พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 651พระผมู ีพระภาคเจา ทรงถามปญหา. ในอวสานแหง การวิสัชนาปญ หาทาวเธอไดบ รรลโุ สดาปต ตผิ ล พรอมดว ยเทวดา ๘ หม่นื ตน ทาวเธอ(จตุ แิ ลว ) ไดเสด็จอุบตั ขิ นึ้ ใหมเปน ปกตดิ งั เดมิ อกี . เทวดาตกนรก แมส ุพรหมเทพบตุ ร มีเทพอปั สรพันหนึง่ เปน บรวิ าร เสวยสวรรคส มบัติ บรรดาเทพอปั สรสาวสวรรคพันหนงึ่ นัน้ เทพอัปสร ๕๐๐ตน กาํ ลงั เกบ็ ดอกไม จากตนอยูหลดั ๆ ก็จตุ ๑ิ แลวเกดิ ในนรก. ทาวเธอทรงใครค รวญดวู า สาวอัปสรเหลานี้ เหตใุ ดจงึ ชา อยู ? ไดทรงเหน็ วาเขาเหลานัน้ เกิดในนรกแลว ทรงตรวจดวู า อายุของเรา จะเทา ไรหนอ ? พอทรงทราบพระชนมายุของพระองคก ็จกั ส้นิ ไปเหมือนกนั ก็ทรงเห็นวา พระองคจะทรงเกดิ ในนรกนนั้ แหละ จงึ ตกพระทยั ทรงโทมนสั เหลือเกนิ ทรงดํารวิ า พระศาสดาจักขจดั โทมนสั ของเรานไ้ี ด ผูอ ่ืนขจัดไมไ ด แลว ไดท รงพาเทพอัปสรสาวสวรรค ๕๐๐ ท่ยี ังเหลือไปเฝาพระผูม ีพระภาคเจาทูลถามปญหาวา :- จิตนีส้ ะดุงอยูเ นืองนติ ย จิตคือใจน้ีหวาดผวาเปน ประจาํ เมอ่ื กิจ (เหตุ) เกดิ ขึ้นแลวและยงั ไมเ กิดขน้ึ ถา หากความไมส ะดงุ กลัวมีอยู ขอพระองค ผอู ันขา พระองคทูลถานแลว จงตรัสบอกความไม สะดงุ นั้นแกขาพระองคดว ยเถดิ . ลําดบั น้นั พระผูมีพระภาคเจา ไดต รัสกะทาวเธอวา : เรามองไมเหน็ ความสวสั ดอี ยางอืน่ ของสตั วท ้ังหลาย๑. ปาฐะเปน จรติ ฺวา ฉบับพมา เปน จวติ วฺ า จึงแปลตามฉบบั พมา.
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 652 นอกจากการบําเพ็ญเพียร อนั เปน องคแหง การตรัสรู นอกจากการสํารวมอนิ ทรีย (และ) นอกจากการ ปลอยวางทั้งหมด. ในเวลาจบพระธรรมเทศนา ทาวเธอ ดํารงอยใู นโสดาปต ติผลพรอมดว ยเทพอัปสร ๕๐๐ ทรงทําทพิ ยสมบัติน้นั ใหม ีเสถยี รภาพแลวไดเสด็จไปยังเทวโลกตามเดมิ . ทางน้ีบุคคลผูเจริญแลว พงึ เขาไวว า เปน ไปเพ่ือดบั โทมนัสของสัตวทัง้ หลาย เหมอื นของทา วสักกะ เปน ตน ดงั ท่ีพรรณนามานี.้ อริยมรรคมอี งค ๘ นนั้ ทานเรียกวา ญายะ ในคําวา ายสสฺอธคิ มาย เพือ่ บรรลุ อธิบายวา เพอ่ื ถึงอรยิ มรรคน้นั . เพราะวามรรคสติปฏ ฐานอนั เปนโลกิยะในสว นเบือ้ งตน น้ี อนั บุคคลเจริญแลว ยอ มเปน ไปเพอ่ื บรรลุโลกุตตรมรรค. ดวยเหตุน้ัน พระผูม พี ระภาคเจาจึงตรสั วา ายสฺส อธคิ มาย. บทวา นพิ ฺพานสสฺ สจฺฉกิ ริ ยิ าย (เพ่อื กระทําใหแจงซ่ึงพระนพิ พาน) ความวา เพ่ือกระทําใหแจง ทานกลาวอธิบายไววา เพอื่ ประจักษดวยตนเอง ซง่ึ อมตธรรมท่ีไดน ามวา พระนิพพาน เพราะเวน จากตัณหาเคร่ืองรอยรดั . เพราะวามรรคนี้ทบ่ี คุ คลอบรมแลว ใหสาํ เร็จการทาํ ใหแจงพระนพิ พาน ตามลาํ ดับ. ดวยเหตุนนั้ พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา นิพพฺ านสฺส สจฺฉกิ ิริยาย. บรรดาคาํ เหลา นั้น เมือ่ พระองคตรัสวา เพอื่ ความบริสุทธ์ิของสตั วท ง้ั หลาย คําวากาวลว งความโศกเปนตน กเ็ ปน อนั สําเร็จความหมายไปดว ย ก็จริง แตก ็ยังไมปรากฏแกผ อู ่ืน นอกจากผฉู ลาดในขอยุติของ
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 653ศาสนา. และพระผมู ีพระภาคเจา มไิ ดท รงทาํ ใหค นเปนผูฉลาดในขอยตุ ขิ องศาสนากอ นแลว จงึ ทรงแสดงธรรมภายหลัง. แตทรงใหเ ขาใจผลทตี่ อ งการน้นั ๆ ดวยสูตรน้ัน ๆ เทานั้น เพราะฉะนั้น ในสติปฏ ฐาน-สตู รนี้ เม่ือพระองคจะทรงแสดงผลทต่ี องการซ่งึ เอกายนมรรคจะใหส ําเรจ็ไดใหป รากฏ จึงไดตรสั ไวว า โสกปริเทวาน สมติกกฺ มาย เพ่อื กาวลว งโสกะและปรเิ ทวะทง้ั หลาย ดังนเ้ี ปนตน . อกี อยา งหน่ึง เพราะความบรสิ ทุ ธข์ิ องสัตวทั้งหลาย จะเปนไปพรอม ก็ดวยเอกายนมรรค ความบรสิ ทุ ธิ์จะมไี ด เพราะกาวลว งโสกปริเทวะ การกาวลวงโสกปริเทวะจะมีได เพราะทกุ ขโทมนัสดับไป การดบั ทกุ ขโทมนัสจะมีได เพราะไดบ รรลุญายธรรม การบรรลุญายธรรมจะมีได เพราะการทาํ ใหแจงซงึ่ พระนพิ พาน ฉะน้นั พระองคเพ่อื ทรงแสดงลําดับนแ้ี ลว จึงตรัสวา สตฺตาน วิสุทฺธิยา เพือ่ ความบรสิ ุทธ์ขิ องสตั วท ้ังหลาย แลวไดต รสั คาํ น้ีอาทินีไ้ ววา โสกปริเทวานสมติกฺกมาย เพื่อระงับโสกะและปรเิ ทวะ. อกี อยางหน่งึ คําวา สตตฺ าน วิสุทธฺ ยิ า เปน ตน นี้ เปนคํากลาวสรรเสรญิ เอกายนมรรค เหมือนอยา งวา พระผูม พี ระภาคเจา ไดต รสัสรรเสรญิ เทศนา ๖ หมวด หมวดละ ๖ ขอ ดวยบท ๘ บทวา ภกิ ษุท้ังหลาย เราตถาคตจักแสดงธรรมงามในเบือ้ งตน งามในทามกลางงามในทสี่ ุด จักประกาศพรหมจรรย (ศาสนา) ที่บริสทุ ธิ์ บริบูรณสิ้นเชิง พรอ มทงั้ อรรถะ พรอมทง้ั พยญั ชนะ คอื พรหมจรรย ๖ หมวดหมวดละ ๖ ขอ แกเ ธอท้งั หลาย และไดตรสั สรรเสรญิ อรยิ วงศเ ทศนาไว ดวยบท ๙ บทวา ภิกษทุ ้งั หลาย อริยวงศ ๔ อยางเหลา นี้ เปน ของ
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 654ที่ผูร ูรูกนั วาเลิศ รูกนั มานาน รูกนั วา เปนวงศ (ของพระอริยเจา )เปน ของเกา ไมเกลื่อนกลาด ไมเ คยเกลอ่ื นกลาด ไมถ ูกระแวง ไมถ ูกสมณพราหมณผรู ูคัดคา นฉนั ใด. พระองคกไ็ ดตรัสสรรเสริญเอกายนมรรคแมนไี้ ว ดว ยบท ๗ บท มบี ทวา เพ่อื ความบรสิ ุทธแ์ิ หง สตั วท งั้ หลายเปนตน ฉันน้ัน. หากจะถามวา เพราะเหตไุ ร ? แกว า เพือ่ จะใหเกดิ อุตสาหะแกภกิ ษเุ หลา น้นั . ดวยวา ภกิ ษุเหลาน้ัน ครน้ั ไดส ดบั การตรัสสรรเสริญแลว จกั เกิดอุตสาหะข้ึนวา ทางสายนี้จะนาํ อุปท วะท้ัง ๔ ออกไป คือ ความโศกทเ่ี ปนส่งิ แผดเผาใจ ๑ ความคราํ่ ครวญที่เปน การรําพนั ทางวาจา ๑ ความทกุ ขท่ีเปนความไมส าํ ราญทางกาย ๑ ความเสียใจซ่ึงเปนความไมแชม ชนื่ ทางใจ ๑ (และ) นําคุณวิเศษ ๓ อยางมาให คือ วสิ ทุ ธิความหมดจด ๑ ญายธรรมท่ีควรรู ๑ นพิ พานความดบั (กเิ ลส ) ๑ดังนี้แลว จกั สําคญั พระธรรมเทศนาน้ีวา ตอ งเรยี น ตอ งทอง ตอ งจําทรงตองบอกสอน และจกั สาํ คญั ทางสายนีว้ าตอ งเจริญ (ดําเนนิ ). พระผูมีพระภาคเจาไดตรสั สรรเสริญ (เอกายนมรรค) เพอ่ื ใหภ ิกษเุ หลา น้นัเกิดอุตสาหะ ดว ยประการดังท่พี รรณนามาน้ี เหมือนกับพอคาผา ขนสัตวเปน ตน กลาวสรรเสรญิ คุณภาพผา ขนสตั วเ ปน ตน ฉะนั้น. ความพิสดารวา เมื่อพอ คา ผา ขนสัตวสเี หลอื ง (ปณฑกุ ัมพล )ราคาแสน โฆษณาวา เชิญรับผาขนสตั วครับ คนทง้ั หลายยังไมทราบกอ นวา เปน ผากัมพลชนดิ โนน . เพราะวา แมผ า เกสกัมพลและผาพาลกัมพลเปนตน ที่มีกลนิ่ เหม็น เน้ือหยาบ (หมสาก) เขาก็เรยี กวา
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 655ผากมั พลเหมอื นกนั . แตเ มือ่ ใดเขาโฆษณาวา ผา กมั พลแดง จากคันธารราฐ เน้ือละเอียด มนั เปน เงา หม นมุ นวล. เมอื่ นั้น คนท่มี ีทรัพยพอ กจ็ ะรับ (ซอ้ื ) สวนคนทม่ี ไี มพอกอ็ ยากชม ฉันใด. แมเ มอ่ื พระองค ตรัสวา ทางสายนเ้ี ปน ทางสายเอกกย็ ังไมช ดั แจงวา เปนทางสายโนน ฉันนน้ั เหมือนกนั . เพราะวา ทางท่ไี มนําออกจากทกุ ขนานัปการ เขากเ็ รียกวาทางเหมอื นกัน. แตเม่ือตรสั คาํ มีอาทิวา สตตฺ าน วิสทุ ธฺ ิยา เพือ่ ความหมดจดของสตั วท้ังหลาย ภิกษุท้ังหลายก็จะเกดิ อุตสาหะวา ไดทราบวา ทางสายน้ีนําอุปท วะทงั้ ๔ ออกไป นาํ คณุ วิเศษ ๓ ประการมาให จักสาํ คัญพระธรรมเทศนานว้ี า ตองเรียน ตองทอ ง ตองทรงจํา ตอ งบอกสอนจกั สําคญั ทางนวี้ าตอ งเจรญิ ( ดําเนนิ ตาม) ฉะนัน้ พระผูมพี ระภาคเจาเมอ่ื จะตรสั สรรเสรญิ (เอกายนมรรค ) จงึ ไดต รสั ไววา สตตฺ านวสิ ทุ ฺธิยา. และในเรอ่ื งนี้ ควรนาํ ขอเปรยี บเทียบกบั พอคา ทองชมพนู ทุ สีแดงพอ คาแกวมณี นาํ้ ใสสะอาด พอ คาแกว มกุ ดาหาร ใสสะอาด และพอคาแกวประพาฬ ทเ่ี จยี ระไนแลวเปน ตน มา เหมือนขอเปรยี บเทยี บกับพอ คาปณ ฑกุ ัมพลราคาแสนฉะนัน้ . อธบิ ายศพั ทวา ยททิ ศพั ทวา ยทิท เปน นบิ าท มเี น้อื ความเทากับ เย อิเม. ศพั ทว าจตตฺ าโร เปนการกาํ หนดนับ (จาํ นวนนับ). ดวยศพั ทนนั้ พระองคทรงแสดงถึงการกาํ หนด (จํานวน) สตปิ ฏฐานวา มไี มตํา่ ไมสงู ไปกวาจํานวนน้นั .
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 656 แกส ติปฏฐาน บทวา สติปฏฐาน ไดแ กสตปิ ฏฐาน ๓ อยา ง คือ อารมณแหงสติ ๑ การท่พี ระศาสดาไมทรงดีพระทัย และเสียพระทัย ในเมอ่ื สาวกทง้ั หลายปฏิบตั ใิ นสตปิ ฏฐาน ๓ อยาง ๑ สติ ๑. อธบิ ายวา อารมณแหงสติทา นเรยี กวา สติปฏฐาน (เชน ) ในพระพทุ ธพจนทง้ั หลาย มอี าทิวา ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย เราตถาคตจักแสดงการเกดิ และการดับของสติปฏฐาน ๔ อยาง เธอทัง้ หลายจงฟงเทศนานนั้ ฯลฯ ภิกษทุ ้ังหลาย กค็ วามเกดิ ข้ึนแหงกาย คืออะไร ?การเกดิ ข้นึ แหงอาหาร คอื การเกิดข้ึนแหง กาย. อกี อยางหน่ึง อารมณของสตทิ านเรียกวา สตปิ ฏฐาน (เชน )ในคาํ ทง้ั หลายมีอาทิวา กายเปน ท่ีเขาไปตง้ั (ของสต)ิ ไมใ ชตวั สติสติเปนทต่ี ง้ั ดวย เปน ตวั สตดิ วย (ชอื่ วา สตปิ ฏฐาน) ดงั นี้บาง. สติปฏฐานน้นั มีอรรถวา ชอื่ วา ปฏ ฐาน เพราะเปนทต่ี ง้ั .อะไรตัง้ ? สติตัง้ . ที่ตงั้ ของสติ ช่ือวา สตปิ ฏ ฐาน. อีกอยางหนง่ึสถานท่ีเปนที่จอด (ประธาน) ฉะนน้ั จงึ ชอื่ วา ปฏ ฐาน. สถานท่ีเปนท่ีจอดของสตนิ ัน้ ชอ่ื วา สตปิ ฏ ฐาน เหมือนกับสถานทย่ี ืนของชา งและสถานที่ยืนของมา เปนตน ฉะน้นั . สติปฏ ฐาน ๓ อยาง คอื การท่พี ระศาสดาไมท รงดีพระทัย และเสยี พระทยั ในเพราะสาวกท้งั หลายผปู ฏบิ ตั ิในสตปิ ฏฐาน ๓ อยาง ทา นเรยี กวา สตปิ ฏฐาน ( เชน ) ในพระพุทธพจนแมน้วี า พระศาสดาผทู รงเปน พระอริยเจา เมอ่ื ทรงสรองเสพสิง่ ทพ่ี ระอรยิ เจา สอ งเสพกนั ควรตามสอนหมคู ณะ ดงั นี้ . ขอนน้ั มีเนื้อความวา ช่ือวา
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 657ปฏ ฐานะ เพราะควรใหเริ่มต้ังไว อธิบายวา เพราะควรใหเปนไป(ประพฤต)ิ . เพราะควรใหอะไรตง้ั ? ควรใหสติต้งั การตงั้ สติ ชอ่ื วา สตปิ ฏ ฐาน ดงั น้.ี ก็สติน้นั เอง ทานเรียกวา สติปฏ ฐาน ในคาํ ท้ังหลายมอี าทวิ าสตปิ ฏ ฐาน ที่อบรมแลว ทําใหมากแลว ใหโ พชฌงค ๗ ประการบรบิ ูรณได. ในขอ นัน้ มีเน้ือความวา ชือ่ วา ปฏฐาน เพราะต้ังไวอธิบายวา เขาไปตัง้ ไว คอื กาวลง แลน ไป เปนไป. ปฏ ฐาน คอืสตินั้นเอง จึงช่อื วา สตปิ ฏฐาน. อกี อยา งหนงึ่ ชื่อวา สติ เพราะอรรถวา ระลึก ชอ่ื วา ปฏ ฐานเพราะอรรถวา เขา ไปตัง้ ไว, สตินัน้ ดว ย การต้งั ไวดวย ฉะน้นั จึงช่อืวา สติปฏ ฐาน ดว ยประการดงั นบ้ี าง. ในสติปฏ ฐานสูตรน้ี ทา นประสงคสติปฏ ฐานขอ นี้. ถามวา ถา เปนอยางนนั้ เหตุไฉน คาํ วา สติปฏ ฐาน จึงเปนพหพู จน ? เพราะสติมีมาก. ความจรงิ วาโดยประเภทแหงอารมณ สติน้ันมีมาก. เมอื่ เปน เชน นั้น เหตุไร คาํ วา มรรค (ซง่ึ มมี ากเหมือนกัน)จงึ เปน เอกพจน. เพราะมีอยางเดียว โดยอรรถวา จะตอ งดําเนนิ ไป. จรงิ อยู สติเหลาน้ันแมจะมี ๔ อยาง แตกถ็ งึ ความเปนอยางเดียวกัน ดวยอรรถวา ตอ งดาํ เนินไป. สมจริงดงั ท่ีท่ีกลาวไวว า ทาง
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 658ชอ่ื วา มรรค เพราะหมายความวาอะไร ? เพราะหมายความวา เปน เครื่องไปสนู ิพพาน และเพราะหมายความวา ผูมีความตองการนิพพานจะตอ งดําเนินไป. กส็ ตแิ มท ั้ง ๔ อยางเหลา นัน้ เม่ือยังกิจใหสําเรจ็ ในอารมณท้ังหลาย มกี ายเปน ตน (จน) ถงึ นิพพานในกาลภายหลัง และผูมุงนพิ พาน กด็ าํ เนนิ ไปตงั้ แตน ้นั เพราะเหตุดงั ทีก่ ลาวมาแลวนน้ั ทา นจงึกลาวไวว า สตแิ มทัง้ ๔ อยา งเปนทางสายเอก. เมื่อเปน เชน น้ี จึงมีเทศนาทีม่ ีการสืบตอ กนั มาตามลําดับทีเดยี วดวยการสบื ตอถอ ยคาํ กันมา เหมอื นในพระพุทธพจนท ้งั หลายมอี าทวิ าดกู อ นภกิ ษุท้ังหลาย เราตถาคตจกั แสดงทางสาํ หรับยํา่ ยมี ารและเสนา-มาร เธอท้งั หลายจงฟง ฯลฯ ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลาย กท็ างสําหรบัยา่ํ ยีมารและเสนามารคืออะไร ? คือโพชฌงค ๗ (องคแหง ธรรมเปนเหตตุ รัสร)ู ทั้งหางสําหรับยา่ํ ยีมาร และโพชฌงค ๗ โดยอรรถ ก็เปนอันเดยี ว แตพ ยญั ชนะเทาน้ันตางกนั ฉนั ใด เอกายน-มรรค กบั สติปฏ ฐานสตู ร ๔ ก็ฉนั นั้น โดยอรรถเปนอันเดยี วกนั ในท่ีน้ีตา งกันแตพยัญชนะเทาน้นั . เพราะฉะนน้ั ควรเขา ใจวา (มรรค)เปน เอกพจน เพราะเปนอยา งเดยี วกนั โดยอรรถวา จะตอ งดาํ เนนิ ไป(และ) ควรเขาใจ (สตปิ ฏฐาน) วา เปนพหูพจน เพราะสติมีมากโดยประเภทแหง อารมณ. เหตทุ ่ตี รสั สติปฏฐานไว ๔ อยา ง แตเ หตุไฉน พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรัสสตปิ ฏ ฐานไว ๔ อยางเทา น้นั ไมย ่งิ ไปหยอน (ไปกวา นนั้ ) ?
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 659 เพราะทรงเกอื้ กลู แกเวไนยสตั ว. อธบิ ายวา บรรดาเวไนยสัตวท ั้งหลาย พวกตัณหาจริต พวกทฏิ ฐิจริต พวกสมถยานกิ ะ และวปิ สสนายานกิ ะ (แยก ) เปน พวกละ ๒ ตามออนและแกก ลา ผมู ีตัณหาจริตอยา งออน มีกายานุปสสนา-สติปฏ ฐาน มอี ารมณหยาบเปนทางแหงความบริสุทธ.์ิ แตผ ูม ตี ัณหาจริตแกกลา มเี วทนานปุ ส สนาสติปฏ ฐานที่ละเอียด เปน ทางแหง ความบรสิ ุทธ.ิ์แมผ มู ที ฏิ ฐิจริตอยา งออน มจี ิตตานุปส สนาสตปิ ก ฐาน ท่มี อี ารมณแ ยกออกไมม ากนกั เปนทางแหงความบรสิ ุทธ์.ิ แตผ ูม ีทฏิ ฐจิ ริตแกก ลา มธี มั มา-นปุ สสนาสติปฏ ฐาน ท่ีมอี ารมณแ ยกประเภทออกไปมาก เปนทางแหงวสิ ทุ ธ.ิ และสตปิ ฏ ฐานขอ แรกทมี่ นี ิมิตจะทพ่ี งึ ประสบไดไ มย าก เปนทางแหง ความบรสิ ุทธข์ิ องสมถยานิกบคุ คลประเภทยังออน. ขอ ที่ ๒ เปนทางแหงวิสุทธิสมลยานกิ บคุ คลประเภทแกกลา . เพราะทา นดํารงอยูไ ดไมมน่ั คงในอารมณท่หี ยาบ. ขอท่ี ๓ ทม่ี อี ารมณแ ยกประเภทออกไปไมมากนัก เปนทางแหงความบริสทุ ธแิ์ มข องวปิ สสนายานิกบคุ คลประเภทยังออ น. ขอ ที่ ๔ ทมี่ ีอารมณแ ยกประเภทออกไปมาก เปน ทางแหง ความบรสิ ุทธ์ิของวปิ สสนายานิกบคุ คลประเภทแกกลา. สติปฏ ฐานจึงตรัสไว ๔อยางเทานัน้ ไมย ่งิ ไมหยอ น ดว ยประการดังที่พรรณนามาน ดังนี้. อีกอยา งหนงึ่ (ที่ทรงแสดงไว ๔ อยา งเทานัน้ ) เพอื่ ละวิปลาสคอื ความงาม ความสขุ ความเที่ยง และความเปนตน. ความจรงิ กายเปน ของไมงาม แตสตั วท ง้ั หลายดํารงอยูอยางวปิ รติ สาํ คัญผดิ ในกายนัน้วา งามสติปฏ ฐานขอที่ ๑ ตรสั ไวส าํ หรบั สัตวเ หลา นน้ั เพือ่ ใหละสุภวิปลาสนน้ั ดวยการเหน็ วา ไมง ามในกายน้ัน. และในเวทนาเปนตน แมทส่ี ตั ว
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 660ทงั้ หลายยึดถือวา เปนสุข เที่ยง เปน อัตตา (ก็มนี ัยน้ีคอื ) เวทนาเปน ทุกข จติ ไมเ ทีย่ ง ธรรมทงั้ หลายเปน อนตั ตา แตส ัตวเ หลา นัน้ ดาํ รงอยูอ ยางวปิ ริต สําคัญผิดในเวทนา จติ และธรรมเหลา นน้ั วา เปน สขุ เท่ียงและเปนอตั ตา ตรสั ๓ อยางทเ่ี หลือไวส ําหรับสตั วเ หลา นั้น เพ่ือใหล ะวปิ ลาสที่เหลอื เหลา นั้น ดว ยการเหน็ เวทนาเปน ตนเหลา นนั้ วา เปน ทุกขเปนตน ดังนี้. เมือ่ เปน เชนน้ี สติปฏฐาน กค็ วรเขาใจไววา พระองคตรสั ไว๔ อยางเทา น้นั ไมย ิ่งไมหยอ น (ไปกวา นี้) ก็เพือ่ ใหละสภุ วปิ ลาสสุขวปิ ลาส นจิ จวิปลาส และอตั ตวิปลาส. และไมใ ชเพยี งตรสั ไวเ พอื่ใหละวปิ ลาสอยางเดียวเทา น้นั แตควรเขาใจไววา ตรสั ไว ๔ อยา งเทานั้นกเ็ พอ่ื ใหละโอฆะ ๔ โยคะ ๔ อาสวะ ๔ คันถะ ๔ และอุปทานทง้ั ๔ และอคติ ๔ ดว ย เพื่อใหก ําหนดรอู าหารทงั้ ๔ ดวย. น้ีเปนนยั ตามปกรณกอน. มติของอรรถกถา สว นในอรรถกถา ทานกลาวไวเทานี้เทา นัน้ แหละวา โดยระลึกและโดยการประมวลลงสจู ดุ เดียวกันแลว สตปิ ฏฐานก็มอี ยา งเดียวเทาน้ันแตโดยอารมณ ๔ อยา ง. อปุ มาเสมือนหน่งึ วาในพระนครท่มี ปี ระตู๔ ประตู คนมาจากทิศตะวนั ออก ถือเอาสงิ่ ของทีม่ ีขึน้ มาทางทศิ ตะวันออกแลวเขา พระนครน้นั เอง ทางประตดู า นตะวนั ออก คนมาจากทศิ ใต ทศิตะวนั ตก ทิศอุดร ถือเอาสงิ่ ของที่มีข้นึ ทางทศิ อดุ รแลว เขาสูพระนคร
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 661น้ันเอง ทางทิศอดุ รฉันใด ขออปุ ไมยที่ใหอ ปุ มาถงึ พรอ มนี้ ก็ควรทราบฉนั น้ัน. ขอ เปรยี บเทียบ ความจรงิ พระนพิ พาน เหมอื นพระนคร. โลกุตตรมรรคประกอบดวยองค ๘ เหมอื นประตูพระนครหลวง. กายเปนตน เหมือนทศิ ตะวนั ออก เปนตน. และพระโยคาวจรท้งั หลาย เมือ่ มาดว ยอาํ นาจกายานปุ ส สนาเจรญิ กายานุปสสนาสตปิ ฏ ฐานโดยวธิ ี ๑๔ อยา งแลว จะไปรวมลงสูทีเดยี วกัน คือพระนพิ พานนัน่ เอง ดว ยอริยมรรคที่เกิดข้นึ ดว ยอานภุ าพของกายานปุ ส สนา เหมอื นคนทั้งหลายท่ีมาจากทศิ ตะวนั ออก ถอื เอาส่ิงของท่ีมีข้ึนทางทศิ ตะวนั ออกแลว ก็เขาถึงพระนครไดเ หมือนกันทางประตูทศิ ตะวนั ออกไดฉะน้ัน. พระโยคาจร เมื่อดาํ เนนิ มาทางประตเู วทนานปุ ส สนา เจริญเวทนานปุ ส สนาสติปฏ ฐาน โดยวิธี ๙ อยาง กไ็ ปรวมลงสทู เี ดียวกันคือพระนพิ พานนัน่ เอง ดว ยอริยมรรคที่เกิดข้ึนดวยอานภุ าพของเวทนา-นุปสสนาสติปฏฐาน เหมอื นผมู าจากทิศใต ถือเอาสงิ่ ของที่มีขนึ้ จากทศิ ใตก็เขาถึงพระนครเหมอื นกนั ทางประตูทิศใตฉะน้ัน. พระโยคาวจรทัง้ หลาย เมือ่ ดาํ เนินมาทางประตจู ติ ตานุปส สนาเจริญจิตตานุปสสนาสติปฏ ฐาน โดยวธิ ี ๑๖ อยาง จะไปรวมทเ่ี ดียวกนัคือพระนิพพานนั้นเอง ดวยอริยมรรคท่ีเกิดข้ึนดวยอานุภาพของจติ ตา-นปุ สสนาสติปฏฐาน เหมอื นผมู าจากทศิ ตะวนั ตก ถอื เอาสง่ิ ของที่มีข้ึน
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 687แลว ) น้ี เปน คําท่ปี ระมวลอริ ิยาบถทุกอยางไว. มีคาํ อธิบายไวดังตอไปน้วี า กายของเธอ สถิตอยแู ลว โดยอาการใด ๆ เธอกร็ ูชัดกายน้ัน โดยอาการน้นั ๆ คือ รชู ัดกายท่สี ถิตอยโู ดยอาการทเี่ ดิน วา กาํ ลังเดิน รชู ัดกายท่ดี ํารงอยูโ ดยอาการทีย่ นื นั่ง หรอืนอน วา (กําลงั ) นอนเปนตน . บทวา อิติ อชฌฺ ตฺต วา ความวา หรอื เธอพจิ ารณาเห็นกายในกาย โดยการพจิ ารณาอิริยาบถ ๔ ของตนอยางน้ีอยู. บทวา พหทิ ฺธา วา ความวา หรือโดยการกาํ หนดอิริยาบถ ๔ของผอู ื่น. บทวา อชฌฺ ตตฺ พหิทฺธา วา ความวา พิจารณาเห็นกายในกายโดยการกาํ หนดอิรยิ าบถ ๔ ของตน (หรือ ) ของผอู ่ืนตามกาลเวลา. สวนในบทวา สมุทยธมมฺ านปุ สสฺ ี วา เปนตน ผศู ึกษาควรนาํเอาความเกิดขนึ้ และความเส่ือมไปแหงรูปขนั ธดว ยอาการ ๕ อยา งมา โดยนยั มอี าทิวา เพราะอวิชชาเกดิ รปู ขนั ธจ งึ เกดิ . ความจรงิ คาํ วา สมทุ ยธมฺมานุปสฺสี วา น้ี ในอิริยาปถบรรพนี้พระองคตรสั หมายเอาคาํ น้นั . คาํ วา อตถฺ ิ กาโยติ วา ปนสฺส เปนตน ก็เชนเดียวกันกับทก่ี ลา วมาแลวนัน่ แหละ.
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 688 อรยิ สจั ในอริ ยิ าบถ แตใ นอริ ยิ าปถบรรพน้ี สติท่กี าํ หนดอริ ิยาบถท้งั ๔ เปนทุกขสจัตัณหาเกา ทเ่ี ปน สมฏุ ฐานของสติ เปนสมทุ ยั สัจ การไมเปน ไปแหง สติกบั ตัณหาทั้ง ๒ อยา งนน้ั เปน นโิ รธสจั อรยิ มรรคทกี่ ําหนดรทู ุกข ที่ละสมทุ ยั ทมี่ ีนโิ รธเปน อารมณ เปนมรรคสัจ. พระโยคาวจรขวนขวายดว ยอํานาจสัจจะทง้ั ๔ อยา งนแี้ ลว จะบรรลุความดับ (นพิ พาน). ถอ ยคําดังท่พี รรณนามาน้ี เปนชองทางการนําออก (จากทกุ ข) จนถงึ พระอรหตั ของภิกษผุ กู ําหนดอริ ิยาบถ ๔รปู หน่งึ ดังนแ้ี ล. จบ อริ ิยาปถบรรพ พิจารณาดูกายโดยสัมปชญั ญะ ๔ [๑๓๕] พระผูมพี ระภาคเจา ครั้นทรงจําแนกการพิจารณาเห็นกายในกายโดยอริ ยิ าบถอยา งนแ้ี ลว . บัดนี้ เพ่อื จะทรงจาํ แนกโดยสมั ปชัญญะ ๔ จงึ ตรสั คาํ มอี าทวิ า ปนุ จปร ไว. กอนอื่น บรรดาคําเหลานน้ั ในคาํ วา อภกิ กฺ นเฺ ต ปฏิกฺกนฺเต นี้การเดนิ ไปพระองคตรสั เรยี กวา อภิกกนั ตะ การเดนิ กลบั ตรสั เรียกวาปฏกิ กันตะ. แมท ง้ั ๒ อยางนนั้ ไดในอิรยิ าบถท้งั ๔. (จะวา ) ในการเดนิ กอ น เมอ่ื โยกกายไปขา งหนา กช็ อ่ื วา กา วไป.เม่ือเอนกลบั ก็ชอื่ วา ถอยกลบั . แมในการยืน ผยู ืนนน้ั แหละ เมอ่ื โยกกาย
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 689ไปขา งหนา กช็ ือ่ วา กา วไป เมอื่ เอนตัวมาขา งหลงั ก็ชือ่ วา ถอยกลับ.ในการน่ัง ผูนัง่ น่ังเอง เมอื่ โนม ตวั ดา นหนา ไป เฉพาะหนาอาสนะชอื่ วากาวไป เม่ือโยกรา งกายดานหลังไปทางหลัง ชื่อวาถอยกลบั . แมในการนอนก็มีนยั นี้เหมอื นกัน. บทวา สมปฺ ชานการี โหติ ความวา เปน ผปู ระกอบกจิ ทกุ อยางดวยสมั ปชัญญะ (ความรตู วั ) เปนปกติ หรอื เปน ผทู ําความรูส ึกตัวนัน่ แหละเปนปกติ เพราะวา เธอทาํ ความรูสกึ ตวั อยูท เี ดียว ในการกาว.ไปขางหนาเปน ตน ไมว า ในอริ ยิ าบถไหน ๆ ก็ไมเ วนสัมปชญั ญะ. สัมปชัญญะ ๔ สมั ปชญั ญะ ในคาํ วา สมปฺ ชานการี นั้นมี ๔ อยา งคอื สาตถก-สมั ปชญั ญะ ๑ สัปปายสมั ปชญั ญะ ๑ โคจรสมั ปชญั ญะ ๑ อสมั -โมหสมั ปชญั ญะ ๑. ๑. สาตถกสมั ปชญั ญะ บรรดาสมั ปชญั ญะท้ัง ๔ อยา งนน้ั การไมไ ปตามอํานาจความคดิท่เี กิดข้นึ ทีเดยี ว ในเม่อื คดิ จะกา วไป กาํ หนดผลไดผ ลเสยี (กอ น) วาการไปทีน่ ้ี จะมีประโยชนแกเรา หรอื ไมมี แลว ถอื เอาแตประโยชนชือ่ วา สาตถกสมั ปชญั ญะ. ก็บรรดาอัตถะและอนตั ถะ (ผลไดผ ลเสีย) ทั้ง ๒ อยา งนน้ั ความเจรญิ ทางธรรมดวยไดเห็นพระเจดยี ไดเหน็ ตน โพธ์ิ ไดเหน็ พระสงฆไดเหน็ พระเถระ และไดเห็นอสุภารมณ เปนตน ชอ่ื วา อตั ถะ. เพราะวาแมไดเ หน็ พระเจดียแลว ยังปต ิใหเกดิ มีพระพุทธเจา เปน อารมณข้ึนได
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 690(และ) เพราะไดเห็นพระสงฆ กใ็ หเ กิดปต ิมีพระสงฆเปน อารมณข้ึนไดแลว เมอื่ พิจารณาอารมณน่นั แหละ โดยความส้ินไปและความเสอ่ื มไปก็จะบรรลุพระอรหตั . ไดเห็นพระเถระทัง้ หลายแลว ต้งั อยูในโอวาทของทาน ไดเ ห็นอสุภารมณแลว ยังปฐมฌานใหเ กดิ ในอสภุ ารมณน้นั ขนึ้ ไดเมอ่ื พจิ ารณาอสุภารมณน นั่ แหละไป โดยความสิ้นไปและความเส่ือมไป ก็จะบรรลพุ ระอรหตั . เพราะฉะนน้ั การเห็นสิง่ เหลา น้ัน จึงชอื่ วา มีประ-โยชน. แตอ าจารยลางพวกกลาววา ความเจริญดานอามสิ เอง กช็ ือ่ วาเปน ประโยชน (ผล) ไดเหมือนกัน เพราะอาศยั ประโยชนน ั้นแลวไดปฏิบัติ (ธรรม) เพ่อื อนเุ คราะหพ รหมจรรย. ๒. สปั ปายสัมปชญั ญะ สวนการกาํ หนด สัปปายะ และ อสปั ปายะ (ความสบายหรือไมสบาย) ในการเดินน้นั แลวกําหนดเอาสัปปายะ ชื่อวา สปั ปายสัม-ปชญั ญะ. ไดแ กอะไร ? ไดแ ก การเหน็ พระเจดีย ชอ่ื วามปี ระโยชนก อ น กถ็ าบริษัทประชมุกัน ระยะ ๑๐ หรือ ๑๒ โยชน เพอ่ื บูชามหาเจดยี เปน การใหญ ผูหญงิบา ง ผชู ายบา ง แตง ตวั ดวยเคร่ืองประดับ ตามควรแกส มบตั ิของตน(ตามฐานานรุ ปู ) เดนิ เทยี่ วกนั ไปเหมือนกับภาพจิตรกรรม ( รปู เขียน)ไซร เธอกจ็ ะเกดิ ความอยากได (โลภ) ในอิฏฐารมณน ้ัน จะเกดิ ความขดั เคืองในเพราะอนฏิ ฐารมณ และจะเกดิ ความหลงใหลข้นึ ในเพราะการมองไมเหมาะสม. จะตอ งอาบัติ กายสงั สคั คะ (จบั ตอ งกายหญงิ ) หรือ
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 691จะมีอันตรายแกช ีวิตและพรหมจรรย. สถานท่ดี งั ที่พรรณนามานน้ี นั้ ชือ่ วาเปนอสปั ปายะ. แมการเห็นพระสงฆท ่เี ปน สัปปายะ ชื่อวา มีประโยชนในเพราะไมม ีอันตรายมีประการดังทก่ี ลา วนาแลว. แตถาเม่ือมนษุ ยพ ากันสรา งปะรําใหญไ วภายในหมูบานแลวฟงธรรมเทศนากันตลอดท้งั คืน การชมุ นุมของประชาชนและอนั ตราย กจ็ ะมี โดยประการดงั ท่ีกลาวแลว นน่ั แหละ. สถานทีด่ งั กลา วมาแลว นน้ี ัน้ เปนอสัปปายะ (แต) เปน สัปปายะได เพราะไมมีอันตราย แมในการเห็นพระเถระทั้งหลายผูมีบริษัทบรวิ ารมาก ก็มนี ยั นี้เหมือนกัน. ถงึ การเห็นอสุภารมณ ก็ชอื่ วา มปี ระโยชน. และมีเรอ่ื งดังตอไปนีเ้ ปน การแสดงเนื้อความน้ัน (ตวั อยา ง) :- เรือ่ งภิกษุหนุม เลากันมาวา ภกิ ษหุ นมุ รูปหน่ึงพาสามเณรไปหาไมชําระฟน. สาม-เณรแวะออกนอกทางเดนิ ลว งหนา ไป เห็นอสุภารมณ แลว ยังปฐมฌานใหเกดิ ขน้ึ ทําปฐมฌานนัน่ แหละใหเปน เบ้อื งบาทพจิ ารณาสังขาร ทําผลทัง้ ๓ ใหแจง ชดั แลว ไดย นื กาํ หนดกรรมฐาน เพ่อื ผลประโยชนแกมรรคเบอ้ื งสงู (อรหตั ตมรรค). ภิกษหุ นุม เมื่อไมเ ห็นสามเณรนน้ั จึงรองเรยี กวา สามเณร. สามเณรนนั้ คดิ วา ตงั้ แตบ วชแลว เราไมเ คยใหพ ระเรยี กถงึ๒ ครง้ั เลย เราจักใหคณุ วเิ ศษเบอ้ื งสงู เกิดขึ้นในวันอ่นื เถอะ ดังนีแ้ ลวจึงใหค ําตอบวา อะไรครับทา น ? และสามเณรนนั้ ท่ีภิกษุหนมุ บอกวามาเถิดสามเณร เพยี งคาํ เดยี วเทานัน้ ก็มาแลว ไดพ ูดวา ทานครบั ขอไดโปรดเดนิ ไปตามทางนกี้ อน แลว ยนื หันหนา มองไปทางทิศตะวนั ออกสกั ครูห น่งึ ณ โอกาสท่ผี มยนื . เธอไดท าํ ตามน้ันแลว ไดบ รรลคุ ุณวเิ ศษ
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 692ท่สี ามเณรน้ันไดแ ลว บรรลแุ ลว . อสภุ ารมณเ ดียว ไดเ กิดประโยชนแกค น๒ คน ดงั ที่พรรณนามาน้.ี กอ็ สุภารมณนี้ แมจ ะมปี ระโยชนด ังที่พรรณนามานี้ (แต) อสุภา-รมณคอื หญิง กเ็ ปน อสปั ปายะของชาย และอสุภารมณคือชาย กเ็ ปนอสัปปายะของหญิง. อสภุ ารมณที่เปน สภาคกันเทานัน้ จึงจะเปน สัปปายะเพราฉะน้ัน การกาํ หนดสปั ปายะอยางนัน้ ชือ่ วา สัปปายะสมั ปชัญญะ. ๓. โคจรสัมปชญั ญะ แตการเรียนเอา โคจระ กลา วคอื กรรมฐาน ซ่ึงเปน ที่ชอบใจของตน ในจํานวนกรรมฐาน ๓๘ ประการ แลว รบั เอากรรมฐานน้ันเดินไปในท่โี คจรเพอื่ ภกิ ขาจาร ชื่อวา โคจรสัมปชญั ญะ สําหรบั ผมู ีสปั ปายะที่มปี ระโยชนท่กี าํ หนดแลว อยางน.้ี เพื่อความแจมชดั แหงโคจรสมั ปชัญญะนัน้ ผูศ ึกษาควรทราบสมั ปชญั ญะ ๔ หมวด ดงั ตอ ไปนี้ คือ ภิกษุลางรูปในศาสนาน้ี นาํ ไปไมน ํากลบั ลางรปู ไมน ําไป ไมนาํ กลับ ลางรูปท้ังนาํ ไปไมน าํ กลบั . ภิกษุนาํ ไปนาํ กลับ บรรดาภกิ ษทุ ั้ง ๔ รูปนัน้ ภกิ ษรุ ูปใด ชาํ ระจิตใหผอ งใสจากนิวรณธรรม ดว ยการจงกรม ดว ยการน่ังตลอดท้งั วนั ตลอดปฐมยามแหงราตรกี เ็ ชน นั้น ในมัชฌมิ ยามจาํ วดั แมใ นปจฉมิ ยามก็ใหเ วลาผา นไปดว ยการน่งั การจงกรม จะปวยกลา วไปไยถงึ จะทําวัตรท่ลี านพระเจดีย ลานโพธพ์ิ ฤกษ จะรดนํ้าตนโพธ์ิ จะต้งั นํ้าด่ืมนา้ํ ใชไว สมาทาน ปฏบิ ตั วิ ัตร
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 693ในคมั ภรี ข นั ธกะ๑ทกุ อยา ง มอี าจริยวัตร และอปุ ช ฌายวตั รเปน ตน เธอทาํ ธุระเกย่ี วกบั รางกายแลว เขาไปยังท่นี ั่งทีน่ อน และนงั่ ขัดสมาธิ ๒-๓ทา พอใหอบอนุ แลวปฏิบตั ธิ รรมฐาน ลกุ ข้นึ ในเวลาภิกขาจาร ถอื เอาบาตรและจวี รออกไปจากเสนาสนะ มนสิการกรรมฐานอยู ดว ยหัวขอกรรมฐานนน่ั เอง เดนิ ไปสลู านเจดียแลว ถา มีกรรมฐานมพี ทุ ธานสุ สติเปน อารมณไซร ก็อยา ทิ้งกรรมฐานนั้นเสีย เขา ไปยังลานพระเจดีย. ถามีกรรมฐานอยางอ่นื ไซร ควรพกั กรรมฐานน้นั ไว เหมือนกบั เอามือจบัสงิ่ ของวางไวท ่ีเชิงบันได แลว กําหนดเอาปต ิมีพระพทุ ธเจา เปนอารมณข นึ้ไปยงั ลานพระเจดีย (ถา ) เปน เจดียอ งคใหญ ควรทําประทักษณิ ๓ คร้งัแลว ไหวท ง้ั ๔ ดาน (ถา ) เปน เจดยี อ งคเล็ก ควรทําปทกั ษิณาอยา งน้ันเหมือนกนั แลว ไหวท้ัง ๘ ดาน. คร้นั ไหวพ ระเจดยี เ สร็จ ไปถึงลานโพธิแ์ ลว ควรวันทาตนโพธแิ์ สดงความยําเกรง เหมอื นอยตู อ พระพักตรพระผมู พี ระภาคเจา . เธอไหวพระเจดียและตน โพธ์ิอยางนีแ้ ลว ไปยังที่ทต่ี นพกั กรรมฐานไว รับเอากรรมฐานทีพ่ กั ไว (เกบ็ ไวช่วั คราว) เหมือนกับเอามอื จับเอาสงิ่ ของท่ตี นเก็บไวฉะนนั้ แลว หมจีวรในท่ใี กลบาน โดยมีกรรมฐานเปนสําคญั นั้นเลง เขา บานไปเพือ่ บิณฑบาต. ครนั้ คนทัง้ หลายเห็นทา นแลว บอกกันวา พระคณุ เจา ของเรามาแลว พากันตอ นรับทา น รับเอาบาตรแลวใหน ัง่ บนศาลาโรงฉนั หรือบนเรือน ถวายขา วยาคู ลา งเทาทาดว ยนํ้ามนั ใหจนกวา จะเสร็จภตั ตกิจพากนั นง่ั ขางหนา บา งกถ็ ามปญหา บางก็ตองการจะฟง ธรรม แตถาเขาจะใหก ลาว (ธรรมกถา) พระอรรถกถาจารยกลา วไววา ข้นึ ชอื่ วา๑. ปาฐะ เปน ขนธฺ กวตตฺ าทีนิ แตฉ บับพมา เปน ขนธฺ กวตตฺ านิ จงึ แปลตามฉบบั พมา .
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 694ธรรมกถา ควรแสดงทีเดยี ว เพอื่ สงเคราะหประชาชน. เพราะข้นึ ชื่อวาธรรมกถา จะเหนอื ไปจากกรรมฐานไมมี เพราะฉะน้ัน ครัน้ ทา นแสดงธรรมโดยมีกรรมฐานเปน สาํ คัญนน่ั เอง ฉนั อาหารโดยมกี รรมฐานเปนสําคญั นน่ั เอง ทาํ อนุโมทนาแลว เม่ือเขาใหกลบั กใ็ หต ามคนเขาไปแลว กลบั ณ ที่นน้ั นั่นเอง แลวจึงเดินทางตอไป. คร้ันสามเณรและภกิ ษุหนมุ ผูอ อกไปกอ น ฉันเสรจ็ แลว เหน็ ทานจงึ พากันไปตอ นรบั รบับาตรและจวี รของทาน. ไดท ราบวา ภกิ ษุรนุ เกา ดหู นา เห็นวา ไมใชอ ปุ ช ฌาจารยของคนแลวทํา (อาคนั ตุกะ) วัตรอยู แตทําตามกําหนดท่ีมาเผชิญเขา เทานั้น. ภิกษุเหลา นั้นจะถามทานวา คนเหลานัน้ เปนอะไรกบั ทา น๑ เก่ียวของกนั ทางโยมผหู ญงิ หรอื ทางฝา ยโยมผูชาย ? ทานจะตอบวา พวกคุณเห็นอะไรจึงถาม ? สามเณรและภิกษหุ นมุ เหลานั้นเรยี นวา คนเหลา น้ีมีความรกั ความนับถือมาก๒ ในเพราะใตเทา. คุณครบั ส่งิ ใด ทีแ่ มแตโ ยมผหู ญิง โยมผูชาย (ของผม ) กท็ าํไดย าก คนเหลานน้ั ทาํ สิง่ น้ันใหผม แมบ าตรและจีวรของผม ก็เปน ของคนเหลานนั้ เหมอื นกนั (ถวาย) ดว ยอานภุ าพของคนเหลา น้ัน เมื่อมภี ัยผมก็ไมรูจักภยั เลย เม่ือมคี วามหวิ ผมก็ไมร ูจกั หวิ ขน้ึ ช่อื วา เหลา ชนผมู อี ปุ การะแกผมเชนนีจ้ ะไมม ี เธอพูดถึงคณุ ของคนเหลา นั้นอยูอยา งนี้เดินไป ภิกษนุ ท้ี านเรยี กวา ชื่อวานําไป ไมน าํ กลบั .๑. ฉบับพมา มี ตมุ ฺหาก แปลตามฉบบั พมา.๒. ในระหวา งนี้ ฉบับพมามีศัพทว า เปม จึงแปลตามฉบบั พมา .
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 695 ภิกษุไมน ําไปไมนาํ กลบั แตว า จะปวยกลา วไปไย เมอ่ื ภิกษุใด ทาํ วตั รปฏบิ ัตมิ ีประการดังที่กลาวมาแลว เดชทเี่ กดิ แตก รรม จะสาํ แดงออก จะปลอ ยวางอนปุ า-ทนิ นกสงั ขาร ยึดอปุ าทินนกสังขาร เหงอ่ื จะไหลออกจากรา งกาย จะไมข้นึ สูวถิ ีทางของกรรมฐาน. จะปวยกลาวไปไย ถงึ ภิกษนุ นั้ จะถอื เอาบาตรและจีวร จะรีบไปไหวพ ระเจดยี เขาบา น เพื่อขา วยาคูและภกิ ษาในเวลาทโ่ี คทั้งหลายออกไป (หากิน) นนั่ เอง ไดข าวยาคแู ลว ไปยังอาสนศาลา (หอฉนั ) แลว ดม่ื . ภายหลังดว ยเหตเุ พียงการด่มื ขาวยาค.ู๒-๓ อกึ ของทานเทา นน้ั เดช (ความรอ น) ทเ่ี กิดแตกรรมจะปลอยวางอุปาทนิ นกสังขาร ยดึ อนปุ าทินนกสงั ขาร. เธอจะดับความกระวนกระ-วายทเี่ กดิ แตเตโชธาตุ เหมือนอาบน้ํารอยหมอ ฉันขา วยาคูโดยมกี รรม-ฐานเปนสาํ คญั ลางบาตรและบว นปากแลว มนสิการกรรมฐานในระหวางภัต เที่ยวไปบิณฑบาตในทท่ี ่ีเหลอื ฉนั อาหารโดยมีกรรมฐานเปน สาํ คญัตั้งแตน ัน้ ไปจะรบั เอากรรมฐานทีป่ รากฏขึน้ ตดิ ตอกนั ไป แลว เดนิ ไป ภกิ ษุน้เี รียกวาไมน ําไป แตน าํ กลับ. ก็ขึน้ ชอื่ วา ภิกษุทั้งหลายผูด่ืมขา วยาคูปรารภวปิ สสนา แลวบรรลุพระอรหัตในพระพทุ ธศาสนา เชน นนี้ บัจํานวนไมถว น. ในเกาะสีหลนัน่ เอง บนอาสนศาลา อาสนะสาํ หรับนั่งดม่ื ขา วยาคูกไ็ มมี ภิกษุท่ดี ื่มขา วยาคแู ลว บรรลุอรหัต กไ็ มม.ี แตภ กิ ษใุ ดเปนผูอยูอยางประมาทเปนปกติ ทอดท้งิ ธรุ ะ ทําลายวัตรทกุ อยาง มีจิตผกู พนั อยกู บั เจโตขีลธรรม ๕ ประการ ไมทําสญั ญาไวบ างวา ขน้ึ ชื่อวากรรมฐานมีอยู เขาไปบา นเพอ่ื บณิ ฑบาตเท่ียวคลุกคลดี วยการคลกุ คลีกบัคฤหสั ถท่ีไมเหมาะสม และฉันแลว (มีบาตร) เปลาออกไป ภิกษุนเ้ี รยี ก
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 696วา ไมน าํ ไป และไมนาํ กลับ. ภกิ ษุทงั้ นาํ ไปนาํ กลับ สว นภกิ ษุนี้ใด ที่ทา นกลาววา นําไปดวย นาํ กลับดว ย ภกิ ษนุ ้นัพงึ ทราบไดด ว ยคตปจจาคติวัตรของผูเดินกลับไปกลบั มา. เพราะวากุลบตุ รทัง้ หลายผมู ุงประโยชน บวชในศาสนาแลว เมอื่ จะอยูโดยลําพัง๑๐ ปบา ง ๒๐ ปบ าง ๕๐ ปบ า ง ๑๐๐ ปบาง อยูโดยทํากตกิ าวตั รกนัไววา ทา นครับ ทานทงั้ หลายไมใชบวชหลบหนี ไมใ ชบวชหลบภยั ไมใชบวชเลี้ยงชพี แตป ระสงคจ ะพนจากทุกข จึงไดบวชในพระศาสนานี้เพราะฉะนัน้ ในขณะเดนิ น่นั แหละ ทา นทั้งหลายจงขม กิเลสที่เกดิ ขนึ้ ในเวลาเดนิ ในขณะยนื ก็ขม กเิ ลสทีเ่ กดิ ขึน้ ในเวลายนื ในขณะนัง่ กจ็ งขม กเิ ลสท่เี กิดขึ้นในเวลานงั่ ในขณะนอนน่ันแหละ กจ็ งขมกิเลสทเ่ี กดิขึน้ ในเวลานอน. ภิกษุเหลานั้น คร้นั ทาํ กตกิ าวตั รกันไวอยา งน้ีแลว เมอื่ไปภิกขาจารก็เดนิ ไปมนสิการกรรมฐานไป ตามสญั ญาน้นั ถาหากกิเลสเกดิ ขึน้ แกใคร ในขณะเดนิ ในระหวา งครง่ึ อสุ ภุ ะ หน่งึ อุสุภะ คร่ึงคาวตุหรอื หน่ึงคาวุต มกี อนหินอยู ภิกษนุ ้นั จะขม กิเลสนัน้ ในท่นี นั้ เอง เมอื่ไมอาจ (ขม ได) อยางนน้ั กจ็ ะหยดุ ยืน. ถดั นั้นภิกษุ (รูปอน่ื ) แมตามหลังเธอมาก็จะหยดุ ยนื ตาม เธอจะเตือนตนเองวา ภกิ ษนุ ีร้ วู ิตกที่เกิดแกเ จาแลว ขอนไ้ี มส มควรแกเจา แลว เจรญิ วปิ สสนากา วลงสอู ริยภมู ิ ณท่นี ้นั น่นั เอง ในคําวา เม่ือไมอาจอยางนนั้ เธอก็จะนงั่ ถดั น้ัน แมภิกษุผูมาขา งหลงั เธอก็จะนง่ั ตาม ก็มนี ยั นน้ั เหมอื นกนั . ถึงไมส ามารถกาวลงสูอริยภูมไิ ด ก็จะขม กเิ ลสนัน้ ไว เดินมนสกิ ารกรรมฐานไปทเี ดียว ไม
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 697ยกเทา ข้ึนทัง้ ท่มี ีจติ พรากจากกรรมฐาน ถายก (โดยท่ีมจี ติ พรากจากกรรมฐาน) กจ็ ะกลับไปยงั ที่เดิมนน้ั เอง เหมอื นมหาปสุ สเทวเถระ ชาวอาลนิ ทกะ. เรอ่ื งพระมหาปสุ สเทวเถระ เลากนั มาวา ทา นไดบําเพ็ญคตปจจาคติกวตั ร๑ (วตั รของผเู ดินกลับไปกลับมา) อยทู เ่ี ดียวเปน เวลา ๑๙ พรรษา. ไดยนิ วา แมค นท้ังหลายกําลังไถ กําลงั หวาน กาํ ลังนวด ทํางานกนั อยู เห็นพระเถระเดินอยางนั้น จงึ สนทนากันวา พระเถระรปู นี้ เดินกลบั ไปกลับมา คงจะหลงทางหรือไมก ค็ งลืมอะไรกระมัง ? ทา นไมค าํ นงึ ถงึ คําพดู นน้ั ทาํสมณธรรมดวยทง้ั จิตทป่ี ระกอบดวยกรรมฐานนัน้ แหละ ไดบ รรลุอรหัตภายใน ๒๐ พรรษา. ในวนั ท่ีทา นไดบรรลพุ ระอรหตั นัน่ เอง เทวดาทีส่ ง่ิอยูทป่ี ลายทางจงกรมของทา น ไดย ืนชนู ้ิวแทนประทีป๒ ถึงทาวมหาราชท้งั ๔ ทาวสกั กะจอมเทพ และสหัมบดพี รหม ก็ไดพากันมายังท่ีทํานุบาํ รุง (ทาน). และทา นวนวาสตี สิ สมหาเถระ เหน็ แสงสวางนน้ั แลวในวนั ท่ี ๒ จงึ ไดถามทานมหาปสุ สเถระ ชาวอาลินทกะวา เวลากลางคืน ที่สํานกั ของทาน ไดมีแสงสวาง แสงสวา งนนั้ เปนแสงสวา งอะไร ?พระเถระเมอ่ื จะทําการกลบเกล่อื น จึงไดพดู คาํ มีอาทอิ ยางนว้ี า ธรรมดาแสงสวา ง กค็ งเปนแสงสวา งของประทปี บาง เปนแสงสวา งของแลวมณีบาง ตอ มาทานกาํ ชับทานวนวาสตี ิสสเถระไววา ทา นจงปกปดไว รวู าทานรบั คาํ แลวจึงบอก. และเหมือนกบั ทานมหานาคเถระ ชาวกาลวลั ล-ิ๑. ปาฐะวา คตปจจฺ าคตวตตฺ ฉบับพมาเปน คตปจจฺ าคตกิ วตฺต แปลตามฉบบั พมา .๒. ปาฐะวา กตวฺ า พมาเปน อุชชฺ าเลตวฺ า แปลตามฉบับพมา .
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 698มณฑป เรือ่ งพระมหานาคเถระ ไดท ราบวา แมพระเถระรูปนน้ั เมอ่ื บําเพญ็ คตปจจาคตกิ วัตร ไดอธิษฐานจงกรมอยา งเดยี ว ส้นิ เวลา ๗ ป วา เราจกั บูชาความเพยี รอนัย่งิ ใหญ ของพระผมู พี ระภาคเจา เปน ปฐมกอ น ไดบ าํ เพญ็ คตปจจา-คตกิ วตั รอีก ๑๖ ป จงึ ไดบรรลพุ ระอรหตั ทา นมจี ิตประกอบดวยพระ-กรรมฐานนน่ั เอง ยกเทา ขน้ึ ถอยกลบั ในขณะยก (เทา ) ข้นึ โดยจติปราศจาก (กรรมฐาน) เดินไปใกลบ า น ยืนหม ผา ณ ทีท่ ่ีชวนใหค นสงสัยวา แมว ัวหรอื พระกนั แน ? ใชน้ําจากที่ระหวางตน ไทรลา งบาตรแลวก็อมนํ้าไว. เพราะเหตไุ ร ? เพราะทานคิดวา ขอเราอยาไดท อดทิ้งกรรมฐาน แมด ว ยเหตุทพ่ี ดู กะคนที่มาถวายภิกษาหรือมนสิการวา ขอจงมีอายยุ ืนเถิด. แต (ถา) ถกู ถามถงึ วันวา วนั นี้เปน วันอะไรครับ หรือถามจาํ นวนภกิ ษุถามปญหา ก็จะกลืนนาํ้ แลว จึงบอก ถงึ หากไมม ีผถู ามถึงวันเปนตน เวลาออกไปกจ็ ะบว นนา้ํ ออก (จากปาก) ท่ีประตูบานแลวจึงไป เหมือนภิกษุ ๕๐ รปู ทจี่ าํ พรรษาที่กลัมพตติ ถวิหาร. เร่อื งพระ ๕๐ รูป ไดท ราบวา ในวนั อาสาฬหปุณณมี (กลางเดอื น ๘) ทา นเหลาน้ันไดท ํากตกิ าวัตรกนั ไวว า ถาพวกเรายังไมบรรลุอรหัตแลว จะไมพ ดูคยุ กนั . และเมอ่ื จะเขา บานบณิ ฑบาต ( แตล ะรูป ) กอ็ มน้ําแลว จึงเขา ไปเมอ่ื ถูกถามถึงวนั เปน ตน ก็ปฏิบตั ิดังทก่ี ลา วมาแลวนั้นแหละ. คนทง้ั หลายเห็นรอยบวนนา้ํ ณ ที่นั้นแลว ก็รูวา วนั นี้พระมารูปเดยี ว วันนีม้ า ๒ รูป
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 699จงึ คิดกันอยางนี้วา ทานเหลานีไ้ มพ ูดเฉพาะกับพวกเราหรอื อยา งไร ? หรอืแมแตพวกกันเองก็ไมพดู ? ถา หากทา นไมพูดกนั ทา นจักวิวาทกันเปนแน มาเถดิ เราทั้งหลายจกั ใหท านขอขมากนั ทกุ คนจึงพากันไปวดั ไมไดเหน็ พระภิกษุในทีแ่ หงเดียวกนั ถงึ ๒ รูป ในจํานวนพระ ๕๐ รปู .ตอมาบรรดาคนทัง้ หลายเหลา นั้น ผูมีตาดกี ็จะพดู วา พอคณุ เอย คนทะเลาะกนั จะไมมีโอกาสเชน น้ี ลานเจดยี ลานโพธิ์ ก็กวาดเรียบรอ ยไมกวาด ก็เก็บไวด ี น้ําฉนั น้ําใช ก็จัดไวเรยี บรอย. ตอ จากน้ัน เขาเหลา นนั้ กพ็ ากันกลับ. ในภายในพรรษานน้ั เอง พระภกิ ษแุ มเหลา นั้น ก็บรรลุอรหตั ในวนั มหาปวารณา จงึ ปวารณากันดว ยวิสุทธิปวารณา. ภกิ ษุมีจติ ประกอบดว ยกรรมฐานนนั้ เอง ยกเทา ข้ึน ( เดินไป) ถงึใกลบ านแลวอมนํ้าไว พจิ ารณาดูทางหลายสาย ท่ไี มม ีผคู นทะเลาะกนัไมม ีนกั เลงสรุ า และนกั เลงการพนันเปน ตน หรือไมมีชางดุ มาดุ เปนตนแลว เดินไปทางน้ัน เหมือนทานมหานาคเถระ ชาวกาลวลั ลิมณฑปและเหมือนกับภิกษุผูจาํ พรรษาในกลัมพตติ ถวหิ าร ดังท่พี รรณนามานี.้เธอเม่อื จะไปบิณฑบาตในบา นน้นั ก็จะไมเ ดินเรว็ เหมอื นคนรบี รอ น.เพราะวา ไมมีธุดงคอ ะไร ท่มี ีชื่อวา เปนธดุ งคส ําหรับผูเดินบิณฑบาตเร็ว.แตวา เดินไมโ คลงกายเหมอื นเกวยี นบรรทุกนํ้าเต็ม (ไป) ถึงพ้ืนทร่ี าบเรยี บ. และเขาไปตามลําดับเรือน (ยืน) คอยเวลาพอสมควร เพือ่ สังเกตดวู าเขาประสงคจ ะถวาย (ตักบาตร) หรือไมประสงคจ ะถวาย รบั ภิกษาแลว (อย)ู ในบานหรือนอกบา น หรอื มายงั วหิ ารนน่ั เอง นั่งในโอกาสทส่ี มควรตามสบายแลว มนสิการกรรมฐาน กําหนดปฏิกูลสัญญาในอาหารพิจารณาโดยเปรียบเทยี บกับนา้ํ มันหยอดเพลา ผา พันแผล และเน้ือบุตร
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 700นําอาหารท่ปี ระกอบดว ยองค ๘ มา ไมใ ชฉ นั เพอื่ จะเลน ไมใ ชฉ นั เพื่อจะตกแตง ไมใชฉัน เพื่อจะประดับประดา และฉันแลว จัดเรื่องเกยี่ วกบั น้ํา(ดม่ื , ลาง) เสร็จแลว ระงับความลําบากที่เกดิ จากอาหาร (เมาขาวสกุ )สักครูหนง่ึ แลว จึงมนสกิ ารกรรมฐานน่ันแหละ ในเวลาหลังฉันเหมือนกับเวลาเวลากอนฉนั และในเวลาปจฉมิ ยามเหมือนกบั เวลาปฐมยาม.ภิกษุรูปนี้ เรียกไดว า ท้ังนาํ ไปและนาํ กลบั . กเ็ ธอเม่อื บําเพญ็ คตปจจาคติกวัตร กลาวคือการนาํ ไปและนาํ กลับนี้ ถาหากมอี ุปนิสยั สมบรู ณไซร กจ็ ะบรรลอุ รหัตในปฐมยามนั่นเอง ถาหากไมบรรลุในปฐมยาม ตอไปกจ็ ะบรรลใุ นมัชฌมิ ยาม ถา หากในมชั -ฌมิ ยามไมบรรลไุ ซร ตอ ไปก็จะบรรลุในมรณสมยั ถาหากในมรณสมัยไมบ รรลไุ ซร ตอไปก็จะเปน เทพบุตรแลว บรรลุ ถา หากเปน เทพบุตรแลวกย็ งั ไมบรรลไุ ซร เม่ือพระพุทธเจา ยงั ไมเสด็จอบุ ัติ จะเกดิ ข้นึ แลวทําใหแ จงปจ เจกโพธิญาณ ถา ไมท าํ ใหแจงปจ เจกโพธญิ าณไซร ตอไปจะเปนผูร โู ดยเรว็ (ขิปปาภิญญาบคุ คล ) ตอพระพกั ตรข องพระพทุ ธเจาทง้ั หลาย เหมอื นพระพาหิยทารจุ ีรยิ เถระ จะมีปญ ญามาก เหมือนพระสารบี ตุ รเถระ จะมีฤทธม์ิ าก เหมอื นพระโมคคัลลานเถระ จะเปนผูบอกธุดงคเหมอื นพระมหากสั สปเถระ จะเปน ผมู ที พิ ยจกั ษุเหมือนพระอน-ุรทุ ธเถระ จะเปนพระวินยั ธรเหมอื นพระอุบาลีเถระ จะเปน พระธรรม-กถึกเหมือนพระปณุ ณมันตานบี ุตรเถระ จะเปนผอู ยปู า เปน ประจาํ เหมือนพระเรวตเถระ จะเปนพหูสูตรเหมอื นพระอานนทเถระ หรอื จะเปน ผูใ ครการศกึ ษาเหมอื นพระราหลุ เถระพุทธบุตร ดงั น.ี้ ภกิ ษผุ นู าํ ไปและนํากลับใน ๔ วาระน้ี จะมโี คจรสมั ปชัญญะ ถึง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 783
Pages: