พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 251 ในจาํ นวนมรรคเหลา น้ัน (๑ ) สมั มาทิฏฐิ เม่ือเกดิ ขน้ึ ยอมละมิจฉาทิฏฐิ กเิ ลสที่เปนขา ศกึ ตอสมั มาทิฏฐิน้ันและอวชิ ชาได กระทาํ นพิ พานใหเปนอารมณ เหน็สัมปยตุ ธรรมทั้งหลาย และเห็นสมั ปยุตธรรมเหลานนั้ โดยความไมงมงายไมใ ชเ ห็นโดยความเปนอารมณ เพราะฉะนัน้ จึงเรียกวา สัมมาทฏิ ฐิ. ( ๒) สมั มาสงั กัปปะ ( เมอ่ื เกดิ ข้ึน ) ยอ มละมิจฉาสังกปั ปะและกิเลสที่เปน ขา ศึกตอ สมั มาสงั กัปปะนน้ั ได กระทํานิพพานใหเ ปนอารมณแ ละปลกู ฝงสัมปยุตธรรมทงั้ หลายไวในใจโดยชอบ เพราะฉะน้ันจงึ เรยี กวาสัมมาสงั กัปปะ. ( ๓ ) สัมมาวาจา (เม่อื เกดิ ขึ้น) ยอมละมจิ ฉาวาจาและกิเลสที่เปนขาศึกตอสัมมาวาจาน้ันไดกระทาํ นิพพานใหเ ปน อารมณ หวงแหนสัมปยตุ -ธรรมท้ังหลายโดยชอบ เพราะฉะนน้ั จึงเรยี กวาสัมมาวาจา. (๔) สัมมากัมมันตะ (เมอื่ เกดิ ขนึ้ ) ยอมละมิจฉากมั มนั ตะและกเิ ลสทเี่ ปน ขา ศกึ ตอ สมั นากัมมันตะนนั้ ได กระทํานพิ พานใหเ ปน อารมณและยอ มยงั สัมปยตุ ธรรมทั้งหลายใหตงั้ ขึ้นโดยชอบ เพราะฉะนัน้ จงึ เรยี กวาสันมากัมมนั ตะ. (๕) สมั มาอาชวี ะ (เมอื่ เกดิ ข้ึน) ยอมละมิจฉาอาชวี ะและกิเสสท่เี ปนขาศกึ ตอสัมมาอาชีวะน้นั ได กระทํานพิ พานใหเ ปนอารมณและยอมยังสัมปยุตธรรมท้งั หลายใหผองแผว โดยชอบ เพราะฉะน้ัน จงึเรยี กวา สัมมาอาชวี ะ. ( ๖ ) สัมมาวายามะ (เมือ่ เกดิ ขน้ึ ) ยอ มละมิจฉาวายามะ ธรรมทีเ่ ปน ขาศกึ ตอสัมมาวายานะน้นั และความเกยี จครานได กระทํานิพพานให
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 252เปนอารมณ และยอมรับไวโดยชอบ ซึง่ สมั ปยตุ ธรรมทง้ั หลาย เพราะ-ฉะนั้น จงึ เรียกวา สมั มาวายามะ. (๗) สมั มาสติ (เมอื่ เกดิ ข้ึน) ยอ มละมจิ ฉาสตแิ ละกเิ ลสท่ีเปนขา ศกึ ตอ สมั มาสตนิ ้ันได ยอมกระทาํ นพิ พานใหเ ปน อารมณ และยอ มยงั สัมปยุตธรรมทั้งหลายใหป รากฏโดยชอบ เพราะฉะนนั้ จึงเรยี กวาสัมมาสต.ิ (๘) สมั มาสมาธิ (เม่ือเกดิ ข้ึน) ยอมละมิจฉาสมาธิ กเิ ลสท่ีเปนขา ศึกษาตอสมั มาสมาธแิ ละความฟุงซา นน้ันได กระทาํ นิพพานใหเปน อารมณ และยอ มตั้งม่ันสัมปยุตธรรมทั้งหลายไวโ ดยชอบ เพราะฉะนัน้จึงเรียกวา สัมมาสมาธ.ิ บดั น้ี พระเถระเม่ือจะกลา วยํ้าปฏิปทานัน้ นัน่ แลจึงกลา ววา อย โขสา อาวโุ ส ดงั น้ีเปน ตน คาํ ที่กลา วนัน้ มีอธิบายวา มรรคมีองค ๘ น้ีใด ที่พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั รวมโลกตุ ตรมรรคทงั้ ๔ เขาดว ยกนั วาดูกอ นอาวุโส มรรคมีองค ๘ นแี้ ล คอื มัชฌมิ าปฏปิ ทาน้นั ยอ มเปนไปพรอ ม ฯลฯ เพื่อนพิ พาน. ธรรมทต่ี องละเหลาอนื่ อีก ครั้นแสดงโลภะ โทสะ และอบุ ายเปน เครอื่ งละโลภะและโทสะน้นัในจํานวนธรรมท้ังหลายทต่ี องละอยางนแี้ ลว บัดน้ี พระสารบี ตุ รเถระเมอ่ื จะแสดงธรรมทตี่ องละเหลาอืน่ อกี และอบุ ายเปนเคร่ืองละธรรมเหลาน้ันจึงกลา วคาํ วา ตตฺราวุโส โกโธ จ ดงั นี้เปน ตน บรรดาธรรมท่ตี องละเหลา น้ัน.
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 253 (๑) โกธะ มลี ักษณะ (เฉพาะ) คือความเดอื ดดาลหรอื ความดรุ า ยมหี นา ทคี่ อื ผกู อาฆาต (และ) ผลท่ปี รากฏออกมาคือความประทษุ ราย (๒) อปุ นาหะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คอื ความผกู โกรธ มหี นา ที่คอื ไมยอมสลดั ท้ิงการจองเวร (และ) ผลท่ปี รากฏออกมาคือโกรธตดิ ตอ เรอื่ ยไป สมดว ยคําทีพ่ ระโบราณาจารยก ลา วไวอ ยางนีว้ า โกธะเกดิกอ น อปุ นาหะจึงเกดิ ภายหลงั เปน ตน. (๓) มักขะ มลี ักษณะ (เฉพาะ) คอื ลบหลคู นอืน่ หีหนา ท่ีคือทําคุณของคนอ่นื นนั้ ใหพนิ าศ (และ) ผลทปี่ รากฏออกมาคอื การปกปดคณุ ของคนอื่นน้นั . (๔) ปฬาสะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คอื การถือเปนคูแขง็ (ตีเสมอ) มหี นาทค่ี อื การทําคุณของตนใหเ สมอกับคุณของคนอ่นื (และ)ผลทปี่ รากฏออกมาคอื ความปรากฏโดยการชอบประมาณ (ตีคา ) เทยี บคณุ ของคนอ่ืน. (๕) อิสสา มีลกั ษณะ (เฉพาะ) คือความริษยาตอสมบตั ขิ องคนอ่นื หรอื ไมกท็ นไมไ ดต อสมบตั ิของคนอน่ื น้ัน มหี นา ท่ีคือความไมยนิ ดียง่ิ ในสมบัติของคนอื่นน้นั (และ) ผลทีป่ รากฏออกมาคือความเบือนหนาหนีจากสมบตั ขิ องคนอนื่ นน้ั . (๖) มจั เฉระ มลี กั ษณะ (เฉพาะ) คือการซอ นเรนสมบตั ิของตน มีหนา ทค่ี อื ความไมส บายใจ เมือ่ สมบตั ิของตนมีคนอ่นื รวมใชสอยดว ย (และ ) ผลท่ปี รากฏออกมาคือความเคอื งแคน . (๗) มายา มีลักษณะ (เฉพาะ) คือปกปด บาปทีต่ นเองกระทาํแลว หนา ทค่ี ือซอ นเรน บาปที่ตนเองกระทําแลวนนั้ (และ) ผลที่ปรากฏ
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 254ออกมาคือการปด กน้ั บาปที่ตนเองกระทําแลว นัน้ . ( ๘ ) สาเถยยะ มีลักษณะ (เฉพาะ) คอื การชอบเปด เผยคณุทตี่ นเองไมมี มีหนา ที่คือการประมวลมาซ่ึงคณุ ท่ีตนเองไมม ีเหลา นน้ั(และ) ผลทป่ี รากฏออกมาคือการทาํ คุณทีต่ นเองไมม ีเหลา นั้นใหป รากฏออกมาแมโ ดยอาการทางรางกาย. ( ๙ ) ถมั ภะ มลี ักษณะ (เฉพาะ) คอื ความทจ่ี ิตผยอง มหี นาที่คือพฤติการทไ่ี มย าํ เกรง ( และ) ผลทีป่ รากฏออกมาคอื ความไมออ นโยน. ( ๑๐ ) สารัมภะ มีลักษณะ (เฉพาะ ) คอื การทาํ ความดีใหเหนอื ไว มหี นาทค่ี ือแสดงตนเปนขาศึกตอคนอน่ื ( และ ) ผลทีป่ รากฏออกมาคือความไมเคารพ. ( ๑๑ ) มานะ มลี ักษณะ (เฉพาะ) คือความเยอหยง่ิ มีหนาที่คือความถอื ตวั วา เปนเรา (และ ) ผลทปี่ รากฏออกมาคือความจองหอง ( ๑๒ ) อติมานะ มลี ักษณะ (เฉพาะ) คือความเยอ หยงิ่ มีหนาท่คี ือความถือตัววา เปนเราจัด ( และ) ผลที่ปรากฏออกมาคือความหย่งิ จองหอง. ( ๑๓ ) มทะ มีลกั ษณะ ( เฉพาะ ) คอื ความมวั เมา มีหนา ท่ีคอืความยึดถือดว ยการมัวเมา ( และ ) ผลทป่ี รากฏออกมาคือความคลง่ั ไคล ( ๑๔ ) ปมาทะ มีลกั ษณะ (เฉพาะ) คอื การปลอ ยจติ ไปในเบญจกามคุณ มหี นาทีค่ อื การกระตนุ ใหป ลอ ยจติ มากขึน้ (และ) ผลท่ปี รากฏออกมาคือความขาดสติ. นักศึกษาพึงทราบถึงลักษณะเปนตน ของธรรมเหลา นี้ดงั กลา วมานี้เถิด ท่กี ลา วมาน้เี ปนความยอในขอ น้ี สว นความพสิ ดารนักศกึ ษาพึง
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 255ทราบตามนยั ทก่ี ลา วแลวในคัมภีรวภิ งั คน ัน่ เองวา ตตถฺ กตโม โกโธดงั นี้เปน ตน . ตวั อยางพฤตกิ รรมที่เกดิ จากบาปธรรมเหลา นนั้ อน่งึ ในธรรมที่ตองละเหลา นพ้ี ึงทราบความโดยพิเศษขน้ึ ไปอกีดงั ตอไปน้ี :- ภิกษผุ เู ปน อามสิ ทายาท ยอมโกรธคนอนื่ ท่ไี ดลาภ เพราะตนเองไมไ ด๑ ความโกรธทีเ่ กิดขึ้นครง้ั เดยี วของภกิ ษุผูเปนอามสิ ทายาทน้ัน ช่ือวาโกธะอยา งเดียว โกธะที่เกิดขนึ้ มากกวา ครั้งเดยี วขน้ึ ไป ชือ่ วา อุปนาหะ. ภิกษุผเู ปน อามสิ ทายาทนัน้ นัน่ แล เมอื่ โกรธแลวดวย และผูกโกรธดวย ยอมหลคู ุณของคนอน่ื ท่ีมลี าภและถือเปน คแู ขง็ และวาแมเ ราก็ตองเปนเชน นน้ั ใหได อันน้เี ปน มักขะ (ความลบหลู ) และปฬาสะ (ตีเสมอ)ของภิกษผุ เู ปน อามิสทายาทนน้ั . ภิกษุผูเปน อามิสทายาทน้ันมปี กตลิ บหลู มีปกตติ ีเสมอดงั กลาวมาแลวน้ี ยอ มรษิ ยา ยอ มประทษุ รา ยในลาภและสกั การะเปนตน ของผูมีลาภน้นัวา ภกิ ษนุ ้จี ะมปี ระโยชนอะไรดว ยส่ิงนี้ อนั นี้เปน อิสสา (ความริษยา). ก็ถาวา เธอมีสมบตั ิบางอยาง ยอ มทนไมไ ดท่ีสมบตั นิ ั้นมคี นอนื่ นน้ัรวมใช อันน้ีเปนมจั เฉระ (ความตระหนี)่ ของภกิ ษผุ ูเปน อามิสทายาทนัน้ . ก็เพราะลาภเปน เหตุแท ๆ เธอยอ มปกปดโทษของตนท่ีมอี ยเู สยี ๑. ปาฐะเปน อลภนฺโต เปน ฐมาวิภตั ติ เขาใจวาจะเปนอลภนโต คอื โตปจ จัยทใี่ ชแทนปญ จมีวิภัตตไิ ด จึงไดแ ปลตามท่ีเขา ใจ.
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 256อนั นี้เปน มายาของภิกษุ ผเู ปนอามิสทายาทนน้ั . เธอยอมอวดคุณทไ่ี มม ีอยูจรงิ อนั น้ีเปน สาเถยยะ (ความโออ วด)ของภิกษผุ ูเปนอามิสทายาทนัน้ . เธอปฏบิ ัตอิ ยูอยา งนี้ ถาไดล าภตามทป่ี ระสงค ยอ มเปน ผแู ขง็กระดา งมีจติ ใจไมออนโยนเพราะลาภน้นั เปนผทู ใี่ คร ๆ ไมส ามารถจะวา กลา วได วา ทานไมควรทาํ กรรมนอ้ี ยา งนี้ อนั นี้เปนถมั ภะ (ความหวั ดอื้ ) ของเธอ. แตถ า จะมีใครวากลาวอะไรเธอ วา ทานไมค วรทาํ กรรมนี้อยา งนี้เธอเปนผมู ีจิตใจปรารมภ คํากลาวนั้น ทําหนานวิ่ คิ้วขมวด พดู ขม ขูว าทานเปน อะไรกับผม อันน้ีเปนสารัมภะ (ความแขงด)ี ของภกิ ษุผูเปนอามิสทายาทนน้ั . ตอ จากน้นั ไป เพราะถัมภะ (ความด้ือรัน้ ) เธอจะสําคัญตัวอยูวา เราน้ีแหละดีกวาคนอื่น เปนผูถอื ตวั เพราะสารมั ภะ (ความแข็งด)ีเธอกลบั ดถู ูกคนอื่นวา พวกน้เี ปนใครกนั เปน ผูถอื ตัว อันน้เี ปนมานะ(ความถือตวั ) และอติมานะ (ดูหมน่ิ ทา น) ของภิกษุผเู ปน อานสิ ทายาทน้นั . เพราะมานะและอตมิ านะเหลาน้ี เธอยอ มเกดิ ความเมาหลายแบบมคี วามเมาในชาติ ( กําเนิดตระกูล ) เปนตน เธอเมาแลวยอมประมาท(เผลอสติ) ในวัตถทุ ัง้ หลายแยกประเภทออกไป มีกามคุณเปนตนอันนีเ้ ปน มทะ ( ความเมา ) และปมาทะ ( ความเผลอสติ) ของภิกษุผเู ปนอามิสทายาทน้นั . รวมความวา ดวยเหตดุ ังกลาวมาน้ี เธอยอ มไมพนจากความเปน
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 257อามสิ ทายาทไปได นกั ศกึ ษาพึงทราบธรรมท่ตี องละในการเปน อามสิ ทายาทโดยธรรมที่เปนบาปเหลานี้ และโดยธรรมเหลา อ่นื แบบน้ีอยางนกี้ อ น. สว นอุบายเปน เหตลุ ะ วา โดยบาลแี ละเนอื้ หาสาระแลวก็ไมม ีพเิ ศษอะไรเลยในธรรมทกุ ขอ . ความแตกตา ง ลาํ ดับ และวธิ ีแหง การเจรญิ แตเพ่ือความแจมชดั แหงการประมวลความรู ผูศ กึ ษาควรทราบความแตกตา ง ลําดบั และวิธีแหงการเจริญ ในอุบายเปน เครอ่ื งละดังตอไปนี้ :- บรรดาความแตกตาง ลาํ ดบั และวธิ ีแหง การเจรญิ เหลานน้ั จะอธบิ ายถงึ ความแตกตา งกอน กม็ ัชฌิมาปฏปิ ทานี้ ไดแกมรรค ซงึ่ บางคร้งัก็มอี งค ๘ บางคราวกม็ อี งค ๗ เพราะวา มรรคนี้เมอื่ เกิดขึ้นดว ยอํานาจปฐมฌานที่เปน โลกุตตระยอ มมีองค ๘ ที่เกดิ ขึ้นดว ยอํานาจฌานทเ่ี หลือยอ มมีองค ๗ แตใ นทนี่ ้เี ปนการอธิบายความช้ันสงู สดุ ทา นจึงกลา ววามรรคมอี งค ๘. กอ็ งคม รรคทเี่ กนิ จากนั้นไปไมมี นกั ศึกษาพงึ ทราบความแตกตางกันในทน่ี ้ีเทาน้ีกอน. ก็เพราะเหตุทส่ี ัมมาทิฏฐิ ประเสรฐิ ทส่ี ดุ ในบรรดากุศลธรรมทง้ั ปวงดังทท่ี านกลาวไวว า ทานผฉู ลาดท้งั หลายกลา ววา ปญ ญาแลประเสริฐทส่ี ุด. และสมั มาทฏิ ฐนิ น้ั กเ็ ปนประธาน ( ตวั นํา) ในวาระแหงการทาํ กศุ ล ดงั ทพี่ ระผมู พี ระภาคเจาตรัสไวว า ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย ก็สัมมา-ทฏิ ฐิเปน ประธานอยางไร ? คอื (เปน ประธานเพราะ) รชู ดั เจนซึ่งสมั มาทฏิ ฐวิ า เปนสมั มาทิฏฐิ ซ่งึ มจิ ฉาทฏิ ฐวิ า เปนมิจฉาทิฏฐิ ดังนี้
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 258และวา ดูกอ นภกิ ษุทั้งหลาย ก็แล วชิ ชาเปน ประธานแหง กศุ ลธรรมทั้งหลาย ในสมาบตั ิ ดงั น้.ี อน่ึง องค (มรรค) ท่ีเหลอื ทัง้ หลายกเ็ กิดขึน้ เพราะมีสัมมาทฏิ ฐินน้ั เกดิ กอ น ดงั ท่พี ระผมู ีพระภาคเจา ตรสั ไวว า คนทมี่ ีสัมมาทิฏฐิยอ มมสี มั มาสงั กัปปะ ฯ ล ฯ และคนทม่ี สี มั มาสติ ยอมมสี มั มาสมาธิ. ฉะนัน้องคท ั้งหลายเหลา นที้ านจึงกลาว. ไวแ ลว โดยลําดบั น้ี นกั ศกึ ษาพงึ ทราบลาํ ดับ ( แหง องคม รรค ) ในอบุ ายเปนเคร่ืองละน้อี ยา งน้แี ล. พึงทราบวินจิ ฉัยในคาํ วา วิธีแหงการเจรญิ (สมถะและวปิ ส สนา)ตอไป พระโยคาวจรบางทา นเจริญวปิ ส สนามสี มถะนําหนา บางทานเจรญิสมถะมีวปิ ส สนานาํ หนา เจรญิ อยา งไร ? ( เจรญิ อยางนคี้ อื ) พระโยคาวจรบางรปู ในพระศาสนาน้ี ทําสมถะอุปจารสมาธิ หรอื อัปปนาสมาธิใหเกิดข้ึน นี้เปน สมถะ (ตอ มา) พระโยคาวจรน้ัน พจิ ารณาเหน็ ซึง่ สมาธินัน้และธรรมทส่ี ัมปยุตดว ยสมาธนิ ้นั โดยภาวะท้ังหลายมีความเปน ของไมเทย่ี งเปน ตน นี้เปนวิปส สนา อยางนี้ สมถะเกดิ กอน วิปสสนาเกดิ ทหี ลงัอยางนี้ เพราะฉะนัน้ พระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรัสวา เจรญิ วิปส สนามสี มถะนาํ หนา . เมื่อเธอเจริญวิปส สนามีสมถะนําหนา อยู มรรคยอมเกดิ เธอสองเสพ เจรญิ กระทําใหม ากซ่ึงมรรคนั้น ยอมละสงั โยชนท้งั หลายได อนสุ ัยทัง้ หลายยอ มหมดสนิ้ ไป อยา งนี้พระโยคาวจร ชือ่ วา เจรญิ วปิ สสนาแบบมสี มถะนาํ หนา . แตวา พระโยคาวจรบางรปู ในพระศาสนานไี้ มย งั สนถะมปี ระการดังกลาวแลว ใหเกดิ ขึ้น พจิ ารณาเห็นอปุ าทานขนั ธ ๕ โดยสภาวะมีความ
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 259เปน ของไมเท่ยี งเปน ตน น้เี ปน วปิ สสนา. เอกคั คตาแหงจิตจะเกิดขึ้นจากอารมณ คือการสลดั ธรรมที่เกิดขึน้ ในวิปสสนาน้ัน เพราะความบริบรู ณแหงวปิ สสนาของเธอ นเ้ี ปน สมถะ อยา งน้ี วิปส สนาเกดิ กอน สมถะเกิดทหี ลัง เพราะเหตุนั้น พระผูมีพระภาคเจาจึงตรสั วา เจรญิ สมถะมีวปิ ส สนานาํ หนา เม่ือเธอเจรญิ สมถะมีวิปสสนานําหนา อยู มรรคยอมเกดิเธอสองเสพ เจรญิ กระทาํ ใหมาก ซึ่งมรรคนัน้ เมอื่ เธอสองเสพมรรคนน้ัอยู ฯลฯ อนุสยั ท้ังหลายยอมหมดสิ้นไป อยา งนี้แหละพระโยคาวจรช่ือวา เจรญิ สมถะมีวปิ ส สนานาํ หนา เจริญวปิ ส สนาแบบมีสมถะนําหนา ก็เมื่อเธอเจริญวิปสสนาแบบมสี มถะนําหนา อยกู ็ดี เจรญิ สมถะแบบมีวปิ สสนานําหนา อยูก็ดี ในขณะแหง โลกตุ ตรมรรคแลว สมถะและวิปสสนายอ มอยูเ ปนคกู นั (อยา งแยกไมอ อก) นกั ศึกษาพงึ ทราบนัยแหงการเจรญิ(สมถะและวิปส สนา) ในที่นี้อยางน้แี ล. จบ อรรถกถาแหงธรรมทายาทสตู ร. จบ พระสตู รที่ ๓
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 260 ๔. ภยเภรวสตู ร [๒๗] ขา พเจาไดฟ งมาอยา งนี้ :- สมัยหนง่ึ พระผมู พี ระภาคเจาประทับอยู ณ พระวหิ ารเชตวันอารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครัง้ น้นั แล ชาณุสโสณ-ิพราหมณเขา ไปเฝา พระผูม ีพระภาคเจา ปราศรยั กับพระผูมีพระภาคเจาตามธรรมเนยี มแลว จงึ นง่ั ณ ทีค่ วรขา งหน่งึ . [๒๘] ชาณสุ โสณิพราหมณค ร้นั นงั่ ณ ทคี่ วรขา งหนึง่ แลว ไดกราบทลู พระผูมพี ระภาคเจา วา ขาแตท า นพระโคดมผเู จรญิ กลุ บุตรเหลาใดมศี รัทธา ออกบวชเปนบรรพชติ อุทิศเฉพาะทานพระโคดมผเู จรญิ ทานพระโคดมผูเจรญิ ทรงเปน หวั หนาของกุลบตุ รเหลาน้นั ทรงมอี ุปการะมากแกกุลบุตรเหลานัน้ ทรงชกั ชวนกุลบุตรเหลา นั้น และประชมุ ชนน้ันยอมปฏิบัตติ ามแบบอยา งของทานพระโคดมผูเ จริญหรือ ?พระผูม ีพระภาคเจา ตรสั วา ดกู อนพราหมณ ขอน้ีเปน อยา งน้นั กุลบตุ รเหลา ใดมศี รัทธา ออกบวชเปนบรรพชติ อทุ ศิ เฉพาะเรา เราเปนหัวหนาของกลุ บุตรเหลา นน้ั มอี ุปการะมากแกก ุลบตุ รเหลานน้ั ชกั ชวนกลุ บุตรเหลาน้ัน และประชมุ ชนน้ันยอมปฏิบัตติ ามแบบอยา งของเรา. [๒๙] ชาณุสโสณพิ ราหมณ กราบทูลวา ขาแตทา นพระโคดมเสนาสนะอันสงัดทีเ่ ปนปา และเปน ปา เปล่ยี ว ยากทจี่ ะเปน อยไู ด ในภาวะที่โดดเดยี่ ว ยากทีจ่ ะทาํ ได ยากทจี่ ะยนิ ดีได ปา ทง้ั หลายประหนึง่ วา จะชักพาใจของภกิ ษุผูย ังไมไดส มาธิใหเ ขวไป. พระผมู ีพระภาคเจาตรสั วา ขอน้เี ปนอยา งน้ันพราหมณ ขอนเ้ี ปนอยา งนั้นพราหมณ เสนาสนะอนั สงดั ทีเ่ ปน ปา และเปนปาเปล่ียว ยากท่จี ะ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 261เปนอยไู ดในภาวะทโ่ี ดดเดีย่ ว ความสงัดกาย ยากทีจ่ ะทําได ยากทจ่ี ะยินดไี ดปาทั้งหลายประหนง่ึ วา จะชกั พาใจของภิกษุผยู งั ไมไ ดส มาธิใหเ ขวไป. [๓๐] พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา แมเราเม่ือเปนโพธิสตั ว ยงัมิไดตรสั รู กอนตรัสรูน่นั เองไดม คี วามดาํ รดิ งั น้ีวา เสนาสนะอันสงดั ท่ีเปน ปา และปา เปลยี่ ว ยากทจ่ี ะเปน อยไู ด ในภาวะที่โดดเดีย่ ว ความสงดั กายยากทจ่ี ะทําได ยากทจ่ี ะยินดไี ด ปา ทง้ั หลายประหนงึ่ วา จะซักพาใจของภิกษผุ ูยงั ไมไ ดส มาธใิ หเ ขวไป. [๓๑] ดกู อนพราหมณ เรานน้ั ไดม คี วามดํารดิ งั นวี้ า สมณะหรือพราหมณเหลา ใดเหลา หนึ่ง มกี ายกรรมไมบริสุทธ์ิ เสพเสนาสนะอนั สงัดทเี่ ปนปา และเปน ปา เปลี่ยว สมณพราหมณผูเ จริญเหลานัน้ ยอมเรยี กรอ งความกลวั และความขลาดอันเปน อกศุ ลเพราะโทษของตน คอื มกี ายกรรมไมบ ริสุทธิ์ เปน เหตุ. สวนเราหาใชผ มู กี ายกรรมไมบ ริสุทธิ์ เสพเสนาสนะอันสงดั ทีเ่ ปนปา และปาเปลีย่ วไม เราเปน ผมู กี ายกรรมบรสิ ุทธ์ิ. พระอริยะเหลาใดมกี ายกรรมบรสิ ุทธิ์ ยอ มเสพเสนาสนะอนั สงัดท่เี ปนปาและเปนปา เปลยี่ ว บรรดาพระอรยิ ะเหลานน้ั เราก็เปนพระอริยะองคห นง่ึ ดกู อนพราหมณ เราเห็นชดั ซึ่งความมกี ายกรรมอนั บรสิ ุทธน์ิ ี้ในคน จงึ ถึงความเปนผูมขี นเรียบโดยยงิ่ เพ่อื อยใู นปา. [๓๒] ดกู อ นพราหมณ เรานัน้ ไดมีความดาํ รดิ ังนวี้ า สมณะหรอืพราหมณเ หลา ใดเหลาหนงึ่ มวี จีกรรมไมบริสุทธิ์ . . . มมี โนกรรมไมบริสทุ ธิ์ . . .มีอาชีวะไมบริสุทธิ์ เสพเสนาสนะอนั สงดั ทเ่ี ปนปา และเปน ปาเปล่ยี ว สมณพราหมณผ ูเจรญิ เหลา นั้น ยอมเรยี กรองความกลวั และความขลาดอันเปนอกุศลเพราะโทษของตน คอื มีอาชวี ะไมบ ริสุทธเ์ิ ปน เหตุ.
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 262สว นเราหาใชผ ูมอี าชีวะไมบ ริสุทธ์ิ เสพเสนาสนาสนะอนั สงัดท่ีเปนปา และเปนปาเปลีย่ วไม เราเปนผมู ีอาชีวะบริสทุ ธ.์ิ พระอรยิ ะเหลา ใดมีอาชีวะบริสุทธ์ิ เสพเสนาสนะอนั สงดั ที่เปนปา และเปน ปา เปลยี่ ว บรรดาพระอริยะเหลาน้ัน เรากเ็ ปนองคห น่ึง ดูกอ นพราหมณ เราเห็นชดั ซึ่งความมีอาชีวะบรสิ ุทธ์ินี้ในตน จงึ ถงึ ความเปนผมู ขี นเรยี บโดยยิง่ เพื่ออยใู นปา [๓๓] ดูกอนพราหมณ เรานัน้ ไดมคี วามดําริดังนีว้ า สมณะหรือพราหมณเ หลาใดเหลาหนง่ึ มคี วามอยากไดม าก มรี าคะกลา ในกามทง้ั หลาย เสพเสนาสนะอนั สงัดท่ีเปนปาและเปน ปา เปล่ยี ว สมณพราหมณผเู จรญิ เหลานั้น ยอ มเรียกรอ งความกลวั และความขลาดอันเปนอกุศลเพราะโทษของตน คือมีความอยากไดม าก และมีราคะกลา ในกามทั้งหลายเปนเหตุ. สวนเราหาใชผูม ีความอยากไดมาก มรี าคะกลา ในกามทง้ั หลายเสพเสนาสนะอันสงัดที่เปนปาและเปนปาเปลยี่ วไม เราเปน ผไู มม ีความอยากไดม าก. พระอรยิ ะเหลาใด ไมม คี วามอยากไดมาก เสพเสนาสนะอนั สงัดทเ่ี ปน ปา และเปน ปาเปลี่ยว บรรดาพระอรยิ ะเหลาน้ัน เราก็เปนองคหนึ่ง ดกู อนพราหมณ เราเห็นชัดซง่ึ ความไมมคี วามอยากไดมากน้ใี นตน จึงถึงความเปน ผมู ขี นเรยี บโดยย่งิ เพือ่ อยใู นปา . [๓๔] ดกู อนพราหมณ เรานนั้ ไดมคี วามดํารดิ งั นี้วา สมณะหรอืพราหมณเหลา ใดเหลาหนึง่ มีจิตพยาบาทมีความดําริในใจชว่ั เสพเสนาสนะอันสงัดท่เี ปน ปา และเปนปาเปล่ียว สมณพราหมณผเู จริญเหลานน้ั ยอมเรยี กรอ งความกลวั และความขลาดอนั เปนอกุศลเพราะโทษของตน คอืความมจี ติ พยาบาทและมีความดําริในใจช่วั เปนเหต.ุ สว นเราหามีจิตพยาบาท มีความดาํ ริในใจช่ัว เสพเสนาสนะอันสงดั ทีเ่ ปน ปาและเปน
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 263ปาเปลีย่ วไม เราเปน ผมู ีจติ ประกอบดวยเมตตา. พระอรยิ ะเหลา ใด มีจติประกอบดวยเมตตา เสพเสนาสนะอันสงดั ท่ีเปนปาและเปน ปา เปลีย่ วบรรดาพระอรยิ ะเหลาน้ัน เราก็เปน องคห น่งึ ดูกอนพราหมณ เราเห็นชัดซ่งึ ความมีจติ ประกอบดว ยเมตตานี้ในตน จงึ ถึงความเปนผมู ขี นเรยี บโดยยิ่ง เพอื่ อยูใ นปา . [๓๕] ดกู อ นพราหมณ เรานนั้ ไดมีความดําริดงั น้วี า สมณะหรอืพราหมณเหลาใดเหลา หนึ่ง อนั ถนี มิทธะกลมุ รมุ แลว เสพเสนาสนะอนัสงดั ทเ่ี ปน ปาและเปนปาเปลย่ี ว สมณพราหมณผเู จริญเหลานนั้ ยอมเรยี กรองความกลวั และควานขลาดอันเปน อกศุ ลเพราะโทษของตน คือถกูถีนมทิ ธะกลมุ รุมเปน เหตุ. สว นเราหาถกู ถนี มทิ ธะกลุมรุมแลว เสพเสนาสนะอนั สงดั ที่เปน ปา และเปน ปา เปล่ียวไม เราเปน ผูปราศจากถีน-มทิ ธะ. พระอรยิ ะเหลา ใด ปราศจากถนี มิทธะ เสพเสนาสนะอันสงัดทีเ่ ปนปา และเปน ปาเปลยี่ ว บรรดาพระอริยะเหลานั้น เรากเ็ ปนองคห น่ึง ดกู อนพราหมณ เราเห็นชดั ซ่ึงควานปราศจากถีนมทิ ธะนใี้ นตน จงึ ถึงความเปนผมู ขี นเรียบโดยยงิ่ เพอ่ื อยูในปา. [๓๖] ดกู อนพราหมณ เรานนั้ ไดมีความดาํ รดิ ังนี้วา สมณะหรอืพราหมณเ หลาใดเหลา หน่ึง ฟุง ซาน มจี ติ ไมสงบระงับ เสพเสนาสนะอันสงัดท่เี ปน ปาและเปน ปาเปลยี่ ว สมณพราหมณผ เู จริญเหลา น้ันยอ มเรยี กรองความกลัวและความขลาดอนั เปน อกุศลเพราะโทษของตน คือความฟุง ซา นและมจี ิตไมส งบระงบั เปน เหต.ุ สวนเราหาฟุง ซา น มจี ิตไมสงบระงบั เสพเสนาสนะอันสงดั ทีเ่ ปน ปา และเปน ปา เปล่ียวไม เราเปนผมู จี ติ สงบระงบั แลว . พระอริยะเหลาใด มีจิตสงบระงับ เสพเสนาสนะ
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 264อันสงดั ที่เปนปาและเปนปา เปลีย่ ว บรรดาพระอริยะเหลา นน้ั เราก็เปนองคหนึง่ ดกู อ นพราหมณ เราเห็นชัดซ่ึงความมจี ิตสงบระงับน้ีในตน จึงถงึ ความเปน ผูมีขนเรียบโดยยง่ิ เพือ่ อยใู นปา. [๓๗] ดูกอนพราหมณ เรานัน้ ไดมีความดําริดังนว้ี า สมณะหรอืพราหมณเหลา ใดเหลา หน่ึง มีความสงสยั เคลือบแคลง เสพเสนาสนะอันสงดั ท่เี ปน ปาและเปนปา เปลีย่ ว สมณพราหมณผ เู จรญิ เหลา น้ัน ยอมเรยี กรองความกลวั และความขลาดอันเปน อกศุ ลเพราะโทษของตน คือมคี วามสงสัยและเคลือบแคลงเปน เหตุ. สว นเราหามคี วามสงสยั เคลอื บแคลงเสพเสนาสนะอันสงัดทีเ่ ปน ปาและเปนปาเปล่ียวไม เราเปน ผขู า มพนความเคลือบแคลงเสียแลว . พระอริยะเหลาใด ขามพน ความเคลอื บแคลงเสยี แลว เสพเสนาสนะอนั สงดั ทเี่ ปน ปาและเปนปา เปลีย่ ว บรรดาพระอริยะเหลาน้นั เรากเ็ ปน องคห น่งึ ดกู อนพราหมณ เราเห็นชัดซ่ึงความขา มพน ความเคลือบแคลงนใี้ นตน จึงถึงความเปน ผูมขี นเรียบโดยยิง่ เพือ่อยใู นปา . [๓๘] ดูกอ นพราหมณ เรานนั้ ไดมีความดาํ ริดังนีว้ า สมณะหรอืพราหมณเ หลาใดเหลา หนงึ่ ยกตนขม ผูอืน่ เสพเสนาสนะอนั สงดั ท่เี ปนปา และเปน ปา เปล่ยี ว สมณพราหมณผเู จรญิ เหลา นนั้ ยอมเรียกรอ งความกลัวและความขลาดอันเปนอกุศลเพราะโทษของตน คือความยกตนและขม ผอู ่นื เปนเหตุ สวนเราหายกตนขมผูอ่นื เสพเสนาสนะอันสงดัทเ่ี ปนปาและเปน ปา เปล่ยี วไม เราเปน ผูไมย กตน ไมข มผอู นื่ . พระอรยิ ะเหลา ใด เปนผไู มยกตน ไมขมผอู นื่ เสพเสนาสนะอันสงดั ท่ีเปน ปาและเปนปา เปลย่ี ว บรรดาพระอรยิ ะเหลานน้ั เราก็เปน องคห นึ่ง ดูกอน
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 265พราหมณ เราเห็นชัดซึ่งความไมยกตน ไมข มผอู น่ื นใี้ นตน จงึ ถึงความเปนผมู ขี นเรียบโดยยง่ิ เพือ่ อยใู นปา . [๓๙] ดูกอนพราหมณ เรานัน้ ไดมคี วามดําริดงั น้ีวา สมณะหรอืพราหมณเหลาใดเหลา หนึง่ เปนผหู วาดหวนั่ มีชาตแิ หง ความขลาดเสพเสนาสนะอันสงดั ทเ่ี ปน ปา และเปนปา เปลีย่ ว สมณพราหมณผเู จริญเหลาน้ัน ยอมเรยี กรองความกลัวและความขลาดอนั เปน อกุศลเพราะโทษของตน คือมีความหวาดหว่นั และมชี าติแหง คนขลาดเปนเหต.ุ สว นเราหาเปนผูหวาดหว่นั มีชาตแิ หง คนขลาด เสพเสนาสนะอันสงัดท่เี ปน ปาและเปน ปา เปล่ยี วไม เราเปนผปู ราศจากความหวาดกลวั พระอริยะเหลา ใดปราศจากความหวาดกลวั เสพเสนาสนะอนั สงดั ท่ีเปน ปาและเปน ปา เปลี่ยวบรรดาพระอรยิ ะเหลา นัน้ เราก็เปนองคหนึง่ ดูกอ นพราหมณ เราเหน็ ชัดซึง่ ความปราศจากความหวาดกลัวนใ้ี นตน จงึ ถึงความเปนผมู ขี นเรยี บโดยยง่ิ เพื่ออยใู นปา . [๔๐] ดูกอ นพราหมณ เรานน้ั ไดม คี วามดําริดงั นี้วา สมณะหรอืพราหมณเ หลาใดเหลาหนง่ึ ปรารถนาลาภสักการะและความสรรเสริญเสพเสนาสนะอันสงดั ท่เี ปน ปา และเปนปาเปลยี่ ว สมณพราหมณผูเจรญิเหลา นน้ั ยอมเรยี กรอ งความกลัวและความขลาดอนั เปนอกุศลเพราะโทษของตน คือ ความปรารถนาลาภสักการะและความสรรเสริญเปน เหตุ. สว นเราหาปรารถนาลาภสกั การะและความสรรเสรญิ เสพเสนาสนะอันสงัดท่ีเปนปาและเปน ปาเปลยี่ วไม เราเปนผูมีความปรารถนานอย. พระอริยะเหลาใดมคี วามปรารถนานอ ย เสพเสนาสนะอนั สงดั ทเี่ ปนปา และเปนปา เปลยี่ วบรรดาพระอรยิ ะเหลา นน้ั เราก็เปน องคหนงึ่ ดูกอนพราหมณ เราเห็นชัดซ่ึงความปรารถนานอยนีใ้ นตน จึงถึงความเปนผมู ีขนเรยี บโดยยง่ิ เพือ่ อยูใ นปา.
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 266 [๔๑] ดูกอ นพราหมณ เราน้ันไดมคี วามดาํ ริดงั นีว้ า สมณะหรอืพราหมณเหลาใดเหลา หน่งึ เปน ผเู กียจคราน มคี วามเพยี รเลวทราม ยอ มเสพเสนาสนะอันสงดั ที่เปนปาและเปนปาเปล่ียว สมณพราหมณผ เู จรญิเหลา นนั้ ยอ มเรยี กรอ งความกลวั และความขลาดอันเปนอกุศล เพราะโทษของตน คือความเปน ผเู กียจครานและมคี วามเพียรเลวทรามเปนเหตุสวนเราหาเปน ผูเกยี จครา น มีความเพยี รเลวทราม เสพเสนาสนะอันสงดัท่ีเปน ปาและเปน ปาเปลีย่ วไม เราเปน ผูป รารภความเพยี ร. พระอรยิ ะเหลาใด ปรารภความเพียร เสพเสนาสนะอันสงัด ทเ่ี ปนปาและเปนปาเปลีย่ ว บรรดาพระอรยิ ะเหลา นั้น เรากเ็ ปน องคหน่ึง ดกู อนพราหมณเราเหน็ ชัดซึง่ ความเปน ผปู รารภความเพียรนี้ในตน จงึ ถงึ ความเปนผูมีขนเรยี บโดยย่งิ เพือ่ อยใู นปา. [๔๒] ดูกอนพราหมณ เรานัน้ ไดมคี วามดาํ ริดงั นวี้ า สมณะหรอืพราหมณเ หลาใดเหลา หนงึ่ มสี ตหิ ลงลมื ไมมีสมั ปชญั ญะ ยอ มเสพเสนาสนะอันสงัด ทเ่ี ปนปาและเปน ปา เปล่ียว สมณพราหมณเ หลา น้ันยอมเรียกรอ งความกลัวและความขลาดอนั เปนอกุศล เพราะโทษของตนคอื ความเปน ผูม ีสตหิ ลงลืมและไมมสี มั ปชญั ญะเปนเหต.ุ สวนเราหามีสติลงลืมไมม สี ัมปชญั ญะ เสพเสนาสนะอนั สงัด ท่เี ปน ปาและเปนปาเปลี่ยวไม เราเปน ผูมีสติตัง้ มนั่ . พระอริยะเหลาใด มสี ตติ ั้งม่นั เสพเสนาสนะอันสงัด ทเี่ ปน ปาและเปนปาเปลี่ยว บรรดาพระอรยิ ะเหลา ห้นั เรากเ็ ปนองคหนึง่ ดกู อนพราหมณ เราเห็นชดั ซ่งึ ความเปน ผมู สี ติตงั้ ม่นั นใี้ นตนจงึ ถงึ ความเปน ผมู ขี นเรยี บโดยยิง่ เพอื่ อยูในปา . [๔๓] ดกู อ นพราหมณ เรานนั้ ไดม ีความดาํ ริดังน้วี า สมณะหรอื
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 267พราหมณเหลาใดเหลา หนึ่ง มจี ติ ไมตงั้ มน่ั มจี ติ หมนุ ไปผดิ ยอมเสพเสนาสนะอันสงดั ที่เปน ปาและเปน ปา เปลย่ี ว สมณพราหมณผเู จริญเหลา น้ัน ยอมเรียกรองความกลวั และความขลาดอนั เปนอกศุ ล เพราะโทษของตน คือความเปนผมู จี ติ ไมต ั้งมนั่ และมีจติ หมนุ ไปผดิ เปน เหตุ.สวนเราหามจี ติ ไมต ัง้ ม่นั มีจิตหมุนไปผิด เสพเสนาสนะอันสงดั ทีเ่ ปนปาและเปน ปาเปลี่ยวไม เราเปนผูถึงพรอมดวยสมาธ.ิ พระอรยิ ะเหลาใดถงึ พรอมดว ยสมาธิ เสพเสนาสนะอันสงดั ทเี่ ปนปาและเปนปาเปลยี่ วบรรดาพระอริยะเหลานนั้ เรากเ็ ปน องคหนึง่ ดกู อนพราหมณ เราเห็นชัดซึ่งความถงึ พรอมดวยสมาธินใ้ี นตน จงึ ถึงความเปนผูมีขนเรียบโดยยิ่งเพอ่ื อยูใ นปา. [๔๔] ดูกอ นพราหมณ เรานนั้ ไดมคี วามดํารดิ ังนว้ี า สมณะหรอืพราหมณเ หลาใดเหลาหนงึ่ มปี ญญาทราม เปนใบ ยอมเสพเสนาสนะอันสงดั ทีเ่ ปน ปาและเปนปาเปล่ียว สมณพราหมณผ ูเ จรญิ เหลาน้นั ยอ มเรยี กรองความกลัวและความขลาดอันเปนอกุศล เพราะโทษของตน คอืความเปน ผูมปี ญ ญาทรามและเปนใบเ ปนเหต.ุ สว นเราหามปี ญ ญาทรามเปน ใบ เสพเสนาสนะอันสงดั ทเ่ี ปน ปาและเปนปา เปลี่ยวไม เราเปนผูถงึ พรอมดวยปญญา. พระอรยิ ะเหลาใด ถงึ พรอ มดวยปญ ญา เสพเสนาสนะอันสงดั ทีเ่ ปนปาและเปนปาเปลี่ยว บรรดาพระอริยะเหลา นั้น เราก็เปน องคหน่งึ ดกู อ นพราหมณ เราเหน็ ชดั ซ่งึ ความถึงพรอ มดว ยปญ ญานี้ในตน จงึ ถึงความเปนผูม ขี นเรียบโดยย่งิ เพอื่ อยูในปา . จบ ปริยาย ๑๖
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 268 [๔๕ ] ดูกอนพราหมณ เราน้นั ไดมคี วามดําริดังนว้ี า ไฉนหนอเราพงึ อยูในราตรีท่ีรกู ัน ทก่ี ําหนดกันวา ท่ี ๑๔ ที่ ๑๕ และท่ี ๘แหงปกษ เห็นปานนนั้ พึงอยใู นเสนาสนะ คือ อารามเจดีย วนเจดยี รกุ ขเจดยี นา สะพงึ กลัว นา ขนพองสยองเกลา เห็นปานนัน้ . ถากระไรเราพงึ เห็นความกลวั และความขลาดนั้น ดงั น.้ี ดกู อ นพราหมณ โดยสมัยอนื่เราน้นั อยูในราตรที ี่รูกัน ทีก่ ําหนดกันวา ที่ ๑๔ ที่ ๑๕ และท่ี ๘แหง ปก ษ เหน็ ปานนนั้ อยใู นเสนาสนะ คือ อารามเจดีย วนเจดียรกุ ขเจดีย นา สะพึงกลัวนาขนพองสยองเกลา เห็นปานนั้น ดกู อนพราหมณก็เมือ่ เราอยูในเสนาสนะ. เหน็ ปานนัน้ เนอื้ มากด็ ี นกยงู ทําไมใ หตกลงมาก็ดี หรอื วาลมพดั ใบไมแ หง กด็ ี. เรานั้นไดมีความดาํ รดิ งั น้ีวา ความกลวัและความขลาดนัน้ น่นั มาเปนแนล ะ พราหมณ. ดูกอ นพราหมณ เราน้ันไดมีความดําริดังนวี้ า อยางไรหนอ เราจงึ เปนผูปรารถนาภัยอยโู ดยแทไฉนหนอ ความกลัวและความขลาดนั้น ยอมมาถึงเราผูเ ปน อยูอ ยา งไร ๆเราผูเปน อยอู ยา งนัน้ ๆ แลพึงกําจัดความกลัวและความขลาดอยา งนนั้ เสยี ดูกอนพราหมณ ความกลัวและความขลาดนัน้ ยอ มมาถึงเราผูกําลังเดนิ จงกรมอย.ู ดูกอนพราหมณ เรานนั้ จะไมยืน ไมน ั่ง ไมน อนเลยตราบเทา ทเ่ี รายงั เดนิ จงกรม กาํ จดั ความกลวั และความขลาดนัน้ อยู ดกู อ นพราหมณ เมือ่ เรานนั้ ยืนอยู ความกลัวและความขลาดน้ันยอมมา. ดูกอนพราหมณ เราน้นั จะไมเดนิ จงกรม ไมน ัง่ ไมน อนเลยตราบเทาที่เรายังยนื กาํ จัดความกลวั และความขลาดนนั้ อยู ดกู อนพราหมณ เมื่อเรานนั้ นั่งอยู ความกลวั และความขลาดนั้นยอ มมา. เราน้นั จะไมนอน ไมย นื ไมเดนิ จงกรมเลย ตราบเทาทเ่ี รายัง
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 269น่ังกาํ จดั ความกลวั และความขลาดน้ันอย.ู ดูกอ นพราหมณ เมื่อเรานนั้ นอนอยู ความกลัวและความขลาดนน้ัยอมมา เราน้นั จะไมน ง่ั ไมยนื ไมเ ดินจงกรมเลย ตราบเทา ท่เี รายงั นอนกําจัดความกลัวและความขลาดนน้ั อยู. [๔๖] ดกู อนพราหมณ มอี ยู สมณพราหมณพ วกหน่ึง สาํ คญักลางคืนแท ๆ วา กลางวนั สําคญั กลางวันแท ๆ วา กลางคนื เรายอมกลา วความสําคัญอยา งนี้ ในเพราะอยูดว ยความหลงของสมณพราหมณเหลา น้ัน. ดูกอ นพราหมณ สวนเรายอมสําคญั กลางคืนวา กลางคนื ยอ มสาํ คญั กลางวันวา กลางวัน. ดกู อ นพราหมณ บุคคลเม่ือจะกลาวใหถ กู พึงกลาวคาํ ใดวา สตั วผ มู คี วามไมห ลงเปน ธรรมดา เกิดขึ้นในโลก เพ่ือประโยชนเกอื้ กลู แกชนเปน อันมาก เพอื่ ความสขุ แกช นเปนอันมาก เพอื่อนเุ คราะหแกโลก เพื่อประโยชน เพื่อเกือ้ กลู เพอ่ื ความสขุ แกเทวดาและมนุษยท ง้ั หลาย, บุคคลเม่ือจะกลาวใหถกู พงึ กลาวคาํ นน้ั กะเราเทานน้ั วาสัตวผ ูมคี วามไมห ลงเปน ธรรมดา เกดิ ขนึ้ ในโลก เพอื่ ประโยชนเกอ้ื กูลแกชนเปนอันมาก เพื่อความสขุ แกช นเปน อันมาก เพอื่ อนเุ คราะหแ กโ ลกเพ่ือประโยชน เพื่อเก้อื กลู เพื่อความสุข แกเ ทวดาและมนษุ ยท้งั หลาย. [๔๗] ดกู อนพราหมณ ความเพยี รเราไดป รารภแลว ไมยอ หยอนสตติ ั้งมั่น ไมฟ นเฟอน กายสงบระงบั แลว ไมร ะสา่ํ ระสาย จติ ตงั้ ม่นัมอี ารมณแ นวแน ดกู อนพราหมณ เรานนั้ สงดั จากกาม สงัดจากอกศุ ลธรรมบรรลุปฐมฌาน มีวติ ก วจิ าร มปี ตแิ ละสขุ เกดิ แตว เิ วกอยู บรรลทุ ุติยฌานมีความผอ งใสแหง จิตในภายใน เปนธรรมเอกผดุ ขึน้ ไมม วี ิตก ไมม วี จิ ารเพราะวติ ก วิจารสงบไป มีปต แิ ละสุขเกดิ แตส มาธอิ ยู มอี เุ บกขา มสี ติ
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 270สมั ปชญั ญะ และเสวยสุขดวยกาย เพราะปตสิ ิ้นไป บรรลุตตยิ ฌานที่พระอรยิ สาวกทั้งหลายสรรเสรญิ วา ผไู ดฌ านน้ี เปนผูม ีอเุ บกขา มีสติอยูเปน สขุ บรรลุจตตุ ถฌาน ไมม ที ุกข ไมมีสขุ เพราะละสุขละทกุ ขและดบั โสมนัสโทมนัสกอ น ๆ ได มีอุเบกขาเปนเหตุใหสตบิ รสิ ุทธิอ์ ย.ู [๔๘] เรานน้ั เม่ือจติ เปน สมาธิ บริสุทธิ์ ผอ งแผว ไมม กี เิ ลสปราศจากอปุ กิเลส ออ นโยน ควรแกการงาน ตั้งม่ัน ไมห วั่นไหว อยางน้ียอ มโนมนอ มจิตไปเพื่อปุพเพนวิ าสานสุ สติญาณ. เรานั้นยอมระลกึ ชาติกอ นไดเปนอันมาก คอื ระลกึ ไดช าตหิ นึ่งบา ง สองชาติบา ง สามชาตบิ างสชี่ าติบาง หาชาติบาง สบิ ชาตบิ าง ยสี่ บิ ชาตบิ าง สามสิบชาตบิ า งสี่สิบชาติบาง หา สิบชาติบาง รอ ยชาติบา ง พนั ชาติบาง แสนชาตบิ า งตลอดสังวัฏกัปเปนอันมากบา ง ตลอดววิ ัฏกปั เปน อันมากบา ง ตลอดสังวัฏววิ ัฏกปั เปน อนั มากบางวา ในภพโนนเรามีชือ่ อยา งนี้ มโี คตรอยางน้ันมผี วิ พรรณอยางน้ี มีอาหารอยางนน้ั เสวยสขุ เสวยทุกขอยา งน้นั ๆมกี าํ หนดอายเุ พยี งเทา นั้น ครนั้ จุติจากภพน้ันแลว ไดไปเกิดในภพโนนแมในภพนัน้ เรากไ็ ดม ีชอื่ อยางนั้น มีโคตรอยางน้นั มผี ิวพรรณอยา งนัน้มอี าหารอยา งนน้ั เสวยสขุ เสวยทกุ ขอยางนนั้ ๆ มกี ําหนดอายเุ พยี งเทา นน้ั ครัน้ จุติจากภพนนั้ แลว ไดมาเกดิ ในภพนี้ เรายอ มระลึกถึงชาติกอนไดเปน อันมาก พรอมทงั้ อาการ พรอมท้งั อุเทศ ดว ยประการฉะน.ี้ดูกอนพราหมณ วิชชาที่ ๑ นีแ้ ล เราไดบรรลุแลว ในปฐมยามแหง ราตรีกําจดั อวชิ ชาเสยี ได วชิ ชากเ็ กดิ กาํ จัดความมดื เสียได ความสวา งก็เกดิเหมือนเม่ือบุคคลไมประมาท มีความเพยี ร เผากิเลสใหเ รา รอน สง ตนไปแลวอยฉู ะนนั้ .
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 271 [๔๙ ] เรานน้ั เมอ่ื จติ เปนสมาธิ บริสุทธิ์ ผอ งแผว ไมม กี เิ ลสปราศจากอุปกิเลส ออนโยน ควรแกก ารงาน ตง้ั ม่ัน ไมหว่ันไหวอยางน้ี โนม นอ มจติ ไปเพ่อื รจู ุติและอบุ ตั ขิ องสตั วท ้งั หลาย. เราน้นัเหน็ หมูส ัตวท ่กี าํ ลงั จตุ ิ กําลังอบุ ัติ เลว ประณตี มีผิวพรรณดี มผี วิ พรรณทราม ไดดี ตกยาก ดว ยทิพยจักษอุ นั บริสุทธ์ิ ลว งจกั ษขุ องมนุษยยอมรชู ดั ซง่ึ หมสู ัตวผ เู ปนไปตามกรรมวา สตั วเ หลานัน้ ประกอบดวยกาย-ทุจริต วจีทุจริต มโนทุจรติ ตเิ ตยี นพระอรยิ ะ เปนมจิ ฉาทฏิ ฐิ ยดึ ถอืการกระทําดว ยอาํ นาจมจิ ฉาทิฏฐิ เมือ่ ตายไป เขาเขา ถงึ อบาย ทคุ ติวินบิ าต นรก สว นสัตวเ หลาน้ี ประกอบดว ยกายสจุ ริต วจีสจุ รติมโนสุจริต ไมต ิเตียนพระอรยิ ะ เปน สมั มาทฏิ ฐิ ยดึ ถอื การกระทําดวยอาํ นาจสมั มาทิฏฐิ หลังจากตายเพราะกายแตก เขาเขาถงึ สุคติโลกสวรรคดงั นี้. เรานน้ั ยอ มเหน็ หมูสตั วกําลังจตุ ิ กาํ ลงั อุบัติ เลว ประณีต มีผวิพรรณดี มผี วิ พรรณทราม ไดด ี ตกยาก ดวยทพิ ยจกั ษอุ ันบริสุทธิ์ลวงจักษขุ องมนษุ ย ยอมรูช ัดซึ่งหมูสตั วผูเปนไปตามกรรม ดวยประการฉะนี.้ ดกู อนพราหมณ วชิ ชาท่สี องนแ้ี ล เราบรรลุแลว ในมัชฌิมยามแหงราตรี กาํ จดั อวิชชาเสียได วิชชากเ็ กิด กาํ จดั ความมืดเสยี ได ความสวา งก็เกิด เหมอื นเม่อื บุคคลไมประมาท มคี วามเพยี ร เผากเิ ลสใหเรา รอนสงคนไปแลวอยูฉ ะนั้น. [ ๕๐ ] เรานนั้ เมือ่ จติ เปน สมาธิ บรสิ ทุ ธ์ิ ผองแผว ไมมกี เิ ลสปราศจากอปุ กเิ ลส ออนโยน ควรแกการงาน ตง้ั มัน่ ไมห วนั่ ไหวอยางนี้ โนมนอมจิตไปเพ่ืออาสวักขยญาณ ยอมรูชัดตามความเปนจรงิวา นีท้ กุ ข นที้ ุกขสมทุ ยั นี้ทุกขนโิ รธ นท้ี ุกขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา น้ี
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 272อาสวะ นี้อาสวสมทุ ยั นี้อาสวนโิ รธ น้ีอาสวนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทา. เมอ่ืเรานั้นรเู ห็นอยางน้ี จติ กห็ ลุดพน แมจ ากกามาสวะ แมจ ากภวาสวะแมจ ากอวิชชาสวะ เมอื่ จติ หลดุ พน แลว กม็ ญี าณหยง่ั รูว า หลุดพนแลวรชู ัดวา ชาติสน้ิ แลว พรหมจรรยอ ยจู บแลว กจิ ท่ีควรทํา ทําเสร็จแลวกิจอ่นื เพอื่ ความเปน อยางน้ีมไิ ดม.ี ดูกอ นพราหมณ วชิ ชาที่ ๓ น้แี ลเราบรรลแุ ลว ในปจฉิมยามแหง ราตรี กาํ จัดอวิชชาเสียไดแ ลว วิชชากเ็ กดิกาํ จดั ความมดื เสยี ไดแ ลว ความสวางกเ็ กดิ เหมือนเม่ือบคุ คลไมป ระมาทมีความเพียรเผากเิ ลสใหเรา รอ น สง ตนไปแลว อยูฉ ะนน้ั . [ ๕๑ ] ดูกอนพราหมณ บางคราว ทานจะพึงมคี วามดําริอยา งนี้วาแมวนั นีพ้ ระสมณโคดมยังไมปราศจากราคะ ยังไมปราศจากโทสะ ยังไมปราศจากโมหะ แนน อน เพราะฉะน้ัน จงึ ยงั เสพเสนาสนะอันสงัดทั้งทเ่ี ปน ปา และเปน ปา เปลีย่ วอยูดังน้ี . ดูกอนพราหมณ ขอ นี้ทา นอยา เหน็อยางน้นั เลย เราเหน็ อาํ นาจประโยชน ๒ อยา ง คอื เหน็ ความอยเู ปนสขุในปจจบุ ันของตน ๑ อนเุ คราะหประชมุ ชนผเู กดิ ณ ภายหลัง ๑จึงเสพเสนาสนะอันสงดั ที่เปน ปาและเปนปา เปลีย่ ว. [๕๒] ชาณสุ โสณิพราหมณ กราบทูลวา ประชุมชนผูเกดิณ ภายหลังนี้ เปน อันทานพระโคดมอนเุ คราะหอ ยูแ ลว เพราะทานเปนพระอรหันตสมั มาสมั พทุ ธเจา . ขา แตพ ระโคดมผเู จริญ ภาษติ ของพระองคแ จม แจงนกั ขาแตพระโคดมผูเจริญ ภาษิตของพระองคแ จม แจง นกั พระโคดมผเู จรญิ ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปรยิ าย เปรยี บเหมอื นบุคคลหงายของทค่ี วา่ํ เปดของท่ีปด บอกทางแกค นหลงทาง หรือสอ งประทปี ในทม่ี ืดดว ยหวังวา
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 295อารมณในเพราะเหตุ ๑๖ ประการเหลาน.้ี คําที่เหลือมีความหมายเหมอื นกบั ทกี่ ลาวมาแลวในทุกบทแล. จบ การกําหนดอารมณใ นเพราะเหตุ ๑๖ ประการ. [๔๕ ] บทวา ตสสฺ มยหฺ มีอนสุ นธิ (การสืบตอ ลาํ ดบั ความ)เปนอยา งไร ? ไดยินวา พระโพธสิ ัตวกาํ หนดอารมณ ๑๖ อยางเหลา นอ้ี ยู คร้ันมองไมเ หน็ ความกลวั และอารมณอนั นา กลัว จึงไดทาํ การคน หาความกลัวและอารมณอ นั นากลวั (นนั้ ) ดาํ รวิ า ธรรมดาความกลวั และอารมณอันนา กลวั ยอ มจะปรากฏในเสนาสนะอยา งนี้ ในราตรีเชนนี้ เอาเถอะเราจะคน หาดูความกลัวและอารมณอนั นากลวั นั้น ในเสนาสนะอยา งน้ันในราตรีเชน นั้น จึงไดแสวงหาภัยและอารมณท่ีนา กลัว. บัดนี้ พระผูมพี ระภาค-เจา เมอื่ จะทรงแสดงเนอื้ ความน้แี กพราหมณจงึ ไดตรัสคาํ วา ตสสฺ มยฺหดังน้เี ปนตน. ราตรี - กาํ หนดดิถีแหงปกษ บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา ยา ตา นั่น เปน คํายกราตรีอยา งเดยี วขึ้นแสดง. ศัพทว า อภิ ในบทวา อภิ ฺ าตา นี้ เปนอปุ สรรค ใชลงในความหมายวา ลักษณะ (การกาํ หนด) เพราะฉะนัน้ ในบทวาอภิฺาตา พึงทราบวา ราตรีทั้งหลายทา นกําหนดดว ยลกั ษณะทงั้ หลายมีอาทอิ ยา งน้วี า พระจนั ทรเ พ็ญ พระจันทรดับ. (สว น) ศัพทวา อภิ ในบทวา อภิลกขฺ ิตา เปน เพียงอุปสรรค
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 296เทา น้นั เพราะฉะน้ัน จงึ มีความหมายวา อภลิ กขฺ ติ า ก็คอื ลกขฺ ณยี า(พึงกาํ หนด ) นั้นเอง. ขยายความวา ราตรีทงั้ หลาย อนั บณั ฑติ พึงกําหนด อธิบายวา พงึ กําหนดดว ยดี คอื พงึ กาํ หนดใหม ่นั เพ่ือกระทาํกจิ มีการสมาทานอโุ บสถ การฟงธรรม และการบชู าสักการะเปน ตน. ทีช่ อื่ วา จาตทุ ทฺ สี ไดแก ราตรหี น่งึ ซง่ึ ทําใหครบ ๑๔ วนัจาํ เดมิ แตวันแรกแหง ปกษ. ปญจทสแี ละอัฏฐมีก็ (มคี วามหมาย)เปนอยางน้ัน. บทวา ปกฺขสฺส ไดแ ก แหงสกุ กปกษ และกณั หปกษ.เพราะรวมราตรีเหลา น้นั เขา ดว ยกนั ปกษล ะ ๓ ราตรี จงึ เปน ๖ ราตรีฉะนั้น จงึ ควรประกอบคําวา \"ปกษ\" เขาไวในทุกบทวา ปกฺขสสฺจาตทุ ทฺ สี ดถิ ที ี่ ๑๔ แหงปกษ ปกฺขสสฺ ปจฺ ทสี ดิถที ่ี ๑๕ แหงปกษ ปกขฺ สฺส อฏฐมี ดถิ ีท่ี ๘ แหงปกษ. ถามวา เม่ือเปน เชน นัน้ เพราะเหตไุ รทา นจึงไมจ ัดดิถีที่ ๕ เขาไวด ว ย? ตอบวา เพราะดถิ ีท่ี ๕ มไิ ดมีตลอดกาล ทราบมาวา ในตอนกอ น ๆ เม่อื พระผูมีพระภาคเจายงั ไมเสด็จอบุ ัตขิ ้ึนก็ดี เสดจ็ อุบัติข้นึ แลวยงั ไมป รนิ ิพพานกด็ ี ดถิ ีท่ี ๕ ทานมิไดกาํ หนดไวเ ลย ตอเมอื่ พระผมู ีพระภาคเจาเสดจ็ ดบั ขันธปรินิพพานแลว พระธรรมสงั คาหกเถระทั้งหลายจึงพากนั คดิ วา การฟง ธรรมจะมีไดก็นาน ๆ ท่ี. แตน้นั จงึ สมมติกาํ หนดดิถที ี่ ๕ ใหเ ปนวันธรรมสวนะ. นับแตน ้นั นาดถิ ีที่ ๕ นั้นจึงกลายเปน วันทท่ี านกาํ หนดไวแลว เพราะเหตทุ ด่ี ถิ ีที่ ๕ มไิ ดมตี ลอดกาลอยางนแ้ี ลทา นจึงไมจ ัดรวมไวใ นท่ีนี้. บทวา ตถารปู าสุ กค็ อื ตถาวิธาสุ ( อยา งนน้ั ).
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 297 เจดยี บทวา อารามเจติยานิ ความวา ภูมิภาคอันนา รนื่ รมยท ั้งหลายเชน สวนดอกไม สวนผลไม เปน ตนนนั่ แล ชอ่ื วา อารามเจดยี เพราะวาสถานทีเ่ หลาน้ันเรยี กวาเจดยี เพราะหมายความวา เปนทย่ี าํ เกรงอธบิ ายวา เพราะหมายความวา เปน สถานท่ที บ่ี คุ คลพึงบชู า. บทวา วนเจตยิ านิ ความวา ปาทัง้ หลาย เชนราวปา สาํ หรบั นําเครอ่ื งสังเวยไปสงั เวย ( เทวดา ) ปา สุภคั วันและปา ท่ีตั้งศาลของเทวดาเปนตนนั่นแล ชอื่ วา วนเจดยี . บทวา รุกฺขเจตยิ านิ ความวา ตนไมทค่ี วรบชู าตามประตูเขาหมูบ า นและนิคมเปนตนนนั่ แล ชือ่ วา รกุ ขเจดยี . เพราะชาวโลกสําคญั อยูว า เทวดาสงิ สถิตบาง มีความสาํ คัญในสถานทีเ่ หลา นน้ั น่นั แลวาเปนทพิ ยบ าง จงึ พากนั ทาํ ความเคารพคอื บชู าสวนปา และตนไมท ้งั หลาย ฉะนน้ั สวนปาและตน ไมเหลานั้น ทง้ั หมดเขาจงึ พากันเรยี กวา เจดีย . บทวา ภึสนกานิ แปลวา ใหเกดิ ความกลวั คอื ยังความกลวัใหเกิดทง้ั แกผูเ ห็นอยูท้ังแกผูไดย นิ อย.ู บทวา สโลมห สานิ เปนไปกบั ความชชู นั แหง ขน เพราะเมื่อใครเขาไปกจ็ ะเกิดขนชชู ัน. บทวา อปเฺ ปว นาม ปสเฺ สยยฺ ความวา ทาํ ไฉนหนอเราจะพงึไดป ระสบภยั และอารมณอ ันนากลัวน้นั บาง. บทวา อปเรน สมเยน ความวา โดยกาลอื่นจากกาลท่ีคิดไวแลวอยา งน้วี า (ตถาคตนนั้ ) ไดมีความคดิ ดังน้ีวา ทําไฉนเรา.
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 298 บทวา ตตถฺ จ เม พรฺ าหมฺ ณ วิหรโต ( ดกู อนพราหมณ ก็เมอื่ เราตถาคตอยูใ นสถานทเ่ี หลานนั้ ) ความวา บรรดาเสนาสนะเหลา นนั้เสนาสนะแหง ใด ๆ ซึ่งเปนสถานทส่ี งิ สถิตของยกั ษ ทม่ี นษุ ยท ัง้ หลายควรบนบาน และนําเครื่องสังเวยเขา ไปสังเวย มีพื้นธรณีเกลื่อนกลนดว ยเคร่ืองบชู าและเครือ่ งสงั เวยท้ังหลาย เชน ดอกไม ธปู เนอื้ เลือด มนั เหลวมันขน มาม ปอด สรุ า และเมรยั เปนตน เปน เหมอื นสถานทที่ ร่ี วมชมุ นุมกันของพวกยกั ษร ากษสและปศาจ ซ่งึ เม่อื คนท้ังหลายมาเหน็ เขาในตอนกลางวนั ดเู หมอื นหัวใจจะวายตาย. พระผูมพี ระภาคเจาทรงหมายเอาสถานท่ีนั้น จงึ ตรัสวา ตคฺถ จ เม พรฺ าหฺมณ วหิ รโต. ความหมายของมิคะและโมระ บทวา มโิ ค วา อาคจฉฺ ติ ความวา เนื้อซึง่ แยกประเภทเปนกวาง แรด เสอื เหลือง และหมูปา เปนตน เดินประเขาหรอื เตะกีบเทากนั มา กค็ ําวา มโิ ค ในท่ีนเ้ี ปนชอ่ื สตั ว ๔ เทา ทุกชนิด. แตใ นท่ีบางแหง มคิ ะ ( เน้ือ ) ทา นกลาววา ไดแก สุนขั จ้ิงจอกตาบอดบา งเหมอื นอยา งที่สัตวก ลาว (เยินยอสุนัขจ้งิ จอกตาบอด ) วา คอของทา นชางสงางามเหมือนคอของโคอสุ ภะ และ เหมอื นคอของราชสหี ฉ ะนน้ั ขาแตพ ระยาเนือ้ ขอ ความนอบนอมจงมีแดทา น พวกเราจะไดอ ะไรบาง ไหม ? บทวา โมโร วา กฏ ปาเตติ ความวา นกยูงทาํ ไมแ หงใหตกจากตน ไม และดว ยศัพทวา โมระ ในคําน้ี ทา นหมายเอานกทุก
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 299จําพวก. เพราะเหตนุ ้ัน ทานจึงแกว า ไดแ ก โย โกจิ ปกขฺ ี นกตวั ใดตัวหนง่ึ กต็ าม. อกี อยางหน่งึ ดวย วา ศพั ทใ นคาํ วา โมโร วา ทานแกวา ไดแก นกชนดิ อื่นหรอื ลางตัว. แมใน มคิ ะ ศพั ท ซง่ึ เปนศพั ทแ รก (กอ นศัพทวา โมโร ) ก็มีนยั น.ี้ บทวา วาโต วา ปณณฺ กสฏ เอเรติ ความวา ลมพัดใบไมกมุ ฝอย. บทวา เอต นนู ต ภยเภรว อาคจฉฺ ติ ความวา สง่ิ ใดยอมมา (ปรากฏ) สงิ่ น้นั จัดเปน ภัยและอารมณอนั นากลวั แนนอน และตง้ั แตบัดนไ้ี ป อารมณน ้นั แลพึงทราบวา เปน ภัยและอารมณอ นั นา กลวั .เพราะมีภัยทัง้ เลก็ นอ ยและมีประมาณย่งิ เปน อารมณ อารมณจึงช่อื วา ภัยและสง่ิ ท่นี ากลัว เปรยี บเหมอื นรูปที่มคี วามสุขเปน อารมณ กช็ ื่อวาเปนสุขดว ยฉะนัน้ . บทวา กินนฺ โุ ข อห อฺ ทฏุ ภยปาฏิกงฺขี วิหรามิ ความวาตถาคตแลหวังอยู คือปรารถนาอยูซ่งึ เหตอุ ะไรวาเปน ภัยโดยสว นเดยี วน้นั แลจงึ อยู. บทวา ยถาภตู สสฺ ยถาภตู สสฺ ความวา เปนอยู คอื เปนไปอยูหรือพร่ังพรอมดว ยอริ ิยาบถใด ๆ. บทวา เม คอื ในสาํ นกั ของเราตถาคต. บทวา ตถาภูโต ตถาภูโต วา ความวา เปนอยู คอื เปนไปอยู หรอื พรง่ั พรอ มดว ยอริ ิยาบถนนั้ ๆ นนั่ แล. บทวา โส โข อห ฯ เป ฯ ปฏวิ เิ นมิ ความวา ไดยนิ วาเมือ่ พระโพธิสัตวจงกรมอยู ครน้ั เมื่ออารมณคือภัยและสิ่งท่ีนา กลัวมี
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 300ประเภทเชน เขาเนื้อและเสียงกีบเทา เปนตน มาปรากฏ องคพระมหาสัตวก็ไมประทบั ยืน ( น่ิง ๆ) ไมป ระทับน่ัง ไมเ สด็จเขา บรรทม. ตรงกันขามกลบั เสด็จจงกรมตอไป ใครค รวญไป พนิ จิ พิเคราะห ( จนกระท่ัง )มองไมเ ห็นวาเปนภยั และสิง่ ที่นากลัว มันเปน เพยี งเขาเนอ้ื และเสยี งกบี เทาเปนตนเทา นัน้ . ครั้นทราบอารมณน ้นั วา มันชอื่ น้ี ไมใ ชเ ปนภยั และสง่ิทน่ี ากลวั ดังน้แี ลว ตอ นัน้ ไป พระองคจึงหยดุ ประทับยืน ประทับนั่งหรอื เสดจ็ เขา บรรทม. เมอื่ จะทรงแสดงความหมายอยางนี้ พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสคําวา โส โข อห ดังนเี้ ปนตน . ในทกุ ๆ เปยยาลก็มีนัยนี้. ความฉลาดในการออกจากสมาบัติ และตอจากนไ้ี ป พึงทราบวา พระผูม ีพระภาคเจาตรัสอริ ยิ าบถไวตามลําดบั ที่ใกลชดิ กัน หาไดตรัสไวต ามลาํ ดบั อิริยาบถไม. อธบิ ายวาพระผูมพี ระภาคเจาตรัสไวตามลาํ ดบั ทใ่ี กลชดิ กนั แหง อิรยิ าบถนัน้ ๆ อยา งน้ีวา กเ็ มื่อเราตถาคตจงกรมอยู เมือ่ ภัยและอารมณอ ันนา กลัวมาปรากฏเราตถาคตก็ไมหยุดยนื ไมน่ัง ไมนอน แมเม่อื เราตถาคตหยุดยืน เม่อื ภยัและอารมณอ นั นากลวั มาปรากฏ เราตถาคตก็ไมเดินจงกรม. พระผูมีพระภาคเจา คร้ันทรงแสดงความที่พระองคไ มมภี ัยและอารมณทนี่ า สะพึงกลวั อยางนีแ้ ลว บดั นี้ เพ่ือจะทรงแสดงการที่พระองคประทบั อยูอยางไมลมุ หลงในฐานะเปนทต่ี ้งั แหงความลุมหลงของบุคคลผูไดฌานทงั้ หลาย จึงตรสั คําวา สนตฺ ิ โข ปน พรฺ าหมฺ ณ ดงั น้ีเปนตน. [๔๖] บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา สนตฺ ิ เทา กับ อตฺถิ มอี ยู
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 783
Pages: