พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 451และสงั ฆคุณ ตามเปนจรงิ . เมอ่ื ภิกษุน้ันระลึกถงึ ความเล่ือมใสอนั ไมหวนั่ ไหวนั้นเกดิ ข้ึนแลว โดยวิธีใด บัดนี้ เมอ่ื จะทรงแสดงวธิ นี ัน้ จึงทรงยงั ฐานะที่ตั้งแหงอนุสสติ ๓ ใหพิสดารโดยนัยเปน ตน วา อติ ิป โสภควา ดงั นี้. การพรรณนาเนือ้ ความแหง ท่ตี ้งั อนสุ สติเหลา น้นั ทา นพระพทุ ธโฆษาจารยกลาวไวแลว อยา งละเอียดในอนสุ สตกิ ถาในวิสทุ ธิมรรค. พระผูมพี ระภาคเจา ครัน้ ทรงแสดงความเล่อื นใสทง้ั ท่เี ปน โลกิยะและโลกตุ ตระของพระอนาคามีนน้ั อยางนแ้ี ลว บัดน้ี เม่ือจะทรงแสดงการละกเิ ลสและอานิสงสมโี สมนสั เปน ตน อนั ประกอบดวยความเลอื่ มใสอันไมหวนั่ ไหวท่ีเกดิ ข้ึนแกพระอนาคามผี ูพ ิจารณาอยู จึงตรัสคาํ เปน ตนวายโถธ๑ิ โข ปนสสฺ ดงั น.ี้ คาํ น้นั มีอธิบายวา จรงิ อยู โสมนัสกลายอมเกิดข้ึนแกพระอนาคามผี พู จิ ารณาอยู ถงึ การละกิเลสของตนวา กเิ ลสเหลาน้ี ๆ เราละไดแลว เปรียบเหมือนโสมนสั กลา เกิดขึ้นแกพระราชาผูท รงปราบอันตรายคือโจร ทีซ่ องสุมอยูบริเวณปลายแดงใหส งบแลวเสด็จกลับมาประทับพิจารณาพระราชกจิ น้ันอยใู นพระมหานครนนั้ ฉะนัน้ .พระผูมีพระภาคเจาเม่อื จะทรงแสดงโสมนัสน้ัน จงึ ตรัสคาํ เปน ตน วายโถธ๑ิ โข ปนสฺส ดงั นี้ . คําน้นั มอี ธบิ ายวา พระอนาคามนี ใ้ี ดพิจารณาอยูอ ยางนว้ี า พระอรยิ สาวกเปนผปู ระกอบดว ยความเล่ือมใสอนั ไมห วัน่ ไหวในพระพุทธเจา ฯลฯ พระธรรม ฯลฯ (และ ) ฯลฯ พระสงฆเปน บุญเขตอนั ยอดเยยี่ มของชาวโลก กเิ ลสนั้นเปนอันพระอนาคามสี ละแลวสลดั ทิ้งแลว ตามสวนแล ไดแ กสละแลวตามอาํ นาจสว นของตน ๆ นั่นแลกเิ ลสนั้น ๆ เปน อันพระอนาคามีนน้ั คายแลว ปลอ ยแลว ละไดแ ลวสลดั ทง้ิ แลว .๑. ปาฐะนน้ั เปน ยโตธิ ท้งั ๒ แหง แตฉบบั ของพมาเปน ยโถธิ จึงแกต ามฉบับพมา .
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 452 บทวา สกสกโอธิวเสน ความวา สว นมี ๒ คือสวนแหง กิเลสและสวนแหง มรรค. บรรดาสว น ๒ สว นนัน้ วาดวยอาํ นาจสวนแหง กิเลส(กอ น) กเิ ลสเหลา ใดอันบคุ คลพงึ ฆา ดวยมรรคใด กเิ ลสเหลานั้นไมปนกบั กิเลสทีม่ รรคอนื่ พึงฆา ยอมเปนอนั พระอนาคามีละไดแลวดวยสวนของตนนนั้ แล. วาดวยสว นแหงมรรคบาง กิเลสเหลาใดอนั บคุ คลพงึ ละดว ยมรรคใด กเิ ลสเหลา นนั้ นน่ั แลยอมเปนอนั ละแลวดว ยมรรคนั้น. กิเลสน้นั ๆ ยอมเปน อนั ทา นสละแลว สลัดทิง้ แลวทีเดียว ดว ยอาํ นาจสว นของตน ดว ยประการฉะน.ี้ เชอ่ื มความวา ทานพิจารณาถงึ กิเลสท่ลี ะไดแลว นั้นเปน ผไู ดโ สมนสั , เธอยอมไดค วามรูอรรถ ( ผล ) ยง่ิ ไปกวา นั้นวา เราเปนผปู ระกอบดว ยความเล่อื มใสอนั ไมหวั่นไหวในพระพุทธเจา.ปาฐะวา ยโถธิ โข ดังนก้ี ม็ .ี ดวยอาํ นาจปาฐะนนั้ มเี นือ้ ควานดงั ตอไปนี.้ กแ็ ล เพราะเหตทุ ก่ี เิ ลสยอมเปน อันภิกษุนนั้ ละไดแลว สละไดแลว . บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา ยโต เปนตตยิ าวิภตั ต.ิ มีอธิบายวายสฺมา (เพราะเหตใุ ด). มรรค ๓ เบอ้ื งตํา่ ทานเรยี กวา \"โอธ\"ิ เพราะเหตไุ ร ? เพราะมรรค ๓ เบ้อื งตาํ่ เหลานน้ั ทาํ ( กิเลส) ใหเปน สวนคอื ใหเ ปน สัด (โกฏฐาสะ ) แลว ยอมละ ( กเิ ลส ) ได ยกเวนกิเลสทพ่ี ึงละดวยมรรคเบื้องสูง ๆ ฉะน้นั มรรค ๓ เบ้ืองตํ่าทา นจงึ เรยี กวาโอธิ ดังนี.้ สว นอรหัตตมรรคยอ มละกเิ ลสทุกอยา งไมใหเ หลอื อยู เพราะ-ฉะนั้น ทานจึงกลาววา อโนธิ ดังน.้ี อน่ึง ภกิ ษุรปู น้ี สละกเิ ลสไดแลว ดว ยมรรค ๓ เบอ้ื งตํ่า. เพราะฉะน้ัน พระผูม ีพระภาคเจา จึงตรสั วายโตธิ โข ปน จตฺต โหติ ดงั นี้ . บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา โข ปน เปน เพยี งนิบาต. สวนเนื้อความ
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 453น้เี ปนความรวม. ก็เพราะกิเลส ชือ่ วา โอธิ เปนอันภกิ ษรุ ูปนน้ั สละแลวสลดั ทง้ิ แลว ฉะน้ัน จงึ ควรขยายความตามพระบาลวี า ภิกษรุ ปู นน้ั พิจารณาถึงกเิ ลสท่ีละไดแลวน้ันยอ มไดโสมนสั เธอยอ มไดค วามรแู จง อรรถ (ผล)แมยง่ิ ขึน้ ไปกวา นัน้ วาเราเปน ผูประกอบดว ยความเล่ือมใสอนั ไมห วัน่ ไหวในพระพุทธเจา. บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา จตฺต น้ี ทา นกลา วดว ยอํานาจการสละภาวะของตน. สว นบทวา วนตฺ น้ี ทานกลาวไวดว ยอาํ นาจการแสดงภาวะคือความไมย ดึ ถือ. บทวา มตุ ตฺ นี้ ทานกลา วดวยอาํ นาจเปล้ืองจากสันตต.ิ บทวา ปหีน น้ี ทา นกลาวดว ยอํานาจการแสดงวา กเิ ลสแมท่ีพนไดแ ลวไมตัง้ อยใู นที่ไหน ๆ. บทวา ปฏินสิ สฺ ฏ นี้ ทา นกลาวดว ยอํานาจการแสดง การสละกิเลสทีเ่ คยยึดถอื ในกาลกอ น หรอื ดวยอาํ นาจการแสดงภาวะแหงกเิ ลสท่ตี นสลัดทิ้งแลว เฉพาะหนา ทานกลาวอธิบายวา ดวยอํานาจการแสดงภาวะแหงกิเลสที่คนครอบงาํ ดว ยกาํ ลงั แหง ภาวนา สลดั ท้ิงแลว ดงั นี้.ในขอ วา ยอมไดการรอู รรถ (ผล ) การรธู รรม (เหตุ) น้ี มีอธิบายวาควานเลอื่ มใสอนั ไมห วนั่ ไหวในพระรัตนตรัยมพี ระพทุ ธเจาเปนตนนนั้ แลชอื่ วาอรรถ เพราะอนั บุคคลพงึ ดําเนิน อธบิ ายวา พงึ เขา ไปใหถึง.ชอ่ื วาธรรม เพราะเปนสภาพทรงไว มีอธิบายวา ใหตกต่าํ . บทวา เวท หมายเอาคัมภรี บ าง หมายเอาญาณบา ง หมายเอาโสมนัสบา ง. คัมภรี ท า นเรยี กวา เวท (ดัง) แมในประโยคเปนตน วา
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 454ถึงฝง แหง เวท ๓ ดงั น.้ี ญาณทานเรยี กวา เวท (ดงั ) ในประโยคเปนตนวา พราหมณใดถึงเวทมีความรูย ่งิ ไมม กี ิเลส เคร่อื ง กงั วล ไมข องอยใู นกามภพ ดังนี.้ โสมนสั ทานเรียกวา เวท (ดงั ) ในประโยคเปนตน วา ชนเหลาใดเกดิ ความยินดี ยอมทอ งเท่ยี วไปในโลก ดังนี้ . แตใ นที่นี้ ทานประสงคเอาโสมนัส และญาณอันประกอบดว ยโสมนสั เพราะฉะน้ัน ในขอ นีพ้ งึ ทราบเน้ือความอยา งนวี้ า :- บทวา ลภติ อตถฺ เวท ลภติ ธมมฺ เวท ความวา ยอ มไดโสมนัสอันมคี วามเลื่อมใสอันไมห วน่ั ไหวเปน อารมณ และญาณอนั สําเรจ็ ดว ยโสมนัส. อกี อยางหนงึ่ พงึ ทราบความในขอ น้แี มอยางนี้วา :- บทวา อตถฺ เรท ความวา (ยอมได) ความรู (เวท) มีประการดงั กลาวน่ันแล อนั เกดิ ขึ้นแลวแกทา นผพู ิจารณาอยู ซ่งึ ความเลือ่ มใสอันไมหวนั่ ไหว. บทวา ธมมฺ เวท ความวา ( ยอ มได) ซงึ่ ความรู (เวท) มีประการดงั กลา วแลวน่ันแล อนั เกดิ ขึ้นแลว แกทา นผูพิจารณาอยู ซึง่การละกเิ ลสโดยเปนสวนเพราะเหตแุ หง ความเลอ่ื มใสอนั ไมหวน่ั ไหว.สมจรงิ ดังคาํ ท่ีทา นกลา วไวน ีว้ า ญาณ ในเหตุ ช่ือวา ธมั มปฏสิ มั ภทิ าญาณในผลของเหตุ ชือ่ วา อตั ถปฏสิ ัมภทิ า ดังน.ี้ บทวา ธมมฺ ูปสหฺ ติ ปาโมชชฺ ความวา (ยอมได) ปราโมทยอนั เกดิ ข้นึ แลวแกท า นผูพิจารณาอยู ซึ่งอรรถและธรรมน้ันน่นั แล และความรู (เวท ) อันเปนอานสิ งสเกิดมาจากความรอู รรถและธรรมน้นั .
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 455จรงิ อยู ปราโมทยนัน้ ทา นกลาววา ประกอบดว ยธรรมอนั เปนไปโดยอาการพิจารณาโดยลักษณะท่ีไมมโี ทษ. บทวา ปมุทติ สสฺ ปติ ชายติ ความวา ปติ อนั ไมเ จือดวยอามิสยอ มเกดิ แกทานผูบนั เทงิ ดวยปราโมทยน ้ี. บทวา ปติมนสฺส ความวา ผูมีใจอ่มิ เอิบดวยปต ินน้ั . บทวา กาโย ปสฺสมภฺ ติ ความวา แมกายก็เปน อันสงบระงับคอื มคี วามกระวนกระวายอันสงบระงบั แลว. บทวา ปสฺสทฺธกาโย สุข ความวา ทา นผมู ีความกระวนกระวายทางกายสงบแลว อยางนี้ ยอ มเสวยสุขทางใจ. บทวา จติ ตฺ สมาธยิ ติ ความวา จติ ยอมต้ังมั่นโดยชอบ คอืดาํ รงอยู ไมห ว่นั ไหว ดุจถงึ อัปปนา. [ ๙๖ ] พระผูมพี ระภาคเจา ครัน้ ทรงแสดงอานสิ งสม โี สมนสัเปน ตน อนั เกิดขึ้นอยแู กภิกษรุ ปู นน้ั ผพู จิ ารณาอยซู ึ่งการละกิเลสอันประกอบดว ยความเลื่อมใสอันไมหว่ันไหวอยางนีแ้ ลว บัดนี้ เมือ่ จะทรงประกาศอาการอนั เปน ไปแลวแหง การพจิ ารณาของภกิ ษนุ ั้น โดยวาระวายโตธิ โข ปน เม ดังนี้ แลว แสดงพลานภุ าพแหง อนาคามิมรรคนน้ันนั่ แล จงึ ตรัสคําวา ส โข โส ภิกขฺ เว ดงั นเี้ ปน ตน . บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา เอว สโี ล ความวา พระผมู ีพระภาคเจายอ มทรงแสดงศีลขันธอ นั ประกอบดว ย อนาคามิมรรคของภิกษุรปู น้ัน. บทวา เอว ธมโฺ ม เอว ปโฺ ความวา พระผมู ีพระภาคเจายอมทรงแสดงสมาธขิ ันธ และปญญาขันธอ ันประกอบดวยอนาคามมิ รรคนนั้นน่ั แล.
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 456 บทวา สาลนี ความวา แหงขาวสาลีชนิดตาง ๆ มีขาวสาลแี ดงและขา วสาลหี อมเปน ตน. บทวา ปณ ฺฑปาต ไดแ กข า วสกุ . บทวา วิจติ กาฬก ความวา นาํ สวนทีค่ าํ (เสยี ) ออก. บทวา เนวสฺส ต โหติ อนตฺ ราย ความวา การฉนั บิณฑบาตมีประการดงั กลา วนัน้ ของภิกษเุ หน็ ปานนี้นั้น ยอมไมเปน อันตรายแกมรรคหรอื ผล. จรงิ อยู การฉันนัน้ ของทา นผไู ด (บรรล)ุ คุณธรรมแลว จักทาํ อนั ตรายอะไรได แมวา ทา นยังไมไ ดบรรลอุ รหัตตมรรคและอรหัตตผล (แต ) ยงั (อยูใ นระยะ) เจรญิ วปิ สสนาเพ่ือบรรลุมรรคผลน้นั การฉนั น้ันกไ็ มจดั เปน อนั ตรายเลย คอื ไมสามารถจะทําอนั ตรายไดเลย. เพราะเหตไุ ร ? เพราะทานมีจติ บรสิ ทุ ธิด์ ว ยมรรคทปี่ ระมวล ศีลธรรม และปญ ญา มีประการดงั กลา วแลว ไว. ก็เพราะในขอ ทม่ี เี หตุนี้นน้ั แล ฉะนั้น เม่อื จะทรงแสดงขอ อุปมาอันเหมาะแกเ หตุนัน้ จงึ ตรัสคําเปน ตนวา เสยฺยถาป ดังน.้ี บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา อจฉฺ ความวา ใสสะอาด เพราะปราศจากมลทนิ ผองแผว เพราะประภัสสร. บทวา อกุ กฺ ามขุ ความวา เบาหลอมของชางทอง เพราะในทน่ี ี้เบาของชา งทองทานเรยี กวา อกุ กา. แตในทอี่ ืน่ แมประทปี เปนตนทานกเ็ รยี กวา อกุ กา. จรงิ อยู ประทีปทานเรียกวา อุกกา ( คบเพลงิ ) ในอาคตสถานวา อุกกฺ า ธาริยมานาสุ ดงั น้.ี เบา ทา นเรยี กวา อุกกา(เบาหลอม) ในอาคตสถานวา ชางทอง พงึ กอ เบาหลอม ครน้ักอ เสร็จแลว พึงฉาบปากเบาหลอม ดังน้ี เตาชางทองทา นกเ็ รียกวา
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 457อุกกา ในอาคตสถานวา เหมอื นอยา งเตาไฟของชา งทอง ลุกไหมอ ยู(แค) ขางใน ไมล ามออกมาขา งนอก. กําลังลมทา นกเ็ รียกวา อกุ กาในอาคตสถานวา กาํ ลงั ลม (อุกกาบาต) จกั มีผลอยา งน้ี ดังน.ี้ แตใ นทน่ี แ้ี ละในทอ่ี ่ืนอันน้ลี ักษณะเดยี วกันนี้ เบา ของชา งทองพงึ ทราบวา อกุ กาในอาคตสถานวา ชา งทองเอาคีมคีบทองสอดเขา ไปในปากเบา ดงั น้.ีในขอนั้น มกี ารเปรยี บเทยี บดวยอปุ มาดงั ตอ ไปนี.้ ก็จติ ของภกิ ษนุ ใี้ นเวลาทยี่ งั เปน ปุถุชนเกลอื กกลวั้ ดว ยมลทนิ มีกามราคะเปน ตน พงึ เหน็ เหมือนผาทส่ี กปรกและเหมอื นทองคาํ ทหี่ นองฉะนัน้ . อนาคามิมรรคพึงเห็นเหมอื นนํ้าอนั ใสสะอาดและเหมือนปากเบา ฉะนนั้ . การทีภ่ กิ ษรุ ปู น้นั มจี ติ บริสุทธ์ิเพราะอาศยั อนาคามมิ รรคอนั ประมวลไวซงึ่ ศลี ธรรม และปญ ญามีประการดังกลา วแลว พงึ เห็นเหมือนผาขาวสะอาดและทองคาํ บรสิ ุทธิ์เพราะอาศัยน้าํ และปากเบา ฉะนนั้ ดังนแ้ี ล. [๙๗] บทวา โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา ความวา พระธรรม-เทศนามาแลวตามอนสุ นธิ. จรงิ อยู อนุสนธิมี ๓ คือ ปจุ ฉานสุ นธิอชั ฌาสยานุสนธิ และ ยถานุสนธิ. ในอนสุ นธิ ๓ น้ัน พงึ ทราบปุจฉานุสนธิดว ยอํานาจพระสตู ร ทท่ี รงวิสัชนาแลว แกภ ิกษทุ ง้ั หลายผทู ูลถามอยอู ยางนี้ (ดังในประโยคเปน ตน) วา เม่อื พระผมู ีพระภาคเจาตรัสอยางน้ีแลว ภกิ ษุรปู หน่ึงไดก ราบทูลกะพระผมู พี ระภาคเจา ดงั นว้ี าขา แตพ ระองคผ ูเ จรญิ ความหวาดสะดุง เพราะไมมีสตใิ นภายนอกนัน้ มหี รือหนอแล. พระผูมพี ระภาคเจา ไดตรัสตอบวา มี ภกิ ษุ. พงึ ทราบอชั ฌา-สยานุสนธิ ดว ยอํานาจสตู ร ท่พี ระผมู พี ระภาคเจา ทรงทราบอัธยาศยัของคนอื่นแลวตรัสไวอยางน้วี า ดกู อ นพราหมณ พงึ มอี ยหู นอแล ทา น
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 458พงึ มีความคดิ อยา งนวี้ า แม ( จน ) วนั น้ีพระสมณโคดมก็ยังไมหมดราคะแนน อน. สวนยถานุสนธิ พึงทราบ (ดว ยอํานาจ ) สตู รท้งั หลายซึ่งเปนทีม่ าแหงเทศนาข้นั สงู (ขน้ึ ตามลาํ ดับ) ดว ยอํานาจธรรมท่เี หมาะสมและเปน ปฏิปกษต อธรรมท่เี ปน เหตใุ หเ ทศนาเกิดข้ึนในตอนแรก เชนในอากงั เขยยสตู ร เทศนาดวยเรอื่ งศีลธรรม (เปนเทศนา) ขน้ั ต่าํ อภิญญา ๖มา (เปนเทศนา) ขน้ั สงู ในกกโจปมสตู ร เทศนาวา ดวยความไมอดทนเกดิ ข้นึ (เปนเทศนา) ขั้นต่าํ โอวาทอุปมาดวยเล่อื ยมา (เปน เทศนา)ข้ึนสูง. ในอลคทั ทสตู ร เทศนาวาดวยการแสดงทฏิ ฐิเกิดขึน้ (เปน เทศนา)ขัน้ ต่ํา การประกาศสญุ ญตามา (เปนเทศนา ) ข้นั สูง. ในจลุ อัสสปุรสตู รเทศนาวา ดวยความไมอดทนเกดิ ข้ึน (เปนเทศนา) ข้ันต่ํา พรหมวหิ ารมา(เปนเทศนา) ขึ้นสงู . ในโกสัมพิกสตู ร เทศนาวาดว ยการทะเลาะกนัเกดิ ขนึ้ (เปนเทศนา) ขน้ั ต่ํา สาราณยี ธรรมมา (เปน เทศนา) ขน้ั สงู .แมใ นวัตถสุ ูตรนี้ การแสดงเรือ่ งกเิ ลสเกิด (เปน เทศนา ) ขนั้ ตา่ํ พรหม-วหิ ารมา (เปนเทศนา) ขั้นสูง. เพราะเหตุน้ัน ทา นจงึ กลา ววา ยถานุ-สนฺธิวเสน เทสนา อาคตา ดังนี้ . สว นในพรหมวหิ ารธรรม ทานกลา วการพรรณนาตามลําดับบท และนยั แหงการเจริญท้ังหมดไวใ นคมั ภีรวิสุทธมิ รรค อยา งครบถว น. พระผูม ีพระภาคเจาคร้ันทรงแสดงการเจรญิพรหมวหิ ารของพระอนาคามีนั้น อันเปนปฏปิ กษตอ อุปกเิ ลส มีอภิชฌาเปน ตน ชือ่ วา ไดป ทฏั ฐานแลว เพราะกําจดั ธรรมอนั เปน ขา ศกึ โดยการละกามราคะ พยาบาท โดยประการทงั้ ปวงทเี ดียวอยางนี้แลว บัดน้ีเพอ่ื จะแสดงวปิ ส สนา เพอ่ื ความเปนพระอรหนั ตแหง พระอนาคามีนน้ั แลวทรงแสดงการบรรลพุ ระอรหตั (ของทา น) จึงตรสั คําเปนตน วา โส
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 459อตฺถิ อทิ ดังนี้. คํานั้นมเี น้ือความวา พระอนาคามีนั้นไดเ จรญิ พรหมวหิ ารอยางนแ้ี ลว ออกจากพรหมวิหารขอ ใดขอ หนงึ่ ในบรรดาพรหมวหิ ารเหลานั้นแลว กําหนดธรรมคือพรหมวิหารเหลา นั้นน่นั แล วา เปนนาม (และ)กาํ หนดธรรมคอื ภูตรูป และอปุ าทายรูป วาเปนรปู โดยนยั เปน ตนวาหทยั วัตถุ เปนทอ่ี าศัยของพรหมวหิ ารธรรมเหลา น้ัน ภตู รูปเปน ทีอ่ าศัยของหทัยวัตถุ ดงั นี้แลว ยอมรูช ัดวา ขอ นม้ี ีอยู ดงั น้.ี ดว ยเหตเุ พียงเทา น้ียอมเปน อนั พระอนาคามนี กี้ ระทาํ การกาํ หนดทกุ ขสัจแลว. ตอจากนนั้ทา นเมอ่ื แทงตลอดทกุ ขสมุทัย ยอ มรชู ัดวา สงิ่ ทเี่ ลวยังมีอยู ดังนี.้ ดว ยเหตุเพียงเทา น้ี ยอมเปนอนั ทา นกระทาํ การกาํ หนดสมุทยั แลว ตอ จากนน้ัทานเมื่อเลอื กเฟนอุบายเปน เครอ่ื งละสมุทยั สจั นั้น ยอ มรูชัดวา สิง่ ที่ประณตี ยังมอี ยู. ดว ยเหตุเพียงเทา นี้ เปนอันพระอนาคามีนท้ี าํ การกําหนดมคั คสัจแลว. ตอจากนน้ั ทานเมอื่ พิจารณาฐานะทพ่ี งึ บรรลุดวยมรรคน้ันยอมรูชัดวา วิธีสลดั สญั ญาใหย ิ่งขนึ้ ไปยงั มอี ยู. อธิบายวา ยอมรูชดัอยา งนวี้ า พระนิพพานเปน เครอ่ื งสลดั ออกซงึ่ พรหมวิหารสญั ญานี้ อนั เราบรรลุแลว อนั ยงิ่ ยงั มอี ยู ดังนี้ . ดว ยเหตเุ พียงเทานี้ ยอ มเปน อันพระอนาคามีนีท้ าํ การกาํ หนดนโิ รธสัจแลว. บทวา เอว ชานโต เอว ปสสฺ โต ความวา เมอื่ พระอนาคามนี ัน้รอู ยูซึ่งสัจจะ ๔ ดว ยอาการ ๔ อยางนี้ดวยวปิ สสนาปญญา เหน็ อยอู ยางน้ีดว ยมรรคปญญา จติ ยอ มหลุดพน แมจ ากอาสวะ โดยนัยที่กลา วไวแลวในภยเภรวสตู ร. บทวา อิตถฺ ตฺตายาติ ปชานาติ ความวา พระผูมีพระภาคเจาทรงยงั เทศนาใหจบลงจนกระทัง่ ถงึ พระอรหัตอยางนแ้ี ลว บดั นี้ เพราะ
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 460เหตทุ พ่ี ราหมณผ ูมคี วามเหน็ วา ความบริสทุ ธิ์ มีไดเพราะการอาบนํ้า นั่งอยูในบรษิ ทั นั้น (และ) พระผูม พี ระภาคเจา ทรงทราบแลว วา พราหมณนน้ั นน่ั แล ไดฟงการพรรณนาถงึ ความบริสทุ ธ์ิ (มอี ยู) เพราะการอาบน้ํา (อันเราตถาคต) กลา วอยู บวชแลว จักบรรลพุ ระอรหตั ดังนี้ฉะนน้ั เพอ่ื ประสงคจะตักเตือนพราหมณน ้ัน จงึ ตรัสอนสุ นธแิ ยกเฉพาะน้ีวา อย วุจจฺ ติ ภิกฺขเว ภิกขฺ ุ สินาโต อนฺตเรน สนิ าเนน (ดูกอนภิกษุทงั้ หลาย ภิกษุนเ้ี ราตถาคตกลาววา อาบแลวดว ยการอาบภายใน)ดงั น.ี้ บรรดาบทเหลานน้ั บทวา อนตฺ เรน สินาเนน ความวา ดวยการอาบ คือการออกจากกิเลสอนั มีในภายใน. [๙๘] บทวา สุนทฺ รกิ ภารทฺวาโช ไดแ กพราหมณน ้ัน ชอื่ วาภารทวาชะ ดว ยอํานาจโคตรของตน. กพ็ ราหมณน้ันมคี วามเห็นดงั นวี้ าคนทอ่ี าบน้าํ ในแมน้ําสุนทริกา ยอ มละบาปได เพราะฉะนั้น จงึ ถูกเรยี กวาสนุ ทริกภารทวาชะ ดังนี้. พราหมณน ้นั ไดฟ ง พระดํารัสของพระผูมี-พระภาคเจานน้ั แลว คิดวา แมพ วกเรายอมสรรเสรญิ ความบรสิ ุทธเ์ิ พราะการอาบน้าํ ฝา ยพระสมโคดมกย็ อมสรรเสรญิ ความบรสิ ุทธ์ิเพราะการอาบนํ้าน้ันเหมอื นกัน บดั นี้ พระสมณโคดมนี้มีดวยความพอใจเหมือนกนั กบัพวกเรา ดงั น้ี. ลาํ ดับนนั้ พราหมณส ําคญั พระผูมพี ระภาคเจาวา เปนเหมอื นเสด็จไปยังแมน าํ้ พาหุกา ลอยบาปในน้ํานนั้ แลวเสดจ็ มา จงึกราบทลู วา กพ็ ระโคดมผเู จริญยอมเสด็จไปยังแมนํ้าพาหกุ า เพ่ือทรงสรงสนานหรือ ? พระผมู พี ระภาคเจาไมต รัสเลยทีเดียววา ไป หรอื ไมไดไป (แต) ทรงมพี ระประสงคจ ะถอน ความเห็น (ผิด) ของพราหมณ
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 461น้นั จงึ ตรสั วา ดูกอนพราหมณ ประโยชนอะไรดวยแมน ้ําพาหกุ าแมนํา้ พาหกุ าจกั ทําอะไรได ดงั น้ี . คาํ นั้นมเี นื้อความวา ประโยชนอะไรดว ยแมน าํ้ พาหกุ า, แมน ้ําพาหุกานน้ั จกั ทําอะไรได แมน ํ้าพาหกุ านนั้ไมสามารถอาํ นวยประโยชนอ ะไรใหไ ดหรอก เราจักไปทแ่ี มนาํ้ น้นั ทาํ ไม.ลาํ ดบั นั้น พราหมณเ ม่อื จะสรรเสริญขอความนัน้ จงึ กลาวคําเปนตน วาโลกฺขสมมฺ ตา. บรรดาบทเหลานน้ั บทวา โลกขฺ สมฺมตา ความวา แมน ํ้าพาหถุ าอันชาวโลกยอมรับกันวา เปนแดนพนบาป อธิบายวา อันชาวโลกยอมรับกนั อยางนีว้ า ยอมใหความพนบาป คอื ความหลดุ พน ไดแกความบริสุทธิ์.ปาฐะวา โลกฺยสมฺมตา ดงั นบี้ า ง. ปาฐะนน้ั มเี นอ้ื ความวา อันชาวโลกยอมรบั กันอยางนี้วา ยอ มใหถ งึ โลกทป่ี ระเสริฐทสี่ ุด. บทวา ปุ ฺสมมฺ ตา ไดแ กอนั ชาวโลกยอมรับกนั วา เปนบุญดังน้ี . บทวา ปวาเหติ ความวา ลอยไป คือ ทําใหสะอาด. บทวา คาถาหิ อชฺฌภาสิ ความวา ไดตรสั ดว ยพระคาถาทง้ั หลาย.จริงอยู พระคาถาท้งั หลาย เมื่อพระผมู พี ระภาคเจา จะตรัส ยอ มตรสัแกบ ุคคลผูช อบคาถา เพือ่ ทรงแสดงเนอ้ื ความน้นั เทาน้ัน หรอื เพื่อแสดงเนือ้ ความทีส่ าํ คัญ. แตในที่นี้ พระคาถาเหลา นั้น พงึ ทราบวา ตรัสไวเพื่อแสดงเนื้อความทงั้ สอง. จริงอยู บทวา พาหุก นีน้ ่นั แลเปนบทแสดงเนอ้ื ความนั้นในที่นี้.บททเี่ หลอื เปนบทแสดงเนอื้ ความทส่ี าํ คัญ. เหมอื นอยา งวา สนุ ทรกิ ภาร-ทวาชพราหมณ ยอมไปยังแมน าํ้ พาหกุ าเพอ่ื ลอยบาปดว ยการอาบน้ํา
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 462ฉันใด ชาวโลกกย็ อ มไปยังสถานท่มี ที า นา้ํ อธิกักกาเปนตนเพอ่ื ลอยบาปดวยการอาบนํา้ ฉนั นน้ั . บรรดาชาวโลกเหลา น้ัน ชนเหลา ใด อยูใกลสถานทเ่ี หลา นน้ั ชนเหลา น้นั ยอ มอาบนํ้าวนั ละ ๓ ครง้ั . ชนเหลา ใดอยไู กล ชนเหลา นัน้ ยอ มอาบน้าํ วนั ละ ๒ ครัง้ คร้ังเดยี ว วันเวน วันตามลําดบั อยา งนจ้ี นกระทง่ั ถงึ ปเวน ป. สวนชนเหลา ใด ไมสามารถจะไปไดเ ลย ชนเหลา น้นั ก็ใชใหคนอ่นื เอาหมอตกั นาํ้ จากที่นัน้ มาอาบ.กค็ ําทงั้ หมดนี้ไมมปี ระโยชน. เพราะฉะนน้ั เม่อื จะทรงแสดงเนือ้ ความสําคัญน้ี พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา อธิกกกฺ าทนี ิป ดงั น้.ี บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา อธกิ กก พระผมู ีพระภาคเจาตรัสหมายเอาทาน้าํ แหง หน่งึ อันไดโวหาร (อยา งนั้น) ดวยอาํ นาจเปนอุปกรณในการอาบ. บทวา คยา พระผูมพี ระภาคเจาตรสั หมายถึงทาน้าํ สณั ฐานเหมือนสระกลมนนั่ แล. แมบ ทวา ปยาคา น้ี พระผูม ีพระภาคเจากต็ รัสหมายถึง ทาน้าํทา หนึง่ ของแมนํ้าคงคาซง่ึ เปน สถานที่ตรงหนา บนั ไดปราสาทของพระเจา -มหาปนาทะ ท่ีจมลงไปในแมน ้ําคงคาแลว. สว นลาํ นํา้ เหลานี้ คอืพาหุกา สุนทริกา สรสั สตี พาหมุ ตี เปนแมน าํ้ ๔ สาย บทวา พาโล ไดแ กผูมีปญ ญาทราม. บทวา ปกขฺ นิโน แปลวา เขาไป. บทวา น สชุ ฌฺ ติ แปลวา ไมบ รรลุถึงความบรสิ ทุ ธิจ์ ากกเิ ลส.เขายอ มลอยไดแ ตคราบฝุนอยางเดยี วเทา นัน้ . บทวา กึ สุนทฺ ริกา กรสิ สฺ ติ ความวา แมน าํ้ สนุ ทรกิ า จัก
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 463กระทําอะไรไดด ว ยการชาํ ระกเิ ลส. อธบิ ายวา ไมส ามารถจะทาํ อะไรไดเลย.ในทา น้ําปยาคา และแมน ําพาหกุ า กม็ นี ยั น้.ี กด็ ว ยบททง้ั ๓ น้ีท่ีทานกลาวไวแลว ก็ยอมเปน อันทา นกลาว ๔ บทนอกนไี้ วดว ยเหมอื นกนัโดยลักขณหารนยั . เพราะฉะน้นั พงึ ทราบวา แมทา อธกิ กั กาเปน ตนกท็ าํ อะไรไมได เหมือนกับแมน ํา้ สุนทริกา แมน า้ํ ปยาคา และแมน ํ้าพาหุกา ทําอะไรไมไ ดฉะน้นั . บทวา เวรึ แปลวา ผปู ระกอบดวยเวร ๕ มปี าณาติบาตเปนตน บทวา กตกิพพฺ สิ คอื ผไู ดทาํ กรรมอนั หยาบชาไวแ ลว. บทวา น หิ น โสธเย ทา นกลาวอธบิ ายไววา แมน ํ้าสุนทรกิ าทานาํ้ ปยาคา หรอื แมน ํา้ พาหุกา กท็ าํ ใหเขาบรสิ ทุ ธ์ิไมไดเ ลย. บทวา ปาปกมฺมนิ ความวา ประกอบดวยกรรมอนั เปนบาป คือกรรมทชี่ ว่ั ชา อันเปน เวร หรอื ประกอบดว ยกรรมอนั ลามก ทา นกลา วอธบิ ายไววา ประกอบดวยบาปแมเล็กนอ ย อันยงั ไมถงึ ความเปน โทษคอื เวร. บทวา สุทธฺ สสฺ แปลวา หมดกิเลส. บทวา สทา ผคฺคุ ไดแกแมง านนักษัตรประจําเดือน ที่มเี ปนประจาํ . ไดยินวา พราหมณน ั้นมที ฏิ ฐิอยา งน้ีวา ในเดอื น ๔ ผใู ดอาบนํ้าในวันขา งขึ้นเดอื น ๔ ผูน้นั ยอ มชําระบาปทตี่ นกระทาํ ตลอดปได. เพราะเหตนุ นั้ พระผมู พี ระภาคเจาเมื่อจะทรงคดั คานทิฏฐิของพราหมณน ั้นจึงตรัสวา สําหรับผูบรสิ ุทธิ์แลว เดือน ๔ มอี ยทู ุกเมือ่ สาํ หรับผูหมดกิเลสแลว นักษัตรประจาํ เดือน ๔ มปี ระจํา หว งนาํ้ นอกน จกั ชาํ ระลางไดอยางไรดังน.้ี
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 464 บทวา อุโปสโถ สทา ความวา ก็บคุ คลผบู รสิ ุทธ์แิ ลวแมจะไมไดสมาทานองคอุโบสถในวันเพญ็ ๑๔ คํ่า ๑๕ ค่ํา ของอโุ บสถ กย็ อมมีอยเู ปนนิจทีเดยี ว. บทวา สุทฺธสสฺ สจุ ิกมฺมสสฺ แปลวา ชอื่ วา ผสู ะอาดแลว เพราะเปน ผูหมดกิเลส และเปน ผปู ระกอบดว ยกายกรรมเปนตนอันสะอาด. บทวา สทา สมฺปชชฺ เต วต ความวา กแ็ มการสมาทานวัตรอนั ประกอบดว ยกุศลของบุคคลเชน น้ี ยอมถึงพรอ มเปน ประจาํ ทีเดยี ว. บทวา อเิ ธว สินาหิ ทา นกลา วอธิบายไววา พระผูม ีพระภาคเจาตรัสวา เธอจงอาบนํ้าในศาสนาของเราตถาคตนีแ้ ล. ทา นกลาวอธิบายไวอ ีกวา ถา เธอปรารถนาจะลา งมลทนิ คอื กเิ ลสภายในไซร จงอาบดว ยน้ําคือมรรคมีองค ๘ ในศาสนาของเราตถาคตนี้นนั่ แล. เพราะวาในท่อี ื่น นํ้าคอื มรรคมอี งค ๘ เชน น้ไี มมี ดงั นี.้ บดั นี้ พระผมู ีพระภาคเจา เม่ือจะทรงแสดงความบรสิ ทุ ธ์ิในทวารแมทงั้ ๓ ดว ยอํานาจเทศนาอันเหมาะแกพ ราหมณน ั้น จึงตรสั คําเปน ตนวา สพพฺ ภเู ตสุ กโรหิ เขมต ดังนี.้ บรรดาบทเหลาน้นั บทวา เขมต ไดแ กความไมมภี ัย คือความเกอ้ื กูล อธิบายวา ไดแ กเมตตา. ดว ยบทนน้ั ยอมเปนอันพระผูมพี ระภาคเจาทรงแสดงความบรสิ ุทธทิ์ างมโนทวารแกพ ราหมณน้นั . ดว ยบทวา สเจ มสุ า น ภณสิ นี้ ยอ มเปนอันพระผมู พี ระ-ภาคเจา ทรงแสดงความสะอาดทางวจที วาร. ดว ยบทเหลา นว้ี า สเจ ปาณ น หึสสิ สเจ อทินนฺ นาทยิ สิยอ มอันเปนพระผูม ีพระภาคเจา ทรงแสดงความบริสุทธ์ิ ทางกายทวาร.
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 465 กด็ วยบทเหลา นว้ี า สทฺทหาโน อมจฺฉรี พระผมู ีพระภาคเจาทรงประกอบพราหมณนนั้ ผูมีทวารบริสุทธิแ์ ลวอยา งน้ไี วใ นสทั ธาสมั ปทาและจาคสมั ปทา. สว นบาลีนว้ี า กึ กาหสิ คย คนตฺ วฺ า อทุ ปาโนปเต คยา เปน กึง่ คาถา. พงึ ประกอบใจความอยางนีว้ า ถา วา เธอจักกระทาํ ความปลอดภัยในสตั วทัง้ ปวง ไมพ ูดเท็จ ไมฆ าสัตว ไมลกั ทรพั ยมคี วามเชือ่ ไมตระหนี่ เธอไปยังแมน ้ําคยาจักทําอะไรได แมน ํา้ คยากเ็ ปน (เพียง ) บอ นํ้าสาํ หรบั เธอ เพราะวา เมอ่ื เธออาบน้าํ อยูในแมน ํา้คยาก็ดี ในบอนา้ํ ก็ดี ความบรสิ ุทธจ์ิ ากกเิ ลสจะมีไดกด็ ว ยการปฏิบตั นิ ้ีเทา น้ัน สว นความบรสิ ทุ ธิจ์ ากมลทนิ ทางรา งกายมีไดเหมือนกนั ในทท่ี ้งั ๒แหง. บณั ฑิตพงึ ทราบเนื้อความวา กเ็ พราะวา แมน ํ้าคยาอนั ชาวโลกรจู กักนั มากกวา ในโลก ฉะน้นั พระผมู พี ระภาคเจาแมถ ูกพราหมณน้ันทูลถามวา กพ็ ระโคดมผเู จรญิ เสดจ็ ไปยังแมน้าํ พาหุกาหรือ ? ไมต รัสวา เธอไปยงั แมนํ้าพาหุกา จักทาํ อะไรได (แต ) ตรสั วา เธอไปยังแมน้าํ คยาจกั การทําอะไรได ดังน.้ี [๙๙] คาํ เปนตน อยา งนี้วา เอว วุตเฺ ต นับวา ชัดแลวแลเพราะทา นกลา วไวแลวในภยเภรวสตู ร. กใ็ นบทเปนตน วา เอโก วปู กฏโ พงึ ทราบอธิบายดงั น้ี พราหมณชือ่ วา เปนผเู ดียวดวยกายวเิ วก ชอื่ วาหลีกออกแลว (จากการคลุกคลีดวยนิวรณ) ดวยจิตวิเวก ชอื่ วา ไมป ระมาท ดวยการไมล ะสติในกมั มัฏฐาน ช่ือวามีความเพียร ดว ยความเพียรเผากเิ ลส กลาวคือความเพยี รทางกาย และความเพียรทางจิต ชื่อวา หมดอาลัยในตนแลว เพราะไมมคี วามหว งใยในกายและชีวติ ชือ่ วาอยดู วยการอยูดวยอิรยิ าบถอยางใด
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 466อยางหนึ่ง (ในบรรดาอิริยาบถ ๔). บทวา น จริ สฺเสว ทานกลาวหมายถงึ การบรรพชา. บทวา กลุ ปตุ ฺตา ไดแ กกลุ บุตรมี ๒ จาํ พวกคอื กุลบตุ รโดยชาติ(กําเนดิ ) และกุลบุตรโดยอาจาระ. ก็พราหมณน้ีเปนกุลบุตรแมโ ดยประการท้งั ๒. บทวา อคารสมฺ า แปลวา จากเรอื น. บทวา อนคาริย พงึ ทราบวินิจฉยั ดังน้ี การงานอันเปนเหตุเพม่ิ พนู ทรพั ยสมบัติ มกี สิกรรมและโครักขกรรมเปน ตน อนั เปน ประ-โยชนเกอื้ กูลแก (การ) ครองเรือน ทานเรียกวา อคารยิ ะ. การงานทีเ่ กื้อกลู แกการครองเรือนในการบรรพชาน้ี ไมมี เหตนุ ั้น การบรรพชานี้จงึ ชื่อวา อนคารยิ . คําวา อนคารยิ น้นั เปนชอ่ื ของการบวช. บทวา ปพฺพชนตฺ ิ แปลวา เขา ไปใกล คือเขา ไปหา. บทวา ตทนุตตฺ ร ตัดบทเปน ต อนตุ ฺตร (แปลวา ผลอนัยอดเย่ียมนั้น). บทวา พรฺ หมฺ จริยปริโยสาน ไดแ กท่สี ุดแหง มรรคพรหมจรรยทานกลาวอธบิ ายไวว า (ไดแ ก) อรหัตตผล ดังนี้. จริงอย.ู พวกกุลบุตรบวชก็เพ่ือประโยชนแกอรหัตตผลน้ัน. บทวา ทฏิ เว ธมฺเม แปลวา ในอัตภาพนน้ั นน่ั เอง. บทวา สย อภิฺ า สจฺฉิกตฺวา ความวา กระทาํ ใหประจกั ษดวยปญญา ดว ยตนเองทเี ดียว. อธิบายวา รโู ดยไมม ผี ูอ่นื เปน ปจจยั ดังน้ี . บทวา อปุ สมฺปชฺช วหิ าสิ ความวา บรรลุ คอื ใหสาํ เร็จอยู.ก็พระสนุ ทริกภารทวาชะเมือ่ อยูดวยอาการอยา งน้ัน ก็ไดทราบชดั วา ชาติ
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 491มีอธบิ ายไวว า ทฏิ ฐทิ ้งั หลายเกดิ ข้ึนในอารมณใด. อนึ่ง ในคําวา ยตฺถ จเปน ตนน้ี ควรทราบถงึ ทิฏฐเิ หลา น้ี ทํา (หนาท่)ี ตาง ๆ กัน อยา งน้ีคือ เกดิ ข้นึ ๑ นอนเนือ่ งอยู ๑ ฟุง ข้ึน ๑ อธิบายวา ทิฏฐเิ หลา น้ีมีการทํา (หนาท)ี่ ตา งกนั ดังน้ี คือ ทฏิ ฐิท้ังหลายโดยชาติ (ของมนั )ท่ียังไมเ กิดขน้ึ . เมือ่ เกดิ ขน้ึ พระองคต รัสเรียกวา กําลงั เกิดขน้ึ , ทีเ่ สพจนคุน บอยๆมีกาํ ลงั ขจัดยังไมไ ด พระองคตรัสเรยี กวา นอนเน่ืองอย,ู สวนท่ีประจวบ (ลว งออกมาทาง ) กายทวาร และวจที วาร พระองคต รัสเรียกวาฟงุ ขนึ้ . ในคาํ ทงั้ หลายมีอาทวิ า ต เนต มม (สง่ิ นีน้ นั้ ไมใ ชข องเรา)ควรทราบอรรถาธบิ ายของบทอยางนีก้ อนวา อารมณท ่แี ยกประเภทเปนเบญจขันธนน้ี นั้ ไมใชของ ๆ เรา ถึงเราก็ไมใ ชสง่ิ น้นั แมส ิ่งนัน้ กไ็ มใชอตั ตาของเรา ภกิ ษเุ ห็นเบญจขนั ธน ้ัน ตามความเปนจรงิ ดว ยปญญาอันชอบอยา งนี้ (มกี ารละการสลดั ทิ้งทฏิ ฐิเหลา นน้ั ได). แตเพราะในการยดึ ถือ ๓ อยา งน้ี เมือ่ ยึดถอื การยึดถอื ดวยอํานาจตณั หาวา นั่นของเรา กช็ อื่ วา ยดึ ถือตัณหาเปน เครอื่ งเน่นิ ชา แยกประเภทออกเปนตัณหาวปิ รติ ๑๐๘ ประการ เมอื่ ยึดถอื การยดึ ถอื ดวยอํานาจมานะวา เราเปนนนั่ ชอื่ วายึดถอื มานะเปนเครื่องเนนิ่ ชา แยกประเภทออกเปน นานะ ๙ ประการ และเมอ่ื ยึดถอื การยดึ ถอื ดวยอาํ นาจทิฏฐวิ า น่ันไมใ ชอัตตาของเรา ชอ่ื วา ยดึ ถอื ทิฏฐเิ ปน เครอื่ งเน่นิ ชา แยกประเภทออกเปนทฏิ ฐิ ๖๒ ประการ เพราะฉะน้ัน พระผมู พี ระภาคเจา เม่ือตรัสวา น่นั ไมใ ชข องเรา ก็ชื่อวาทรงปฏเิ สธตณั หาเครอื่ งเน่ินชา แยก
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 492ประเภทคามที่กลา วแลว เมือ่ ตรัสวา เราไมใ ชนนั่ กช็ ่อื วาทรงปฏิเสธนานะเปนเครอ่ื งเนิน่ ชา และเม่อื ตรสั วา นนั่ ไมใชอัตตาของเรา ก็ชอ่ื วาทรงปฏิเสธทฏิ ฐเิ ปนเครื่องเนิ่นชา . อน่ึง ในเร่อื งตณั หา มานะ ทิฏฐิท้ัง ๓ อยา งนี้ ตณั หา และมานะ พงึ ทราบวา ตั้งอยูในหมวดเดียวกนักบั ทฏิ ฐนิ ่ันเอง. บทวา เอวเมต (เหน็ สงิ่ นัน้ อยางน)้ี คอื เห็นเบญจขันธน ัน่โดยอาการมีอาทิวา น่ันไมใ ชข องเราอยางน้.ี บทวา ยถาภตู (ตามความเปนจรงิ ) คือ ตามสภาวะ มคี ําอธบิ ายไววา ตามทีม่ อี ยู. อธิบายวา ความจริง ขันธปญจก (หมวด ๕ของขันธ) มอี ยูโดยอาการอยา งน้นั นัน่ เอง แตขันธปญ จกท่ยี ดึ ถอื โดยนยัมีอาทวิ า ของเรา ยอมไมม โี ดยอาการอยางนน้ั นัน่ เอง. บทวา สมฺมปฺปฺ าย (เห็นดวยปญญาอันชอบ) ความวาเห็นดว ยดี ดว ยวปิ สสนาปญ ญา อนั นโี สดาปตติมรรคปญ ญา เปน ปริโยสาน.๑ บทวา เอวเมตาส (ละทิฏฐิเหลา น้อี ยางน้ี) ไดแก (ละ)ทฏิ ฐเิ หลานนั้ ดวยอบุ ายนี้. คาํ วา การละการสลดั ทิง้ ท้ังคูน้ี เปน ช่อื ของการละกิเลสไดโ ดยเดด็ ขาดทีเดียว. [๑๐๒ ] พระผูมพี ระภาคเจา อันพระมหาจนุ เถระ ถามปญหาดว ยสามารถแหง บุคคลผูมีมานะย่ิงวา การละทิฏฐทิ ง้ั หลาย มไี ดด ว ยการมนสกิ ารธรรม เบื้องตน เทานั้น หรอื มไี มไ ด ? ครนั้ ทรงแสดงการละทฏิ ฐิดว ยโสดาปตตมิ รรคแลว บดั นี้ เมอื่ จะทรงจาํ แนกฌานของผมู ีมานะยง่ิ ดว ยพระองคเอง จงึ ไดตรสั คาํ มอี าทิวา ก็เหตุทตี่ ั้งแล. ผูมมี านะย่งิ๑. ฉบับพมาเปน โสตาปตฺติมคคฺ ปฺาปรโิ ยสานาย จึงไดแ ปลตามนน้ั .
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 493เกดิ ขน้ึ ดว ยสาํ คญั วา ไดบรรลแุ ลวในธรรมทีค่ นยงั ไมไดบรรลุ ช่อื วาผูม ีมานะย่ิง ในคาํ วา อธิมานิกาน นัน้ . กแ็ ตวา อธมิ านะ (มานะยิ่ง)น้ี เมือ่ จะเกิดข้ึน จะไมเกิดข้นึ แกพาลปถุ ุชนผูรําลึกถงึ โลกานวุ ตั รเนือง๑ ๆเลย และจะไมเ กิดขนึ้ แกอ รยิ สาวกทงั้ หลาย. อธบิ ายวา อธมิ านะวาเราเปน พระสกทาคามี จะไมเ กิดแกพ ระโสดาบนั อธิมานะวา เราเปนพระอนาคามี จะไมเ กิดแกพระสกทาคามี อธิมานะวา เราเปน พระอรหันตจะไมเกิดแกพระอนาคามี แตจ ะเกดิ เฉพาะการกบคุ คลเทานนั้ ผขู มกเิ ลสไวไ ดด ว ยอาํ นาจสมถะ หรอื ดวยอาํ นาจวิปสสนา ผปู รารภวปิ ส สนาแลวขะมกั เขมน เปน นจิ . อันท่ีจริงการกบคุ คลนัน้ เมอ่ื ไมเห็นการฟงุ ขน้ึ แหงกิเลสทข่ี มไวไดดวยสมถะ หรือทข่ี มไวไดดวยวิปสสนา อธิมานะวา เราเปนพระโสดาบันบา ง เราเปน พระสกทาคามบี า ง เราเปนพระอนาคามบี า งเราเปน พระอรหนั ตบ า ง จะเกิดขึ้น เหมือนกบั พระเถระทั้งหลาย ทที่ า นธรรมทินนเถระผูอาศยั อยูท ่ีตลงั ครติสสบรรพต ไดต กั เตอื นแลว . เรอื่ งพระธรรมทินนเถระตักเตอื นศิษย ไดท ราบวา ภิกษหุ ลายรปู ไดต งั้ ตนอยูในโอวาทของพระเถระผูอุปสมบทแลวไมนานเลย ก็พากันบรรลคุ ุณวิเศษ. ภกิ ษสุ งฆช าวตสิ ส-มหาวิหาร ไดทราบพฤตกิ รรมน้นั แลว ลงความเหน็ วาพระเถรูประกอบในเรอ่ื งทเี่ ปน รูปไมไ ด ทา นทัง้ หลายจงนาํ เอาพระเถระมา แลวไดส งภิกษหุ ลายรปู ไป. ภกิ ษเุ หลา น้ันไปถงึ แลว ไดเ รียนวา ทานธรรมทินนะครับ ภิกษสุ งฆเ รยี กหาทา น. ทา นกลาววา ขา แตท า นผเู จรญิ ทาน๑. ฉบับพมา เปน โลกานวุ ฏฏานสุ ารนี ผูคลอยตามและระลึกถึงเรอ่ื งโลกบอยๆ.
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 494ทงั้ หลายจะแสวงหาตนหรอื คนอ่นื . ภิกษทุ ั้งหลายเรียนวา ขาแตท านสตั บรุ ุษ เราทงั้ หลายแสวงหาตน. พระเถระน้ันไดใ หก รรมฐานแกภ กิ ษุเหลานั้น. ภิกษุเหลา นั้นไดบ รรลอุ รหัตกนั หมดทกุ รูป. ภกิ ษสุ งฆจ งึ ไดสงภกิ ษุจาํ พวกอนื่ ไปอีก. ภิกษุที่สงฆสงไปอยา งนถ้ี ึง ๓ คร้งั ก็ไดบรรลุอรหัตเหมือนกันทงั้ หมดแลว อยู (กบั พระเถระนนั้ ). ตอจากนั้นมาพระสงฆเห็นวา พระที่ไป ๆ แลว ไมกลับนา จงึ ไดส งภกิ ษุหลวงตาอกีรูปหนึ่งไป. หลวงตาน้ันคร้นั ไปถึงแลว ไดพ ดู วา ขาแตทา นธรรมทนิ นะภิกษุสงฆส าํ นักติสสมหาวิหาร สง พระมาทีส่ าํ นักทา นถงึ ๓ ครง้ั แตท า นเองไมทาํ ความเคารพอาณัตสิ งฆ ไมม า ( ไปตามคําส่งั ) พระเถระตอบวา น่อี ะไรกัน ? แลวใหหลวงตานัน้ รบั เอาบาตร และจีวรโดยไมตองเขาบรรณศาลาแลว ออกไปในทันทีทนั ใดนนั่ แหละ. ทานไดแวะไปยงัหงั กนวหิ าร๑ ในระหวา งทาง. และในหงั กนวิหารนนั้ มีมหาเถระรูปหนึ่งมพี รรษา ๖๐ ลว งแลว ปฏิญาณตนเปนพระอรหันต ดวยมานะยิง่ พระเถระเขา ไปหาทา นไหว กระทําปฏิสันถาร แลวไดเ รยี นถามถงึ คุณธรรมท่ไี ดบรรล.ุ พระเถระกลาววา เออ ทา นธรรมทนิ นะ กิจทีบ่ รรพชิตพึงทํา ผมไดทําเสรจ็ นานแลว บดั น้ี ผมก็พรรษา ๖๐ ลว งแลว . ทา นธรรมทินนะ เรียนถามวา ใตเ ทา ครับ ไดเทายังใชฤ ทธ์อิ ยูบางหรือไม ?ทานตอบวาใชอ ยู ทานธรรมทนิ นะ. ทา นธรรมทนิ นะ เรียนวา ดแี ลวครับ ใตเทา ขอนมิ นตใ ตเทาเนรมิตชา งกาํ ลังเดินมาประจนั หนา ใตเทา(ใหดู ) เถดิ . พระเถระรับคาํ นิมนตแ ลว ไดเ นรมิตชางเชือกใหญ๑. ฉบับพมา เปน ตงขฺ ณวิหาร ท่อี ยชู ัว่ คราว.
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 495เผอื กผอ ง เปน ทีส่ ถติ แหงคชลกั ษณ ๗ ประการ ตกมนั กลา แกวง หางสอดงวงเขา ปาก รม่ี าประจนั หนา คลายกับจะเอางาท้งั ๒ แทง ทา นเห็นชางเชอื กนัน้ ทต่ี นเนรมติ ข้นึ เอง กลวั เรม่ิ จะวงิ่ หนี ในเวลานน้ั เอง ทา นกร็ ตู ัววา เรายังไมไ ดเปน พระอรหันต จึงนัง่ กระโหยงลงแทบบาทมลู ของทานธรรมทนิ นะ แลวกลาววา ขอทานจงเปน ทพ่ี ่งึ แกผ มเถิด ทา นขอรับ.ทานธรรมทินนะไดพูดเอาใจพระเถระวา ขา แตท านผเู จรญิ ทา นอยาไดเศราโศก อยา ไดเ สียใจ มานะย่ิงจะเกิดขน้ึ เฉพาะการกบุคคลท้ังหลายเทานน้ั แลวไดใ หกรรมฐาน ( แกพ ระเถระ ). พระเถระดาํ รงอยใู นโอวาทของทานแลว ไดบ รรลุพระอรหตั . ถึงพระเถระ (อกี รปู หนง่ึ ) กเ็ ชนกัน อยทู จี่ ิตตลดาบรรพต.ทานธรรมทินนะเขา ไปหาทา น แลวถามอยางนัน้ เหมือนกัน๑. ทง้ั ทานก็ไดพยากรณอยา งนน้ั เหมอื นกนั . ถดั จากนั้นทานธรรมทินนะ กไ็ ดกลา วกะทานวา ทานไดใชฤทธบ์ิ า งหรือไม ? พระเถระตอบรับคํา. ทา นธรรมทนิ นะ เรียนทา นวา ขา แตท านผเู จรญิ ดีแลว ขอรบั ขอใหทานเนรมติ สระโบกขรณีขนึ้ ๑ สระเถดิ . พระเถระไดเนรมติ (ตามทีข่ อรอง)ทานธรรมทนิ นะเรียนวา ทา นขอรบั ขอใหทานเนรมิตกอบวั ข้นึ ในสระน้ีดวยเถิด. พระเถระกเ็ นรมติ กอบัวขึ้น (ตามทีข่ อรอ ง ). ทา นธรรมทนิ นะขอรอ งวา ขอใหท านเนรมติ รางหญิงคนหน่ึง ยนื รอ ง รายรําดว ยเสียงไพเราะอยูบ นกอบัวน้ันเถิด. พระเถระก็เนรมติ หญิงนั้น (ตามท่ีขอรอง ).ทานธรรมทินนะจึงเรยี นวา ขอใหท านเพง พินจิ หญงิ น้นั บอย ๆ แลวตัวทา นเองก็เขา ปราสาทไป. เมื่อพระเถระเพงหญิงท่ีเนรมติ ขนึ้ นั้น กิเลส๑. ฉบบั พมา เปน ตเถว จงึ ไดแปลเชนนนั้ .
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 496ที่ขม ไวเปน เวลา ๖๐ ปก ห็ วนั่ ไหว. ในคร้งั น้ันทา นรตู วั จึงขอเรยี นกรรมฐานในสาํ นกั ของทา นธรรมทนิ นเถระ และไดบ รรลุพระอรหัตเหมือนกับพระเถระรปู กอน. สวนทานธรรมทินนะ กไ็ ดไปยังติสสมหาวหิ ารตามลําดับ . และในเวลาน้ัน พระเถระทั้งหลายกวาดลานพระเจดยี แ ลวนั่งกรรมฐาน ยังปต ิมีพระพุทธเจาเปน อารมณใหเ กดิ ขน้ึ . นยั วา การทําอยา งนเ้ี ปนกจิ วตั รของทา นเหลา น้นั . เพราะเหตุนน้ั จงึ ไมมพี ระเถระแมแ ตร ปู เดียว บรรดาพระเถระเหลานน้ั จะบอกจะถามทา นธรรมทนิ นะวา ทานจงวางบาตรและจีวรไวตรงนี.้ แตก็รูก ันวา น่นั คงจะเปน ทา นธรรมทนิ นะ จงึ ไดพากนัถามปญ หาทา น. ทานตอบโตต ัดปญ หาท่ีถาม ๆ มา เหมือนกับใชด าบที่คมตดั มดั กานดอกโกมุท ใหขาดสะบั้นฉันนั้น แลว เอานวิ้ เทากดมหาปฐพีและพูดวา ขา แตท า นผูเ จริญ มหาปฐพนี แี้ มจ ะไมม จี ิตใจ ยงั รูค ุณคา ของธรรมทนิ นะ แตท า นทงั้ หลายไมร ูจึงไดกลาวคาถานว้ี า ขา แตท านผูเจรญิ แผน ดินนี้ ไมมีจิตใจ ยงั รูค ุณคา นอยใหญ สว นทานทง้ั หลายมจี ิตใจ แตไ มรคู ณุ คา นอยใหญ. สัลเลขธรรมคือฌาน - วิปส สนา และในทนั ใดนนั่ เอง ทานก็ไดเหาะขึน้ ไปบนอากาศ ไปยังตลงั คติสสบรรพตน่นั เอง. [๑๐๒] อธมิ านะ ยอ มเกิดข้ึนแกก ารกบุคคลเทาน้นั ดังท่กี ลาวมานะแลว. เพราะฉะนน้ั พระผูมพี ระภาคเจา เม่อื จะทรงจาํ แนกฌาน
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 497ดวยสามารถแหง ภกิ ษทุ ง้ั หลายผเู ชนนน้ั จงึ ไดตรสั คาํ มอี าทิไววา \"านโข ปน.\" บทวา าน โข ปน นัน้ มอี รรถาธบิ ายวา เหตนุ มี้ ีอยู ไมใ ชไมม ี คอื ภิกษลุ างรปู ในศาสนานี้ สงดั จากกามท้ังหลาย ฯลฯ เขาปฐม-ฌานอนั เปนสาธารณะแกป ริพาชกนอกศาสนาทั้งหลายอย.ู แตค าํ ใดวา ขอวา ตสสฺ เอวมสสฺ สลเฺ ลเขน วิหรามิ (เธอพงึ มีความเขาใจอยางน้วี า เราอยดู วยสลั เลขธรรม ธรรมเครอ่ื งขดั เกลากิเลส )ความวา วิธีปฏิบตั ิได ยอมขัดเกลากเิ ลสได เราอยูดว ยวิธปี ฏิบตั ินั้นคาํ น้ันไมถกู . เพราะวา ฌานของภกิ ษุผมู มี านะยง่ิ ไมเ ปนสัลเลขธรรมหรอื สัลเลขปฏิปทา๑. เพราะเหตไุ ร ? เพราะไมเ ปนเบื้องบาทของวิปสสนา. อธบิ ายวา เธอเขาฌาน คร้ันออกจากฌานแลว ก็ไมพิจารณาสงั ขารทง้ั หลาย. สวนฌานกท็ าํ เพยี งแตใหจ ิตของเธอเปนเอกคั คตาเทานน้ั . เธอกเ็ ปน ผูอยสู บายในปจ จบุ ัน. เพราะฉะนนั้ พระผูมีพระภาคเจา เมอ่ื จะทรงแสดงเนือ้ ความนนั้จึงไดต รสั วา ดูกอนจุนทะ ฌานธรรมเหลา นนั้ เราตถาคตไมเ รยี กวา เปนสลั เลขธรรมในวนิ ยั ของพระอริยเจาเลย แตฌ านธรรมเหลา นัน้ เราตถาคตเรยี กวา ทิฏฐธรรมสุขวหิ ารธรรม (ธรรมเคร่อื งอยูเปน สุขในปจ จบุ นั )ในวินัยของพระอริยเจา . คาํ วา เอเต (เหลาน้ัน) ในพระพุทธพจนน ้นั พงึ ทราบวา๑. ฉ. น หิ อธิมานกิ สฺส ภกิ ฺขโุ น ฌาน สลฺเลโข วา สลฺเลขปฏปิ ทา วา โหติ แปลตามน้.ี
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 498เปนพหพุ จนด ว ยอาํ นาจแหง ฌาน. มีคําอธบิ ายวา เอเต โยค ปมชฺฌาน-ธมมฺ า (แปลวา ธรรมคอื ปฐมฌานเหลา น้ัน) อีกอยางหนง่ึ (เปนพหพุ จน) ดว ยอํานาจแหง สมาบัติ. อธบิ ายวา ปฐมฌานแมฌานเดียวแตเปนไปโดยการเขาบอ ย ๆ ก็ถึงความเปน ของมากได. อีกอยางหน่ึงเปน พหพุ จนด วยอํานาจแหงอารมณ. อธิบายวา ปฐมฌานแมฌานเดยี วกถ็ ึงความเปนของมากไดโดยการเปนไปในอารมณท ้ังหลาย มีปฐมวีกสณิเปนตน. ในทตุ ยิ ฌาน, ตตยิ ฌาน และจตตุ ถฌาน ก็นยั น.ี้ แตในอรปู ฌานท้งั หลาย (คําวาเหลานนั้ ) พงึ ทราบวาเปน พหพุ จนดวยอํานาจแหง เหตุทั้ง ๒ ในฌานกอน (จตุตถฌาน) นน่ั เอง เพราะไมม คี วามตางกนั แหงอารมณ. ก็เพราะเหตุทท่ี ้งั องคท ั้งอารมณของอรูปฌานเหลานั้น สงบ อธิบายวา ทัง้ ดบั สนิททงั้ ละเอียด เพราะฉะนนั้ ทัง้ องคทัง้ อารมณเหลา นั้น พึงทราบวา พระองคต รัสไวอ ยา งนี้วา ฌานธรรมเหลาน้ันเปน ธรรมอนั สงบ เปน ธรรมเครือ่ งอยู (สนั ตวหิ ารธรรม).นี้เปน การขยายความทั่วไปของอรูปฌานทั้ง ๔ เหลาน้ันกอน. สวนการขยายความพเิ ศษควรกลาว (อธิบาย) ตามทํานองบทเปน ตนวา เพราะลวงเลยรปู สัญญาไปโดยประการทัง้ ปวง. การขยายความนนั้ ไดก ลา ว(อธบิ าย) ไวทกุ อยางในคมั ภีรวิสทุ ธิมรรคแลวแล. [๑๐๓] เพราะเหตทุ ี่วิหารธรรมคือฌาน ของภิกษผุ ูมอี ธมิ านะไมเปนสลั เลขวหิ ารธรรม เพราะไมเปน บาทของวิปส สนา ดว ยวา เธอเขาฌาน ครั้นออกจากฌานแลว หาไดพ ิจารณาสงั ขารท้งั หลายไม แตทิฏฐธรรมสขุ วหิ ารธรรมของเธอเปน (เพียง) ทําใหจิตเปนอกัคคตาอยางน้ี เพราะฉะนั้น พระผมู พี ระภาคเจา เมื่อจะทรงแสดงเนอ้ื ความนนั้
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 499จึงทรงจําแนกรูปฌานและอรปู ฌานไว และตอไปน้ี เมือ่ จะทรงแสดงเร่อื งนั้น และสลั เลขธรรมนน้ั ดวยอาการ ๔อยา ง จึงไดต รัสคาํ มอี าทิไววาอธิ โข ปน โว ดงั น.้ี บาทของวปิ ส สนา [๑๐๔] กเ็ หตุไฉนธรรมทั้งหลาย มอี วิหงิ สาเปน ตน เทา นัน้นอกจากสมาบัตทิ ง้ั ๘ อยาง พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรสั เปน สลั เลขธรรม ? เพราะธรรมท้ังหลายมีอวหิ ิงสาเปน ตน เปน บาทของวิปส สนาทเี่ ปนโลกุตระได. อนั ท่ีจริง สมาบตั ิทง้ั ๘ ของคนภายนอก (พุทธศาสนา) ท้ังหลายเปน บาทของวฏั ฏะ เทานัน้ . แตใ นศาสนา (พทุ ธ) แมสรณคมนกพ็ ึงทราบวา เปนบาทของโลกุตตรธรรมได ตามพระสตู รนโ้ี ดยเฉพาะจะปว ยกลา วไปไยถงึ ธรรมท้ังหลาย มอี วหิ ญงิ สาเปนตนเลา (ที่จะเปนไปไมไ ด). อน่งึ ทานทบ่ี คุ คลถวายแกผ ูถึงพระรตั นตรัยเปน สรณะ ในศาสนา(พทุ ธ) มีผลมากกวาทาน ทใ่ี หแกคนนอกศาสนา ทีไ่ ดส มาบัติ ๘ แมมอี ภิญญา ๕ ก็ตาม. เพราะวา ในทกั ขณิ าวิภังคสตู ร พระผมู ีพระภาคเจาทรงหมายเอาขอความนี้ จึงไดต รสั ไววา ทกั ขิณามีผลคูณดวยแสนโกฏิทายกพงึ หวงั ได เพราะใหทานแกบ คุ คลนอกศาสนา ผปู ราศจากความยินดใี นกามท้งั หลาย. แตท กั ขิณามีผลนบั ไมถว น คํานวณไมถูก ทายกพงึ หวังได เพราะใหท านแกผปู ฏิบัติ เพอ่ื ทาํ ใหแ จงซง่ึ โสดาปต ติผล.จะกลา วถึงทาํ ไมสาํ หรับพระโสดาบนั .
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 500 ความจรงิ ผูป ฏบิ ตั ิเพ่อื ทาํ ใหแ จง ซ่ึงโสดาปต ติผล ในทักขณิ าวภิ งั คสูตรนน้ั พระองคทรงประสงคเ อา ต้ังแตก ารถึงสรณะเปน ตนไป.นเี้ ปน การประกอบความตามพระบาลีในพระสตู รน้ีกอน. สว นในการพรรณนาความตามลาํ ดบั บท พึงทราบวนิ จิ ฉัยดังตอไปนี้ บทวา อธิ นเ้ี ปน คําแสดงเรื่องมีการไมเบียดเบียนเปนตน. คาํ วา โข ปน เปน เพียงนิบาต. คาํ วา โว เปนฉฏั ฐวี ิภัตติ ใชใ นอรรถแหงตติยาวิภตั ต.ิ กใ็ นคําวา อิธ เปนตนนี้ มเี นือ้ ความโดยยอ ดังตอไปน้.ี ดูกอ นจุนทะเธอท้งั หลายควรทําการขดั เกลากิเลส (สลั เลขะ ) ในเร่ืองการเบียดเบียนเปนตน นีน้ นั้ ท่เี ราตถาคตกลาวไวโ ดยนัยมีอาทวิ า คนเหลาอ่นื จักเปน ผูเบยี ดเบยี นกัน . พระผมู ีพระภาคเจา ครน้ั ตรัสโดยสงั เขปอยางน้แี ลว บัดนี้เมอื่ จะทรงขยายความใหพิสดาร จึงไดต รสั ดาํ มอี าทิไวว า คนเหลาอื่นจักเปน ผเู บียดเบียนกนั แตเราทง้ั หลายจกั เปน ผูไ มเบยี ดเบยี นกันในเพราะเรอื่ งน้ี เธอทัง้ หลายควรบําเพญ็ สลั เลขธรรมดงั ที่วา มาน.้ี ในจํานวนคาํ เหลานัน้ คําวา ปเร (คนเหลาอนื่ ) ไดแกผใู ดใครก็ตาม ที่ประกอบสัลเลขธรรมน้เี นอื ง ๆ. ขอ วา วิหสึ กา ภวสิ สฺ นตฺ ิ (จกั เปนผูเบยี ดเบียนกนั ) ความวาจักเปนผเู บยี ดเบียนสัตวทง้ั หลายดวยเครอื่ งเบยี ดเบียนทง้ั หลาย เชนดวยฝา มือหรือดวยกอ นดินเปน ตน. ขอวา มยเมตถฺ อวหิ สึ กา ภวิสฺสาม (เราทง้ั หลายจักเปน ผไู มเบียดเบยี นกันในเพราะเรอื่ งน้)ี ความวา สว นเราท้งั หลายจกั เปน ผูไม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 783
Pages: