Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_17

tripitaka_17

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_17

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 51ยินดสี ุภาษิตของพระผมู ีพระภาคเจาวา ดีละ พระพุทธเจาขา ดังน.ี้ใชใ นอรรถวา ราเรงิ ดังในประโยคเปนตน วา ดลี ะ ๆ สารีบุตร ดังน.ีใชในอรรถวา ดี ดงั ในประโยคเปน ตน วา พระราชาผูรกั ธรรม เปนคนดี, คนทีม่ ีปญ ญา (ใช ปญญาในทางดี) เปนคนดี, คนที่ไมทําลายมติ ร เปนคนดี การไมทาํ บาป เปนความดี ดังน้.ี สาธุกศพั ท ก็เหมือนกนั ใชใ นอรรถวา กระทาํ ใหม่ัน ทานกลา วไวว า ใชใ นอรรถวา บงั คบั บา ง ดงั ในประโยคเปน ตนวา ดกู อนพราหมณ ถา เชน นั้น ทานจงฟง ใหด ี ดังนี.้ ถึงในพระสตู รน้ี กพ็ ึงเขา ใจความหมายอยางเดียวกนั น้ี ใชท ัง้ ในการทําใหม ั่น ทง้ั ในการบงั คบั นี้แหละ แมจะใชในอรรถวา ดี กค็ วร. จริงอยู ดว ยสาธุกศัพทท ีม่ คี วามหมายวา ทาํ ใหม ั่น พระผูมีพระ-ภาคเจาทรงแสดงแมคํานี้วา เธอทั้งหลายเม่ือจะเรียนใหด ี จงฟงธรรมนใ้ี หมนั่ , ที่มีความหมายวา บงั คบั ทรงแสดงคําแมนี้วา เธอทงั้ หลายจงฟง ตามอาณตั ิของเรา ทม่ี ีความหมายวา ดี ทรงแสดงคําแมน้วี า เธอทงั้ หลายจงฟง ธรรมนใี้ หด ี ใหงาม. บทวา มนสิกโรถ ความวา สนใจ คอื ใสใจ อธิบายวา มจี ติไมฟ งุ ซา น พิจารณา คือกระทําไวใ นใจ ดงั น.ี้ บดั น้ี คําวา ต สณุ าถ น้ี ในอธิการน้ี เปน การหา มความฟงุ ซานแหง โสตินทรยี , คําวา สาธกุ  มนสกิ โรถ เปนการหามความฟงุ ซานแหง มนนิ ทรีย ดวยการประกอบทําใหม นั่ ไวในใจ. อนง่ึ ใน ๒ คํานี้ คาํ แรก เปน การหามถอื เอาผดิ โดยพยัญชนะ

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 52คําหลัง เปนการหา มถอื เอาผดิ โดยอรรถ. ดงั ในประโยคเปน ตนวา ทา นประกอบการฟงธรรมดวยคาํ แรก ประกอบการทรงจาํ และการใครครวญธรรมะทีไ่ ดส ดบั แลวดวยคาํ หลงั . อน่งึ ทานแสดงวา พระธรรมนี้ ถงึ พรอ มดวยพยัญชนะดว ยขอแรก เพราะฉะนนั้ จึงเปน สง่ิควรฟง และทานแสดงวา พระธรรมน้ี ถึงพรอ มดวยอรรถดวยคาํ หลังเพราะฉะน้นั จึงเปนส่ิงท่คี วรใสใจ. อีกอยางหนงึ่ เพราะเอาบทวา สาธุกะ ประกอบเขาไวด ว ยกนั ทง้ั๒ บท บัณฑิตพึงทราบการประกอบความอยางนี้วา เพราะเหตุท่ีพระธรรมน้เี ปนธรรมที่ลึกซึ้ง และเปนเทศนาทลี่ กึ ซ้ึง ฉะนั้น เธอท้งั หลายจงฟง ใหด ี. เพราะเหตทุ ี่พระธรรมน้ี มีความหมายอันลึกซึง้ และมปี ฏิเวธอนั ลึกซึ้ง ฉะนัน้ เธอทงั้ หลายจงใสใ จไวใหด ี ดังน.ี้ บทวา ภาสิสฺสามิ แปลวา เราตถาคตจักแสดง คือจักแสดงเทศนาที่ประกาศไวใ นคํานี้วา เธอทั้งหลายจงฟงเรื่องนน้ั โดยไมยน ยอทีเดียว. อกี ประการหนง่ึ แลมีอธบิ ายไวว า เราจกั กลาวเรอื่ งน้ันแมโ ดยพิสดาร ดงั น.้ี จรงิ อยู บทเหลานีร้ ะบเุ นือ้ ความท้งั โดยยอและพสิ ดาร.สมดังทีพ่ ระวังคีสเถระกลา วไววา ทานจะแสดงโดยยอกต็ าม จะกลาวโดยพิสดารก็ ตาม เสยี งไมก อ งกังวานดจุ นกสาลิกา แตก แ็ สดง อยา งมีปฏิภาณ ดังนี.้ เม่ือตรสั อยางนแ้ี ลว ภกิ ษเุ หลานัน้ แล เกิดอุตสาหะรบั พระพทุ ธ-ดํารัส. อธิบายวา รับเอา คือถอื เอาพระดาํ รสั ของพระศาสดาวา อยา งนนั้ พระองคผูเจริญ.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 53 ลาํ ดบั นัน้ พระผูมีพระภาคเจา ไดตรัสคาํ น้ี คือไดตรสั พระสูตรทงั้ ส้ินนี้ คือที่จะตอ งกลา วตอไปนี้ มีเปนตน วา อธิ ภกิ ฺขเว ดังน.้ี บทวาอิธ ในคําวา อิธ ภิกฺขเว นน้ั เปนนิบาต ใชใ นการอางสถานท.่ีในท่ีบางแหงพระองคตรสั หมายเอา โลก. สมดังพระธรรมสงั คาหกาจารยกลา วไววา พระตถาคตยอมเสด็จอุบตั ขิ ึ้นในโลกน้ี ดังน.้ี ในทบ่ี างแหงทานกลาวหมายเอา ศาสนา. สมดังทพ่ี ระผูม ีพระภาคเจา ตรัสไวว า ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย สมณะ (ที่ ๑) ในพระศาสนาน้ีแลมีอยู สมณะท่ี ๒ในพระศาสนาน้ีมอี ยู ดังน.้ี ในทบ่ี างแหง ทา นกลาวหมายเอา โอกาสดงั ทานกลาวไววา. ดูกอ นเพอ่ื รว มทุกข เมอ่ื เราเกิดเปน เทวดาดาํ รงอยู ในโอกาสนนี้ น่ั แล และเราไดอายุเพ่มิ อกี ทา นจง ทราบอยางนี้ ดังน.้ีในทบี่ างแหง ทา นกลา วหมายเอาเพียงทําบทใหเ ตม็ เทา นนั้ . สมดังทีพ่ ระ-ผมู ีพระภาคเจาตรัสไววา ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ก็เราตถาคตบริโภคเสรจ็ แลว หามภตั รแลว ดังน.ี้ แตใ นที่นพี้ ึงทราบวา ทา นกลาวหมายเอา โลก ดงั นี.้ บทวา อิธ ภิกขฺ เว ความวา พระผูมพี ระภาคเจาตรัสเรยี กภกิ ษุทงั้ หลายมาอกี เพื่อทรงแสดงเทศนาตามทีไ่ ดท รงปฏิญาณไว. แมด ว ยบทท้ัง ๒ ทา นกลา วอธิบายไวว า ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย ในโลกนี้ ดงั น้.ี

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 54 ความหมายของปถุ ุชน ก็ในบทวา อสสฺ ตุ วา ปถุ ชุ ชฺ โน น้ี พึงทราบวนิ ิจฉัยดงั นี้ :-ปุถชุ น ชื่อวา เญยยะ เพราะไมมีอารม ชอื่ วา อัสสุตวา เพราะไมม ีอธคิ ม. อธิบายวา ปุถชุ นใด ช่ือวา ไมมีอาคมทข่ี จดั ความไมรู เพราะไมรูเหตุทีเ่ วน จากการเรียน การสอบถาม และการวนิ จิ ฉยั ในขันธ ธาตุอายตนะ สจั จะ ปจ จยาการ และสติปฏฐาน เปนตน ชือ่ วา ไมมอี ธิคมเพราะไมไ ดบรรลุธรรมทจ่ี ะพึงบรรลดุ วยการปฏิบตั ิ ปถุ ชุ นนน้ั จึงช่อื วาเญยยะ เพราะไมมอี าคม ชือ่ วา อัสสตุ วา เพราะไมม อี ธิคม. ชนนี้นน้ั ชือ่ วา ปถุ ชุ น เพราะเหตุทั้งหลายมีการ ยังกเิ ลสหนาใหเ กิดเปนตน อีกอยางหนึ่ง ชนน้ี ชื่อวา หนา (ปุถ)ุ เพราะหย่งั ลงภายในกิเลสทห่ี นา. จรงิ อยู ชนนน้ั ซึ่งวา ปถุ ุชน เพราะเหตุทง้ั หลาย มีอาทคิ ือ ยังกิเลสเปนตน ทีห่ นามปี ระการตา ง ๆ ใหเ กิด. สมดังพระธรรมสงั คาห-กาจารยก ลา วไววา ชนทั้งกลาย ซงึ่ วา ปุถชุ น เพราะอรรถวา กังกิเลสหนาใหเ กดิ , ช่ือวา ปถุ ชุ น เพราะอรรถวา ถูกสกั กายทฏิ ฐิเบียดเบยี นมาก, ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา ตอ งคอยมองดูศาสดาบอ ย ๆ ช่ือวา ปถุ ชุ น เพราะอรรถวา ยงั ไมห ลุดพน ไปจากคตทิ ั้งปวงทีห่ นาแนน,ช่ือวา ปุถุชน เพราะอรรถวา ปรงุ แตงเครอ่ื งปรุงแตง ตาง ๆ เปนอนัมาก, ชือ่ วา ปถุ ุชน เพราะอรรถวา ถกู โอฆะตาง ๆ เปน อันมากพัดพาไป, ช่ือวา ปถุ ชุ น เพราะอรรถวา เดือดรอ นดว ยความเดอื ดรอนตาง ๆเปนอนั มาก, ช่ือวา ปถุ ุชน เพราะอรรถวา เราเดอื ดรอนดวยความเรา รอน

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 55ตาง ๆ เปน อนั มาก ชื่อวา ปุถุชน เพราะอรรถวา กําหนัด ตดิ ใจสยบ ลุมหลง ติดขัด ขัดขอ ง พัวพัน ในกามคณุ ๕ เปนอนั มาก.ช่อื วา ปถุ ุชน เพราะอรรถวา ถกู นิวรณ ๕ รอ ยรัดไว ปกคลมุ ปด บังครอบงาํ ไวเปนอันมาก, อกี อยางหนึง่ ช่อื วา ปถุ ุชน เพราะอยูในหมูชนผมู ธี รรมจรยิ าตา่ํ ผหู ันหลังใหกบั อริยธรรม จํานวนมาก คอืนับไมถ วน ซงึ่ หนั หลงั ใหอ รยิ ธรรม, อีกอยางหนึ่ง ช่ือวา ปุถุชนเพราะอรรถวา ชนน้ีถงึ การนบั วาแยกอยตู างหาก คือ ไมเก่ยี วของกบัพระอริยเจา ทัง้ หลาย ผูประกอบดว ยคุณ มีศีล และสุตะเปนตน . ดวย๒ บทวา อสฺสตุ วา ปุถชุ ฺชโน นี้ ดังกลา วมาน้ี ในบรรดาปุถชุ น ๒ จาํ พวกทพี่ ระพุทธเจาผเู ปน เผา พันธพุ ระอาทิตยไ ดตรสั ไว คอื อนั ธปถุ ุชน พวกหนึ่ง กัลยาณปุถชุ นพวกหนึ่ง พงึ ทราบวา ทา น กลาวหมายถึงอนั ธปถุ ุชน. อริยะ - สตั บุรุษ คําวา อริยะ ในคาํ เปน ตน วา อรยิ าน อทสสฺ าวี ทานกลาวหมายเอา พระพทุ ธเจา พระปจเจกพุทธเจา และพระพุทธสาวก เพราะเปน ผูไกลจากกเิ ลส ไมดาํ เนินไปในทางเส่อื ม ดําเนนิ ไปในทางเจรญิและอนั ชาวโลก พรอมทง้ั เทวโลก พึงดาํ เนินตาม. อกี อยา งหน่ึง พระอริยะในท่ีน้กี ็คอื พระพทุ ธเจานัน่ เอง. สมดงั ท่ีพระพทุ ธองคต รสั ไวว า ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย พระตถาคตทา นเรียกวาอริยะ ในโลกพรอมทง้ั เทวโลก ฯลฯ.

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 56 อนงึ่ พระปจ เจกพทุ ธเจา และพระสาวกกองพระตถาคตเจา พงึทราบวา สตั บรุ ษุ ในคําวา สปปฺ ุรสิ า น.้ี จรงิ อยู พระปจ เจกพทุ ธเจาเปน ตนเหลาน้นั ชือ่ วา โสภณบุรษุ เพราะประกอบดวยคณุ อันเปนโลกุตตระ เพราะเหตุนนั้ จึงช่ือวา สตั บุรษุ . อกี อยางหน่งึ สัตบุรษุเหลาน้ันทงั้ หมดเทยี ว ทานกลา วแยกออกเปน ๒ พวก. จรงิ อยู พระพุทธเจาทงั้ หลายกด็ ี พระปจ เจกพุทธเจา และพทุ ธสาวกก็ดี เปน ทั้งพระอรยิ ะ และสัตบุรุษ สมดงั ที่ทานกลาวไววา บคุ คลใดแล เปน นักปราชญ ผูกตญั ูกตเวที เปน กลั ยาณมิตร มคี วามภักดีม่ัน กระทาํ การชวยเหลือ ผตู กทุกขไ ดย าก โดยความเต็มใจ บัณฑติ ทงั้ หลาย กลา วผูเ ชน นนั้ วา สตั บรุ ุษ ดงั น้.ี จริงอยู ดวยคํามีประมาณเทา น้ีวา กลฺยาณมิตฺโต ทฬหฺ ภตตฺ ิ จโหติ ดังนี้ ทานกลา วหมายเอาพระพทุ ธสาวก, ดว ยคาํ วา กตฺตุ าเปนตน ทานกลาวหมายเอาพระปจเจกพุทธเจา และพระพุทธเจา ดงั น้ีแล. บัดน้ี ทานผใู ด มปี กตไิ มเ หน็ พระอรยิ เหลา นนั้ และไมยนิ ดใี นการเห็น ผนู นั้ พึงทราบวา มีปกติไมเ หน็ พระอรยิ เจา ทั้งหลาย ดังน้ี.และการเห็นนนั้ แยกออกเปน ๒ คอื ไมเ หน็ ดว ยตา ๑ ไมเห็นดว ยญาณ ๑.ใน ๒ อยา งนัน้ การไมเหน็ ดวยญาณ ทา นประสงคเ อาในที่นี้. จรงิ อยู พระอริยะทัง้ หลายถึงบุคคลจะเห็นดว ยมงั สจกั ษุ หรอืทิพยจักษุ กย็ ังไมชอื่ วาไดเห็น เพราะจกั ษุเหลาน้ันรบั เอาเพยี งอปุ าทายรปู

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 57ไมใ ชยึดเอาความเปนพระอรยิ ะเปน อารมณ อนึ่ง แมสนุ ัขบาน สุนขัจิง้ จอกเปนตน ยอมเหน็ พระอริยะทงั้ หลายดวยจักษุ แตวา สุนขั บานเปนตน เหลา น้นั จะช่ือวา ไดเ ห็นพระอริยะทงั้ หลายหามิได. ในขอ น้ี มีเร่ืองนี้เปน อุทาหรณ อยกู ับพระอรยิ ะ แตไ มรูจ กั พระอริยะ ดังไดส ดับมา อุปฏฐากของพระเถระผูขีณาสพ ผูอ ยูใ นจิตตลดา-บรรพต บวชเม่ือแก อยูม าวนั หนึง่ เที่ยวไปบณิ ฑบาตกับพระเถระรับเอาบาตรจีวรของพระเถระเดินตามหลังมา ถามพระเถระวา ขาแตทา นผเู จรญิ บุคคลเชน ไรชอ่ื วา พระอรยิ ะ พระเถระตอบวา บคุ คลบางคนในโลกนี้ เปนคนแก รบั เอาบาตรและจวี รของพระเถระ ทําวตั รปฏิบตั แิ มเ ท่ยี วไปกับพระอริยะ ก็ยอ มไมร จู ักพระอรยิ ะ โยม พระอริยะทงั้ หลาย รไู ดยากอยางน้ี ดังน.้ี เมอื่ พระเถระแมพ ูดอยางนี้ อปุ ฏ ฐากนน้ั ก็ยังหารไู ม. เพราะฉะนน้ั การเหน็ ดว ยจกั ษุ ไมชื่อวา เหน็ การเห็นดวยญาณเทานั้น ชอื่ วาเหน็ . สมดงั ท่ีพระพุทธองคต รัสไวว า ดกู อนวกั กลิประโยชนอ ะไรดวยกายอันเปอ ยเนานี้ อันเธอเหน็ แลว, ดูกอนวกั กลิผใู ดแล เหน็ พระธรรม ผูน้ันชอื่ วา เห็นเราตถาคต ดังน้.ี เพราะฉะนั้น บุคคลแมเ ห็นอยู (ซ่ึงพระอริยะ) ดว ยจกั ษุ แตไมเหน็ อนจิ จลกั ษณะ เปนตน ทพ่ี ระอรยิ เจาท้ังหลายเห็นแลว ดว ยญาณและไมบ รรลธุ รรมทีพ่ ระอรยิ เจา บรรลุแลว พงึ ทราบ ไมเ ห็นพระอรยิ เจาทงั้ หลาย เพราะธรรมทีท่ าํ ใหพ ระอริยะ และความเปน พระอรยิ ะ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 58อนั บุคคลน้ันยงั ไมเ ห็น ดังน.้ี สองบทวา อริยธมมฺ สสฺ อโกวิโท ความวา ไมฉ ลาดในอรยิ -ธรรมอันแยกออกเปนสตปิ ฏฐาน เปน ตน . กช็ อื่ วา วินยั มี ๒ อยา ง แตล ะอยา งในแตละ ประเภท มี ๕ เพราะความไมมีวนิ ยั ท้ัง ๒ นน้ั อัน น้ีทา นเรยี กวา อวนิ ีต ในคาํ วา อริยธมเฺ ม อวินีโต น.ี้ วนิ ัย ๒ อยา ง จริงอยูวนิ ัยนม้ี ี ๒ อยาง คือ สงั วรวนิ ัย ๑ ปหานวนิ ยั ๑. เละวินัยแตละอยาง ในวนิ ยั แมท ัง้ ๒ นี้ แยกออกเปน ๕. จริงอยู แมส ังวร-วนิ ัยมี ๕ คอื สีลสังวร สติสังวร ญาณสงั วร ขันติสังวร เละวิรยิ -สงั วร. แมปหานสงั วร ก็มี ๕ อยางเหมอื นกัน คือ ตทังคปหานวกิ ขัมภนปหาน สมจุ เฉทปหาน ปฏิปสสทั ธปิ หาน และนลิ สรณปหาน. สังวรวนิ ัยทงั้ ๕ น้นั สงั วรที่ตรสั ไวว า ภกิ ษเุ ขา ถงึ ดว ยปาฏโิ มกข-สังวรนี้ น้ีเรียกวา สีลสังวร. สงั วรที่ตรัสไววา ภกิ ษุ ยอ มรักษาจกั ขุนทรีย คือ ถงึ การสาํ รวมในจกั ขุนทรยี  น้ีเรียกวา สติสงั วร. สังวรทต่ี รัสไววา พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสวา ดกู อนอชติ ะ กระแส (ตณั หา) เหลาใด ในโลกมอี ยู สตยิ อ มเปน เครอ่ื ง หามกระแสเหลา น้ัน เราตถาคตกลา วสติวา เปน

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 59 เครอื่ งระวังกระแสทั้งหลาย กระแสเหลา นน้ั อนั บคุ คลยอมละดว ยปญ ญา. นเ้ี รียกวา ญาณสงั วร. สังวรทตี่ รสั ไววา ภกิ ษุ ยอ มอดทนตอ หนาวและรอน นเ้ี รยี กวา ขันตสิ งั วร. สังวรท่ตี รสั ไววา ภกิ ษุยอ มหยุดกามวิตก ท่เี กิดข้นึ แลวไวไดนเี้ รียกวา วิริยสังวร อน่งึ สังวรนแี้ มทั้งหมด ทานเรียกวา สงั วร เพราะเปนเคร่ืองระวงั กายทุจรติ และวจีทุจรติ เปน ตน ทตี่ นตองระวังตามหนาทขี่ องตนและเรยี กวา วินยั เพราะเปน เครื่องขจดั กายทจุ รติ และวจีทุจริต เปนตนท่ีตนตองขจัดตามหนา ที่ของตน. สงั วรวินัยพึงทราบวา แยกออกเปน ๕ดังอธิบายมานก้ี อ น. ปหานะ ๕ อน่ึง การละองคน ัน้ ๆ ยอมมีดว ยวปิ ส สนาญาณนน้ั ๆ เพราะเปนปฏปิ กษใ นวปิ ส สนาญาณ มีนามรปู ปรเิ ฉทญาณ เปนตน ดจุ การก าจัดความมดื ยอมมีไดเพราะแสงสวา งแหง ประทีปฉะนนั้ . คือ ละสักกาย-ทฏิ ฐิ ดว ยการก าหนดนามรูป, ละทิฏฐิทีไ่ มม เี หตแุ ละมีเหตุไมเสมอกันดวยการกาํ หนดปจจัย, ละความสงสัยดว ยการขา มความสงสัย อันเปนสวนภายหลงั แหง การกาํ หนดปจจยั น้นั นัน่ เอง ละความยดึ ถอื วาเราของเรา ดว ยการพิจารณากลาปะ ( กลมุ , กอง ), ละสญั ญาในธรรมทไี่ มเ ปน มรรควา เปน มรรค ดวยการกําหนดมรรคและอมรรค, ละอุจ-เฉททฏิ ฐดิ ว ยการเหน็ ความเกดิ ขึ้น, ละสัสสตทิฏฐิดวยการพิจารณาเห็น

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 60ความเสอ่ื ม, ละความสาํ คัญวาไมนา กลัวในส่งิ ท่นี า กลัวดวยการพิจารณาเห็นภยั , และความสําคญั วา ชอบใจ (ยนิ ดี) ดว ยการพิจารณเห็นโทษ,ละอภิรติสญั ญา (ความสําคัญวา นา ยินดียิง่ ) ดวยนิพพิทานปุ ส สนา,ละความเปนผไู มอ ยากจะหลดุ พน ดว ยญาณคอื ความเปนผูใ ครจ ะพน ไป,ละการไมเ พงดว ยอเุ บกขาญาณ, ละปฏิโลมในธรรมฐิติ และในพระนพิ พานดว ยอนโุ ลม, ละความยึดนิมิตในสังขารดวยโคตรภู อันน้ี ชื่อวาตทังคปหานะ. อนงึ่ การละนีวรณธรรม เปนตน นั้น ๆ ดวยสมาธแิ ยกออกเปนอปุ จารสมาธิ เพราะหา มความเปนไป (แหง นวี รณ) ดจุ การแหวกสาหรา ยบนผิวนา้ํ โดยใชหมอแหวกฉะนั้น อนั น้ชี อื่ วา วกิ ขมั ภนปหานะ. สวนการละกองกิเลสในสนั ดานของตน อนั นับเนือ่ งในสมุทัยท่ีพระผูม ีพระภาคเจา ตรสั ไวโ ดยนยั เปน ตนวา เพือ่ ละทฏิ ฐิทั้งหลายโดยท่ีกองกิเลสน้ันกลบั เปน ไปไมไ ดอกี อยา งเด็ดขาด แหง พระโยคาวจรผชู อ่ืวา มีมรรคน้นั เพราะเหตุที่เจรญิ อริยมรรค ๔ ไดแลว อนั น้ีช่ือวาสมจุ เฉทปหานะ. อนง่ึ ขอท่กี ิเลสทงั้ หลายสงบระงบั ไปในขณะแหง ผล อันนีช้ อ่ื วาปฏปิ สสัทธิปหานะ. พระนพิ พานท่ชี อ่ื วาละเครือ่ งปรงุ แตงท้ังปวงไดเพราะสลดั เครอ่ื งปรงุ แตง ท้งั ปวงแลว อันนี้ ชอื่ วา นสิ สรณปหานะ. อนงึ่ เพราะเหตุทีก่ ารละท้งั หมดนนั้ ชอื่ วา ปหานะ โดยอรรถวาสละ ชอ่ื วา วนิ ัย โดยอรรถวา กาํ จดั ฉะนน้ั ทา นจึงเรียกวา ปหานวินัย.อกี อยา งหนึง่ เพราะการละกิเลสนน้ั ดว ย เพราะทาํ ใหเ กิดมกี ารกาํ จดั(กเิ ลส ) นั้น ๆ ดวย การละทง้ั หมดนัน้ ทานเรยี กวา ปหานวินัย. แม

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 61ปหานวินัย พึงทราบวา แยกออกเปน ๕ ประการ ดว ยประการฉะน.้ี วินัยนโ้ี ดยยอมี ๒ และโดยแยกแยะมี ๑๐ ดังพรรณนามาฉะนี้เพราะเหตุท่ีปุถุชนผูมิไดสดับน้ัน ไมม วี ินยั ท้ัง ๒ อยางนัน้ ฉะน้นั ปถุ ชุ นน้ี พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรสั เรยี กวา อวนิ ตี ะ (ผูไมมวี นิ ยั ) เพราะขาดสังวร และเพราะยังละปหาตพั พธรรมไมไ ด. ในขอวา สปปฺ ุริสาน อทสฺสาวี (ไมเห็นสตั บรุ ษุ ) สปปฺ ุริส-ธมฺมสฺส อโกวโิ ท (ไมฉลาดในธรรมของสตั บรุ ุษ) สปปฺ รุ ิสธมเฺ มอวินีโต (ไมถูกแนะนําในธรรมของสตั บรุ ษุ ) น้ี ก็นยั น้เี หมือนกัน. กข็ อ น้ี โดยความหมายไมแตกตางกนั เลย สมดงั ทท่ี า นกลา วไวว าพระอรยิ ะกค็ อื สตั บุรุษ สตั บุรษุ ก็คอื พระอริยะ ธรรมของพระอรยิ ะกค็ ือธรรมของสัตบรุ ุษ ธรรมของสัตบุรุษก็คอื ธรรมของพระอรยิ ะ วนิ ยัของพระอริยะก็คือวินยั ของสัตบุรุษ วนิ ัยของสัตบรุ ุษกค็ อื วนิ ยั ของพระอริยะ ศัพทวา อริเย หรือ สปฺปจุ รเิ ส กด็ ี อรยิ ธมฺเม หรือสปฺปรุ ิสธมเฺ ม ก็ดี อรยิ วนิ เย หรือ สปปฺ ุรสิ วินเย ก็ดี ( ทงั้ หมด )น้นั เปน อนั เดียวกนั มีเนือ้ ความอยางเดียวกนั เสมอกนั มคี า เทากันกาํ เนดิ เดียวกันทัง้ น้นั . ถามวา กเ็ พราะเหตไุ ร พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย เราตถาคตจักแสดงสัพพธัมมมลู ปริยายสตู ร แกพวกเธอ แตไมทรงแสดงสตู รนั้น กลับทรงชแ้ี สดงถงึ ปุถชุ นอยางน้วี า ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ปุถุชนในโลกนไ้ี มไ ดส ดบั ไมเ ห็นพระอริยะทง้ั หลาย ดังน้.ีตอบวา เพื่อจะทาํ ใหแจงซงึ่ เน้อื ความนนั้ โดยธรรมเทศนาอันเปนบุคคลาธิษฐาน ดงั น.้ี

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 62 เทศนา ๔ จริงอยู การเทศนาของพระผมู ีพระภาคเจา อันดบั แรกมี ๔ประการ ดวยอาํ นาจธรรมและบคุ คลน่ันแล คอื ธรรมเทศนาทยี่ กพระธรรมเปน ท่ตี ั้ง (ธมั มาธิษฐาน) บุคคลเทศนาท่ยี กพระธรรมเปนท่ตี ั้ง (ธมั มาธิษฐาน) บุคคลเทศนาทย่ี กบคุ คลเปน ทต่ี ้ัง (บคุ คลา-ธษิ ฐาน) และพระธรรมเทศนา ยกบุคคลเปน ทีต่ ั้ง (บคุ คลาธษิ ฐาน). บรรดาเทศนา ๔ ประการน้ัน เทศนาแบบนว้ี า ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย เวทนา ๓ เหลา นี,้ เวทนา ๓ อะไรบาง คอื สขุ เวทนาทุกขเวทนา เละอทุกขมสุขเวทนา ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย เวทนาทงั้ ๓เหลานแี้ ล พงึ ทราบวา ชื่อวาธรรมเทศนาที่เปนธมั มาธษิ ฐาน. เทศนาแบบนว้ี า ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย บรุ ุษน้ี มีธาตุ ๖ มีผสั สายตนะ ๖ มมี โนปวจิ าร ๑๘ มอี ธิษฐานธรรม ๔ พงึ ทราบวาชอื่ วาบุคคลเทศนาทเี่ ปน ธมั มาธิษฐาน. เทศนาแบบนว้ี า ดูกอ นภกิ ษุท้ังหลาย สัตบรุ ษุ บุคคล ๓ พวกเหลา นี้ มีอยูในโลก ๓ จาํ พวกเหลาไหนบาง ? คือบอด, มีจักษุขา งเดียว และจกั ษุ ๒ ขาง ภกิ ษทุ งั้ หลาย กบ็ คุ คลบอดเปนไฉน ? พึงทราบวา ชือ่ วาบคุ คลเทศนาทเ่ี ปนบคุ คลาธษิ ฐาน. เทศนาแบบน้วี า ดกู อนภกิ ษุทง้ั หลาย กภ็ ัยในทคุ ติเปน ไฉน ?ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นวา กายทุจริตแลมวี บิ ากอนั ลามก อภิสัมปรายภพ ฯลฯ ยอ มบรหิ ารตนอันสะอาดดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย นีเ้ รียกวา ภัยในทคุ ติ พงึ ทราบวา ชือ่ วาธรรมเทศนาท่ีเปนบคุ คลาธิษฐาน.

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 63 พึงทราบอรรถาธิบายวา ในทีน่ พ้ี ระผมู พี ระภาคเจา นนี้ ้ัน เพ่อืจะทรงแสดงปถุ ุชน ขยายเนอื้ ความแหง เทศนาท่ีเปนบุคคลาธิษฐานใหช ดัจึงทรงแสดงชถ้ี งึ ปถุ ชุ นอยา งนว้ี า ดูกอนภกิ ษทุ งั้ หลาย ปถุ ุชนในโลกน้ีมไิ ดส ดบั มไิ ดเ หน็ พระอริยเจา ทง้ั หลาย เพราะเหตุทป่ี ถุ ุชนมิไดกาํ หนดรูข นั ธ และความสาํ คัญท่ีเปน มลู รากของธรรมท้งั ปวงที่ทรงประสงคเอาในท่ีน้ี ก็มคี วามไมก าํ หนดรเู ปน มลู ราก. พระผมู ีพระภาคเจา ครัน้ ทรงแสดงปถุ ุชนอยางนี้แลว บัดน้ีเมื่อจะทรงแสดงความสําคัญในวัตถทุ ั้งหลาย มีปฐวี (แผน ดนิ ) เปน ตนอันใหเกดิ ธรรมทนี่ บั เน่ืองในสักกายทฏิ ฐทิ ัง้ หมดของปุถุชนนนั้ จงึ ตรสั คําเปน ตน วา ปวึ ปวิโต ดังน.ี้ ปฐวี ๔ อยาง ในคาํ วา ปวึ ปวโิ ตนนั้ พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ดังนี้ :- ปฐวมี ี ๔อยา ง คือ ลกั ขณปฐวี ๑ สสมั ภารปฐวี ๑ อารัมมณปฐวี ๑ และสมั มติปฐวี ๑. ในปฐวี ๔ อยา งน้ัน ปฐวีธาตทุ ีท่ า นกลา วไวใ นประโยคเปน ตนดกู อนผมู อี ายุ กป็ ฐวีธาตุภายในเปนไฉน ? ไดแกส ่ิงท่แี ขนแขง็( เปน ลักษณะ) เฉพาะตนอยูในตัวมนั เอง ชอ่ื วา ลกั ขณปฐวี. ปฐวีธาตทุ ี่ทานกลา วไวใ นประโยคเปนตน วา ภิกษุขดุ เองก็ดี ใหคนอนื่ ขุดกด็ ี ซงึ่ แผน ดนิ ดงั น้ี ชอ่ื วา สสัมภารปฐว.ี อนง่ึ ปฐวธี าตุ คือ โกฏกาสะ ( สว น ) ๒๐ มีผม เปนตนและวตั ถุภายนอกมีเหลก็ และโลหะ เปนตัน พรอมทั้งคุณสมบตั มิ สี ี เปน ตน

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 64รวมเรยี กวา สสัมภารปฐว.ี สวนปฐวธี าตุ มาในประโยคเปน ตน วา คนหนง่ึ รูช ดั ปฐวีกสณิเรยี กวา อารัมมณปฐว.ี บางทา นเรียกวา นิมิตตปฐว.ี ปฐวีธาตุท่วี า บุคคลไดฌานมปี ฐวกี สิณเปนอารมณ เกดิ ในเทวโลกยอมไดน ามวา ปฐวเี ทวดา ดว ยอํานาจปฐวกี สิณเปน เหตใุ หมา ( เกิด )นี้ พงึ ทราบวา สัมมติปฐว.ี ในอธกิ ารนี้ ยอมไดปฐวแี มท้งั หมดน้นั . ปุถชุ นน้ยี อ มหมายรปู ฐวีอยางใดอยา งหนง่ึ ในบรรดาปฐวเี หลาน้นั โดยเปนปฐวี ยอมหมายรูวาเปน ปฐวี ยอ มรโู ดยสวนแหง ปฐวี ครั้นถือเอาตามโวหารโลกแลว ยอ มหมายเอาดว ยสญั ญาวปิ ล ลาสวา เปน ปฐวี เมื่อปลอยวางสวนแหงปฐวีไมไดอยางนแ้ี หละ ยอมหมายรเู อาสว นแหงปฐวีนัน่ โดยนยั เปนตน วาสัตว หรือวา ของสตั ว. เพราะเหตไุ ร ทานจงึ ไมควรกลาวไววา เอวสฺชานาต.ิ เพราะวาปุถชุ น เปน เหมอื นคนบา . เขายอมยึดถือส่งิ ใดสิ่งหนง่ึ ดว ยอาการอยางใดอยา งหน่ึง. อกี อยางหน่งึ เหตุอันตางดวยความเปนผูไ มเ หน็ พระอรยิ เจาทัง้ หลายเปน ตน น่ันแหละจกั เปน ตวั การในการกําหนดหมายนี้ ซง่ึ พระผูม-ีพระภาคเจา เม่อื จะตรัสวา อปริฺ าต ตสฺส ขางหนาก็เปน อนัตรสั ไวแ ลว. บทวา ปวึ ปวิโต สฺ ตฺวา ความวา ปุถชุ นน้ันกําหนดหมายแผนดินน้นั ดว ยสัญญาทว่ี ิปริตอยา งน้แี ลว ตอ มายอมสาํ คัญ คือกาํ หนดใหต างออกไป ไดแ กยดึ ถือโดยประการตาง ๆ คอื โดยประการอนื่ดว ยกเิ ลสเครื่องเนนิ่ ชา คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ ทมี่ กี ําลัง ซ่ึง

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 65ทา นกลาวไวด วยนาม (รวม) วา มญั ญนาในทนี่ ้ี ตามพระบาลวี า ก็สวนแหงกเิ ลสเครอื่ งเนนิ่ ชา มีสญั ญาเปนตนเหตุ ดงั น.ี้ ดว ยเหตนุ ัน้พระผูม พี ระภาคเจาจึงตรัสวา ปวึ มฺติ ดงั นี้. ก็เพ่ือจะทรงแสดงความสาํ คัญเหลานนั้ ของเขาผูสาํ คญั อยเู ชน นีโ้ ดยนัยอนั พิสดาร พระผูม ีพระภาคเจา จึงตรัสปฐวีในภายใน ๒๐ ประเภทโดยนัยเปน ตน วา เกสา โลมา ตรัสปฐวีในคัมภรี ว ิภังคอ ยา งนีว้ าบรรดาปฐวีธาตุ ๒ อยางนนั้ ปฐวีธาตุภายนอกเปนไฉน ? คือ วตั ถุภายนอกทแ่ี ขน แขง็ หยาบกระดาง ไมม ีใจครอง เชน เหลก็ โลหะดีบุกขาว ดีบกุ ดํา แรเ งนิ มกุ ดา แกว มณี แกวไพฑูรย สงั ข ศลิ าแกวประพาฬ เงนิ ตรา ทองรูปพรรณ แกวแดง (ทบั ทมิ ) เพชร-ตาแมว หญา ทอนไม กอ นกรวด ทราย กระเบ้ือง แผน ดนิ หนิภเู ขา, และตรัสนมิ ิตแผน ดิน ในวัตถุอารมณภ ายใน ทา นหมายเอาปฐวนี ้ัน ๆ กลา วการประกอบความนี้ไว. บทวา ปวึ มฺ ติ ความวา ปุถุชน ยอมสําคญั วา เราเปนดนิ วา ดินเปนของเรา วา คนอ่ืนเปน ดิน วา ดนิ ของคนอนื่ ดงั นี้ดวยความสาํ คญั ๓ อยาง. อีกอยา งหน่ึง ยอมสาํ คัญปฐวี (แผนดิน) ภายใน ดวยความสาํ คญั ดว ยอาํ นาจตณั หา มานะ และทิฏฐิ. สําคัญอยา งไร ? จรงิ อยู ปถุ ชุ นน้ี ยงั ฉันทราคะใหเ กดิ ในผม เปนตน คือยนิ ดีเพลดิ เพลนิ พรา่ํ เพอ หลงใหล ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง กห็ รอืวตั ถุซง่ึ เปน ทตี่ งั้ แหงความกาํ หนดอยางใดอยางหนึ่ง, ปุถุชนยอมสําคญั

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 66ปฐวีกายในดว ยความสาํ คญั อนั เกดิ จากอาํ นาจแหงตณั หาอยา งน.ี้ ก็หรอื วา เกดิ ความทะยานอยากในผมเปนตนนั้น โดยนยั เปนตน วาผมของเราพงึ เปนเชน นีต้ ลอดไป ขอขนบองเราพึงเปนเชน น้ีตลอดไปกห็ รอื วา ตงั้ จติ ไว เพ่อื จะไดส ่งิ ท่ตี นยังไมได โดยนยั เปน ตน ดว ยศีลหรอื พรหมจรรย อันน้ี เราจักมีผมดาํ สนิทออนนุม ดังน้ี. ปุถชุ นยอ มสําคัญปฐวี (แผนดนิ ) ภายใน ดวยความสาํ คญั ดว ยอํานาจตณั หาแมดงั อธบิ ายมานี้. อน่ึง ปถุ ชุ น อภยั สมบตั ิ (ความถึงพรอม) หรือวบิ ัติสองผมเปนตนแหงตน แลว ยงั มานะใหเ กิดขึ้นวา เราดีกวา เราเสมอกัน หรือวาเราเลวกวา ดงั กลาวมาน้ี ช่ือวา สาํ คัญปฐวี ( แผน ดิน ) ภายในดวยความสําคญั อนั เกดิ มาจากอํานาจมานะ. อน่งึ ยอ มยดึ มัน่ ผมวา เปนชีวะ โดยนัยทมี่ าแลว วา ชวี ะกอ็ ันนั้น สรีระกอนนั้น ดงั น้ี. ( แม)ในขนเปน ตน กน็ ัยน.้ี ปุถชุ นยอ มสาํ คัญปฐวี ( แผน ดนิ ) ภายในดว ยความสาํ คัญอันเกิดมาจากอํานาจทฏิ ฐิดงั กลา วมา. อกี อยา งหน่งึ ปุถุชนยอมยดึ ม่นั ซง่ึ ปฐวี อันตา งดวยผมเปน ตนโดยนัยอนั เปนขาศึกตอ พฤติกรรมนว้ี า ดูกอนอาวุโส กป็ ฐวีธาตุภายในอันใดแล และปฐวีธาตุภายนอกอัน ใด กป็ ฐวีธาตุ (ท้ัง ๒) น้ันช่ือวา ปฐวธี าตุเหมอื นกนั อันน้ีน่นั ไมใชข องเราวา ของเรา เราเปนนนั่น่ันเปนอตั ตาของเรา ชื่อวายอมสาํ คญั ปฐวีภายในดว ยความสําคญัอันเกิดมาจากอาํ นาจทฏิ ฐแิ มอ ยา งน.้ี ปถุ ุชนยอ มสาํ คัญปฐวีภายในดวยความสําคญั ๓ อยา ง ดงั พรรณนามานี้กอน. พึงทราบวา ยอ มสาํ คญั ปฐวภี ายนอกเหมอื นอยา งปฐวภี ายใน.

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 67 อยา งไร ? จรงิ อยู ปุถุชนนี้ ยงั ฉนั ทราคะใหเ กิดขนึ้ ในเหลก็ และโลหะเปน ตน เพลดิ เพลนิ พรํา่ เพอ หลงใหล เหล็กและโลหะเปน ตนยอมหวงแหนรักษา คมุ ครอง เหล็กเปน ตน ไวโ ดยนัยเปน ตนวา เหล็กของเรา โลหะของเราช่อื วา ยอ มสําคญั ปฐวีภายนอก ดวยความสําคญั ดวยอํานาจตัณหา ดวยประการฉะนี.้ กห็ รอื วา ปุถุชนยอ มทะยานอยากในปฐวีภายนอกน้ีวา ขอเหล็กและโลหะเปน ตนของเรา พงึ มอี ยู อยา งนตี้ ลอดไปหรอื ตั้งจติ ไว เพ่อื จะไดส ง่ิ ท่ียงั ไมไดว า ดวยศลี หรอื พรหมจรรยน ี้ เราจกั เปน ผูมอี กุ ปกรณ มเี หลก็ และโลหะเปน ตน ท่ถี งึ พรอ มแลว อยางน้ี.ปถุ ชุ นช่อื วา ยอมสําคญั ปฐวีภายนอก ดวยความสาํ คัญอนั เกิดมาจากอํานาจตัณหา แมดว ยประการฉะน.ี้ อนง่ึ ปุถุชนอาศยั สมบัตหิ รือวบิ ัติ แหง เหลก็ และโลหะเปนตนของตนแลว เกดิ มานะขึน้ วา ดว ยอุปกรณน ี้ เราจึงดกี วาเขา เสมอเขาหรือเลวกวาเขา ปถุ ุชนช่อื วา ยอ มสําคัญปฐวีภายนอก ดวยความสาํ คัญอันเกิดมาจากอาํ นาจมานะอยา งน.ี้ ก็ปุถชุ นเปนผูม คี วามสําคญั ในเหล็กวาชีวะ ยอ มยดึ มน่ั วาน้เี ปน ชีวะ.นัยในโลหะเปน ตนกม็ ีนยั น้.ี ปถุ ชุ นชื่อวา ยอมสาํ คญั ปฐวีภายนอก ดว ยความสําคัญอันเกิดมาจากอาํ นาจทิฏฐิ ดวยประการฉะนี้. อีกประการหน่ึง บุคคลบางคนในโลกน้ี พิจารณาเห็นปฐวีกสณิโดยเปน อตั ตา คอื วา ยอมยึดม่ันนมิ ิตปฐวีวา อตั ตา โดยนยั ทท่ี า นกลา วไวใ นคมั ภรี ปฏิสมั ภิทาน่ันแลวา ปุถุชนยอ มพิจารณาเหน็ เนอ้ื ความทั้ง ๒ คอื ปฐวีกสณิ และองคาพยพวา ปฐวีกสิณอันใด เรากอ็ นั น้นั

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 68เราอนั ใด ปฐวกี สิณกอ นน้นั ดังนี้ ช่ือวา ยอ มสาํ คัญปฐวีภายนอกดวยความสําคญั อนั เกิดมาจากอํานาจทิฏฐิ ดว ยประการฉะนี้. ปุถุชนยอมสําคญั ปฐวแี มภายนอก ดว ยความสาํ คญั ๒ อยา งดังอธิบายมาน้ี. ในคําวา ปวึ มฺติ นี้ พึงทราบความสาํ คัญหมายทั้ง ๓ ดังพรรณนามานก้ี อน. ตอแตน ี้ไปขาพเจา จกั กลาวแตโดยยอ เทา น้นั . คําวาปวยิ า น้ี ในคําวา ปวิยา มฺติ นี้ เปนสัตตมวี ภิ ัตติ. เพราะฉะนัน้ในคาํ น้ี มอี ธิบายดงั นีว้ า ปถุ ชุ นยอ มสาํ คัญวา เรามีอยใู นปฐว,ี ยอมสําคญั วา ความกังวลผกู พนั ของเรามอี ยูในปฐวี ยอมสาํ คัญวา บคุ คลอ่นื มีอยใู นปฐวี ยอมสาํ คญั วา ความกังวลผูกพนั ของบุคคลอื่นในปฐวมี ีอยูดังนี้ อีกอยา งหนง่ึ นัยแหงเนื้อความของสตั ตมวี ิภตั ตนิ ัน้ ท่ีไดท ท่ี า นกลาวไวว า ปถุ ชุ นยอ มพิจารณาเห็นอตั ตาในรปู อยางไร ? คือปุถูชนบางตนในโลกน้ี ยอมพจิ ารณาเห็นเวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ วา เปนอัตตา เขายอมพจิ ารณาเหน็ อัตตาในรปู อยา งน้วี า กน็ ้แี หละเปนอตั ตาของเรา อัตตาของเราน้นี ้นั แล มอี ยใู นรปู น้ี ดงั น้ี โดยนั้นนนั่ แลปถุ ชุ นจงึ ถอื เอาเวทนาธรรมเปนตน ตอแตนี้กก็ าํ หนดเอาปฐวีชนิดใดชนิดหน่งึ ในบรรดาปฐวที ั้งภายในและภายนอก โดยความเปน โอกาสแหง อตั ตานนั้ สาํ คัญอยูวา กอ็ ตั ตาของเรานี้น้นั แล มีอยู ในปฐวีนี้ดงั นี้ ชือ่ วา ยอ มสําคญั ในปฐวี. นี้ช่อื วา ความสําคญั ดวยอํานาจแหงทฏิ ฐขิ องปุถุชนน.ี้ กเ็ มือ่ ปุถชุ นนัน้ ยังความสิเนหาในอัตตา และมานะ อันมอี ตั ตา

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 69เปนทตี่ ้งั ใหเ กิดข้นึ ในรูปน้ันนนั่ แล พงึ ทราบวา เปน ความสาํ คัญดวยอาํ นาจแหงตณั หาและมานะ. แตใ นกาลใด ปถุ ชุ นยอมสาํ คญั โดยนัยน้นั น่ันแลวา ก็อตั ตาของคนอ่ืนนนั้ นัน่ แล มีอยู ในปฐวี ในกาลนั้น ความสําคญั อันเกดิ มาจากอํานาจแหงทิฏฐินัน่ แล ยอมถูก. สว นความสาํ คัญแมนอกจากน้ี ทา นก็ปรารถนา (เอาเหมือนกนั ). ก็คาํ วา ปวโิ ต ในคําวา ปวิโต มฺติ เปนปญจมวี ิภตต.ิ เพราะฉะนนั้ ปถุ ชุ น เมอ่ื สําคญั การเกดิ ข้นึ หรอื การจากไปจากปฐวีมปี ระเภทตามทีก่ ลาวแลวแหงตนหรือแหงบุคคลอ่นื พรอ มทั้งทรัพยศฤงคาร หรอื สําคัญวา อัตตาอื่นจากปฐวี พึงทราบวา ซงึ่ วาสาํ คญั จากปฐวี. นเี้ ปนความสาํ คญั ดว ยอาํ นาจแหงทฏิ ฐิของปุถุชนนนั้ . ก็เมือ่ ปุถชุ นนนั้ ยังความสเิ นหาและมานะใหเกดิ ในวัตถุ ที่สําคัญกนั ดว ยความสําคญั ดวยอํานาจทิฏฐินน้ั นนั่ แล พงึ ทราบวา เปนความสําคญั ดว ยอํานาจตณั หาและมานะ อาจารยพ วกอื่นกลาวไววาปุถุชนเจริญปฐวีกสิณ อันเปนปริตตารมณ และตอจากนนั้ ยดึ เอาอตั ตาอนั ไมมปี ระมาณอื่นแลว สาํ คัญอยูวา อัตตากองเรา (มี ) แมใ นภายนอกจากปฐวี ดงั นี้ ชอ่ื วา ยอมสาํ คัญจากปฐวี กค็ วามสําคญัอนั หนึ่งที่เปน ไปโดยนัยนว้ี า ปุถุชนยอ มยดึ ถอื มหาปฐวีอยา งเดียว. ก็ในคาํ น้วี า ปวึ เมติ มฺติ มีวินจิ ฉยั ดังตอไปน้ี :- ก็ความสําคัญที่เปน ไปโดยนยั นี้วา ยอ มหวงแหนมหาปฐวดี วยอํานาจตณั หาถา ยเดียว พงึ ทราบวา ไดแ กความสําคัญดว ยอํานาจตัณหาอยา งหน่งึ เหมอื นกัน. ก็ความสาํ คญั ดวยอํานาจตัณหาน้นี ้นั ควรประกอบ

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 70เขา ในปฐวีท้ังภายในและภายนอกแมท ้ังหมด มปี ระเภทตามท่ีกลาวไวแ ลวอยา งนีว้ า ผมของเรา ขนของเรา เหลก็ ของเรา ดังน.้ี บทวา ปวึ อภินนฺทติ ความวา ปถุ ุชน ยอมเพลดิ เพลนิอธบิ ายวา ยนิ ดี ติดใจปฐวี มีประการตามท่กี ลาวแลว นน่ั แล ดว ยกเิ ลสมีตัณหา เปนตน. หากมคี ําถามวา เมือ่ ใจความนี้สาํ เร็จแลว ดวย ๒ บทนีน้ ่นั แลวาปวี มฺ ติ เพราะเหตุไรจึงกลา วไวอ ยา งน้ี. ตอบวา คํานน้ั ทา นโบราณาจารยท้งั หลายไมไ ดเ กบ็ มาวจิ ารณ ก็มตินีเ้ ปน สวนตัวของเรา จากลลี าการแสดง หรอื จากการเห็นโทษเพราะทา นถึงพรอมดวยสลี าแหงการแสดงอันวิจติ รดวยนัยตา ง ๆ เพราะแทงตลอดธรรมธาตอุ ันใด ธรรมธาตุอนั น้ีน้ัน พระผมู พี ระภาคเจาทรงแทงตลอดดวยดแี ลว เพราะฉะนนั้ทา นคร้ันแสดงความเกิดขึน้ แหง กเิ ลส ดวยอํานาจความสําคญั ในเบื้องตนแลว บดั น้ี เมอื่ จะแสดงดวยอาํ นาจความยินดี เปน ตน จงึ กลา วคํานไ้ี วเพราะลีลาแหง การแสดงบาง. อีกอยางหน่ึง ปุถชุ นใดสําคัญปฐวี สาํ คญั ในปฐวี สาํ คญั จากปฐวี สําคญั วา ปฐวีของเรา ปุถชุ นน้ี เพราะเหตทุ ่ีตนไมอาจจะละตัณหา หรอื ทิฏฐิท่อี าศยั ปฐวีได ฉะน้ัน จงึ ยนิ ดีปฐวโี ดยสว นเดียว.อน่ึง ปุถชุ นใด ยนิ ดีปฐวี ปุถุชนนัน้ ยอมยินดีทุกข และทุกขเ ปนโทษเพราะฉะน้ัน ทา นจงึ กลาวคาํ นไี้ ว แมเพราะการเหน็ โทษ. สมดังท่ีพระผ-ูมีพระภาคเจา ตรัสพระดาํ รัสนไ้ี วว า ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย เราตถาคตกลาววา ผูใด ยินดีปฐวีธาตุ ผูนั้นยนิ ดที ุกข ผูใ ดยินดีทกุ ข ผูนั้นยอมไมพน ไปจากทกุ ข ดงั น.้ี

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 71 พระผูมพี ระภาคเจา ครน้ั ตรสั ความสําคัญและความยนิ ดี อนั มีปฐวเี ปน ท่ีตง้ั อยางนีแ้ ลว บดั นี้ เมอื่ จะทรงนําเหตุทีเ่ ปน เหตสุ ําคญั และยนิ ดีของปุถุชนนัน้ จึงตรัสวา เรากลาววา ขอ น้นั เปนเหตุแหง อะไร,ความไมรูรอบ เปนเหตุแหงขอนน้ั ดงั น้.ี ขอ นัน้ มีเนือ้ ความดังตอ ไปนี้ ถาวามีคําถามสอดเขา มาวา ปถุ ชุ นนั้น ยอมสําคญั ปฐวีน้นั เพราะเหตุอะไร คอื วา เพราะเหตุไร จึงสําคญั ยินดีปฐวนี ้นั ดงั น้ีไซร. ตอบวา (เพราะพระผูมีพระภาคเจาตรัสวา) เราตถาคตกลา ววา ขอนน้ั อนั ปถุ ชุ นน้ันมิไดกําหนดรูแลว มีอธบิ ายวา เพราะเหตุทข่ี อ นัน้ อนั ปุถุชนน้ันมไิ ดกาํ หนดรแู ลว จรงิ อยูปถุ ุชนใด ยอ มกาํ หนดรูปฐวี ปุถชุ นนั้นยอ มกาํ หนดรูดว ยปรญิ ญา ๓คือ ญาตปริญญา ตีรณปริญญา และปหานปริญญา. ในปริญญา ๓ อยา งน้นั ญาตปริญญาเปน ไฉน ? คอื ปถุ ุชนยอ มรูป ฐวีธาตวุ า ปฐวธี าตนุ ี้ เปนไปในภายใน ปฐวีธาตุน้เี ปน ไปในภายนอก นเ้ี ปนลักษณะของปฐวธี าตุนั้น เหลา นี้เปน กจิ เปนปจจุ-ปฏ ฐาน และเปนปทัฏฐานของปฐวธี าตนุ น้ั ดังกลาวมาน้ี เรียกวาญาตปรญิ ญา. ตีรณปรญิ ญาเปนไฉน? คอื ปุถุชนพิจารณาปฐวธี าตุ กระทาํ ใหเ ปนสงิ่ ท่ีตนรแู ลวอยางนี้ ดวยอาการ ๔๐ วา ไมเ ทยี่ ง เปนทกุ ข เปน โรคเปน ตน ดังกลาวมานี้ เรยี กวา ตีรณปริญญา. ปหานปริญญาเปนไฉน ? คือบคุ คลพจิ ารณาเห็นอยางน้ีแลว ยอมละฉนั ทราคะในปฐวธี าตุดวยอรหัตตมรรค ดงั กลา วมานี้ เรยี กวาปหานปรญิ ญา.

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 72 อกี อยา งหนง่ึ การกําหนดนามและรูป ชื่อวา ญาตปรญิ ญา. การกาํ หนดรมู กี ารพจิ ารณากลาปะ เปนเบ้อื งตน และอนโุ ลมญาณ เปน ท่ีสุดชื่อวา ตรี ณปรญิ ญา. ญาณในอริยมรรค ชอ่ื วา ปหานปรญิ ญา. ปถุ ุชนใด ยอมกําหนดรปู ฐวี ปุถชุ นนัน้ ยอ มกําหนดรดู ว ยปรญิ ญา ๓เหลาน้.ี ก็ปรญิ ญาเหลานน้ั ไมม แี กป ถุ ุชนน้ัน เพราะฉะนัน้ ปถุ ุชนชอื่ วา ยอมสําคญั ยอมยนิ ดีปฐวี เพราะไมก าํ หนดรูด วย เหตุน้ันพระผูมพี ระภาคเจา จึงตรัสวา ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ปุถุชนในโลกน้ีไมไดส ดับ ฯลฯ ยอมสําคัญปฐวี ยอมสาํ คญั ในปฐวี ยอ มสาํ คญั จากปฐวี ยอมสําคัญวา ปฐวีของเรา ช่อื วา ยอมยินดปี ฐวี ขอน้ันเพราะเหตุอะไร เราตถาคตกลา ววา (เพราะ) ขอ นัน้ อนั ปถุ ุชนน้ันมไิ ดก าํ หนดรูแ ลว. จบ - ปฐวีวาร แมในขอ น้วี า อาป อาปโต พึงทราบอาโป ๔ อยา งคอื ลกั ษณะอาโป สสมั ภารอาโป อารัมมณอาโป และสมมตอิ าโป. บรรดาอาโป ๔อยา งนนั้ อาโปทีก่ ลาวไวในประโยคเปน ตน วา บรรดาอาโปธาตุ ๒อยา งเหลานั้น อาโปธาตุทีเ่ ปน ไปในภายในเปน ไฉน ? ไดแกสิ่งท่ีเอบิ อาบ ซึมซาบ เชอ่ื มประสาน (เปนลักษณะ ) เฉพาะตนอยูภายในตัวเอง คอื อาโปธาตทุ ีม่ ีใจครองในภายใจรูป ชอ่ื วา ลกั ษณอาโป.อาโปกลา วไวใ นประโยคเปน ตนวา บุคคลเรียนเอาอาโปกสิณ ยอ มถือเอา

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 73นมิ ิตในอาโป ดงั นี้ ชือ่ วา สสัมภารอาโป. คําทเี่ หลอื ทั้งหมดเชน เดยี วกับท่ที านกลาวไวใ นปฐวี (แผนดนิ ) นัน้ แล แตเ มอ่ื วา โดยนัยแหง การประกอบความลวน ๆ อาโปธาตุท่ีเปนไปในภายใน ๑๒ อยางทท่ี านกลา วไวโ ดยนัยวา ดี เสมหะ ดงั น้เี ปนตน พงึ ทราบวา อาโปธาตุภายใน และอาโปธาตทุ ีท่ านกลาวไวอยางน้ีวา บรรดาอาโปธาตุ ๒ อยางอาโปธาตุท่ีเปน ไปในภายนอกเปนไฉน ? คอื สิง่ ทีเ่ อิบอาบ ซึมซาบเช่ือมประสาน อยูภ ายนอก ไดแ กค วามเอิบอาบสิง่ ทถี่ งึ ความเอบิ อาบอาโปธาตุทไี่ มมใี จครองภายนอกรปู คือรสเกดิ จากรากเหงา รสเกดิ จากลําตน รสเกิดจากเปลือก รสเกิดจากใบ รสเกิดจากดอก รสเกิดจากผลนมสด นมสม เนยใส เนยขน น้ํามนั นํ้าผง้ึ นํา้ ออย นาํ้ ทีแ่ ผน ดินหรือนํา้ ในอากาศ พงึ ทราบวา อาโปธาตุภายนอก และอาโปนน้ั ช่อื วานมิ ิตอาโปในหมวด ๓ แหง อชั ฌตั ตารมณ . ในบทวา เตช เตชโต น้ี พึงทราบความพสิ ดาร โดยนยั ทก่ี ลา วแลว แมในวาระแหง เตโชนั่นแล. แตในขอน้ี เมอ่ื วาโดยนัยแหง การขยายความ เตโชธาตุ ๔ อยาง ทที่ า นกลา วไวอ ยางน้ีวา เตโชธาตุท่เี ปนเหตใุ หรางกายอบอุน ทรดุ โทรม กระวนกระวาย และท่ีเปนเหตเุ ผาอาหารใหย อย พึงทราบวา เตโชธาตภุ ายใน และเตโชธาตุท่ีทา นกลาวไวอยา งนีว้ า บรรดาเตโชธาตุ ๒ อยา งนั้น เตโชธาตุท่เี กินไปในภายนอกเปน ไฉน ? คอื สง่ิ ทรี่ อน อบอนุ ในภายนอก คอื เตโชธาตุทไ่ี มม ีใจครองในภายนอก ไดแกไฟเกดิ จากไม ไฟเกิดจากสะเก็ดไม ไฟเกดิจากหญา ไฟเกิดจากข้ีววั ไฟเกิดจากแกลบ ไฟเกดิ จากกองขยะ ไฟเกิดจากเชื้อ ความรอนเกิดจากไฟ ความรอนเกิดจากแสงพระอาทติ ย ความ

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 74รอ นเกิดจากการทบั ถมแหงทอ นไม ความรอ นเกดิ จากการทับถมแหง หญาความรอ นเกดิ จากการทบั ถมแหงขาวเปลือก ความรอ นเกดิ จากการทบั ถมแหง สิ่งของ ดงั นี้ พงึ ทราบวา เตโชธาตภุ ายนอก. กใ็ นนยั แหง การอธิบายความแมแ หง วาระนีว้ า วาย วายโต มีอธบิ ายดังตอ ไปนี้ วาโยธาตุ ทีท่ า นกลาวไวอยา งนว้ี า ลมที่พดั ข้นึเบอ้ื งบน ลมท่พี ดั ลงเบอ้ื งตํา่ ลมในทอง ลมในลําไส ลมท่ีแผไ ปซา นไปตามอวยั วะนอยใหญ ลมมีพษิ ดุจศาสตรา ลมมพี ษิ ดจุ คมมีด ลมมีพิษดจุ กานบัว ลมหายใจออก ลมหายใจเขา พึงทราบวา วาโยธาตุภายในและลมที่ทานกลา วไวอ ยา งนวี้ า บรรดาวาโยธาตุ ๒ อยางนั้น วาโยธาตใุ นภายนอกเปน ไฉน ? คือสิ่งท่ีกระพอื พัดเคล่ือนไหวในภายนอก ไดแ กวาโยธาตุภายนอกของรปู ไมมีใจครอง คอื ลมทศิ ตะวันออก ลมทศิ ตะวนั ตกลมทิศเหนือ ลมทศิ ใต ลมฝุน ลมไมมฝี ุน ลมหนาว สมรอ น ลมออ นลมแรง ลมหัวดว น ลมท่ีเกดิ จากนกบนิ ลมทีเ่ กิดจากครุฑบิน ลมงวงลมเกิดจากการพดั วี พงึ ทราบวา วาโยธาตภุ ายนอก. คําทีเ่ หลอื มีนยัดงั ทก่ี ลา วแลว น่ันแล. หารนัยทชี่ อื่ วา ลกั ษณะ น้ใี ด (ทม่ี ีมา ) ในเนตติปกรณอ ยางนวี้ าเมอ่ื กลา วถึงธรรมอยางหนึง่ แลว ดว ยธรรมอยา งหน่งึ นั้น ก็เปน อันกลา วถงึ ธรรมทุกอยาง ทม่ี ลี ักษณะอยางเดียวกนั ดว ย ลักษณะหารนัยทา นกลาวไวอ ยา งนด้ี งั นี้ เปนอนั ทานกลาวไวดว ยความประมาณเทา นี้ดว ยอาํ นาจแหงหารนัยน้ัน เพราะเหตทุ ่ีเมื่อถอื เอามหาภูตรูปทั้ง ๔ก็ยอ มเปนอนั ถือเอาอุปาทายรปู ไวดวย เพราะอปุ าทายรูปไมล วงพนลักษณะรูปไปได มหาภูตรปู และอปุ าทายรปู อนั ใด อนั น้นั เปน รูปขนั ธ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 75ฉะนั้น พระผูพระภาคเจา เม่อื ตรัสวา ปุถุชนผูม ิไดสดับ ยอ มสําคัญปฐวี อาโป เตโช วาโย ก็ยอ มเปนอันตรสั วา เขายอมพจิ ารณาเหน็รปู วา เปน อัตตาดวย. เมอื่ ตรัสวา ปุถุชนยอมสําคญั ในปฐวี อาโป เตโช วาโย ยอ มเปนอันตรัสวา ยอ มพจิ ารณาเห็นอัตตาในรปู ดงั น.ี้ เมื่อตรสั วา ยอมสาํ คัญจากปฐวี อาโป เตโช วาโย ยอ มเปน อนั ตรัสวา ยอ มพิจารณาเห็นอัตตา อันมีรปู และรปู ในอัตตา เพราะสาํ เรจ็ ความวา อตั ตาเปน อน่ื จากรปู ดังน้.ี พึงทราบความสาํ คญั ดว ยอาํ นาจแหงสกั กายทิฏฐิ อนั มรี ูปเปนท่ตี ัง้ ๔0ประการเหลานี้ ดงั กลา วมาน้ี . ในขอน้พี งึ ทราบความแตกตา งกนั แมน ว้ี า บรรดาทิฏฐิ ๔ ประการน้ัน เปนอจุ เฉททฏิ ฐิ ๑ เปน สัสสตทิฏฐิ ๒ ดังนั้น ทฏิ ฐจิ ึงมี ๒ อยา ง.พระผมู พี ระภาคเจาตรัสความสําคัญซงึ่ มสี ังขารเปน ทต่ี ั้ง โดยมรี ปู หนงึ่ประธานอยางนีแ้ ลว บดั นี้ สตั วท ั้งหลายเหลาใดถกู บัญญัตขิ น้ึ เพราะอาศยั สงั ขารทั้งหลาย เพราะเหตทุ ป่ี ุถชุ นกระทาํ ความสาํ คญั แมใ นสัตวท้งั หลายเหลา น้ัน ฉะนั้น เมื่อชแี้ สดงสตั วเ หลา น้ันอยู จึงตรสั คาํ มีอาทิวาช่ือวายอมสําคัญภูตทงั้ หลายโดยความเปน ภตู ดังน้.ี ความหมายของ ภูต ศพั ท ในขอน้ี ภูตศพั ทน้ี ใชใ นอรรถเปน ตนวา ขนั ธ ๕, อมนษุ ย,ธาตุ, มอี ย,ู พระขณี าสพ, สัตว และตน ไม. จรงิ อยู ภตู ศพั ทน้ใี ชในอรรถวา ขนั ธ ๕ ดังในประโยคเปนตน วาดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย เธอทัง้ หลายจงพิจารณาดูวา นเ้ี ปน ภูต.

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 76 ใชใ นอรรควา อมนุษย ดงั ในประโยคนวี้ า ภูตท้งั หลายเหลา ใดมาประชมุ พรอมกัน แลว ในที่น้ี ดังน.ี้ ใชในอรรถวา ธาตุ ๔ ดังในประโยคน้วี า ดูกอ นภกิ ษุ มหาภตู รปู๔ แล เปน เหตุ . . . ดงั นี้. ใชใ นอรรถวา มีอยู ดงั ในประโยคเปนตน วา เปน ปาจติ ตยี ใ นเพราะภตู ดงั น.้ี ใชใ นอรรถวา พระขณี าสพ ดงั ในประโยคนี้วา ก็ภตู ใดเปน ผูกนิ กาละ ดงั น.ี้ ใชใ นอรรถวา สัตว ดงั ในประโยคนีว้ า ภตู ทง้ั หลายท้ังปวงแลจักทิ้งรา งกายไวในโลก ดังนี.้ ใชใ นอรรถเปน ตน วา ตนไม ในประโยคนีว้ า ภุตคามปาตพยฺ ตาย(พรากภตู คาม) ดงั น้.ี แตใ นทน่ี ี้ ภูตศพั ทน ี้ ยอมใชใ นสตั วท้งั หลาย. กแ็ ล ภตู ศัพทจะเปน ไปโดยไมแตกตา งกันเลยก็หามไิ ด เพราะวา สตั วทั้งหลาย ต่ํากวาชน้ัจาตุมมหาราช ทา นประสงคเอาวา ภตู ในทน่ี ้ี ดงั น.ี้ บรรดาบทเหลานั้น บทวา ภเู ต ภตู โต สชฺ านาติ เปนตนมีนยั ดังกลาวแลวน่นั แล. ความสาํ คญั ดวยอาํ นาจตัณหา มานะ ทฏิ ฐิ ก็ในคาํ เปนตนวา ภูเต มฺ ติ พึงประกอบความสําคัญแม ๓อยา ง. อยา งไร ? จริงอยู ปถุ ชุ นนยี้ ึดเอาภูตทัง้ หลายวา งาม มคี วามสขุ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 77โดยนัยท่กี ลา วไวแ ลววา เขาเหน็ คฤหบดี หรอื บตุ รคฤหบดี ผเู พยี บ-พรอมดว ยกามคุณ ๕ ดังนี้ ยอ มกําหนดั คือยอ มกําหนัดภูตเหลานัน้ แมเพราะเหน็ และยอ มกาํ หนดั แมเพราะไดยนิ ไดดมกลิ่น ไดล ิม้ รส ไดถูกตอง และไดท ราบ ปุถชุ นยอมสําคัญในภูตท้ังหลายดว ยความสําคญัดว ยอํานาจแหงตัณหา ดังพรรณนามาฉะน.้ี ยอ มตั้งจิตไวเพือ่ ไดส ง่ิ ทต่ี นยงั ไมได โดยนยั เปน ตน วา ทาํ ไฉนหนอเราพงึ เขาถงึ ความเปน สหายแหง ขตั ติยมหาศาลท้ังหลาย. ปถุ ชุ นยอมสําคัญในภตุ ทั้งหลายดวยความสาํ คญั ดว ยอาํ นาจแหงตัณหา แมด วยประ-การฉะน.้ี แตเพราะอาศยั สมบตั แิ ละวิบตั ิของตนและของภูตทัง้ หลาย ปถุ ุชนยอ มถือตวั วาดีกวา เขา ปถุ ชุ นยอมสาํ คญั ภตู ชนดิ ใดชนิดหนึง่ ในภูตทัง้ หลายวา เลวกวา ตน หรอื ยอ มสาํ คัญตนวา เลวกวา ภตู ชนดิ ใดชนิดหนงึ่ ยอมสาํ คัญภตู ชนดิ ใดชนดิ หนึ่งวาดีกวาตน (หรือยอมสําคัญตนวาดกี วาภูตชนดิ ใดชนดิ หนึง่ ) ยอมสาํ คญั ตนวา เสมอกนั กับภตู หรอื ยอมสําคญั ภตู วาเสมอกันกับตน. สมดังทีท่ านกลาวไววา บคุ คลบางคนในโลกน้ี เมือ่ กอ นถือวาตนเสมอกันกับคนอื่น โดยชาติ ฯลฯ หรอื โดยวัตถุอยางใดอยา งหนึ่งครน้ั ตอมากลับสําคญั ตนวา ดีกวาเขา กลับสาํ คญั คนอ่นื วา เลวกวาตน มานะเห็นปานน้ี ทานเรยี กวา มานาติมานะ. ปุถชุ นยอมสําคัญในภตู ทงั้ หลายดวยความสําคัญดว ยอาํ นาจแหงมานะ ดงั พรรณนามาฉะน้.ี ปุถชุ นสําคัญอยวู า ก็ภูตท้ังหลายเท่ียง ย่งั ยนื แนน อน มธี รรมดาไมแ ปรปรวน หรอื วา สตั วทั้งปวง ปาณะท้ังปวง ภตู ท้ังปวง ชวี ะทง้ั ปวง ไมม ีอาํ นาจ ไมมกี ําลงั ไมม ีความเพียร ผนู อมไปสูภาวะการ











































พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 99 อธิบายพระอริยบคุ คล พระผูมีพระภาคเจา ครน้ั ทรงแสดงความเปน ไปของพระเสขะในวตั ถุธาตุมปี ฐวเี ปนตน ดงั พรรณนาอยางนแ้ี ลว บดั น้ี เมอ่ื จะทรงแสดงความเปน ไปของพระขณี าสพ จึงตรัสคําเปน ตนวา โยป โส ภิกขฺ เวภิกฺขุ อรห ดงั น.้ี บรรดาบทเหลานัน้ ป ศพั ท ในบทวา โยป มีการประมวลมาเปน อรรถ. ดว ย ป ศัพทน้ัน พระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงวา ในทน่ี ้ียอมไดค วามเสมอกนั โดยสวนท้ัง ๒. อธิบายวา พระเสขะ ช่ือวา เปน ผูเสมอดว ยพระขณี าสพ เพราะความเปนอรยิ บุคคล ดว ยเหตนุ ้นั ทานจึงไดความเสมอกันโดยบคุ คล. สวนความเปนผเู สมอกันโดยทางอารมณกม็ ีนัยดังกลาวแลวเหมือนกัน. บทวา อรห ความวา ผมู ีกเิ ลสอยูไ กล อธบิ ายวา ผูม กี เิ ลสหางไกลคือมีกเิ ลสอนั ทานละไดแ ลว. สมจริงดังพระดาํ รัสทพ่ี ระผูมีพระภาคเจาตรสั ไวว า ภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษเุ ปนอรหันตไดอ ยางไร คือ อกุศลธรรมทั้งหลาย อนั ลามก เศรา หมอง อันเปนเหตุใหเ กิดภพใหม มีความเรา รอ น มีผลเปนทุกข เพอื่ ชาติ ชรา และมรณะ ตอ ไปของทานผูหางไกลจากกเิ ลสยอมไมม ี ภกิ ษุทงั้ หลาย ภกิ ษุยอมเปนพระอรหันตอยางนแี้ ล. บทวา ขณี าสโว มวี ินจิ ฉัยวา อาสวะมี ๔ คอื กามาสวะภาวาสวะ ทิฏฐาสวะ อวชิ ชาสวะ อาสวะทง้ั ๔ เหลา นี้ ของพระอรหันตสิน้ แลว คอื ทานละได ถอนขึ้นได สงบระงบั เปนของไมค วรเกิดขนึ้ อีก

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 100อนั ทานเผาแลวดวยไฟคอื ญาณ ดว ยเหตนุ นั้ พระอรหันตน น้ั ทานจงึเรยี กวา พระขณี าสพ. บทวา วุสิตวา ความวา พระอรหนั ตนน้ั อยูแลว คืออยูจบแลวในธรรมเครื่องอยขู องครูบา ง ในธรรมเครอ่ื งอยูค อื อริยมรรคบาง ในธรรมเครือ่ งอยูของพระอริยะ ๑๐ ประการบาง พระอรหันตนัน้ อยูแลวคืออยจู บแลว ไดแ กมีธรรมเครอื่ งอยอู นั จบแลว มจี รณะอันประพฤติแลวฉะนนั้ จงึ ชอื่ วาผูอ ยูจบแลว. บทวา กตกรณโี ย ความวา พระเสขะทง้ั ๗ จนกระท่ังกลั ยาณ-ปุถุชน ชอ่ื วา ยอ มทํากจิ ท่ีควรทาํ ดว ยมรรค ๔ กิจทจี่ ะพงึ ทําทกุ อยา งพระขณี าสพทําแลว ทําเสร็จสน้ิ แลว กจิ ทีจ่ ะพงึ ทําอนั ยิ่งของพระขีณาสพน้นั เพอื่ การบรรลคุ วามสน้ิ ไปแหง ทุกข ยอมไมมฉี ะนั้น พระอรหนั ตนั้น จงึ ชอ่ื วาผูม ีกิจท่ีจะตอ งทําอันทําเสรจ็ เรยี บรอ ยแลว. สมจรงิ ดงั คําท่ีพระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ไววา การสงั่ สมกจิ ทีต่ องทําอันทําเรยี บรอยแลว ของภิกษุ ผมู จี ติ สงบ หลุดพนแลวโดยชอบนนั้ ยอ มไมมี (และ) กจิ ทพ่ี งึ ทาํ อกี กไ็ มม ี ดังน้ี. ในบทวา โอหิตภาโร มวี ินจิ ฉัยวา ภาระมี ๓ คือ ขนั ธภาระกิเลสภาระ อภสิ ังขารภาระ ภาระ ๓ เหลา นี้ พระอรหันตน ั้น ปลงลงแลวยกลงแลว วางแลว ทาํ ใหตกไปแลว ดวยเหตุนน้ี นั้ พระอรหันตนน้ัทานจึงเรยี กวา ผูม ภี าระอันปลงลงแลว . บทวา อนุปตตฺ สทตฺโถ ความวา ผูตามบรรลุประโยชนตนแลวอธบิ ายวา ตามบรรลุประโยชนอันเปน ของตน. ก อักษร แปลงเปน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook