Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_17

tripitaka_17

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_17

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 651พระผมู ีพระภาคเจา ทรงถามปญหา. ในอวสานแหง การวิสัชนาปญ หาทาวเธอไดบ รรลโุ สดาปต ตผิ ล พรอมดว ยเทวดา ๘ หม่นื ตน ทาวเธอ(จตุ แิ ลว ) ไดเสด็จอุบตั ขิ นึ้ ใหมเปน ปกตดิ งั เดมิ อกี . เทวดาตกนรก แมส ุพรหมเทพบตุ ร มีเทพอปั สรพันหนึง่ เปน บรวิ าร เสวยสวรรคส มบัติ บรรดาเทพอปั สรสาวสวรรคพันหนงึ่ นัน้ เทพอัปสร ๕๐๐ตน กาํ ลงั เกบ็ ดอกไม จากตนอยูหลดั ๆ ก็จตุ ๑ิ แลวเกดิ ในนรก. ทาวเธอทรงใครค รวญดวู า สาวอัปสรเหลานี้ เหตใุ ดจงึ ชา อยู ? ไดทรงเหน็ วาเขาเหลานัน้ เกิดในนรกแลว ทรงตรวจดวู า อายุของเรา จะเทา ไรหนอ ? พอทรงทราบพระชนมายุของพระองคก ็จกั ส้นิ ไปเหมือนกนั ก็ทรงเห็นวา พระองคจะทรงเกดิ ในนรกนนั้ แหละ จงึ ตกพระทยั ทรงโทมนสั เหลือเกนิ ทรงดํารวิ า พระศาสดาจักขจดั โทมนสั ของเรานไ้ี ด ผูอ ่ืนขจัดไมไ ด แลว ไดท รงพาเทพอัปสรสาวสวรรค ๕๐๐ ท่ยี ังเหลือไปเฝาพระผูม ีพระภาคเจาทูลถามปญหาวา :- จิตนีส้ ะดุงอยูเ นืองนติ ย จิตคือใจน้ีหวาดผวาเปน ประจาํ เมอ่ื กิจ (เหตุ) เกดิ ขึ้นแลวและยงั ไมเ กิดขน้ึ ถา หากความไมส ะดงุ กลัวมีอยู ขอพระองค ผอู ันขา พระองคทูลถานแลว จงตรัสบอกความไม สะดงุ นั้นแกขาพระองคดว ยเถดิ . ลําดบั น้นั พระผูมีพระภาคเจา ไดต รัสกะทาวเธอวา : เรามองไมเหน็ ความสวสั ดอี ยางอืน่ ของสตั วท ้ังหลาย๑. ปาฐะเปน จรติ ฺวา ฉบับพมา เปน จวติ วฺ า จึงแปลตามฉบบั พมา.

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 652 นอกจากการบําเพ็ญเพียร อนั เปน องคแหง การตรัสรู นอกจากการสํารวมอนิ ทรีย (และ) นอกจากการ ปลอยวางทั้งหมด. ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ทาวเธอ ดํารงอยใู นโสดาปต ติผลพรอมดว ยเทพอัปสร ๕๐๐ ทรงทําทพิ ยสมบัติน้นั ใหม ีเสถยี รภาพแลวไดเสด็จไปยังเทวโลกตามเดมิ . ทางน้ีบุคคลผูเจริญแลว พงึ เขาไวว า เปน ไปเพ่ือดบั โทมนัสของสัตวทัง้ หลาย เหมอื นของทา วสักกะ เปน ตน ดงั ท่ีพรรณนามานี.้ อริยมรรคมอี งค ๘ นนั้ ทานเรียกวา ญายะ ในคําวา ายสสฺอธคิ มาย เพือ่ บรรลุ อธิบายวา เพอ่ื ถึงอรยิ มรรคน้นั . เพราะวามรรคสติปฏ ฐานอนั เปนโลกิยะในสว นเบือ้ งตน น้ี อนั บุคคลเจริญแลว ยอ มเปน ไปเพอ่ื บรรลุโลกุตตรมรรค. ดวยเหตุน้ัน พระผูม พี ระภาคเจาจึงตรสั วา ายสฺส อธคิ มาย. บทวา นพิ ฺพานสสฺ สจฺฉกิ ริ ยิ าย (เพ่อื กระทําใหแจงซ่ึงพระนพิ พาน) ความวา เพ่ือกระทําใหแจง ทานกลาวอธิบายไววา เพอื่ ประจักษดวยตนเอง ซง่ึ อมตธรรมท่ีไดน ามวา พระนิพพาน เพราะเวน จากตัณหาเคร่ืองรอยรดั . เพราะวามรรคนี้ทบ่ี คุ คลอบรมแลว ใหสาํ เร็จการทาํ ใหแจงพระนพิ พาน ตามลาํ ดับ. ดวยเหตุนนั้ พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา นิพพฺ านสฺส สจฺฉกิ ิริยาย. บรรดาคาํ เหลา นั้น เมือ่ พระองคตรัสวา เพอื่ ความบริสุทธ์ิของสตั วท ง้ั หลาย คําวากาวลว งความโศกเปนตน กเ็ ปน อนั สําเร็จความหมายไปดว ย ก็จริง แตก ็ยังไมปรากฏแกผ อู ่ืน นอกจากผฉู ลาดในขอยุติของ

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 653ศาสนา. และพระผมู ีพระภาคเจา มไิ ดท รงทาํ ใหค นเปนผูฉลาดในขอยตุ ขิ องศาสนากอ นแลว จงึ ทรงแสดงธรรมภายหลัง. แตทรงใหเ ขาใจผลทตี่ อ งการน้นั ๆ ดวยสูตรน้ัน ๆ เทานั้น เพราะฉะนั้น ในสติปฏ ฐาน-สตู รนี้ เม่ือพระองคจะทรงแสดงผลทต่ี องการซ่งึ เอกายนมรรคจะใหส ําเรจ็ไดใหป รากฏ จึงไดตรสั ไวว า โสกปริเทวาน สมติกกฺ มาย เพ่อื กาวลว งโสกะและปรเิ ทวะทง้ั หลาย ดังนเ้ี ปนตน . อกี อยา งหน่ึง เพราะความบรสิ ทุ ธข์ิ องสัตวทั้งหลาย จะเปนไปพรอม ก็ดวยเอกายนมรรค ความบรสิ ทุ ธิ์จะมไี ด เพราะกาวลว งโสกปริเทวะ การกาวลวงโสกปริเทวะจะมีได เพราะทกุ ขโทมนัสดับไป การดบั ทกุ ขโทมนัสจะมีได เพราะไดบ รรลุญายธรรม การบรรลุญายธรรมจะมีได เพราะการทาํ ใหแจงซงึ่ พระนพิ พาน ฉะน้นั พระองคเพ่อื ทรงแสดงลําดับนแ้ี ลว จึงตรัสวา สตฺตาน วิสุทฺธิยา เพือ่ ความบรสิ ุทธ์ขิ องสตั วท ้ังหลาย แลวไดต รสั คาํ น้ีอาทินีไ้ ววา โสกปริเทวานสมติกฺกมาย เพื่อระงับโสกะและปรเิ ทวะ. อกี อยางหน่งึ คําวา สตตฺ าน วิสุทธฺ ยิ า เปน ตน นี้ เปนคํากลาวสรรเสรญิ เอกายนมรรค เหมือนอยา งวา พระผูม พี ระภาคเจา ไดต รสัสรรเสรญิ เทศนา ๖ หมวด หมวดละ ๖ ขอ ดวยบท ๘ บทวา ภกิ ษุท้ังหลาย เราตถาคตจักแสดงธรรมงามในเบือ้ งตน งามในทามกลางงามในทสี่ ุด จักประกาศพรหมจรรย (ศาสนา) ที่บริสทุ ธิ์ บริบูรณสิ้นเชิง พรอ มทงั้ อรรถะ พรอมทง้ั พยญั ชนะ คอื พรหมจรรย ๖ หมวดหมวดละ ๖ ขอ แกเ ธอท้งั หลาย และไดตรสั สรรเสรญิ อรยิ วงศเ ทศนาไว ดวยบท ๙ บทวา ภิกษทุ ้งั หลาย อริยวงศ ๔ อยางเหลา นี้ เปน ของ

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 654ที่ผูร ูรูกนั วาเลิศ รูกนั มานาน รูกนั วา เปนวงศ (ของพระอริยเจา )เปน ของเกา ไมเกลื่อนกลาด ไมเ คยเกลอ่ื นกลาด ไมถ ูกระแวง ไมถ ูกสมณพราหมณผรู ูคัดคา นฉนั ใด. พระองคกไ็ ดตรัสสรรเสริญเอกายนมรรคแมนไี้ ว ดว ยบท ๗ บท มบี ทวา เพ่อื ความบรสิ ุทธแ์ิ หง สตั วท งั้ หลายเปนตน ฉันน้ัน. หากจะถามวา เพราะเหตไุ ร ? แกว า เพือ่ จะใหเกดิ อุตสาหะแกภกิ ษเุ หลา น้นั . ดวยวา ภกิ ษุเหลาน้ัน ครน้ั ไดส ดบั การตรัสสรรเสริญแลว จกั เกิดอุตสาหะข้ึนวา ทางสายนี้จะนาํ อุปท วะท้ัง ๔ ออกไป คือ ความโศกทเ่ี ปนส่งิ แผดเผาใจ ๑ ความคราํ่ ครวญที่เปน การรําพนั ทางวาจา ๑ ความทกุ ขท่ีเปนความไมส าํ ราญทางกาย ๑ ความเสียใจซ่ึงเปนความไมแชม ชนื่ ทางใจ ๑ (และ) นําคุณวิเศษ ๓ อยางมาให คือ วสิ ทุ ธิความหมดจด ๑ ญายธรรมท่ีควรรู ๑ นพิ พานความดบั (กเิ ลส ) ๑ดังนี้แลว จกั สําคญั พระธรรมเทศนาน้ีวา ตอ งเรยี น ตอ งทอง ตอ งจําทรงตองบอกสอน และจกั สาํ คญั ทางสายนีว้ าตอ งเจริญ (ดําเนนิ ). พระผูมีพระภาคเจาไดตรสั สรรเสริญ (เอกายนมรรค) เพอ่ื ใหภ ิกษเุ หลา น้นัเกิดอุตสาหะ ดว ยประการดังท่พี รรณนามาน้ี เหมือนกับพอคาผา ขนสัตวเปน ตน กลาวสรรเสรญิ คุณภาพผา ขนสตั วเ ปน ตน ฉะนั้น. ความพิสดารวา เมื่อพอ คา ผา ขนสัตวสเี หลอื ง (ปณฑกุ ัมพล )ราคาแสน โฆษณาวา เชิญรับผาขนสตั วครับ คนทง้ั หลายยังไมทราบกอ นวา เปน ผากัมพลชนดิ โนน . เพราะวา แมผ า เกสกัมพลและผาพาลกัมพลเปนตน ที่มีกลนิ่ เหม็น เน้ือหยาบ (หมสาก) เขาก็เรยี กวา

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 655ผากมั พลเหมอื นกนั . แตเ มือ่ ใดเขาโฆษณาวา ผา กมั พลแดง จากคันธารราฐ เน้ือละเอียด มนั เปน เงา หม นมุ นวล. เมอื่ นั้น คนท่มี ีทรัพยพอ กจ็ ะรับ (ซอ้ื ) สวนคนทม่ี ไี มพอกอ็ ยากชม ฉันใด. แมเ มอ่ื พระองค ตรัสวา ทางสายนเ้ี ปน ทางสายเอกกย็ ังไมช ดั แจงวา เปนทางสายโนน ฉันนน้ั เหมือนกนั . เพราะวา ทางท่ไี มนําออกจากทกุ ขนานัปการ เขากเ็ รียกวาทางเหมอื นกัน. แตเม่ือตรสั คาํ มีอาทิวา สตตฺ าน วิสทุ ธฺ ิยา เพือ่ ความหมดจดของสตั วท้ังหลาย ภิกษุท้ังหลายก็จะเกดิ อุตสาหะวา ไดทราบวา ทางสายน้ีนําอุปท วะทงั้ ๔ ออกไป นาํ คณุ วิเศษ ๓ ประการมาให จักสาํ คัญพระธรรมเทศนานว้ี า ตองเรียน ตองทอ ง ตองทรงจํา ตอ งบอกสอนจกั สําคญั ทางนวี้ าตอ งเจรญิ ( ดําเนนิ ตาม) ฉะนัน้ พระผูมพี ระภาคเจาเมอ่ื จะตรสั สรรเสรญิ (เอกายนมรรค ) จงึ ไดต รสั ไววา สตตฺ านวสิ ทุ ฺธิยา. และในเรอ่ื งนี้ ควรนาํ ขอเปรยี บเทียบกบั พอคา ทองชมพนู ทุ สีแดงพอ คาแกวมณี นาํ้ ใสสะอาด พอ คาแกว มกุ ดาหาร ใสสะอาด และพอคาแกวประพาฬ ทเ่ี จยี ระไนแลวเปน ตน มา เหมือนขอเปรยี บเทยี บกับพอ คาปณ ฑกุ ัมพลราคาแสนฉะนัน้ . อธบิ ายศพั ทวา ยททิ  ศพั ทวา ยทิท เปน นบิ าท มเี น้อื ความเทากับ เย อิเม. ศพั ทว าจตตฺ าโร เปนการกาํ หนดนับ (จาํ นวนนับ). ดวยศพั ทนนั้ พระองคทรงแสดงถึงการกาํ หนด (จํานวน) สตปิ ฏฐานวา มไี มตํา่ ไมสงู ไปกวาจํานวนน้นั .

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 656 แกส ติปฏฐาน บทวา สติปฏฐาน ไดแ กสตปิ ฏฐาน ๓ อยา ง คือ อารมณแหงสติ ๑ การท่พี ระศาสดาไมทรงดีพระทัย และเสียพระทัย ในเมอ่ื สาวกทง้ั หลายปฏิบตั ใิ นสตปิ ฏฐาน ๓ อยาง ๑ สติ ๑. อธบิ ายวา อารมณแหงสติทา นเรยี กวา สติปฏฐาน (เชน ) ในพระพทุ ธพจนทง้ั หลาย มอี าทิวา ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย เราตถาคตจักแสดงการเกดิ และการดับของสติปฏฐาน ๔ อยาง เธอทัง้ หลายจงฟงเทศนานนั้ ฯลฯ ภิกษทุ ้ังหลาย กค็ วามเกดิ ข้ึนแหงกาย คืออะไร ?การเกดิ ข้นึ แหงอาหาร คอื การเกิดข้ึนแหง กาย. อกี อยางหน่ึง อารมณของสตทิ านเรียกวา สตปิ ฏฐาน (เชน )ในคาํ ทง้ั หลายมีอาทิวา กายเปน ท่ีเขาไปตง้ั (ของสต)ิ ไมใ ชตวั สติสติเปนทต่ี ง้ั ดวย เปน ตวั สตดิ วย (ชอื่ วา สตปิ ฏฐาน) ดงั นี้บาง. สติปฏฐานน้นั มีอรรถวา ชอื่ วา ปฏ ฐาน เพราะเปนทต่ี ง้ั .อะไรตัง้ ? สติตัง้ . ที่ตงั้ ของสติ ช่ือวา สตปิ ฏ ฐาน. อีกอยางหนง่ึสถานท่ีเปนที่จอด (ประธาน) ฉะนน้ั จงึ ชอื่ วา ปฏ ฐาน. สถานท่ีเปนท่ีจอดของสตนิ ัน้ ชอ่ื วา สตปิ ฏ ฐาน เหมือนกับสถานทย่ี ืนของชา งและสถานที่ยืนของมา เปนตน ฉะน้นั . สติปฏ ฐาน ๓ อยาง คอื การท่พี ระศาสดาไมท รงดีพระทัย และเสยี พระทยั ในเพราะสาวกท้งั หลายผปู ฏบิ ตั ิในสตปิ ฏฐาน ๓ อยาง ทา นเรยี กวา สตปิ ฏฐาน ( เชน ) ในพระพุทธพจนแมน้วี า พระศาสดาผทู รงเปน พระอริยเจา เมอ่ื ทรงสรองเสพสิง่ ทพ่ี ระอรยิ เจา สอ งเสพกนั ควรตามสอนหมคู ณะ ดงั นี้ . ขอนน้ั มีเนื้อความวา ช่ือวา

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 657ปฏ ฐานะ เพราะควรใหเริ่มต้ังไว อธิบายวา เพราะควรใหเปนไป(ประพฤต)ิ . เพราะควรใหอะไรตง้ั ? ควรใหสติต้งั การตงั้ สติ ชอ่ื วา สตปิ ฏ ฐาน ดงั น้.ี ก็สติน้นั เอง ทานเรียกวา สติปฏ ฐาน ในคาํ ท้ังหลายมอี าทวิ าสตปิ ฏ ฐาน ที่อบรมแลว ทําใหมากแลว ใหโ พชฌงค ๗ ประการบรบิ ูรณได. ในขอ นัน้ มีเน้ือความวา ชือ่ วา ปฏฐาน เพราะต้ังไวอธิบายวา เขาไปตัง้ ไว คอื กาวลง แลน ไป เปนไป. ปฏ ฐาน คอืสตินั้นเอง จึงช่อื วา สตปิ ฏฐาน. อกี อยา งหนงึ่ ชื่อวา สติ เพราะอรรถวา ระลึก ชอ่ื วา ปฏ ฐานเพราะอรรถวา เขา ไปตัง้ ไว, สตินัน้ ดว ย การต้งั ไวดวย ฉะน้นั จึงช่อืวา สติปฏ ฐาน ดว ยประการดงั นบ้ี าง. ในสติปฏ ฐานสูตรน้ี ทา นประสงคสติปฏ ฐานขอ นี้. ถามวา ถา เปนอยางนนั้ เหตุไฉน คาํ วา สติปฏ ฐาน จึงเปนพหพู จน ? เพราะสติมีมาก. ความจรงิ วาโดยประเภทแหงอารมณ สติน้ันมีมาก. เมอื่ เปน เชน นั้น เหตุไร คาํ วา มรรค (ซง่ึ มมี ากเหมือนกัน)จงึ เปน เอกพจน. เพราะมีอยางเดียว โดยอรรถวา จะตอ งดําเนนิ ไป. จรงิ อยู สติเหลาน้ันแมจะมี ๔ อยาง แตกถ็ งึ ความเปนอยางเดียวกัน ดวยอรรถวา ตอ งดาํ เนินไป. สมจริงดงั ท่ีท่ีกลาวไวว า ทาง

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 658ชอ่ื วา มรรค เพราะหมายความวาอะไร ? เพราะหมายความวา เปน เครื่องไปสนู ิพพาน และเพราะหมายความวา ผูมีความตองการนิพพานจะตอ งดําเนินไป. กส็ ตแิ มท ั้ง ๔ อยางเหลา นัน้ เม่ือยังกิจใหสําเรจ็ ในอารมณท้ังหลาย มกี ายเปน ตน (จน) ถงึ นิพพานในกาลภายหลัง และผูมุงนพิ พาน กด็ าํ เนนิ ไปตงั้ แตน ้นั เพราะเหตุดงั ทีก่ ลาวมาแลวนน้ั ทา นจงึกลาวไวว า สตแิ มทัง้ ๔ อยา งเปนทางสายเอก. เมื่อเปน เชน น้ี จึงมีเทศนาทีม่ ีการสืบตอ กนั มาตามลําดับทีเดยี วดวยการสบื ตอถอ ยคาํ กันมา เหมอื นในพระพุทธพจนท ้งั หลายมอี าทวิ าดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย เราตถาคตจกั แสดงทางสาํ หรับยํา่ ยมี ารและเสนา-มาร เธอท้งั หลายจงฟง ฯลฯ ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย กท็ างสําหรบัยา่ํ ยีมารและเสนามารคืออะไร ? คือโพชฌงค ๗ (องคแหง ธรรมเปนเหตตุ รัสร)ู ทั้งหางสําหรับยา่ํ ยีมาร และโพชฌงค ๗ โดยอรรถ ก็เปนอันเดยี ว แตพ ยญั ชนะเทาน้ันตางกนั ฉนั ใด เอกายน-มรรค กบั สติปฏ ฐานสตู ร ๔ ก็ฉนั นั้น โดยอรรถเปนอันเดยี วกนั ในท่ีน้ีตา งกันแตพยัญชนะเทาน้นั . เพราะฉะนน้ั ควรเขา ใจวา (มรรค)เปน เอกพจน เพราะเปนอยา งเดยี วกนั โดยอรรถวา จะตอ งดาํ เนนิ ไป(และ) ควรเขาใจ (สตปิ ฏฐาน) วา เปนพหูพจน เพราะสติมีมากโดยประเภทแหง อารมณ. เหตทุ ่ตี รสั สติปฏฐานไว ๔ อยา ง แตเ หตุไฉน พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรัสสตปิ ฏ ฐานไว ๔ อยางเทา น้นั ไมย ่งิ ไปหยอน (ไปกวา นนั้ ) ?

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 659 เพราะทรงเกอื้ กลู แกเวไนยสตั ว. อธบิ ายวา บรรดาเวไนยสัตวท ั้งหลาย พวกตัณหาจริต พวกทฏิ ฐิจริต พวกสมถยานกิ ะ และวปิ สสนายานกิ ะ (แยก ) เปน พวกละ ๒ ตามออนและแกก ลา ผมู ีตัณหาจริตอยา งออน มีกายานุปสสนา-สติปฏ ฐาน มอี ารมณหยาบเปนทางแหงความบริสุทธ.์ิ แตผ ูม ตี ัณหาจริตแกกลา มเี วทนานปุ ส สนาสติปฏ ฐานที่ละเอียด เปน ทางแหง ความบรสิ ุทธ.ิ์แมผ มู ที ฏิ ฐิจริตอยา งออน มจี ิตตานุปส สนาสตปิ ก ฐาน ท่มี อี ารมณแ ยกออกไมม ากนกั เปนทางแหงความบรสิ ุทธ์.ิ แตผ ูม ีทฏิ ฐจิ ริตแกก ลา มธี มั มา-นปุ สสนาสติปฏ ฐาน ท่ีมอี ารมณแ ยกประเภทออกไปมาก เปนทางแหงวสิ ทุ ธ.ิ และสตปิ ฏ ฐานขอ แรกทมี่ นี ิมิตจะทพ่ี งึ ประสบไดไ มย าก เปนทางแหง ความบรสิ ุทธข์ิ องสมถยานิกบคุ คลประเภทยังออน. ขอ ที่ ๒ เปนทางแหงวิสุทธิสมลยานกิ บคุ คลประเภทแกกลา . เพราะทา นดํารงอยูไ ดไมมน่ั คงในอารมณท่หี ยาบ. ขอท่ี ๓ ทม่ี อี ารมณแ ยกประเภทออกไปไมมากนัก เปนทางแหงความบริสทุ ธแิ์ มข องวปิ สสนายานิกบคุ คลประเภทยังออ น. ขอ ที่ ๔ ทมี่ ีอารมณแ ยกประเภทออกไปมาก เปน ทางแหง ความบรสิ ุทธ์ิของวปิ สสนายานิกบคุ คลประเภทแกกลา. สติปฏ ฐานจึงตรัสไว ๔อยางเทานัน้ ไมย ่งิ ไมหยอ น ดว ยประการดังที่พรรณนามาน ดังนี้. อีกอยา งหนงึ่ (ที่ทรงแสดงไว ๔ อยา งเทานัน้ ) เพอื่ ละวิปลาสคอื ความงาม ความสขุ ความเที่ยง และความเปนตน. ความจรงิ กายเปน ของไมงาม แตสตั วท ง้ั หลายดํารงอยูอยางวปิ รติ สาํ คัญผดิ ในกายนัน้วา งามสติปฏ ฐานขอที่ ๑ ตรสั ไวส าํ หรบั สัตวเ หลา นน้ั เพือ่ ใหละสุภวิปลาสนน้ั ดวยการเหน็ วา ไมง ามในกายน้ัน. และในเวทนาเปนตน แมทส่ี ตั ว

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 660ทงั้ หลายยึดถือวา เปนสุข เที่ยง เปน อัตตา (ก็มนี ัยน้ีคอื ) เวทนาเปน ทุกข จติ ไมเ ทีย่ ง ธรรมทงั้ หลายเปน อนตั ตา แตส ัตวเ หลา นัน้ ดาํ รงอยูอ ยางวปิ ริต สําคัญผิดในเวทนา จติ และธรรมเหลา นน้ั วา เปน สขุ เท่ียงและเปนอตั ตา ตรสั ๓ อยางทเ่ี หลือไวส ําหรับสตั วเ หลา นั้น เพ่ือใหล ะวปิ ลาสที่เหลอื เหลา นั้น ดว ยการเหน็ เวทนาเปน ตนเหลา นนั้ วา เปน ทุกขเปนตน ดังนี้. เมือ่ เปน เชนน้ี สติปฏฐาน กค็ วรเขาใจไววา พระองคตรสั ไว๔ อยางเทา น้นั ไมย ิ่งไมหยอ น (ไปกวา นี้) ก็เพือ่ ใหละสภุ วปิ ลาสสุขวปิ ลาส นจิ จวิปลาส และอตั ตวิปลาส. และไมใ ชเพยี งตรสั ไวเ พอื่ใหละวปิ ลาสอยางเดียวเทา น้นั แตควรเขาใจไววา ตรสั ไว ๔ อยา งเทานั้นกเ็ พอ่ื ใหละโอฆะ ๔ โยคะ ๔ อาสวะ ๔ คันถะ ๔ และอุปทานทง้ั ๔ และอคติ ๔ ดว ย เพื่อใหก ําหนดรอู าหารทงั้ ๔ ดวย. น้ีเปนนยั ตามปกรณกอน. มติของอรรถกถา สว นในอรรถกถา ทานกลาวไวเทานี้เทา นัน้ แหละวา โดยระลึกและโดยการประมวลลงสจู ดุ เดียวกันแลว สตปิ ฏฐานก็มอี ยา งเดียวเทาน้ันแตโดยอารมณ ๔ อยา ง. อปุ มาเสมือนหน่งึ วาในพระนครท่มี ปี ระตู๔ ประตู คนมาจากทิศตะวนั ออก ถือเอาสงิ่ ของทีม่ ีขึน้ มาทางทศิ ตะวันออกแลวเขา พระนครน้นั เอง ทางประตดู า นตะวนั ออก คนมาจากทศิ ใต ทศิตะวนั ตก ทิศอุดร ถือเอาสงิ่ ของที่มีข้นึ ทางทศิ อดุ รแลว เขาสูพระนคร

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 661น้ันเอง ทางทิศอดุ รฉันใด ขออปุ ไมยที่ใหอ ปุ มาถงึ พรอ มนี้ ก็ควรทราบฉนั น้ัน. ขอ เปรยี บเทียบ ความจรงิ พระนพิ พาน เหมอื นพระนคร. โลกุตตรมรรคประกอบดวยองค ๘ เหมอื นประตูพระนครหลวง. กายเปนตน เหมือนทศิ ตะวนั ออก เปนตน. และพระโยคาวจรท้งั หลาย เมือ่ มาดว ยอาํ นาจกายานปุ ส สนาเจรญิ กายานุปสสนาสตปิ ฏ ฐานโดยวธิ ี ๑๔ อยา งแลว จะไปรวมลงสูทีเดยี วกัน คือพระนพิ พานนัน่ เอง ดว ยอริยมรรคที่เกิดข้นึ ดว ยอานภุ าพของกายานปุ ส สนา เหมอื นคนทั้งหลายท่ีมาจากทศิ ตะวนั ออก ถอื เอาส่ิงของท่ีมีข้ึนทางทศิ ตะวนั ออกแลว ก็เขาถึงพระนครไดเ หมือนกันทางประตูทศิ ตะวนั ออกไดฉะน้ัน. พระโยคาจร เมื่อดาํ เนนิ มาทางประตเู วทนานปุ ส สนา เจริญเวทนานปุ ส สนาสติปฏ ฐาน โดยวิธี ๙ อยาง กไ็ ปรวมลงสทู เี ดียวกันคือพระนพิ พานนัน่ เอง ดว ยอริยมรรคที่เกิดข้ึนดวยอานภุ าพของเวทนา-นุปสสนาสติปฏฐาน เหมอื นผมู าจากทิศใต ถือเอาสงิ่ ของที่มีขนึ้ จากทศิ ใตก็เขาถึงพระนครเหมอื นกนั ทางประตูทิศใตฉะน้ัน. พระโยคาวจรทัง้ หลาย เมือ่ ดาํ เนินมาทางประตจู ติ ตานุปส สนาเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏ ฐาน โดยวธิ ี ๑๖ อยาง จะไปรวมทเ่ี ดียวกนัคือพระนิพพานนั้นเอง ดวยอริยมรรคท่ีเกิดข้ึนดวยอานุภาพของจติ ตา-นปุ สสนาสติปฏฐาน เหมอื นผมู าจากทศิ ตะวนั ตก ถอื เอาสง่ิ ของที่มีข้ึน



















































พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 687แลว ) น้ี เปน คําท่ปี ระมวลอริ ิยาบถทุกอยางไว. มีคาํ อธิบายไวดังตอไปน้วี า กายของเธอ สถิตอยแู ลว โดยอาการใด ๆ เธอกร็ ูชัดกายน้ัน โดยอาการน้นั ๆ คือ รชู ัดกายท่สี ถิตอยโู ดยอาการทเี่ ดิน วา กาํ ลังเดิน รชู ัดกายท่ดี ํารงอยูโ ดยอาการทีย่ นื นั่ง หรอืนอน วา (กําลงั ) นอนเปนตน . บทวา อิติ อชฌฺ ตฺต วา ความวา หรอื เธอพจิ ารณาเห็นกายในกาย โดยการพจิ ารณาอิริยาบถ ๔ ของตนอยางน้ีอยู. บทวา พหทิ ฺธา วา ความวา หรือโดยการกาํ หนดอิริยาบถ ๔ของผอู ื่น. บทวา อชฌฺ ตตฺ พหิทฺธา วา ความวา พิจารณาเห็นกายในกายโดยการกาํ หนดอิรยิ าบถ ๔ ของตน (หรือ ) ของผอู ่ืนตามกาลเวลา. สวนในบทวา สมุทยธมมฺ านปุ สสฺ ี วา เปนตน ผศู ึกษาควรนาํเอาความเกิดขนึ้ และความเส่ือมไปแหงรูปขนั ธดว ยอาการ ๕ อยา งมา โดยนยั มอี าทิวา เพราะอวิชชาเกดิ รปู ขนั ธจ งึ เกดิ . ความจรงิ คาํ วา สมทุ ยธมฺมานุปสฺสี วา น้ี ในอิริยาปถบรรพนี้พระองคตรสั หมายเอาคาํ น้นั . คาํ วา อตถฺ ิ กาโยติ วา ปนสฺส เปนตน ก็เชนเดียวกันกับทก่ี ลา วมาแลวนัน่ แหละ.

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 688 อรยิ สจั ในอริ ยิ าบถ แตใ นอริ ยิ าปถบรรพน้ี สติท่กี าํ หนดอริ ิยาบถท้งั ๔ เปนทุกขสจัตัณหาเกา ทเ่ี ปน สมฏุ ฐานของสติ เปนสมทุ ยั สัจ การไมเปน ไปแหง สติกบั ตัณหาทั้ง ๒ อยา งนน้ั เปน นโิ รธสจั อรยิ มรรคทกี่ ําหนดรทู ุกข ที่ละสมทุ ยั ทมี่ ีนโิ รธเปน อารมณ เปนมรรคสัจ. พระโยคาวจรขวนขวายดว ยอํานาจสัจจะทง้ั ๔ อยา งนแี้ ลว จะบรรลุความดับ (นพิ พาน). ถอ ยคําดังท่พี รรณนามาน้ี เปนชองทางการนําออก (จากทกุ ข) จนถงึ พระอรหตั ของภิกษผุ กู ําหนดอริ ิยาบถ ๔รปู หน่งึ ดังนแ้ี ล. จบ อริ ิยาปถบรรพ พิจารณาดูกายโดยสัมปชญั ญะ ๔ [๑๓๕] พระผูมพี ระภาคเจา ครั้นทรงจําแนกการพิจารณาเห็นกายในกายโดยอริ ยิ าบถอยา งนแ้ี ลว . บัดนี้ เพ่อื จะทรงจาํ แนกโดยสมั ปชัญญะ ๔ จงึ ตรสั คาํ มอี าทวิ า ปนุ จปร ไว. กอนอื่น บรรดาคําเหลานน้ั ในคาํ วา อภกิ กฺ นเฺ ต ปฏิกฺกนฺเต นี้การเดนิ ไปพระองคตรสั เรยี กวา อภิกกนั ตะ การเดนิ กลบั ตรสั เรียกวาปฏกิ กันตะ. แมท ง้ั ๒ อยางนนั้ ไดในอิรยิ าบถท้งั ๔. (จะวา ) ในการเดนิ กอ น เมอ่ื โยกกายไปขา งหนา กช็ อ่ื วา กา วไป.เม่ือเอนกลบั ก็ชอื่ วา ถอยกลบั . แมในการยืน ผยู ืนนน้ั แหละ เมอ่ื โยกกาย

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 689ไปขา งหนา กช็ ือ่ วา กา วไป เมอื่ เอนตัวมาขา งหลงั ก็ชือ่ วา ถอยกลับ.ในการน่ัง ผูนัง่ น่ังเอง เมอื่ โนม ตวั ดา นหนา ไป เฉพาะหนาอาสนะชอื่ วากาวไป เม่ือโยกรา งกายดานหลังไปทางหลัง ชื่อวาถอยกลบั . แมในการนอนก็มีนยั นี้เหมอื นกัน. บทวา สมปฺ ชานการี โหติ ความวา เปน ผปู ระกอบกจิ ทกุ อยางดวยสมั ปชัญญะ (ความรตู วั ) เปนปกติ หรอื เปน ผทู ําความรูส ึกตัวนัน่ แหละเปนปกติ เพราะวา เธอทาํ ความรูสกึ ตวั อยูท เี ดียว ในการกาว.ไปขางหนาเปน ตน ไมว า ในอริ ยิ าบถไหน ๆ ก็ไมเ วนสัมปชญั ญะ. สัมปชัญญะ ๔ สมั ปชญั ญะ ในคาํ วา สมปฺ ชานการี นั้นมี ๔ อยา งคอื สาตถก-สมั ปชญั ญะ ๑ สัปปายสมั ปชญั ญะ ๑ โคจรสมั ปชญั ญะ ๑ อสมั -โมหสมั ปชญั ญะ ๑. ๑. สาตถกสมั ปชญั ญะ บรรดาสมั ปชญั ญะท้ัง ๔ อยา งนน้ั การไมไ ปตามอํานาจความคดิท่เี กิดข้นึ ทีเดยี ว ในเม่อื คดิ จะกา วไป กาํ หนดผลไดผ ลเสยี (กอ น) วาการไปทีน่ ้ี จะมีประโยชนแกเรา หรอื ไมมี แลว ถอื เอาแตประโยชนชือ่ วา สาตถกสมั ปชญั ญะ. ก็บรรดาอัตถะและอนตั ถะ (ผลไดผ ลเสีย) ทั้ง ๒ อยา งนน้ั ความเจรญิ ทางธรรมดวยไดเห็นพระเจดยี  ไดเหน็ ตน โพธ์ิ ไดเหน็ พระสงฆไดเหน็ พระเถระ และไดเห็นอสุภารมณ เปนตน ชอ่ื วา อตั ถะ. เพราะวาแมไดเ หน็ พระเจดียแลว ยังปต ิใหเกดิ มีพระพุทธเจา เปน อารมณข้ึนได

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 690(และ) เพราะไดเห็นพระสงฆ กใ็ หเ กิดปต ิมีพระสงฆเปน อารมณข้ึนไดแลว เมอื่ พิจารณาอารมณน่นั แหละ โดยความส้ินไปและความเสอ่ื มไปก็จะบรรลุพระอรหตั . ไดเห็นพระเถระทัง้ หลายแลว ต้งั อยูในโอวาทของทาน ไดเ ห็นอสุภารมณแลว ยังปฐมฌานใหเ กดิ ในอสภุ ารมณน้นั ขนึ้ ไดเมอ่ื พจิ ารณาอสุภารมณน นั่ แหละไป โดยความสิ้นไปและความเส่ือมไป ก็จะบรรลพุ ระอรหตั . เพราะฉะนน้ั การเห็นสิง่ เหลา น้ัน จึงชอื่ วา มีประ-โยชน. แตอ าจารยลางพวกกลาววา ความเจริญดานอามสิ เอง กช็ ือ่ วาเปน ประโยชน (ผล) ไดเหมือนกัน เพราะอาศยั ประโยชนน ั้นแลวไดปฏิบัติ (ธรรม) เพ่อื อนเุ คราะหพ รหมจรรย. ๒. สปั ปายสัมปชญั ญะ สวนการกาํ หนด สัปปายะ และ อสปั ปายะ (ความสบายหรือไมสบาย) ในการเดินน้นั แลวกําหนดเอาสัปปายะ ชื่อวา สปั ปายสัม-ปชญั ญะ. ไดแ กอะไร ? ไดแ ก การเหน็ พระเจดีย ชอ่ื วามปี ระโยชนก อ น กถ็ าบริษัทประชมุกัน ระยะ ๑๐ หรือ ๑๒ โยชน เพอ่ื บูชามหาเจดยี เปน การใหญ ผูหญงิบา ง ผชู ายบา ง แตง ตวั ดวยเคร่ืองประดับ ตามควรแกส มบตั ิของตน(ตามฐานานรุ ปู ) เดนิ เทยี่ วกนั ไปเหมือนกับภาพจิตรกรรม ( รปู เขียน)ไซร เธอกจ็ ะเกดิ ความอยากได (โลภ) ในอิฏฐารมณน ้ัน จะเกดิ ความขดั เคืองในเพราะอนฏิ ฐารมณ และจะเกดิ ความหลงใหลข้นึ ในเพราะการมองไมเหมาะสม. จะตอ งอาบัติ กายสงั สคั คะ (จบั ตอ งกายหญงิ ) หรือ

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 691จะมีอันตรายแกช ีวิตและพรหมจรรย. สถานท่ดี งั ที่พรรณนามานน้ี นั้ ชือ่ วาเปนอสปั ปายะ. แมการเห็นพระสงฆท ่เี ปน สัปปายะ ชื่อวา มีประโยชนในเพราะไมม ีอันตรายมีประการดังทก่ี ลา วนาแลว. แตถาเม่ือมนษุ ยพ ากันสรา งปะรําใหญไ วภายในหมูบานแลวฟงธรรมเทศนากันตลอดท้งั คืน การชมุ นุมของประชาชนและอนั ตราย กจ็ ะมี โดยประการดงั ท่ีกลาวแลว นน่ั แหละ. สถานทีด่ งั กลา วมาแลว นน้ี ัน้ เปนอสัปปายะ (แต) เปน สัปปายะได เพราะไมมีอันตราย แมในการเห็นพระเถระทั้งหลายผูมีบริษัทบรวิ ารมาก ก็มนี ยั นี้เหมือนกัน. ถงึ การเห็นอสุภารมณ ก็ชอื่ วา มปี ระโยชน. และมีเรอ่ื งดังตอไปนีเ้ ปน การแสดงเนื้อความน้ัน (ตวั อยา ง) :- เรือ่ งภิกษุหนุม เลากันมาวา ภกิ ษหุ นมุ รูปหน่ึงพาสามเณรไปหาไมชําระฟน. สาม-เณรแวะออกนอกทางเดนิ ลว งหนา ไป เห็นอสุภารมณ แลว ยังปฐมฌานใหเกดิ ขน้ึ ทําปฐมฌานนัน่ แหละใหเปน เบ้อื งบาทพจิ ารณาสังขาร ทําผลทัง้ ๓ ใหแจง ชดั แลว ไดย นื กาํ หนดกรรมฐาน เพ่อื ผลประโยชนแกมรรคเบอ้ื งสงู (อรหตั ตมรรค). ภิกษหุ นุม เมื่อไมเ ห็นสามเณรนน้ั จึงรองเรยี กวา สามเณร. สามเณรนนั้ คดิ วา ตงั้ แตบ วชแลว เราไมเ คยใหพ ระเรยี กถงึ๒ ครง้ั เลย เราจักใหคณุ วเิ ศษเบอ้ื งสงู เกิดขึ้นในวันอ่นื เถอะ ดังนีแ้ ลวจึงใหค ําตอบวา อะไรครับทา น ? และสามเณรนนั้ ท่ีภิกษุหนมุ บอกวามาเถิดสามเณร เพยี งคาํ เดยี วเทานัน้ ก็มาแลว ไดพ ูดวา ทานครบั ขอไดโปรดเดนิ ไปตามทางนกี้ อน แลว ยนื หันหนา มองไปทางทิศตะวนั ออกสกั ครูห น่งึ ณ โอกาสท่ผี มยนื . เธอไดท าํ ตามน้ันแลว ไดบ รรลคุ ุณวเิ ศษ

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 692ท่สี ามเณรน้ันไดแ ลว บรรลแุ ลว . อสภุ ารมณเ ดียว ไดเ กิดประโยชนแกค น๒ คน ดงั ที่พรรณนามาน้.ี กอ็ สุภารมณนี้ แมจ ะมปี ระโยชนด ังที่พรรณนามานี้ (แต) อสุภา-รมณคอื หญิง กเ็ ปน อสปั ปายะของชาย และอสุภารมณคือชาย กเ็ ปนอสัปปายะของหญิง. อสภุ ารมณที่เปน สภาคกันเทานัน้ จึงจะเปน สัปปายะเพราฉะน้ัน การกาํ หนดสปั ปายะอยางนัน้ ชือ่ วา สัปปายะสมั ปชัญญะ. ๓. โคจรสัมปชญั ญะ แตการเรียนเอา โคจระ กลา วคอื กรรมฐาน ซ่ึงเปน ที่ชอบใจของตน ในจํานวนกรรมฐาน ๓๘ ประการ แลว รบั เอากรรมฐานน้ันเดินไปในท่โี คจรเพอื่ ภกิ ขาจาร ชื่อวา โคจรสัมปชญั ญะ สําหรบั ผมู ีสปั ปายะที่มปี ระโยชนท่กี าํ หนดแลว อยางน.้ี เพื่อความแจมชดั แหงโคจรสมั ปชัญญะนัน้ ผูศ ึกษาควรทราบสมั ปชญั ญะ ๔ หมวด ดงั ตอ ไปนี้ คือ ภิกษุลางรูปในศาสนาน้ี นาํ ไปไมน ํากลบั ลางรปู ไมน ําไป ไมนาํ กลับ ลางรูปท้ังนาํ ไปไมน าํ กลบั . ภิกษุนาํ ไปนาํ กลับ บรรดาภกิ ษทุ ั้ง ๔ รูปนัน้ ภกิ ษรุ ูปใด ชาํ ระจิตใหผอ งใสจากนิวรณธรรม ดว ยการจงกรม ดว ยการน่ังตลอดท้งั วนั ตลอดปฐมยามแหงราตรกี เ็ ชน นั้น ในมัชฌมิ ยามจาํ วดั แมใ นปจฉมิ ยามก็ใหเ วลาผา นไปดว ยการน่งั การจงกรม จะปวยกลา วไปไยถงึ จะทําวัตรท่ลี านพระเจดีย ลานโพธพ์ิ ฤกษ จะรดนํ้าตนโพธ์ิ จะต้งั นํ้าด่ืมนา้ํ ใชไว สมาทาน ปฏบิ ตั วิ ัตร

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 693ในคมั ภรี ข นั ธกะ๑ทกุ อยา ง มอี าจริยวัตร และอปุ ช ฌายวตั รเปน ตน เธอทาํ ธุระเกย่ี วกบั รางกายแลว เขาไปยังท่นี ั่งทีน่ อน และนงั่ ขัดสมาธิ ๒-๓ทา พอใหอบอนุ แลวปฏิบตั ธิ รรมฐาน ลกุ ข้นึ ในเวลาภิกขาจาร ถอื เอาบาตรและจวี รออกไปจากเสนาสนะ มนสิการกรรมฐานอยู ดว ยหัวขอกรรมฐานนน่ั เอง เดนิ ไปสลู านเจดียแลว ถา มีกรรมฐานมพี ทุ ธานสุ สติเปน อารมณไซร ก็อยา ทิ้งกรรมฐานนั้นเสีย เขา ไปยังลานพระเจดีย. ถามีกรรมฐานอยางอ่นื ไซร ควรพกั กรรมฐานน้นั ไว เหมือนกบั เอามือจบัสงิ่ ของวางไวท ่ีเชิงบันได แลว กําหนดเอาปต ิมีพระพทุ ธเจา เปนอารมณข นึ้ไปยงั ลานพระเจดีย (ถา ) เปน เจดียอ งคใหญ ควรทําประทักษณิ ๓ คร้งัแลว ไหวท ง้ั ๔ ดาน (ถา ) เปน เจดยี อ งคเล็ก ควรทําปทกั ษิณาอยา งน้ันเหมือนกนั แลว ไหวท้ัง ๘ ดาน. คร้นั ไหวพ ระเจดยี เ สร็จ ไปถึงลานโพธิแ์ ลว ควรวันทาตนโพธแิ์ สดงความยําเกรง เหมอื นอยตู อ พระพักตรพระผมู พี ระภาคเจา . เธอไหวพระเจดียและตน โพธ์ิอยางนีแ้ ลว ไปยังที่ทต่ี นพกั กรรมฐานไว รับเอากรรมฐานทีพ่ กั ไว (เกบ็ ไวช่วั คราว) เหมือนกับเอามอื จับเอาสงิ่ ของท่ตี นเก็บไวฉะนนั้ แลว หมจีวรในท่ใี กลบาน โดยมีกรรมฐานเปนสําคญั นั้นเลง เขา บานไปเพือ่ บิณฑบาต. ครนั้ คนทัง้ หลายเห็นทา นแลว บอกกันวา พระคณุ เจา ของเรามาแลว พากันตอ นรับทา น รับเอาบาตรแลวใหน ัง่ บนศาลาโรงฉนั หรือบนเรือน ถวายขา วยาคู ลา งเทาทาดว ยนํ้ามนั ใหจนกวา จะเสร็จภตั ตกิจพากนั นง่ั ขางหนา บา งกถ็ ามปญหา บางก็ตองการจะฟง ธรรม แตถาเขาจะใหก ลาว (ธรรมกถา) พระอรรถกถาจารยกลา วไววา ข้นึ ชอื่ วา๑. ปาฐะ เปน ขนธฺ กวตตฺ าทีนิ แตฉ บับพมา เปน ขนธฺ กวตตฺ านิ จงึ แปลตามฉบบั พมา .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 694ธรรมกถา ควรแสดงทีเดยี ว เพอื่ สงเคราะหประชาชน. เพราะข้นึ ชื่อวาธรรมกถา จะเหนอื ไปจากกรรมฐานไมมี เพราะฉะน้ัน ครัน้ ทา นแสดงธรรมโดยมีกรรมฐานเปน สาํ คัญนน่ั เอง ฉนั อาหารโดยมกี รรมฐานเปนสําคญั นน่ั เอง ทาํ อนุโมทนาแลว เม่ือเขาใหกลบั กใ็ หต ามคนเขาไปแลว กลบั ณ ที่นน้ั นั่นเอง แลวจึงเดินทางตอไป. คร้ันสามเณรและภกิ ษุหนมุ ผูอ อกไปกอ น ฉันเสรจ็ แลว เหน็ ทานจงึ พากันไปตอ นรบั รบับาตรและจวี รของทาน. ไดท ราบวา ภกิ ษุรนุ เกา ดหู นา เห็นวา ไมใชอ ปุ ช ฌาจารยของคนแลวทํา (อาคนั ตุกะ) วัตรอยู แตทําตามกําหนดท่ีมาเผชิญเขา เทานั้น. ภิกษุเหลา นั้นจะถามทานวา คนเหลานัน้ เปนอะไรกบั ทา น๑ เก่ียวของกนั ทางโยมผหู ญงิ หรอื ทางฝา ยโยมผูชาย ? ทานจะตอบวา พวกคุณเห็นอะไรจึงถาม ? สามเณรและภิกษหุ นมุ เหลานั้นเรยี นวา คนเหลา น้ีมีความรกั ความนับถือมาก๒ ในเพราะใตเทา. คุณครบั ส่งิ ใด ทีแ่ มแตโ ยมผหู ญิง โยมผูชาย (ของผม ) กท็ าํไดย าก คนเหลานน้ั ทาํ สิง่ น้ันใหผม แมบ าตรและจีวรของผม ก็เปน ของคนเหลานนั้ เหมอื นกนั (ถวาย) ดว ยอานภุ าพของคนเหลา น้ัน เมื่อมภี ัยผมก็ไมรูจักภยั เลย เม่ือมคี วามหวิ ผมก็ไมร ูจกั หวิ ขน้ึ ช่อื วา เหลา ชนผมู อี ปุ การะแกผมเชนนีจ้ ะไมม ี เธอพูดถึงคณุ ของคนเหลา นั้นอยูอยา งนี้เดินไป ภิกษนุ ท้ี านเรยี กวา ชื่อวานําไป ไมน าํ กลบั .๑. ฉบับพมา มี ตมุ ฺหาก แปลตามฉบบั พมา.๒. ในระหวา งนี้ ฉบับพมามีศัพทว า เปม จึงแปลตามฉบบั พมา .

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 695 ภิกษุไมน ําไปไมนาํ กลบั แตว า จะปวยกลา วไปไย เมอ่ื ภิกษุใด ทาํ วตั รปฏบิ ัตมิ ีประการดังที่กลาวมาแลว เดชทเี่ กดิ แตก รรม จะสาํ แดงออก จะปลอ ยวางอนปุ า-ทนิ นกสงั ขาร ยึดอปุ าทินนกสังขาร เหงอ่ื จะไหลออกจากรา งกาย จะไมข้นึ สูวถิ ีทางของกรรมฐาน. จะปวยกลาวไปไย ถงึ ภิกษนุ นั้ จะถอื เอาบาตรและจีวร จะรีบไปไหวพ ระเจดยี  เขาบา น เพื่อขา วยาคูและภกิ ษาในเวลาทโ่ี คทั้งหลายออกไป (หากิน) นนั่ เอง ไดข าวยาคแู ลว ไปยังอาสนศาลา (หอฉนั ) แลว ดม่ื . ภายหลังดว ยเหตเุ พียงการด่มื ขาวยาค.ู๒-๓ อกึ ของทานเทา นน้ั เดช (ความรอ น) ทเ่ี กิดแตกรรมจะปลอยวางอุปาทนิ นกสังขาร ยดึ อนปุ าทินนกสงั ขาร. เธอจะดับความกระวนกระ-วายทเี่ กดิ แตเตโชธาตุ เหมือนอาบน้ํารอยหมอ ฉันขา วยาคูโดยมกี รรม-ฐานเปนสาํ คญั ลางบาตรและบว นปากแลว มนสิการกรรมฐานในระหวางภัต เที่ยวไปบิณฑบาตในทท่ี ่ีเหลอื ฉนั อาหารโดยมีกรรมฐานเปน สาํ คญัตั้งแตน ัน้ ไปจะรบั เอากรรมฐานทีป่ รากฏขึน้ ตดิ ตอกนั ไป แลว เดนิ ไป ภกิ ษุน้เี รียกวาไมน ําไป แตน าํ กลับ. ก็ขึน้ ชอื่ วา ภิกษุทั้งหลายผูด่ืมขา วยาคูปรารภวปิ สสนา แลวบรรลุพระอรหัตในพระพทุ ธศาสนา เชน นนี้ บัจํานวนไมถว น. ในเกาะสีหลนัน่ เอง บนอาสนศาลา อาสนะสาํ หรับนั่งดม่ื ขา วยาคูกไ็ มมี ภิกษุท่ดี ื่มขา วยาคแู ลว บรรลุอรหัต กไ็ มม.ี แตภ กิ ษใุ ดเปนผูอยูอยางประมาทเปนปกติ ทอดท้งิ ธรุ ะ ทําลายวัตรทกุ อยาง มีจิตผกู พนั อยกู บั เจโตขีลธรรม ๕ ประการ ไมทําสญั ญาไวบ างวา ขน้ึ ชื่อวากรรมฐานมีอยู เขาไปบา นเพอ่ื บณิ ฑบาตเท่ียวคลุกคลดี วยการคลกุ คลีกบัคฤหสั ถท่ีไมเหมาะสม และฉันแลว (มีบาตร) เปลาออกไป ภิกษุนเ้ี รยี ก

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 696วา ไมน าํ ไป และไมนาํ กลับ. ภกิ ษุทงั้ นาํ ไปนาํ กลับ สว นภกิ ษุนี้ใด ที่ทา นกลาววา นําไปดวย นาํ กลับดว ย ภกิ ษนุ ้นัพงึ ทราบไดด ว ยคตปจจาคติวัตรของผูเดินกลับไปกลบั มา. เพราะวากุลบตุ รทัง้ หลายผมู ุงประโยชน บวชในศาสนาแลว เมอื่ จะอยูโดยลําพัง๑๐ ปบา ง ๒๐ ปบ าง ๕๐ ปบ า ง ๑๐๐ ปบาง อยูโดยทํากตกิ าวตั รกนัไววา ทา นครับ ทานทงั้ หลายไมใชบวชหลบหนี ไมใ ชบวชหลบภยั ไมใชบวชเลี้ยงชพี แตป ระสงคจ ะพนจากทุกข จึงไดบวชในพระศาสนานี้เพราะฉะนัน้ ในขณะเดนิ น่นั แหละ ทา นทั้งหลายจงขม กิเลสที่เกดิ ขนึ้ ในเวลาเดนิ ในขณะยนื ก็ขม กเิ ลสทีเ่ กดิ ขึน้ ในเวลายนื ในขณะนัง่ กจ็ งขม กเิ ลสท่เี กิดขึ้นในเวลานงั่ ในขณะนอนน่ันแหละ กจ็ งขมกิเลสทเ่ี กดิขึน้ ในเวลานอน. ภิกษุเหลานั้น คร้นั ทาํ กตกิ าวตั รกันไวอยา งน้ีแลว เมอื่ไปภิกขาจารก็เดนิ ไปมนสิการกรรมฐานไป ตามสญั ญาน้นั ถาหากกิเลสเกดิ ขึน้ แกใคร ในขณะเดนิ ในระหวา งครง่ึ อสุ ภุ ะ หน่งึ อุสุภะ คร่ึงคาวตุหรอื หน่ึงคาวุต มกี อนหินอยู ภิกษนุ ้นั จะขม กิเลสนัน้ ในท่นี นั้ เอง เมอื่ไมอาจ (ขม ได) อยางนน้ั กจ็ ะหยดุ ยืน. ถดั นั้นภิกษุ (รูปอน่ื ) แมตามหลังเธอมาก็จะหยดุ ยนื ตาม เธอจะเตือนตนเองวา ภกิ ษนุ ีร้ วู ิตกที่เกิดแกเ จาแลว ขอนไ้ี มส มควรแกเจา แลว เจรญิ วปิ สสนากา วลงสอู ริยภมู ิ ณท่นี ้นั น่นั เอง ในคําวา เม่ือไมอาจอยางนนั้ เธอก็จะนงั่ ถดั น้ัน แมภิกษุผูมาขา งหลงั เธอก็จะนง่ั ตาม ก็มนี ยั นน้ั เหมอื นกนั . ถึงไมส ามารถกาวลงสูอริยภูมไิ ด ก็จะขม กเิ ลสนัน้ ไว เดินมนสกิ ารกรรมฐานไปทเี ดียว ไม

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 697ยกเทา ข้ึนทัง้ ท่มี ีจติ พรากจากกรรมฐาน ถายก (โดยท่ีมจี ติ พรากจากกรรมฐาน) กจ็ ะกลับไปยงั ที่เดิมนน้ั เอง เหมอื นมหาปสุ สเทวเถระ ชาวอาลนิ ทกะ. เรอ่ื งพระมหาปสุ สเทวเถระ เลากนั มาวา ทา นไดบําเพ็ญคตปจจาคติกวตั ร๑ (วตั รของผเู ดินกลับไปกลับมา) อยทู เ่ี ดียวเปน เวลา ๑๙ พรรษา. ไดยนิ วา แมค นท้ังหลายกําลังไถ กําลงั หวาน กาํ ลังนวด ทํางานกนั อยู เห็นพระเถระเดินอยางนั้น จงึ สนทนากันวา พระเถระรปู นี้ เดินกลบั ไปกลับมา คงจะหลงทางหรือไมก ค็ งลืมอะไรกระมัง ? ทา นไมค าํ นงึ ถงึ คําพดู นน้ั ทาํสมณธรรมดวยทง้ั จิตทป่ี ระกอบดวยกรรมฐานนัน้ แหละ ไดบ รรลุอรหัตภายใน ๒๐ พรรษา. ในวนั ท่ีทา นไดบรรลพุ ระอรหตั นัน่ เอง เทวดาทีส่ ง่ิอยูทป่ี ลายทางจงกรมของทา น ไดย ืนชนู ้ิวแทนประทีป๒ ถึงทาวมหาราชท้งั ๔ ทาวสกั กะจอมเทพ และสหัมบดพี รหม ก็ไดพากันมายังท่ีทํานุบาํ รุง (ทาน). และทา นวนวาสตี สิ สมหาเถระ เหน็ แสงสวางนน้ั แลวในวนั ท่ี ๒ จงึ ไดถามทานมหาปสุ สเถระ ชาวอาลินทกะวา เวลากลางคืน ที่สํานกั ของทาน ไดมีแสงสวาง แสงสวา งนนั้ เปนแสงสวา งอะไร ?พระเถระเมอ่ื จะทําการกลบเกล่อื น จึงไดพดู คาํ มีอาทอิ ยางนว้ี า ธรรมดาแสงสวา ง กค็ งเปนแสงสวา งของประทปี บาง เปนแสงสวา งของแลวมณีบาง ตอ มาทานกาํ ชับทานวนวาสตี ิสสเถระไววา ทา นจงปกปดไว รวู าทานรบั คาํ แลวจึงบอก. และเหมือนกบั ทานมหานาคเถระ ชาวกาลวลั ล-ิ๑. ปาฐะวา คตปจจฺ าคตวตตฺ  ฉบับพมาเปน คตปจจฺ าคตกิ วตฺต แปลตามฉบบั พมา .๒. ปาฐะวา กตวฺ า พมาเปน อุชชฺ าเลตวฺ า แปลตามฉบับพมา .

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 698มณฑป เรือ่ งพระมหานาคเถระ ไดท ราบวา แมพระเถระรูปนน้ั เมอ่ื บําเพญ็ คตปจจาคตกิ วัตร ไดอธิษฐานจงกรมอยา งเดยี ว ส้นิ เวลา ๗ ป วา เราจกั บูชาความเพยี รอนัย่งิ ใหญ ของพระผมู พี ระภาคเจา เปน ปฐมกอ น ไดบ าํ เพญ็ คตปจจา-คตกิ วตั รอีก ๑๖ ป จงึ ไดบรรลพุ ระอรหตั ทา นมจี ิตประกอบดวยพระ-กรรมฐานนน่ั เอง ยกเทา ขน้ึ ถอยกลบั ในขณะยก (เทา ) ข้นึ โดยจติปราศจาก (กรรมฐาน) เดินไปใกลบ า น ยืนหม ผา ณ ทีท่ ่ีชวนใหค นสงสัยวา แมว ัวหรอื พระกนั แน ? ใชน้ําจากที่ระหวางตน ไทรลา งบาตรแลวก็อมนํ้าไว. เพราะเหตไุ ร ? เพราะทานคิดวา ขอเราอยาไดท อดทิ้งกรรมฐาน แมด ว ยเหตุทพ่ี ดู กะคนที่มาถวายภิกษาหรือมนสิการวา ขอจงมีอายยุ ืนเถิด. แต (ถา) ถกู ถามถงึ วันวา วนั นี้เปน วันอะไรครับ หรือถามจาํ นวนภกิ ษุถามปญหา ก็จะกลืนนาํ้ แลว จึงบอก ถงึ หากไมม ีผถู ามถึงวันเปนตน เวลาออกไปกจ็ ะบว นนา้ํ ออก (จากปาก) ท่ีประตูบานแลวจึงไป เหมือนภิกษุ ๕๐ รปู ทจี่ าํ พรรษาที่กลัมพตติ ถวิหาร. เร่อื งพระ ๕๐ รูป ไดท ราบวา ในวนั อาสาฬหปุณณมี (กลางเดอื น ๘) ทา นเหลาน้ันไดท ํากตกิ าวัตรกนั ไวว า ถาพวกเรายังไมบรรลุอรหัตแลว จะไมพ ดูคยุ กนั . และเมอ่ื จะเขา บานบณิ ฑบาต ( แตล ะรูป ) กอ็ มน้ําแลว จึงเขา ไปเมอ่ื ถูกถามถึงวนั เปน ตน ก็ปฏิบตั ิดังทก่ี ลา วมาแลวนั้นแหละ. คนทง้ั หลายเห็นรอยบวนนา้ํ ณ ที่นั้นแลว ก็รูวา วนั นี้พระมารูปเดยี ว วันนีม้ า ๒ รูป

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 699จงึ คิดกันอยางนี้วา ทานเหลานีไ้ มพ ูดเฉพาะกับพวกเราหรอื อยา งไร ? หรอืแมแตพวกกันเองก็ไมพดู ? ถา หากทา นไมพูดกนั ทา นจักวิวาทกันเปนแน มาเถดิ เราทั้งหลายจกั ใหท านขอขมากนั ทกุ คนจึงพากันไปวดั ไมไดเหน็ พระภิกษุในทีแ่ หงเดียวกนั ถงึ ๒ รูป ในจํานวนพระ ๕๐ รปู .ตอมาบรรดาคนทัง้ หลายเหลา นั้น ผูมีตาดกี ็จะพดู วา พอคณุ เอย คนทะเลาะกนั จะไมมีโอกาสเชน น้ี ลานเจดยี  ลานโพธิ์ ก็กวาดเรียบรอ ยไมกวาด ก็เก็บไวด ี น้ําฉนั น้ําใช ก็จัดไวเรยี บรอย. ตอ จากน้ัน เขาเหลา นนั้ กพ็ ากันกลับ. ในภายในพรรษานน้ั เอง พระภกิ ษแุ มเหลา นั้น ก็บรรลุอรหตั ในวนั มหาปวารณา จงึ ปวารณากันดว ยวิสุทธิปวารณา. ภกิ ษุมีจติ ประกอบดว ยกรรมฐานนนั้ เอง ยกเทา ข้ึน ( เดินไป) ถงึใกลบ านแลวอมนํ้าไว พจิ ารณาดูทางหลายสาย ท่ไี มม ีผคู นทะเลาะกนัไมม ีนกั เลงสรุ า และนกั เลงการพนันเปน ตน หรือไมมีชางดุ มาดุ เปนตนแลว เดินไปทางน้ัน เหมือนทานมหานาคเถระ ชาวกาลวลั ลิมณฑปและเหมือนกับภิกษุผูจาํ พรรษาในกลัมพตติ ถวหิ าร ดังท่พี รรณนามานี.้เธอเม่อื จะไปบิณฑบาตในบา นน้นั ก็จะไมเ ดินเรว็ เหมอื นคนรบี รอ น.เพราะวา ไมมีธุดงคอ ะไร ท่มี ีชื่อวา เปนธดุ งคส ําหรับผูเดินบิณฑบาตเร็ว.แตวา เดินไมโ คลงกายเหมอื นเกวยี นบรรทุกนํ้าเต็ม (ไป) ถึงพ้ืนทร่ี าบเรยี บ. และเขาไปตามลําดับเรือน (ยืน) คอยเวลาพอสมควร เพือ่ สังเกตดวู าเขาประสงคจ ะถวาย (ตักบาตร) หรือไมประสงคจ ะถวาย รบั ภิกษาแลว (อย)ู ในบานหรือนอกบา น หรอื มายงั วหิ ารนน่ั เอง นั่งในโอกาสทส่ี มควรตามสบายแลว มนสิการกรรมฐาน กําหนดปฏิกูลสัญญาในอาหารพิจารณาโดยเปรียบเทยี บกับนา้ํ มันหยอดเพลา ผา พันแผล และเน้ือบุตร

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 700นําอาหารท่ปี ระกอบดว ยองค ๘ มา ไมใ ชฉ นั เพอื่ จะเลน ไมใ ชฉ นั เพื่อจะตกแตง ไมใชฉัน เพื่อจะประดับประดา และฉันแลว จัดเรื่องเกยี่ วกบั น้ํา(ดม่ื , ลาง) เสร็จแลว ระงับความลําบากที่เกดิ จากอาหาร (เมาขาวสกุ )สักครูหนง่ึ แลว จึงมนสกิ ารกรรมฐานน่ันแหละ ในเวลาหลังฉันเหมือนกับเวลาเวลากอนฉนั และในเวลาปจฉมิ ยามเหมือนกบั เวลาปฐมยาม.ภิกษุรูปนี้ เรียกไดว า ท้ังนาํ ไปและนาํ กลบั . กเ็ ธอเม่อื บําเพญ็ คตปจจาคติกวัตร กลาวคือการนาํ ไปและนาํ กลับนี้ ถาหากมอี ุปนิสยั สมบรู ณไซร กจ็ ะบรรลอุ รหัตในปฐมยามนั่นเอง ถาหากไมบรรลุในปฐมยาม ตอไปกจ็ ะบรรลใุ นมัชฌมิ ยาม ถา หากในมชั -ฌมิ ยามไมบรรลไุ ซร ตอ ไปก็จะบรรลุในมรณสมยั ถาหากในมรณสมัยไมบ รรลไุ ซร ตอไปก็จะเปน เทพบุตรแลว บรรลุ ถา หากเปน เทพบุตรแลวกย็ งั ไมบรรลไุ ซร เม่ือพระพุทธเจา ยงั ไมเสด็จอบุ ัติ จะเกดิ ข้นึ แลวทําใหแ จงปจ เจกโพธิญาณ ถา ไมท าํ ใหแจงปจ เจกโพธญิ าณไซร ตอไปจะเปนผูร โู ดยเรว็ (ขิปปาภิญญาบคุ คล ) ตอพระพกั ตรข องพระพทุ ธเจาทง้ั หลาย เหมอื นพระพาหิยทารจุ ีรยิ เถระ จะมีปญ ญามาก เหมือนพระสารบี ตุ รเถระ จะมีฤทธม์ิ าก เหมอื นพระโมคคัลลานเถระ จะเปนผูบอกธุดงคเหมอื นพระมหากสั สปเถระ จะเปน ผมู ที พิ ยจกั ษุเหมือนพระอน-ุรทุ ธเถระ จะเปนพระวินยั ธรเหมอื นพระอุบาลีเถระ จะเปน พระธรรม-กถึกเหมือนพระปณุ ณมันตานบี ุตรเถระ จะเปนผอู ยปู า เปน ประจาํ เหมือนพระเรวตเถระ จะเปนพหูสูตรเหมอื นพระอานนทเถระ หรอื จะเปน ผูใ ครการศกึ ษาเหมอื นพระราหลุ เถระพุทธบุตร ดงั น.ี้ ภกิ ษผุ นู าํ ไปและนํากลับใน ๔ วาระน้ี จะมโี คจรสมั ปชัญญะ ถึง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook