ ทวา มูล ไดแกร ากเหงา . บทวา อติ ิ วทิ ติ ฺวา ความวาเพราะทราบนันทิ (ความเพลิดเพลิน, ยนิ ดี ) ในภพครงั้ แรกนั้นอยางนี้วา เปนมูลรากของทกุ ขน.ี้ บทวา ภวา ไดแกเ พราะกรรมภพ.บทวา ชาติ ไดแกว ิบากขนั ธ (ขนั ธท เ่ี ปน วบิ าก คือ เวทนา สญั ญาสงั ขาร วญิ ญาณ). แทจ ริง วบิ ากขนั ธเ หลา นนั้ เพราะเหตทุ ีเ่ กิด ฉะนน้ัจงึ ตรสั เรียกวา ชาติ. อีกอยางหนงึ่ เทศนาน พระผูม พี ระภาคเจาแสดงไวโ ดยยกถึงชาติ (การเกิดของวบิ ากขนั ธ) เปนหัวขอ. แมเ ม่ือเปน อยา งน้จี งึ ควรประกอบเขากับคํานว้ี า อิติ วิทิตฺวา. ก็ในคาํ นี้ มอี ธบิ ายดงั นวี้ า กเ็ พราะทราบอยา งนีว้ า เพราะกรรมภพ (เจตนาท่ที ํากรรม)จงึ มีอปุ ปตตภิ พ. บทวา ภูตสสฺ แปลวา ของสัตว. บทวา ชรามรณแปลวา ชราและมรณะ. มีคาํ อธบิ ายอยา งนว้ี า ก็เพราะทราบอยา งนี้วาชราและมรณะยอมมแี กข ันธข องสตั วผ เู กดิ มาแลว เพราะอุปปต ติภพนน้ั . พระผมู พี ระภาคเจาประทบั น่งั โดยอปราชิตบลั ลงั ก ณ โคนตน โพธิ์ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทใด จึงไดบ รรลพุ ระสัพพัญุตญาณ เพราะทรงแทงตลอดซ่งึ ปฏิจจสมปุ บาทน้นั เม่ือจะทรงแสดงเหตแุ หงความไมม แี หงความสาํ คญั ยดึ ถือท้งั หลาย จงึ ทรงแสดงปฏจิ จสมปุ บาทนั้นแล ซ่งึ มีสังเขป

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 124(การยนยอ) ๔ สังเขป มสี นธิ ๓ สนธิ มีอทั ธา (กาล) ๓ อทั ธามีอาการ ๒๐. อธิบายปฏจิ จสมุปบาท ถามวา ก็ปฏิจจสมุปปบาทท้ังหมดนัน่ ยอ มเปนอนั พระผมู ีพระภาค-เจา ทรงแสดงแลว ดวยคาํ เพียงเทา นี้อยา งไร ? ตอบวา กใ็ นคําวา นนทฺ ิ ทกุ ฺขสฺส มูล น้ี มีอธบิ ายวา ศพั ทว านนทฺ ิ น้เี ปน สังเขปท่ี ๑ ทกุ ขเปน สงั เขปท่ี ๒ เพราะพระบาลีวาทุกขฺ สฺส ภพเปน สังเขปท่ี ๓ เพราะพระบาลวี า ภวา ชาติ ชาติชราและมรณะเปนสงั เขปท่ี ๔. พึงทราบสังเขป ๔ ดว ยคําเพยี งเทาน้ีดงัพรรณนามาฉะนี้. (บทวา สงั เขป) อธบิ ายวา ไดแ กส ว นทัง้ หลาย. ระหวางตณั หากับทกุ ข เปนสนธทิ ี่ ๑ ระหวางทุกขก ับภพเปนสนธิท่ี ๒ ระหวา งภพกบั ชาตเิ ปน สนธทิ ี่ ๓ พงึ ทราบสนธิ ๓ ระหวา งสังเขป ๔ ซ่งึ เหมือนกับระหวา งนว้ิ มือท้ัง ๔ ดงั พรรณนามาฉะนี้. ในปฏจิ จสมปุ บาทน้ัน นนั ทิเปนอตตี ทั ธา (กาลที่เปนอดตี )ชาติ ชรา และมรณะ เปนอนาคตทั ธา. (กาลทเี่ ปน อนาคต ) ทกุ ขและภพ เปน ปจ จปุ นนัทธา (กาลที่เปน ปจ จบุ ัน ) พึงทราบอทั ธา ๓ ดังพรรณนามาฉะนี้แล. อน่งึ ในอตีตทั ธา ในบรรดาอาการ ๕ ดวยคาํ วา นันทิ ตัณหาจงึ มาแลวหนงึ่ แมต ัณหานน้ั จะยังไมม า ( อาการ ๔ คือ) อวชิ ชาสงั ขาร อปุ าทาน และภพกเ็ ปน อนั จดั เขา แลวทีเดียว ดว ยลักษณะท่เี ปนปจจัย. อนงึ่ ดวยคําวา ชาติ ชรา และมรณะ เพราะเหตุทีอ่ ธบิ ายไวว า

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 125ขันธเ หลา ใดมชี าติ ชราและมรณะนั้น ขันธเ หลา น้นั พระผมู ีพระภาคเจาไดต รัสไวแ ลว ทีเดยี วในอนาคตัทธา จงึ เปน อนั รวมเอาวิญญาณ นามรูปสฬายตนะ ผัสสะ และเวทนาเขาไวด ว ยเชนกนั . ในกรรมภพซงึ่ เปน ภพแรกมธี รรม ๕ ประการนีค้ อื โมหะ ไดแ กอวิชชา การประมวลมา ไดแ กส งั ขาร ความใคร ไดแ กต ัณหาการเขา ไปยดึ ถือ ไดแกอปุ าทาน เจตนา ไดแกภพ เปน ปจ จัยของปฏิสนธใิ นปจจุปน นัทธา ในเพราะกรรมภพซ่ึงเปนภพแรก. ในปจ จุปน นัทธามธี รรม ๕ ประการนี้คือ ปฏสิ นธิ คอื วิญญาณสิง่ ที่กา วลงคือนามรปู ปสาทรปู คืออายตนะ. อาการท่ีถูกตองคือผัสสะอาการท่ีเสวยอารมณค ือเวทนา เปนปจ จัยของกรรมทที่ าํ ไวกอ น ในเพราะอปุ ปตตภิ พในปจจปุ นนัทธา. แตเ พราะในปจ จุปน นัทธา อายตนะทงั้ หลายเจรญิ ไดท ่แี ลว จงึ มีธรรม ๕ ประการเหลานค้ี อื โมหะคอื อวิชชา การประมวลมาคือสงั ขารความใครคอื ตณั หา การเขา ไปยึดถือคอื อปุ าทาน เจตนาคือกรรมภพเปนปจ จัยของปฏิสนธใิ นอนาคตัทธา ในเพราะกรรมภพในปจจปุ นนทั ธา. ในอนาคตทั ธามธี รรม ๕ ประการนค้ี อื ปฏสิ นธิคอื วญิ ญาณ ส่งิ ที่กา วลง (เกดิ ข้ึน) คือนามรปู ปสาทรปู คอื อายตนะ อาการทถี่ ูกตอ งคือผสั สะ อาการทีเ่ สวยอารมณคอื เวทนา เปนปจ จยั ของกรรมท่ที าํ ไวแลว ในปจจุปนนัทธา ในเพราะอุปปตตภิ พในอนาคตัทธา. พงึ ทราบอาการ ๒๐ เหลาน้ี ในปฏจิ จสมุปบาทน้ี ซง่ึ มีลกั ษณะดังแสดงไวแ ลวอยางนี้ ดว ยประการฉะน้นั แล.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 126 ปฏิจจสมปุ บาทซึ่งมีสงั เขป ๔ มสี นธิ ๓ มอี ัทธา ๓ (และ) มีอาการ ๒๐ แมท้ังหมดพึงทราบวา ยอ มเปนอันพระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงแลวดวยพระดาํ รสั เพียงเทา นว้ี า เพราะทราบอยา งนีว้ า นนั ทิ(ความเพลดิ เพลิน. ยนิ ด)ี เปนรากเหงาของทกุ ข จงึ ทราบตอ ไปวาเพราะภพจงึ มีชาติ สตั วท่เี กดิ มาแลว ยอมมชี ราและมรณะ ดวยประการดงั พรรณนามาฉะนี้. แกบ ท ขยา วริ าคา ปฏนิ สฺสคฺคา บัดน้ี ขา พเจาจกั กระทําการพรรณนาไปตามลําดับบท ในบทน้วี าตสฺมา ติห ภิกขฺ เว ฯเปฯ อภิสมฺพทุ ฺโธติ วทามิ แลวสรุปขอ ความดวยบทโยชนา. บทวา ตสฺมา ติห มีอธบิ ายวา ไดแก ตสฺมา (เพราะเหตนุ ั้น )นัน่ เอง. (เพราะวา ) ติ อักษร และ ห อกั ษร เปนนบิ าต. คําวาสพฺพโส น่ัน เปน คํากลา วไมม ีสว นเหลือ. บทวา ตณหฺ าน ไดแกต ณั หาทั้งหมดท่พี ระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวอ ยา งนีว้ า นันทิ. บทวา ขยาแปลวา เพราะความสน้ิ ไปโดยเด็ดขาดดวยโลกตุ ตรมรรค. คาํ วา วริ าคะ.(สาํ รอก) เปน ตน เปนไวพจนข องคาํ วา ขยะ (ความสิ้นไป).อธบิ ายวา ตณั หาเหลาใดในรูปแลว ตัณหาเหลา นนั้ ยอมเปน อนั สาํ รอกแลว บาง ดบั แลว บา ง สละท้ิงแลวบาง สลัดคืนบาง. อกี อยา งหนง่ึ คําวาขยา นัน้ เปน คาํ ใชท วีไปแกกิจของมรรคทงั้ ๔. เพราะเหตนุ ั้น จงึ ควรอธบิ ายประกอบความวา เพราะสํารอกไดดวยมรรคที่ ๑ (โสดาปต ตมิ รรค)มรรคท่ี ๒ (สกทาคามมิ รรค) เพราะสละทงิ้ ไดด ว ยมรรคที่ ๓ (อนา-

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 127คามมิ รรค ) เพราะสละคนื (เด็ดขาด ) ดว ยมรรคท่ี ๔ (อรหัตตมรรค). อีกอยางหนึ่ง พึงทําอธิบายประกอบความในพระดํารสั ตอนน้ี (อกี )อยา งนีว้ า ปถุ ุชนพึงหมายรูป ฐวธี าตุวาเปนปฐวธี าตุดว ยตัณหาเหลา ใดเพราะความส้ินไปแหงตัณหาเหลา นั้น ปถุ ุชนพึงสาํ คัญซ่ึงปฐวธี าตดุ วยตณั หาเหลาใด เพราะสํารอกเสียไดซึง่ ตณั หาเหลา น้นั ปถุ ุชนพงึ สําคญั ในปฐวีธาตดุ วยตณั หาเหลา ใด เพราะดับตัณหาเหลา น้ันเสียได ปถุ ชุ นพงึ สาํ คัญจากปฐวีธาตดุ วยตัณหาเหลา ใด เพราะสละทิง้ ซึง่ ตัณหาเหลา นัน้ เสียไดปถุ ุชนพงึ สาํ คัญวา ปฐวธี าตขุ องเราดว ยตณั หาเหลา ใด เพราะสละคนื ตัณหาเหลา นน้ั เสียได อีกอยางหน่ึง ปุถุชนพึงสาํ คญั ปฐวธี าตุดว ยตณั หาเหลา ใดเพราะความสิน้ ไปแหง ตณั หาเหลา นนั้ ฯ ลฯ ปถุ ุชนพงึ ยินดีปฐวีธาตุดว ยตณั หาเหลา ใด เพราะสละคืนตณั หาเหลา น้ันเสยี ได. (ความท้งั สองนี้ )ไมม ีอะไรทีข่ ดั แยงกนั . บทวา อนตุ ตฺ ร คอื เวน จากบคุ คลผยู งิ่ กวา ไดแ กป ระเสริฐกวาคนอนื่ ท้ังหมด. ความหมายของคาํ วา \"โพธ\"ิ บทวา สมฺมาสมโฺ พธึ แปลวา การตรัสรโู ดยชอบและดว ยพระองคเ อง อกี อยางหนึ่ง (หมายความวา) การตรสั รทู ีบ่ ณั ฑติ สรรเสริญและดี. บทวา โพธิ หมายถงึ ตน ไมบ าง มรรคบา ง สัพพัญุตญาณบา ง นิพพานบาง. อธบิ ายวา ตน ไม เรยี กวา โพธิ (เชน ) ในอาคต-สถานทีว่ า โพธริ ุกฺขมเู ล ปมาภสิ มฺพทุ โฺ ธ (แปลวา แรกตรัสรูณ โคนตนโพธ์ิ ) และวา อนตฺ รา จ โพธึ อนตฺ รา จ คย

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 128(แปลวา ระหวา งตนโพธิ์กับตาํ บลคยา). มรรคเรยี กวา โพธิ (เชน)ในอาคตสถานทีว่ า จตุมคฺเคสุ าณ (แปลวา ญาณในมรรค ๔)สพั พญั ุตญาณเรียกวา โพธิ (เชน ) โนอาคตสถานท่วี า ปปโฺ ปติโพธิ วรภมู ิ เมธโส (แปลวา พระผมู ีปญ ญาอนั ประเสริฐจอมปราชญทรงบรรลุพระโพธิญาณ). นพิ พานเรยี กวา โพธิ (เชน) ในอาคต-สถานที่วา ปตวฺ าน โพธึ อมต อสงขฺ ต (แปลวา พระผมู ีพระภาคเจาทรงบรรลุโพธอิ ันเปนอมตะไมถ กู ปจ จยั ปรงุ แตง). แตในท่นี ี้ ประสงคเอาอรหัตมรรคญาณของพระผูมพี ระภาคเจา. อาจารยอีกพวกหน่ึงกลา ววา ประสงคเอาสัพพัญุตญาณ ดังนีบ้ า ง. ถามวา อรหัตตมรรคของพระสาวกท้ังหลายจัดเปน โพธญิ าณอันยอดเย่ยี มหรือไม ? ตอบวา ไมจ ัด. ถามวา เพราะเหตุไร ? ตอบวา เพราะใหคณุ ไมไ ดทุกอยาง.เปนความจรงิ บรรดาพระสาวกเหลานน้ั อรหตั ตมรรคของบางทานใหไดเฉพาะอรหตั ตผลเทา นัน้ . ของบางทานใหวิชชา ๓ ของบางทา นใหอภิญญา ๖ ของบางทานใหป ฏสิ มั ภิทา ๔ ของบางทา นใหส าวกบารมญี าณ.แมข องพระปจเจกพทุ ธเจา ทั้งหลาย กใ็ หเฉพาะปจเจกโพธญิ าณเทา นน้ั สวนอรหตั ตมรรคของพระพทุ ธเจา ท้งั หลาย ยอมใหค ณุ สมบตั ทิ กุ อยาง เปรยี บเหมือนการอภเิ ษก (ในราชสมบัติ) ของพระราชายอ มใหค วามเปน ใหญในโลกทง้ั หมด เพราะฉะนนั้ โพธิญาณของใคร ๆ อ่ืนจึงไมจัดวายอดเย่ยี ม.

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 129 บทวา อภิสมสพฺ ทุ โฺ ธ หมายความวา รยู ่งิ แลว คอื แทงตลอดแลว อธบิ ายวา ถงึ แลว คอื บรรลุแลว. บทวา อติ ิ วทามิ ความวาเราตถาคตยอมกลาว คือบอก แสดง บญั ญตั ิ แตง ตงั้ เปดเผย จาํ แนกกระทําใหง าย ดว ยประการฉะน.้ี ในคาํ นั้นมอี ธิบายขยายความดังนว้ี าดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย แมต ถาคต ฯลฯ ยอมไมส ําคัญปฐวธี าตุ ฯลฯยอมไมยินดีปฐวธี าตุ ขอ นั้นเพราะเหตไุ ร? เพราะทราบอยา งนี้วานนั ทิ (ความเพลิดเพลิน, ยินดี) เปนรากเหงา ของทกุ ข เพราะภพจึงมีชาติ สตั วทีเ่ กิดมาแลวมีชราและมรณะ. อติ ิ อกั ษร ในบทวา อิติ วทิ ติ ฺวา (ที่มา) ในคาํ วา นนทฺ ิ ทุกขฺ สฺสมูล ฯเปฯ ชรา มรณนตฺ ิ อติ ิ วิทติ วฺ า นั้น มคี วามวา การณะ(เปนเหต)ุ เพราะเหตนุ ั้น จึงมีอธิบายวา เพราะรแู จง คือเพราะแทงตลอดซ่งึ ปฏิจจสมปุ บาทน.้ี พึงทราบเพ่มิ เตมิ ขึ้นอีกนดิ หนอ ย. เพราะเหตทุ ีพ่ ระตถาคตทรงรูแจง ปฏิจจสมปุ บาทนอี้ ยางน้ี จึงทรงละตณั หาท่ตี รสั ไววา นันทิ นั้นไดแมทุกประการ และเพราะตัณหาเหลา นัน้ สิ้นไปท้งั หมด พระตถาคตจึงไดต รัสรูพรอมเฉพาะซง่ึ พระอนุตตรสมั มาสมั โพธญิ าณ เพราะฉะน้ันตถาคตจงึ กลา ววา พระตถาคตยอมไมส ําคัญปฐวีธาตุ ฯลฯ ไมย ินดีปฐวธี าตุ อธิบายวา เพราะตรัสรพู รอมเฉพาะอยางนี้ ตถาคตจงึ กลาววาพระตถาคตไมส ําคญั ไมยนิ ดี (ซ่ึงปฐวธี าตุ). อีกอยา งหนง่ึ เพราะเหตุท่ีพระตถาคตทรงรูแจงปฏิจจสมุปบาทโดยนัยมอี าทิวา นันทเิ ปน รากเหงาของทกุ ข จึงทรงถงึ ความสนิ้ ไปแหงตณั หาโดยประการท้ังปวง ฉะน้นั แล ภิกษทุ ง้ั หลาย ตถาคตจงึ กลา ววา พระ-

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 130ตถาคตไดตรัสรพู รอมเฉพาะ ฯลฯ เพราะความส้นิ ไปแหงตัณหาโดยประการท้ังปวง เพราะไดต รัสรพู รอมเฉพาะอยา งน้ี พระตถาคตจงึ ไมสาํ คญั ปฐวธี าตุ ฯลฯ ไมยินดี. ก็ในท่ใี ด ๆ พระผมู ีพระภาคเจา ไมไดตรสั ยสมฺ า (เพราะเหตุใด) ไว ตรัสไวแ ต ตสมฺ า (เพราะเหตุนน้ั ) ในที่นน้ั ๆ ตอ งนาํ ยสมฺ า มาประกอบเขาดวย. วธิ นี ้ีเปน วิธีท่ยี ตุ ิกันแลวในทางศาสนา. ในทุกบทกม็ ีนัยอยางเดยี วกันน้ี. เหตุทพ่ี ระไมช น่ื ชมภาษติ ของพระพุทธเจา บทวา อทิ มโวจ ภควา ความวา พระผมู พี ระภาคเจาเมอ่ื จะทรงแสดงพระสพั พญั ุตญาณอันลึกซ้งึ อยางยงิ่ มีการหยัง่ ถึง ไมพงึไดด ว ยปญญาของคนเหลาอ่นื (ปญ ญาคนอืน่ หย่งั รูไมถงึ ) จงึ ทรงประดบั ดวยวาระของปุถชุ น ๑ วาระ ดวยวาระของเสขบุคคล ๑ วาระดว ยวาระของพระขณี าสพ ๔ วาระ (และ) ดวยวาระของพระตถาคต๒ วาระ รวมเปน ประดบั ดว ยวาระใหญ (สาํ คัญ) ๘ วาระ และในวาระ (ใหญ) แตล ะวาระทรงประดบั ดวยวาระในระหวาง (วาระยอย) ๒๔ วาระ มวี าระวา ดว ยปฐวีธาตุเปนตน แลว ในตรัสพระสตู รทั้งหมด ซึง่ เรม่ิ ตนแตต อนจบคําเร่มิ ตนจนกระท้งั ถึงคาํ วา ยาว อภสิ ม-ฺพุทโฺ ธ วทามิ ดวยปริยัตจิ ํานวน ๒ ภาณวาร. ก็แล พระผูม พี ระภาคเจาแมจ ะตรัสพระสตู รนอี้ นั ประกอบดว ยนัยอันวิจิต และความวลิ าสแหงเทศนาดวยพระสรุ เสยี งดจุ เสียงพรม ซ่งึไพเราะดุจเสียงของนกการเวก (และ) เปนเชนกบั ไดท รงราดรดหทยัของชนดวยน้ําอมฤต เพราะระรนื่ หอู ยูอยา งน้ี (ภกิ ษเุ หลานั้นก็ยงั มไิ ด

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 131ช่ืนชมพระภาษติ ). บทวา น เต ภิกฺขู ภควโต ภาสติ  อภินนทฺ ุ ความวา ภิกษุ๕๐๐ รูปเหลานัน้ มไิ ดอ นโุ มทนาพระดาํ รสั ของพระผูมีพระภาคเจานีเ้ ลย. ถามวา เพราะเหตุไร? ตอบวา เพราะไมเ ขาใจ. วา กนั วา ภิกษุเหลา นัน้ ไมเขา ใจเนือ้ หาของสตู รนี้ ฉะนนั้ จึงไมชื่นชม. จรงิ อยู ในสมยั นัน้ พระสตู รนน่ั แมจะประกอบดวยนัยอันวิจิตร และความวิลาสแหงเทศนาอยา งน้ี สําหรับภิกษเุ หลานน้ั ไดเ ปนเหมือนคนทเี่ ขาเอาผืนผาหนา ๆ ผูกปากไวแลว เอาของกนิ ทถ่ี ูกใจมาวางตรงหนา (ไมส ามารถจะกนิ ได) ฉะนัน้ . ถามวา ก็พระผมู พี ระภาคเจาทรงบําเพ็ญพระบารมีมาถงึ ๔ อสง-ไขย แลวไดบรรลพุ ระสัพพัญุตญาณก็เพอื่ สอนคนอนื่ ใหเ ขา ใจธรรมท่ีพระองคท รงแสดงมใิ ชห รอื ไฉนพระองคจึงทรงแสดงธรรมแกภิกษุเหลาน้ัน โดยท่ภี ิกษเุ หลานน้ั ไมเขา ใจ ( เน้ือหา) เลา ? ตอบวา คาํ ตอบนี้ ทานกลา วไวแลว ในการวิจารณบทตั้งของสตู รนี้วา พระผมู ีพระภาคเจา ทรงเร่ิมเทศนาไวอยา งนว้ี า สพพฺ ธมมฺ มูล-ปรยิ าย ก็เพือ่ หกั รานมานะ (ของภิกษุเหลาน้ัน) ฉะนั้น ในที่น้ี จงึ ไมม ีอะไรทต่ี อ งกลา วซ้าํ อกี . กแ็ ล ครนั้ ไดฟงสูตรนี้ท่พี ระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดง เพื่อหักรานมานะอยางนแี้ ลว ภกิ ษเุ หลา น้ันจึงคิดกันวา ไดยินวา ปุถุชนมี (มจิ ฉา -ทิฏฐิ) ทิฏฐิเปน แนวดําเนนิ ยอ มหมายรูปฐวีนั้นนัน่ แล ฝา ยพระเสขะพระอรหันต และพระตถาคตยอ มทราบอยางแนช ดั วา ส่ิงน้คี ืออะไร ส่ิงน้เี ปน อยา งไร ดงั นี้ เปนผูหมดมานะ เหมอื นอสรพิษท่ถี กู ถอนเข้ียวแลว

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 132ฉะนั้น ดว ยระลกึ ไดว า เมอ่ื กอ นพวกเรายอมรูทวั่ ถึงพระดาํ รสั อยางใดอยา งหนึง่ ทพี่ ระผมู ีพระภาคเจา ตรสั แลว อยางเรว็ พลันทีเดียว แตมาบดั น้ีกลบั ไมร ไู มเห็นท่สี ดุ หรอื เงอื่ นแหง มลู ปรยิ ายสตุ รนเ้ี ลย นา อัศจรรยจรงิพระพุทธเจาท้ังหลายทรง (มีพระปญ ญา) ทีใ่ คร ๆ ประมาณไมไ ดทรง (มพี ระปญ ญาทใ่ี คร ๆ ชง่ั ไมได) ดังนแี้ ลว ไดพ ากันไปสูท บี่ าํ รงุพระพุทธเจา และไปฟงธรรมโดยเคารพ. ภิกษุ ๕๐๐ รูปไดบ รรลอุ รหัตตผล ก็แลสมัยน้นั ภกิ ษุทั้งหลายน่ังประชุมกันในธรรมสภาสนทนากันถึงเรือ่ งนีว้ า นาอศั จรรยจรงิ อานุภาพของพระพุทธเจา ทง้ั หลาย พราหมณบรรพชติ เหลานัน้ มัวเมาแลวดวยความเมาในมานะ ยงั ถูกทาํ ใหหมดมานะไดด วยมูลปริยายเทศนาของพระผูมีพระภาคเจา. แตบัดนี้ ภิกษเุ หลานนั้ยงั พูดคยุ กนั คา งอยู. ลาํ ดบั น้ัน พระผมู ีพระภาคเจาเสดจ็ ออกจากพระคนั ธกฎุ ไี ปประทบั น่งั บนบวรพุทธอาสนท่ีปลู าดไวในธรรมสภา ดว ยปาฏิ-หาริยที่เหมาะสมกบั ขณะน้ัน แลวไดตรสั กบั ภิกษุเหลา นน้ั วา ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายสนทนากนั ดว ยเรื่องอะไรหนอ. ภิกษุเหลา นัน้ ไดทูลบอกเนือ้ความน้นั แดพระผมู ีพระภาคเจา . พระผูมีพระภาคเจาไดต รสั คาํ นว้ี าดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ใชแ ตบดั นเี้ ทา นั้น แมใ นกาลกอ น เราตถาคตกไ็ ดทําภกิ ษุเหลา นซ้ี ง่ึ เที่ยวลาํ พองอยูดว ยมานะใหห มดมานะแลวเหมือนกัน. จากนนั้ เพราะเกดิ เรือ่ งน้ีเปนเหตุ พระผมู พี ระภาณจาจึงทรงนาํ อดีตนพิ านน้มี าเลา วา :- ภกิ ษุท้ังหลาย เร่อื งเคยมีมาแลว พราหมณท ศิ าปาโมกขคนหนึ่ง

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 133อาศยั อยใู นเมอื งพาราณสี เรยี นจบไตรเพทพรอมทั้งนฆิ ัณฑุศาสตร และเกฏภศาสตร และประเภทอกั ษรสมยั มีคมั ภรี อ ิติหาสะเปน ท่ี ๕ เปนผชู ํานาญในคัมภีรไ วยากรณ และมหาปรุ ิสลักษณะ ในคมั ภรี โ ลกายตั .ิ พราหมณนนั้ ไดส อนมนตใหม าณพ ๕๐๐ คน. พวกมาณพทเี่ ปนคนฉลาดยอมเรยี นไดม าก จําไดเรว็ และแมย าํ มนตทม่ี าณพเหลานัน้ เรียนแลวไมเลอะเลอื นเลย. แมพ ราหมณน้ันก็มไิ ดห วงแหนวิชาเปน เหมือนเทนาํ้ ลงไปในหมอ ใหนาณพเหลา นนั้ เรียนศิลปะจนหมดแลว ไดก ลา วกะมาณพเหลานั้นดังน้วี า ศิลปะน้เี พียงเทา นี้ กเ็ ปนประโยชนท้งั ในปจ จบุ นั และภายภาคหนา .มาณพเหลา นน้ั ก็เกดิ มานะขนึ้ มาวา อาจารยข องพวกเรายอมรูสงิ่ ใด แมพวกเราก็รูสิง่ นน้ั บดั น้แี มพ วกเราก็เปน อาจารยไดแลว ตง้ั แตน ั้นมาก็ขาดความเคารพทอดทิง้ วัตรในอาจารยอยู. อาจารยทราบแลวคิดวา เราจกั ทําการขม มานะของมาณพเหลาน้นั . วนั หน่งึ ทานอาจารยไดก ลาวกะมาณพเหลา นนั้ ผูม ายงั สถานทบ่ี ํารงุ ไหวแลว นัง่ อยูว า พอ คุณท้ังหลายเอยอาจารยจกั ถามปญหากะพวกพอ (สักขอหน่งึ ) พวกพอจะสามารถกลาวแกไ ดไหม ? มาณพเหลานั้นกพ็ ากันรบี เรียนอยา งคนทเี มาการศกึ ษาวาถามเลย ทานอาจารย ถามเลย ทา นอาจารย. อาจารยจ งึ กลาววา กาลยอ มกนิ สรรพสตั วก ับท้ังตัวมนั เอง แตว าสัตวใด เลา ทกี่ นิ กาล ไดเผาไหมตณั หาที่เผาไหมส ตั วไป ดวยได ?แลว กลาวตอไปวา พอคณุ ทัง้ หลาย พวกพอจงแกปญ หานี้ซิ. มาณพเหลาน้ันคดิ แลว แตไมรู (คาํ ตออบ) จึงไดพ ากนั นง่ิ เงยี บ.

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 134อาจารยจ ึงกลา ววา เอาละพอ ท้งั หลาย วันน้ีกลับไปกอ น พรุงนคี้ อ ย(มา) กลาวแก ดงั น้ีแลว สงมาณพเหลา นัน้ กลบั ไป. มาณพเหลา น้นั(จากอาจารยมาแลว) จบั กลมุ กัน ๑๐ คนบาง ๒๐ คนบา ง (พจิ ารณาปญ หา) กย็ ังมองไมเ ห็นเบ้ืองตน ไมเ ห็นเบ้ืองปลายแหง ปญ หานน้ั . พวกเขาจงึ ไดพ ากนั มาบอกอาจารยว า พวกผมไมเ ขา ใจความหมายของปญ หานีเ้ ลย. เพื่อตองการขมมาณพเหลานั้น อาจารยจงึ ไดก ลาวคาถาน้วี า ศีรษะของคนจาํ นวนมากมผี มดกและใหญอยบู นคอ ในเขาเหลา น้ีใครเลาเปน ผมู ีห.ู คาถา (นี้ ) มีอธิบายวา ศีรษะของคนจาํ นวนมากปรากฏอยู และศรี ษะเหลานนั้ ทงั้ หมดกม็ ผี ม ทัง้ หมดเปนศีรษะใหญตั้งอยบู นคอ แตว ามือเออ้ื มไมถ ึง เชน เดยี วกบั ผลตาล (ที่มือเออ้ื มไมถ ึง) ฉะน้ัน ศีรษะเหลานนั้ กับศีรษะเหลา น้ี ไมม ีความแตกตางกัน. แตใ นทน่ี ้ี อาจารยกลาววา โกจเิ ทว กณณฺ วา ดังน้ี หมายเอาตนเอง. บทวา กณณฺ วา แปลวาผมู ีปญญา. ก็ใครกนั เลาทไ่ี มม ีรหู ?ู มาณพเหลานัน้ ไดฟ ง คาถาน้นั แลว เปน ผเู กอเขนิ คอตก (นงั่ )กม หนา นง่ิ เอานวิ้ มือขีดดนิ . ลําดับนน้ั อาจารยเห็นวามาณพเหลา นัน้ มีความละอายใจ แลวจงึ กลาววา พอคณุ ทงั้ หลาย พวกพอ จงเรยี นเอาปญหาเถิดดงั นี้แลว ไดแ กปญหา (ใหม าณพเหลา นั้นฟง). บทวา กาล ไดแกก าลมอี าทิอยางนค้ี อื เวลากอ นอาหารบางเวลาหลังอาหารบาง. คาํ วา ภูตานิ นน่ั เปนช่อื เรยี กสตั ว. กาลหาไดเคยี้ วกินเนือ้ และหนังเปน ตนของสัตวทง้ั หลายไม. ทีแ่ ทแ ลกลับทําใหอายุ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 135วรรณะ และพละของสัตวเ หลานนั้ สิน้ ไป ย่ํายคี วามเปน หนมุ ความเปนสาว ทําความเปน ผูไมมีโรคใหพ ินาศไป จึงเรยี กวา กนิ คอื เค้ียวกิน. บทวา สพพฺ าเนว สหตตฺ นา ความวา และกาลเมื่อกินอยูอยา งนนั้ ยอ มไมเวนอะไร ๆ ยอ มกินท้ังหมดทีเดยี ว และใชว า จะกนิ แตส ัตวท้ังหลายเหลาน้ัน ทแี่ ทแ ลยงั กนิ ตวั มันเองไปพรอ มกับตัวมนั เอง ( อีก)ดว ย (คือ) เวลากอนอาหาร ( ผา นไป) จะมาเปนเวลาหลังอาหาร(อกี ) ไมไ ด. ในเวลาหลงั อาหารเปน ตนกม็ ีนัยแบบน.ี้ บทวา โย จ กาลฆโส ภูโต น่นั เปนชอื่ เรยี กพระขีณาสพ.กพ็ ระขณี าสพนัน้ เรียกวา ผูกนิ กาล เพราะทา นกินปฏสิ นธกิ าลในภพตอไปจนหมดส้นิ แลว ดํารงอยู. บทวา สภูตปจนึ ปจิ ความวา ตัณหานใี้ ดยอ มเผาสัตวทงั้ หลายในอบายทัง้ หลาย พระขณี าสพนัน้ เผาตณั หานน้ั ดว ยไฟคือญาณ ไดแ กท ําใหเปน เถา ถา นไปแลว. เพราะเหตุน้นั จึงกลาววา ภูตปจนึ ปจิ (แปลวาเผาตัณหาทเ่ี ผาสตั ว). (ในคาํ วา ปจนึ) บาลเี ปน ปชชฺ นึ กม็ .ี หมายความวา ใหเ กิด คอื ใหบ งั เกิด. ลําดับนนั้ มาณพเหลาน้ัน. เหน็ เนือ้ ความของปญ หาปรากฏชดั ความคําแกข องอาจารยเหมือนคนเห็นทีเรียบและทข่ี รขุ ระในตอนกลางคืนดวยแสงสวางของประทปี พนั ดวง จึงคิดวา บัดนีพ้ วกเราจักอยูรว มกับอาจารยจนตลอดชีวิต ขึ้นช่อื วา อาจารยแ ลว เปนผยู ง่ิ ใหญ ก็พวกเราเกิดความถอื ตวั วา ไดศ กึ ษามามากจงึ ไมร คู วามหมายของคาถาแมเ พยี ง ๔ บาทขจดั มานะไดแ ลว (หันกลับ) มาทาํ วตั รปฏบิ ตั แิ กอ าจารยเ หมอื นเมื่อกอ นแลว ไดเปนผมู สี วรรคเปน ทไ่ี ปในเบือ้ งหนา . ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 136ในสมยั นน้ั เราตถาคตไดเ ปนอาจารย ภิกษเุ หลานี้ไดเปนมาณพ แมใ นกาลกอน ตถาคตกไ็ ดท ําภิกษุเหลาน้ีซึ่งมีมานะจัดทองเท่ยี วไปอยอู ยางน้ีใหหมดมานะ ดวยประการฉะน้ี. ภิกษุเหลานน้ั ไดฟ งชาดกนี้แลวคดิ ไดว า แมเมอ่ื กอ นพวกเรากถ็ ูกมานะครอบงาํ แลว จึงขจดั มานะออกใหยงิ่ ขึน้ ไปอีกได เปนผมู ุงหนา(ปฏบิ ัติ ) กรรมฐานท่ีเปน อปุ การะแกตน. ตอมาคราวหนง่ึ พระผมู -ีพระภาคเจาเสด็จเทีย่ วจาริกไปในชนบทถึงเมืองไพศาลี แลว ประทบั อยูทีโคตมกเจดีย ทรงทราบวา ภกิ ษุ ๕๐๐ รูปเหลา น้นั มญี าณแกก ลา แลว จึงตรัสโคตมกสตู รนีว้ า ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย เราตถาคตยอมแสดงธรรมเพอื่ความรูย่ิง ไมใ ชแ สดงเพือ่ ความไมรูย่งิ เราตถาคตแสดงธรรมมีเหตุ ฯลฯดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย เราตถาคตแสดงธรรมมปี าฏหิ ารยิ  ไมใชแสดงธรรมไมม ปี าฏหิ าริย ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย เม่อื ตถาคตน้ันแสดงธรรมเพอ่ื ความรูย่ิง ฯลฯ ไหใชแ สดงธรรมไมมปี าฏิหารยิ  โอวาทจงึ เปนสิ่งท่ีควรทําตามอนุสาสนเี ปนสงิ่ ทคี่ วรทําตาม ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย กแ็ ลเธอท้งั หลาย อยาเพ่งิ ยนิ ดี อยาเพ่ิงเอิบอิ่มใจ อยาเพง่ิ โสมนสั ใจวา พระผูม ีพระภาคเจาตรัสรอู ยา งถูกตองดว ยพระองคเอง พระธรรมอันพระผูม พี ระภาคเจา ตรัสไวด แี ลว พระสงฆ (สาวกของพระผมู พี ระภาคเจา) ปฏบิ ตั ิดีแลว. พระผูมพี ระภาคเจา ไดต รัสพระสูตรน้ี ก็แลเมอื่ พระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวยากรณนอี้ ยู หมืน่ โลกธาตุกไ็ ดห วั่นไหวแลว. ก็ภกิ ษุ ๕๐๐ รูปเหลา น้ันไดสดบั พระสตู รนแ้ี ลว ไดบ รรลุเปนพระอรหันตพรอ มดวยปฏิสัมภทิ าท้ังหลายในเวลาจบ (พระสูตร) นน้ั เอง.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 137เทศนาน้ีไดจบลงในที่น้นั ดว ยอาการอยางน้ีแล. จบอรรถกถามลู ปรยิ ายสูตร ในอรรถกถามชั ฌมิ นกิ าย ช่อื ปปญจ-สทู นี. จบสูตรที่ ๑

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 138 ๒. สัพพาสวสงั วรสูตร ๑ [ ๑๐ ] ขา พเจา ไดสดบั มาอยางนี.้ สมัยหนง่ึ พระผมู พี ระภาคเจา เสดจ็ ประทบั ณ พระวิหารเชตวันอารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้น พระผูมีพระภาคเจาตรัสเรยี กภกิ ษุท้งั หลายวา ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลายะ ภกิ ษุเหลา นนั้ ทลู รบั พระผมู พี ระภาคเจา วา พระเจา ขา . พระผูมพี ระภาคเจาไดต รสั พระพุทธพจนน ้ีวา ดูกอ นภิกษุท้ังหลาย เราจกั แสดงปรยิ ายวาดว ยการสังวรอาสวะท้ังปวงแกพวกเธอ พวกเธอจงพงึ จงใสใ จใหดี เราจกั กลาว. ภกิ ษุเหลา นั้นทูลรับพระผูม ีพระภาคเจาวา อยางนนั้ พระเจา ขา. [๑๑] พระผูม พี ระภาคเจา ไดตรสั วา ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย เรากลาวความสิน้ อาสวะไว สาํ หรับภิกษผุ รู อู ยู เหน็ อยู เราไมก ลาวความสนิ้อาสวะไวสาํ หรับภกิ ษุผูไ มร ไู มเหน็ . ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย ความสิน้ อาสวะจะมไี ดแ กภ กิ ษุผรู อู ะไร เห็นอะไร ? ความสนิ้ อาสวะจะมีไดแ กภกิ ษุผูรเู ห็นโยนโิ สมนสกิ ารและอโยนิโสมนสกิ าร. ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย เมือ่ ภกิ ษุมนสิการโดยไมแยบคาย อาสวะทัง้ หลายทย่ี ังไมเ กิด ยอมเกิดขนึ้ และทีเ่ กิดขนึ้ แลว ยอมเจรญิ . ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เมอ่ื ภิกษุมนสกิ ารโดยแยบคายอาสวะทัง้ หลายท่ียังไมเกิด ยอ มไมเกดิ ขึ้น และท่ีเกิดขน้ึ แลว เธอยอ มละเสียได. ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย (๑) อาสนะทจี่ ะพึงละไดเพราะการเหน็ กม็ ี (๒) ทจ่ี ะพงึ ไดเ พราะการสงั วรกม็ ี ( ๓ ) ทจ่ี ะพึงละไดเพราะเสพเฉพาะก็มี (๔) ทจ่ี ะพึงละไดเพราะความอดกลน้ั ก็มี๑. ในอรรถกถา เรียกสัพพาสวสตู ร.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 139(๕) ท่จี ะพงึ ละไดเพราะเวน รอบก็มี (๖) ทจ่ี ะพึงละไดเพราะบรร-เทาก็มี (๗) ทีจ่ ะพึงละไดเ พราะอบรมกม็ .ี (๑) อาสวะทล่ี ะไดเ พราะการเห็น [๑๒] ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย ก็อาสวะเหลา ไหน ทจี่ ะพึงละไดเพราะการเหน็ ? ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ปถุ ชุ นในโลกน้ี ผูไมไดส ดับ ไมไ ดเห็นพระอรยิ ะทงั้ หลาย ไมฉ ลาดในธรรมของพระอรยิ ะ ไมไดร บั แนะนําในธรรมของพระอริยะ. ไมไดเห็นสัตบรุ ษุ ไมฉ ลาดในธรรมของสตั บุรษุไมไดร ับแนะนําในธรรมของสตั บรุ ุษ ยอ มไมรธู รรมอนั ตนควรมนสิการ.เมือ่ เขาไมรูธ รรมทคี่ วรมนสกิ าร ไมรูธรรมที่ไมควรมนสิการ ยอ มมนสกิ ารธรรมท่ไี มควรมนสิการ ไมมนสกิ ารธรรมท่คี วรมนสิการ. ดูกอ นภิกษุทง้ั หลาย ธรรมทไ่ี มควรมนสกิ าร ท่ปี ถุ ชุ นมนสกิ ารอยูเปน ไฉน ? เม่ือปุถชุ นมนสกิ ารธรรมเหลาใดอยู กามาสวะก็ดี ภวาสวะกด็ ีอวชิ ชาสวะกด็ ี ทีย่ งั ไมเ กิด ยอ มเกดิ ขน้ึ ที่เกิดขน้ึ แลว ยอ มเจริญ ธรรมเหลา น้ีไมควรมนสิการ ซึง่ เขามนสกิ ารอย.ู ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย กธ็ รรมที่ควรมนสิการ ทปี่ ุถุชนไมมนสิการอยูเปน ไฉน. เม่ือปถุ ชุ นมนสิการธรรมเหลา ใดอยู กามาสวะก็ดี ภวาสวะก็ดีอวิชชาสวะก็ดี ที่ยงั ไมเกดิ ยอ มไมเ กดิ ข้ึน ที่เกดิ ขนึ้ แลว ยอ มเส่ือมสน้ิ ไปธรรมเหลานี้ ควรมนสิการ ซึ่งเขาไมมนสิการอยู อาสวะทง้ั หลายทยี่ ังไมเ กดิยอมเกดิ ขึน้ ท่เี กดิ ข้นึ แลว ยอมเจริญแกป ุถุชนนนั้ เพราะมนสิการธรรมทไี่ มควรมนสิการ และเพราะไมม นสกิ ารธรรมทคี่ วรมนสิการ.

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 140 ปถุ ชุ นน้นั มนสิการโดยไมแยบคายอยางนวี้ า เราไดม แี ลวในอดีต-กาลอนั ยืดยาวนาน หรือหนอ หรอื เราไมไดมแี ลวในอดตี กาลอันยดื ยาวนาน ในอดีตกาลอนั ยืดยาวนาน เราไดเปนอะไรหนอ ในอดีตกาลอันยืดยาวนาน เราไดเ ปน อยา งไรหนอ ในอดตี กาลอันยืดยาวนาน เราไดเปน อะไรแลวจงึ เปน อะไรหนอ ในอนาคตกาลอันยืดยาวนาน เราจักเปนหรือหนอ ในอนาคตกาลอันยดื ยาวหาน เราจกั ไมเ ปน ในอนาคตกาลอนั ยดื ยาวนาน เราจักเปน อะไรหนอ ในอนาคตกาลอันยืดยาวนาน เราจักเปนอยา งไรหนอ ในอนาคตกาลอันยดื ยาวนาน เราจกั เปนอะไรแลวจงึ จกั เปน อะไรหนอ หรอื วา ปรารภกาลปจจุบันอันยืดยาวนาน ในบัดนี้มคี วามสงสยั ข้ึนภายในวา เรามอี ยูหรือ หรือเราไมม ี เราเปน อะไรหนอเราเปน อยางไรหนอ สตั วน มี้ าแตไ หนหนอ และจักไปไหน? เม่อื ปถุ ชุ นน้ันมนสกิ ารโดยไมแยบคายอยา งนี้ บรรดาทฏิ ฐิ ๖ ทิฏฐิอยา งใดอยา งหนง่ึ ยอ มเกิดข้ึน. ทิฏฐโิ ดยจริงโดยแท ยอ มเกดิ ขึ้นแกปถุ ชุ นนั้นวา อัตตาของเรามีอยู หรือวา อัตตาของเราไมม ีอยู หรอื วา เรายอมรูอตั ตาดวยตนเอง หรือวา เรายอมรสู ภาพมใิ ชอตั ตาดวยตนเอง หรือวาเรายอมรูอตั ตาดว ยสภาพมิใชตน. อกี อยา งหนง่ึ ทิฏฐยิ อมเกิดมีแกป ถุ ชุ นนนั้ อยา งนีว้ า อัตตาของเราน้ไี ดเ ปน ผู (บงการ ) เสวย ยอ มเสวยวิบากของกรรมท้งั ดที ้ังชัว่ ในอารมณน ั้น ๆ ก็อตั ตาของเราน้ีเปนของเที่ยง ยงั่ ยนืติดตอ ไมแปรปรวนเปนธรรมดา จักตง้ั อยอู ยางนนั้ เสมอดว ยสง่ิ ย่งั ยนื แท.ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ขอ นี้เรากลา ววา ทฏิ ฐิ ชฏั คือทฏิ ฐิ กนั ดารคือทิฏฐิเส้ียนหนามคือทฏิ ฐิ ความดน้ิ รนคือทฏิ ฐิ สิง่ ทป่ี ระกอบสตั วไวคอืทฏิ ฐิ. ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย เรากลา ววา ปถุ ุชนผไู มไ ดสดบั ผูประกอบ

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 141ดวยทิฏฐสิ ังโยชน ยอมไมพน จากชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ขโทมนสั และอุปายาส ยอ มไมพ น จากทุกข. ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย สว นอรยิ สาวกผสู ดบั ผเู ห็นพระอริยเจาทง้ัหลาย ฉลาดในธรรมของพระอริยเจา ไดรบั แนะนําดว ยดีในธรรมของพระอรยิ เจา ผูเ ห็นสัตบรุ ุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรษุ ไดร บั แนะนาํดว ยดีในธรรมของสัตบุรุษ ยอมรูธรรมทีค่ วรมนสิการ และไมค วรมนส-ิการ. เมือ่ อริยสาวกนัน้ รูธ รรมท่คี วรมนสกิ าร และไมค วรมนสิการ ยอ มไมมนสิการธรรมท่ีไมควรมนสกิ าร และมนสิการธรรมท่ีควรมนสิการ. ดูกอ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ธรรมท่ีไมควรมนสกิ ารเหลา ไหน ท่ีอริยสาวกไมมนสกิ าร ? ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย (คอื ) เมอื่ อริยสาวกมนสิการธรรมเหลา ใดอยู กามาสวะก็ดี ภวาสวะกด็ ี อวิชชาสวะกด็ ี ที่ยังไมเกดิ ยอ มเกิดขึน้ ทีเ่ กดิ ขน้ึ แลว ยอ มเจรญิ ธรรมเหลา นัน้ ทีไ่ มค วรมนสิการ ซึ่งอรยิ สาวกไมมนสกิ าร. ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ธรรมที่ควรมนสกิ ารเหลาไหน ท่ีอริยสาวกมนสิการอยู ? คือ เมือ่ อรยิ สาวกมนสิการธรรมเหลาใดอยู กามาสวะกด็ ีภวาสวะก็ดี อวิชชาสวะก็ดี ที่ยังไมเ กดิ ยอมไมเกดิ ขนึ้ ท่เี กดิ ขึ้นแลวยอ มเส่ือมสนิ้ ไป ธรรมเหลา นีท้ ี่ควรมนสิการ ซง่ึ อริยสาวกมนสิการอยู.อาสวะท้ังหลายที่ยงั ไมเกดิ จะไมเ กดิ ข้ึน และท่ีเกิดข้นึ แลว จะเสือ่ มสน้ิไป เพราะอรยิ สาวกนั้น ไมม นสิการธรรมทไ่ี มควรมนสกิ าร และเพราะมนสิการธรรมทคี่ วรมนสกิ าร. อริยสาวกนนั้ ยอ มมนสกิ ารโดยแยบคายวา น้ที กุ ข นเ้ี หตุใหเกิดทุกขน้ีความดบั ทกุ ข นี้ปฏิปทาใหถ อื ความคับทุกข เมือ่ อรยิ สาวกนัน้ มนสกิ าร

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 142อยูโดยแยบคายอยา งน้ี สงั โยชน ๓ คอื สักกายทฏิ ฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพต-ปรามาสยอมเปน อนั เธอละได. ดูกอ นภิกษุทงั้ หลาย อาสวะเหลานี้ เราตถาคตกลาววาจะพึงละได เพราะการเห็น. (๒) อาสวะทล่ี ะได เพราะการสังวร [๑๓] ดกู อ นภกิ ษทุ ้ังหลาย ก็อาสวะเหลาไหน ที่จะพงึ ละไดเพราะการสงั วร ? ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย คอื ภิกษุในพระธรรนวนิ ยั น้ี พจิ ารณาโดยแยบคายแลวเปน ผสู ํารวมแลว ดว ยควานสํารวมในจกั ขนุ ทรียอยู. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย กอ็ าสวะและความเรารอ นอัน กระทาํ ความคบั แคน เหลา ใดพึงเกิดขึน้ แกภ ิกษนุ ัน้ ผูไ มส าํ รวมจักขุนทรยี  อาสวะและความเรา รอนอนั กระทาํ ความคบั แคน เหลานั้น ยอมไมมแี กภิกษุน้นั ผสู าํ รวมจัก ขนุ ทรียอยูอยางนี้. ภิกษุพจิ ารณาโดยแยบคายแลว เปน ผูสาํ รวมดวยความสาํ รวมใน โสตนิ ทรยี อยู . . . ภิกษพุ ิจารณาโดแยบคายแลว เปน ผสู ํารวมดวยความสาํ รวมใน ฆานนิ ทรยี อยู . . . ภกิ ษุพิจารณาโดยแยบคายแลว เปนผูสํารวมดว ยความสาํ รวมใน ชิวหินทรียอยู . . . ภกิ ษุพิจารณาโดยแยบคายแลว เปน ผูสํารวมดวยความสํารวมใน กายนิ ทรยี อ ยู . . . ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแลว เปน ผูสํารวมดวยความสาํ รวมใน มนินทรยี อ ย.ู . .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 143 ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย. ก็อาสวะและความเรา รอนอนั กระทาํ ความคับแคนเหลาใด พงึ บังเกิดขนึ้ แกภกิ ษุผูไมสาํ รวมในมนนิ ทรยี อยู อาสวะและความเรารอ นอันกระทาํ ความคบั แคนเหลา นน้ั ยอ มไมม แี กภ ิกษุผสู าํ รวมในมนินทรียอ ยอู ยางนี้. ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย อาสวะเหลาน้ี เราตถาคตกลาววา จะพงึ ละไดเพราะการสงั วร. (๓) อาสวะทลี่ ะไดเพราะการพิจารณา [ ๑๔] ดูกอนภิกษุท้ังหลาย ก็อาสวะเหลา ไหน ทีจ่ ะพึงละไดเพราะการพจิ ารณาเสพ ? คือ ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ภกิ ษใุ นพระธรรมวนิ ยัน้ี พจิ ารณาโดยแยบคายแลว เสพจวี รเพียงเพ่อื กําจัดหนาว รอน สมั ผัสแหงเหลือบ ยุง ลม แดด และสตั วเลอ้ื ยคลาน เพียงเพ่ือจะปกปดอวัยวะท่ีใหความละอายกาํ เริบ พิจารณาโดยแยบคายแลว เสพบณิ ฑบาตมใิ ชเ พอื่จะเลน มิใชเพือ่ มวั เมา มใิ ชเ พอ่ื ประดับ มใิ ชเ พอ่ื ตบแตง เพียงเพอ่ื ใหกายน้ีดํารงอยู เพอื่ ใหเปนไป เพื่อกาํ จดั ความลําบาก เพ่ืออนเุ คราะหแกพรหมจรรย ดวยคิดวา จะกําจดั เวทนาเกา เสยี ดวย จะไมใ หเ วทนาใหมเกดิ ขน้ึ ดว ย ความเปนไป ความไมม โี ทษ และความอยูสบายดวย จักมีแกเรา ฉะน้.ี พิจารณาโดยแยบคายแลว เสพเสนาสนะ เพยี งเพอ่ื กาํ จดัหนาว รอน สัมผสั แหง เหลอื บ ยุง ลม แดด และสัตวเลอื้ ยคลานเพียงเพ่ือบรรเทาอันตรายแตฤดู เพื่อร่นื รมยใ นการหลีกออกเรน อยูพจิ ารณาโดยแยบคายแลว เสพบรขิ าร คือยาอันเปนปจจัยแกคนไข เพยี งเพอ่ื กําจดั เวทนาท่เี กิดแตอ าพาธตา ง ๆ ทเ่ี กดิ ข้นึ แลว เพอื่ ความเปน ผูไ มมีอาพาธเบียดเบียนเปน อยางย่งิ .

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 144 ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย อาสวะและความเรารอ น อนั กระทําความคับแคนเหลา ใด พึงบังเกิดขนึ้ แกภกิ ษนุ น้ั ผูไมพิจารณาเสพปจ จัยอนั ใดอนั หน่งึ อาสวะและความเรารอนอันกระทาํ ความคับแคนเหลานัน้ ยอ มไมม แี กภ กิ ษผุ ูพิจารณาเสพอยอู ยา งน.้ี ดูกอ นภกิ ษทุ ั้งหลาย อาสวะเหลานี้เราตถาคตกลา ววา จะพึงละไดเ พราะการพิจารณาเสพ. (๔) อาสวะท่ีละไดเพราะความกดกลัน้ [๑๕] ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย กอ็ าสวะเหลาไหนที่จะพงึ ละไดเ พราะความอดกล้ัน ? ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษุในพระธรรมวนิ ยั น้ี พิจารณาโดยแยบคายแลว เปนผอู ดทนตอหนาว รอน หิว กระหาย สมั ผสั แหงเหลือบ ยงุ ลม แดด และสตั วเ ลือ้ ยคลาน เปน ผมู ีชาติของผอู ดกล้นั ตอถอยคําท่ีผอู ืน่ กลาวช่วั รา ยแรง ตอ เวทนาท่ีมอี ยูในตวั ซงึ่ บังเกดิ ขน้ึเปนทุกข หนา แข็ง กลา ไมเ ปน ท่ยี นิ ดี ไมเปน ที่ชอบใจ อาจพรา ชวี ติเสียได. ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย อาสวะและความเรา รอน อนั กระทาํ ความคบั แคน เหลาใด พงึ บงั เกดิ ขนึ้ แกภ ิกษนุ น้ั ผไู มอดกลั้นอยู อาสวะและความเรารอ นอนั กระทาํ ความคบั แคน เหลาน้ัน ยอ มไมมีแกภิกษนุ น้ั ผอู ดกลั้นอยูอยางน.้ี ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย อาสวะเหลานน้ั เราตถาคตกลาววา จะพงึละไดเ พราะความอดกลน้ั .

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 145 (๕) อาสวะทีล่ ะไดเ พราะการเวน [๑๖] ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย กอ็ าสวะเหลา ไหน ทจ่ี ะพึงละไดเพราะความเวนรอบ ? ดกู อนภิกษุท้ังหลาย ภกิ ษใุ นพระธรรนวนิ ยั นี้ พิจารณาโดยแยบคายแลว หลกี หนีชางทีด่ รุ าย มาที่ดรุ าย โคท่ดี รุ า ย สนุ ขั ทดี่ รุ า ยงู หลกั ตอ สถานทมี่ หี นาม บอ เหว ท่เี ตม็ ดว ยของไมส ะอาด โสโครก.เพือ่ นพรหมจรรย ผูเปน วญิ ูชนท้ังหลาย พึงกาํ หนดลงซึง่ บุคคลผูนง่ัณ ที่มใิ ชอ าสนะเหน็ ปานใด ผูเท่ยี วไปในท่มี ใิ ชโ คจรเห็นปานใด ผูคบมติ รท่ลี ามกเหน็ ปานใด ในสถานทง้ั หลายอนั ลามก. ภกิ ษนุ ัน้ พิจารณาโดยแยบคายแลว เวน ทีม่ ใิ ชอ าสวะนน้ั ท่ีมใิ ชโคจรน้นั และมิตรผลู ามกเหลา นั้น. ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย จริงอยู อาสวะและความเรารอน อนักระทําความคบั แคน เหลาใด พึงบังเกดิ ขึน้ แกภ กิ ษนุ ้นั ผูไ มเ วนสถานหรอื บคุ คลอันใดอันหน่งึ อาสวะและความเรา รอ น อนั กระทําความอบัแคนเหลาน้ัน ยอมไมมแี กภ ิกษุ ผูเวนรอบอยูอยางน.ี้ ดกู อนภกิ ษุท้งั หลายอาสวะเหลา น้ี เราตถาคตกลาววา จะพึงละไดเ พราะความเวน รอบ. (๖) อาสวะทล่ี ะไดเพราะการบรรเทา [๑๗] ดกู อนภิกษทุ งั้ หลาย กอ็ าสวะเหลาไหน ที่จะพึงละไดเพราะความบรรเทา? ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ภกิ ษุในพระธรรมวนิ ยั นี้พิจารณาโดยแยบคายแลว ยอมอดกลนั้ ยอมละ ยอมบรรเทากามวติ กทีเ่ กิดขน้ึ แลว ทําใหส น้ิ สูญ ใหถึงความไมมี ยอมอดกล้ัน ยอมละ ยอ มบรรเทาพยาบาทวติ กทีเ่ กดิ ข้ึนแลว ทําใหสิ้นสญู ใหถ งึ ความไมมี ยอ ม

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 146อดกลัน้ ยอ มละ ยอมบรรเทาพยาบาทวิตกทเ่ี กดิ ข้ึนแลว ทาํ ใหส น้ิ สูญใหถ งึ ความไมมี ยอ มอดกลั้น ยอมละ ยอมบรรเทาวิหงิ สาวติ กทเ่ี กิดขนึ้ แลว ทาํ ใหสิ้นสญู ใหถงึ ความไมม ี ยอมอดกล้นั ยอ มละ ยอมบรรเทาธรรมทเ่ี ปนบาปอกศุ ลที่บังเกิดขึ้นแลว ทาํ ใหสิน้ สูญ ใหถ ึงความไมม ี.ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย ก็อาสวะและความเรา รอน อนั กระทําความคบั แคนเหลาใด พึงบังเกิดข้นึ แกภกิ ษนุ ัน้ ผูไมบ รรเทาธรรมอนั ใดอนั หนึ่งอาสวะและความเรารอน อันกระทาํ ความคับแคนเหลา น้ัน ยอ มไมม แี กภิกษุผูบรรเทาอยอู ยางน้ี ดูกอนภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหลานั้น เราตถาคตกลา ววา จะพึงละไดเพราะความบรรเทา. (๗) อาสวะทล่ี ะไดเพราะการอบรม [๑๘] ดูกอ นภิกษทุ ้งั หลาย ก็อาสวะเหลาไหน ทจี่ ะพงึ ละไดเพราะอบรม ? ดูกอนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวนิ ัยนี้ พจิ ารณาโดยแยบคายแลว เจรญิ สติสัมโพชณงค อันอาศัยวเิ วก อาศัยวิราคะอาศยั นโิ รธ นอ มไปในความสลัดออก เจริญธมั มวจิ ยสัมโพชฌงค...เจรญิ วริ ยิ สัมโพชฌงค. . .เจริญปต ิสัมโพชฌงค . . .เจริญปสสัทธิสัม-โพชฌงค. . .เจรญิ สมาธิสมั โพชณงค. . .เจรญิ อุเบกขาสัมโพชฌงคอนั อาศัยวเิ วก อาศัยวริ าคะ อาศัยนิโรธ นอมไปในความสลัดออกดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็อาสวะและความเรา รอน อนั กระทําความคบั แคนเหลา ใด พงึ เกดิ ขึ้นแกภิกษนุ น้ั ผูไมอ บรมธรรมอนั ใดอนั หนงึ่ อาสวะและความเรา รอน อันกระทําความคับแคน เหลานน้ั ยอมไมมีแกภิกษนุ ั้นผอู บรมอยูอยางน.้ี ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย อาสวะเหลานี้ เราตถาคตกลา ววา

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 147จะพึงละไดเพราะอบรม. [๑๙] ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กเ็ พราะเหตวุ า อาสวะเหลา ใด อนัภิกษุใดจะพงึ ละไดเพราะการเหน็ อาสวะเหลา นั้น เปนอันภกิ ษนุ ้นั ละไดแลว เพราะการเหน็ อาสวะเหลาใด อนั ภกิ ษใุ ดจะพงึ ละไดเ พราะการสังวรอาสวะเหลา นนั้ เปนอนั ภกิ ษุนนั้ ละไดแ ลว เพราะการสงั วร อาสวะเหลาใดอันภิกษุจะพึงละไดเ พราะการพิจารณาเสพ อาสวะเหลาน้นั เปนอันภกิ ษุนนั้ ละไดแ ลว เพราะการพิจารณาเสพ อาสวะเหลา ใด อนั ภิกษุใดจะพึงละไดเ พราะความอดกลั้น อาสวะเหลา นัน้ เปนอันภกิ ษนุ ้นั ละไดแ ลวเพราะความอดกล้นั อาสวะเหลา ใด อนั ภิกษุใดจะพงึ ละไดเพราะความเวนรอบอาสวะเหลานน้ั เปนอันภกิ ษนุ ัน้ ละไดแ ลวเพราะความเวนรอบ อาสวะเหลาใด อนั ภกิ ษใุ ดจะพงึ ละไดเ พราะความบรรเทา อาสวะเหลา นนั้เปนอนั ภิกษนุ นั้ ละไดแลวเพราะความบรรเทา อาสวะเหลาใด อนั ภิกษุใดจะพึงละไดเพราะการอบรม อาสวะเหลา น้นั เปนอนั ภิกษนุ ั้นละไดแ ลวเพราะการอบรม. ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ภิกษนุ เี้ รากลาววา เปน ผสู ํารวมดวยความสงั วรในอาสวะทง้ั ปวงอยู ตดั ตัณหาไดแ ลว ยังสังโยชนใหป ราศไปแลว ไดท าํ ท่ีสุดทกุ ขเ พราะความตรัสรู ดวยการเหน็ และการละมานะโดยชอบ. พระผมู ีพระภาคเจา ไดตรัสสงั วรปริยายนีแ้ ลว ภิกษุเหลาน้ันชน่ื ชมยนิ ดภี าษติ ของพระผมู ภี าคพระเจา ฉะน้แี ล. จบ สัพพาสวสงั วรสูตรที่ ๒

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 148 อรรถกถาสพั พาสวสงั วรสูตร อธบิ ายท่มี าของคําวา สาวัตถี [๑๐] สพั พาเสวสูตรเรม่ิ ตนวา ขา พเจา ไดส ดับมาแลว อยา งนี้ฯลฯ กรงุ สาวตั ถี. ในสพั พาสวสังวรสตู รนั้น มอี รรถกถาแกตามลาํ ดับบท ดงั ตอ ไปน.ี้นักอักษรศาสตรวิจารณกนั ไวอ ยางนี้กอ นวา คําวา สาวตฺถี คือพระนครอนั เปนสถานท่ีอยขู องฤาษี ชื่อ สวตั ละ เหมอื นคําวา กากนทฺ ี มากนทฺ ีฉะนัน้ . สวนพระอรรถกถาจารยท งั้ หลายกลา วไวว า วัตถุเครือ่ งอุปโภคและบรโิ ภคของมนษุ ยท กุ อยา งมอี ยูในเมอื งนี้ ฉะนั้น เมืองนจ้ี ึงชอื่ วาสาวตั ถี. ในเมอ่ื เอาคําวา \"สุตถฺ \" มารวมไวด วย จงึ ชื่อวา สาวัตถีเพราะอาศยั เหตทุ ี่วา เม่ือถกู เขาถามวา มขี องอะไรอยูบา ง กต็ อบวา มีครบทุกอยา ง. เครื่องอปุ โภคบริโภคทุกอยา งมารวมกัน อยูในเมอื ง สาวัตถีตลอดเวลา ฉะนั้น ทานมงุ เอาความสมบูรณ ดวยเคร่ืองอุปโภคบรโิ ภคทกุ อยางจึงเรียก (เมืองนน้ั ) วา สาวตั ถี. น้ีเปนเมอื งของชาวโกศล นาชน่ื ชม นา รนิ รมย นา เพลดิ เพลนิ เจริญใจ อึกทึกไปดว ย เสียง ๑๐ ประการ เปน เมอื งอูข า วอนู ํา้ . เปนเมือง ถงึ ความเจรญิ ไพบูลย มัง่ ค่งั กวางขวาง นา ช่นื ชม และอดุ มสมบรู ณ เหมอื นเทพบรุ ีชือ่ อาลกมนั ทา.

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 149 ในเมืองสาวัตถีนนั้ . ในบทวา เชตวเน อธบิ ายวา พระราชกุมารทรงพระนามวา\"เชตะ\" เพราะทรงรบชนะขา ศกึ ของพระองค หรอื เพราะประสูตูในเวลาทพี่ ระชนกทรงมชี ัยตอขาศึกของพระองค. อกี อยา งหน่ึง ทรงพระนามวา \"เชตะ\" เพราะพระนามอยา งน้ี พระชนกชนนที รงตงั้ ใหเ พ่อืความเปน สริ มิ งคล. พระอทุ ยานของพระราชกุมารพระนามวา เชตะชือ่ วา เชตวนั . เพราะพระอทุ ยานเชตวนั น้ัน อนั พระราชกมุ ารทรงพระนามวา \"เชตะ\" นนั้ ทรงปลกู สรางทะนบุ ํารงุ ใหเจริญงอกงามท้ังพระองคก ็ทรงเปนเจาของพระอุทยานั้นดวย ฉะน้ันจึงเรียกวา เชต-วัน. ในพระวิหารเชตวันนัน้ . ในบทวา อนาถปณ ฺฑกิ สสฺ อาราเม นี้ มีอธิบายวา คฤหบดีนัน้ช่อื วา \"สทุ ตั ตะ\" โดยเปนช่อื ท่ีบิดามารดาตง้ั ให แตมาไดช่อื วาอนาถปณ ฑิกะ โดยเหตุที่ไดใ หอ าหารแกค นอนาถาท้งั หลายเปน ประจําเพราะเปนผูม่งั คงั่ ดวยสมบัติทกุ อยาง และเพราะปราศจากความตระหนี่ท้ังเพียบพรอ มดวยคุณธรรมมคี วามกรณุ าเปน ตน. สตั วท ง้ั หลายโดยเฉพาะบรรพชติ ยอมยินดใี นสวนนี้ เพราะฉะนัน้ จึงชื่อวา อาราม. อธิบายวาสตั วท ัง้ หลายมาแตทต่ี าง ๆ กัน ยอ มยนิ ดี เพลดิ เพลิน อยูอยา งสบายเพราะสวนนน้ั งามไปดวยไมด อกไมผล เปน ตน สมบรู ณไปดว ยองคประ-กอบแหงเสนาสนะ ๕ ประการมไี มไกลไมใ กล ( โคจรคาม) เกินไปนัก.อีกประการหนึ่ง ชื่อวา อาราม เพราะดงึ ดดู สตั วผูไปถงึ สถานท่ีนัน้ ไวภายในบรเิ วณของตนนนั้ เอง แลว ใหเ พลดิ เพลนิ ไปดว ยสมบัติมีประการดังกลาวแลว. ความจรงิ อารามนน้ั อนาถปณ ฑกิ คฤหบดไี ดม อบถวาย

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 150สงฆ มพี ระพุทธเจาเปน ประมขุ ดว ยการบรจิ าคทรัพยถ งึ ๕๔ โกฏิ คอืบรจิ าคซ้ือท่ีดนิ จากพระหตั ถข องพระราชกมุ ารทรงพระนามวา \"เชตะ\"ดวยการเอาเงิน ๑๘ โกฏิ ปู ( เตม็ บริเวณพนื้ ที)่ บรจิ าคเปน คา กอ สรา งเสนาสนะตา ง ๆ ๑๘ โกฏิ บรจิ าคเปน คาทําการฉลองพระวหิ ารอกี ๑๘ โกฏิฉะนนั้ จงึ ไดช อ่ื วา อารามของอนาถปณ ฑกิ ะ. ในอารามของอนาปณ -ฑิกคฤหบดีนัน้ คําวา เชตวเน ในคาํ วา เชตวเน อนาถปณ ฺฑิกสสฺอาราเม น้นั เปน คาํ ระบุถงึ เจาของคนแรก. คาํ วา อนาถปณ ฺฑกิ สฺสอาราเม เปน คําระบถุ ึงเจา ของคนหลัง. ถามวา จะมีประโยชนอะไรในการระบุถึงเจาของท้งั ๒ นนั้ ตอบวา มปี ระโยชนค ือจะทาํ ใหเ ปน เยย่ี งอยา งของผูตองการบญุ จรงิ อยู ในขอน้ัน ทา นพระอานนทเ มือ่ จะแสดงวา ผูต อ งการบุญทง้ั หลายยอมทาํ บุญเพราะกติ ตศิ ัพทข องทานทงั้ ๒ นน้ั วา พระราชกมุ ารพระนามวา เชตะนนั้ ทรงบริจาคทรัพย ๑๘ โกฏิ ทพี่ ระองคไดมาดว ยการขายสถานทีใ่ นการสรา งซมุ ประตูและปราสาท และทรงบรจิ าคตน ไมซึ่งมคี าหลายโกฏิ (สว น) อนาถปณฑกิ คฤหบดีไดบริจาคทรัพย ๕๔ โกฏิดังนีแ้ ลว ชกั ชวนชนผูต อ งการบุญเหลาอื่นใหถอื ชนทง้ั ๒ น้นั เปน แบบอยา ง. อธบิ ายคาํ วา อาสวะ ถามวา เพราะเหตุไร พระผูม พี ระภาคเจาจึงตรสั พระสูตรนว้ี าสพฺพาสวส วรปรยิ าย โว ภิกขฺ เว ดงั น้ี ? ตอบวา เพ่อื ทรงแสดงถงึ ขอปฏิบตั ิเพอื่ ความสิน้ อาสวะ เริ่มตน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook