Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_17

tripitaka_17

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_17

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 151ตงั้ แตก ารชาํ ระอุปกิเลสแกภ กิ ษุเหลา นน้ั . บรรดาบทเหลา นั้น บทวา สพพฺ าสวส วรปรยิ าย ความวา เปนเหตสุ าํ รวม คอื วา เปน เหตใุ หร ะมดั ระวังอาสวะทุกอยา ง อธบิ ายวาเปนเหตุใหอาสวะเหลานีท้ ภ่ี กิ ษุระวังปกปด แลว ยอมถึงความส้นิ ไป กลา วคอื ความดบั ไปโดยไมเกิดขึ้น (อกี ) คอื อนั ภิกษยุ อมละได ไดแ กยอ มไมเ ปนไป. ในบทวา อาสวาน นั้น ทช่ี อ่ื วา อาสวะ เพราะอรรถวาไหลไป ทานอธบิ ายวา อาสวะเหลานั้นยอมไหลไป คือไหลออกทางจกั ษบุ างฯลฯ ทางใจบาง ดังน้ี . อีกอยางหน่งึ อาสวะเหลา นนั้ เมื่อวาโดยธรรมยอ มไหลไปจนถงึ โคตรภ.ู เม่ือวาโดยโอกาสโลก ยอมไหลไปจนถึงภวัคค-พรหม. เพราะเหตนุ ัน้ จงึ ชอ่ื วา อาสวะ. อธิบายวา อาสวะเหลาน้นั ทําธรรมเหลา นั้นและโอกาสนัน้ ไวภ ายใน (อํานาจ) แลว เปนไป. จริงอยูอา อักษรนี้มีความหมายวา ทาํ ไวในภายใน. ทช่ี อื่ วา อาสวะ. เพราะเปนเหมอื นของหมักดอง มนี ํ้าเมาเปน ตน โดยความหมายวา หมกั อยนู านดงั น้ีบา ง. ความจรงิ ในทางโลก นํ้าเมาท่ีหมักไวน าน เขากเ็ รียกวาอาสวะ ดังนี้. กถ็ านํ้าเมาเปนตน เรียกวา อาสวะ ได เพราะความหมายวาหมกั ไวนานไซร กิเลสเหลาน้ีก็ควรจะเปนเชนนั้นเหมอื นกนั . สมจริงดังทตี่ รัสไววา ภกิ ษทุ ั้งหลาย เงื่อนตนของอวชิ ชา ไมป รากฏ (คอื ไมปรากฏวา ) ในกาลกอนแตน ี้ มไิ ดม ีอวชิ ชา ดงั น.ี้ อีกอยา งหน่ึง ทีช่ อื่ วาอาสวะ เพราะอรรถวา ไหลไป คอื ไหลออกไปสูสังสารทกุ ข ตอไปดังน้ีบาง. กค็ าํ อธบิ าย คําแรก ๆ ในรปู วเิ คราะหเ หลาน้ี ยอมใชใ นที่ท่ีกเิ ลสท้งั หลายมาโดยช่ือวา อาสวะ (สว น) คาํ อธิบายคาํ หลงั ใชใ นกรรมกไ็ ด. ก็ไมใ ชเพยี งแตก รรมกเิ ลสอยา งเดียวเทา นัน้ ทเี่ ปน อาสวะ โดยที่

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 152แทแล แมอปุ ทวะนานัปการ ก็ชอื่ วา อาสวะได ( เหมือนกนั ). ความจรงิในพระสตู รท้งั หลาย กเิ ลสทงั้ หลายซง่ึ เปนมูลเหตุใหกอการทะเลาะวิวาทก็มาโดยช่ือวา อาสวะ ในคาํ นีว้ า จุนทะ เราไมแ สดงธรรมเพ่ือการสังวรระวงั เหลา อาสวะอนั เปน ไปในทิฏฐธรรมเทานั้น ดงั น้ี . กรรมอนั เปน ไปในภูมิ ๓ และเหลา อกศุ ลธรรมทีเ่ หลอื ท้งั หลาย กช็ ือ่ วา อาสวะในคาํ นี้วา อาสวะท้ังหลายของเราท่ีเปน เหตใุ หเขาถึงความเปน เทพหรอื คนธรรพ ทีเ่ หาะเหินได และเปนเหตใุ หเ รา พึงไปสคู วามเปน ยักษ ความเปนมนุษย และพึงไป สอู ัณฑชกําเนิด สนิ้ ไปแลว อนั เราขจดั แลว ทาํ ให พนิ าศแลว ดังนี้. การเขาไปวารายผอู ื่น ความเดอื นรอ น การฆา และการจองจาํเปนตน และอปุ ทวะนานัปการท่เี ปน เหตุใหส ัตวเสวยทุกขในอบาย กช็ อื่วา อาสวะ. (เชน ) ในประโยคนว้ี า ( เราตถาคตจะแสดงธรรม ) เพื่อระมดั ระวงั อาสวะอันเปน ไปในทิฏฐธรรม (และ) เพ่อื บําบัดอาสวะอนัเปน ไปในสมั ปรายภพ ดงั น้.ี ก็ในที่ใดอาสวะเหลานี้นัน้ มาโดยประการใดในท่ีนนั้ กพ็ ึงทราบโดยประการนั้น. ก็ในพระวนิ ัย อาสวะท้ังหลายเหลา นี้มีมาแลว ๒ อยา ง เชน ในประโยควา ( เราตถาคตจะแสดงธรรม) เพ่ือปอ งกันอาสวะอนั เปน ไปในทฏิ ฐธรรม เพื่อบาํ บดั อาสวะอันเปน ไปในสัมปรายภพ ดังนก้ี อ น. ในสฬายตนวรรค มมี าแลว ๓ อยา ง ( เชน ในประโยค) วา ผูมีอายุ อาสวะเหลา นม้ี ี ๓ อยา ง คอื กามาสวะ ภวาสวะอวชิ ชาสวะ ดงั น้.ี ในสุตตันตปฎกแหงอ่ืน และพระอภธิ รรมปฎ ก อาสวะ๓ เหลา นัน้ นนั่ แล รวมกับทฏิ ฐาสวะเขาดวยมีมาแลว เปน ๔ อยาง

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 153วาโดยบรรยายท่ีจําแนกอาสวะทง้ั หลายมีมา ๕ อยา ง คือ ภกิ ษุท้งั หลายอาสวะซ่ึงเปนเหตยุ ังสตั วใหเขา ถงึ นรกก็มอี ยู อาสวะซึง่ เปนเหตใุ หส ตั วไ ปสกู ําเนดิ สตั วดิรัจฉานก็มอี ยู อาสวะซง่ึ เปน เหตุใหส ัตวไปสูว สิ ัยแหงเปรตก็มอี ยู อาสวะซง่ึ เปนเหตุใหส ัตวไ ปสมู นุษยโลกกม็ ีอยู และอาสวะอันเปนเหตุยงั สตั วใหไปสเู ทวโลกก็มี. ในฉักกนิบาต อาสวะมีมา ๖ อยา ง โดยนยัเปนตน วา ภิกษทุ ้ังหลาย อาสวะที่ตอ งละดวยสังวรมีอยู. สว นในสตู รน้ีอาสวะ ๖ เหลาน้ันนน่ั แล พรอ มดว ยอาสวะทตี่ อ งละดวยทสั สนะ มมี า(รวม) เปน ๗ อรรถพจน และประเภท (แหง อาสวะ) ในบทวาอาสวะ มเี พยี งเทานี้กอ น. อธบิ ายสังวร สวนในบทวา สังวร มวี นิ จิ ฉยั ดงั ตอ ไปน้ี :- ทีช่ ่อื วา สงั วรเพราะอรรถวา สังวร อธบิ ายวา ปด คือหา ม ไดแกไ มใ หเ ปนไป. สมจรงิดงั คําทีพ่ ระผูมีพระภาคเจา ตรัสไววา ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย เราตถาคตอนุญาตใหภกิ ษผุ ูตอ งการพกั ผอ นในกลางวนั ตอ งปดประตเู สียกอ นแลว จึงพกั ผอ นดงั น.้ี พระอาจารยกลาว สังวร ดวยอรรถวา ปด ในคําเปน ตนวา ตถาคต เรากลา วสตวิ าเปนเครื่องหา มกระแส กระแส เหลานั้นบุคคลยอ มปดก้นั ไดดวยปญญา ดังนี้. สังวรนน้ั มี ๕ อยา งคอื สลี สังวร สตสิ ังวร ญาณสังวร ขนั ติ-สังวร วริ ิยสังวร. บรรดาสังวรเหลา น้ัน สงั วรท่ตี รัสไววา ภิกษุประกอบดวยปาฏโิ มกขสงั วรน้ี น้ีชอื่ วา สลี สงั วร. ความจรงิ ปาฏิโมกขศลี ทาน

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 154กลาววา สงั วร ในทนี่ ี้. สงั วรในคาํ เปนตนวา ภกิ ษุยอ มถงึ ความสํารวมในจกั ขุนทรีย ชอื่ วา สติสังวร. กส็ ติ ทา นกลาววา สงั วร ในทนี่ ้ี. สังวรทตี่ รัสไวว า เราตถาคตกลา วญาณวา เปนเคร่อื งกน้ั กระแสกระแสเหลา นั้นบคุ คลยอมปดก้ันไดดว ยปญ ญา น้ชี ือ่ วา ญาณสังวร. ก็ในทนี่ ที้ า นกลาวญาณวา สงั วร ดว ยอรรถวา ปดไวได ดว ยบทวา ปถยี เร.ขันตสิ ังวรและวริ ิยสงั วรมาในสูตรน้ีโดยนยั เปนตน วา ภิกษุเปน ผูอ ดทนตอ ความหนาว ฯลฯ ไมย อมใหว ิตกซง่ึ เกดิ ขน้ึ ครอบงาํ ได ดงั นี้. กพ็ งึทราบความทขี่ นั ติและวิริยะ ช่ือวา สังวร เพราะทา นสงเคราะหดวยอเุ ทศนวี้ า สพพฺ าสวส วรปริยาย น.้ี อกี อยางหนง่ึ สังวรแมท ง้ั ๕ อยางนี้ ก็มาในสตู รนี้เหมือนกนั .บรรดาสงั วรทง้ั ๕ อยา งน้ัน ขันตสิ งั วรและวริ ยิ สังวรทา นกลาวไวกอนแลว ทีเดยี ว. ก็สงั วรทตี่ รสั ไววา ภิกษุนัน้ พิจารณาทอี่ ันมใิ ชอาสนะนัน้ และอโคจรนนั้ โดยแยบตายแลว น้ีชือ่ วา สีลสังวรในทน่ี .ี้ สงั วรที่ตรสั ไววาภกิ ษพุ จิ ารณาโดยแยบคายแลว สํารวมระวงั จกั ขุนทรียด ังน้ี น้ชี ือ่ วา สติสังวร. การพิจารณาดว ยญาณในธรรมท้งั ปวง ชื่อวา ญาณสังวร. สว นการเห็น การสองเสพ การเจรญิ ก็ชอื่ วา ญาณสงั วร ดวยศพั ทท่ีทา นมิไดถือเอา. ทีช่ ่อื วา ปริยาย เพราะเปน เหตุเครือ่ งกําหนดแหง ธรรมท้งั หลายอธิบายวา ธรรมท้งั หลายยอมถึงการเกดิ ข้นึ หรอื ดบั ไป. คําใดที่ควรกลาวในคาํ น้ีวา สพพฺ าสวส วรปรยิ าย คําน้นั ทานกลา วอธิบายไวดว ยคํามีประมาณเพยี งเทา น.้ี

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 155 อธิบายญาณทสั สนะ [๑๑] บัดน้ี พึงทราบวินจิ ฉัยในคําวา ชานโต อห เปนตน ดงั ตอไปน.้ี บทวา ชานโต คอื รอู ย.ู บทวา ปสฺสโต คือเห็นอย.ู บทแมทั้งสองมีเนื้อความอยางเดียวกัน พยัญชนะเทา น้นั ท่ีตางกัน. เมือ่ เปนเชนนน้ั พระผมู ีพระภาคเจาแสดงถงึ บุคคล โดยมงุ ถึงลักษณะของญาณดว ยบทวา ชานโต. ความจรงิ ญาณมีความรูเปน ลกั ษณะ. ทรงแสดงบุคคลโดยมงุ ถึงอํานาจของญาณดว ยบทวา ปสฺสโต. ความจริง ญาณมอี ํานาจในการเห็น. บคุ คลผูพรง่ั พรอ มดวยญาณ ยอ มเหน็ ธรรมทีพ่ ระพุทธเจาทรงเปดเผยไวด วยญาณนน้ั แล เปรยี บเหมือนคนตาดีมองเห็นรปู ดวยจักษุฉะนน้ั . อกี อยางหน่ึง เพ่อื ใหโ ยนิโสมนสิการเกดิ ขึ้น อโยนิโสมนสิการจะไมเกดิ ขึ้นแกผเู ห็นอยู เหมือนจะไมเ กดิ ขนึ้ แกผ รู อู ยฉู ะนั้น สารสําคญัในคาํ ทง้ั ๒ นี้มเี พียงเทาน.ี้ สว นอาจารยบางพวกกลาวเย่นิ เยอไวม าก.ขอ ความเหลา น้ันไมเ หมาะในอรรถน.้ี บทวา อาสวาน ขย ความวา การละอาสวะ คอื การเกิดความส้ินไปโดยไมม ีเหลือ ไดแ กอาการคอื การสน้ิ ไป หมายความวาภาวะคอื การไมม ีแหงอาสวะทัง้ หลาย. ขยะ ศพั ทน ้ีแล มีความหมายวา สนิ้ อาสวะท้งั ในสตู รนี้ และทง้ั ในประโยคเปน ตนวา อาสวาน ขยา อนาสวเฺ จโต-วมิ ุตฺตึ. สว นในสตู รอนื่ แมม รรค-ผล-นพิ พาน ทานเรยี กวา ธรรมเปนทส่ี ้นิ ไปแหงอาสวะ. จริงอยางนน้ั มรรคทานเรยี กวา ธรรมเปนทีส่ ิน้อาสวะ (เชน) ในประโยคเปนตน วา

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 156 ในเพราะการส้นิ ไปแหงอาสวะของพระเสขบคุ คล ผกู ําลังศึกษา ผดู ําเนนิ ตามทางสายตรง (คอื มรรค มอี งค ๘) ญาณ (สมั มาทิฏฐิ) ยอมเกดิ กอน ตอ แตนน้ั อรหตั ตผลจงึ มใี นลําดบั ตอ ไป ดงั น้ี.ผล ทานกลา ววา ธรรมเปน ที่ส้ินอาสวะ (เชน ) ในประโยคเปนตน วาบุคคลเปนสมณะไดเพราะการในรปู แหงอาสวะ. นิพพานทานกลาววาธรรมเปน ท่ีสิ้นไปแหง อาสวะ (เชน) ในประโยคเปนตนวา อาสวะทงั้ หลาย ยอมเจริญแกบคุ คลผตู ามเห็นโทษ ของผูอื่น ผูมีปกติเพงโทษเปนนจิ นนั้ เขายอ มอยู หางไกลจากธรรมเปนท่ีสิน้ ไปแหง อาสวะ ดังนี.้ บทวา โน อชานโต น อปสฺสโต ความวา ก็ผูใดไมร ูอ ยูไ มเ ห็นอยูเราตถาคตไมกลาวการสิ้นไปแหง อาสวะของบุคคลนน้ั . ชนเหลาใด กลา วถึงความบรสิ ทุ ธ์ิดวยสงั วรเปน ตน แมของบุคคลผูไมรูไมเ หน็ ชนเหลานนั้เปน อนั ทา นคดั คา นดวยบทวา โน ชานโต โน ปสฺสโต น้ี. อีกอยา งหนงึ่ดวย ๒ บทแรก (ชานโต ปสสิ โต) เปน อนั พระผมู ีพระภาคเจาไดตรสั อุบายไวแลว, ดว ย ๒ บทหลังนี้ (โน อชานโต อปสสฺ โต) เปนอันพระองคไ ดต รัสการปฏเิ สธอุบายไวแลว เพราะฉะน้นั ในทีน่ ้ี ญาณเปนอันพระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงวาเปน ธรรมเครอื่ งปดกนั อาสวะท้งั หลายโดยสงั เขป. บัดนี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงมีพระประสงคจ ะทรงแสดงธรรมที่เม่ือภกิ ษุรูอ ยจู งึ มีความส้นิ ไปแหง อาสวะท้ังหลาย จงึ ทรงเร่ิมปุจฉาวากิจฺ ิ ภิกขฺ เว ชานโต ดงั น้.ี ในบทวา กิ จฺ ิ ภิกขเว ชานโต น้ัน

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 157ความรมู หี ลายอยา ง ความจรงิ ภกิ ษุลางรปู ผูมชี าติฉลาดยอ มรูวธิ ีทํากลดลางรปู ยอ มรูว ิธีทําจวี รเปนตน อยางใดอยา งหนึ่ง เมือ่ ภิกษนุ ั้นดาํ รงอยใู นขอ วัตรกระทาํ กรรมเชน นอี้ ยู ความรูเชนน้ันไมค วรจะกลาววา ไมเปนปทฏั ฐานของมรรคและผล. สวนภิกษใุ ดบวชในศาสนาแลว รวู ธิ ีทาํ เวช-กรรมเปน ตน เม่อื ภิกษุนัน้ รูอยา งนี้ อาสวะท้งั หลาย ยอ มเจริญขึ้นทเี ดยี ว.เพราะฉะนนั้ เม่ือภกิ ษรุ เู ห็นธรรมใด ความสน้ิ อาสวะจึงเกิดมีได เมื่อจะทรงแสดงธรรมนั้นนน่ั แล พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรสั วา โยนโิ ส จมนสิการ อโยนิโส จ มนสกิ าร ดงั น.้ี โยนิโสมนสิการกบั อโยนิโสมนสกิ ารทัง้ ๒ อยา งนัน้ ท่ีชอื่ วา โยนโิ สมนสกิ าร ไดแกก ารทาํ ไวในใจโดยถูกอบุ าย=การทําไวในใจโดยถกู ทาง=การนกึ =การนอมนึก=การผูกใจ=การใฝใ จ=การทําไวใ นใจ ซ่ึงจติ ในอนิจจลกั ษณะเปนตน โดยนยั เปน ตนวา ไมเ ที่ยง หรอื โดยสจั จานโุ ลมิก-ญาณ นเ้ี รยี กวา โยนิโสมนสกิ าร ที่ชือ่ วา อโยนิโสมนสิการ ไดแกการทาํ ไวในใจโดยไมถูกอุบาย ไดแ กการทําไวใ นใจโดยไมถ กู ทาง คอืการทําไวใ นใจโดยไมแยบคาย=การทาํ ไวใ นใจโดยผดิ ทาง ในส่ิงทไ่ี มเท่ียงวา เที่ยง ในส่งิ ท่ีเปน ทกุ ขว าเปน สขุ ในสิ่งทีไ่ มใชอัตตาวา เปนอตั ตา หรอืคือการนึก=การนอมนึก=การผกู ใจ=การใฝใ จ=การทําไวในใจซึ่งจติ โดยการกลบั กนั กับสจั จะ น้ีเรยี กวา อโยนโิ สมนสกิ าร ความส้นิ ไปแหง อาสวะทง้ั หลาย ยอมมีแกภกิ ษผุ ูรูอยู เพ่ือยงั โยนิโสมนสิการใหเ กดิ ขึน้ และแกภิกษุผูเ ห็นอยู โดยประการทอี่ โยนโิ สมนสกิ ารจะไมเกิดขนึ้ ดงั ท่ีพรรณนามาน้.ี

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 158 บดั นี้ เม่ือจะทรงแสดงขอยตุ แิ หงเนือ้ ความนี้ พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรัสวา อโยนิโส ภกิ ขฺ เว ฯเปฯ ปหยี ยฺ นตฺ ิ. ถามวา ดวยคําวา อโยนิโส ภกิ ฺขเว ฯเปฯ ปหียนตฺ ิ น้ัน ทา นกลาวอธิบายไวอยางไร. ตอบวา ทา นกลา วอธิบายไวว า เพราะอาสวะท้ังหลาย ยอ มเกิดข้นึแกภ ิกษุผูใสใจโดยไมแยบคาย เม่ือภกิ ษุใสใ จโดยแยบคาย เธอยอ มละอาสวะท้ังหลายได เพราะฉะน้ัน บณั ฑติ พงึ เขา ใจวา ความในรปู แหงอาสวะท้ังหลาย ยอ มมีแกภิกษุผูรูอ ยู เพอ่ื ยังโยนโิ สมนสกิ ารใหเกิดข้ึนและแกภิกษุผูเหน็ อยู โดยประการท่ีอโยนโิ สมนสิการจะไมเกดิ ขึ้น ดังทพี่ รรณนามาน. ในขอ น้มี ีการพจิ ารณาโดยสงั เขปเพียงเทานก้ี อ น สวนความพิสดารมีดังตอไปน.ี้ พระสูตรทง้ั ส้ินขางหนา มีความเกี่ยวเน่ืองกันกับดว ย ๒ บทน้ี คือ โยนิโส อโยนิโส กอ น. ความจริง พระสูตรทง้ั หมดขา งหนา ทานกลา วไวดว ยอํานาจวัฏฏะและววิ ฏั ฏะ. กว็ ฏั ฏะมีการไมใ สใ จโดยแยบคายเปน มลู ราก. ววิ ัฏฏะมกี ารใสใ จโดยแยบคายเปน มูลราก. คอือยางไร ? อธิบายวา การใสใ จโดยไมแ ยบคายเม่ือเจรญิ ขนึ้ ยอ มใหธ รรม๒ อยา ง คือ อวชิ ชา และภวตัณหาบริบรู ณ. ก็เม่อื มีอวชิ ชา สงั ขารทั้งหลายจึงเกิดมีขนึ้ เพราะมอี วิชชาเปน ปจจัย ฯลฯ กองทกุ ขจงึ มีการเกดิ ข้ึน. เม่ือมตี ณั หา อปุ าทานก็เกดิ มี เพราะมีตณั หาเปน ปจ จยั ฯลฯกองทกุ ขจึงมีการเกิดข้นึ . ฉะน้ัน บคุ คลผมู ากดวยการไมใ สใ จโดยแยบคายอยา งน้ี ยอ มเวียนวา ยตายเกิดอยูใ นภพกําเนดิ คติ ฐติ ิ และ สัตตาวาสอยูรํา่ ไป เปรียบเหมือนเรอื ซ่ึงถูกแรงลมพดั ทําใหโคลง และเปรยี บเหมอื นฝูงโคซ่ึงตกลงไปในแมนํ้าไหลวน และเหมือนโคพลพิ ัทที่เขาเทียมรถไว

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 159ฉะนัน้ . วฏั ฏะมีการไมใ สใจโดยแยบคายเปน มูลรากดงั วามาน้กี อ น. สวนการใสใจโดยแยบคาย เม่อื เจริญขึน้ ยอมทาํ มรรคมอี งค ๘ มีสัมมาทฏิ ฐเิ ปนขอแรกใหบ รบิ ูรณ เพราะพระบาลีวา ภกิ ษุทงั้ หลาย ภิกษุผสู มบรู ณดว ยการใสใจโดยแยบคาย พงึ หวงั ขอนี้ได คือ เธอก็จักเจริญอรยิ มรรคมอี งค ๘ จักกระทาํ ใหมากซ่ึงอรยิ มรรคมอี งค ๘. ดว ยบทวายา จ สมมฺ าทิฏ ิ สา วชิ ชา นี้ บัณฑิตพึงทราบววิ ัฏฏะซ่งึ มกี ารใสใ จโดยแยบคายเปน มูลรากอยา งนว้ี า เพราะอวชิ ชาเกิดขน้ึ และอวชิ ชาดบั ไปความดับแหง สงั ขารจึงเกดิ มีแกภ กิ ษุนัน้ ฯลฯ ความดบั แหงกองทุกขทง้ั มวลนี้ยอ มมีไดดวยอาการอยางนี้. พระสูตรท้ังหมดขางหนา มคี วามเกี่ยวเนื่องกันดวยบททั้ง ๒ นี้ดงั กลา วมาน้.ี กใ็ นสตู รนีท้ เ่ี กยี่ วเนอื่ งกนัอยา งน้ี เพราะเหตทุ ี่แสดงการละอาสวะไวกอ นแลว จะกลาวการเกิดข้ึนทหี ลงั ไมเหมาะ เน่อื งจากวาอาสวะท่ลี ะไดแ ลวยอ มไมเ กิดข้นึ อกี แตทถ่ี กู( คือกลาว) การละอาสวะทัง้ หลายที่เกิดข้ึนแลว (ตางหาก ) ฉะนัน้พระผูมพี ระภาคเจาจึงตรสั วา อโยนิโส ภกิ ขฺ เว มนสกิ โรโต เปน ตนแมโ ดยยอ นอุทเทศ. บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา อโยนโิ ส มนสิกโรโตความวา ผูยังการใสใ จโดยไมแยบคายมปี ระการดังกลา วแลว ใหเ กดิ ขึน้ .ในบทวา อุปปฺ นนฺ า เจว อาสวา อุปฺปชชฺ นตฺ ิ นี้ ความวา เมอ่ื ภกิ ษุไดปจ จยั มีจีวรเปนตน ซ่งึ ตนไมเ คยไดมากอ น หรือไดว ตั ถอุ นั นา พอใจอยา งใดอยา งหนงึ่ ของอปุ ฏ ฐาก สัทธวิ ิหาริกและอนั เตวาสิกแลว ไมใสใ จโดยแยบคายซง่ึ ปจ จยั หรือวัตถนุ นั้ วา งาม เปนสุข ก็หรือเม่ือภกิ ษุไมใสใ จโดยแยบคายซงึ่ อารมณอยางอืน่ ๆ ซึ่งตนไมเคยไคเ สวยมากอ นโดยประการใดประการหนง่ึ อาสวะเหลา ใดยอมเกดิ ขน้ึ . อาสวะเหลาน้ัน

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 160ซง่ึ ยังไมเ กิดขึ้น พึงทราบวา ยอ มเกิดข้ึน ดังนี้. ความจริง อาสวะท้ังหลายทีช่ ือ่ วา ไมเกดิ ขน้ึ ในสังสารวฏั ซง่ึ มีทสี่ ุดแหง เบือ้ งตนที่ใครตามไปไมรูแลว โดยประการอื่น ยอมไมม.ี อาสวะทัง้ หลายของภกิ ษใุ ดในกาลกอ นไมเกิดขึน้ ในวตั ถหุ รอื ในอารมณที่ตนไมเคยไดเ สวยมากอ นโดยความบรสิ ุทธิ์ตามปกติหรอื ดวยอํานาจการอุทเทศ ปรปิ จุ ฉา ปริยตั ิ นวกรรม และโยนิโสมนสกิ าร อยา งใดอยา งหน่ึงแลว ยอ มเกดิ ข้นึ โดยฉบั พลันดว ยปจจัยเชน นั้น ในภายหลงั อาสวะท้งั หลายของภกิ ษนุ นั้ พงึ ทราบวา ยังไม (เคย) เกิดขน้ึ แลว ยอ มเกิดขึน้ ดงั น.ี้ สวนอาสวะท้ังหลายซ่ึงกําลังเกิดขน้ึ บอ ย ๆ ในวัตถุและในอารมณเ หลา นัน้ นนั่ แล ทานเรยี กวา เกดิ ขึ้นแลว ยอมเจริญ. ขึน้ ชอ่ื วา ความเจริญแหง อาสวะทั้งหลายซึง่ เกดิ ข้นึครัง้ แรกโดยประการอ่นื จากน้ี หามไี มเ ลย. ในบทวา โยนโิ ส จ โข ภกิ ฺขเว นี้ ความวา อาสวะทง้ั หลายของภิกษุใด ยอมไมเกดิ ขึน้ โดยความบริสุทธิ์ ตามปกติ หรอื โดยเหตุมีอทุ เทศ และปรปิ ุจฉาเปน ตน เหมือนไมเกิดขึน้ แกทา นมหากสั สปะและนางภัททกาปลานี ภกิ ษุนัน้ ยอ มรูแจง ชดั วา อาสวะทัง้ หลายของเรายังไมถ งึ การเพิกถอนดวยมรรคหรือหนอ อยูกระนัน้ เลย เราจะปฏบิ ตั ิเพอ่ืเพิกถอนอาสวะเหลา นั้น. ตอแตน น้ั เธอยอ มเพิกถอนอาสวะทงั้ หมดนั้นดวยมรรคภาวนา อาสวะทงั้ หลายเหลานน้ั ของเธอทานกลาววา ทย่ี งั ไมเกิดยอมไมเ กิดขน้ึ . สว นภิกษใุ ด มสี ติอยหู างไกล อาสวะทัง้ หลายยอมเกดิ ขนึ้ โดยเร็วพลัน เพราะความหลงลืมแหงสติ ตอแตน นั้ เธอนน้ั ก็ถงึความสังเวช เร่มิ ต้งั ความเพยี รโดยแยบคาย ยอ มเพิกถอนอาสวะเหลา น้นัได อาสวะซง่ึ เกิดข้ึนแกภกิ ษนุ ั้นเรียกวา อันเธอยอมละได เหมอื น

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 161พระมหาติสสคตุ ตเถระผู อยใู นมัณฑลาราม. ไดยินวา ทา นเริม่ อทุ เทศในวิหารนน้ั นั่นเอง ครั้งนนั้ กิเลสก็เกดิ ขึ้นแกทา นผูเที่ยวบณิ ฑบาตในหมบู านเพราะอารมณอันเปน วสิ ภาคกัน.ทานขม อารมณน้นั ดวยวปิ ส สนาแลวกลับไปวิหาร. อารมณน ้นั ไดป รากฏแกทานแมใ นความฝน . ทานเกิดความสงั เวชขนึ้ วา กเิ ลสนเ้ี จรญิ ขึ้นแลวยอมเปน เรอื่ งทําเราใหต กไปในอบาย ดังนี้แลว อาํ ลาอาจารยแ ลว ออกจากวหิ ารไปเรยี นอสภุ กัมมัฏฐาน ซงึ่ เปน ปฎปิ กษต อราคะในสํานักของพระมหาสงั ฆรักขติ เถระ เขาไปสรู ะหวางพมุ ไม ลาดผา บงั สุกลุ รองน่งัตัดเสียซง่ึ ราคะอันประกอบดวยกามคณุ ๕ ดวยอนาคามิมรรค ลกุ ข้ึนแลวไหวอาจารย ในวันรงุ ข้นึ ไดบ รรลอุ ทุ เทสมรรค. กอ็ าสวะทัง้ หลายเหลา ใดกําลังเปนไปยังไมเกิดข้นึ ข้ึนช่อื วา การละอาสวะทั้งหลายเหลาน้ัน ดว ยขอ ปฏบิ ัตยิ อ มไมม.ี บัดนี้ พระผูมีพระภาคเจาทรงถอื เอาบทนว้ี า อปุ ปฺ นฺนา จอาสวา ปหิยฺยนตฺ ิ ดงั นแ้ี ลว ทรงขยายเทศนาใหพสิ ดาร เพ่อื จะทรงชีแ้ จงเหตุแหง การละ ซ่ึงอาสวะท่ีละได แมอยางอ่นื โดยประการตา ง ๆจงึ ตรสั คําเปนตนวา ภิกษุทัง้ หลาย อาสวะที่พงึ ละดวย ทสั สนะ มอี ยู ดงั นี้สมกับท่ีพระองคเปน พระธรรมราชา ผูฉ ลาดในประเภทแหง เทศนา.บรรดาบทเหลานนั้ บทวา ทสฺสนา ปหาตพพฺ า ความวา พงึ ละดว ยทสั สนะ ในทกุ บทกน็ ัยน้ี.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 162 พรรณนาอาสวธรรมทีพ่ งึ ละดว ยทัสสนะ บดั น้ี พระผมู พี ระภาคเจา มีพระประสงคจะทรงจะกระทําใหแ จงซงึ่บทเหลา น้นั โดยลาํ ดับ จงึ ทรงต้งั ปญหาวา ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็อาสวะเหลา ไหนทค่ี วรละดว ยทัสสนะ ดงั นีแ้ ลว ทรงเร่ิมเทศนาอนั เปนปุคคลาธฏิ ฐานวาดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ปุถชุ นผมู ไี ดส ดบั ในธรรมวินัยนี้ โดยนัยดงั กลาวแลวในอรรถกถามลู ปรยิ ายสูตร. บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา มนสิกรณีเยธมฺเม นปฺปชานาติ ความวา ยอ มไมรจู กั ธรรมทคี่ วรนอมนึก คือที่ควรนาํ มาพิจารณา. บทวา อนนสิกรณีเย ความวา ยอมไมรูจักธรรมทตี่ รงกนั ขา ม ในบททเ่ี หลอื ก็นัยน้ี. ก็เพราะการกาํ หนดโดยธรรมวา ธรรมเหลา น้คี วรใสใจ ธรรมเหลานี้ ไมควรใสใจ ดังนี้ ไมมี แตการกาํ หนดโดยอาการมีอยู คือธรรมท้งั หลายท่ภี ิกษใุ สใ จอยโู ดยอาการใด จงึ เปนปทัฏฐานแหงการยงั เกิดขึ้นแหงอกุศลธรรม ภกิ ษไุ มค วรทํา การใสใจธรรมเหลานั้นโดยอาการนนั้ ธรรมทง้ั หลายทภ่ี ิกษใุ สใ จโดยอาการใดจึงเปนปทัฏฐานแหงการน่งั เกิดข้ึนแหงกุศลธรรม ธรรมเหลา นภ้ี กิ ษคุ วรใสใจโดยอาการน้นั ฉะน้ัน พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรสั คําเปนตน วายสฺส ภิกขฺ เว ธมฺเม มนสกิ โรโต อนปุ ปฺ นฺโน วา กามาสโว ดงั น้ี. บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา ยสสฺ ความวา อาสวะเหลา ใดของปุถชุ นผมู ิไดสดับแลวนั้น. บทวา นนสกิ โรโต ความวา ผรู ะลึก คอืนํามาพจิ ารณา. วา ศพั ท ในบทวา อปุ ฺปนโฺ น วา กามสโว นี้ มีสมุจจยะเปนอรรถ หาไดมีวกิ ัปเปนอรรถไม. ฉะนั้น พงึ เห็นเนอื้ ความในทีน่ ว้ี า กามาสวะ ทย่ี งั ไมเกิดข้ึนยอ มเกดิ ขึ้น กามาสวะทเี่ กิดขนึ้ แลว

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 163ยอ มเจริญ เหมอื นเมอ่ื พระองคต รสั วา ดกู อนภิกษุทงั้ หลาย สัตวท้ังหลายไมม เี ทา กต็ าม มี ๒ เทา กต็ าม มปี ระมาณเทาใด ฯลฯ ตถาคตกลา วรอยเทา ชา งวา เปนยอดแหง สัตวท ้ังหลายเหลาน้ัน ดังนี้ ยอมไดค วามวาสตั วไมม ีเทา และสัตว ๒ เทา . และเหมือนเมื่อพระองคตรสั วา เพอ่ื ความดํารงอยูแหงสัตวทัง้ หลายผเู กดิ มาแลว บา ง เพื่ออนุเคราะหส ตั วผ เู ปน สมั ภ-เวสบี าง ยอ มไดค วามวา ภูตและสัมภเวสี และเหมอื นเนื้อพระองคตรัสวา จากไฟบาง จากนํา้ บา ง จากการขาดความสามคั คบี าง ยอ มไดความวา จากไฟ จากนํา้ และจากการขาดความสามัคคี ดงั นี้ . แมใ นบทนี้วา ยสสฺ ภกิ ขฺ เว ธมฺเม มนสกิ โรโต อนุปปฺ นโฺ น วา กามาสโวกพ็ ึงเห็นเนื้อความอยา งน้วี า อนปุ ปฺ นฺโน จ กามาสโว อุปฺปชชฺ ติอปุ ปฺ นฺโน จ กามาสโว ปวทฺฒติ (กามาสวะท่ียงั ไมเกิดยอมเกิดขน้ึและกามาสวะที่เกดิ ขึ้นแลว ยอ มเจริญ ). ในบทท่ีเหลือก็อยางน้เี หมอื นกนั .บรรดาอาสวะเหลา น้ัน ความกําหนัดอนั ประกอบดวยกามคุณ ๕ ชื่อวากามาสวะ. ความกําหนดั ดว ยอาํ นาจความพอใจในรูปภพ และความพอใจในฌานซ่ึงประกอบดว ยสัสสตทฏิ ฐิ และ อจุ เฉททฏิ ฐิ ช่อื วา ภวาสวะ.แมท ฏิ ฐาสวะ. ยอ มรวมลงในภวาสวะเหมือนกันดว ยอาการอยางนี.้ ความไมร ใู นสัจจะทั้ง ช่อื อวชิ ชาสวะ. บรรดาอาสวะเหลา นั้น กามาสวะซ่งึ ยังไมเกดิ ขน้ึ และที่เกิดขน้ึ แลว ยอมเจริญแกผูท่ยี นิ ดีคือใสใ จในกามคณุ .ภวาสวะทย่ี งั ไมเ กดิ ข้นึ ยอ มเกดิ ขนึ้ และที่เกิดขนึ้ แลว ยอ มเจริญแกผทู ่ยี นิ ดีชอบใจคอื ใสใจในมหคั คตธรรม. อวชิ ชาสวะท่ียงั ไมเ กิดยอมเกิด ท่เี กิดแลว ก็ยอ มเจรญิ แกผ ูท ใ่ี สใจในธรรมอันเปนไปในภมู ิ ๓ โดยธรรมเปนปทฏั ฐานแหง วปิ ล ลาส ๔ พึงทราบเนอ้ื ความดงั กลาวมาอยางน.ี้ ธรรม

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 164ฝา ยขาวควรใหพ สิ ดารโดยความเปน ขา ศกึ กับธรรมตามนยั ที่กลา วแลว. ถามวา ก็เพราะเหตุไรในพระสูตรนี้ พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรสัอาสวะไว ๓ เทานนั้ ? ตอบวา เพราะเปน ขา ศกึ ตอ วิโมกข. ความจรงิ กามาสวะเปนปฏิปก ษต ออปั ปณิหิตวโิ มกข. ภวาสวะและอวชิ ชาสวะนอกน้ี เปนปฏิปก ษตอ อนิมติ ตวิโมกข และสญุ ญตวโิ มกขฉะน้นั พึงทราบวา พระผมู ีพระภาคเจาเมอื่ จะทรงแสดงเนื้อความนี้วาเหลาชนผูใหอ าสวะทัง้ ๓ เหลานี้เกิดข้นึ ยอ มเปนผไู มม ีสว นแหงวิโมกขทัง้ ๓เหลา นน้ั ชนทีไ่ มใ หอ าสวะเหลานเ้ี กิดขึ้น ยอมเปน ผูมสี ว นแหงวโิ มกขทงั้ ๓ ดังนี้ จึงตรสั วิโมกขไ ว ๓ เทานน้ั . คํานว้ี า อกี อยา งหนง่ึ แมทฏิ ฐาสวะกเ็ ปนอันพระองคตรัสไวแลวในอาสวกถานี้เหมือนกัน ดังน้ี เปนอันพรรณนาไวแ ลว . บทวา ตสสฺ อมนสกิ รณยี าน ธมมฺ าน มนสิการาความวา เพราะเหตแุ หงการใสใจ อธิบายวา เพราะเหตุท่ีใสใ จซึ่งธรรมเหลา น้ัน. แมใ นบทท่ี ๒ ก็นัยน้.ี คาํ วา อาสวะทั้งหลายทีย่ ังไมเ กดิ ขึ้นยอมเกดิ ขน้ึ และอาสวะท้งั หลายท่เี กิดขึน้ แลว ยอ มเจริญ ดังน้ี น้ีเปนคํากลา วยา้ํ โดยไมเ เตกตา งกันแหง อาสวะท้ังหลายทก่ี ลาวแลวในหนหลงั . ปถุ ชุ นน้ใี ด ผูมิไดส ดบั อนั พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสไวแลว เพ่อืทรงช้แี จงอาสวะทีพ่ งึ ละดว ยเทศนาอนั เปนปุคคลาธิฏฐาน เพราะเหตุทปี่ ถุ ชุ นนัน้ เปน ทต่ี ั้งแมแหงอาสวะทั้งหลาย มกี ามาสวะเปนตน ทีม่ ีการใสใ จโดยอบุ ายไมแยบคาย เปน ปจจยั ซ่งึ ตรัสไวโ ดยเปนสามัญธรรมดาอยางน้วี า ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย เมอื่ ภิกษุใสใจโดยอบุ ายไมแยบคายอาสวะทงั้ หลายท่ยี งั ไมเ กิด ยอมเกดิ ขึ้น ฉะนั้น ครัน้ ทรงแสดงอาสวะ

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 165แมเหลานั้นโดยบุคคลนน้ั นน่ั แล ดว ยคาํ เพยี งเทา นี้แลว บัดน้ี เมื่อจะทรงแสดงอาสวะทพ่ี ึงละดวยทสั สนะ จงึ ตรสั คําเปนตน วา โส เอว อโยนิโสมนสกิ โรติ อโหสึ นุ โข อห ดังนี้ . ก็ในสตู รนี้ เม่อื จะทรงแสดงแมท ฏิ ฐาสวะดวยยกวจิ ิกิจฉาข้นึ เปนประธาน พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ทรงเร่ิมเทศนานี้. เนื้อความแหงคําน้ันวา อาสวะโดยนัยทีต่ รสั แลวอยา งน้ียอ มเกิดขึ้นแกผ ูใด ผูนน้ั ชอื่ วาเปนปถุ ุชน กป็ ถุ ุชนน้ใี ด พระองคต รสั ไวโดยนยั เปน ตน วา อสสฺ ตุ วฺ า ดงั น้ี ปุถุชนน้ันยอมใสใ จโดยไมแยบคายคือโดยไมถ กู อุบาย ไดแ กไมถ ูกทาง. ถามวา ใสใ จอยางไร ? ตอบวา คอื ยอมใสใ จวา เราไดมีแลวหรือหนอ ฯลฯ สตั วจักไปไหนดงั น้.ี ถามวา ทา นอธบิ ายไวอยา งไร ? ตอบวา ทานอธิบายไววา บคุ คลนัน้ ยอมใสใจโดยไมแยบคาย โดยประการทีเ่ ขามวี จิ กิ จิ ฉาท้ัง ๑๖ อยาง ซึ่งพระผูม พี ระภาคเจา ตรัสไวโ ดยนัยวา อห อโหสึ นุ โข ดงั นี้ เกดิ ขึ้น. บรรดาขอกงั ขาเหลานั้นขอกังขาวา อโหสึ นุโข น นโุ ข (เราไดมีแลว หรือหนอหรือไมไดมีแลว ) ความวา ปถุ ุชน สงสยั ความมแี ละความไมม แี หงอัตตาในอดีตเพราะอาศัยอาการคือ สัสสตทฏิ ฐิและอาการท่ีเกดิ ขึ้นลอย ๆ คําวา ก การณ(เหตไุ ร ?) ไมจาํ เปน ตอ งกลา ว ( เพราะ) พาลปุถุชนมพี ฤตกิ รรมคมุ ดคี มุ รา ยเหมือนคนบา. อีกอยางหนึ่ง อโยนิโสมนสิการนน้ั เองเปน เหตุในเรอื่ งน้ี. ถามวา อะไรเปนเหตแุ หง อโยนิโสมนสกิ ารอยางนี้.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 166 ตอบวา ความเปน ปถุ ชุ นนน่ั เองหรอื กิจอนั มีการไมเ ห็นพระอรยิ เจาท้งั หลายเปนตนเปนเหตุ. ถามวา ก็แมป ถุ ุชนยอมใสใ จโดยแยบคาย (มีโยนิโสมนสิการเหมือนกัน) มิใชห รือ หรอื ใครเลากลาวอยางนวี้ า ปถุ ุชนไมทําไวใ นใจโดยแยบคาย (ไมม โี ยนิโสมนสิการ).๑ ความเปน ปถุ ุชนไมเ ปนเหตสุ าํ คัญในขอน้นั กรรมคือการฟงธรรมและความมีกลั ยาณมติ รเปน ตน (ตา งหาก)เปน เหตสุ าํ คัญในขอน.้ี ความจริง ตามปกติของตน สตั วม ปี ลาและเน้อืเปนตน ไมไ ดมกี ลิน่ หอม แตก ลายเปนสตั วม ีกลิ่นหอมได เพราะมีเครอ่ื งปรุงแตงเปนปจจยั . บทวา กึ นุ โข อโหสึ ความวา ปถุ ชุ นอาศัยชาติ ( กาํ เนดิ )เพศและการอุบัตจิ ึงสงสัยวา เราไดเ ปน กษัตริยแ ลวหรอื หนอแล ไดเ ปนบรรดาพราหมณ แพศย ศทู ร คฤหสั ถ บรรพชติ เทวดา มนษุ ยอยางใดอยา งหนึง่ แลว หรอื หนอแล. บทวา กถ นโุ ข ความวา ปุถชุ น ไดอาศัยอาการแหง ทรวดทรงจึงสงสยั วา เราไดเ ปน คนสูงแลว หรอื หนอ ไดเปนคนเตยี้ คนขาว คนดาํคนมขี นาดพอดี คนท่ีไมไ ดขนาดแลว หรอื หนอแล. สว นอาจารยบางพวกยอมกลา ววา ปถุ ุชนอาศัยเหตุการเนรมิตของพระอศิ วรเปน ตน แลวสงสยัโดยเหตวุ า เราไดมีแลวเพราะเหตอุ ะไรหนอแล. บทวา กึ หุตฺวา กึ อโหสึ ความวา ปุถุชนอาศัยชาติ (กําเนิด)เปน ตน ยอ มสงสยั ความสบื ตอของตนวา เราเปนกษตั ริยแลวจงึ ไดมาเปน๑. ปาฐะ เปน โกว เอวมาห มนสิกโรตีติ แตฉบับพมา เปน โก วา เอวมาห น มนสกิ โรตีติเหน็ วา จะถกู ตอ งดกี วา จึงไดแปลตามฉบับพมา .

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 167พราหมณหรือหนอแล. ฯลฯ เปนเทวดาแลวจึงไดม าเปนมนุษยหรือหนอแล. คําวา อทฺธาน ในทกุ ๆ บท เปนคาํ ทรี่ ะบถุ งึ กาลเวลา. บทวา ภวสิ ฺสามิ นุโข น นุโข ความวา ยอมสงสยั ความทต่ี นจะมหี รือจะไมมใี นอนาคตเพราะอาศยั อาการแหงสัสสตทิฏฐิ และอาการอุจเฉททฏิ ฐ.ิ คําที่เหลอื ในสตู รนม้ี นี ยั ดงั กลา วแลวเหมอื นกัน. บทวา เอตรหิ วา ปจฺจุปฺปนฺน อทธฺ าน ความวา หรอื ยึดปจ จุบันกาล แมท้งั หมดมีปฏสิ นธเิ ปน ตน มจี ุตเิ ปนท่ีสดุ ในปจจุบัน. บทวา อชฺฒตฺต กถ กถี โหติ ความวา ปถุ ชุ นยอมเปน ผูม คี วามสงสยั ในขันธท้ังหลายของตน. สงสยั อยางไร๑ ? สงสัยความท่ีตนมอี ยวู าเรามีอยหู รอื หนอแล. ถามวา กข็ อน้ถี ูกแลว หรอื ? ตอบวา ในคําวา ถูกหรือไมถ กู น้ี จะมคี วามคิด (กังขา) ไปทําไม เออกใ็ นเรือ่ งน้ี มเี รือ่ งดังตอ ไปนเี้ ปน อุทาหรณ. ไดยินวา ลูกของแมเล็กโกนหวั (สว น) ลกู ของแมใหญไ มไดโ กนหัว พอลกู ของแมใหญน้นั หลบั ญาติทง้ั หลายจงึ ชวยกันโกนหวั . ลูกแมใ หญน น้ั พอตื่นขน้ึก็คดิ วา เราเปน ลกู ของแมเ ล็กหรอื หนอ. ความสงสัยทีว่ า เรามอี ยูห รอืหนอแล ก็เปนอยา งนแ้ี หละ. บทวา โน นุ โขสมฺ ิ ไดแกป ถุ ชุ นยอมสงสยั ความที่ตนไมม.ีแมใ นขอน้ัน มเี ร่อื งดังตอไปนเี้ ปน อุทาหรณ. ไดยินวา คนจับปลาคนหน่งึ คิดเห็นขาของตนซงึ่ เย็นเพราะแชอ ยูในน้าํ นานวาเปน ปลา จึงไดต ีอีกคนหนง่ึ เฝา นาอยูใ กลป า ชารูส กึ กลวั จงึ นอนขดตัว. เขาตื่นข้นึ มาคิดวา๑. ฉ. กนิ ตฺ ิ สทฺโท นตถฺ ิ.

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 168เขาของตนเปนยักษ ๒ ตน จงึ ไดตี. เขายอ มมคี วามสงสัยวา หรือวา เราไมม ี (ไมใ ชตัวเรา) ดงั นี้. บทวา กึ นโุ ข ไดแ กเ ขาเปน กษัตรยิ  (แต) สงสยั ความเปนกษัตรยิ ข องตน. ในบทท่ีเหลือกน็ ยั น้ี. สว นผูเกดิ เปนเทวดา ชอ่ื วาไมร ูความเปนเทพยอ มไมมี แมเ ทวดาน้ันก็ยอ มมีความสงสยั ความเปน เทวดาน้ันโดยนยั เปน ตน วา เรามรี ปู หรอื ไมมรี ูปหนอ. หากมีคาํ ถามวา กษตั รยิ เ ปนตนไมรูความเปน กษตั รยิ เ ปนตน เพราะเหตอุ ะไร? พงึ ตอบวา ความอบุ ัตใิ นตระกลู นั้นๆ ของกษตั ริยเปน ตน เหลาน้นัไมป ระจักษ. แมคฤหสั ถท ัง้ หลาย มพี ราหมณโปฏฐลติ ะเปนตน กม็ ีความสําคญั ตวั เองวา เปนบรรพชติ แมบ รรพชติ กม็ คี วามสําคัญตวั เองวาเปน คฤหัสถ โดยนยั เปน ตนวา กรรมของเรากําเรบิ แลวหนอ อนึ่ง แมมนษุ ยท ้งั หลายยอ มมคี วามสาํ คญั ในคนวาเปนสมมตเิ ทพ เหมือนพระราชา. คาํ วา กถ นุ โขสฺมิ น้ี มีนัยดงั กลา วแลว นัน้ แล. ก็ในบทวากถ นุ โขสมฺ ิ น้ี มอี ธิบายวา ปุถชุ นเมอื่ ยดึ ถือวา ในภายในมแี ตช วี ะลวน ๆ ดังน้ี แลวอาศัยอาการแหงทรวดทรงของชวี ะนัน้ สงสยั อยวู าเราเปน คนสูงหรือหนอแล หรอื วา เรามีรูปรา งเตย้ี ๔ สวน ๖ สว น๘ สวน ๑๖ สว นเปนตน ประการใดประการหนึง่ ดงั นี้ พึงทราบวาสงสัยวา เราเปนอยา งไรหนอแล. ขึน้ ชื่อวา บุคคลผไู มรสู รรี สณั ฐานอันเปนปจจุบันไมม ีเลย. บทวา กโุ ต อาคโต โส กุหึ คามี ภวิสฺสติ ไดแกส งสยั ทีม่ าและท่ไี ปของอตั ภาพ.

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 169 พระผูมีพระภาคเจา ครั้นทรงแสดงวจิ ิกิจฉา ๖ อยา ง ดังพรรณนามาฉะนีแ้ ลว บัดน้ี เพ่อื จะทรงแสดงทฏิ ฐาสวะใด โดยหวั ขอคอื วจิ ิกิจฉาน้ีพระองคไดทรงเร่ิมเทศนาน เมือ่ จะทรงแสดงทฏิ ฐาสวะนนั้ จึงตรัสคาํเปน ตนวา ตสฺส เอว อโยนโิ ส มนสิ โรโต ฉนนฺ  ทฏิ ฐ ีน ดงั น้ี .มคี ําอธบิ ายไวว า วจิ กิ ิจฉานี้ ยอ มบงั เกดิ ขน้ึ แกบ คุ คลนั้นโดยประการใดบรรดาทิฏฐิ ๖ อยา งใดอยางหนึง่ ยอมบังเกิดขน้ึ แกบ คุ คลนนั้ นน่ั เองผูไมใ สใ จโดยแยบคาย มีความลังเลสงสัยโดยประการนน้ั เพราะอโยนโิ สมนสิการ ถงึ ความเปน สภาพมกี าํ ลงั . วา ศพั ท ในทุก ๆ บทน้ันเปนวิกัปปต ถะ. อธบิ ายวา ทฏิ ฐิยอมเกดิ ข้ึนอยา งนบี้ า ง อยางนบี้ าง. ก็สสั สตทิฏฐใิ นบทวา อตั ตาของเรามีอยูนี้ ยอมยดึ ถอื วา อัตตาของตนมีอยูในกาลทกุ เมอ่ื . บทวา สจฺจโต เถตโต ความวา โดยจรงิ และโดยแท. อธบิ ายวาโดยการยึดถืออยา งม่นั ดวยดีวา อยางน้ีเทา นนั้ จริง. สวนทิฏฐนิ ว้ี า อัตตาของเราไมม ี ชอ่ื วา อจุ เฉททิฏฐิ เพราะถอื วาสัตวท่มี ีอยขู าดสูญในภพนน้ั ๆ. อีกอยางหน่งึ ทฏิ ฐแิ มขอแรกชอ่ื วา สัสสตทฏิ ฐิ เพราะยดึ ถือวามีอยูในกาลทงั้ ๓. ทฏิ ฐิท่ยี ึดถอื อยูวา สง่ิ ท่ีเปนปจจบุ นั เทาน้ันมอี ยู ชื่อวาอุจเฉททิฏฐิ. อน่ึง ทิฏฐิขอ หลังชือ่ วา อุจเฉททฏิ ฐิ เพราะยดึ ถือในอดตีและอนาคตวาไมมี เหมือนทฏิ ฐิของบคุ คลผยู ดึ ถือทิฏฐิวา การบูชาทง้ั หลายมีเถาเปน ที่สดุ ฉะนน้ั (สว น) ทิฏฐทิ ่ียดึ ถอื ในอดีตเทา นนั้ วาไมมี ชื่อวา สัสสตทฏิ ฐิ ดจุ ทิฏฐิของสัตวผ เู กิดข้นึ ลอย ๆ เทาน้ัน. บทวา อตตฺ นา ว อตตฺ าน สฺชานามิ ความวา เมือ่ ปถุ ุชนยึดถอื ขันธท ้งั หลายโดยมีสัญญาขนั ธเปน ประธานวา นั่นอัตตา แลว

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 170หมายรขู นั ธทเ่ี หลอื ดว ยสญั ญา ยอ มมีความเขา ใจวา เรายอมหมายรอู ตั ตาน้ีดว ยอตั ตานี้. บทวา อตตฺ นาว อตฺตาน ความวา เมื่อปุถุชนยดึ ถอื สญั ญาขันธนน้ั แลวา เปน อตั ตา และยดึ ถือขันธ นอกนว้ี าเปน อนัตตา แลวหมายรูขนั ธ เหลา น้ันดว ยสญั ญา ยอ มมคี วามเขา ใจอยางนวี้ า (เราหมายรูอนัตตาดวยอตั ตา). บทวา อนตฺตนาว อตตฺ าน ความวา เม่ือปุถชุ นยดึ ถือสัญญาขันธว าอนัตตา และยึดถือขนั ธ ๔ นอกน้ีวา อัตตา แลวหมายรูข ันธ ๔ เหลานน้ั .ดวยสัญญา ยอ มมคี วามเขา ใจอยางนวี้ า (เราหมายรอู ัตตาดวยยอนตั ตา ).ทิฏฐทิ ุกอยาง (ดงั กลา วมา) จดั เปนสัสสตทิฏฐแิ ละอุจเฉททฏิ ฐทิ ้งั น้ัน. อาการทง้ั หลายมีอาทิวา วโท วเทยฺโย เปน อาการของการยึดมัน่ดวยสสั สตทฏิ ฐนิ ั้นเอง. ใน ๒ คํานน้ั พึงทราบวนิ ิจฉยั ดงนี้. ที่ช่อื วา วโทเพราะอรรถวา ผบู งการ อธิบายวา ผูท ําวจกี รรม. ทชี่ ่ือวา เวเทยโฺ ยเพราะอรรถวา รู อธิบายวา ทั้งรทู งั้ เสวย. ถามวา เสวยซ่ึงอะไร ? ตอบวา เสวยผลของกรรมดแี ละกรรมช่ัวในภพนน้ั ๆ. บทวา ตตฺร ตตฺร ความวา ในกาํ เนดิ คติ ฐติ ิ นวิ าส และนกิ ายหรอื ในอารมณน ้นั ๆ. บทวา นจิ โฺ จ คอื เวนจากการบังเกดิ ข้ึนและการเสอื่ มไป. บทวา ธโุ ว คอื มัน่ คง ไดแ กเ ปนสาระ. บทวา สสฺสโต คือมีอยูตลอดกาลทัง้ ปวง. บทวา อวปิ รณิ ามธมฺโม ความวา มกี ารไมล ะความเปนปกติของตน

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 171เปน ธรรมดา คอื ยอ มไมถ ึงความเปน ประการตาง ๆ เหมือนกง้ิ กา ฉะนั้น. บทวา สสสฺ ติสม ความวา พระจนั ทร พระอาทติ ย สมุทรมหาปฐพี และภเู ขา ทานเรยี กวา สัสสติ (สงิ่ ทเ่ี ท่ียง ) ตามโวหารของชาวโลก. เสมอดว ยส่ิงที่เทย่ี งทัง้ หลาย ช่ือวาสสั สติสมะ. ทฏิ ฐิอยางน้ียอ มมแี กบ คุ คลผยู ดึ ถือวา สิ่งทเ่ี ที่ยงทั้งหลายยอ มตง้ั อยตู ราบใด อัตตานี้ก็จักต้ังอยูเหมอื นอยา งน้นั ตราบนนั้ . บทวา อทิ  ในคาํ วา อิท วุจฺจติ ภิกฺขเว ทิฏิคติ ดังน้ี เปนตนเปน คาํ ช้ีแจงคําทีจ่ ะพงึ กลา วในบดั นอี้ ยางชัดเจน. กบ็ ทวา อทิ  นี้ ทา นกลา วไวโ ดยความเกีย่ วเนอื่ งกบั ทฏิ ฐิคตะ หากลาวไวโ ดยความเกี่ยวเนอ่ื งกับทฏิ ฐไิ ม. ก็ในท่ีนท้ี ิฏฐนิ น้ั เอง ชอ่ื ทฏิ ฐคิ ตะเหมือนคูถคตะ อีกอยา งหนึ่ง การดําเนนิ ไปในทฏิ ฐิ ชือ่ ทฏิ ฐิคตะ. ทัสสนะนีเ้ พราะเหตุทห่ี ย่งั ลงในภายในแหงทฏิ ฐิ ๖๒ ฉะนัน้ จงึ ช่ือวา ทิฏฐิคตะ. อีกอยา งหน่งึ การดําเนินไปของทิฏฐกิ ช็ ่ือวา ทิฏฐคิ ตะ. คําวา อตถฺ เิ ม อตตฺ า เปน ตนนี้สกั วา เปนเครอ่ื งดําเนนิ ไปแหงทิฏฐิ. อธบิ ายวา อัตตา หรอื ใคร ๆทีเ่ ท่ียงไมมีในทีน่ ้.ี อนึ่ง ทิฏฐิน้ีน้นั ชื่อวา รกชัฏ เพราะอรรถวาปราบไดย าก ชอ่ื วากันดาร เพราะอรรถวา ขามไดยาก และเพราะอรรถวามีภยั เฉพาะหนา เหมือนความกนั ดารเพราะทุพภิกขภัย และเพราะสัตวร า ยเปน ตนฉะน้ัน. ทิฏฐินั้น ชอ่ื วา เปน ขา ศึก เพราะอรรถวา เปน เคร่ืองเสียดแทง หรอื เพราะอรรถวา เปนเครอ่ื งขดั สัมมาทิฏฐิ. ช่ือวาดิน้ รนไปตาง ๆ เพราะอรรถวา ดน้ิ รนผดิ รปู เพราะบางคราวยดึ ถอื สสั สตทิฏฐิบางคราวยดึ ถืออจุ เฉททิฏฐิ. ช่ือวา สงั โยชน เพราะอรรถวา เปน เครือ่ งผกู . ดว ยเหตุน้ัน ทานจึงกลาววา ทิฏิคหน ฯเปฯ ทฏิ ิส โยชน ดงั น้.ี

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 172บัดน้ี เม่อื จะแสดงอรรถคือการผกู นัน้ นัน่ แลของสงั โยชน พระผมู ี-พระภาคเจาจงึ ตรสั คาํ เปน ตนวา ทิฏสิ  โยชนส ยุตโฺ ต ดงั นี,้ ขอน้ันมีเนื้อความสังเขปตอ ไปนวี้ า ปถุ ุชนผปู ระกอบดวยทิฏฐสิ งั โยชนน ้ี ยอ มไมพ นจากชาตเิ ปน ตน เหลา น.้ี อีกอยางหนึง่ ไมจ ําเปนตอ งพดู มาก (คือกลาววา) เขายอ มไมพน ไปจากวฏั ฏทกุ ขท งั้ หมดก็ได. พระผูมีพระภาคเจา คร้นั ทรงแสดงทฏิ ฐาสวะซ่ึงมี ๖ ประเภท ดังพรรณนามาฉะน้ีแลว เพราะเหตทุ ี่สีลัพพตปรามาส พระองคทรงแสดงไวดวยสามารถกามาสวะเปนตนนั้นนั่นแหละ ความจรงิ สมณพราหมณท้งั หลาย ภายนอกจากพระพุทธศาสนาน้ี ถกู อวิชชาครอบงํายอ มพากนัยึดถือศีลและพรต เพ่ือความสขุ ในกามและเพื่อความสุขในภพ และความบรสิ ุทธใ์ิ นภพ ฉะนั้น ครัน้ ไมทรงแสดงสลี ัพพตปรามาสนน้ั (ซ้าํ อีก)หรือไมทรงแสดงสลี พั พตปปรามาสนน้ั (อีก) เพราะสีลพั พตปรามาสนนั้พระองคท รงถือเอาดวยศัพทว า ทิฏฐแิ ลว บดั นี้ เพอ่ื จะทรงแสดงบคุ คลผลู ะอาสวะอนั จะพงึ ละดว ยทสั สนะนน้ั แลวแสดงวิธีการละอาสวะเหลานั้นหรือเพอื่ ทรงแสดงการบั งเกิดขน้ึ เเหงอาสวะเหลาน้ันของปุถชุ นผูไมไดใสใจโดยแยบคาย แลวจึงทรงแสดงวิธีการละของบคุ คลผูผิดตรงกันขามน้นัในบดั นี้จึงตรสั คาํ วา สุตวา จ โข ภกิ ฺขเว ดงั นเ้ี ปนตน. เนอื้ ความของคาํ นน้ั บัณฑติ พึงทราบโดยนยั แหง คําทท่ี รงแสดงไวแ ลว ในหนหลงั จนถึงบาลปี ระเทศวา โส อิท ทกุ ขฺ  ดังนี้ และโดยบคุ คลทต่ี รงกนั ขา มจากบคุ คลทีก่ ลา วมาแลว . ก็บุคคลน้ีพงึ ทราบวา เปน อรยิ สาวกผูไดส ดบั เปนผูฉลาดในอริยธรรมและถกู แนะนาํ ดว ยดใี นอรยิ ธรรมโดยปจ นกี นยั คอืโดยความเปน ขา ศกึ ตอบุคคลผูไมร แู ละไมไดถ กู แนะนาํ ในอรยิ ธรรมโดย

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 173อาการทัง้ ปวง. อีกอยางหน่ึงแล บุคคลนพ้ี งึ ทราบวา เปน อรยิ สาวกดว ยอรรถอนั สมควรแกเ หตุน้นั ตั้งแตว ปิ สสนาท่ถี ึงยอดจนถึงโคตรภู. ก็ในขอ วา โส อทิ  ทุกขฺ นตฺ ิ โยนโิ ส มนสิกโรติ ดงั นี้เปน ตนน้ีมีการบรรยายความใหชดั เจนดงั ตอไปน้ี. อรยิ สาวกผเู จรญิ กัมมฏั ฐานในสจั จะ ๔ นัน้ ในช้ันแรกทเี ดียว ตองเรยี นกมั มฏั ฐานประกอบดวยสจั จะ๔ในสาํ นกั ของอาจารยอยางนีว้ า ขนั ธทเ่ี ปนไปในภมู ิ ๓ ชอื่ วา เปนทุกขเพราะโทษคอื ตณั หา ตณั หาชอ่ื วา เปนบอเกดิ แหง ทุกข ความไมเ ปนไปแหง ทกุ ขแ ละทุกขส มทุ ัยทั้ง ๒ ชือ่ วานโิ รธ ทางใหถงึ ความดบั ชอ่ื วา มรรคดงั นแ้ี ลว โดยสมัยตอมา เธอกา วขึ้นสูท างแหง วิปส สนา ยอมใสใ จถงึขนั ธอนั เปนไปในภมู ิ ๓ เหลานั้นโดยแยบคายวา ส่ิงนเ้ี ปนทกุ ข คอื ยอมรําพงึ และพิจารณาเห็นแจงโดยอุบาย คือโดยถูกทาง. กใ็ นทีน่ ี้ พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวปิ สสนาโดยยกมนสกิ ารเปนสําคัญทเี ดยี ว จนถงึ โสดา-ปตตมิ รรค. พระโยคาวจรยอ มใสใ จโดยแยบคายวา กต็ ัณหานใี้ ดเปนสมฏุ ฐาน คอื เปน เหตุใหเ กดิ ทกุ ขน ้ันแหละ ตัณหาน้ีนน้ั ชื่อวาสมทุ ัย.พระโยคาวจรยอมใสใ จโดยแยบคายวา กเ็ พราะทกุ ขน ด้ี ว ยทง้ั สมุทยั น้ดี ว ยคร้นั มาถงึ ฐานะน้แี ลว ยอ มดบั ไป คือไมเ ปนไป ฉะน้ัน ฐานะน้จี งึ ชอ่ื วานพิ พาน นี้แลชือ่ ทุกขนิโรธ. พระโยคาวจรยอ มใสใ จโดยแยบคายถงึ มรรคมอี งค ๘ อนั เปน เหตใุ หถ ึงนิโรธวา นีค้ ือปฏิปทาใหถ งึ ความดับทกุ ขคือยอ มพจิ ารณาและยอมเหน็ แจง โดยอุบาย คือโดยถกู ทาง. ในขอนั้นมอี บุ าย (กาํ หนด) ดังน้ี :- ช่อื วาความยึดมัน่ ยอมมีในวัฏฏะ หามีในวิวัฏฏะไม. ฉะนั้น พระโยคาวจรกําหนดภตู รูป ๔ ในสนั ตติของตนโดยนยั เปนตน วา ปฐวธี าตุ

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 174อาโปธาตุ นมี้ อี ยูใ นกายนี้ ดังนี้ และกําหนดอปุ าทายรูปตามทาํ นองแหงภูตรปู น้ันแลว กําหนดวา นีเ้ ปน รูปขนั ธ ดังน้ี เมอ่ื กาํ หนดรูปขนั ธนั้นกย็ อมกําหนดธรรม คือจิตและเจตสกิ อนั มรี ูปขนั ธน นั้ เปน อารมณเกดิข้ึนแลว วา ธรรม ๔ ประการนเี้ ปน อรูปขนั ธ ตอแตนน้ั ยอ มกําหนดวาขันธ ๔ เบญจขนั ธเหลานเี้ ปน ทกุ ข ก็เบญจขนั ธเ หลา น้ัน โดยสงั เขปมี ๒ สว นเทา นน้ั คือนามและรูป และนามรูปนม้ี เี หตุปจจัยเกดิ ข้นึพระโยคาวจรยอ มกําหนดเหตุและปจจัยของนามรูปนั้น มีอวชิ ชา ภพตัณหา กรรมและอาหารเปน ตนวา นี้เปน ปจจยั . ตอ แตน นั้ พระโยคาวจรกาํ หนดกจิ และลักษณะของตนตามความเปนจริงของปจ จยั และธรรมซึง่อาศยั ปจ จยั เกดิ ขน้ึ เหลา นนั้ แลวยกข้ึนสูอนจิ จลักษณะวา ธรรมเหลาน้นั ไมม ีแลวเกิดมขี นึ้ . ยกขนึ้ สทู ุกขลักษณะวา ธรรมเหลา เปนทกุ ข เพราะความท่ถี กู ความเกดิ ขึ้นและความเสอ่ื มไปบีบคนั้ . ยกขนึ้ สอู ันตตลกั ษณะวาธรรมเหลา นี้ชือ่ วา เปนอนตั ตา เพราะไมเ ปนไปในอํานาจ. พระโยคาวจรครน้ั ยกธรรมเหลา น้นั ขึ้นสไู ตรลกั ษณอ ยา งนแี้ ลวใหวปิ สสนาเปนไปโดยลําดับยอ มบรรลโุ สดาปตตมิ รรคได. ในขณะนั้นเธอยอ มแทงตลอดสจั จะทงั้ ๔ดว ยการแทงตลอดดว ยญาณดวงเดยี วเทานน้ั ยอ มตรสั รดู ว ยอาการตรัสรูดว ยญาณควงเดียว ยอมแทงตลอดทกุ ขด ว ยการแทงตลอดโดยการกาํ หนดรูยอมแทงตลอดสมทุ ัยดวยการแทงตลอดโดยการละ ยอมแทงตลอดนิโรธดว ยการแทงตลอดโดยการทาํ ใหแจง ยอ มแทงตลอดมรรคดวยการแทงตลอดโดยการเจรญิ . อนึ่ง เธอยอ มตรัสรทู กุ ขดวยการตรัสรโู ดยการกาํ หนดรูฯลฯ ยอ มตรัสรูมรรคดวยการตรสั รโู ดยการเจริญ หาใชต รสั รสู จั จะอกี ขอหน่ึงดวยญาณอกี ญาณหนง่ึ ไม. ความจริง พระโยคาวจรน้ี ยอ ม

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 175แทงตลอดและยอ มตรสั รูน ิโรธสัจจะโดยความเปนอารมณ และสจั จะทเ่ี หลือโดยความเปนกจิ ดวยญาณดวงเดียวเทานนั้ . กใ็ นสมยั น้นั เธอยอ มไมม ีความคดิ อยางนว้ี า เรายอมกาํ หนดรทู กุ ข ดงั นี้ หรือ ฯลฯ หรอื วาเรายอ มยังมรรคใหเจริญ ดงั น้ี. อีกอยางหน่งึ แล เม่อื เธอทาํ ใหแจง ซ่ึงนโิ รธดวยสามารถแหงปฏิเวธ โดยทาํ ใหเ ปนอารมณอ ยูนนั่ แหละ ญาณนน้ั ชอื่ วายอมทาํ หนา ที่กําหนดรูท ุกขบ าง ทําหนา ทีล่ ะสมุทัยบาง และทําหนาท่เี จริญมรรดบา ง. เมือ่ เธอใสใ จโดยแยบคายโดยอบุ ายอยางนี้ เธอยอมละสังโยชนได ๓ อยาง คือ สักกายทิฏฐิมีวัตถุ ๒๐ วิจิกิจฉามีวัตถุ ๘สีลัพพตปรามาส เพราะลูบคลําศีลและพรตวา ความบริสุทธ์มิ ไี ดเ พราะศีลความบริสทุ ธิม์ ไี ดเ พราะพรต. บรรดาอาสวะท้ัง ๔ เหลา นน้ั สักกายทิฏฐิสีลพั พตปรามาสทานสงเคราะหดว ยทฏิ ฐาสวะ คือเปนทัง้ อาสวะเปนทงั้ สงั โยชน วิจกิ จิ ฉาเปน สังโยชนอยา งเดยี ว ไมเปนอาสวะ. แตช อ่ื วาเปนอาสวะเพราะนับเนื่องในบาลีนว้ี า ทสสฺ นา ปหาตพพฺ า อาสวา ดงั นี้เหตุนนั้ ธรรนเหลา นี้ จึงเรยี กวา ปหาตพั พธรรม. พระผูมีพระภาคเจาเมือ่ จะทรงแสดงสกั กายทิฏฐเิ ปนตนเหลานว้ี า เปนอาสวะที่ช่อื วา ทสั สน-ปหาตพั พธรรม จึงไดตรัสไว. อีกอยา งหนง่ึ สกั กายทิฏฐินีใ้ ด ทท่ี านจําแนกไวโ ดยสรูปนัน้ แลอยา งนว้ี า บรรดาทฏิ ฐิ ๖ อยา ง ทิฏฐอิ ยา งใดอยางหนง่ึ เกิดขึน้ ดงั นี้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงหมายเอาสกั กายทฏิ ฐนิ ัน้จงึ ตรสั วา อิเม วุจจฺ นฺติ ภกิ ฺขเว ดังน้ี . ก็เพราะสักกายทฏิ ฐนิ ัน้ พระโยคาวจรยอมละไดพรอ มกบั วิจิกจิ ฉาและสลี ัพพตปรามาสทีเ่ กดิ รวมกันและมีความหมายอยางเดียวกนั ดวยการละ. ความจริง เม่ือพระโยคาวจรละทฏิ ฐาสวะไดแ ลว กามาสวะกด็ ี อวิชชาสวะก็ดี ในจติ ทเ่ี ปนทิฏฐสิ ัมปยุต

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 176๔ ดวง ซงึ่ เกดิ รว มกับทิฏฐาสวะน้ัน พระโยคาวจรยอมละไดเชน เดยี วกัน.สว นภวาสวะซ่งึ เกิดขนึ้ ไดดวยสามารถแหง ความสําเร็จความปรารถนาของนาคและครุฑเปน ตน ในจิตซ่งึ เปน ทิฏฐวิ ปิ ปยุต ๔ ดวงชื่อวา ธรรม ท่ีมคี วามหมายอยางเดยี วกันดวยการละ อาสวะท้ัง ๓ ทีเ่ หลอื อยางน้ี คืออวชิ ชาสวะทส่ี มั ปยุตดว ยภวาสวะนีก้ ด็ ี อวชิ ชาสวะอนั เปนตัวทําใหบ งั เกิดอกุศลกรรมมปี าณาติบาตเปน ตน ในโทมนัสจติ ๒ ดวงกด็ ี อวชิ ชาสวะซึง่ สมั ปยุตดวยวจิ ิกิจฉาจติ เชนเดียวกนั กด็ ี พระโยคารจรยอ มละไดโ ดยประการท้ังปวง. เพราะฉะน้ัน ทานจงึ ทํานทิ เทศเปน พหวุ จนะไวฉ ะนแ้ี ล.ในทนี่ ี้เนอื้ ความพงึ ทราบดังวามาน้ี. คาํ อธบิ ายของทานพระโบราณาจารยกเ็ ชน นี้. บทวา ทสสฺ นา ปหาตพพฺ า ความวา โสดาปตตมิ รรค ชื่อวาทสั สนะ อธิบายวา อาสวะเหลา นั้น อันทสั สนะนน้ั พงึ ละ. ถามวา เพราะเหตไุ ร โสดาปตตมิ รรคจงึ ชอ่ื วา ทสั สนะ ? ตอบวา เพราะเหน็ พระนิพพานครง้ั แรก. ถามวา โคตรภูญาณยอมเห็นกอ นกวามใิ ชหรือ ? ตอบวา โคตรภญู าณยอมไมเ หน็ เลยกไ็ มใ ช. แตวา โคตรภญู าณน้ันคร้ันเหน็ แลว จะทาํ กิจท่คี วรกระทําไมได เพราะละสังโยชนไมได ฉะนั้นจึงไมค วรกลา ววา ยอ มเห็น ดังน้.ี ก็ในเรอ่ื งนีม้ ีบรุ ษุ ชาวบานแมไ ดเ ห็นพระราชาในท่ีบางแหงแลว ถวายเคร่ืองบรรณาการกลา วอยวู า แมในวนั น้ีเรากไ็ มไดพบพระราชา เพราะความสาํ เร็จกจิ ตนมองไมเหน็ เปน ตัวอยา ง.









































พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 197อวนิ ีโต นน้ั . ในวิเวกท้งั ๕ อยา งน้ดี ังกลาวมานี้ พงึ ทราบความดงั น้ีวา:- บทวา วิเวกนิสสฺ ติ  ความวา เจรญิ สติสมั โพชฌงค อาศยั ตทงั ควิเวกอาศัยสมุจเฉทวิเวก อาศัยนสิ สรณวเิ วก. จริงอยา งนัน้ พระโยคาวจรผูตามประกอบการเจริญโพชฌงคน ี้ ในขณะแหง วิปส สนา ยอ มเจริญสต-ิสมั โพชฌงคซ ่งึ อาศัยตทงั ควเิ วกโดยกจิ อนั อาศัยนิสสรณวเิ วกโดยอธั ยาศยัแตในกาลแหงมรรคยอ มเจรญิ สตสิ ัมโพชฌงคอนั อาศัยสมจุ เฉทวเิ วกโดยกจิและอาศัยนสิ สรณวเิ วกโดยอารมณ. อาจารยพวกหน่ึงกลา ววา อาศัยวเิ วกท้ัง ๔ อยางดงั นบ้ี าง. เพราะวา อาจารยเ หลา น้นั ไมย กโพชฌงคข น้ึ มาเฉพาะในขณะแหงวปิ สสนาท่ีมกี ําลงั และในขณะแหง มรรคและผลอยา งเดยี วเทา นัน้ แตแมใ นกสณิ ฌาน อานาปานสติกมั มัฏฐาน และในพรหม-วหิ ารฌานซงึ่ เปน บาทของวปิ สสนาก็ยกขน้ึ นาดว ย ทงั้ พระอรรถกถาจารยท้ังหลายก็ไมไ ดคดั คา น. เพราะฉะน้ัน ตามมตขิ องอาจารยเหลา นนั้ ควรกลาววา พระโยคาวจรยอมเจรญิ สติสมั โพชฌงคท ่อี าศยั วกิ ขัมภนวิเวกโดยกจิ อยา งเดียว๑ ในขณะท่ีเปนไปแหง ฌานเหลาน้นั . และทา นกลา ววาในขณะแหงวปิ ส สนา พระโยคาวจรยอ มเจริญสตสิ ัมโพชฌงคอนั อาศยั นสิ สรณวเิ วกโดยอัธยาศยั ดังนฉ้ี ันใด พระโยคาวจรยอ มเจริญสตสิ ัมโพชฌงคแ มอ ันอาศัยปฏปิ ส สทั ธวิ ิเวกกฉ็ นั น้นั . ในสตสิ มั โพชฌงคอันอาศยั วิราคะเปน ตนกน็ ัยนี้งความจรงิ ธรรมมวี ิราคะเปน ตน กม็ ีวิเวกเปน อรรถทั้งน้นั . ก็ในธรรมทั้งหลายมรี าคะเปนตนน้ี โวสสัคคะอยางเดียวทีแ่ บงออกเปน ๒ อยา งคือการปลอ ยวางโดยการสละ (ปรจิ จาคโวสสัคคะ) ๑. การปลอยวางโดยการแลน ไป (ปกขันทนโวสสคั คะ) ๑. บรรดาการปลอ ยวางทง้ั ๒ อยา งน้นั๑. ปาฐะเปน เอว แตตามฉบบั พมา เปน เอว เห็นวา เหมาะ จงึ แปลตามฉบบั พมา.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 198การละกิเลสดวยสามารถตทงั คปหานในขณะแหงวิปสสนาและดวยสมุจเฉท-ปหานในขณะแหง มรรค ชือ่ วาการปลอ ยวางโดยการสละ. สว นการแลน ไปสูพ ระนพิ พานโดยการนอมไปสูพระนิพพานนน้ั ในขณะแหง วปิ สสนาช่อื วาการสละโดยการแลน ไป แตในขณะแหงมรรคการแลน ไปสูพ ระนพิ พานจะมีไดด วยสามารถแหง การทําใหเ ปนอารมณ. แมโวสสัคคะทัง้ คูนัน้ ยอ มเหมาะสมในนัยแหง อรรถกถาอันเจอื ดวยโลกยิ ะและโลกุตตระน.้ีจรงิ อยา งน้ัน สตสิ มั โพชฌงคน ี้ยอมสละกิเลสและยอมแลนไปสพู ระนิพพานโดยประการตามทกี่ ลา วแลว. ก็ดวยถอยคาํ ท้ังส้ินน้ีวา โวสสฺ คฺคปริณามึนี้ มีคาํ อธบิ ายที่ทานกลาวไวว า กาํ ลงั นอมไป และนอมไปแลว คือจะงอมและงอมแลว เพ่ือการปลอ ยวาง ดังนี้. อธบิ ายวา ภกิ ษุนผี้ ูป ระกอบเนือง ๆ ซึง่ การเจรญิ โพชฌงค ยอ มเจริญสตสิ มั โพชฌงคน น้ั โดยทส่ี ต-ิสัมโพชฌงคจ ะงอม และงอมแลว เพอ่ื การปลอยวางโดยการสละกิเลสและเพื่อการปลอยวางโดยการแลน ไปสูพระนิพพาน ฉะน้ีแล. ในโพช-ฌงคท่เี หลอื ก็นัยนี้. แตว าในท่ีน้ี นิพพานนน้ั เอง ทานกลา ววา วิเวก เพราะสงดั จากสงั ขตธรรมทัง้ ปวงทา นกลา ววา วิราคะ เพราะภาวะแหงสงั ขตธรรมทง้ั หมดคลายกําหนดั แลว และทานกลา ววา นโิ รธ เพราะภาวะคือความดับแหงสังขตธรรมทัง้ หลาย. ก็มรรคน้นั แลมปี กตนิ อมไปเพื่อการสละ ฉะน้ัน พระโยคาวจรยอมเจริญสติสมั โพชฌงคอ นั อาศัยวเิ วก เพราะกระทาํ วิเวกใหเ ปนอารมณแลวเปน ไป. พระโยคาวจรยอมเจริญสตสิ ัมโพชฌงคอันอาศัยนโิ รธกอ็ ยางนัน้ . พระโยคาวจร ยอ มเจริญสตสิ ัมโพชฌงคอ นั งอมแลว คอื งอมรอบโดยภาวะคอื การสละ และโดยภาวะคือการแลน ไปสพู ระนพิ พาน

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 199โดยการถอนกิเลสไดเ ด็ดขาด เพราะเกดิ ข้ึนในขณะแหงอรยิ มรรคน้ันแล.พึงเหน็ เนอื้ ความดังกลาวมาน.้ี ในโพชฌงคท่ีเหลอื ก็นยั น.้ี บทวา ยหฺ ิสสฺ ความวา อาสวะทัง้ หลายและความเรา รอ นอันทําความคับแคนใจท้ังหลายยอมมแี กภิกษุผูไมเจริญในบรรดาโพชฌงคทั้งหลายเหลานั้นขอ ใดขอ หนึ่ง. คําทเี่ หลือมีนยั ดงั กลา วแลวแล. กใ็ นการบงั เกิดข้นึ แหงอาสวะในสตู รน้พี งึ ทราบนัยดังนี้ อาสวะทัง้ ๓ คือ กามา-สวะ ภวาสวะ อวชิ ชาสวะเหลา ใดพึงเกดิ ขึน้ เพราะเหตุที่ภิกษุไมไ ดอบรมโพชฌงคซ่ึงสัมปยตุ ดวยมรรคเบือ้ งปลายเหลานี้ อาสวะเหลาน้ันยอมไมมแี กภ กิ ษุนัน้ ผูเ จรญิ โพชฌงคเหลานั้น ดังน.ี้ ขอ วา อเิ ม วจุ จฺ นฺติฯ ล ฯ ภาวนา ปหาตพพฺ า ความวา อาสวะท้งั ๓ เหลา นีพ้ ึงทราบวาพระผมู พี ระภาคเจา ตรัสวา อนั ภิกษุพึงละเสียดวยการเจริญโพชฌงคซ่งึสมั ปยุตดวยมรรค ๓ น้.ี บัดน้ี พระผมู ีพระภาคเจาเมือ่ ทรงชมเชยภกิ ษุผูละอาสวะไดด วยอาการ ๗ เหลานี้ และเมื่อจะทรงแสดงอานิสงสในการละอาสวะของภกิ ษุนัน้ และเมอ่ื จะใหเกิดความขวนขวายแกส ตั วท ้ังหลาย โดยการละอาสวะดวยเหตุเหลา น้นี น่ั เอง จงึ ตรสั วา ยโต โข ภิกขฺ เว ฯลฯ อนตฺ มกาสิทุกฺขสสฺ ดังน้ี. บรรดาบทเหลา นนั้ โต อักษร ในคาํ วา ยโต โข ใชในฉัฏฐ-ีวิภตั ติ อธิบายวา เทา กบั ยสฺส โข (ของกาลใดแล ) ดงั นี้. สว นพระโบราณาจารยท ้ังหลายยอ มพรรณนาวา เทากับ ยมหฺ ิ กาเล (ในกาลใด) ดงั น้ี. ขอ วา เย อาสวา ทสฺสนา ปหาตพพฺ า ความวา อาสวะทัง้ หลายเหลา ใดที่ภกิ ษุละไดแ ลวดว ยทสั สนะ อาสวะทง้ั หลายเหลาน้ันเปน

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 200อนั ภกิ ษนุ ัน้ ละไดแลวดว ยทัสสนะนน้ั แล และเธอยอ มมีความสาํ คญั ในอาสวะท่ยี ังละไมไดนน้ั แลวา อันตนละไดแลว กห็ ามไิ ด. ในบททง้ั ปวงมีความพิสดารอยางน.้ี บทวา สพฺพาสวส วรส วุโต ความวา เบน็ ผูปด แลวดว ยการปดอาสวะทุกอยาง. อีกอยา งหนงึ่ เปนผูป ด แลว ดว ยเครอ่ื งปดซึง่ อาสวะทกุอยา ง.. บทวา อจเฺ ฉชชฺ ิ ตณฺห ความวาตดั แลว หรอื ถอนขน้ึ ไดแ ลวซึ่งตณั หาหมดทกุ อยา ง. บทวา ววิ ตตฺ ยิ ส โยชน ความวา ยอมหมนุ กลบั ซึง่ สังโยชนแมท ัง้ ๑๐ คอื ทาํ ใหห มดมลทนิ . บทวา สมฺมา คอื โดยเหตุ ไดแ กโดยกาล. บทวา มานาภสิ มยา ความวา เพราะบรรลุดวยการเหน็ และเพราะบรรลดุ ว ยการละมานะ. ความจริง อรหตั ตมรรคยอมเหน็ แจง มานะดว ยอาํ นาจกจิ . นเี้ ปน การบรรลดุ วยการเหน็ ของภิกษนุ ้ัน. กอ็ รหัตตมรรคอันภิกษเุ ห็นแลวดว ยทสั สนะนัน้ อนั เธอยอมละไดใ นขณะน้นั นั่นเอง เหมือนการกลบั ไดชวี ิตของสัตวผ ถู ูกงพู ษิ กัดฉะน้นั . นีเ้ ปนการบรรลุโดยการละของภกิ ษนุ ้ัน. บทวา อนฺตมกาสิ ทุกขฺ สฺส ความวา ท่สี ุด ๔ อยางน้ี คอืทีส่ ดุ คือเขตแดนอนั มีในท่สี ดุ ท่พี ระผูม ีพระภาคเจา ตรัสไวว า ปลายประคดเอวเกาแลว หรอื ยอดของเขียวสดเหยี่ วแลว และทีส่ ุดทีเ่ ลวทรามท่พี ระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ไวว า ดูกอนภิกษทุ ้งั หลาย นีเ้ ปนทีส่ ุดแหงชวี ติ และทสี่ ดุ คือสวนที่พระผูมีพระภาคเจา ตรสั ไวอยา งนีว้ า สกั กายะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook