Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_17

tripitaka_17

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_17

Search

Read the Text Version

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 401ดว ยกายซึ่งวโิ มกขอ นั กาวลว งรูปาวจรฌานแลว เปนธรรมไมมรี ูปสงบระงับอยูเถดิ ดังนี้ ภิกษนุ นั้ ควรเปน ผูกระทาํ ใหบ ริบูรณในศีล ประกอบธรรมเคร่อื งระงับจติ อนั เปน ไปในภายใน ไมท ําฌานใหเ หินหาง ประกอบวิปส สนา เพม่ิ พูน ( การอยใู น ) สญุ ญาคาร. ความหวังท่ี ๙ [๘๒] ดูกอ นภิกษทุ ั้งหลาย ถาภกิ ษุจะพึงหวงั วา เราพึงเปนโสดาบัน เพราะความส้นิ ไปแหงสงั โยชน ๓ พงึ เปน ผมู ีอนั ไมตกต่าํ เปนธรรมดา เปน ผเู ทยี่ ง (ทีจ่ ะตรสั รู) มอี นั ตรัสรูเ ปน เบื้องหนาเถดิ ดงั น้ีภิกษุนนั้ ควรเปนผูกระทําใหบ ริบรู ณในศีล ประกอบธรรมเคร่อื งระงับจติอนั เปนไปในภายใน ไมทาํ ฌานใหเ หนิ หา ง ประกอบดว ยวิปสสนา เพม่ิพูน (การอยใู น) สญุ ญาคาร. ความหวังท่ี ๑๐ [๘๓] ดูกอนภิกษทุ ้ังหลา ย ถา ภิกษุจะพึงหวังวา เราเปน พระสกทาคามี เพราะความสิน้ ไปแหง สงั โยชน ๓ ( และ) เพราะราคะโทสะ โมหะ เปนสภาพเบาบาง พงึ มาสโู ลกนเ้ี พยี งครัง้ เดยี ว แลว พงึทําทสี่ ุดทกุ ขไ ดเถิด ดังน้ี ภกิ ษุนนั้ ควรเปน ผทู าํ ใหบ ริบูรณใ นศลี ประกอบธรรมเครือ่ งระงบั จิตอนั เปนไปในภายใน ไมท ําฌานใหเ หนิ หา ง ประกอบดวยวิปส สนา เพ่ิมพนู (การอยูใน) สุญญาคาร. ความหวงั ที่ ๑๑ [๘๔] ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ถาภิกษุจะพงึ หวงั วา เราพึงเปน

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 402อปุ ปาติกสัตว เพราะความสน้ิ ไปแหง โอรัมภาคยิ สังโยชน ๕ พึงปริ-นพิ พานในพรหมโลกนน้ั มอี ันไมกลับมาจากโลกน้ันเปนธรรมดาเถดิดังน้ี ภิกษุนั้นควรเปนผกู ระทําใหบ ริบรู ณใ นศลี ประกอบธรรมเครื่องระงับจิตอนั เปน ไปในภายใน ไมท าํ ฌานใหเ หนิ หาง ประกอบดวยวิปสสนา เพ่มิ พนู (การอยูใน) สุญญาคาร. ความหวงั ท่ี ๑๒ [ ๘๕ ] ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ถาภิกษุจะพึงหวงั วา เราพงึ บรรลุอิทธวิ ธิ หิ ลายประการ คือคนเดียวพึงเปนหลายคนกไ็ ด หลายคนพึงเปนคนเดียวกไ็ ด ทาํ ใหปรากฏกไ็ ด ทําใหหายไปกไ็ ด ทะลุฝากําแพง ภูเขาไปได ไมติดขัด เหมือนไปในทีว่ า งกไ็ ด พงึ ผุดขึน้ ดําลง แมในแผน ดนิ เหมอื นในนาํ้ กไ็ ด พงึ เดินบนนา้ํ ไมแ ตกแยก เหมอื นเดนิ บนแผนดนิ กไ็ ด เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได ลบู คลําพระจันทรพระอาทติ ยซงึ่ มฤี ทธิ์ มอี านภุ าพมาก ดวยฝามือกไ็ ด ใชอ ํานาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ไดเถดิ ดังนี้ ภิกษนุ น้ั ควรเปนผูกระทําไหบ ริบูรณใ นศลีประกอบธรรมเคร่ืองระงบั จิตของคน ไมทําฌานไหเหนิ หาง ประกอบวิปสสนา เพ่ิมพนู ( การอยูใ น) สญุ ญาคาร. ความหวงั ท่ี ๑๓ [๘๖] ดกู อนภกิ ษุท้งั หลาย ถา ภกิ ษจุ ะพึงหวังวา เราพึงไดย ินเสยี ง ๒ ชนิด คอื เสียงทพิ ย และเสียงมนษุ ย ท้งั ทอี่ ยไู กลและใกลดวยทพิ ยโสตอนั บริสทุ ธิ์ ลวงโสตของมนุษยเถดิ ดงั น้ี ภกิ ษุน้ันควร

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 403เปนผกู ารทําใหบ ริบรู ณใ นศลี ประกอบธรรมเครอื่ งระงบั จิตอันเปนไปในภายใน ไมท าํ ฌานใหเหนิ หาง ประกอบดวยวปิ สสนา เพมิ่ พูน (การอยใู น ) สญุ ญาคาร. ความหวงั ท่ี ๑๔ [๘๗] ดูกอ นภกิ ษทุ ้งั หลาย ถาภกิ ษุจึงพึงหวงั วา เราพึงกาํ หนดรูใจของสตั วอัน ของบคุ คลอื่นดว ยใจ คือ จิตมรี าคะ กร็ ูว าจิตมรี าคะหรอื จติ ปราศจากราคะ ก็รูว า จติ ปราศจากราคะ จติ มีโทสะ ก็รูวา จติ มีโทสะ หรือจติ ปราศจากโทสะ ก็รวู า จติ ปราศจากโทสะ จติ มีโมหะ กร็ ูวา จิตมโี มหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รูวาจิตปราศจากโมหะ จิตหดหูกร็ วู า จติ หดหู หรอื จติ ฟุงซา น กร็ ูวาจติ ฟงุ ซา น จติ เปน มหัคคตะ กร็ วู าจิตเปนมหัคคตะ หรอื จิตไมเ ปน มหัคคตะ ก็รวู า จิตไมเ ปน มหัคคตะ จติ มีจิตอนั ย่งิ กวา ก็รวู าจิตมจี ิตอน่ื ย่ิงกวา หรอื จิตไมมจี ติ อนื่ ยิง่ กวา ก็รวู า จิตไมมจี ิตอน่ื ย่ิงกวา จิตเปนสมาธิ กร็ วู าจิตเปน สมาธิ หรอื จิตไมเ ปนสมาธิกร็ วู าจิตไมเ ปนสมาธิ จติ หลุดพน ก็รวู าจติ หลุดพนแลว หรอื จติ ยงั ไมหลดุ พน กร็ ูวา จติ ยังไมห ลดุ พน ดังน้ี ภกิ ษนุ น้ั ควรเปน ผูกระทาํ ใหบรบิ ูรณใ นศีล ประกอบธรรมเครอื่ งระงบั จิตอันเปน ไปในภายใน ไมท ําฌานใหเหินหาง ประกอบดวยวิปสสนา เพิ่มพนู (การอยูใน )สุญญาคาร. ความหวงั ท่ี ๑๕ [๘๘] ดกู อนภิกษุทัง้ หลาย ถาภกิ ษุจะพึงหวงั วา เราพงึ ระลึกชาตกิ อ นไดเ ปน อันมาก คือพึงระลกึ ไดช าติหนึง่ บา ง สองชาตบิ า ง

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 404สามชาติบา ง สี่ชาติบาง หา ชาตบิ าง สบิ ชาติบาง ยส่ี บิ ชาตบิ าง สามสบิชาตบิ า ง ส่สี ิบชาติบาง หา สบิ ชาติบาง รอ ยชาติบา ง พนั ชาติบางแสนชาติบาง ตลอดสังกดั กัปเปน อันมากบาง ตลอดวิวัฏฏกปั เปน อันมากบาง ตลอดสังวฏั ฏกปั และวิวฏั ฏกัปเปน อันมากบาง ในภพโนน เรามีชอ่ือยางนั้น มโี คตรอยางน้ัน มีผิวพรรณอยางน้นั มีอาหารอยางน้ัน เสวยสุขเสวยทุกขอยางนนั้ ๆ มีกาํ หนดอายุเพียงเทาน้ัน ครน้ั จตุ ิจากภพนั้นแลว ไดไปเกดิ ในภพโนน แมในภพนนั้ เรากไ็ ดมชี ่อื อยางน้ัน มีโคตรอยา งน้นัมผี วิ พรรณอยางน้นั มีอาหารอยา งน้นั เสวยสขุ เสวยทุกขอยา งนั้น ๆ มีกาํ หนดอายุเพียงเทา นน้ั คร้นั จตุ จิ ากภพน้ันแลว ไดม าเกิดในภพน้ี เราพงึ ระลึกชาตกิ อนไดเปนอันมาก พรอ มทง้ั อาการ พรอมท้งั อุทเทศดวยประการฉะน้เี ถิด ดงั นี้ ภิกษนุ นั้ ควรเปน ผูกระทําใหบริบรู ณในศีลประกอบธรรมเครอื่ งระงับจติ อันเปนไปในภายใน ไมท ําฌานใหเหนิ หา งประกอบดวยวิปสสนา เพ่ิมพนู (การอยใู น ) สญุ ญาคาร. ความหวงั ท่ี ๑๖ [ ๘๙ ] ดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย ถาภิกษุจะพึงหวังวา เราพงึ เหน็หมสู ตั วท ี่กําลังจุติ กําลงั อุบตั ิ เลว ประณีต มผี วิ พรรณดี มผี ิวพรรณทราม ไดดี ตกยาก ดว ยทพิ ยจักษอุ นั บริสุทธ์ิ ลว งจักษุของมนุษยพึงรชู ัดซ่งึ หมสู ัตว ผเู ปนไปตามกรรมวา สัตวเหลา นี้ ประกอบดวยกาย-ทจุ ริต วจีทุจรติ มโนทจุ ริต ติเตียนพระอริยเจา เปนมิจฉาทิฏฐิ ยดึ ถือการกระทําดว ยอํานาจมจิ ฉาทิฏฐิ เมื่อตายไป เขาจะเขาถึงอบาย ทุคติวนิ บิ าต นรก สว นสัตวเหลา นี้ ประกอบดวยกายสุจริต วจีสุจริต

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 405มโนสจุ ริต ไมติเตยี นพระอริยเจา เปนสมั มาทฏิ ฐิ ยึดถอื การกระทาํ ดวยอาํ นาจสมั มาทฏิ ฐิ เมอ่ื ตายไป เขาจะเขาถงึ สุคติโลกสวรรค ดังนี้ เราพงึเห็นหมสู ัตวกําลงั จุติ กาํ ลังอุบตั ิ เลว ประณตี มผี วิ พรรณดี มผี วิ พรรณทราม ไดด ี ตกยาก ดวยทพิ ยจกั ษอุ ันบรสิ ทุ ธิ์ ลว งจกั ษขุ องมนุษยพงึ รชู ดั ซง่ึ หมสู ตั วผเู ปนไปตามกรรม ดว ยประการฉะน้เี ถิด ดังน้ี ภิกษุน้นั ควรเปนผูกระทําใหบรบิ ูรณในศีล ประกอบธรรมเครอื่ งระงบั จติ อันเปน ไปในภายใน ไมทาํ ฌานใหเหนิ หา ง ประกอบดว ยวปิ สสนา เพม่ิ พูน(การอยูใน ) สุญญาคาร. ความหวังท่ี ๑๗ [๙๐] ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ถาภิกษุจะพึงหวังวา เราพงึ ทาํ ใหแจงซ่ึง เจโตวิมตุ ิ ปญ ญาวมิ ตุ ิ อนั หาอาสวะมิได เพราะอาสวะทงั้ หลายสน้ิ ไป ดวยปญญาอันยง่ิ เอง ในปจ จุบันเขา ถงึ อยเู ถิด ดังนี้ ภกิ ษนุ น้ัพงึ เปนผูก ระทําใหบรบิ ูรณในศีล ประกอบธรรมเครือ่ งระงบั จิตอันเปน ไปในภายใน ไมทําฌานใหเหินหา ง ประกอบดว ยวปิ สสนา เพิม่ พนู(การอยูใน) สุญญาคาร. คําใดท่ีเรากลาวแลว วา ดูกอนภกิ ษทุ ้งั หลาย เธอทั้งหลายะจงเปนผูม ศี ลี อันถงึ พรอม มีปาฏโิ มกขอ ันถงึ พรอ มแลว อยูเ ถดิ เธอทง้ั หลายจงเปน ผสู าํ รวมดวยความสํารวมในปาฏิโมกข ถึงพรอ มดว ยมรรยาทและโคจรอยูเถิด เธอทั้งหลายจงเปน ผมู กั เห็นภยั ในโทษเพียงเล็กนอ ย สมาทานศึกษาในสกิ ขาบทท้งั หลายเถิด ดังน้ี คํานน้ั อันเราอาศัยอาํ นาจประโยชน

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 406จงึ ไดก ลา วแลว ฉะนนั้ แล. พระผูม ีพระภาคเจา ไคต รสั พระพุทธพจนน แี้ ลว ภิกษเุ หลานนั้มใี จช่นื ชมยนิ ดีภาษติ ของพระผูมพี ระภาคเจา ฉะน้ีแล. จบ อากงั เขยยสตู รที่ ๖

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 407 อรรถกถาอากงั เขยยสูตร [๗๓] อากังเขยยสตู ร มคี ําขนึ้ ตนวา เอวมฺเม สุต ขา พเจาไดฟง มาแลวอยา งนี้ ดังนี้. บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา สมฺปนฺนสีลา ความวา ความถงึพรอม มี ๓ อยาง คอื ความบรบิ รู ณ ความพรงั่ พรอ ม และความหวาน. ความถงึ พรอม ๓ อยาง บรรดาความถงึ พรอมท้ัง ๓ อยางนัน้ ความถึงพรอมท่ีมาแลว วา ดกู อ นโกสิยะ นกแขกเตาท้งั หลาย ยอมบรโิ ภครวง ขา วสาลที ่ีสมบูรณแ ลว ดูกอ นพราหมณ เราขอบอก ทา นวา เราไมส ามารถหามนกแขกเตา นั้นได ดงั นี้ นี้ช่อื วา ความถงึ พรอมคือความบริบรู ณ. ความถึงพรอมนวี้ า ภิกษเุ ปน ผเู ขา ถึงแลว เขา ถงึ พรอ มแลว เขาไปใกลแลว เขาไปใกลพ รอ มแลว เขาถึงแลว สมบรู ณแลว ประกอบแลว ดว ยปาฏโิ มกขสงั วรศีลน้ัน ดังนี้ ชื่อวาความถึงพรอมคอื การพรั่งพรอม. ความถงึ พรอ มนี้วา ขาแตทานผเู จริญ พ้นื ต่ําสดุ แหง มหาปฐพีน้ีมรี สหวาน นาชอบใจ เหมอื นนํา้ ผ้งึ หวี่ท่ีไมมโี ทษ (ขีง้ ว น) เจอื ปนฉะนน้ั ดงั น้ี ชอื่ วา ความถงึ พรอ มคือความหวาน.

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 408 แตในสตู รนี้ควรไดแ กค วามถึงพรอมคอื ความบรบิ รู ณบ า ง ความถึงพรอมคอื ความพรงั่ พรอ มบา ง เพราะฉะน้ัน ในบทวา สมปฺ นฺนสลี าพงึ ทราบความอยางนี้วา บทวา สมปฺ นฺนสีลา ความวา เปน ผูมีศีลบรบิ รู ณด ังน้บี า ง เปนผพู ร่งั พรอ มดว ยศีล ดงั น้บี า ง. ความหมายของศลี บทวา สีล ความวา ท่ีช่อื วา ศีล เพราะอรรถวากระไร. ท่ชี ่อืวา ศลี เพราะอรรถวา เปนทรี่ องรบั . ขอ ความโดยพสิ ดารของบทวาศลี น้นั ไดกลาวไวแ ลว ในปกรณวิเศษ ชื่อวิสทุ ธิมรรค. แมใ นปกรณวเิ ศษช่อื วสิ ทุ ธิมรรคนั้น ดว ยอรรถน้ีวา ปรปิ ณุ ฺณสีลา นีเ้ ปนอนั ไดกลาวความบรบิ รู ณข องศลี ไวแ ลว เพราะปราศจากโทษของศีล เหมือนทานกลา วความบรบิ รู ณข องนาไว เพราะปราศจากโทษของนาฉะน้นั . โทษของนา ๔ เหมอื นอยา งวา นาทีป่ ระกอบดวยโทษ ๔ อยา ง คอื พืชเสยี ๑การหวานไมดี ๑ น้าํ ไมด ี ๑ ที่ดินไมดี ๑ ยอมเปนนาที่บรบิ ูรณไ มได. บรรดาโทษ ๔ อยางนน้ั พชื ทห่ี ัก หรือเนา ในระหวา ง ๆ มอี ยูในนาใด นานน้ั ชอื่ วา นามพี ืชเสยี . ชนทง้ั หลายหวา นพชื เหลา นั้นลงในนาใด ขา วกลา ยอ มไมง อกขน้ึในนานนั้ นาก็จัดวา เปนนาท่ีเสยี . ชาวนาผูไมฉ ลาด เม่ือหวา นพืช ยอ มหวานใหตกไปเปนหยอ ม ๆ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 409ในนาใด นาน้ันชอ่ื วา มกี ารหวา นเสยี . เพราะเม่อื หวานอยา งนี้ ขา วกลายอ มไมงอกขน้ึ ท่วั ทุกแหง ท่ีนาก็จัดวา เปนนาเสยี . ในนาลางแหงมนี ํ้ามากเกนิ ไป หรอื ไมมีเลย นานั้นช่ือวา ขาดนาํ้เพราะวากลา จะไมง อกข้นึ แมใ นนานนั้ นาก็จัดวาเปนนาเสยี . ในบางทอ งถ่นิ ชาวนาเอาไถไถพืน้ ที่ถงึ ๔ - ๕ ครัง้ ใหพ น ท่ีลกึ เกินไป ตอแตนนั้ ดนิ จะเกิดเค็ม นาน้นั ชื่อวานามดี ินเสีย. เพราะวา ในนาท่เี สยี นั้นขา วกลายอมไมง อกข้นึ นากจ็ ดั วา เปนนาเสยี . และนาเชนน้ัน จะไมม ีผลติ ผลมาก เพราะวา แมใ นนานนั้ ถงึ จะหวานพืชลงไปมากก็ไดรบั ผลนอย. แตว า นาท่ีจดั วา เปนนาบรบิ ูรณ เพราะปราศจากโทษ ๔ อยางเหลา น.้ี และนาเชนนน้ั จดั เปนนาทมี่ ผี ลิตผลมาก ฉนั ใด ศลี ซง่ึประกอบดว ยโทษ ๔ อยาง คือ ขาด ทะลุ ดา ง พรอย จะจดั เปนศีลทบ่ี รบิ ูรณไ มไ ดฉ นั นนั้ เหมอื นกัน. และศีลเชน น้ัน เปน ศลี หามีผลานิสงสมากไม. แตศ ลี จะจดั วาเปน ศลี ท่ีบรบิ ูรณไ ด ก็เพราะปราศจากโทษ ๔อยางเหลาน.ี้ กศ็ ีลเชน นน้ั จัดวา เปน ศีลทมี่ ผี ลานสิ งสมาก. ศีลสมบูรณดว ยเหตุ ๒ ประการ ก็ดว ยอรรถนวี้ า สลี สมงคฺ ิโน เปน อนั ทานกลาวอธบิ ายไวว าเธอทงั้ หลาย จงเปน ผพู รอมเพรียง คอื เปน ผถู งึ ความพรั่งพรอม ไดแ กประกอบดว ยศลี อยูเถดิ ดงั นี้. ในบทวา สมปฺ นฺนสีลา นั้น ความเปน ผูม ีศีลถงึ พรอ มยอ มมีไดดวยเหตุ ๒ ประการ คือ เพราะการเหน็ โทษในการวบิ ัติแหงศีล ๑

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 410เพราะเหน็ อานสิ งสใ นการถงึ พรอ มแหง ศลี ๑. คณุ ชาติท้งั ๒ อยางนี้ ทานไดใ หพ ิสดารแลว ในปกรณวเิ ศษช่ือวสิ ทุ ธมิ รรค. พระสุมนเถระชาวทีปวิหาร กลาวไวว า ไดย นิ วา พระผูมีพระภาคเจาทรงยกจตปุ าริสุทธิศีลข้ึนแสดง ดว ยพระดํารัสมปี ระมาณเทานว้ี า สมฺปนนฺ สีลา ในบรรดาบทเหลา นนั้ แลวทรงแสดงศลี ที่เปนประธานในบรรดาศีลเหลาน้ัน อยางพิสดาร ดวยบทน้ีวา ปาฏิโมกฺข-ส วรส วตุ า ดังน้ี. สว นพระจฬู นาคเถระผูทรงพระไตรปฎกซึ่งเปนอนั เตวาสกิ ของพระสมุ นเถระน้ัน กลาววา พระผูมีพระภาคเจา ตรัสปาฏโิ มกขสังวรศลีไวใ นบาลีประเทศถงึ ๒ แหง ปาฏิโมกขสงั วรเทา นน้ั ชอ่ื วาศลี (แตอาคต) สถานทก่ี ลาวรบั รองไวว า ศลี ๓ อยา งนอกน้ที ่ีเปนศีล ก็มอี ยู ทา นเมือ่ ไมเ หน็ ดวยจงึ กลาวแยง ไวแ ลว กลาว ( ตอไป ) วา คณุ เพยี งแตการรกั ษาทวารทัง้ ๖ กช็ ือ่ วา อนิ ทรียสังวร คณุ เพียงแตก ารบงั เกิดขนึ้แหงปจ จัยโดยธรรมโดยสมํ่าเสมอ ก็ช่ือวา อาชวี ปารสิ ุทธิ คณุ เพียงแตการพิจารณาปจ จยั ทีต่ นไดแลว วา สิง่ น้มี ีอยู ดังนีแ้ ลว จงึ บริโภค กช็ ่ือวาปจ จัยสันนสิ สติ ศีล. แตว าโดยตรง ปาฏิโมกขสังวรเทา นั้นช่ือวาศลี ปาฏิโมกขสังวรศีลนั้นของผูใดขาดแลว ผนู น้ั ใคร ๆ ไมควรกลา ววา ผนู ีจ้ ักรักษาศลี ทเ่ี หลือไว ดังนี้ เปรยี บเหมือนบุรษุ ผูมีศรี ษะขาดแลว ก็ไมอาจทจี่ ะรกั ษามือและเทาไวไดฉะน้ัน. แตวา ปาฏโิ มกขสังวรศีลน้ีของผใู ด ไมต างพรอย ผนู ้ีนัน้ ยอมสามารถท่ีจะรักษาศีลท่ีเหลือใหดํารงอยูต ามปกตไิ ด เปรยี บเหมือน

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 411บรุ ษุ ผูม ศี ีรษะไมขาดกอ็ าจรกั ษาชีวิตไวไ ดฉ ะนั้น. เพราะฉะนัน้ พระผูม ีพระภาคเจา จงึ ทรงยกปาฏิโมกขสงั วรศลี ขึ้นแสดงดว ยบทวา สมฺปนฺนสีลาดงั นีแ้ ลว ตรัสคาํ ท่ีเปนไวพจนของคาํ วา สมฺปนนฺ สลี า น้นั วาสมฺปนฺนปาฏิโมกฺขา ดงั น้ี เม่ือจะทรงแสดงคําทีเ่ ปน ไวพจนกนั น้นั ใหพิสดาร จงึ ตรัสคําเปนตนวา ปาฏโิ มกขฺ ส วรส วุตา ดังน้ี. บรรดาบทเหลานัน้ บทวา ปาฏิโมกขฺ ส วรส วุตา ความวาประกอบดว ยปาฏโิ มกขสังวรศีล. บทวา อาจารโคจรสมปฺ นฺนา ความวา สมบรู ณด ว ยอาจาระและโคจร. บทวา อณมุ ตฺเตสุ แปลวา มปี ระมาณนิดหนอย. บทวา วชฺเชสุ คือ ในธรรมฝา ยอกศุ ลทงั้ หลาย. บทวา ภยทสฺสาวี แปลวา ผูมปี กติเหน็ ภยั . บทวา สมาทาย ความวา ถอื เอาดว ยดี. บทวา สกิ ขฺ ถ สิกฺขาปเทสุ ความวา พวกเธอจงยดึ ถอื เอาสิกขาบทน้นั ดว ยดแี ลวศกึ ษาเถดิ . อีกอยา งหนึง่ ในบทวา สมาทาย สกิ ฺขถ สกิ ฺขาปเทสุ น้ี มีความยอ วา สิ่งใดส่ิงหน่ึง ไมวา จะเปน ไปทางกายหรือทางวาจาก็ตามทีควรศกึ ษาในสิกขาบท คอื ในสว นของสกิ ขาบทพวกเธอจงถือเอาสิง่ น้ันทัง้ หมดดวยดแี ลวศึกษาเถดิ . สว นบททั้งหลายมีบทวา ปาฏิโมกฺขส วรา เปนตน ทั้งหมดเหลานน้ั ไดก ลา วไวแลว ในปกรณวิเศษ ชื่อวิสุทธิมรรคอยางพิสดาร.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 412 ความหวังที่ ๑ [๗๔] ถามวา คาํ วา อากงเฺ ขยยฺ เจ น้ี พระผมู พี ระภาคเจาทรงเรม่ิ ไวเ พราะเหตุไร ? ตอบวา เพอื่ จะทรงแสดงอานสิ งสข องศีล. กแ็ มถ า คนผบู วชไมนาน หรือคนผูม ีปญญาทราม พงึ มีความคิดอยา งน้วี า พระผมู พี ระภาคเจาตรสั วา พวกเธอจงบําเพญ็ ศลีพวกเธอจงบําเพญ็ ศีล ดงั น้ี อะไรหนอแล เปนอานสิ งส อะไรเปน ขอแตกตาง อะไรเปนความเจริญในการบาํ เพ็ญศีล ดงั น.้ี เพอื่ จะทรงแสดงอานสิ งส ๑๗ ประการ แกภ ิกษุผูบวชไมนานเปนตน น้นั พระผูมีพระภาคเจา จึงตรสั อยา งน.้ี ชือ่ แมไ ฉน ภกิ ษุทัง้ หลาย ไดฟ ง อานิสงสซง่ึ มีความเปนที่รกั เปน ท่ีชอบใจของเพือ่ นพรหมจารีท้งั หลายเปนเบื้องตน มีการสิ้นไปแหงอาสวะเปนทส่ี ดุ น้ันแลว จกั บาํ เพญ็ ศลี ใหบริบรู ณ เหมอื นพอ คาขายน้าํ ออยงบฉะนนั้ . ธรรมดาพอ คา ขายนํา้ ออ ยงบทา นเรยี กวา พอคาน้ําออ ย. เลากนั มาวา พอคานนั้ เอาเกวียนบรรทกุ นํา้ ออ ยงบและนํ้าตาลกรวดเปน ตน ไปแถบชายแดน แลว โฆษณาวา พวกทานจงซ้ือยาพษิ และหนาม พวกทานจงซื้อยาพษิ และหนาม ดงั น.้ี พวกชาวบานไดฟ ง คาํ นน้ัก็คิดวา ธรรมดาวา ยาพษิ เปนของรา ยแรง ผใู ดกินมันเขาไป เขาผนู นั้ก็ตอ งตาย แมหนามท่มิ แทงแลวยอ มทําคนเราใหตายได ส่ิงของทั้ง ๒อยา งน้ีเปน ของรายแรง จะมีอานสิ งสอะไรในการซอื้ นี้ ดงั นแี้ ลว ก็ปดประตเู รือนและไลเด็กใหหนไี ป. พอคา เหน็ เหตนุ น้ั จงึ คิดวา ชาวบาน

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 413เหลานเ้ี ปนผูไมฉลาดในการคา ขาย เอาเถิด เราจะใชอุบายใหช าวบา นเหลานน้ั ซ้อื ดังนี้. จงึ รองขายไปวา ทา นจงซอ้ื ของหวาน ทานจงซ้ือเอาของดี ทานจะไดน า้ํ ออ ยงบ น้ําตาลกรวด ที่มรี าคาดี พวกทา นจะซ้ือไดด วยมาสกปลอมและกหาปณะปลอมราคาเยา ดังนี.้ พวกชาวบา นไดฟง คาํ นนั้ เขา ตา งรา เรงิ ยินดีพากันไปใหราคาแมแ พงแลว รบั เอาของน้ันไป. พระดํารัสของพระผูม พี ระภาคเจาในคาํ นน้ั วา สมปฺ นฺนสลี าภกิ ฺขเว วิหรถ ฯลฯ สมาทาย สกิ ฺขาปเทสุ นนั้ ก็เหมอื นกบัคาํ โฆษณาของพอคาท่วี า วสิ กณฏฺ ก คณฺหถ สิกขฺ ถ ดงั นี้. พระผูมพี ระภาคเจา ตรสั วา พวกเธอจงเปนผมู ศี ีลสมบรู ณอ ยเู ถิดดงั นี้ พวกภกิ ษุยอ มคิดวา ธรรมดาวา ศลี น้ี เปนของกระดาง เปนขาศกึ ตอการหัวเราะ และการเลนเปน ตน จะมอี านสิ งสอะไรบางหนอแกเหลา ภิกษุผูม ศี ีลสมบูรณ ดงั น้ี กเ็ หมือนกับพวกชาวบานมีความคิดวายาพษิ และหนาม เปนของหยาบ จะมีอานสิ งสอ ะไรในการชอ่ื ยาพษิเปนตน ฉะนัน้ เม่ือเปนเชน นั้น พึงทราบพระดํารสั เบอื้ งตนของพระผมู ีพระภาคเจา วา อากงฺเขยฺย เจ ดงั น้ี เปนประโยชนแ กการประกาศอานิสงส ๑๗ ประการ ซงึ่ มคี วามเปนท่ีรักทช่ี อบใจเปนตน มคี วามส้ินไปแหงอาสวะเปน ท่สี ุด เหมือนคาํ ข้ึนตนของพอคาน้นั วา ทานจงซ้อื เอาของอรอย ดังนี้. บรรดาบทเหลาน้นั บทวา อากงฺเขยยฺ เจ ความวา ถา เธอพึงหวัง คือถาเธอพงึ ปรารถนา. บทวา ปโย จ อสสฺ  ความวา เราพงึ เปน ผอู นั บคุ คลอ่ืนพึงมองดูดวยจกั ษุอันเปน ที่รกั อธบิ ายวา เราพึงเปนผเู ปน ปทัฏฐานแหง การ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 414บงั เกิดขนึ้ แหงความรกั ดงั น้.ี บทวา มนาโป ความวา เราพึงเปนผเู จริญใจของชนเหลา น้นั . อีกอยา งหนงึ่ อธิบายวา เราพงึ เปนผตู อ งใจของชนเหลานั้น คอืพงึ ใชช นเหลา นัน้ แผเ มตตาจิตไป. บทวา ครุ ความวา เราพงึ เปนท่ีตระหนักของชนเหลาน้นั เชนเดยี วกับฉตั ร. บทวา ภาวนโี ย ความวา เราพึงเปน ผูอ นั ชนเหลา นน้ั พงึ ยกยอ งอยา งน้ีวา ทานรปู น้ี เม่ือรกู ร็ จู รงิ เมือ่ เห็นก็เหน็ จรงิ แนแท ดงั นี้ . บทวา สเี ลเสฺวสฺส ปริปรู ิการี ความวา พึงเปนผูทาํ ใหบ ริบรู ณในจตปุ าริสุทธศิ ลี นน้ั แล อธบิ ายวา พงึ ประกอบดวยอาการที่ทาํ ใหบรบิ ูรณไมข าดตกบกพรอ ง. บทวา อชฌฺ ตฺต เจโตสมถมนยุ ุตโฺ ต ความวา เปน ผปู ระกอบในการฝก จติ ของตน. เพราะคาํ วา อชฌฺ ตฺต หรอื อตตฺ โน ในคาํ วา อชฌฺ ตตฺ  เจโตสมถ-มนยุ ตุ โฺ ต น้ี เปน อยา งเดยี ว๑กนั คือมอี รรถอยางเดยี วกนั . ตางกนั ท่ีพยญั ชนะเทา น้นั . บทวา สมถ นเ้ี ปนทตุ ิยาวิภตั ติ ลงในอรรถแหง สัตตมวี ิภตั ต.ิ ดว ยบทอุปสัคนว้ี า อนุ กเ็ ปนอนั สําเร็จในการประกอบความได. บทวา อนริ ากตซฌฺ าโน ความวา ผูม ฌี านอันอะไร ๆ นาํ ออกไปภายนอกไมไ ด หรือมฌี านอนั อะไร ๆ ทําใหเสือ่ มมิไดแ ลว . ความจรงิช่อื วา นิรากรณะนี้ ใชในความหมายวา นาํ ออกไป และทาํ ใหพ นิ าศ.ก็พึงเห็นการประกอบความของนิรากรณะนั้น ดังในประโยคเปน ตน วา๑. ปาฐะ เปน เอต แตฉ บบั พมาเปน เอก จงึ แปลตามฉบบั พมา.

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 415บคุ คลควรขจัดความกระดางเสียแลว พึงเปนผูมคี วามประพฤตถิ อมตนดังนี้. บทวา วปิ สสฺ นาย สนนฺนาคโต ความวา ผูประกอบดว ยอนปุ สสนา ๗ อยาง. ธรรมดาอนปุ สสนา ๗ อยาง คอื อนิจจานุปสสนาทุกขานุปส สนา อนัตตานุปส สนา นพิ พทิ านปุ ส สนา วริ าคานุปสสนานิโรธานปุ สสนา ปฏินสิ สัคคานปุ ส สนา. อนปุ สสนาเหลา นั้น ไดใ หพิสดารแลว ในปกรณว เิ ศษช่ือ วิสทุ ธมิ รรค. บทวา พฺรเู หตา สุฺาคาราน ความวา เปน ผูยังสุญญาคารใหเจริญ. กใ็ นบทวา พรฺ ูเหตา สุฺาคาราน น้ี ภิกษุเรยี นเอากัมมัฏฐานดวยอํานาจสมถะ และวิปส สนา แลวเขาไปนัง่ ยังเรือนวางตลอดวันและคนืพงึ ทราบวา เปน ผูเจริญสญุ ญาคาร สวนภกิ ษุแมกระทาํ ความเพียรในปราสาทช้นั เดียวเปน ตน ไมพึงเห็นวาเปน ผูเจริญสญุ ญาคารเลย. ก็ดวยคําเพยี งเทา นี้ เทศนานีแ้ มพ ระผมู พี ระภาคเจาจะทรงเร่ิมดวยสามารถการยกอธิศลี สิกขาน้ันแสดงกอนกต็ าม ก็พึงทราบวาเปน เทศนาท่ีนบั เนื่องในไตรสกิ ขาโดยลําดบั เพราะรวมสมถะและวปิ ส สนาเขา ดวยกนัเหตทุ ีส่ มถะและวิปสสนามศี ลี เปน ปทัฏฐาน เหมือนกับการเทศนาธรรมท่ีเปน ขา ศกึ ของตัณหา แมพ ระผูมพี ระภาคเจาจะทรงเร่มิ ดวยสามารถการยกตณั หาขน้ึ แสดงกอน กพ็ ึงทราบวา เปน เทศนาทีน่ ับเขา ในหมวด ๓ แหงธรรมเคร่อื งเน่นิ ชา โดยลาํ ดับ เพราะรวมมานะและทิฏฐเิ ขา ดวยกัน เหตุที่มานะและทฏิ ฐิมีตัณหาเปนปทัฏฐาน. กใ็ นบรรดาคาํ เหลา น้นั ดวยคาํ เพยี งเทาน้วี า สเี ลเสฺววสสฺ ปร-ิปรู ิการี เปน อนั ตรสั อธศิ ีลสิกขาไว.

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 416 ดว ยคาํ เพยี งเทา นีว้ า อชณฺ ตฺต เจโตสมถมนยุ ุตโฺ ต อนิรากตชฌฺ าโนเปน อันตรัสอธจิ ิตตสกิ ขาไว. ดวยคาํ เพยี งเทาน้วี า วปิ สฺสนาย สมนฺนาคโต เปน อนั ตรัสอธ-ิปญญาสิกขาไว. ก็ดวยบทวา พรฺ เู หตา สุ ฺ าคาราน น้ี เปนอนั ตรสั รวมสิกขาแมท้งั ๒ อยา ง อยางน้ีคอื อธิจติ ตสกิ ขา ในการเจริญสุญญาคาร ดวยอํานาจสมถะ อธิปญ ญาสิกขา ดว ยอํานาจวปิ ส สนา. กใ็ นที่นี้ ดวยบทเหลาน้ี วา อชฺฌตฺต เจโตสมถมนุยุตโฺ ต อนิรา-กตชฌฺ าโน พระองคต รัสถึงความที่จติ เปนเอกัคคตาวา อนุรกั ษศ ลี ไวไ ดทีเดยี ว. ดวยบทวา วปิ สสฺ นาย นี้ พระองคตรสั การกําหนดสังขารวาอนุรกั ษศ ีลไวไ ด. ถามวา ความท่ีจิตเปนเอกัคคตาจะอนรุ ักษศ ลี ไวไดอ ยางไร ? ตอบวา ก็ผูใ ดไมมจี ติ เปนเอกัคคตา ผูน ้นั เมอื่ พยาธเิ กดิ ข้ึน ยอ มเดอื ดรอน. เขาถกู พยาธิรบกวนกระวนกระวายถงึ ตองใหศลี ขาด จงึ จะกระทาํ พยาธนิ ้ันใหสงบไปได สวนผใู ดมีจติ เปน เอกัคคตา ผูน นั้ ขมพยาธิทุกขไวไ ด เขาสมาบตั ิ ในขณะท่ีเขาเขาสมาบัติ ทกุ ขยอ มปราศไปความสุขซง่ึ มีกาํ ลงั มากกวา จะเกิดข้ึน. ความที่จติ เปน เอกคั คตา ยอ มอนรุ กั ษศีลได ดว ยประการอยา งนี้. ถามวา การกาํ หนดสังขาร ยอมตามอนุรักษศีลไดอยางไร ? ตอบวา ก็ผใู ดไมมกี ารกําหนดสังขาร ผนู น้ั ยอ มมคี วามรักอยา งรุนแรงในอัตภาพวา รปู ของเรา วญิ ญาณของเรา ดงั นี.้ ผนู นั้ เม่ือเผชญิ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 417ทพุ ภิกขภัย และพยาธิภัยเปน ตน เหน็ ปานน้ัน ยอมทําลายศลี แลวถนอมอตั ภาพไว. สว นผใู ด มีการกําหนดสงั ขาร ผนู นั้ ยอ มไมมีความรกั อยา งรนุ แรง หรอื ความเสนหาในอตั ภาพ กเ็ ม่ือเขาเผชญิ ทพุ ภิกขภยั และพยาธภิ ัยเปน ตนเห็นปานนัน้ ถงึ แมว าไสใหญของเขาจะไหลออกมาขา งนอก ถาหากวาเขาจะซูบผอม ซบู ซดี หรือขาดออกเปนทอ น ๆ ตงั้ รอยทอ น พนั ทอน เขาก็จะไมทําลายศลี แลวถนอมอัตภาพไวเลย. การกาํ หนดสังขาร ยอ มอนุรกั ษศีลไดอ ยางน้ี. กด็ ว ยบทวา พฺชเู หตา สูฺาคารานนพี้ ระองคทรงแสดงการเพิ่มพนู การเจริญและการทาํ โดยตดิ ตอ ซึง่ เหตุทัง้๒ อยา งนนั้ . พระผูมีพระภาคเจาตรัสไวอยางนว้ี า เพราะภิกษผุ ูหวังคุณธรรม ๔ประการเหลาน้ี คอื เราพงึ เปนทีร่ กั เปนทช่ี อบใจ เปน ทีเ่ คารพนบั ถอืของเพื่อนสพรหมจารีท้งั หลาย ไมม กี จิ ทีจ่ ะตอ งทําอะไรอ่นื (แต) พงึเปนผปู ระกอบดวยคณุ มีศีลเปนตน โดยแท เพราะวา ภิกษุผูประกอบดว ยคณุ มีศลี เปน ตนเชนน้ี ยอมเปนทรี่ กั เปน ท่ีชอบใจ เปนที่เคารพนบั ถอืของเพื่อนสพรหมจารีทงั้ หลาย. สมจริงดงั พระดาํ รัสทีพ่ ระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวว า ชนยอ มทําบุคคลผสู มบูรณดว ยศลี และทสั สนะ ผู ตงั้ อยใู นธรรม ผมู ีปกตกิ ลา วคาํ จรงิ ผทู ําการงาน ของตน ใหเปน ทรี่ กั ดงั น้ี . ความหวงั ท่ี ๒ [๗๕ ] เพราะเหตนุ ้ัน พระผมู ีพระภาคเจา คร้ันตรสั วา ดูกอน

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 418ภิกษุท้ังหลาย ถาภกิ ษพุ งึ หวงั วา เราพึงเปนท่ีรัก ฯ ล ฯ เปนทชี่ อบใจของเพอ่ื นสพรหมจารที ้ังหลาย ดงั น้ี เธอพึงเปนผทู าํ ใหบ รบิ ูรณในศีลทั้งหลาย ฯล ฯ เธอพึงเพิม่ พนู การอยูในเรือนวาง ดงั นแ้ี ลว บดั นี้ เพราะเหตทุ ่ภี กิ ษปุ รารถนาปจ จยั มีลาภเปน ตน พึงทํากจิ น้อี ยา งเดยี ว ไมพงึ ทาํ กิจอะไร ๆ อื่นจากนี้ฉะนั้น จงึ ไดตรสั ดาํ มอี าทิไววา ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลายถา ภิกษพุ ึงหวังวา เราพงึ เปน ผมู ีลาภ ดงั น้เี ปน ตน. ก็ในทน่ี ี้ อยาพงึ เขาใจวาพระผูมพี ระภาคเจาตรสั การบําเพญ็ ศลีเปน ตน ซ่ึงมีลาภเปนนมิ ิตไว เพราะพระผูมีพระภาคเจา เปน ผูต รัสปฏิเสธการแสวงหาลาภ ไมตรสั พระวาจาทพี่ าดพิงถึง (ลาภ) ทรงโอวาทแกเ หลา พระสาวกอยา งน.้ี พระองคจ กั ตรสั การบาํ เพญ็ คณุ มีศีลเปนตน ซึ่งมลี าภเปนนิมิตไดอยางไร. แตวา คาํ นน้ั พระองคต รสั ไวดว ยอาํ นาจอัธยาศยั ของบุคคล. อธบิ ายวา ภิกษุเหลาใดพึงมีอัธยาศยั อยา งนวี้ า ถา หากวา เราไมตอ งลําบากดวยปจ จยั ๔ ไซร เราอาจเพ่อื จะบําเพ็ญศลี เปนตน ใหบ ริบรู ณไ ด ดงั น้.ี พระผูม ีพระภาคเจา ตรสั ไวอยางน้ี ดว ยสามารถอัธยาศัยของชนทัง้ หลายเหลานัน้ . อีกอยา งหนง่ึ ชือ่ วาปจ จัย ๔ น้นี ้ัน เปนอานิสงสท ีแ่ ทจริงของศลี .จริงอยา งนั้น มนษุ ยผเู ปนบัณฑติ ทง้ั หลายนําสง่ิ ของที่คนเก็บไวใ นฉางเปนตนออกมา ท้งั บุตรเปนตน ก็ไมใ ห ทัง้ ตนเองก็มไิ ดใชสอย แตมอบถวายแกทานผมู ีศีล คําดังกลา วมาน้ี ทานกลาวไวเ พ่อื แสดงอานสิ งสท แ่ี ทจรงิ ของศีล.

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 419 ความหวงั ท่ี ๓ [๗๖] พงึ ทราบวินจิ ฉัยในวาระท่ี ๓ ตอไป บทวา เยสาห ตัดบทเปน เยส อห บทวา เตสนเฺ ต การา ความวา สักการะคอื การถวายปจ จัยเหลานั้น เทวดาหรือมนษุ ยไ ดทาํ แลวในตวั เรา ความจรงิ เทวดาทงั้ หลายยอ มถวายปจจยั แกทา นผูประกอบดว ยคุณ มศี ลี เปน ตน จะมีเฉพาะมนุษยอยา งเดยี วเทานั้นกห็ ามไิ ด, ดงั ที่ทาวสกั กเทวราชไดถวายแกท า นมหา-กัสสปะ. คาํ ทง้ั ๒ นีว้ า มหปฺผลา นหานสิ  สา โดยเน้อื ความแลวมคี วามหมายอยา งเดียวกนั ตางกันเพยี งพยญั ชนะเทา น้นั . สักการะท่ชี ือ่ วามีผลมาก เพราะผลิตโลกยิ สุขอยา งมากมายให. ชอ่ื วา มอี านิสงสม าก เพราะเปน ปจ จยั ของโลกตุ ตรสขุ อยา งใหญห ลวง. ความจริง ภิกษาทัพพีเดียวก็ดีบรรณศาลาทพ่ี ื้นดนิ ยาวประมาณ ๕ ศอกกด็ ี ที่บคุ คลทําถวายแกทา นผูประกอบดวยคุณมีศีลเปนตน ยอ มรักษาเขาไวไ ดจ ากทคุ ติ วินิบาต เปนเวลาหลายแสนกลั ป. และในบน้ั ปลายยิง่ เปน ปจจยั แหง การดบั รอบดวยอมตธาตุ. ก็ในเร่ืองนีม้ เี รือ่ งเปน ตนวา เราไดถวายนํ้านมและขาวสกุเปน ตน หรอื มีเปตวตั ถุและวมิ านวตั ถุทง้ั มวล เปน เคร่อื งสาธก. เพราะ-ฉะนนั้ พระผมู พี ระภาคเจา จึงทรงแสดงวา ภกิ ษแุ มป รารถนาทจ่ี ะใหความที่สกั การะท่ีผถู วายปจจัยในตนน้ันมผี ลมาก พึงเปนผูประกอบดวยคุณมศี ีลเปนตนน้ันแล.

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 420 ความหวังท่ี ๔ [๗๗] พึงทราบวนิ ิจฉัยในวาระที่ ๔ ตอ ไป หมชู นผูเ ก่ยี วของขา งฝายพอ ผัวแมผัว ชอื่ วา ญาต.ิ บิดาและปูเปน ตน ผเู ก่ยี วเน่อื งโดยสายโลหติ เดยี วกัน ชือ่ วา ญาติสาโลหติ . ผูถงึ ความเปน ผลู ะไปแลว ช่ือวา เปตะ. บทวา กาลกตา แปลวา ตายแลว. บทวา เตสนตฺ  ความวา ความทชี่ นเหลาน้นั มจี ติ เล่ือมใสในเราหรอื การระลึกถงึ เราดว ยจติ เลอ่ื มใสนั้น ของชนเหลา น้นั . ความจรงิ บิดาหรือมารดาของภิกษรุ ปู ใดตายไปแลว มจี ติ เลอื่ มใสยอ มระลึกถงึ ภิกษุนน้ัวา พระเถระผมู ศี ลี มธี รรมอันงามนี้เปนญาตขิ องพวกเรา ดงั นี้ ความเล่อื มใสแหงจติ น้ัน ของเขานั้นกด็ ี เหตสุ กั วา การระลกึ ถึงนั้นกด็ ี มผี ลมีอานสิ งสมาก. เหตสุ กั วา การระลึกถงึ นั้นเปน ธรรมชาตทิ ีส่ ามารถเพอ่ื จะยงั หมูสตั วใหข า มพนจากทุคคติ ตลอดหลายแสนกัป และใหถงึ อมตมหานพิ พานในทสี่ ุดน้ันแล. สมจริงดงั พระดาํ รัสทพ่ี ระผูมพี ระภาคเจา ตรสั ไววา ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย ภกิ ษเุ หลา นน้ั ใด สมบรู ณดวยศีล สมบูรณด วยสมาธิสมบรู ณดว ยปญ ญา วมิ ตุ ติ และวิมุตตญิ าณทัสสนะ ดกู อ นภกิ ษุทัง้ หลาย ก็เรากลาวการเห็น การฟง การระลกึ ถึง การบวชตาม การเขาไปหาการเขา ไปน่ังใกลภกิ ษเุ หลานน้ั วา มอี ปุ การะมาก ดังนี้ เพราะฉะนนั้พระองคจงึ ทรงแสดงวา ภกิ ษแุ มปรารถนาซ่ึงความเล่ือมใสแหงจิตในตนและการระลกึ ถึง (ตน) ญาติ และสายโลหติ ทั้งหลาย จะใหม ีผลมาก

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 421พงึ เปนผปู ระกอบดว ยคุณมศี ีลเปนตนน้นั แล. ความหวงั ท่ี ๕ [๗๘ ] พงึ ทรงวินจิ ฉยั ในวาระท่ี ๕ ตอไป บทวา อรติรตสิ โห อสฺส ความวา เราพึงเปนผอู ดทนตอ ความยนิ รายและความยินดี คือพงึ เปน ผูถ ูกความยินรา ยเปน ตน ครอบงําทวมทับ. กใ็ นคาํ วา อรติรติสโห นี้ ความเบอ่ื หนา ยในธรรมทเี่ ปน กุศลอันยงิ่ (และ) ในเสนาสนะอนั สงดั ช่อื วา อรติ ความยนิ ดีในกามคุณ ๕ชื่อวา รติ. บทวา น จ ม อรติ สเหยยฺ ความวา กค็ วามยินรา ย พึงครอบงาํ คือย่าํ ยี ไดแกท ว มทบั เราไมได. บทวา อปุ ฺปนนฺ  ความวา เกดิ แลว คือ บังเกดิ ข้นึ แลว. เพราะวา ภิกษุผูป ระกอบดวยคุณมศี ลี เปน ตน ยอ มอดกลัน้ คอื ครอบงาํ ไดแ กยํ่ายซี ึ่งความยินรา ยและความยนิ ดไี ด เพราะฉะนั้น พระผมู ีพระภาคเจา จงึ ทรงแสดงไววา ภิกษุแมปรารถนาจะใหต นเปน เชน นัน้พึงเปนผูประกอบดว ยคุณมีศีลเปน ตน . ความหวงั ที่ ๖ [๗๙] พึงทราบวินจิ ฉัยในวาระท่ี ๖ ตอไป ความสะดงุ ของจิตก็ดี อารมณก็ดี ชือ่ วาภยั (ความกลัว) อารมณน้นั เอง ชื่อวา เภรวะ (ความขลาด). คาํ ทเี่ หลือมีนยั ดังกลาวแลว ใน

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 422วาระที่ ๕. ความจริง ภิกษุผูป ระกอบดว ยคณุ มศี ลี เปน ตน ยอ มอดกลน้ั คอืยอ มครอบงาํ ไดแกยอมย่าํ ยคี วามกลัวและความขลาดนัน้ ตง้ั อยู เหมอื นพระมหาทตั ตเถระชาวอรยิ โกฏิยวหิ าร. เทวดาไลพระ ไดย นิ วา พระเถระดาํ เนินไปในหนทาง ไดพ บราวปาอนั เปนที่ตง้ัแหงความเลือ่ มใสแหงใดแหงหน่ึง จึงคดิ วา วันนีเ้ ราจักบําเพ็ญสมณ-ธรรมในท่นี ี้แลวจึงจะไป ดงั นแ้ี ลว จงึ ออกไปจากทางปลู าดผา สังฆาฏิแลวนงั่ ขดั สมาธิใกลโ คนตน ไมแ หง ใดแหงหนง่ึ . เดก็ ๆ ของรกุ ขเทวดา ไมสามารถท่จี ะดาํ รงอยตู ามสภาวะของตนได ดว ยเดชแหงศลี ของพระเถระ จึงรอ งจาขนึ้ . เเมเ ทวดาเองก็เขยาตน ไมทุกตน พระเถระนัง่ ไมไหวติง เทวดานนั้ จึงบงั หวนควันใหไฟลกุโพลงขน้ึ (แมถงึ อยางนนั้ ) กไ็ มส ามารถท่ีจะทําใหพ ระเถระไหวตงิ ได. ตอ แตน ้นั เทวดาจึงแปลงเพศเปน อุบาสก เดินมาไหวพ ระเถระแลวไดยืนอยู ถกู พระเถระถามวา ใครนนั่ จึงไดกลาววา ทานผูเจรญิ กระผมเปน เทวดาที่สถติ อยูทีต่ น ไมน ี้ พระเถระถามวา ทา นไดทําสิ่งประหลาดนัน้ หรอื ? เทวดาตอบวา ใชค รับ. กเ็ ทวดานั้น พอถกู พระเถระถามวาเพราะเหตุไรทานจงึ ทาํ ? จึงตอบวา ทา นผูเจรญิ ดวยเดชแหงศีลของทานนัน้ แล พวกเดก็ ๆ ไมส ามารถที่จะดาํ รงอยูตามภาวะของตนได จึงไดพากันสงเสียงรองจา กระผมน้ันไดทาํ อยางนเ้ี พอื่ (ประสงค) จะใหทานหนีไปเสยี . พระเถระถามวา เม่อื เปนเชน นนั้ เพราะเหตไุ รทานจึง

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 423(ประสงค) จะใหเราหนไี ป ? เทวดาตอบวา ทา นผูเ จริญ ขอทานอยาอยูในท่ีนีเ้ ลย. กระผมไมม ีความสขุ เลยดงั นี้ พระเถระจงึ กลา ววา ทา นทาํ ไมไมบอกเรากอ น แตบ ดั นท้ี านอยา พูดอะไรเลย เรารสู กึ ละอายตอถอ ยคําทีค่ นจะพูดวา พระอริยโกฏิยมหาทตั ตะ หลีกหนีไป เพราะกลวัตออมนุษย ฉะนัน้ เราจะอยูในทีน่ ี้แหละ แตในวนั น้ีเพียงวันเดียว ทานจงอยูใ นทใ่ี ดท่ีหนงึ่ (กอน) เถดิ . พระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงวา ภิกษผุ ปู ระกอบดว ยคณุ มีศีลเปนตน ยอ มเปนผอู ดทนตอภัยทนี่ ากลวั ได ฉะน้นั ภกิ ษุแมป รารถนาใหตนเปนเชนน้ี พึงเปน ผูประกอบดว ยคณุ มีศีลเปน ตน ดังน้ี. ความหวังท่ี ๗ [๘๐] พงึ ทราบวินจิ ฉัยในวาระท่ี ๗ ตอ ไป จติ อนั บริสุทธิผ์ อ งใส พระองคตรัสเรยี กวา อภิจติ ในคําวาอาภิเจตสิกาน . อีกอยา งหน่งึ จติ อนั ยิ่ง พระองคตรสั เรียกวา อภจิ ิตร,ฌานท้ังหลายอันบังเกดิ ขึ้นในอภจิ ิต ชื่ออาภิเจตสกิ อกี อยางหน่งึ ฌานทง้ั หลาย อันอาศยั อภจิ ติ ฉะน้ัน ฌานท้งั หลายเหลาน้นั จงึ ชอ่ื วา อาภิ-เจตสกิ . บทวา ทฏิ  ธมฺมสุขวหิ าราน ความวา ซึ่งการอยเู ปน สุขในทฏิ ฐ-ธรรม. อตั ภาพท่ีเห็นได โดยประจกั ษ เรยี กวา ทฏิ ฐธรรม อธบิ ายวาเปน การอยูอ ยางเปน สุขในทฏิ ฐธรรมนั้น. คาํ วา ทิฏ ธมมฺ สุขวหิ าราน เปน ชอื่ ของรปู าวจรฌาน. ความจริง

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 424ชนท้งั หลายนั่งเพง ฌานนัน้ อยา งแนวแน ยอมประสบเนกขมั มสขุ อนั ไมเศรา หมองในอัตภาพน้ี เพราะฉะนน้ั ชนเหลา น้ัน ทานจงึ เรยี กวา ผมู ีปกติอยเู ปนสขุ ในทฏิ ฐธรรม. บทวา นิกามลาภี ความวา เปน ผูไดตามความประสงค คอื เปนผูไ ดตามความปรารถนาของตน อธบิ ายวา ยอ มเปน ผสู ามารถเพอ่ื จะเขาฌานไดในขณะทต่ี นปรารถนา ๆ. บทวา อกิจฉฺ ลาภี มอี ธบิ ายวา เปน ผูสามารถเพือ่ จะขม ธรรมที่เปนขาศกึ แลว เขา ฌานไดโ ดยสะดวก. บทวา อกสริ ลาภี ความวา เปนผไู ดโ ดยไมย าก คอื อยา งสะดวกสบาย อธิบายวา เปน ผสู ามารถเพ่ือจะออกไดใ นเวลาตามทกี่ ําหนดไวน น้ัเอง. เปน ความจริง ภกิ ษุลางรปู เปนผูไดฌ าน แตไมอ าจจะเขาฌานไดในขณะท่ตี นตองการได. ลางรปู สามารถท่จี ะเขา ในขณะท่ีตนปรารถนาไดแตข มธรรมทเ่ี ปน ขา ศกึ ตอวสไี ดยาก. ลางรูปยอ มเขา ไดใ นขณะทตี่ นตองการ และขม ธรรมท่ีเปน ขาศึกตอวสีไดโดยไมยาก แตไมสามารถเพ่อื จะออกในขณะทตี่ นกาํ หนดไวได เหมือนนาฬิกาเครื่องจักร. ก็ผใู ดปรารถนาความพรอมมูลทั้ง ๓ อยางน้ี ผนู ั้นพึงเปน ผูท ําใหบ รบิ รู ณในศีลทัง้ หลายแท. ความหวงั ที่ ๘ [๘๑] เม่อื พระผมู ีพระภาคเจาตรัสฌาน ซ่ึงเปนบาทของอภิญญาอยา งน้ีแลว ก็มาถึงวาระของอภิญญาแมโดยแท แตถ งึ กระนัน้ พระผูม ี-

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 425พระภาคเจา กม็ ิไดท รงถือเอาอภิญญานัน้ เพอ่ื จะทรงรวมแสดงธรรมทง้ัหมดน้ัน เพราะวาไมเ พยี งแตฌ านซง่ึ เปนบาทของอภญิ ญา และอภญิ ญาอยา งเดยี วเทานน้ั ที่เปน อานิสงสข องศีล ท่แี ท อรูปฌานท่งั ๔ และอรยิ -มรรคทัง้ ๓ ขา งตน ก็เปนอานสิ งสข องศีลเหมอื นกัน ฉะนน้ั จงึ ตรสั คํามอี าทิวา อากงเฺ ขยฺย เจ ฯลฯ เย เต สนตฺ า ดังน้ี. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา สนตฺ า ความวา วโิ มกขท ้งั หลายช่ือวา เปนธรรมชาติสงบ เพราะมีองคส งบ และเพราะมอี ารมณสงบ. บทวา วิโมกขฺ า ความวา วิโมกขท ง้ั หลาย ช่อื วาสงบ เพราะหลดุ พนจากธรรมอันเปน ขาศึก และเพราะนอมไปในอารมณ. บทวา อตกิ ฺกมฺม รูเป ความวา กา วลว งเสียซึ่งรูปาวจรฌานเชอ่ื มบทวา วโิ มกขจะชอ่ื วาสงบได เพราะกา วลว งรูปาวจรฌาน ดังนี้ . ความจรงิ เมอ่ื จะกลา วโดยประการอน่ื วโิ มกขท ง้ั หลาย กา วลวงรปู าวจรฌานแลว กไ็ มพ งึ ปรากฏวา กระทําอะไร. บทวา อารปุ ฺปา ความวา เวน ขาดจากรูปทง่ั โดยอารมณ และโดยวิบาก. บทวา กาเยน ผสุ ติ ฺวา ความวา ถกู ตอ งนามกาย อธบิ ายวาบรรลุ ไดแกถึงทบั แลว. คําทีเ่ หลอื มเี นื้อความชดั แลว มคี ําอธบิ ายทที่ า นกลา วไวว า ภิกษุรูปใดประสงคจ ะถกู ตองวโิ มกขแลวอยู แมภ ิกษนุ นั้ พงึ เปน ผทู ําใหบ ริบูรณในศลี ทงั้ หลายแท ฉะนแี้ ล.

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 426 ความหวงั ท่ี ๙ [๘๒] พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในวาระท่ี ๙ ตอ ไป บทวา ตณิ ฺณ ส โยชนาน ความวา แหงเครอ่ื งผกู ๓ อยาง คอืสกั กายทิฏฐิ วจิ ิกจิ ฉา สลี พั พตปรามาส. ความจรงิ เครือ่ งผกเหลา น้นัยอ มประกอบขนั ธ คติ และภพ เปนตน เขา กบั ขันธ คติ และภพเปน ตน. อีกอยางหนงึ่ ยอมประกอบกรรมเขากบั ผล ฉะนั้น เคร่ืองผกูเหลา นั้นทานจึงเรยี กวา สังโยชน อธิบายวา เคร่ืองผูก บทวา ปริกขฺ ยา แปลวา เพราะการสิ้นไปรอบ. บทวา โสตาปนโฺ น ไดแ กผ ูถ งึ กระแส. ก็คําวา โสตา นน้ั เปน ชอื่ของมรรค. คําวา โสตาปนฺโน เปน ชอ่ื ของบคุ คลผูถงึ พรอ มดวยมรรคนัน้ . เหมือนอยางท่ีพระผูมีพระภาคเจาตรสั ไวว า สารีบุตร ทเี่ รากลาวคําวา โสโต โสโต ดังนี้ สารบี ตุ ร กระแสไดแ กอ ะไร ? พระสารีบุตรทลู วา ขาแตพระองคผูเจรญิ กระแสน้นั แล ไดแกอริยมรรคมอี งค ๘ คอื สมั มาทิฏฐิ สมั มาสงั กปั ปะ ฯ ล ฯ สัมมาสมาธ.ิ สารบี ตุ รกท็ ่เี รากลา ววา โสตาปนฺโน โสตาปนโฺ น ดังนี้ สารบี ุตรพระโสดาบันไดแกบ คุ คลเชน ไร ? พระสารีบตุ รทลู วา ขาแตพระองคผเู จรญิ ก็บุคคลผปู ระกอบดวยมรรคมอี งค ๘ น้แี หละ พระองคต รัสเรยี กวา เปนพระโสดาบันนัน้ มชี ือ่อยา งนี้ มีโคตรอยางน้ี ฉะนน้ั แล. แตใ นทนี่ ี้ ผลไดช ่ือตามมรรค ฉะนน้ับุคคลผูต ้งั อยใู นผล พงึ ทราบวา เปน พระโสดาบัน. บทวา อวนิ ิปาตธมโฺ ม มีวิเคราะหวา ธรรมท่ชี ือ่ วา วนิ บิ าต

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 427เพราะอรรถวา ยอ มยงั สัตวใหต กไปในท่ีชว่ั ทช่ี ่ือวา อวนิ ปิ าตธรรมเพราะเปน ธรรมท่ยี ังสตั วใ หต กไปในทชี่ ่ัว อธบิ ายวา เปน ธรรมท่ไี มยงั ตนใหตกไปในอบายท้งั หลายเปน สภาพ. ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะธรรมซงึ่ มกี ารยังสตั วใ หต กไปในอบายเหลานนั้ ทา นละไดแ ลว . ปญญาเครอื่ งตรสั รู. เปนที่ไปขางหนา คอื เปนคตขิ องพระโสดาบนันน้ั ฉะนน้ั ทา นจึงช่อื วา มีปญญาเครอื่ งตรัสรู เปน ทไ่ี ปขางหนา อธบิ ายวา เปนผบู รรลุมรรค ๓ เบอ้ื งสูงแนน อน. ถามวา เพราะเหตไุ ร ? ตอบวา เพราะทานไดโ สดาปตติมรรคแลว. บทวา สเี ลเสฺวว ความวา ภิกษุแมผ ูป ระสงคจะใหตนเปน เชนน้ีพงึ เปนผูกระทาํ ใหบ รบิ ูรณในศลี ท้ังหลายเถดิ . ความหวงั ท่ี ๑๐ [๘๓] พึงทราบวินจิ ฉยั ในวาระท่ี ๑๐ ตอ ไป สังโยชน ๓ ทพ่ี ระโยคาวจรละไดด ว ยโสดาปต ติมรรค ทา นก็กลา วไวเพื่อประโยชนแ กก ารพรรณนาสกทาคามิมรรค. บทวา ราคโทสโมหาน ตนุตตฺ า ความวา เพราะภาวะทรี่ าคะโทสะ โมหะ เหลาน้ันเปนสภาพเบาบาง อธิบายวา เพราะกระทาํ ราคะโทสะ โมหะ เหลา นั้นใหเ บาบางลง. ในคําน้ันพงึ ทราบความท่ีราคะเปนตนนนั้ เปนธรรมชาติเบาบางก็

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 428ดวยเหตุ ๒ ประการคือ เพราะเกิดข้ึนเปนคร้ังคราว และเพราะปรยิ ฏุ ฐาน-กิเลสมีกําลงั ออน. ความจรงิ กเิ ลสทงั้ หลายยอมไมบังเกิดขึน้ แกพระสก-ทาคามเี นอื ง ๆ เหมือนบงั เกดิ แกมหาชนผทู อ งเท่ียวอยูในวฏั ฏะ. ยอมเกดิข้ึนเปน ชวงหา ง ๆ ในกาลบางคราว เหมอื นหนอ พชื ในนาท่ปี ลกู ไวห าง ๆและแมเมื่อเกดิ ขึน้ ยอ มไมเกิดขน้ึ ย่ํายี แผซา น ปกปด กระทําความมดื มนอนธการ เหมือนเกดิ แกม หาชนผเู วียนวายในวัฏฏะ ยอมเกิดขึ้นเบาบางคอื เปนธรรมชาติเบาบางเกิดขึน้ เหมอื นช้ันแหง เมฆหมอก (ทีบ่ างขึ้นตามลําดบั ) และเหมือนแมลงเคลาคลงึ กลบี ดอกไม (ไมย า่ํ ยีใหช ้ํา) ฉะนั้น. ในเรอื่ งน้ัน พระเถระบางพวกไดก ลาวไวว า กิเลสทั้งหลาย ตอกาลนานจึงเกดิ ข้ึนแกพระสกทาคามีกจ็ รงิ ถึงกระนั้นกเ็ กิดข้ึนอยา งหนาแนน เพราะทานย่งิ มบี ตุ รธดิ าอยู. แตค าํ นัน้ ไมเปน ประมาณ เพราะบตุ รธดิ า บางครง้ั กเ็ กิดมีแกบ ิดามารดาดว ยเหตุเพียงการลบู คลาํ อวัยวะฉะนน้ั พงึ ทราบความทีก่ ิเลสของพระสกทาคามนี นั้ เปน ธรรมชาติเบาบางกด็ ว ยเหตุ ๒ อยางเทานั้น คือเพราะการเกดิ ข้ึนเปน ครงั้ คราว และเพราะปฏิยุฏฐานกิเลสของทา นเบาบางลง. บทวา สกทาคามี ความวา ผูม กี ารกลบั มาสูม นษุ ยโลกนี้เพียงคร้งั เดยี วเทานั้น ดวยอํานาจปฏิสนธิ. ก็แมผใู ดเจรญิ สกทาคามิมรรคในโลกนี้แลว ปรินพิ พานในโลกนี้แมผ ูน น้ั ทานกไ็ มจ ัดไวในทน่ี ี.้ แมผใู ดเจรญิ มรรคในโลกนีแ้ ลว บงั เกดิ ในเทวโลกแลว ปรินิพพานในเทวโลกน้นั ผนู ัน้ กไ็ มจ ัดเขาในที่นี.้ ผูใดเจรญิมรรค ในเทวโลกแลว กลบั มาเกดิ แลวปรนิ พิ พานในมนษุ ยโลกนี้ ผนู น้ั ก็ไมจัดเขาในท่ีนี้. แมผ ใู ดเจรญิ มรรคในโลกนแ้ี ลว บงั เกดิ ในเทวโลก

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 429ดํารงอยใู นเทวโลกนน้ั จนสน้ิ อายุแลว บงั เกดิ ในมนษุ ยโลกนอี้ กี แลว ปริ-นิพพาน ผูนี้แหละพึงทราบวาทานถอื เอาในคาํ น้ี. บทวา ทุกฺขสสฺ นตฺ  กเรยฺย ความวา เราพงึ ทาํ การกาํ หนดวัฏฏ-ทุกข. บทวา สีเลเสวฺ ว ความวา ภิกษุแมเ ปน ผูประสงคจ ะใหต นเปนเชน นี้ พึงเปนผูท าํ ใหบริบรู ณใ นศีลทง้ั หลายเถิด. ความหวังท่ี ๑๑ [ ๘๔ ] พึงทราบวนิ ิจฉัยในวาระท่ี ๑๑ ตอไป บทวา ปฺจนฺน เปนการกาํ หนดดวยการนับ. บทวา โอรมภฺ าคยิ าน ความวา ภายใต ทานเรียกวา โอระ.ไดแกสวนเบอื้ งลาง อธบิ ายวา มีการบงั เกดิ ขน้ึ ในโลกฝา ยกามาวจรเปนปจจยั . บทวา ส โยชนาน ไดแ กกิเลสเปน เคร่อื งผูก กิเลสเปนเคร่อื งผูกเหลา นนั้ พึงทราบวา ไดแ กสังโยชนซ ึ่งทานกลา วไวในกาลกอน (คือสกั กายทฏิ ฐิ วจิ กิ จิ ฉา สลี ัพพตปรามาส ) พรอมดวยสงั โยชน คอื กาม.ราคะ. และพยาบาท. ความจรงิ สงั โยชนเ หลานนั้ ผูใดยงั ละไมได แมผูน น้ั จะบงั เกิดขน้ึ ในภวคั คพรหมกจ็ รงิ ถงึ กระน้ันเขากย็ อมบงั เกดิ ในกามาวจรอกี เพราะส้ินอายุ บุคคลนี้พึงทราบวามีอปุ มาเสมอดวยปลาติดเบ็ด และมอี ุปมาเหมอื นนกตวั ถกู ดายยางผูกติดไวท ข่ี า. ฉะน้นั กใ็ นอธิการนี้ พงึ ทราบวาทา นกลา วคํานี้ ไวเ พอื่ ประโยชนแกก ารพรรณนาพระอริยบุคคลซึ่งทา นกลาวไวแ ตแรก ๆ.

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 430 คาํ วา โอปปาติโก เปนคํากลา วคัดคา นกาํ เนดิ ท่ีเหลือ. บรรดาบทเหลา น้นั บทวา ปรินพิ ฺพายิ ความวา ปรินิพพานในพรหมโลกนนั้ นน่ั เอง. บทวา อนาวตฺติธมฺโม ตสฺมา โลกา ความวา มกี ารไมกลบัมาจากพรหมโลกนั้นดวยอาํ นาจปฏสิ นธอิ กี เปนสภาพ. บทวา สเี ลเสฺวว ความวา ภกิ ษแุ มเปน ผปู ระสงคจ ะเปน เชน น้ีพงึ เปนผูกระทําใหบ รบิ ูรณใ นศีลท้ังหลายเถดิ . ความหวงั ที่ ๑๒ [๘๕] เม่อื พระผมู พี ระภาคเจา ตรัสอนาคามิมรรคอยางนแี้ ลว แมจะมาถงึ วาระแหงมรรคที่ ๔ ก็จรงิ ถงึ กระนน้ั พระผมู ีพระภาคเจา กไ็ มทรงถอื เอาอรหตั ตมรรคนนั้ เพราะไมเพียงแตอ ภญิ ญา คอื การสนิ้ ไปแหงอาสวะเปนอานสิ งสข องศีลอยางเดียว ท่ีแทอ ภญิ ญา ๕ ประการ ซงึ่ เปนโลกยิ ะ (ก็เปนอานิสงสของศลี เหมือนกนั ) ฉะนัน้ เพื่อจะทรงแสดงอภิญญาเหลา นนั้ และเพราะเมอ่ื พระองคตรัสถึงการสิน้ ไปแหง อาสวะเทศนาก็เปน อนั จบ กเ็ มอ่ื เปนเชน น้ี การกลา วนีพ้ งึ ชอื่ วา กลาวถึงอภญิ ญาลวน เพราะยังมิไดก ลา วถึงคุณของอภิญญาเหลานน้ั ฉะนน้ั เพือ่ จะทรงแสดงอภิญญาอยา งบริบรู ณ และเพราะการทาํ ฤทธ์ิ ยอมสําเรจ็ แกบคุ คลผูต้ังอยูในอนั าคามิมรรคโดยงาย และพระอนาคามยี อมเปนผูกระทาํ ใหบรบิ รู ณในศีลและในสมาธิ เพราะทานถอนกามราคะและพยาบาทซึ่งเปนขาศกึ ของสมาธไิ ดแลว ฉะนัน้ เพือ่ จะทรงแสดงโลกยิ อภญิ ญาทงั้ หลาย ในฐานะอนั ควร พระองคจ ึงตรสั คาํ มีอาทอิ ยา งนี้วา อากงฺเขยฺย เจ ฯเปฯ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 431อเนกวิหิต ดังนี้ น้ีแลเปนอนุสนธ.ิ การพรรณนาบาลีแหง โลกยิ อภญิ ญาแมท้งั ๕ อนั มาแลว โดยนัยเปน ตนวา อเนกวหิ ติ  อทิ ฺธวิ ธิ ึ ในบาลีนั้นทานกลาวไวเ เลวในคมั ภีรว สิ ทุ ธมิ รรคพรอมทงั้ วิธีทาํ ใหอภิญญาเกิด. ความหวงั ที่ ๑๓ [๘๖] พึงทราบวินจิ ฉยั ในอภญิ ยาที่ ๖ ตอไป บทวา อาสวาน ขยา ความวา เพราะการส้ินไปแหง กเิ ลสทกุอยา งดวยอรหตั ตมรรค. บทวา อนาสว ความวา เวน จากอาสวะ. ก็ในคาํ วา เจโตวมิ ตุ ฺติปฺาวมิ ุตฺติ น้ี สมาธทิ สี่ ัมปยุตดวยอรหตั ตผล ทา นกลาวดวยบทวาเจโต ปญญาท่สี หรคตดว ยอรหตั ตมรรคนั้น ทานกลา วไวดวยคาํ วาปญ ญา. ก็ในสมาธิและปญ ญานัน้ สมาธิ พงึ ทราบวา ชื่อวา เจโตวมิ ุตติเพราะพน จากราคะ ปญ ญาพึงทราบวา ช่ือวา ปญญาวมิ ุตติ เพราะหลุดพนจากอวิชชา. สมจรงิ ดังคําทพ่ี ระผมู พี ระภาคเจาตรสั ไวว า ภกิ ษทุ ัง้ หลายสมาธอิ ันใดพึงมี สมาธนิ น้ั พงึ เปนสมาธินทรยี  ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ปญญาใดพงึ มี ปญญานั้นพึงเปนปญ ญนิ ทรียภิกษทุ ัง้ หลาย ชื่อวา เจโตวมิ ุตติ เพราะสาํ รอกราคะ ชอื่ วา ปญญาวิมุตติ เพราะสาํ รอกอวิชชา อยา งนี้แล. อกี อยางหนึง่ ในอธกิ ารนี้ ผลของสมถะ พึงทราบวา เปนเจโต-วมิ ตุ ติ ผลของวปิ ส สนา พึงทราบวา เปนปญญาวิมตุ ต.ิ บทวา ทิฏ ว ธมเฺ ม ไดแ กใ นอตั ภาพน้เี อง. บทวา สย อภิ ฺ า สจฺฉกิ ตวา ความวา การทําใหประจักษ

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 432ดวยปญญาดวยตนเอง อธิบายวา รโู ดยไมม ีผอู ่ืนเปน ปจจยั . บทวา อุปสมปฺ ชชฺ วิหเรยฺย ความวา เราพึงบรรลุ คือใหถึงพรอมอย.ู บทวา สเี ลเสฺวว ความวา ภกิ ษุแมป ระสงคจะใหอ าสวะเหลาน้นั ถงึความดบั อยางนี้ บรรลุเจโตวิมตุ ติ และปญ ญาวมิ ตุ ติ พึงเปน ผทู าํ ใหบริบรู ณใ นศีลทงั้ หลายเถิด. พระผมู ีพระภาคเจาคร้ันตรัสถอยคําพรรณนาอานสิ งสของศลี จนถึงพระอรหัตอยา งนแ้ี ลว เมื่อจะทรงรวมแสดงอานิสงสข องศลี นน้ั แมทง้ั หมด จงึ ตรสั คําลงทา ยวา สมฺปนฺนสลี า ภกิ ขฺ เว ฯปฯ อทิ เมตปฏจิ จฺ วตุ ฺต ดังน้ี คําลงทา ยนั้นมเี นือ้ ความสังเขป ดังตอไปนี้วา :- บทวา สมปฺ นฺนสลี า ภิกขฺ เว วิหรถ ฯเปฯ สกิ ฺขาปเทสตู ิอิติ ยนตฺ  วตุ ฺต ความวา คาํ นนั้ ใดเราตถาคตกลา วไวแลว อยางนี้ในกาลกอ น คํานนั้ ทั้งหมดเราตถาคตกลา วหมายคอื เจาะจง (การท่ี) ภกิ ษผุ ูสมบูรณด วยศลี เปน ทร่ี กั เปนทช่ี อบใจ เปน ทเี่ คารพ ยกยองของเพื่อนพรหมจารี เปน ผไู ดปจจัย ผูท าํ ทายกผถู วายปจจยั ใหม ีผลมาก เปน ผกู ระทาํเจตนาคือการระลกึ ถึงบรุ พญาตใิ หม ผี ลมาก เปนผูอ ดทนตอภยั และความหวาดกลัว เปนผไู ดร ปู าวจรฌาน และอรูปาวจรฌาน เปนผกู ระทําใหแจงซง่ึ คณุ เหลา น้ี คอื สามัญญผล ๓ เบือ้ งต่าํ โลกิยอภิญญา ๕ อาสวัก-ขยญาณ ดว ยอภิญญา ดวยตนเอง. พระผมู พี ระภาคเจา ไดต รัสคาํ นีแ้ ลว ภิกษุทง้ั หลายเหลา น้ันตางกม็ ีใจดี ชมเชยภาษิตของพระผมู พี ระภาคเจา ฉะนแ้ี ล. จบอรรถกถาอากงั เขยยสตู รที่ ๖.

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 433 ๗. วัตถปู มสตู ร [๙๑] ขาพเจาไดสดับมาแลวอยางน้ี :- สมยั หน่งึ พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ พระวหิ ารเชตวนัอารามของอนาถบณิ ฑกิ เศรษฐี พระนครสาวัตถี ณ ทนี่ ั้นแล พระผูมีพระภาคเจาตรสั เรียกภิกษทุ ้งั หลายมาวาดูกอ นภกิ ษุทัง้ หลายภิกษุเหลานั้นทลู รับพระดํารสั ของพระผมู พี ระภาคเจาแลว. [๙๒] พระผูมีพระภาคเจาจึงตรสั วา ดูกอ นภกิ ษุท้งั หลาย ผาท่ีเศรา หมองมลทนิ จับ ชางยอ มพงึ นําเอาผาน้นั หยอนลงในนา้ํ ยอมใด ๆ คือสีเขียว สเี หลือง สแี ดง หรือสชี มพู ผา นน้ั พึงเปน ผามีสที เี่ ขายอมไมดีมสี ีมัวหมอง ขอนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะผา เปนของไมบริสทุ ธิ์ ฉันใดเมือ่ จิตเศรา หมองแลว ทุคติเปน อันหวังได ฉันน้นั . ผาท่ีบริสุทธห์ิ มดจด ชางยอ มพึงนาํ เอาผานั้นหยอนลงในน้ํายอมใด ๆคือ สีเขียว สีเหลอื ง สีแดง หรือสีชมพู ผานนั้ พงึ เปนผามีสที ่ีเขายอ มดีมีสสี ด ขอ นน้ั เพราะเหตุอะไร เพราะผา เปนของบริสุทธ์ิ ฉนั ใด เมอ่ื จติไมเ ศราหมองแลว สคุ ตเิ ปนอันหวงั ได ฉนั น้ัน. [๙๓] ดกู อ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ก็ธรรมเหลา ไหนเปนเคร่อื งเศราหมองของจติ [คือ] อภิชณาวิสมโลภะ [ละโมบไมส มา่ํ เสมอดว ยอาํ นาจความเพง เลง็ ] พยาบาท [ปองรา ยเขา] โกธะ [โกรธ] อุปนาหะ[ผกู โกรธไว] มักขะ [ลบหลคู ุณทา น] ปลาสะ [ตีเสมอ] อสิ สา[ริษยา] มจั ฉริยะ [ตระหน]่ี มายา [มารยา] สาเถยยะ [โออวด]ถัมภะ [หัวดือ้ ] สารัมภะ [แขง็ ดี] มานะ [ถอื ตัว] อติมานะ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 434[ดหู มิน่ ทา น] มทะ [มัวเมา] ปมาทะ [เลินลอ] [เหลาน้เี ปนธรรมเครือ่ งเศรา หมองของจติ . อุปกเิ ลส ๑๖ [๙๔] ดูกอ นภิกษุท้งั หลาย ภกิ ษุนั้นรชู ัดวา อภิชฌาวิสมโลภะพยาบาท โกธะ อุปนาหะ มกั ขะ ปลาสะ อสิ สา มัจฉรยิ ะ มายาสาเถยยะ ลมั ภะ สารมั ภะ นานะ อตมิ านะ มทะ ปมาทะ เปนธรรมเครอ่ื งเศรา หมองของจติ ดว ยประการฉะนแี้ ลว ยอมละอภชิ ฌาวสิ ม-โลภะ พยาสบาท โกธะ อุปนาหะ มกั ขะ ปลาสะ อสิ สา มจั ฉรยิ ะมายา สาเถยยะ ถมั ภะ สารัมภะ มานะ อตมิ านะ มทะ ปมาทะอนั เปน ธรรมเคร่อื งเศรา หมองของจติ เสยี . [๙๕] ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย ในกาลใดแล ภิกษุรูชดั วา อภชิ ฌา-วิสมโลภะ พยาบาท โกธะ อปุ นาหะ มกั ขะ ปลาสะ อสิ สา-มจั ฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารมั ภะ มานะ อติมานะ มทะปมาทะ เปน ธรรมเครอื่ งเศราหมองของจติ ดวยประการฉะน้แี ลว กล็ ะอภิชฌาวสิ มโลภะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะอสิ สา มจั ฉริยะ มายา สาเลยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะมทะ ปมาทะ อันเปน ธรรมเครอื่ งเศรา หมองของจติ เสยี ไดแ ลว ในกาลน้ัน เธอเปนผูประกอบดวยความเล่ือมใสอันแนวแนในพระพุทธเจาวาแมเ พราะเหตนุ ี้ ๆ พระผมู พี ระภาคเจา พระองคน ั้น เปน พระอรหนั ตตรัสรเู องโดยชอบ ถึงพรอ มแลวดวยวชิ ชาและจรณะ เสด็จไปดแี ลวทรงรแู จง โลก เปน สารถีฝกบุรษุ ทีค่ วรฝก ไมม ีผูอ ่นื ย่งิ กวา เปน ศาสดา

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 435ของเทวดาและมนษุ ยทั้งหลาย เปนผเู บกิ บานแลว เปน ผูจ ําแนกธรรมเปน ผูประกอบดวยความเลอ่ื มใสอนั แนว แนใ นพระธรรมวา ธรรมอันพระผูมพี ระภาคเจาตรัสดีแลว อันบคุ คลพงึ เห็นเอง ไมประกอบดวยกาลควรเรียกใหม าดู ควรนอ มเขามาในตน อันวญิ ูชนจะพงึ รูเฉพาะคน[แล] เปน ผูประกอบดวยความเลอ่ื มใสอันแนวแนใ นพระสงฆว า พระสงฆสาวกของพระผูมพี ระภาคเจา ปฏิบตั ดิ ีแลว ปฏบิ ตั เิ ปน ธรรม ปฏิบตั ิชอบยง่ิ คือ คบู ุรุษ ๔ บุรษุ บคุ คล ๘ นั่นแหละ พระสงฆสาวกของพระผูมีพระภาคเจา เปนผคู วรรบั เคร่ืองสกั การะ เปนผคู วรของตอนรับเปน ผคู วรทกั ขณิ า เปน ผูควรทําอญั ชลี เปนนาบุญของโลก ไมมีนาบุญอืน่ ยิง่ กวา กเ็ พราะเหตทุ ่กี เิ ลสน้ัน ๆ อัน ภกิ ษนุ ั้นสละไดแ ลว ตายแลวปลอยแลว ละเสยี แลว สละคืนแลว เธอยอมไดค วามรแู จง อรรถ ยอมไดค วามรูแจง ธรรม ยอมไดป ราโมทยอ นั ประกอบดว ยธรรมวา เราเปนผปู ระกอบดวยความเลอื่ มใสอันแนว แนในพระพุทธเจา เราเปนผปู ระกอบดว ยความเล่ือมใสอนั แนวแนในพระธรรม เราเปน ผปู ระกอบดวยความเลื่อมใสอันแนวแนใ นพระสงฆ และเพราะกเิ ลสนั้น ๆ อัน เราสละไดแ ลวตายแลว ปลอ ยแลว ละเสยี แลว สละคนื แลว ดังนี้ เมอื่ ปราโมทยแ ลวยอ มเกดิ ปต ิ เม่ือมปี ต ใิ นใจ กายยอมสงบ เธอมีกายสงบแลว ยอมไดเสวยสุข เมือ่ มสี ุข จติ ยอ มตั้งมัน่ [๙๖] ดกู อนภกิ ษทุ ้ังหลาย ภกิ ษนุ ัน้ แลมีศลี อยางนี้ มีธรรมอยางน้ีมีปญ ญาอยางนี้ ถงึ แมจ ะฉนั บิณฑบาตขาวสาลีปราศจากเมลด็ ดาํ มีแกงมีกบั มิใชนอย การฉนั บณิ ฑบาตของภิกษนุ ้ัน กไ็ มม อี นั ตรายเลย. ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย ผา อนั เศราหมอง มลทินจับ อาศัยนา อนั ใส

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 436จึงเปนผา หมดจดผองใส อีกอยา งหน่ึง ทองคําอาศัยเบา หลอมท่ที ําทองใหบ รสิ ุทธ์ิ จึงเปน ทองบรสิ ทุ ธ์ผิ องใส ฉนั ใด ภิกษุกฉ็ นั นนั้ แล มีศีลอยา งน้ี มีธรรมอยางนี้ มปี ญ ญาอยางน้ี ถึงแมจ ะฉนั บณิ ฑบาตขา วสาลีปราศจากเมลด็ ดาํ มีแกงมกี บั มใิ ชน อ ย การฉนั บณิ ฑบาตของภกิ ษุน้ันกไ็ มมีอนั ตรายเลย. [๙๗] ภกิ ษุน้นั มีใจประกอบดวยเมตตา ประกอบดว ยกรณุ าประกอบดวยมทุ ิตา ประกอบดวยอเุ บกขา แผไ ปยังทศิ หน่ึงอยู ทศิ ท่ี ๒ทศิ ที่ ๓ ทศิ ที่ ๔ ก็เหมอื นกนั มีใจประกอบดว ยเมตตาประกอบดวยกรณุ าประกอบดวยมทุ ติ า ประกอบดวยอุเบกขา อนั ไพบลู ยเปนมหัคคตะ ไมมปี ระมาณ ไมมีเวร ไมม พี ยาบาท แผไปยังทศิ เบื้องบน เบ้อื งตาํ่ดานขวาง ทวั่ โลกทั้งส้นิ โดยเปน ผหู วังประโยชนแ กส ัตวท่ัวหนา ในที่ทกุ แหง ดว ยประการฉะนี้ เธอยอ มรูช ดั วา ส่งิ นี้มีอยู สิ่งที่เลวทรามมีอยู สิ่งทป่ี ระณีตมีอยู ธรรมเปนเครื่องสลดั ออกทยี่ ิ่งแหงสัญญานีม้ อี ยูเมอ่ื เธอรเู หน็ อยา งน้ี จติ ยอมหลุดพน แมจ ากกามาสาวะ แมจ ากภวาสวะแมจากอวชิ ชาสวะ เมือ่ จิตหลดุ พน แลว ก็มญี าณรวู า หลดุ พนแลวรชู ดั วา ชาตสิ ้นิ แลว พรหมจรรยอ ยูจ บแลว กิจท่ีควรทาํ ทําเสรจ็ แลวกจิ อื่นเพื่อความเปน อยา งน้ีมิไดม ี ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ภิกษนุ ้ี เรากลา ววาเปนผสู รงสนานแลว ดว ยเครื่องสนานอนั เปนภายใน พระผมู พี ระภาคเจาตรสั คาถาสุภาษติ [๙๘] ก็โดยสมัยนนั้ แล สุนทรกิ ภารทวาชพราหมณน งั่ อยไู มไกลพระผูม พี ระภาคเจา จงึ ทูลถามพระผมู พี ระภาคเจา วา ทานพระโคดมจะ

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 437เสดจ็ ไปยังแมน ้ําพาหุกาเพื่อจะสรงสนานหรอื พระผูมีพระภาคเจา ตรสัตอบวา ดกู อนพราหมณ จะมปี ระโยชนอ ะไรดวยแมน ้ําพาหุกาเลา แมน าํ้พาหุกาจกั ทําประโยชนอ ะไรได. ส.ุ ทา นพระโคดม แมน้าํ พาหกุ า ชนเปน อนั มากยอนรบั วา ใหความบริสทุ ธ์ิได ทานพระโคดม แมน ํา้ พาหกุ า ชนเปน อันมากยอมรบัวา เปน บญุ อนึ่ง ชนเปนอันมาก พากันไปลอยบาปกรรมทต่ี นทําแลวในแมนาํ้ พาหุกา. คร้งั น้ัน พระผูม ีพระภาคเจา ไดตรัสกะสนุ ทรกิ ภารทวาชพราหมณดว ยพระคาถาทัง้ หลายวา คนพาล มีบาปกรรม มุงไปยังแมน ํา้ พาหุกา ทานาํ้ อธกิ ักกะ แมน าํ้ คยา แมน ้าํ สนุ ทริกา แมนํา้ สรัสสดี ทา นํา้ ปยาคะ และแมน ้ําพาหุมดี แมเปนนติ ย ก็ บริสทุ ธิไ์ มไ ด แมน ้าํ สุนทรกิ า ทานา้ํ ปยาคะ หรือ แมนา้ํ พาหุกา จกั ทาํ อะไรได จะชําระนรชนผูม ีเวร ทาํ กรรมอนั หยาบชา ผมู ีกรรมอันเปนบาปน้ัน ให บรสิ ุทธ์ไิ มไ ดเ ลย สาํ หรบั บคุ คลผหู มดจดแลว จะ ประสบผคั คณุ ฤกษทุกเมื่อ สาํ หรับบุคคลผหู มดจด แลว รกั ษาอุโบสถทกุ เมื่อ วัตรของบคุ คลผูห มดจดแลว มกี ารงานอันสะอาด ยอมถึงพรอ มทกุ เม่อื ดูกอน พราหมณ ทานจงสนามในคําสอนของเรานีเ้ ถดิ จง ทาํ ความเกษมในสัตวท ง้ั ปวงเถิด ถาทานไมก ลาว คาํ เท็จไมเบยี ดเบยี นสัตว ไมถ ือเอาวตั ถทุ ีเ่ ขาไมให

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 438 เปน ผูมคี วามเช่ือ ไมต ระหนไี่ ซร ทานจกั ตอ งไปยงั แมน ํ้าคยาทาํ ไม แมก ารดมื่ นา้ํ ในแมนํ้าคยากจ็ กั ชว ย อะไรทานได. สนุ ทรกิ พราหมณบ รรลุพระอรหตั [๙๙] ครั้นพระผูมีพระภาคเจา ตรสั อยางนี้แลว สนุ ทริกภารทวาช -พราหมณไดกราบทลู พระผมู พี ระภาคเจา วา ขา แตท า นพระโคดมผูเจริญภาษิตของพระองคแจมแจงนกั ขาแตท านพระโคดมผูเจริญ ภาษิตของพระองคแจม แจงนกั เปรยี บเหมือนหงายของทคี่ วา่ํ เปด ของที่ปด บอกทางแกค นหลงทาง หรือสองประทปี ในท่ีมืดดวยคิดวา ผมู ีจักษุดจี ักเหน็รปู ดงั นี้ ฉนั ใด พระโคดมผูเจริญทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายฉนั นั้นเหมือนกนั ขา แตท านพระโคดม ขา พระองคน ี้ขอถึงทานพระโคดมพระธรรม และพระภกิ ษุสงฆวาเปน สรณะ ขา พระองคพ ึงไดบรรพชาอปุ สมบทในสาํ นักของทา นพระโคดมผเู จรญิ เถดิ สุนทรกิ ภารทวาช-พราหมณไดบรรพชาอปุ สมบทในสาํ นกั ของพระผูม ีพระภาคเจา แลว ก็ทา นพระภารทวาชะคร้ันอุปสมบทแลวไมนาน หลีกออกจากหมูอ ยผู เู ดียวไมป ระมาท มีความเพยี ร มีใจเด็ดเดยี่ ว ไมช า นานเทาไร กท็ าํ ใหแจงซงึ่ ท่ีสุดแหง พรหมจรรย ไมมีธรรมอนื่ ยง่ิ กวา ทก่ี ุลบุตรทงั้ หลายผูม ีความตอ งการ ออกจากเรือนบวชเปนบรรพชิตโดยชอบเขา ถึงอยู รูชดั วาชาติสิน้ แลว พรหมจรรยอยูจ บแลว กิจท่ีควรทาํ ทําเสร็จแลว กิจอื่นเพ่ือความเปนอยางนม้ี ไิ ดม ี กท็ า นพระภารทวาชะไดเ ปนพระอรหันตอ งคห น่ึงในบรรดาพระอรหนั ตท ้ังหลาย ฉะนนั้ แล. จบ วัตถูปมสูตรท่ี ๗

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 439 อรรถกถาวัตถปู มสูตร๑ [๙๑] วัตถูปมสูตร เริ่มตนวา เอวมฺเม สตุ  (ขาพเจาไดส ดับมาแลวอยา งน้)ี . บรรดาคาํ เหลา น้นั คาํ นีว้ า ภกิ ฺขเว ยถา วตฺถ ในคาํ วา เสยยฺ ถาปภิกฺขเว วตฺถ เปนคําอุปมา. ก็พระผมู พี ระภาคเจา เม่ือจะทรงอุปมาในทีล่ างแหง ทรงแสดงอุปมากอ นทีเดยี ว แลวจึงทรงแสดงอปุ ไมย(เน้ือความ) ในภายหลัง ในทล่ี างแหง ทรงแสดงอปุ ไมยกอนแลวจึงทรงแสดงอปุ มาภายหลัง ในทลี่ างแหง ทรงนําขอ อุปมามาแสดงประกอบอุปไมย ในทลี่ างแหงทรงนําอุปไมยแสดงประกอบอปุ มา. จรงิ อยางนัน้พระผูมพี ระภาคเจา พระองคนั้น เมื่อจะทรงแสดงเทวทูตสูตรแมท ้งั สิน้ใหเปน อุปมากอ น แลว แสดงอุปไมยในภายหลงั จงึ ตรสั วา ดูกอ นภกิ ษุทง้ั หลาย เปรยี บเหมอื นเรือน ๒ หลงั มปี ระตูเดยี วกนั คนผมู ตี าดียนื อยูต รงกลาง พึงมองเห็นในเรอื น ๒ หลงั น้ันได (ตลอด ). อนง่ึพระผมู ีพระภาคเจา เม่ือจะทรงแสดงอปุ ไมย (เนอ้ื ความ) ท่ีเปนอิทธวิ ิธแิ มทง้ั ส้นิ กอนแลว แสดงอปุ มาในภายหลงั จงึ ตรสั โดยนัยเปน ตนวา ผมู ฤี ทธ์ิยอ มเดนิ ทะลอุ อกนอกฝา นอกกาํ แพง นอกภูเขา เปรียบเหมอื นเดินไปในอากาศ (ทวี่ าง) ฉะนั้น. เม่ือจะทรงเอาอุปมามาลอ ม (แสดงประกอบ) อปุ ไมย จงึ ไดตรัสจุลลสาโรปมสูตรแมทง้ั สน้ิ โดยนยั เปน ตน วา ดกู อ นพราหมณ เปรียบ๑. อรรถกถาเรียก วตั ถสูตร.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 440เหมอื นคนผูมคี วามตองการแกน ไม จงึ แสวงหาแกนไมฉ ะน้นั . อนง่ึ เม่ือจะทรงเอาอปุ ไมย (เน้อื ความ) มาลอม( แสดงประกอบ) อุปมา จงึ ตรสัสูตรท้ังหลายมี อลคัททสตู ร และมหาสาโรปมสูตร เปนตน แมท งั้ สน้ิโดยนัยเปนตน วา ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย กุลบตุ รลางพวกในโลกน้ี ยอ มเรียนเอาธรรมคอื สุตตะ ฯลฯ เปรยี บเหมือนบรุ ุษผมู คี วามตอ งการดว ยงูพิษฉะน้ัน นะภิกษุท้งั หลาย. พระผมู ีพระภาคเจา พระองคน ี้น้ัน ทรงแสดงคําอปุ มากอนในที่นแ้ี ลว ทรงแสดงอปุ ไมยในภายหลงั . ถามวา ก็เพราะเหตุไร พระผมู พี ระภาคเจาจึงทรงแสดงอยา งนี้. ตอบวา เพราะอัธยาศัยของบคุ คล หรอื เพราะทรงยกั ยายเทศนา. จริงอยู บุคคลเหลาใดเขา ใจอปุ ไมยทีพ่ ระองคต รสั แสดงอปุ มาไวก อ นไดโดยงาย พระผูมพี ระภาคเจายอมทรงแสดงอปุ มากอน แกกุลบตุ รเหลา น้ัน. ในทกุ บทก็นยั น.ี้ อนึง่ เพราะทรงแทงตลอดธรรมธาตใุ ดดว ยดีพระผมู ีพระภาคเจาจงึ ชอ่ื วา ทรงชํานาญการยกั ยายเทศนาธรรมธาตุน้นัอันพระองคท รงแทงตลอดดวยดแี ลว เพราะเหตนุ ัน้ พระผูมพี ระภาคเจาพระองคนน้ั จงึ ทรงเปน ธรรมศิ รธรรมราชา ชํานาญการยกั ยา ยพระธรรมเทศนา พระองคยอ มทรงแสดงธรรมไดตามที่ทรงปรารถนา ดว ยประการดังกลา วมาน้ี พงึ ทราบวา พระผมู พี ระภาคเจา ยอมทรงแสดง ( ธรรม)อยา งน้ี คือทง้ั เพราะ ( ตาม ) อธั ยาศัยของบุคคล ท้ังเพราะทรงยักยายเทศนาน.ี้ บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา วตฺถ ไดแกผา สะอาดตามปกต.ิ บทวา สงกฺ ิลิฏ มลคคฺ หติ  ความวา ชือ่ วา เศราหมองแลวเพระเครอ่ื งเศราหมอง มฝี นุ ธุลีเปนตน ทป่ี ลิวมาเกาะ และช่ือวาอนัมลทินจับแลว เพราะถกู มลทินมีคราบเหง่ือเปนตนเกาะแลว .

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 441 รังคชาตในบทวา รงคฺ ซาเต น้ี ไดแกน ้าํ ยอ มน่นั เอง. บทวา อุปส หเรยฺย เปลวา พึงนอมเขาไป. บทวา ยทิ นีลกาย ทานกลา วอธิบายไวว า เพอ่ื ตองการใหม ีสเี ขียว. ในทกุ บทก็อยางนี้. จริงอยู ชา งยอ นเมอ่ื จะนําไปยอม เพ่อืตองการใหเ ปน สีเขยี ว กจ็ ะนําไปแชลงในนา้ํ ยอมสเี ขยี ว มีสีดําสําริดและสีเขยี วใบไมเปน ตน เมอ่ื จะนําผาไปยอ ม เพอ่ื ตอ งการใหเปน สเี หลือง ก็จะนําผา ไปแชใ นนํา้ ยอ มสเี หลือง เชน กับดอกกรรณกิ าร เมอื่ จะนํ้าผาไปยอมเพื่อตองการใหเปน สีแดง กจ็ ะนาํ ผา ไปแชใ นนํา้ ยอ มสีแดง เชนกบั ดอกชบาเม่ือจะนําผาไปยอ มเพอ่ื ตอ งการใหเปนสบี านเยน็ กจ็ ะนําผา ไปแชใ นนาํ้ ยอมสแี ดงเรอ่ื เชนกับดอกกณวรี ะ. เพราะเหตนุ ้ัน พระผูม พี ระภาคเจา จงึตรัสวา ยทิ นีลกาย ฯเปฯ ยทิ มเฺ ชฏ ิกาย ดงั นี้. บทวา ทรุ ตตฺ วณฺณเมวสสฺ ไดแกพงึ เปนผามสี ที ย่ี อ มแลว ไมดีน่นั เอง. บทวา อปรสิ ุทฺธวณฺณเมวสฺส ความวา แมส ีเขยี วของผา น้นั ก็จะไมส ดใส แมสีทีเ่ หลือ (ก็ไมสดใสเหมอื นกนั ). เปนความจริง ผา เชนน้นั แมที่เขาแชล งไปในหมอนาํ้ ยอมสีเขียว ก็ไมเ ปน สเี ขียวแท. แมแ ชลงไปในหมอนา้ํ ยอ มท่เี หลือ กจ็ ะไมเปนสแี ท มีสเี หลืองแทเปน ตน ยอ มมีสีเขียวซดี สหี ญาหางชางแหง สดี อกกรรณกิ ารแ หง สีดอกชบาแหงและสดี อกกณวีระแหงเทา นน้ั . บทวา ต กสิ ฺส เหตุ ความวา ผา นัน้ เปน เชนนี้เพราะเหตอุ ะไรคือ เพราะมอี ะไรเปน เหตุ อกี อยางหนึง่ น้ํายอมท่ผี านัน้ เปนเชนนี้ คอืมีสไี มส วย สดใส เพระเหตุอะไร ? กเ็ พราะความทีผ่ าผนื น้ันไมส ะอาด

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 442นน้ั แหละเปนเหตุในขอน้ี ไมใ ชเ หตุอะไรอนื่ ฉะน้ัน พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา อปริสทุ ธฺ ตตฺ า ภิกขฺ เ วตถฺ สสฺ ดงั น้ี. คําวา เอวเมวเปนคําอุปไมย. สองบทวา จติ ฺเต สงฺกลิ ิฏเ ความวา เม่ือจิตเศราหมองแลว. ถา หากมคี าํ ถามสอดเขามาวา กเ็ พราะเหตไุ ร พระผูมพี ระภาคเจาจึงไดทรงการทาํ คําอุปมาไวดวยผาอนั เศรา หมองแลว. ตอบวา เพ่ือทรงแสดงวา ความพยายามมผี ลมาก. เปรยี บเหมือนผาท่ีเศรา หมอง เพราะมลทินท่ปี ลิวมาเกาะ. เมื่อซกั อีกคร้งั ยอมขาวสะอาดเพราะตามปกตเิ ปน ของขาวสะอาดอยแู ลว ความพยายามใน (การซกั )ผา น้ัน จะไรผล ดจุ ความพยายามใน (การฟอก) ขนแกะทีด่ าํ ธรรมชาติ(ใหข าวสะอาด) หามไิ ดฉันใด. แมจ ติ ทเี่ ศราหมองเพราะกิเลสทงั้ หลายที่จรมากฉันนัน้ (คือ) ก็ตามปกติ จติ น้ันยอมเปน ธรรมชาติที่สะอาดทเี ดียวในวาระปฏิสนธิจติ และภวงั คจติ . สมดังพระดํารัสทพี่ ระผูม พี ระภาคเจาตรัสไวว า ดูกอนภกิ ษุทัง้ หลาย จิตนนั้ เปนธรรมชาติประภสั สร กจ็ ติ นนั้ แลเศราหมองไปเพราะอุปกิเลสที่จรมา จติ น้ันเมื่อไดรับการชําระใหบรสิ ุทธ์ิบคุ คลก็สามารถทําใหป ระภสั สรย่ิงข้นึ อีกได ความพยายามในการชําระจติน้นั ยอ มไมไรผ ลแล. พระผมู ีพระภาคเจา บณั ฑติ พงึ ทราบวา ทรงการทาํคําอปุ มาดวยผา ท่เี ศรา หมอง เพ่อื จะทรงแสดงวา ความพยายามมผี ลมากดวยประการฉะนี.้ บทวา ทคุ ฺคติ ปาฏกิ งฺขา ความวา เมือ่ จิตเปนเชน น้ี ทคุ ติเปนอันบคุ คลพงึ หวงั ได ทา นกลา วอธบิ ายไววา ทุคติเปนคตทิ ี่เขาพึงหวังไดอ ยางน้วี า ผนู ้ีจักถึงทุคติแนน อน ไมถงึ คตอิ ่ืน ดงั นี้ คอื ทุคตเิ ปน

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 443คตทิ เ่ี ขามีสว นรวมอยางนี.้ ก็ช่อื วา ทุคตนิ ีน้ ั้นมี ๒ อยางคือ ปฏิปตติทุคคติ และคติทคุ คติ. ถึงแมปฏบิ ตั ิทคุ ติ ก็มี ๒ อยางคอื อาคารยิ -ปฏิบตั ทิ ุคติ และอนาคาริยปฏปิ ต ติทุคคติ. อธิบายวา คฤหสั ถม จี ติ ใจเศราหมอง ยอมฆา สัตวบาง ยอ มลักทรพั ยบา ง ยอมประพฤตอิ กุศล-กรรมบถ ๑๐ ทงั้ สน้ิ บาง นี้ช่อื วา อาคารยิ ปฏปิ ตตทิ คุ ติ ของคฤหสั ถน ั้น.คฤหสั ถน้ันดาํ รงอยใู นอัตภาพนัน้ แลว คร้นั กายแตก ( ตายไป ) ยอ มไปสูนรกบา ง กาํ เนดิ สัตวด ริ ัจฉานบา ง เปรตวิสัยบา ง น้ีชื่อวา คติทคุ คติ ของคฤหสั ถน ัน้ . ฝายบรรพชิต บวชในศาสนาน้ีแลว มจี ติ ใจเศราหมองอาสารับใชคนอนื่ ทาํ ตัวเปน หมอ ตะเกยี กตะกายทําลายสงฆ ทําลายเจดีย-สถาน เลยี้ งชพี ดวยการใหไ มไผเ ปน ตน ประพฤติอนาจาร และเทีย่ วไปยังสถานท่ีอโคจรแมท ง้ั สิ้น น้ชี อื่ วา อนาคาริยปฏิปตตทิ ุคคติ ของบรรพชิตนั้น. บรรพชิตนนั้ ดาํ รงอยใู นอัตภาพนั้นแลว ครน้ั กายแตก(มรณภาพ) ยอมไปสนู รกบาง กาํ เนิดสัตวดิรจั ฉานบาง เปรตวสิ ยั บา งชอ่ื วา เปนสมณยกั ษ สมณเปรต มกี ายลกุ โชตชิ ว งดวยผาสังฆาฏเิ ปนตนที่ถูกไฟไหมแลว สง เสียงรอ งครวญครางเทยี่ วไป นี้ชอ่ื วา คตทิ ุคคติ ของบรรพชิตนน้ั . บทวา เสยฺยถาป ความวา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงเรม่ิ แสดงธรรมฝายขาว (สคุ ต)ิ . เนื้อความของธรรมฝา ยขาวนนั้ พงึ ทราบดว ยธรรมตรงกนั ขา มที่ทา นกลา วไวแ ลว ในธรรมฝายดาํ (ทคุ ติ) น่นั แล.อนง่ึ ชื่อวา สุคติ แมใ นทน่ี กี้ ็มี ๒ อยา ง คือ ปฏิปต ตสิ คุ ติ และคตสิ คุ ติ. แมปฏปิ ต ตสิ ุคติก็มี ๒ อยาง คือ อาคารยิ ปฏิปต ตสิ ุคติ และอนาคารยิ ปฏปิ ตตสิ คุ ต.ิ อธบิ ายวา คฤหสั ถมจี ิตบริสทุ ธ์ิ ยอ มงดเวน จาก

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 444การฆาสัตวบ าง จากการลักทรัพยบ าง บําเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ ทง้ั ส้นิบาง นีช้ ือ่ วา อาคาริยปฏิปตตสิ คุ ติ ของคฤหัสถนั้น. คฤหสั ถนั้นดํารงอยใู นอตั ภาพนัน้ แลว คร้ันกายแตก (ตายไป) ยอมเขา ถึงความเปน ผูย งิ่ ใหญใ นหมูมนษุ ยบ า ง ความเปนผูย ิ่งใหญใ นหมเู ทวดาบางนีช้ ่อื วา คติสุคติ ของคฤหสั ถน ั้น. ฝายบรรพชติ บวชในศาสนานี้มจี ติ บรสิ ุทธ์ิ รักษาปาริสทุ ธิศลี ๔ หมดจด สมาทานธุดงค ๑๓เรียนเอากรรมฐานอันเหมาะแกต นในอารมณ ๓๘ อยเู สนาสนะอันสงัดทําบริกรรมกสณิ (จน) ใหเกิดฌานสมาบัติ ไดบ รรลุโสดาปตติมรรค ฯลฯ ไดบรรลุอนาคามมิ รรค นี้ชือ่ วา อนาคารยิ ปฏปิ ตตสิ คุ ติของบรรพชติ นน้ั . บรรพชติ นน้ั ดํารงอยูในอตั ภาพนนั้ แลว ครน้ั กายแตก(มรณภาพ ) ยอ มเกิดในตระกูลใหญ ๓ ตระกูล ในมนษุ ยโลกบาง ในเทพชัน้ กามาวจร ๖ ชัน้ บา ง ในภพแหงพรหม ๑๐ ภพบา ง ในชน้ัสทุ ธาวาส ๕ ช้นั บาง ในอรูปภพ ๔ บา ง น้ชี ่ือวา คติสคุ ติ ของบรรพชติ นน้ั . [ ๙๓] พระผมู ีพระภาคเจาครน้ั ตรสั วา เมอื่ จติ เศรา หมองทคุ ติเปน อนั หวงั ได และเมอื่ จติ ไมเศรา หมอง สคุ ติเปน อนั หวังได อยา งนีแ้ ลวบัดน้ี เมื่อจะทรงแสดงอปุ กเิ ลสทง้ั หลายท่เี ปนเหตใุ หจติ เศรา หมอง จงึตรัสคําเปน ตนวา ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย กอ็ ุปกิเลสแหง จติ เปน ไฉน? คืออภิชฌาวสิ มโลภะ ดังนี้ . บรรดาอุปกเิ ลสเหลา นน้ั ความรักความพอใจในภณั ฑะของตน ชือ่ วา อภชิ ฌา ความรักความพอใจในภัณฑะของคนอ่ืนชอื่ วา วิสมโลภะ. อกี อยา งหนึ่ง ความรักความพอใจในภณั ฑะของตนหรือของคนอ่นื จงยกไว ความรกั ความพอใจในฐานะที่ถกู ที่ควร ชอื่ วา

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 445อภิชฌา ความรักความพอใจในฐานะทไ่ี มถูกไมควร ชอื่ วา วิสมโลภะ.สวนพระเถระกลาวไววา โลภะทุกอยา งจะไมช อื่ วา วิสมะก็หามไิ ด เพราะพระบาลวี า พวกเธอทําการแบงแยกไปทาํ ไม จะเปน ในอารมณที่เหมาะหรือไมเ หมาะก็ตาม ราคะก็เปน วสิ มะ โทสะกเ็ ปน วสิ มะ โมหะก็เปน วิสมะ. (เหมอื นกนั ) เพราะฉะน้นั โลภะนี้นัน่ เอง ชือ่ วา อภิชฌาเพราะอรรถวา เพงเลง็ ชือ่ วา วสิ มะ เพราะอรรถวา ไมเหมาะ (ไมชอบธรรม) คาํ วา อภิชฌา และ วิสมะ น้ี มคี วามหมายอ นเดียวกนัตางกันแตเ พียงพยัญชนะเทา นน้ั . ก็อภชิ ฌาวสิ มโลภะนนี้ ้นั เกดิ ข้นึ แลวยอมทาํ รา ยจติ คือไมใ หจ ิตผอ งใส เพราะฉะน้นั พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา เปน ธรรมเครื่องเศราหมองแหงจติ ดังน้.ี เหมอื นอยา งวาอภชิ ฌาวสิ มโภะน้ีเปนฉนั ใด พยาบาทอนั เกิดมาจากอาฆาตวัตถุ (เหตุทีต่ ั้งแหงความอาฆาต ) ๙ อยาง ความโกรธอันเกิดมาจากอาฆาต-วตั ถุ ๑๐ อยาง ความผกู โกรธ อันครอบคลมุ จิตบอ ย ๆ ก็ฉันนั้นความลบหลู อนั การทําสง่ิ ท่ีเขาทําดแี ลว ใหพินาศไป ไมวาของคฤหัสถห รอืของบรรพชติ (มลี กั ษณะเหมอื นกนั ) อธบิ ายวา ฝายคฤหัสถ (เดิมท)ีเปน คนขดั สน (คร้นั แลว) ผมู กี รณุ าลางคนไดยก (เขา) ไวในฐานะทีส่ งู สง ตอ มา (เขากลบั กลา ววา ) ทานทาํ อะไรใหขา พเจา ชอื่ วาทําลายความดที ่คี นผูกรณุ านน้ั ทําไวแ ลวใหพนิ าศไป ฝายบรรพชิตแลจําเดมิ แตสมัยเปน สามเณรนอ ย อันอาจารยหรืออุปชฌายท านใดทา นหน่งึอนุเคราะหดวยปจจยั ๔ และดว ยอทุ เทศและปรปิ จุ ฉา ใหสําเหนยี กความเปนผูฉ ลาดในปกรณเปนตน ดวยธรรมกถา สมัยตอมา อันพระราชาและราชมหาอํามาตยเปนตน สักการะเคารพแลว (เธอ) กลบั ขาดความ

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 446ยาํ เกรงในอาจารยและอปุ ชฌายเ ท่ียวไป อันอาจารยเ ปน ตน กลา ววา ผนู ้ีสมัยเขาเปน เด็ก เราท้งั หลายชว ยอนเุ คราะหแ ละสงเสริมใหกาวหนาอยา งน้ีก็แตว าบัดน้ี เขาไมน า รกั เสยี แลว กก็ ลา ว (ตอบ) วา พวกทา นทําอะไรใหผ ม ดงั น้ี ช่ือวา ทาํ ลายความดีท่ีอปุ ชฌายแ ละอาจารยเ หลาน้นัทําแลว ใหพ ินาศไป ความลบหลูทที่ ําความดที ่ีทานทําไวแ ลวใหพนิ าศไปของบรรพชิตนัน้ ยอมเกดิ ข้ึนทํารายจติ คือไมใหจ ติ ผองใส เพราะเหตนุ ้นัพระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรัสวา เปนธรรมเคร่ืองเศรา หมองแหง จติ ดังนี้.เหมือนอยางวา ความลบหลูนเ้ี ปน ฉันใด การตีเสมอ (ซง่ึ ไดแ ก)การถอื เปนคแู ขง กฉ็ นั นน้ั เกิดขึน้ ลามไปอา งถงึ บุคคลแมเปน พหูสตูโดยนยั เปน ตนวา ทา นผเู ปนพหสู ูตเชนนี้ ยงั มีคติไมแ นนอน (แลว )ทา นกับผมจะมีอะไรวิเศษเลา . ความรษิ ยา ไดแกการนกึ ตําหนิสกั การะเปน ตนของคนอนื่ . ความตระหนี่ ไดแก (การที่ ) ทนไมไดท ี่สมบัติของตนมคี นอ่ืนรว มใชส อย. มายา ไดแ กกริ ิยาท่เี ปน การประพฤติหลอกลวง. ความโออ วดเกดิ ขน้ึ โดย (ทําให) เปนคนคุยโต. จรงิ อยูคนคยุ โตยอ มเปน เหมอื นปลาอานนท. เลากันวา ปลาอานนท( ชอบ). เอาหางอวดปลา (พวกอนื่ และ)เอาศรี ษะอวดงู ให (ปลาและงเู หลา นน้ั ) รูวา เราเปนเชน กบั พวกทา น.บคุ คลผคู ยุ โต กเ็ ชน น้นั เหมือนกัน เขาไปหานักพระสูตร หรือนักพระอภิ-ธรรมใด ๆ ยอ มกลา วกะทา นนั้น ๆ อยางนีว้ า ผมประพฤติประโยชนเ พ่อืทา นทั้งหลาย ทา นทัง้ หลายตอ งอนเุ คราะหผ ม ผมจะไมทงิ้ พวกทา นหรอกดงั นี้. เมื่อเปน อยา งนี้แลนักพระสตู รและนักอภิธรรมเหลานนั้ ก็จกั สาํ คญั(เธอ) วา ผนู มี้ ีความเคารพยําเกรงในเจาทั้งหลาย ความโออวดน้ีแล

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 447ของบุคคลนนั้ เมื่อเกิดข้นึ โดย (ทาํ ให) เปนคนคุยโตยอมเกิดขึ้นทํารา ยจติคือไมใ หจ ติ ผองใส เพราะฉะนัน้ พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรัสวา เปน ธรรมเครื่องเศราหมองแหงจติ ดงั น้.ี เหมือนอยางวา ความโออ วดนี้เปนฉนั ใดความหัวด้อื กฉ็ ันนัน้ เปนตัวการทาํ ใหไ มใ หประพฤตอิ อ นนอม เชดิ ศีรษะเพราะเปนผูกระดาง เปนเชน กับสบู ทเ่ี ต็มลม. ความแข็งดี มกี ารกระทาํ ยิ่งกวาน้นั , ความแขงดนี ้นั แยกออกได ๒ ประเภท คือ ฝา ยอกุศล และกุศล. กใ็ นบรรดาความแขงดี ๒ ประเภทนัน้ สําหรับคฤหัสถความแขง็ ดีเกิดข้นึ เพราะไดเห็นเครื่องประดับเปน ตน ที่คนอืน่ ทาํ แลว แลว ทาํ ใหท วีคูณ ๆ ขนึ้ ไปกวา นัน้ ๆ จัดเปน อกศุ ล และสําหรับบรรพชติ (ขณะท่)ีบรรพชติ อื่น เลา เรยี นหรือกลา วธรรมะมีประมาณเทา ใด ๆ ความแขง ดีทีเ่ กิดขน้ึ ดวยการกระทาํ ใหท วคี ณู ๆ ไปกวาน้ัน ๆ ดวยอํานาจแหงมานะจดั เปนอกศุ ล. สว นคฤหสั ถ ความแขง็ ดที เ่ี กดิ ข้นึ เพราะไดเ หน็ คนอนื่ ถวายสลากภตั ร ๑ ที่ แลวตนเองประสงคจะถวาย ๒ หรอื ๓ ที่ จดั เปน กุศล.และสําหรับบรรพชิต เมอ่ื (ไดท ราบวา ) ภกิ ษุอนื่ เรยี นได ๑ นกิ ายแลว ความแข็งดเี กิดขึ้นโดยไมอ าศยั มานะ (แต) เพราะไดเ หน็ ภกิ ษุอ่ืนน้นั (เรียนไดแลว ๑ นกิ าย) แลวประสงคจะครอบงําความเกยี จครานของตนอยางเดยี ว เรียนเอาใหไ ด ๒ นกิ าย จดั เปน กุศล. แตในที่นี้ทา นประสงคเ อาความแขง็ ดีที่เปนอกุศล. เพราะวา ความแขง็ ดีท่เี ปนอกุศลนย้ี อมเกิดขึ้นทาํ รายจติ คือไมใหจติ ผองใส เพราะฉะนนั้ พระผูม ีพระภาคเจา จึงตรัสวา เปนธรรมเครือ่ งเศราหมองแหงจิต. อน่ึง ความแขง็ ดนี ีเ้ ปนฉนั ใด ความถอื ตัวกฉ็ ันนั้น เปน ไปดว ยอาํ นาจความพองตวัแหง จิต เพราะอาศัยชาติ (กาํ เนดิ ) เปนตน มานะท่ีเปน ไปดว ยอํานาจ

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 448ความพองตวั ย่งิ แหง จิต ชื่อวา อตนิ านะ อาการท่ีรบั เอาดวยความมัวเมาช่อื วามทะ มทะที่เกิดขนึ้ ดวยอํานาจการปลอ ยจติ ไปในกามคณุ ท้ังหลายชอื่ วา ปมาทะ ปมาทะยอมเกิดข้ึนทาํ รายจิต คอื ไมใหจิตผอ งใส เพราะฉะนนั้ พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรัสวา เปนธรรมเครอื่ งเศรา หมองแหงจิต. ถามวา ก็เพราะเหตุไร พระผมู ีพระภาคเจา เมอ่ื จะทรงแสดงอปุ กเิ ลส จงึ ทรงแสดงโลภะไวเ ปน อันดบั แรก. ตอบวา เพราะโลภะนัน้ เกดิ ข้นึ กอนเพอื่ น. จริงอยู เมื่อสตั วทง้ั ปวงเกิดขนึ้ ในภพใดภพหนึง่ โดยทสี่ ดุ แมใ นภมู ิสุทธาวาส โลภะยอมเกดิ ข้ึนกอนเพือ่ นดว ยอํานาจความยินดีในภพ ตอจากน้นั อุปกเิ ลสนอกน้ีมีพยาบาทเปนตน ยอมเกดิ ตามควรแกป จ จยั เพราะอาศยั ปจจัยท่คี วรแกต น และไมใชแ กอุปกเิ ลสของจิต ๑๖ อยางนเ้ี ทานนั้เกิดขึน้ แตพึงทราบวา โดยนัยน้ี ยอมเปน อนั รวมกเิ ลสแมท งั้ หมดทีเดยี ว. [๙๔] พระผูมีพระภาคเจา ครั้นทรงแสดงกิเลสเครือ่ งเศรา หมองดว ยคําอธบิ ายเพียงเทา นี้แลว บัดนี้ เม่อื จะทรงแสดงความผองใส จงึ ตรัสคาํ เปนตนวา ส โข โส ภิกขฺ เว ดงั น.ี้ บรรดาบทเหลา นั้น บทวา อิติ วทิ ติ ฺวา แปลวา รูอ สยา งน้ี. บทวา ปชหติ ความวา ละ (อปุ กิเลสแหง จิต ) ดวยอรยิ มรรคดว ยอํานาจแหงสมุจเฉทปหาน. ในบทวา ปชหติ นั้น พงึ ทราบการละมอี ยู ๒ อยา ง คอื (ละ)ตามลําดบั กเิ ลส และตามลาํ ดบั มรรค. (จะอธบิ ายการละ) ตามลําดับกิเลสกอ น, กเิ ลส ๖ เหลาน้ี คอื อภชิ ฌาวิสมโลภะ (ความโลภโดยไมช อบธรรมคือความเพงเล็ง) ถมั ภะ (หวั ดื้อ) สารมั ภะ ( แข็งดี)

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 449มานะ (ถือตวั ) อติมานะ (ดูหมิน่ ทา น) มทะ (มัวเมา) ยอ มละไดด วยอรหตั ตมรรค. กิเลส ๔ เหลาน้ี คือ พยาปาทะ (ความพยาบาท)โกธะ (ความโกรธ) อปุ นาหะ (ความผูกโกรธไว) ปมาทะ (เลนิ เลอ)ยอ มละดว ยอนาคามิมรรค. กเิ ลส ๖ เหลานี้ คอื มักขะ (ลบหลูคุณทา น)ปลาสะ (ตเี สมอ) อสิ สา (ความรษิ ยา) มัจฉรยิ ะ ( ตระหนี่ )มายา (มารยา, เจาเลห) สาเถยยะ (โออวด) ยอมละดว ยโสดา-ปต ตมิ รรค. สวนการละตามลําดับมรรคจะอธบิ ายดังตอไปนี้ :- กเิ ลส ๖ เหลา นี้ คอื มกั ขะ (ลบหลูคณุ ทา น) ปลาสะ (ตเี สมอ)อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ตระหน่ี) มายา (มารยา, เจา เลห )สาเถยยะ ( โออวด) ยอ มละดวยโสดาปต ติมรรค. กิเลส ๔ เหลานี้คอื พยาปาทะ (ความพยาบาท ) โกธะ ( ความโกรธ) อปุ นาหะ(ความผูกโกรธไว) ปมาทะ (เลน เลอ) ยอ มละดว ยอนาคามมิ รรค.กเิ ลส ๖ เหลาน้ีคอื อภชิ ฌาวสิ มโลภะ ความโลภโดยไมช อบธรรมคือความเพง เล็ง ถัมภะ (หวั ดอื้ ) สารมั ภะ (ถือตวั ) อตมิ านะ (ดูหม่ินทา น) มทะ (มวั เมา ) ยอ มละดว ยอรหัตตมรรค. แตใ นที่น้กี เิ ลสเหลาน้จี ะถกู ฆาดวยโสดาปต ตมิ รรค หรอื ถกู ฆา ดว ยมรรคท่ีเหลือกต็ ามถงึ กระนนั้ พงึ ทราบวา พระผูม ีพระภาคเจาตรสั คาํ เปน ตน วา บุคคลยอมละอภชิ ฌาวสิ มโลภะอันเปน เครื่องเศรา หมองแหงจิต ดังน้ี ทรงหมายเอาการละดว ยอนาคามมิ รรคน่งั เอง. นเ้ี ปน การเกดิ (แหง ผล ) อนั มาแลวตามมรรคทส่ี บื ตอกนั ในที่นี้ . ก็เพราะพระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงมรรคที่ ๔ ไวใ นช้นั สูงสดุ แลว การเกิดแหง ผลนั้นจงึ จะถกู อุปกิเลสมีวิสมโลภะเปนตนท่เี หลอื จากอุปกเิ ลสท่ลี ะไดแลวดว ยตติยมรรค ยอมเปนอันละได

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 450ดวยมรรคท่ี นนั้ . กเิ ลสทเี่ หลอื ยอ มเปน อนั ละไดดวยมรรคที่ ๔ นเ้ี ชน กัน.เพราะวา อุปกิเลสมีมกั ขะเปน ตน แมเหลาใด ยอ มละไดด ว ยโสดาปตติ-มรรค อุปกิเลสแมเหลา นั้น ยอ มเปนอนั ละไดเดด็ ขาดแลว ดวยอนาคามิ-มรรคน่นั แล เพราะจิตอนั เปนสมฏุ ฐานแหงอุปกเิ ลสมีมกั ขะเปนตน น้ันยังละไมไ ดโดยเดด็ ขาด (ดว ยโสดาปต ตมิ รรค ). แตใ นอธิการนอ้ี าจารยลางพวกพรรณนาการละไดด วยปฐมมรรคนั้นแล. คํานั้นไมสมกบั คาํตนและคําปลาย. อาจารยลางพวกพรรณนาวกิ ขมั ภนปหานไวใ นอธิการนี.้คํานั้นเปนเพียงความประสงคของอาจารยพ วกนน้ั เทาน้นั . [๙๕] บทวา ยโต ในคาํ วา ยโต โข ภกิ ฺขเว นี้ แปลวาในกาลใด. ดว ยบทวา ปหโี น โหติ พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั หมายเอาการละในขณะแหงอนาคามิมรรค. บทวา โส พุทฺเธ อเวจฺจปฺปสาเทน นี้ พึงประกอบเขากับบทแตละบทอยา งน้ีวา ดกู อนภกิ ษุทัง้ หลาย ในกาลใดแล ภกิ ษลุ ะวสิ มโลภะไดในกาลนน้ั เธอยอ มประกอบดวยความเล่อื มใสไมหว่นั ไหวในพระพุทธเจา.จรงิ อยู ภกิ ษรุ ูปนีม้ ีความเล่ือมใสอันเปนโลกุตตระมาแลว โดยอนาคาม-ิมรรค สมัยตอ มาเมื่อภิกษุน้รี ะลกึ ถงึ อยู ซึง่ พระคุณของพระพุทธเจาของพระธรรม และพระสงฆ ความเลือ่ มใสอนั เปน โลกิยะยอมเกิดขนึ้ ได.พระผูมีพระภาคเจาเม่อื จะทรงแสดงความเลอื่ มใส ทง้ั ทีเ่ ปนโลกยิ ะ และโลกุตตระทั้งหมดน้นั ของภิกษนุ น้ั จงึ ตรัสคําเปนตนวา พทุ ฺเธ อเวจฺจป-ฺปสาเทน ดังนี้ . บรรดาบทเหลาน้นั บทวา อเวจจฺ ปปฺ สาเทน ความวา ดวยความเลอื่ มใส ช่อื วาไมห วนั่ ไหว คือไมค ลอนแคลน เพราะรูพ ุทธคุณ ธรรมคณุ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook