Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_17

tripitaka_17

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_17

Search

Read the Text Version

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 601ของสงั ขารนั้น สงั ขารที่เปน ไปแลวทางกาย ช่ือวากายสงั ขาร. คําวา กายสงั ขาร น้ี เปน ชื่อของสัตเจตนา ๒ ดวง คอื ๘ดวง จากกามาวจรกุศล และ ๑๒ ดวง จาก ( กามาวจร) อกศุ ลทีเ่ ปน ไปแลวโดยการไหวในกายทวาร. คาํ วา วจสี ังขาร น้ี เปนชือ่ ของวจสี ัญเจตนา ๒๐ ดวงเหมอื นกันท่เี ปน ไปแลว โดยการเปลง ถอ ยคําในวจีทวาร. สังขารท่ีเปน ไปแลว ทางจติ ชื่อวา จติ ตสังขาร คําวา จติ ตสังขารนี้ เปนชือ่ ของมโนสัญเจตนา ๑ ดวง โดยโลกยิ กศุ ลและโลกยิ อกศุ ลที่เปนไปแลว ( เกิดขึ้น) แกผนู ่ังคิดอยูในทล่ี บั โดยไมไ ดทําการไหวกายและวาจา. กใ็ นคาํ วา อวชิ ฺชาสมุทยา น้ี พงึ ทราบวนิ ิจฉัยวา อวิชชาของสังขารที่เปน กุศลโดยอุปนสิ สยปจ จัยบา ง ของสงั ขารทเ่ี ปน อกศุ ล โดยสหชาตปจจยั เปนตน บาง. คาํ ที่เหลอื มีนยั ดงั ท่ีกลาวมาแลว นน่ั เอง ดังน้ีแล จบ กถาพรรณนาสังขารวาระ กถาพรรณนาอวิชชาวาระ [๑๒๘ ] พึงทราบวนิ ิจฉยั ในอวิชชาวาระ. (ตอ ไป) :- ความไมร ใู นทกุ ขสจั ช่อื วาความไมร ูในทุกข. คําวา ทุกฺเขอฺ าณ น้ี เปนช่ือของโมหะ. ในคาํ ทั้งหลายมอี าทวิ า สมุทเยอฺาณ ก็มนี ยั น้.ี ในจํานวนสจั จะทัง้ ๔ น้ัน การไมรใู นทุกข พงึ ทราบไดโ ดยเหตุ๔ ประการ คอื โดยการหยั่งลงภายใน ๑ โดยฐาน (ทตี่ ัง้ ) ๑ โดยอารมณ ๑โดยการปกปดไว ๑. จริงอยา งนั้น การไมรทู กุ ขน ั้น ชอ่ื วา หยง่ั ลง

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 602ภายในทุกข เพราะนบั เนือ่ งในทกุ ขสัจ ทุกขสจั ชือ่ วาเปน ฐาน (ท่ีตั้ง)เพราะเปน นสิ สยปจ จัยของการไมร ทู ุกขนน้ั ช่อื วาเปนอารมณ เพราะความเปนอารัมณปจ จยั (ของการไมรูทกุ ขน้นั ) และทุกขสัจ ยอมปกปดการไมร ทู กุ ขน้ันไว. ในอธิการแหง อวิชชาวาระ ความไมรใู นสมุทัย พึงรไู ดโดยเหตุ๓ ประการ คอื โดยฐาน ๑ โดยอารมณ โดยการปดบงั ไว ๑ เพราะสมุทยั น้ันหามกันการแทงตลอดลกั ษณะ ตามความจริง และเพราะไมมอบใหซงึ่ ความเปนไปแหงญาณ. ความไมรูในนิโรธและปฏิปทาพึงทราบไดโดยเหตุเดยี วเทาน้นั คอื โดยการปดบังไว. กค็ วามไมรูที่ปด บังไว. ก็ความไมรทู ป่ี ด บงั นโิ รธและปฏปิ ทาไวน น่ั เอง พงึ ทราบไดเพราะหามไวซ่งึ การแทงตลอดลักษณะ ตามความจริงแหงนิโรธสัจและปฏปิ ทาเหลานั้น และเพราะการไมมอบใหซ ง่ึ ความไมเ ปน ไปแหงญาณในสัจจะทงั้ ๒ น้ัน. แตความไมรสู ัจจะท้งั ๒ นั้น ไมเ ปน การหยัง่ ลงสภู ายในในสัจจะทง้ั ๒ น้ัน เพราะไมนับเนอื่ งในสัจจะทั้ง ๒ นนั้ สจั จะท้ัง ๒น้ัน ก็ไมเ ปนที่ตั้งของความไมรูสัจจะท้งั ๒ นัน้ เพราะไมเ ปนธรรมเกดิรวมกนั (และ) ไมเปน อารมณ เพราะไมปรารภสัจจะท้ัง ๒ เปนไป. อธบิ ายวา สจั จะ ๒ ขอ หลัง เห็นไดย าก เพราะลกึ ซ้งึ แตใ นเรอ่ื งน้ี ความไมรูไมใ ชมดื บอด จึงเปนไป. สวนสจั จะ ๒ ขอตนลึกซ้งึ เพราะลกั ษณะของสภาวะเหน็ ไดยาก โดยความหมายวา เปนขาศกึกัน จงึ เปน ไปดว ยการถงึ วปิ ลาสในสัจจะทง้ั ๒ น้นั . อกี อยา งหนึ่ง ดว ยคาํ เพยี งเทา นวี้ า ทุกเฺ ข พระเถระไดแ สดงอวชิ ชาไว โดยการสงเคราะหเ ขาดว ยกนั ทั้งโดยฐาน (ทต่ี ัง้ ) โดยอารมณ และ

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 603โดยกิจ. ดวยคําเพียงเทา น้วี า ทุกฺขสมุทเย ทานแสดงไวโดยฐาน (ท่ตี ้งั )โดยอารมณ และโดยกจิ . ดวยคําเพยี งเทานีว้ า ทกุ ขฺ นิโรเธ ทุกฺขนโิ รธคามินยิ า ปฏปิ ทายทานแสดงไวโดยกจิ . แตโ ดยไมแ ตกตางกันแลว อวชิ ชา พงึ ทราบวาทานแสดงไวโ ดยสภาวะ. ดว ยคําวา อฺ าณ น้ี ก็กามาสวะ ภวาสวะ ในคาํ วา อาสฺวสมทุ ยา นี้ เปน ปจจัยแหงอวิชชา ดว ยสามารถแหง สหชาตปจ จยั เปนตน . อวชิ ชาสวะ พงึ ทราบวา ก็อวชิ ชาทเี่ กิดขึ้นกอ นโดยอุปนิสสยปจจยั นั่นเอง ชื่อวา อวชิ ชาสวะในคาํ วา อาสฺวสมุทยา น้ี. อวชิ ชาสวะนัน้ จะเปน อปุ นสิ สยปจจยั ของอวิชชาทีเ่ กิดขึ้นในกาลตอมา. คาํ ท่เี หลือมนี ัยดงั ทก่ี ลาวมาแลว นัน่ แหละดังนีแ้ ล. จบ กถาพรรณนาอวิชชาวาระ กถาพรรณนาอาสววาระ [๑๓๐] พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในอาสววาระ (ตอไป) :- อวชิ ชาในคาํ วา อวชิ ฺชาสมุทยา นี้ เปนปจ จยั โดยสหชาตปจจยเปน ตน ของกามาสวะและภวาสวะ และเปนปจจยั แหงอวชิ ชาสวะ โดยอุปนสิ สยปจจัยนน่ั แหละ แตใ นคําวา อวิชฺชาสมุทยา นี้ อวชิ ชาท่เี กดิ ขึ้นในกาลตอ ๆ มา พงึ ทราบวา เปน อวชิ ชาสวะ. อวิชชาน่ันเองท่ีเกดิ ข้นึ ในกาลกอ น จะเปนอปุ นิสสยปจ จยั ของอวิชชาสวะท่ีเกดิ ขึน้ ในกาลตอ มา. คาํ ทเี่ หลอื มีนัยดังท่ีกลาวมาแลวน่ันแหละ ดงั นแี้ ล.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 604 วาระน้ี ทา นกลา วไวแ ลว โดยการแสดงปจจัยของอวชิ ชาน้ี ที่เปน ประธานในบทปฏจิ จสมุปบาททงั้ หลาย. ดวยวาระที่ทา นกลาวไวอ ยางนี้ เปน อนั สําเรจ็ ความที่สงสารมที ี่สุดเบอ้ื งตน (เงอ่ื นตน) อนั ใครตามไปไมร แู ลว . ถามวา ไมรอู ยา งไร ? แกวา (ไมรอู ยางนี้คือ ) เพราะวา การเกดิ ข้ึนแหงอวชิ ชา มีเพราะการเกิดข้ึนแหงอาสวะ การเกดิ ข้นึ แหงอาสวะก็มี แมเพราะการเกดิ ขนึ้ แหง อวิชชา อาสวะเปนปจจยั ของอวิชชาถึงอวชิ ชาก็เปน ปจจยั ของอาสวะ เพราะอธบิ ายดังทก่ี ลา วมาแลวนี้ ทส่ี ุดเบอื้ งตน (เงือ่ นตน)๑ จงึ ไมปรากฏ ภาวะทสี่ งสารมเี งอ่ื นตนท่ีใครตามไปไมรูแลว เปนอันสาํ เร็จแลว เพราะเงื่อนตน ของอวชิ ชานั้นไมป รากฏ. วาระเหลา น้ันทง้ั หมดคือ กัมมปถวาระ ๑ อาหารวาระ ๑ ทุกข-วาระ ๑ ชรามรณวาระ ๑ ชาติวาระ ๑ ภววาระ ๑ อปุ าทานวาระ ๑ตณั หาวาระ ๑ เวทนาวาระ ๑ ผัสสวาระ ๑ สฬายตนวาระ ๑ นามรูป-วาระ ๑ วิญญาณวาระ ๑ สงั ขารวาระ ๑ อวิชชาวาระ ๑ อาสววาระ ๑รวม ๑๖ วาระ พระเถระไดก ลา วไวแ ลวในพระสตู รน้ี ดงั ท่ีพรรณนามาน.้ี เพราะในจาํ นวนวาระทงั้ ๑๖ วาระนนั้ แตละวาระทา นวางไว ๒อยา ง โดยอยา งยอ และอยา งพิสดาร จึงเปน ๓๒ สถาน. ดวยเหตุดงั นี้ในพระสูตรนี้ จงึ เปน อันพระเถระไดก ลา วสจั จะไว อยา ง ใน ๒๒สถานเหลาน้ี .๑. ปาฐะ ปพุ ฺพา โกฏิ แยกกนั แตฉ บบั พมาติดกนั เปน ปุพพฺ โกฏิ จงึ แปลตามทีไ่ มแยก.ถา แยก ก็ตองแปลวา เบ้อื งตน เบ้ืองปลาย...

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 605 พระเถระไดก ลา วอรหัตไวใ นท่ี ๑๖ สถาน ทีก่ ลา วไวแลว โดยพิสดารในบรรดาอยางยอ และอยา งพสิ ดารน้นั น่นั เอง. แตตามมตขิ องพระเถระทา นไดก ลาวถึงสจั จะท้ัง ๕ และมรรคทัง้ ไวใ น ๓๒ สถานเทานน้ัเพราะเหตดุ ังที่กลา วมาแลว น้แี ล ในพระพทุ ธพจนที่พระธรรมสังคาห-กาจารยไดร วบรวมไวใ นนกิ ายใหญท ั้ง ๕ นกิ าย หมดท้งั สิน้ จงึ ไมม สี ูตรทป่ี ระกาศสจั จะ ๔ อยางไวถ ึง ๓๒ คร้ัง และประกาศอรหัตไวถึง ๓๒คร้ัง นอกจากสัมมาทิฏฐสิ ูตรน้แี ล. คําวา อิทนโวจายสมฺ า สาริปตุ โฺ ต มเี นื้อความวา ทานพระสารีบตุ ร ไดกลา วสัมมาทิฏฐสิ ตู รน้ี แพรวพราวไปดวยเหตุ ๖๔ อยา งคอื ดวยการบรรยายอรยิ สัจ ๔ ไว ๓๒ อยาง และบรรยายพระอรหตั ไว๓๒ อยา ง. ภกิ ษุเหลา นัน้ พอใจ ไดพ ากนั ชมเชยภาษติ ของทานพระสารีบตุ รดงั นี้แล. จบ อรรถกถาสัมมาทฏิ ฐิสตู ร จบ สูตรที่ ๙

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 606 ๑๐. สตปิ ฏฐานสตู ร [๑๓๑ ] ขาพเจาไดส ดบั มาอยางน้ี :- สมัยหน่ึง พระผูมพี ระภาคเจา ประทบั อยูในแควนกรุ ุท้งั หลาย(ทรงอาศัย) นคิ มหนึ่งของชาวกรุ ุ ชอ่ื วา กัมมาสธมั มะ. ณ ทน่ี ั้นพระผมู พี ระภาคเจา ตรสั เรียกภิกษทุ ้ังหลายวา ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ภกิ ษุเหลานน้ั ทูลรับพระผูมีพระภาคเจาแลว. [๑๓๒] พระผมู พี ระภาคเจา ไดตรสั พระพุทธภาษติ น้ีวา ดูกอนภิกษทุ ้ังหลาย ทางนเ้ี ปน ทางเอก เพอ่ื ความบริสุทธิข์ องเหลา สัตวเพื่อกาวลวงความโศกและปรเิ ทวะ เพอื่ ความดบั สญู แหง ทุกขแ ละโทมนสัเพ่ือบรรลธุ รรมท่ีถกู ตอง เพื่อทาํ พระนพิ พานใหแจง . ทางน้คี ือสติปฏ ฐาน ๔ ประการ. ๔ ประการเปน ไฉน ? ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย ภกิ ษใุ นพระธรรมวินยั นี้ พจิ ารณาเหน็ กายในกายอยู มคี วามเพยี ร มสี มั ปชญั ญะ มสี ติกําจัดอภชิ ฌาและโทมนัสในโลกเสยี ได ๑. พิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนา มคี วามเพยี ร มสี ัมปชญั ญะ มสี ติกําจัดอภชิ ฌาและโทมนัสในโลกเสียได ๑. พิจารณาเห็นจติ ในจติ อยู มคี วามเพียร มีสมั ปชญั ญะ มีสติกําจดั อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสยี ได ๑. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู มคี วามเพยี ร มีสมั ปชญั ญะ มสี ติกําจดั อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสยี ได ๑.

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 607 อานาปานบรรพ [๑๓๓] ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลาย ภกิ ษุพิจารณาเหน็ กายในกายอยูอยา งไรเลา ? ภกิ ษุในธรรมวินัยนี้ ไปสปู า ก็ดี ไปสคู วงไมก ด็ ี ไปสเู รอื นรา งกด็ ี นัง่ ขัดสมาธติ ้งั กายตรง ดาํ รงสติไวเ ฉพาะหนา. เธอมสี ติหายใจออก มสี ตหิ ายใจเขา เม่ือหายใจออกยาว ก็รูชัดวา เราหายใจออกยาว.เมื่อหายใจเขา ยาว ก็รูชัดวา เราหายใจเขา ยาว. เม่อื หายใจออกสัน้ก็รูชัดวา เราหายใจออกสัน้ . เม่อื หายใจเขาสน้ั กร็ ชู ัดวา เราหายใจเขาส้ัน. ยอ มสาํ เหนยี กวา เราจักเปน ผกู ําหนดรูกองลมท้ังปวง หายใจออก.ยอ มสาํ เหนียกวา เราจักเปนผูกาํ หนดรกู องลมท้ังปวง หายใจเขา. ยอมสาํ เหนียกวา เราจักระงบั กายสังขาร หายใจออก. ยอ มสําเหนยี กวา เราจักระงบั กายสังขาร (ลมหายใจ) หายใจเขา. นายชางกลงึ หรอื ลกู มอื ของนายชา งกลงึ ผฉู ลาด เม่อื ชักเชอื กกลงึ ยาว กร็ ูชัดวา เราชักยาว. เมื่อชกั เชือกกลึงสั้น กร็ ูช ดั วา เราชกั ส้นัแมฉันใด. ภกิ ษุก็ฉันน้นั เหมอื นกนั เม่อื หายใจออกยาว ก็รชู ัดวา เราหายใจออกยาว. เม่อื หายใจเขา ยาว ก็รชู ดั วา เราหายใจเขายาว. เม่อืหายใจออกสั้น กร็ ูชดั วา เราหายใจออกสน้ั . เมอ่ื หายใจเขาส้นั กร็ ชู ดั วาเราหายใจเขาส้ัน. ยอ มสาํ เหนยี กวา เราจักเปน ผูกาํ หนดรกู องลมท้ังปวงหายใจออก. ยอ มสําเหนียกวา เราจักเปน ผกู ําหนดรูก องลมทัง้ ปวงหายใจเขา . ยอมสําเหนยี กวา เราจกั ระงับกายสงั ขาร หายใจออก. ยอมสาํ เหนยี กวา เราจกั ระงบั กายสังขาร หายใจเขา ดังพรรณนามาฉะน้.ี

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 608 ภกิ ษยุ อมพจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในบาง พิจารณาเหน็ กายในกายภายนอกบา ง พิจารณาเหน็ กายในกายทัง้ ภายในทัง้ ภายนอกบา งพจิ ารณาเห็นธรรมคือความเกดิ ขึน้ ในกายบาง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคอืความเส่อื มในกายบา ง พิจารณาเห็นธรรมคือท้ังความเกิดขึน้ ทั้งควานเสอ่ื มในกายบา ง อยู. อนงึ่ สตขิ องเธอทตี่ ัง้ มนั่ อยวู า กายมีอยู กเ็ พียงเพอ่ืความรู เพียงเพอื่ อาศัยระลึกเทานั้น เธอเปน ผูอันตัณหาและทิฏฐิไมอ าศยัอยแู ลว และไมถอื มัน่ อะไร ๆ ในโลก ดูกอ นภิกษทุ ัง้ หลาย แมอยา งนี้ภกิ ษุช่อื วา พิจารณาเหน็ กายในกาย อยู. จบ อานาปานบรรพ อิริยาปถบรรพ [๑๓๔] ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย อีกประการหนึง่ ภกิ ษุเมือ่ เดนิก็รูช ัดวา เราเดิน เมื่อยนื ก็รูชัดวา เรายืน เมื่อนง่ั กร็ ูชัดวา เรานั่งเมื่อนอน ก็รูชัดวา เรานอน หรือเธอทง้ั กายไวด วยอาการอยา งใด ๆกร็ ูชัดอาการอยางน้ัน ๆ. ดวยเหตุดังพรรณนานาน้ี ภกิ ษยุ อมพจิ ารณาเหน็ กายในกาย ภายในบาง ฯลฯ ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย แมอยา งน้ี ภกิ ษุชือ่ วา พจิ ารณาเหน็ กายในกายอย.ู จบ อิริยาปถบรรพ สมั ปชัญญบรรพ [๑๓๕] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย อกี ประการหนง่ึ ภกิ ษุเปนผกู ระทาํสมั ปชัญญะ ในการกาวไปและถอยกลบั , ในการมอง และการเหลยี ว,

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 609ในการคูเขา และเหยยี ดออก, ในการทรงผา สังฆาฏ,ิ บาตร และจีวร,ในการกนิ ด่มื เคี้ยว ลิ้ม ในการถายอุจจาระและปส สาวะ ในเวลาเดิน ยนื นง่ั หลับ ต่ืน พูด นงิ่ . ดว ยเหตดุ ังพรรณนามานี้ ภกิ ษุยอมพจิ ารณาเห็นกายในกาย ภายในบาง ฯลฯ ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย แมอยา งน้ี ภิกษุชอ่ื วา พจิ ารณาเหน็ กายในกายอย.ู จบ สมั ปชัญญบรรพ ปฏกิ ลู บรรพ [๑๓๖] ดกู อนภกิ ษุทั้งหลาย อกี ประการหนึ่ง ภิกษยุ อมพจิ ารณาเหน็ กายน้แี หละ เบ้ืองบนแตพ ื้นเทาข้ึนมา เบื้องต่ําแตปลายผมลงไปมีหนังหมุ อยโู ดยรอบ เตม็ ดวยของไมสะอาดมปี ระการตา ง ๆ วา มอี ยูในกายน้ี คอื ผม ขน เลบ็ ฟน หนัง เน้ือ เอน็ กระดูก เย่อื ในกระดกูมาม หวั ใจ ตับ พงั ผดื ไต ปอด ไสใหญ ไสน อ ย อาหารใหมอาหารเกา ดี เสลด หนอง เลอื ด เหงื่อ มันขน นา้ํ ตา เปลวมนัน้ําลาย นา้ํ มูก ไขขอ มตู ร. ไถม ีปากสองขาง เต็มดวยธญั ญชาตินานาชนิด คือ ขาวสาลี ขา วเปลอื ก ถัว่ เขียว ถัว่ เหลือง งา ขา วสารบุรุษผมู ีนัยนตาดี แกไ ถนน้ั แลว พึงเหน็ ไดว า น้ีขา วสาลี น้ีขา วเปลอื กนี้ถั่วเขียว นีถ้ ั่วเหลือง น้ีงา นี้ขา วสาร ฉันใด ภิกษุก็ฉันน้นั เหมือนกนัยอ มพจิ ารณาเหน็ กายน้ีแหละ. เบอื้ งบนแตพ ้นื เทาข้นึ มา เบอ้ื งตํ่าแตปลายผมลงไป มหี นงั หมุ อยูโดยรอบ เตม็ ดว ยของไมส ะอาดมปี ระการตา ง ๆ วา มอี ยูในกายน้ี คือผม ขน ฯลฯ ไขขอ มูตร. ดว ยเหตุดังพรรณนามาน้ี ภิกษุยอมพิจารณาเหน็ กายในกาย ภายในบา ง ฯลฯ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 610ดูกอนภกิ ษทุ ้ังหลาย แมอยางน้ี ภกิ ษุช่ือวา พิจารณาเหน็ กายในกาย อย.ู จบ ปฏกิ ูลบรรพ ธาตุบรรพ [๑๓๗] ดกู อนภิกษทุ ้งั หลายอีกประการหน่ึง ภกิ ษุยอ มพจิ ารณาเห็นกายนแ้ี หละ ตามทต่ี งั้ อยู โดยความเปนธาตุวา ธาตุดิน ธาตนุ ํ้าธาตไุ ฟ ธาตุลม มีอยูในกายน้.ี คนฆาโคหรอื ลกู มอื ของคนฆา โคผฉู ลาดฆาแมโคแลว นั่งแบง ออกเปนสว น ๆ อยูท ่ีหนทางใหญ ๔ แพรงฉนั ใด ภกิ ษกุ ฉ็ นั น้ันเหมือนกนั ยอมพจิ ารณาเห็นกายนแ้ี หละ ตามทตี่ ัง้อยโู ดยความเปนธาตวุ า ธาตดุ นิ ธาตนุ ้าํ ธาตุไฟ ธาตุลม มอี ยูในกายน.้ี ดว ยเหตดุ ังพรรณนามานี้ ภกิ ษยุ อ มพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบาง ฯลฯ ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย แมอยางนี้ ภกิ ษุช่ือวา พจิ ารณาเหน็ กายในกาย อย.ู จบ ธาตุบรรพ นวสวี ถิกาบรรพ [๑๓๘] ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย อกี ประการหนง่ึ เปรยี บเหมือนภิกษุพึงเห็นสรีระทีเ่ ขาทงิ้ ไวใ นปาชา ตายแลววนั หนึง่ บาง สองวันบา งสามวันบา ง ท่ีขน้ึ พองมีสเี ขียว นา้ํ เหลอื งไหล เธอยอมนอ มเขา สูกายน้ีแหละวา ถงึ รางกายอนั น้ีเลา กม็ อี ยา งนเ้ี ปนธรรมดา คงเปน อยางน้ีไมล วงความเปนอยา งนไี้ ปได. ดวยเหตุดังพรรณนามานี้ ภิกษยุ อ มพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบาง ฯลฯ ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย แมอยา งนี้ ภกิ ษุ

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 611ชื่อวา พิจารณาเหน็ กายในกาย อยู. อกี ประการหนงึ่ เปรียบเหมือนภกิ ษพุ ึงเหน็ สรรี ะท่ีเขาท้ิงไวใ นปา ชา อนั ฝงู กาจกิ กินอยูบ าง ฝงู แรง จิกกนิ อยบู าง ฝูงพญาแรง จกิ กนิอยบู า ง หมสู นุ ขั บา นกัดกินอยบู า ง หมูสุนัขจงิ้ จอกกัดกนิ อยบู าง หมสู ตั วตาง ๆ กดั กินอยบู าง. เธอยอ มนอมเขามาสูก ายนแี้ หละวา ถงึ รางกายน้ีเลา ก็มอี ยา งนเี้ ปน ธรรมดา คงเปนอยา งน้ี ไมลว งความเปนอยา งน้ไี ปได. ดว ยเหตุดงั พรรณนามานี้ ภิกษุยอมพิจารณาเหน็ กายในกายบาง ฯลฯดกู อนภิกษุทง้ั หลาย แมอยางน้ี ภิกษุชื่อวา พิจารณาเหน็ กายในกาย อย.ู อีกประการหนง่ึ เปรียบเหมอื นภกิ ษุพงึ เหน็ สรีระที่เขาทิ้งไวใ นปาชา เปน รางกระดกู ยังมเี นื้อและเลอื ด ยงั มเี อน็ ผูกรัดอยู ฯลฯ เปนรา งกระดูก ยังเปอ นเลือด แตปราศจากเนอ้ื ยงั มีเอน็ ผกู รัดอยู ฯลฯเปน รางกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแลว ยงั มีเอน็ ผูกรัดอยู ฯลฯเปน รา งกระดกู ปราศจากเอน็ ผูกรัดแลว เรี่ยราดไปในทศิ นอ ยทิศใหญคอื กระดกู มอื ไปทางหน่งึ กระดูกเทาไปทางหน่ึง กระดูกแขง ไปทางหนง่ึกระดกู ขาไปทางหนงึ่ กระดกู สะเอวไปทางหนึ่ง กระดูกขอ สนั หลงั ไปทางหนง่ึ กระดกู ซ่โี ครงไปทางหน่งึ กระดกู หนา อกไปทางหนึง่ กระดกูแขนไปทางหน่งึ กระดกู ไหลไ ปทางหนึง่ กระดูกคอไปทางหนงึ่ กระดูกคางไปทางหนึ่ง กระดูกฟนไปทางหน่ึง กะโหลกศรี ษะไปทางหนง่ึ .เธอยอมนอ มเขา มาสกู ายนแ้ี หละวา ถึงรา งกายนเ้ี ลา กม็ อี ยา งน้เี ปนธรรมดา คงเปน อยา งนี้ ไมล ว งความเปน อยางนไ้ี ปได. ดว ยเหตุดงั พรรณนามาน้ี ภกิ ษุยอ มพิจารณาเห็นกายในกาย ภายในบา ง ฯ ล ฯดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย แมดว ยอาการอยา งนี้ ภกิ ษชุ ื่อวา พิจารณาเห็นกาย

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 612ในกาย อย.ู อีกประการหนึ่ง เปรยี บเหมอื นภกิ ษพุ งึ เหน็ สรรี ะท่เี ขาท้ิงไวใ นปาชา เปนกระดูก มสี ขี าว เปรยี บดว ยสสี ังข. . . เปนกระดกู เปนกองเร่ยี ราดแลว เกา เกินปหนงึ่ ไปแลว . . เปน กระดกู ผุละเอียด เธอยอ มนอมเขามาสูกายน้ีแหละวา ถงึ รา งกายน้ีเลา กม็ ีอยางน้ีเปนธรรมดาคงเปนอยางน้ี ไมล วงความเปนอยา งนไี้ ปได. ดวยเหตุดงั พรรณนามานี้ภิกษยุ อมพจิ ารณาเหน็ กายในกายภายในบาง พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายนอกบาง พจิ ารณาเหน็ กายในกายทง้ั ภายในทงั้ ภายนอกบาง พิจารณาเหน็ ธรรมคือความเกิดขึน้ ในกายบา ง พิจารณาเห็นธรรมคอื ความเส่ือมในกายบาง พิจารณาเห็นธรรมคือทงั้ ความเกดิ ขนึ้ ทง้ั ความเสือ่ มในกายบาง อย.ู อนงึ่ สตขิ องเธอตัง้ ม่นั อยูว า กายมอี ยู ก็เพยี งเพอื่ ความรูเพยี งเพอ่ื อาศัยระลึกเทานัน้ เธอเปนผูอนั ตัณหาและทิฏฐไิ มอาศัยอยูแลว และไมถือมนั่ อะไร ๆ ในโลก ดูกอนภิกษทุ งั้ หลาย แมอ ยางนี้ภกิ ษชุ ่ือวาพจิ ารณาเหน็ กายในกาย อย.ู จบ นวสีวถิกาบรรพ จบ กายานปุ สสนาสติปฏฐาน เวทนานุปสสนาสตปิ ฏ ฐาน [๑๓๙] ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย ภกิ ษพุ ิจารณาเห็นเวทนาอยูอ ยางไรเลา ? ภิกษุในธรรมวินยั นี้ เสวยสุขเวทนาอยู ก็รูช ดั วา เราเสวยสุข-เวทนา เสวยทกุ ขเวทนาอยู กร็ ูชดั วา เราเสวยทกุ ขเวทนา เสวย-

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 613อทกุ ขมสขุ เวทนาอยู ก็รูช ัดวา เราเสวยอทกุ ขมสุขเวทนา. หรอื เสวยสุข-เวทนามีอามิส กร็ ชู ดั วา เราเสวยสขุ เวทนามอี ามสิ หรือเสวยสุขเวทนาไมม ีอามิส ก็รูชัดวา เราเสวยสุขเวทนาไมมอี ามสิ . หรอื เสวยทกุ ขเวทนามีอามสิก็รชู ัดวา เราเสวยทกุ ขเวทนามอี ามสิ . หรือเสวยทกุ ขเวทนาไมม อี ามิสก็รูชัดวา เราเสวยทกุ ขเวทนาไมม อี ามสิ . หรอื เสวยอทุกขมสขุ เวทนามีอามสิ ก็รูชดั วา เราเสวยอทกุ ขมสขุ เวทนามีอามิส หรือเสวยอทุกขมสุข-เวทนาไมม อี ามิส กร็ ูช ดั วา เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไมม ีอามิส. ดวยเหตดุ งั พรรณนามาน้ี ภกิ ษุยอมพิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนาภายในบางพิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนาภายนอกบา ง พจิ ารณาเหน็ เวทนาในเวทนาทั้งภายในทั้งภายนอกบาง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกดิ ขนึ้ ในเวทนาบาง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคือความเส่ือมในเวทนาบา ง พิจารณาเหน็ ธรรมคอื ทั้งความเกดิ ขึ้นทัง้ ความเสอื่ มในเวทนาบาง อยู. อน่งึ สติของเธอตัง้ มัน่ อยวู า เวทนามอี ยู ก็เพยี งเพื่อความรู เพียงสกั วา อาศัยระลกึเทา นั้น เธอเปนผอู ันตณั หาและทฏิ ฐไิ มอาศัยอยแู ลว และไมถือมั่นอะไรๆในโลก ดกู อ นภิกษุท้ังหลาย อยางนแี้ ล ภิกษุชอ่ื วา พจิ ารณาเห็นเวทนาในเวทนา อยู. จบ เวทนานปุ ส สนาสติปฏ ฐาน จติ ตานปุ ส สนาสตปิ ฏฐาน [๑๔๐] ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจติ ในจิตอยูอยา งไรเลา ? ภกิ ษใุ นธรรมวินยั นี้ จติ มีราคะ กร็ ชู ดั วา จิตมีราคะ หรอื จิต

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 614ปราศจากราคะ กร็ ชู ดั วา จติ ปราศจากราคะ. จิตมีโทสะ ก็รูช ัด วา จิตมโี ทสะหรอื จิตปราศจากโทสะ กร็ ชู ดั วา จติ ปราศจากโทสะ. หรอื จติ มีโมหะก็รชู ดั วา จติ มีโมหะ หรอื จติ ปราศจากโมหะ ก็รูชดั วา จติ ปราศจากโมหะ. จติ หดหู กร็ ชู ัดวา จติ หดหู หรือจิตฟงุ ซา น ก็รูช ดั วา จติ ฟุงซา น.จติ เปนมหคั คตะ ก็รชู ดั วา จิตเปน มหคั คตะ จิตไมเ ปนมหัคคตะ กร็ ูช ดั วาจติ ไมเ ปน มหัคคตะ. จติ มีธรรมอ่นื ยิ่งกวา ก็รชู ัดวา จิตมธี รรมอน่ื ย่งิ กวาหรอื จิตไมมธี รรมอื่นย่ิงกวา กร็ ูชดั วา จติ ไมม ธี รรมอ่ืนยงิ่ กวา. จิตต้ังมั่นกร็ ชู ดั วา จิตต้ังมั่น หรือจติ ไมต ้งั มน่ั . ก็รชู ดั วา จติ ไมตง้ั มนั่ . จติ หลุดพนกร็ ชู ัดวา จิตหลุดพน หรอื จติ ยังไมหลดุ พน ก็รูชดั วา จติ ยงั ไมห ลดุพน. ดวยเหตดุ ังพรรณนามานี้ ภิกษุยอ มพิจารณาเหน็ จิตในจิตภายในบา งพิจารณาเห็นจติ ในจิตภายนอกบา ง พิจารณาเหน็ จิตในจติ ท้ังภายในทง้ัภายนอกบาง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคอื ความเกิดขึ้นในจิตบาง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคอื ความเสอ่ื มในจิตบา ง พิจารณาเห็นธรรมคือท้งั ความเกิดข้นึทง้ั ความเสื่อมในจติ บา ง อยู. อน่ึง สตขิ องเธอต้ังมนั่ อยวู า จิตมีอยู กเ็ พียงสกั วา ความรู เพียงสกั วา อาศัยระลึกเทานัน้ เธอเปนผูอ ันตณั หาและทฏิ ฐิไมอาศยั อยูแลว และไมถ ือมนั่ อะไร ๆ ในโลก ดูกอ นภกิ ษทุ ัง้ หลายอยางนแี้ ล ภกิ ษุชื่อวาพิจารณาเห็นจติ ในจติ อย.ู จบ จิตตานุปส สนาสตปิ ฏ ฐาน ธมั มานุปส สนาสติปฏ ฐาน นวิ รณบรรพ [๑๔๑] ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย ภกิ ษพุ จิ ารณาเห็นธรรมในธรรม

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 615อยอู ยา งไรเลา ? ภกิ ษุในธรรมวนิ ัย พจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม คือ นิวรณ ๕ ภิกษพุ จิ ารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ ๕ อยางไรเลา ? ภิกษใุ นธรรมวินัยน้ี เมือ่ กามฉนั ทะมอี ยู ณ ภายในจิต ยอมรูชดั วา กามฉันทะมอี ยู ณ ภายในจิตของเรา หรือเมอื่ กามฉนั ทะไมม ีอยูณ ภายในจติ ยอ มรชู ัดวา กามฉันทะไมมีอยู ภายในจิตของเรา. อนง่ึกามฉันทะท่ียังไมเกิดจะเกิดขึน้ ดว ยประการใด ยอ มรูชดั ประการน้ันดว ยกามฉนั ทะ ทเ่ี กิดขนึ้ แลว จะละเสยี ไดดวยประการใด ยอมรชู ัดประการน้ันดวย กามฉนั ทะที่ละไดแ ลว จะไมเ กิดข้ึนตอ ไปดว ยประการใด ยอ มรชู ัดประการนน้ั ดว ย. อีกอยางหนึ่ง เมอ่ื พยาบาทมีอยู ณ ภายในจติ ยอมรชู ัดวา พยาบาทมอี ยู ณ ภายในจติ ของเรา หรือเมอื่ พยาบาทไมม ีอยูณ ภายในจิต ยอ มรูชัดวา พยาบาทไมมอี ยู ณ ภายในจติ ของเรา. อนงึ่พยาบาทที่ยงั ไมเกดิ จะเกิดขึน้ ดว ยประการใด ยอ มรูชดั ประการน้ันดวยพยาบาทที่เกิดขึน้ แลว จะละเสยี ไดดว ยประการใด ยอมรูชดั ประการน้ันดวย พยาบาททลี่ ะไดแ ลว จะไมเ กิดข้ึนตอไปดวยประการใด ยอมรชู ัดประการน้นั ดว ย. อกี อยา งหนึ่ง เมื่อถนี มทิ ธะมอี ยู ณ ภายในจติ ยอ มรูชัดวา ถนี มิทธะมอี ยู ณ ภายในจติ ของเรา หรอื เมอื่ ถนี มทิ ธะไมม ีอยู ณภายในจิต ยอ มรชู ดั วา ถีนมทิ ธะไมม ีอยู ณ ภายในจติ ของเรา. อนึ่งถีนมิทธะทยี่ ังไมเกิด จะเกิดขน้ึ ดว ยประการใด ยอ มรชู ัดประการนน้ั ดว ยถีนมทิ ธะที่เกดิ ขึ้นแลว จะละเสียไดด วยประการใด ยอ มรูชดั ประการนน้ัดวย ถีนมิทธะทีล่ ะไดแลว จะไมเกิดขน้ึ ตอ ไปดว ยประการใด ยอมรชู ัดประการน้นั ดว ย. อกี อยา งหน่ึง เมอื่ อทุ ธจั จกกุ กุจจะมอี ยู ณ ภายในจิต

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 616ยอ มรชู ัดวา อทุ ธัจจกุกกุจจะมีอยู ณ ภายในจติ ของเรา หรือเมอื่ อทุ ธัจจ-กุกกุจจะไมม อี ยู ณ ภายในจติ ยอ มรูช ดั วา อุทธจั จกกุ กุจจะไมม อี ยู ณ ภายในจติ ของเรา. อน่งึ อุทธัจจกุกกจุ จะทย่ี ังไมเ กิด จะเกดิ ขน้ึ ดว ยประการใดยอมรูชัดประการน้ันดวย อทุ ธัจจกกุ กจุ จะทเ่ี กดิ ข้ึนแลว จะละเสียไดด วยประการใด ยอมรชู ัดประการนั้นดว ย อทุ ธจั จกุกกุจจะทีล่ ะไดแลว จะไมเกิดข้นึ ตอไปดวยประการใด ยอ มรชู ัดประการนัน้ ดว ย. อกี อยา งหน่งึ เม่อืวิจกิ จิ ฉามีอยู ณ ภายในจติ ยอมรชู ดั วา วิจกิ จิ ฉามอี ยู ณ ภายในจติ ของเรา หรือเมอ่ื วิจกิ จิ ฉาไมมีอยู ณ ภายในจติ ยอ มรูช ดั วา วจิ ิกจิ ฉาไมมีอยู ณ ภายในจติ ของเรา. อน่ึง วจิ ิกิจฉาทีย่ งั ไมเกดิ จะเกิดขึน้ ดวยประการใด ยอ มรูชดั ประการน้นั ดวย วิจิกิจฉาทเ่ี กิดขึ้นแลว จะละเสียไดดว ยประการใด ยอมรชู ดั ประการนน้ั ดวย วจิ ิกจิ ฉาที่ละไดแลว จะไมเกิดขน้ึ ตอไปดวยประการใด ยอมรชู ัดประการนนั้ ดว ย. ดวยเหตดุ งั พรรณนามาน้ี ภิกษุยอมพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมภายในบาง พิจารณาเห็นธรรมในธรรมภายนอกบา ง พจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมทัง้ ภายในท้งั ภายนอกบาง พจิ ารณาเห็นธรรมคอื ความเกดิ ขึน้ ในธรรมบาง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคือความเสื่อมในธรรมบา ง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคอืท้ังความเกดิ ขนึ้ ท้งั ความเส่ือมในธรรมบา ง อยู. อนึง่ สตขิ องเธอต้ังมน่ัอยวู า ธรรมมอี ยู กเ็ พยี งสักวาความรู เพยี งสกั วาอาศยั ระลกึ เทา นั้นเธอเปนผูอันตัณหาและทฏิ ฐิไมอ าศยั อยูแลว และไมถ ือมั่นอะไร ๆ ในโลกดูกอ นภิกษทุ งั้ หลาย แมอ ยา งนีแ้ ล ภิกษุช่ือวาพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือนวิ รณ ๕ อย.ู จบ นิวรณบรรพ

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 617 ขันธบรรพ [๑๔๒] ดกู อ นภิกษทุ ั้งหลาย อีกประการหนึง่ ภิกษุพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม คือ อุปาทานขนั ธ ๕. ภกิ ษุพิจารณาเหน็ ธรรมในธรรม คือ อุปาทานขันธ ๕ อยางไรเลา ? ภิกษุในธรรมวนิ ยั น้พี ิจารณาเหน็ ดังนี้วา อยา งนร้ี ูป อยา งนค้ี วามเกิดข้นึ แหงรูป อยางน้ีความดบั แหง รูป อยางนีเ้ วทนา อยา งนี้ความเกดิขน้ึ แหงเวทนา อยา งนค้ี วามดบั แหง เวทนา อยา งนี้สญั ญา อยางน้คี วามเกิดขึ้นแหง สัญญา อยา งนี้ความดับแหงสัญญา อยา งนี้สังขาร อยา งนี้ความเกดิ ขึน้ แหงสังขาร อยา งนี้ความดับแหง สังขาร อยางนี้วญิ ญาณอยา งนีค้ วามเกิดข้นึ แหง วญิ ญาณ อยา งน้คี วามดับแหง วญิ ญาณ. ดวยเหตุดังพรรณนามาน้ี ภิกษุ ยอ มพจิ ารณาเปนธรรมในธรรมภายในบาง พจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมภายนอกบาง พจิ ารณาเหน็ ธรรมทัง้ ภายในทั้งภายนอกบาง พิจารณาเหน็ ธรรมคอื ควานเกิดขนึ้ ในธรรมบาง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคือความเสือ่ มในธรรมบา ง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคือทง้ั ความเกิดขึ้นท้งัความเสือ่ มในธรรมบาง อย.ู อนึง่ สติของเธอตั้งมั่นอยวู า ธรรมมอี ยูก็เพียงสักวา ความรู เพยี งสกั วาอาศัยระลกึ เทานน้ั เธอเปน ผูอันตณั หาและทฏิ ฐไิ มอ าศัยอยแู ลว และไมถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ดูกอนภิกษุทั้งหลายแมอยา งนแ้ี ล ภกิ ษุชือ่ วาพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรม คอื อปุ าทานขันธ ๕อยู. จบ ขนั ธบรรพ

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 618 อายตนบรรพ [ ๑๔๓] ดกู อนภิกษทุ ้งั หลาย อกี ประการหนึง่ ภิกษุพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรม คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖. ภกิ ษุพิจารณาเหน็ ธรรม คอื อายตนะภายในและภายนอก ๖อยา งไรเลา ? ภิกษใุ นธรรมวินัยนี้ ยอมรูจกั ตา รจู กั รูป และรจู กั สงั โยชนทอ่ี าศัยตาและรปู ทั้งสองนั้นเกิดข้ึน. อน่ึง สงั โยชนท ่ียังไมเ กิดข้ึนดวยประการใด ยอมรูชดั ประการนนั้ ดวย สังโยชนท่เี กิดขน้ึ แลว จะละเสียไดดวยประการใด ยอ มรูชดั ประการน้นั ดว ย สงั โยชนท ล่ี ะไดแ ลว จะไมเกดิ ขึ้นตอ ไปดวยประการใด ยอ มรชู ัดประการน้ันดวย. ภกิ ษยุ อ มรจู กั หู รูจกั เสยี ง . . . ภิกษุยอ มรจู กั จมกู รูจกั กลิน่ . . . ภิกษุยอมรูจกั ล้ิน รจู กั รส . . . ภิกษยุ อมรจู กั กาย รจู กั โผฏฐพั พะ. . . ภิกษยุ อ มรูจักใจ รูจ กั ธรรมารมณ และรจู กั สงั โยชนทอ่ี าศยั ใจและธรรมารมณท ั้ง ๒ นนั้ เกดิ ข้นึ . อนึ่ง สังโยชนท ย่ี งั ไมเกิด จะเกิดข้ึนดว ยประการใด ยอ มรูช ัดประการนนั้ ดวย สังโยชนที่เกดิ ขึ้นแลว จะละเสยี ไดด วยประการใด ยอมรูช ดัประการนัน้ ดวย สงั โยชนท ่ลี ะไดแ ลว จะไมเกิดข้ึนตอ ไปดวยประการใดยอมรูชดั ประการน้นั ดวย. ดว ยเหตดุ งั พรรณนามาฉะน้ี ภิกษยุ อ มพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมภายในบา ง พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมภายนอกบางพิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมทั้งภายในท้ังภายนอกบาง พจิ ารณาเห็นธรรม

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 619คอื ความเกิดขน้ึ ในธรรมบาง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคอื ความเสือ่ มในธรรมบา งพิจารณาเห็นธรรมคือทง้ั ความเกดิ ข้นึ ท้ังความเส่ือมในธรรมบาง อย.ู อนึง่สตขิ องเธอตง้ั มนั่ อยวู า ธรรมมีอยู กเ็ พียงสกั วา ความรูเ พียงสักวาอาศยั ระลึกเทา นั้น เธอเปน ผูอนั ตัณหาและทิฏฐิไมอาศยั อยูแ ลว และไมถือมั่นอะไร ๆในโลก ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย แมอยางน้ี ภิกษชุ อ่ื วาพิจารณาเหน็ ธรรมคอื อายตนะภายในและอายตนะภายนอก ๖ อยู. จบ อายตนบรรพ โพชฌงคบรรพ [๑๔๔] ดกู อนภิกษทุ ง้ั หลาย อกี ขอหนงึ่ ภิกษพุ ิจารณาเห็นธรรมในธรรม คอื โพชฌงค ๗. ภิกษพุ จิ ารณาเห็นธรรมในธรรม คือโพชฌงค ๗ อยา งไรเลา ? ภกิ ษุในธรรมวินยั นี้ เมื่อสตสิ มั โพชฌงคม อี ยู ณ ภายในจิต ยอมรชู ดั วา สตสิ มั โพชฌงคม อี ยู ณ ภายในจติ ของเรา หรอื เม่ือสติสมั โพชฌงคไมม อี ยู ณ ภายในจิต ยอมรชู ดั วา สตสิ มั โพชฌงคไมมอี ยู ณ ภายในจติ ของเรา. อนงึ่ สตสิ มั โพชฌงคทยี่ งั ไมเกดิ จะเกิดขึน้ ดวยประการใดยอ มรชู ดั ประการนัน้ ดว ย สติสัมโพชฌงคท ี่เกิดข้ึนแลว จะเจริญบรบิ รู ณดวยประการใด ยอ มรชู ัดประการนัน้ ดว ย. อกี อยา งหน่ึง เม่อื ธมั มวจิ ย-สมั โพชฌงคมีอยู ณ ภายในจิต. . . อกี อยางหนึ่ง เม่อื วริ ิยสมั โพชฌงคมีอยู ณ ภายในจิต . . . อีกอยางหน่งึ เมอื่ ปต สิ มั โพชฌงคม ีอยู ณ ภายในจติ . . . อกี อยา งหนึ่งเมอื่ ปสสัทธสิ มั โพชฌงคมีอยู ณ ภายในจิต. . . อีกอยา งหนึง่ เมื่อสมาธิสมั โพชฌงคม อี ยู ณ ภายในจิต . . .

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 620 อกี อยางหนึง่ เม่ืออเุ บกขาสมั โพชฌงคมีอยู ณ ภายในจติ ยอมรูชดั วา อเุ บกขาสัมโพชฌงคม ีอยู ณ ภายในจติ ของเรา หรอื เมือ่ อเุ บกขา-สมั โพชฌงคไมม ีอยู ณ ภายในจติ ยอ มรูช ดั วา อเุ บกขาสมั โพชฌงคไ มม ีอยู ณ ภายในจติ ของเรา. อนง่ึ อเุ บกขาสัมโพชฌงคท ยี่ งั ไมเ กดิ จะเกดิขึ้นดวยประการใด ยอ มรชู ัดประการน้ันดวย อุเบกขาสัมโพชฌงคท เ่ี กิดขน้ึ แลว จะเจริญบริบรู ณด วยประการใด ยอ มรูชดั ประการนั้นดวย. ดว ยเหตดุ ังพรรณนามานี้ ภิกษยุ อมพิจารณาเหน็ ธรรมในธรรนภายในบางพิจารณาเห็นธรรมในธรรมภายนอกบา ง พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมท้ังภายในท้ังภายนอกบาง พิจารณาเห็นธรรมคอื ความเกดิ ขึ้นในธรรมบางพิจารณาเหน็ ธรรมคือความเสอื่ มในธรรมบาง พิจารณาเห็นธรรมคือทัง้ความเกิดขึ้นความเส่ือมในธรรมบาง อยู. อนึง่ สติของเธอตง้ั ม่นั อยูว า ธรรมมีอยู กเ็ พยี งสักวา ความรู เพียงสกั วาอาศัยระลกึ เทาน้นั เธอเปนผูอนัตัณหาและทฏิ ฐไิ มอาศยั อยูแลว และไมถ อื มน่ั อะไร ๆ ในโลก ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย แมอ ยา งน้ี ภิกษชุ ่อื วาพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมคือโพชฌงค ๗. จบ โพชฌงคบรรพ สัจจบรรพ [๑๔๕] ดูกอนภิกษุทง้ั หลาย อกี ขอหนงึ่ ภิกษพุ จิ ารณาเหน็ธรรมในธรรม คือ อริยสัจ ๔. ภกิ ษพุ จิ ารณาเห็นธรรมในธรรม คืออรยิ สจั ๔ อยางไรเลา ? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยอมรูช ดั ตามเปนจรงิ วา นท้ี กุ ข นีท้ ุกขสมุทัย

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 621น้ที ุกขนิโรธ น้ที กุ ขนิโรธคามินีปฏปิ ทา. ดวยเหตุดังพรรณนามานี้ ภิกษุยอมพิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมภายในบาง พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมภายนอกบา งพจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมทง้ั ภายในท้ังภายนอกบางพจิ ารณาเหน็ ธรรมคอื ความเกิดขึ้นในธรรมบา ง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคือความเสอ่ื มในธรรมบา ง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคอื ทง้ั ความเกิดขนึ้ ท้งั ความเส่อื มในธรรมบาง อย.ู อนึ่ง สติของเธอตั้งมั่น อยูวา ธรรมมีอยู กเ็ พียงสักวา ความรูเพียงสกั วา อาศยั ระลึกเทา นน้ั เธอเปน ผูอนั ตณั หาและทิฏฐไิ มอ าศยั อยูแลวและไมถ อื มัน่ อะไร ๆ ในโลก ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย แมอ ยา งนี้ ภกิ ษุช่อืวาพิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมคืออรยิ สจั ๔ อยู. [ ๑๔๖] ดูกอนภิกษุทั้งหลาย กท็ ุกขอรยิ สัจเปนไฉน ? แมช าตกิ เ็ ปนทกุ ข แมช รากเ็ ปนทุกข แมมรณะก็เปนทุกข แมโสกะปริเทวะ ทกุ ข โทมนัส อปุ ายาส ก็เปน ทกุ ข ความประจวบกับสงิ่ ไมเปนทร่ี กั กเ็ ปนทุกข ความพลัดพลากจากส่งิ ทรี่ ัก กเ็ ปน ทกุ ข ปรารถนาสงิ่ ใดไมได แมอ ันน้นั ก็เปนทกุ ข โดอยอู ุปาทานขันธท้งั ๕ เปนทกุ ข. ดกู อ นภกิ ษทุ ัง้ หลาย ก็ชาตเิ ปนไฉน ? ความเกดิ ความบงั เกดิ ความหยั่งลงเกิด เกดิ จําเพาะ ความปรากฏแหง ขันธ ความไดอ ายตนะครบในหมูสตั วน้ัน ๆ อันนเี้ รียกวาชาต.ิ ก็ชราเปนไฉน ? ความแก ภาวะของความแก ฟนหลดุ ผมหงอก หนงั ยน ความเส่อื มแหงอายุ ความแกหงอมแหง อนิ ทรยี ในหมูสัตวนนั้ ๆ ของเหลาสตั วนั้น ๆ อันน้ีเรยี กวาชรา. ก็มรณะเปนไฉน ?

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 622 ความเคลื่อน ภาวะของความเคลือ่ นความแตกทําลาย ความหายไปมฤตยูความตาย การทาํ กาละ ความทาํ ลายแหง ขันธ ความทอดทงิ้ ซากศพไว ความขาดแหง ชวี ติ นิ ทรยี ใ นหมูส ตั วนนั้ ๆ ของเหลาสัตวน น้ั ๆ อนันีเ้ รยี กวามรณะ. กโ็ สกะเปน ไฉน ? ความแหง ใจ กิรยิ าท่แี หงใจ ภาวะของบุคคลผูแ หง ใจ ความผากณ ภายใน ความแหงผาก ณ ภายในของบุคคลผปู ระกอบดว ยความพิบตั ิอยา งใดอยางหนึ่ง ผถู กู ธรรมคอื ทกุ ขอยางใดอยางหนง่ึ กระทบแลว อนั น้ีเรยี กวา โสกะ. กป็ รเิ ทวะเปนไฉน ? ความครา่ํ ครวญ ความร่ําไรรําพนั กิรยิ าท่ีคร่าํ ครวญ กิรยิ าทร่ี ํา่ ไรราํ พัน ภาวะของบุคคลผคู ราํ่ ครวญ ภาวะของบคุ คลผรู า่ํ ไรราํ พันของบคุ คลผปู ระกอบดวยความพบิ ตั อิ ยางใดอยางหนึ่ง ผูถ กู ธรรมคอื ทุกขอ ยา งใดอยา งหน่ึงกระทบแลว อันนเ้ี รียกวาปรเิ ทวะ. กท็ กุ ขเปน ไฉน ? ความลําบากทางกาย ความไมสาํ ราญทางกาย ความเสวยอารมณอ ันเปน ทุกขไ มส ําราญ เกิดแตก ายสมั ผัส อันน้ีเรยี กวา ทุกข. กโ็ ทมนัสเปนไฉน ? ความทุกขทางจติ ความไมส าํ ราญทางจติ ความเสวยอารมณอนั เปนทุกขไมส ําราญ เกดิ แตม โนสัมผสั อนั น้ีเรียกวาโทมนัส. ก็อปุ ายาสเปนไฉน ? ความแคน ความคบั แคน ภาวะของบคุ คลผแู คน ภาวะของ

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 623บุคคลผคู บั แคน ของบคุ คลผปู ระกอบดวยความพิบัติอยางใดอยางหนงึ่ ผูถูกธรรมคอื ทุกขอยา งใดอยางหนง่ึ กระทบแลว อนั น้เี รยี กวาอปุ ายาส. กค็ วามประจวบกับสตั วและสังขารไมเปน ท่ีรกั ก็เปนทุกข เปนไฉน ? ความประสบความพรง่ั พรอม ความรวม ความระคนดวยรปู เสยี งกลน่ิ รส โผฏฐพั พะ อันไมน าปรารถนา ไมน า ใคร ไมน า พอใจ หรอื ดวยบคุ คลผปู รารถนาส่งิ ที่ไมเ ปน ประโยชน ปรารถนาสิง่ ทีไ่ มเกอ้ื กลู ปรารถนาความไมผ าสุก ปรารถนาความไมเกษมจากโยคะ ซง่ึ มีแกผูน้ัน อนั นี้เรียกวา ความประจวบกบั สัตวและสงั ขารไมเปนที่รกั ก็เปน ทุกข. กค็ วามพลัดพรากจากสัตวและสังขารเปน ที่รักก็เปนทุกข เปน ไฉน. ความไมประสบ ความไมพรง่ั พรอม ความไมรว ม ความไมร ะคนดวยรูป เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ อนั นาปรารถนา นา ใคร นาพอใจ หรือดว ยบคุ คลผปู รารถนาประโยชนปรารถนาสง่ิ ที่เกอื้ กลู ปรารถนาความผาสุกปรารถนาความเกษมจากโยคะ ซง่ึ มแี กผ ูน้ัน คือ มารดา บดิ า พ่ชี ายนองชาย พห่ี ญงิ นอ งหญิง มติ ร อํามาตย หรอื ญาติสาโลหิต อันนี้เรียกวา ความพลดั พรากจากสตั วแ ละสังขารเปนทร่ี ักก็เปน ทุกข. ก็ปรารถนาส่งิ ใดไมไดแ มอ นั นนั้ ก็เปนทกุ ข เปนไฉน ? ความปรารถนายอ มบังเกิดแกส ัตวผ มู ีความเกดิ เปน ธรรมดาอยา งน้ีวาโอหนอ ขอเราไมพ ึงมคี วามเกดิ เปน ธรรมดา ขอความเกดิ อยา มีมาถงึ เราเลยขอนัน้ สัตวไมพงึ ไดส มความปรารถนา แมข อ นก้ี ็ชอื่ วา ปรารถนาสิ่งใดไมได แมอันนน้ั กเ็ ปน ทุกข. ความปรารถนายอ มบังเกดิ แกสัตวผมู คี วามแกเ ปน ธรรมดา ความปรารถนายอ มบงั เกดิ แกส ตั วผมู คี วามเจ็บเปนธรรมดา . . .

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 624 ความปรารถนายอมบังเกิดแกส ัตวผมู โี สกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัสอปุ ายาส เปนธรรมดา อยางนี้วา โอหนอ ขอเราไมพ ึงมีโสกะ ปรเิ ทวะทกุ ข โทมนัส อปุ ายาสเปนธรรมดา ขอโสกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนสัอุปายาส อยา มมี าถึงเราเลย ขอน้นั สตั วไมพึงไดสมความปรารถนา แมขอ นก้ี ็ช่อื วา ปรารถนาสงิ่ ใดไมได แมอันนั้นกเ็ ปน ทกุ ข. ก็โดยยอ อปุ ทานขนั ธท ้งั ๕ เปน ทกุ ขเ ปนไฉน ? อปุ าทานขนั ธทง้ั ๕ คือ รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณโดยยอ เหลา นเี้ รยี กวา อปุ าทานขันธท ้งั ๕ เปนทกุ ข ดกู อ นภิกษุทัง้ หลายอนั นีเ้ รียกวาทกุ ขอรยิ สจั . [๑๔๗] ดกู อ นภิกษทุ ้ังหลาย ก็ทุกขสมุทัยอริยสจั เปน ไฉน ?ตณั หาน้ีใด อันมคี วามเกดิ อีก ประกอบดวยนันทริ าคะ เพลิดเพลนิ ย่งิ นกัในอารนณนัน้ ๆ คือ กามตณั หา ภวตณั หา วิภวตัณหา. กต็ ัณหานั้น เมื่อจะเกดิ ยอ มเกดิ ในทไ่ี หน ? เมอ่ื จะตั้งอยู ยอ มตง้ั อยทู ่ีไหน ? ทีใ่ ดเปน ท่ีรักท่ีเจริญใจในโลก ตัณหานน้ั เมอื่ จะเกดิยอ มเกดิ ในท่นี น้ั เมอ่ื จะตั้งอยู ยอ มตง้ั อยูในท่นี ัน้ อะไรเปนท่ีรักทเี่ จริญใจในโลก ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ เปน ทีร่ กั ท่ีเจริญใจในโลกตัณหาเม่ือจะเกดิ ยอ มเกดิ ทนี่ ้ัน เมอ่ื จะตง้ั อยู ยอมตง้ั อยูทนี่ ัน้ . รปู เสยี งกลนิ่ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ เปนทีร่ ักที่เจริญใจในโลก ตัณหาเม่ือจะเกิด ยอ มเกดิ ท่นี ี้ เมื่อจะตัง้ อยู ยอมตั้งอยูท่นี .ี้ จักขวุ ญิ ญาณโสตวญิ ญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวญิ ญาณ มโนวิญญาณเปน ท่ีรกั ที่เจริญใจในโลก ตัณหาเมอ่ื จะเกิด ยอ มเกิดทีน่ ี้ เมือ่ จะตง้ั อยูยอ มต้งั อยูที่น.ี้ จกั ขสุ มั ผัส โสตสัมผสั ฆานสัมผัส ชวิ หาสัมผัส กายสัมผัส

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 625มโนสมั ผัส เปน ท่รี กั ทเ่ี จริญใจในโลก ตณั หาเมือ่ จะเกิด ยอ มเกิดที่นี้เมือ่ จะตัง้ อยู ยอ มต้ังอยทู ่นี ี.้ จักขสุ มั ผัสสชาเวทนา โสตสัมผสั สชาเวทนาฆานสัมผสั สชาเวทนา ชิวหาสัมผสั สชาเวทนา กายสัมผสั สชาเวทนามโนสมั ผัสสชาเวทนา เปนทีร่ ักทเี่ จริญใจในโลก ตณั หาเมื่อจะเกดิ ยอ มเกิดที่นี้ เม่ือจะตง้ั อยู ยอมต้ังอยทู ่ีนี.้ รปู สญั ญา สัททสัญญา คนั ธสญั ญารสสญั ญา โผฏฐัพพสญั ญา ธมั มสัญญา เปน ทร่ี กั ท่เี จรญิ ใจในโลก ตัณหาเมือ่ จะเกิด ยอมเกดิ ท่ีน้ี เมอื่ จะตัง้ อยู ยอมตงั้ อยูทีน่ ี.้ รปู สญั เจตนาสทั ทสัญเจตนา คันธสญั เจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนาธมั มสญั เจตนา เปนท่ีรกั ท่เี จรญิ ใจในโลก ตัณหาเม่อื จะเกดิ ยอ มเกิดทีน่ ี้ เมอื่ จะตั้งอยู ยอ มตัง้ อยทู ีน่ ้.ี รูปตณั หา สัททตัณหา คนั ธตณั หารสตณั หา โผฏฐพั พตัณหา ธัมมตณั หา เปน ทีร่ ักที่เจริญใจในโลก ตณั หาเมือ่ จะเกดิ ยอมเกิดทน่ี ี้ เมือ่ จะตั้งอยู ยอมต้งั อยูทน่ี ี.้ รปู วิตก สทั ทวติ กคันธวติ ก รสวิตก โผฏฐัพพวติ ก ธมั มวิตก เปนที่รักทเ่ี จริญใจในโลกตัณหาเม่ือจะเกดิ ยอ มเกิดท่ีน้ี เมือ่ จะตงั้ อยู ยอมต้งั อยูท ่ีนี.้ รูปวิจารสัททวิจาร คนั ธวจิ าร รสวจิ าร โผฏฐัพพวจิ าร ธมั มวจิ าร เปนท่ีรักที่เจรญิ ใจในโลก ตณั หาเมอื่ จะเกิด ยอ มเกิดทน่ี ้ี เม่ือจะตั้งอยู ยอมตง้ัอยทู ่ีนี้ ดกู อ นภิกษทุ งั้ หลาย อนั นีเ้ รยี กวา ทกุ ขสมุทัยอรยิ สจั . [๑๔๘] ดกู อ นภิกษุทงั้ หลาย ก็ทุกขนิโรธอรยิ สัจเปน ไฉน ? ความดับดวยสามารถความสํารอกโดยไมเ หลอื ความสละ ความสละคนื ความปลอ ยวาง ความไมมีอาลยั ในตัณหานัน้ . กต็ ัณหานั้น เมอ่ื บุคคลจะละ ยอ มละ เสียไดในท่ไี หน ? เมอื่ จะดบั ยอมดบั ในทไี่ หน ทีใ่ ดเปนทร่ี กั ทเี่ จริญใจในโลก ตัณหานน้ั เมื่อบคุ คลจะละ ยอมละเสียไดในทนี่ ัน้

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 626เมื่อจะดับ ยอ มดับไดทีน่ ้นั . ก็อะไรเปนทร่ี ักเจริญใจในโลก ตา หูจมกู ล้นิ กาย ใจ เปนที่รักท่เี จริญใจในโลก ตัณหาเม่ือบุคคลจะละยอมละเสียไดที่น้ี เมือ่ จะดับ ยอ มดับทีน่ .ี้ รปู เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐพั พะธรรมารมณ เปน ท่รี ักทเ่ี จริญใจในโลก ตณั หา เมื่อบุคคลจะละ ยอ มละเสยี ไดท ี่น้ี เมอ่ื จะดับ ยอ มดบั ที่นี้. จักขวุ ญิ ญาณ โสตวญิ ญาณ ฆาน-วิญญาณ ชิวหาวญิ ญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ เปน ทร่ี กั ท่เี จรญิ ใจในโลก ตณั หา เมื่อบคุ คลจะละ ยอมละเสียไดท น่ี ี้ เมอื่ จะดบั ยอมดับที่น.้ี จักขุสัมผสั โสตสัมผสั ฆานสัมผสั ชวิ หาสัมผสั กายสัมผัส มโน-สมั ผัส เปน ที่รกั ทเ่ี จริญใจในโลก ตณั หา เมอื่ บคุ คลจะละ ยอมละเสยี ไดท่ีน้ี เม่ือจะดบั ยอ มดับทีน่ ้.ี จกั ขสุ มั ผสั สชาเวทนา โสตสมั ผัสสชาเวทนาฆานสมั ผัสสชาเวทนา ชวิ หาสัมผสั สชาเวทนา กายสัมผสั สชาเวทนามโนสมั ผัสสชาเวทนา เปนท่ีรักทเ่ี จรญิ ใจโนโลก ตณั หา เมอื่ บคุ คลจะละยอมละเสียไดท ีน่ ้ี เมือ่ จะดับ ยอ มดบั ที่น.ี้ รปู สัญญา สทั ทสญั ญา คนั ธ-สญั ญา รสสญั ญา โผฏฐพั พสญั ญา ธัมมสัญญา เปน ทร่ี ักทเี่ จริญใจในโลก ตัณหา เมอื่ บุคคลจะละ ยอมละเสยี ไดท น่ี ี้ เม่อื จะดบั ยอมดบั ที่น้.ีรปู สัญเจตนา สทั ทสัญเจตนา คันธสญั เจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพ-สญั เจตนา ธัมมสญั เจตนา เปนทรี่ ักท่ีเจริญใจในโลก ตัณหา เมื่อบคุ คลจะละ ยอ มละเสยี ไดที่น้ี เม่ือจะดบั ยอมดบั ทน่ี ้.ี รูปตณั หา สัททตัณหาคนั ธตัณหา รสตัณหา โผฎฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา เปนท่รี กั ทเ่ี จริญใจในโลก ตณั หา เมอื่ บุคคลจะละ ยอมละเสียไดท่นี ้ี เมอ่ื จะดับ ยอมดบัท่นี ้.ี รูปวิตก สทั ทวิตก คนั ธวติ ก รสวติ ก โผฏฐพั พวติ ก ธัมมวติ กเปนท่รี กั ทเ่ี จริญใจในโลก ตัณหา เม่อื บุคคลจะละ ยอ มละเสยี ไดทีน่ ี้

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 627เมือ่ จะดับ ยอ มดับทนี่ ี.้ รูปวิจาร สทั ทวจิ าร คันธวจิ าร รสวจิ ารโผฏฐพั พวจิ าร ธมั มวจิ าร เปน ทร่ี ักที่เจริญใจในโลก ตณั หา เม่ือบคุ คลจะละ ยอมละเสียไดท่ีนี้ เมื่อจะดับ ยอ มดบั ท่นี ี้ ดกู อนภิกษุท้งั หลายอนั น้เี รียกวา ทกุ ขนิโรธอรยิ สัจ. [๑๔๙] ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย กท็ กุ ขนิโรธคามนิ ีปฏิปทาอรยิ สจัเปน ไฉน ? อรยิ มรรคประกอบดว ยองค ๘ นีแ้ หละ คือ สมั มาทิฏฐิ สัมมา-สงั กปั ปะ สมั มาวาจา สัมมากมั มันตะ สัมมาอาชวี ะ สัมมาวายามะสมั มาสติ สัมมาสมาธ.ิ กส็ มั มาทฏิ ฐิเปน ไฉน ? ความรใู นทุกข ความรูในเหตุใหทกุ ขเ กิด ความรูใ นความดบั ทกุ ขความรใู นขอ ปฏบิ ตั ิใหถ ึงความดบั ทุกข อนั นเ้ี รียกวา สัมมาทฏิ ฐิ. สมั มาสังกัปปะเปน ไฉน ? ความดํารใิ นการออกจากกาม ความดาํ รใิ นความไมพยาบาท ความดําริในอนั ไมเบยี ดเบยี น อนั นีเ้ รียกวา สมั มาสังกปั ปะ. สัมมาวาจาเปน ไฉน ? การงดเวนจากการพูดเทจ็ งดเวนจากการพูดสอเสียด งดเวนจากพดูคําหยาบ งดเวนจากพูดเพอ เจอ อันนเ้ี รยี กวา สัมมาวาจา. สมั มากัมมันตะเปน ไฉน ? การงดเวนจากลา งผลาญชีวิต งดเวนจากถอื เอาส่ิงของท่ีเขามไิ ดใหงดเวน จากการประพฤติผิดในกาม อันน้ีเรียกวา สมั มากมั มนั ตะ. สัมมาอาชวี ะเปน ไฉน ? อริยสาวกในธรรนวินัยน้ี ละการเลยี้ งชพี ทผ่ี ดิ สําเรจ็ การเลีย้ งชีพ

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 628ดว ยการเลย้ี งชพี ทีช่ อบ อนั นีเ้ รยี กวา สัมมาอาชีวะ. สัมมาวายะเปน ไฉน. ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้ เกดิ ฉนั ทะพยายาม ปรารภความเพียรประคองจิตไว ตั้งจิตไว เพอื่ มใิ หอ กุศลธรรมอันลามกท่ยี งั ไมเ กิดบังเกดิข้ึน เพอ่ื ละอกุศลธรรมอนั ลามกทบ่ี ังเกดิ ขึ้นแลว เพอื่ ใหก ศุ ลธรรมที่ยังไมเกดิ บังเกิดข้นึ เพ่ือความตั้งอยไู มเ ลือนหาย เจรญิ ยงิ ไพบลู ยมขี นึ้ เตม็ เปยม แหงกศุ ลธรรมทีบ่ งั เกดิ ข้นึ แลว อันนี้เรยี กวา สัมมา-วายามะ. สมั มาสตเิ ปน ไฉน ? ภกิ ษใุ นธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู มคี วามเพยี ร มีสมั ปชัญญะ มสี ติ กาํ จดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกเสยี ได พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู . . . พจิ ารณาเหน็ จติ ในจติ อยู . . . พิจารณาเหน็ ธรรมในธรรมอยู มคี วามเพยี ร มสี มั ปชัญญะ มสี ติ กําจดั อภิชฌาและโทมนสั ในโลกเสยี ได อนั น้เี รยี กวา สมั มาสติ. สมั มาสมาธิเปน ไฉน ? ภกิ ษุในธรรมวินยั น้ี สงัดจากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรม เ ขาถึงปฐมฌาน มวี ิตก วจิ าร มีปต ิและสุขเกดิ แตว ิเวกอยู เธอเขาถึงทุตยิ ฌานมคี วามผอ งใสแหงจิตในภายใน เปน ธรรมเอกผดุ ขนึ้ เพราะวิตกวิจารสงบไป ไมมวี ิตก ไมมีวิจาร มปี ติและสุขอนั เกิดแตส มาธอิ ยู เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ. เสวยสขุ ดวยนามกาย เพราะปตสิ ิน้ ไปเขา ถงึ ตติยฌาน ท่พี ระอริยะทง้ั หลายสรรเสรญิ วา ผไู ดฌานนเ้ี ปนผูมีอุเบกขา มสี ติอยเู ปน สุข เธอเขาถงึ จตุตถฌาน ไมม ีทกุ ข ไมม ีสขุ เพราะ

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 629ละสขุ และทุกข และดบั โสมนัสโทมนัสกอน ๆ ได มอี ุเบกขาเปนเหตใุ หสติบริสุทธ์อิ ยู อันนเ้ี รียกวา สมั มาสมาธิ ดกู อ นภิกษทุ ัง้ หลาย อนั น้ีเรยี กวาทกุ ขนิโรธคามินปี ฏปิ ทาอรยิ สจั . [๑๕๐] ดงั พรรณนามาฉะน้ี ภิกษุยอมพจิ ารณาเหน็ ธรรมในธรรมภายในบา ง พจิ ารณาเห็นธรรมในธรรมภายนอกบา ง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคือความเกิดข้นึ ในธรรมบาง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคือความเสื่อมในธรรมบา ง พิจารณาเหน็ ธรรมคือทั้งความเกดิ ขึ้นท้งั ความเส่อื มในธรรมบา ง อย.ูอนึง่ สตขิ องเธอ ตั้งมั่นอยูวา ธรรมมีอยู กเ็ พียงสกั วาความรู เพยี งสักวา อาศัยระลึกเทา น้ัน เธอเปน ผอู ันตณั หาและทฏิ ฐไิ มอ าศัยอยูแ ลว และไมถอื ม่นั อะไร ๆ ในโลก ดกู อนภิกษุทั้งหลาย แมอยา งน้ี ภกิ ษุชอื่ วาพจิ ารณาเหน็ ธรรมอย.ู จบ ธมั มานปุ สสนาสตปิ ฏฐาน [๑๕๑] ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย กผ็ ใู ดผูหนง่ึ พงึ เจรญิ สติปฏฐาน ๔ นี้อยา งนตี้ ลอด ๗ ป เขาพงึ หวงั ผล ๒ ประการ อยา งใดอยางหน่ึง คอืพระอรหตั ตผลในปจจบุ ัน หรอื เมือ่ ยังมขี ันธปญ จกเหลืออยู เปน พระอนาคามี ๗ ป ยกไว ผูใดผหู น่งึ พึงเจรญิ สติปฏฐาน ๔ นี้ อยา งน้ีตลอด ๖ ป ๕ ป ๔ ป ๓ ป ๒ ป ๑ ป . . . ๑ ป ยกไว ผูใ ดผหู น่งึ พงึ เจริญสติปฏฐาน ๔ อยา งนี้ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล๒ ประการ อยา งใดอยา งหนงึ่ คอื พระอรหัตตผลในปจ จุบนั หรอื เมอื่อปุ าที (สังโยชน) มีเหลอื อยู เปน พระอนาคามี ๗ เดอื น ยกไว ผูใดผูห นึ่ง พงึ เจรญิ สตปิ ฏ ฐาน ๔ น้ี อยา งน้ตี ลอด ๖ เดอื น ๕ เดอื น๔ เดอื น ๓ เดอื น ๒ เดอื น ๑ เดอื น กึ่งเดือน. . . กึง่ เดอื นยกไว

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 630ผูใ ดผูหนง่ึ พึงเจริญสติปฏฐาน ๔ นี้ อยางนี้ตลอด ๗ วนั เขาพงึ หวังผล ๒ ประการ อยางใดอยา งหน่ึง คือพระอรหตั ตผลในปจจบุ ัน หรือเมอ่ื อปุ าทิ (คอื สังโยชน) ยงั เหลืออยเู ปนพระอนาคามี. จบ สัจจบรรพ จบ ธรรมานปุ สสนาสติปฏฐาน นคิ มวจนะ [๑๕๒] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย หนทางนเ้ี ปนท่ไี ปอันเอก เพอ่ืความบริสทุ ธข์ิ องเหลา สตั วเ พือ่ ลว งความโศกและปริเทวะ เพ่อื ความดับสญูแหงทกุ ขและโทมนัส เพือ่ บรรลธุ รรมที่ถกู ตอง เพือ่ ทําพระนิพพานใหแจงหนทางน้ี คอื สติปฏฐาน ๔ ประการ ฉะนี้แล คําทีเ่ รากลาวดงั พรรณนามาฉะนี้ เราอาศัยเอกายนมรรคกลา วแลว. พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสพระพทุ ธพจนนี้แลว ภกิ ษุเหลานนั้ ยนิ ดีชน่ื ชมภาษิตของพระผูมพี ระภาคเจาแลวแล. จบ สตปิ ฏฐานสตู รที่ ๑๐ จบ มลู ปริยายวรรคที่ ๑ ประมวลพระสตู รแหง วรรคน้ี วรรคอนั ประเสรฐิ ประดบั ดว ย มูลปรยิ ายสูตร สพั พาสวสงั วรสูตรธมั มทายาทสตู ร ภยเภรวสูตร อนงั คณสตู ร อากังเขยยสูตรวตั ถปู มสูตร สลั เลขสตู ร สัมมาทฏิ ฐิสตู ร และ สติปฏ ฐานสตู ร จบบริบูรณแลว .

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 631 อรรถกถาปติปฏ ฐานสูตร [๑๓๑] สติปฏ ฐานสตู ร มคี าํ เรมิ่ ตนวา ขา พเจา สดับมาแลวอยางนี.้ ทีม่ าของคําวา กรุ ุ บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา กรุ ูสุ วหิ รติ ความวา ชนบทแมแหง หนงึ่ เปนที่อยขู องราชกมุ ารผอู ยใู นชนบทชือ่ วา กรุ ุ เขาเรียกวากุรู ดว ยรฬุ หศิ พั ท (คําทงี่ อกไปจากดําเดิม ) (พระผูมีพระภาคเจา เสด็จประทับ ) ทก่ี รุ ชุ นบทนั้น. แตพระอรรถกถาจารยท ัง้ หลายกลาวไวว า ในรัชสมยั ของพระเจามันธาตุราช มนษุ ยใน ๓ ทวปี ไดย นิ (คําเลาลือ) วา ข้ึนช่ือวาทวีปชมพู เปนดนิ แดนทีอ่ บุ ัตขิ องยอดคน (อดุ มบรุ ษุ ) จําเดมิ แตพระพุทธเจา พระปจเจกพทุ ธเจา และพระเจาจกั รพรรดิท้งั หลาย เปน ถ่ินอภริ มยอ ุดมทวีป จงึ ไดพากนั มาพรอมดว ยพระเจา จักรพรรดิมันธาตุราชผทู รงสง จกั รแกวออกหนาแลว เสดจ็ ตดิ ตามมายงั ทวีปทงั้ ๔. จากน้นั มา พระราชาไดต รัสถามปริณายกแกววา ยงั มีหรอื ไมถามท่ี ๆ เปนรมณยี สถานยง่ิ กวามนษุ ยโลก ? ปรณิ ายกแกวไดก ราบทลู วา ขอเดชะ พระอาชญาไมพ นเกลาไฉนใตฝ า ละอองธุลพี ระบาทจงึ ตรสั อยางนี้ ใตฝา ละอองธุลีพระบาทมไิ ดทอดพระเนตรอานุภาพของดวงจันทร ดวงอาทติ ยหรอื ? สถานทีด่ วง

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 632จนั ทรแ ละดวงอาทิตยเหลา นี้ เปนรมณยี สถานย่ิงกวา มนุษยโลกนีแ้ น. พระราชาจึงทรงสง จกั รแกว ไปกอนแลว ไดเ สดจ็ ไป ณ ทีน่ น้ั .ทา วจาตมุ มหาราชไดท ราบวา พระเจา มันธาตรุ าชเสดจ็ นาแลว ทรงดําริวา พระราชาผูท รงฤทธม์ิ าก (เสดจ็ มาแลว) เราไมอ าจจะตอ ตา นไดด วยการรบ จงไดมอบราชสมบตั ขิ องตนถวาย. พระองคท รงรับราชสมบตั ินนั้ แลว ไดต รัสถามอกี วา ยังมีอยหู รือไมสถานทท่ี เี่ ปนรมณียสถานยง่ิ กวานี้ ? หา วจาตุมมหาราชไดกราบทลู ถงึ ดาวดงั สภพแดพระองคว า พระ-พุทธเจา ขา ดาวดึงสภพเปน รมณยี สถานยงิ่ กวา (น)ี้ . บนดาวดึงสภพนั้น มหาราชทัง้ ๔ เหลา น้ี เปน ผูรักษาการ (ปรจิ าริกา) ของทาวสกั กเทวราชน้ัน จะประทบั ยนื ท่พี ระทวาร ทา วสักกเทวราชทรงมีฤทธิ์มาก ทรงมอี านภุ าพมาก และพระองคทรงมีเทวสถานสําหรับใช เหลา น้ีคือ เวชยนั ตปราสาทสูง ๑ โยชน สธุ รรมาเทวสภาสงู ๕๐๐ โยชนเวชยันตรถสงู ๑๕๐ โยชน ชา งเอราวัณกส็ งู เทา นน้ั สวนนนั ทวนั สวนจติ รลดาวนั สวนปารุสกวนั สวนมสิ กวนั ประดบั ประดาดวยทพิ ย-พฤกษาจาํ นวนพนั ตน ตนไมสวรรค ชื่อปาริฉตั ตกะ สูง ๑๐๐ โยชนภายใตต นปาริฉัตตกะน้นั มพี ระท่นี ่ังบัณฑุกัมพลศิลาอาสน มสี ีเหมอื นดอกหงอนไก ยาว ๖๐ โยชน กวา ง ๕๐ โยชน สงู ๕ โยชน ซึง่ออนนุน เม่อื ทา วสักกเทวราชทรงประทบั นัง่ พระวรกายจะจมลงคร่ึงพระองค. ครั้นทรงสดบั คํากราบบงั คมทลู นนั้ แลว พระราชามีพระราชประสงคจ ะเสดจ็ ไป ณ ดาวดงึ สภพนั้น จึงทรงโยนจกั รแกวขึ้นไป.

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 633จักรแกวน้นั ประดษิ ฐานอยูบนอากาศ๑พรอ มดว ยจตุรงคเสนา. ตอมาจกั รแกวกร็ อนลงจากทามกลางเทวโลกท้งั ๒ ประดิษฐานอยูท่พี นื้ ดินพรอมดว ยจตรุ งคเสนา มปี รณิ ายกแกว เปน ประมขุ . พระราชาไดเสดจ็ ไปยังดาวดงึ สภพลําพงั พระองคเดยี วเทา นนั้ . ทา วสกั กะพอไดทรงทราบวา พระเจา มันธาตเุ สดจ็ มาเทา นน้ั ก็เสด็จตองรบั พระองคกราบบังคมทูลวา ขอเดชะฝาละอองธลุ ีพระบาทปกเกลาปกกระหมอ ม พระมหากรุณาธิคุณลนเกลา ลน กระหมอ มที่ใตฝ าละอองธุลีพระบาทเสดจ็ มา (นเ้ี ปน ) ราชสมบตั ขิ องใตฝาละอองธลุ -ีพระบาทเอง ขอทลู เชญิ ปกครองเถิดพระพุทธเจาขา ดวยเกลาดวยดวยกระหมอมขอเดชะ แลวไดท รงแบงเทวราชสมบัตอิ อกเปน ๒ สว น พรอ มดว ยเทพธิดาฟอนราํ ไดน อ มถวาย ๑ สว น พระราชาเพียงแตเ สดจ็ประทบั ท่ีดาวดึงสภพเทา นนั้ ความเปน มนษุ ย๒ ก็หายไป ความเปนเทวดาก็ปรากฏขึน้ แทนท่.ี ไดทราบวา พระองคป ระทบั น่ังบนพระทนี่ ่งั บัณฑุ-กมั พลศลิ าอาสนรวมกบั ทาวสักกะ ดว ยเหตเุ พยี งลืมพระเนตรขึ้นจึงจะปรากฏแตกตางกัน. ทวยเทพเมอื่ ไปสังเกตพระองค กจ็ ะลืมไปในความแตกตา งระหวา งทา วสักกะกบั พระองค. พระองคเมื่อทรงเสวยทิพยสมบตั ิในดาวดงึ สภพนน้ั ทรงครองเทวราชสมบัตอิ ยู จนทา วสักกะเสด็จอบุ ัติแลวจุติไปถึง ๓๖ พระองค กไ็ มท รงอิ่มดว ยกามคุณเลย คร้นั ทรงจุตจิ ากเทวโลกนั้นแลว กท็ รงดาํ รง๓อยูทพี่ ระราชอุทยานของพระองค มีพระ๑. ปาฐะ เปน อากาเสน อฏุ  ทิ ฉบับพมาเปน อากาเส ปตฏิ าสิ แปลตามพมา .๒. ปาฐะ วา มนุสสฺ ตตฺ ภาโว เทวตตฺ ภาโว ฉบบั พมา เปน มนสุ สฺ ภาโว เทวภาโว แปลตามพมา .๓. ปาฐะ ปตโิ ต ฉบับพมา เปน ปตฏิ  โิ ต จึงแปลตามพมา .

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 634วรกายถกู ลมและแดด๑กระทบจงึ ไดสวรรคต. กเ็ ม่ือจักรแกวประดษิ ฐานท่พี ืน้ ดิน ปริณายกแกว ก็ประทบั ฉลองพระบาทของพระเจา มนั ธาตุ ลงในพระสุพรรณบฏั แลว มอบถวายราชสมบตั วิ า นีเ้ ปน ราชสมบตั ขิ องพระเจามนั ธาต.ุ มนุษยท่ีมาจากทวปี ทง้ั ๓ แมเหลา น้ัน ไมอาจจะไปไดอกี ไดพากันเขา ไปหาปรณิ ายกแกว แลว รอ งเรียนวา ใตเทาขอรับเหลากระผมมาดวยพระบรมราชานุภาพ บัดนี้จึงไมอ าจจะไปได ขอใตเทาไดก รณุ าใหท่ีอยูแ กเหลา กระผมเถดิ . ปรณิ ายกแกวไดมอบชนบทใหแ กเขาเหลานั้น เพอ่ื ประโยชนแกก ารอยคู นละแหง. ในจาํ นวนชนบทเหลานน้ั ถ่ินท่มี คี นมาจากบพุ พวิเทหทวปี อาศัยอยู ไดนามวา วิเทหรฐั ตามชอ่ื เกา นั้นเอง. ถ่นิ ทม่ี ีตนมาจากอมร-โคยานทวีปอาศัยอยู ไดนามวา อปรนั ตชนบท. ถิ่นทม่ี คี นมาจากอดุ ร-กุรุทวีปอาศัยอยู ไดน ามวา กุรรุ ัฐ. แตค นทัง้ หลายเรยี กดว ยพหพู จนโดยหมายถงึ บา นและนิคม จํานวนมาก เพราะเหตุดงั ทีก่ ลา วมาแลว น้ีทา นพระอานนทจงึ กลา ววาประทบั อยทู ีห่ มูบ า นกรุ ทุ งั้ หลาย (เปน พหูพจน)ดงั น้ี . ท่มี าของคําวา กัมมาสธมั มะ ในบทวา กมมฺ าสธมมฺ  ในบรรดาคําวา กมฺมาสธมมฺ  นามกุรนู  นิคโม นี้ อาจารยบ างพวกกลา วอรรถาธบิ ายความ โดย (แปลง)ธ อกั ษร เปน ท อักษร. สถานท่ชี ือ่ วา กมั มาสธัมมะ เพราะเปน ที่๑. ปาฐะวา ผฏุ ิตคคฺ ตโฺ ต พมาเปน ผฏุ คตโฺ ต จงึ แปลตามพมา.

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 635ถกู ทรมานของคนเทาดาง. พระเจาโปรสิ าท ผูมพี ระบาทดา ง เขาเรยี กวา กมั มาสะ (เจา องคตาง). เลา กันมาวา แผลเปน ทีพ่ ระบาทในที่ทถี่ ูกตอตาํ งอกขึ้นคลายไมมีลาย เพราะฉะนั้น จึงปรากฏวา มีพระบาทดา ง. และในโอกาสนนั้พระองคถ กู ทรมาน แลวถูกหา มจากความเปนมนษุ ยกนิ คน. ใครทรมาน ? พระมหาสัตว. ถามวา ในชาดกอะไร ? แกว า พระเถระพวกหนึ่ง (อา งวามา) ในสุตตโสมชาดก. แตพ ระเถระเหลา นบี้ อกวา มาในชยทิสชาดก. จริงอยางนัน้พระมหาสัตวเจาไดทรงทรมานพระเจา โปรสิ าท ผมู พี ระบาทดาง. ดังที่ทา นกลา วไววา :- ปางเมือ่ เราเปนพระบรมโอรสาธริ าชของพระเจา ชยทสิ ผูทรงเปนราชาธิบดีแหง ปญ จาลรฐั ไดส ละชวี ติ ปลดเปลือ้ งพระราชบดิ าแลว อีกอยางหนงึ่ เราได ใหพ ระเจาโปริสาทผมู พี ระบาทดา งเลื่อมใสแลว ดังนี.้ แตลางอาจารยอรรถาธิบายดว ย ธ อกั รษรอยางเดียว. ดังทเี่ ลากันมาวา ชาวกุรรุ ฐั มขี นบธรรมเนยี มประจํากุรุรฐั แตเกิดความดางพรอยขึ้นในขนบธรรมเนยี มนนั้ เพราะฉะนนั้ ทท่ี ่ดี า งพรอ ยนน้ั จึงถกู เรียกวากัมมาสธมั มะ เพราะมธี รรมคือความดา งพรอ ยเกดิ ขึน้ . ถามวา เหตุไฉนทานจงึ ไมกลาวซงึ่ นคิ มท่ีอยอู าศยั กนั แหงนเ้ี ทานั้นไวด ว ยสตั ตมีวิภัตติ ในคาํ วา กมั มาสธมั มะ นั้น ?

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 636 แกว า เพราะ (พระผูมีพระภาคเจา ) ไมม โี อกาสทจ่ี ะประทบั . ไดท ราบวา ไมม ีวิหารอะไรทเ่ี ปน โอกาสใหพระผมู พี ระภาคเจาประทับในนิคมนนั้ . แตห างออกจากนคิ มไป ไดม ไี พรสณฑใ หญใ นภมู ิภาคแหงหนึ่ง สมบูรณด วยน้ําเปน รมณียสถาน. พระผูมพี ระภาคเจาเสด็จประดบั ท่มี หาไพรสณฑน ้ัน ทรงเอานิคมนั้นเปนโคจรคาม (บานรับบณิ ฑบาต). เพราะฉะน้ัน ควรเขา ใจความหมายในเรื่องนีว้ า พระผูมีพระภาคเจา เสด็จประทบั ที่หมูบา น กุรุ ทรงเอานคิ มของชาวกุรุทีช่ ่อื วากมั มาสธมั มะ เปนโคจรคาม. [๑๓๒] พึงทราบวินิจฉัยในคาํ วา เอกายโน อย ภกิ ฺขเว มคโฺ คดังตอไปน้ี :- ทําไมจงึ ตรสั สติปฏฐานสตู รท่กี ุรรุ ัฐ ? ถามวา เหตุไฉน พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ไดต รสั พระสตู รน้ใี นแควนกรุ ุรฐั นัน้ ? ตอบวา เหตุไฉน พระผูมพี ระภาคเจา จงึ ไดต รสั พระสตู รนีใ้ นแควนกรุ รุ ัฐนัน้ ? ตอบวา เพราะชาวกรุ ุสามารถจะรับเอาพระธรรมเทศนาทล่ี กึ ซง้ึ ได. ไดท ราบวา ภิกษุ ภกิ ษุณี อุบาสก และอบุ าสิกาทั้งหลาย ชาวกุรรุ ัฐ เปนผมู รี า งกายและจิตใจเหมาะสมเปน นจิ ดว ยสามารถแหง ปจ จยัคอื ฤดูเปนทสี่ บาย เพราะรัฐนนั้ สมบูรณด ว ยปจ จยั คือฤดู. คนเหลานน้ัมีกาํ ลังปญญา อันความเหมาะสมแหงจิตใจและรางกายอนุเคราะหแลวจะเปนผูสามารถรบั (ฟง) ถอยคาํ ที่ลกึ ซงึ้ ได. เพราะฉะนัน้ พระผูมพี ระภาคเจา เม่ือทรงเล็งเหน็ วาคนเหลา น้ันสามารถจะรบั (ฟง)

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 637พระธรรมเทศนาอันลึกซึง้ นี้ได จงึ ไดตรัสสติปฏ ฐานสูตรทีม่ อี รรถลึกล้าํ น้ีโดยเพม่ิ พระกรรมฐานเขา ในพระอรหัตในฐานะ ๑๙ อยาง. อปุ มาเหมือนบุรษุ ไดผอบทองคําแลว บรรจุดอกไมน านาชนดิ ไวในนั้น หรอื ไดหบี ทองคาํ แลว เก็บรตั นะทงั้ ๗ ไว (ในนน้ั ) ฉนั ใด.พระผูม พี ระภาคเจา ก็ฉนั นน้ั ครัน้ ทรงไดช าวกรุ ุรัฐ๑ บรษิ ทั จึงไดทรงแสดงพระธรรมเทศนาทลี่ กึ ซึ้ง. ดว ยเหตนุ ัน้ น่นั แหละ ในมัชฌิมนิกายมูลปณณาสกน้ี จึงไดทรงแสดงพระสตู รทมี่ เี นอ้ื ความลกึ ซง้ึ ไวอ ยางหนึง่ในทีฆนิกาย ไดท รงแสดงไวอกี อยางหนงึ่ คือ มหานทิ านสตู ร ๑ มหา-สตปิ ฏ ฐานสตู ร ๑ (และ) ในมัชฌมิ นกิ ายน้ี ไดท รงแสดงพระสูตรไวอีกอยางหนงึ่ คือ สาโรปมสูตร ๑ รุกขูปมสตู ร ๑ รัฏฐปาลสูตร ๑มาคนั ทิยสตู ร ๑ อานัญชสปั ปายสูตร ๑. อกี อยางหนึง่ ในชนบทน้ัน ตามปกติแลว บริษทั ท้ัง ๔ พากนัประกอบความเพยี รเนอื ง ๆ ในสติปฏ ฐานภาวนาอยู โดยท่สี ุดแมพ วกทาส, กรรม และบรวิ ารชน ก็พดู จากนั เกย่ี วกบั สติปฏ ฐานนน้ั . แมแตที่ทา นํ้าและสถานท่ีปนดา ยกันเปนตน ขนึ้ ชอ่ื วา การพูดกันในเรอ่ื งไรประโยชนจะเปน ไปไมไ ดเ ลย. ถา หญิงคนใดคนหนงึ่ ถกู ถามวา คณุ แมจ า คณุ แมมนสกิ ารสตปิ ฏ-ฐานภาวนาขอ ไหน ? แลวตอบวา ไมไดม นสกิ ารขอไหนเลย. คนทงั้ -หลายจะตาํ หนเิ ธอวา ชีวติ ของเธอไรประโยชน เธอถงึ จะมชี วี ติ อยูกเ็ ชนกบั คนตายแลว. จงึ ไดใ หโอวาทเธอวา ทีนี้อยาไดท ําอยางน้ี แลวใหเรียนเอาสติปฏ ฐานอยา งใดอยางหนง่ึ . แต (ถา) หญิงใดพูดวา ฉนั มนสิการ๑. ปาฐะวา กรุ รุ ฏวาสนี  ฉบับพมาเปน กรุ ุรฏวาสปี รสิ  แปลตามพมา.

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 638สติปฏ ฐานชื่อโนน . คนท้ังหลายจะพากนั ใหส าธกุ ารวา สาธุ สาธุแลว สรรเสรญิ ดว ยถอยคาํ ทั้งหลายมอี าทวิ า ชวี ติ ของเธอเปน ชีวิตที่ดแี ลวเธอชอ่ื วา เปน มนษุ ยสมบรู ณแ ลว พระสมั มาสัมพุทธเจาเสด็จอาบตั ิขน้ึ มาเพ่ือประโยชนแกเ ธอ. ก็ในเร่อื งนีไ้ มเฉพาะแตมนุษยชาติอยางเดียวเทานนั้ทีพ่ ากนั ประกอบมนสิการสติปฏฐาน แมแตพ วกสตั วเ ดยี รจั ฉานทอี่ าศัยเขาอยู (ก็มนสิการสติปฏฐาน) ในการทาํ มนสกิ ารสตปิ ฏ ฐานของสตั วนน้ั มีเรือ่ งเลา ดังตอ ไปน้ี :- นกแขกเตาเจริญสตปิ ฏ ฐาน เลา กนั นาวา นกั ฟอ นรําคนหนึง่ เท่ียวจบั ลูกนกแขกเตา มาฝกนางอาศยั สํานักภิกษุณอี ยู เวลาไปก็ไป (แตตัว) ลืมลกู นกแขกเตาเหลาสามเณรจี งึ จบั มันมาเลี้ยงไว. ต้ังชื่อใหม นั วา พทุ ธรักขิต (พทุ ธ-รักษา). อยูมาวันหนึ่ง พระเถรเี หน็ มันเจาอยูข า งหนา จงึ เรยี กวา พุทธ-รักษา. มนั ขานรบั วา อะไรคะ คณุ แม. มีมนสกิ ารภาวนา อะไรบา งไหม ? พระเถรีถาม ไมม ีคะ คุณแม นกตอบ. พระเถรีพูดวา แกเอย ธรรมดาผอู ยใู นสาํ นักบรรพชิต ไมควรจะเปนอยูโดยปลอยอัตภาพเสยี (ปลอยตวั ) ควรปรารถนามนสกิ ารอะไรบางอยางนะ แลวไดบอกวา แตอ ยางอ่นื เจาไมส ามารถ (ทาํ ได) จงสาธยาย (บริกรรม) วา อฎ ิ อฏ ิ (กระดูก กระดูก). มนั ตั้งอยู

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 639ในโอวาทของพระเถรี เท่ียวสาธยายวา อฏิ อฎิ (กระดูก กระดูก).อยมู าวันหนง่ึ ตอนเชามันเกาะปลายเสาผงึ่ แดดออนอยู นกตวั หนึง่ ไดเอากรงเลบ็ เฉย่ี วเอาไป. มันสง เสยี งรอ ง แจด แจด. สามเณรที งั้ หลายไดย นิ เสยี งรอง จงึ พูดวา คณุ แมข า พุทธรักษาถูกนกเฉี่ยวไป หนูจะไปชวยใหม นั ปลอย แลว พากนั ถือเอากอนดินเปน ตนติดตามไป ใหม ันปลอ ยจนได. พระเถรีถามมัน ผูทเี่ ขาชว ยนํามา เกาะอยขู างหนาวาพทุ ธรกั ษาเวลานกเฉ่ยี วเอาไป แกคดิ อะไร ? มนั ตอบวา คณุ แมเจาขา ดิฉันไมไดค ดิ อยา งอื่น คุณแม ดิฉันคดิ ถึงกองกระดูกเทานน้ั อยางนว้ี า กองกระดกู น้ันแหละ เฉ่ยี วเอากองกระดกู ไป กองกระดกู จะเกลือ่ นกลาดไป ไมว าแมใ นที่ไหน ? ดแี ลว ดีแลว พทุ ธรกั ษา (การมนสิการอยางนัน้ ) จกั เปนปจ จัยของความสิ้นไปแหง ภพของเธอในอนาคต พระเถรกี ลา ว. แมส ตั วเดียรัจฉานในชนบทนั้น ก็ประกอบมนสิการในสติปฏฐานดังทกี่ ลาวมาแลวน้ี เพราะฉะนัน้ พระผูมีพระภาคเจา เม่อื จะทรงยงัความเจริญในสติปฏ ฐานน้นั เองใหเกดิ แกเขาเหลา นน้ั จึงไดต รัสพระสูตรนีไ้ ว. ความหมายของเอกายนะ บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา เอกายโน แปลวา ทางเอก. เพราะวาทางมชี ่อื มากอยาง คอื มรรคา, ปนถะ, ปถะ, ปชชะ, อัญชสะ, วฏมะ, อายตนะ, นาวา, อุตตรเสต,ู กุลละ, ภสิ ิ, และสังกมะ.

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 640 ในสติปฏ ฐานสูตรนี้ พระองคต รัสทางนน้ี น้ั ไวโดยชื่อวา อยนะ.เพราะฉะน้นั ในคําวา เอกายโน อย ภิกขฺ เว มคโฺ ค (ดูกอ นภกิ ษุทงั้ หลาย ทางนี้เปนทางเอก ) นี้ควรเขา ใจความหมายอยา งน้ีวา ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ทางนี้เปนทางสายเดียว ไมใชเปนทาง ๒ สาย. อีกอยางหน่งึ ทางชอื่ วา เอกายนะ เพราะคนคนเดยี วเทา นั้นพงึ ไป. คําวา คนเดียว คอื ควรละการคลกุ คลีดวยหมู ปลกี ตัวออกเงียบสงดั ดาํ เนินไป คอื ปฏิบตั ิ (คนเดียว) หรือชอ่ื วา อยนะ เพราะเพราะเปน เหตดุ าํ เนินไป คอื ไปจากสงสาร ถึงพระนิพพาน. ทางดาํ เนนิ ของผเู ปน เอก ช่อื วา เอกายนะ คาํ วา ผเู ปน เอก ไดแกผปู ระเสรฐิ ทีส่ ุด. และผูประเสรฐิ ท่ีสดุ กวา สรรพสัตว คอื พระผมู พี ระ-ภาคเจา เพราะฉะนนั้ จึงมอี ธบิ ายวา ไดแ ก ( ทางดําเนิน ) ของพระผูมีพระภาคเจา . อันท่จี รงิ ถงึ คนอ่นื กด็ ําเนนิ ไปตามทางน้ันได แตถงึ อยา งนั้นทางน้นั ก็ช่ือวาเปน ทางเสด็จดาํ เนินของพระผูมีพระภาคเจา เพราะพระ-องคท รงสรา งข้นึ . ดังที่ทา นไดกลา วไววา ดกู อ นพราหมณ ความจรงิพระผมู ีพระภาคเจานน้ั ทรงยังทางทีย่ งั ไมเกดิ ใหเ กดิ ขึ้นแลว ดงั นี้เปน ตน . อกี อยางหนึ่ง ชือ่ วา อยนะ เพราะไป คอื ดําเนนิ ไป อธบิ ายวาเปน ไป. มีอธิบายวา ไปในท่เี ดยี วกนั คือเปนไปในธรรมวินัย (ศาสนา)นี้เทา น้ัน ไมใชไปท่ีอนื่ . ดงั ทตี่ รสั ไววา ดกู อนสภุ ทั ทะ อรยิ มรรคมีองค ๘ หาไดในพระธรรมวินัย ( ศาสนา ) น้เี อง. ความจรงิ เนื้อความ

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 641ทงั้ ๒ น้ี ตา งกนั เพยี งเทศนา (โวหาร) เทานน้ั แตก ม็ ีเนอื้ ความเปนอนั เดียวกนั . อีกอยางหนง่ึ ชอ่ื วา เอกายนะ เพราะไปสจู ุดหมายเดยี วกัน มีอธิบายวา ในตอนตน ถึงแมจ ะเปน ไปโดยนยั แหง ภาวนาท่เี ปน หลกั แตกตา งกัน แตต อนหลงั กจ็ ะไปถงึ นพิ พานแหงเดยี วกันนนั้ แหละ. ดังที่ทา วสหัมบดพี รหมไดกลาวไวว า :- พระผมู พี ระภาคเจาผูทรงเห็นทีส่ ุดแหงการสิ้นความ เกดิ ทรงอนเุ คราะหเกอื้ กลู (ทรงมีพระมหากรุณา- ธิคณุ ) ทรงทราบทางไปสทู แ่ี หงเดยี ว (พระนพิ พาน) ดว ยทางสายนท้ี คี่ นท้ังหลายไดเ คยขามโอฆะหวงนาํ้ มาแลว กําลังขามอยู และจกั ขา มตอไป. แตอ าจารยลางเหลากลา ววา ช่ือวา เอกายนะ เพราะไปถงึ นพิ พานครัง้ เดียว ตามนยั แหง ความวา ไมไ ปถงึ ฝง (คอื พระนิพพาน) ถึง ๒ครัง้ . คําน้ัน ไมถกู . เพราะวา อรรถะ (ความหมาย) อยางน้ี พยัญชนะควรจะเปน อยางนี้วา สกึ อยโน (ไมใชเ อกายโน). แตถ า จะกลา วประกอบความอยางน้วี า ทางนัน้ มที างไปอยา งเดยี ว คือมคี ติ ไดแ กมีความเปน ไปอยางเดียว ดังน้ี พยัญชนะก็ใชไ ด. แตอรรถใชไมไดท ั้ง ๒อยา ง. เพราะเหตไุ ร ? เพราะในทน่ี ท้ี รงประสงคเอามรรคทเ่ี ปน บุพพภาค. อธบิ ายวา ในทีน่ ี้พระองคทรงประสงคเอามรรคเปน ท่ตี งั้ สติ (สต-ิปฏฐาน) อนั เปน สวนเบ้อื งตน เปนไปในอารมณทัง้ ๔ มกี ายเปน ตน.

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 642ไมใ ชมรรคท่เี ปนโลกตุ ตระ. และมรรคที่เปน สวนเบอื้ งตนน้ันก็ไปไดไ มใชคร้ังเดียวดวย ทง่ั มีการไปไมใ ชอยา งเดยี ว. ศิษยกบั อาจารยสนทนากัน อน่ึง แมเ ม่อื กอ น ในบทนี้ พระมหาเถระทัง้ หลาย กไ็ ดมีการสนทนากนั มาแลว เหมือนกนั . (คอื ) พระตรีปฎ กจลุ ลนาคเถระ ไดกลาวไวว า เปนทางสติปฏฐานทเี่ ปน บพุ พภาค. แตอาจารยของทา น คอืพระตรีปฎ กจุลลสุมนเถระ ไดกลา วไววา เปนทางปนกนั ไป (ทง้ั โลกิยะและโลกุตตระ). เปน ทางเบื้องตน ครับ ใตเ ทา ทานตรีปฎ กจลุ ลนาคเถระกลาว เปนทางปนกันไป คณุ ทา นตรีปฎ กจุลลสุมนเถระคา น. เมอื่ อาจารยก ลาวยํ้าแลว ยํ้าอกี ศษิ ยก็นง่ิ ไมค ัดคาน. (ท้ัง ๒ ทาน)ก็ลกุ ขน้ึ โดยไมวนิ จิ ฉยั (ชีข้ าด) ปญ หาเลย. ภายหลังพระเถระผูเปนอาจารยไปที่หอ งอาบน้าํ คดิ วา เราพดู วา เปนทางปนกันไป แตคณุจลุ ลนาคอา งเอาวา เปน ทางเบ้อื งตน ในปญหาน้ี จะมวี ินิจฉัยกนั อยางไรนะ จงึ รา ยพระสูตรต้งั แตต น ไป กาํ หนด (ยตุ )ิ ลงตรงนี้วา โย หิโกจิ ภิกฺขเว อเิ ม จตตฺ าโร สติปฏาเน เอว ภาเวยยฺ สตตฺ รสฺสานิ(ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย ผูใ ดผหู นึ่งก็ตาม เจรญิ สติปฏฐานทง้ั ๔ เหลานี้อยางน้ี ตลอด ๗ ป ) ดังนี้ ทา นกร็ ูว า ธรรมดาโลกุตตรมรรค คร้ันเกิดขน้ึ แลว จะหยดุ ชะงักอยูตลอด ๗ ป ไมมี มรรคท่ปี นกันไปที่เรากลาวแลว นนั้ มไี มได สว นมรรคที่เปนบพุ พภาค ที่คุณจุลลนาคแสดง

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 643แลว มีได จึงไดไ ป ณ ที่ท่สี าํ หรบั ประกาศในวันธมั มสั สวนะ ๘ คาํ่ . ไดท ราบวา พระเถระในปางกอนชอบฟง ธรรม. พอไดยินเสียงเทานนั้ กค็ ิดวา เรา (จะฟง ) กอน เรา ( จะฟง) กอ นแลว ลงฟง กันอยางพรอ มพรงั่ ทีเดียว. และวันนั้นก็เปนวาระของทานจุลลนาคเถระ.เมื่อทา นนง่ั บนธรรมาสน จบั พดั แลวกลา วอารัมภบท (บุพพกถา)พระเถระทย่ี นื อยูหลงั อาสนะไดม คี วามคดิ วา เราจะน่ังในที่ลบั ไมพ ดู(อะไร). เพราะวา พระเถระในปางกอน เปนนกั ฟง. จะไมเ ทย่ี วยกความพอใจของตนขน้ึ เปน ใหญอ ยางเดยี ว เหมอื นคนแบกมดั ออยไวฉะนน้ั ถือเหตผุ ลอยา งเดียว. สลัดส่งิ ที่ไมมเี หตผุ ลทง้ิ . เพราะฉะนน้ั พระเถระจงึพดู วา คณุ จุลลนาค. ทา น (จลุ ลนาค ) สงสัยวา ดูเหมอื นเสียงทานอาจารยไ ดห ยดุแสดงธรรมแลว เรยี นวา อะไรครบั ใตเ ทา ? คณุ จุลลนาค มรรคปนกันไปที่ฉันวานน้ั ไมม ี แตมรรคคือสต-ิปฏฐานท่ีเปน บพุ พภาค ท่คี ณุ วา นัน้ มี พระเถระพดู ตอบ. พระเถระ (จุลลนาค) คิดวา อาจารยข องเรา เรียนปริยตั ิท่ัวถึงทรงจาํ ไตรปฎ กไวไดเปน สุตพุทธ ปญ หานี้ ยังมวั สาํ หรับพระภกิ ษุถึงขนาดนี้ (ชัน้ อาจารย) พระภิกษุทเี่ ปน รนุ นอ งในอนาคตจักพิศวงปญหานี้(แนนอน) เราจักเอาพระสูตรมาแกปญหาน้ไี มใหด ้นิ ได. จากคมั ภีรปฏสิ มั ภิทามรรค บุพพภาคสตปิ ฏฐานมรรค ทา นเรยี กวา เอกายน-มรรค. พระเถระไดนาํ เอาพระสูตรมาตง้ั วา บรรดาทางท้ังหลาย ทางมีองค ๘ ประเสริฐที่สุด บรรดาสจั จะทั้งหลาย บท ( สัจจะ) ท้งั ๔

พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 644 ประเสรฐิ ทส่ี ดุ บรรดาธรรมทัง้ หลาย วิราคธรรม ประเสรฐิ ทีส่ ดุ และบรรดาสัตว ๒ เทา ทงั้ หลาย พระสมั มาสมั พทุ ธเจาผูท รงมีปญ ญาจกั ษุ ประเสริฐ ทีส่ ดุ ทางสายนเ้ี ทา นัน้ ไมม ที างสายอนื่ ท่เี ปนไป เพ่อื ความบรสิ ุทธแิ์ หงทสั สนะ. เธอทัง้ หลาย จง เดนิ ทางสายน้นั เถิด ทีใ่ หม ารและเสนามารหลง. เพราะวาเธอทงั้ หลายเดนิ ทางสายน้ันแลว จักทําทส่ี ุด แหง ทกุ ขไ ด. อธบิ ายมรรค ทางชอื่ วา มรรค เพราะหมายความวา อยา งไร ? เพราะหมายความวา เปนเหตใุ หถ งึ พระนพิ พาน และเพราะหมายความวา ผมู ีความตอ งการพระนพิ พานจะตองดําเนนิ ไป. บทวา สตฺตาน วิสุทธฺ ยิ า (เพ่อื ความบริสุทธ์ขิ องสัตวท งั้ หลาย)ความวา เพอื่ ประโยชนแ กค วามบริสุทธิ์ของสตั วท ั้งหลาย ผูมีจติ เศราหมองแลว เพราะมลทินทัง้ หลาย มีราคะเปนตน และเพราะอุปกเิ ลสทง้ั หลาย มอี ภชิ ฌาวิสมโลภเปน ตน . จริงอยา งนนั้ ก็สัตวเหลานี้ คือ พระสมั มาสัมพุทธเจา จํานวนมากพระองค ต้งั ตน แตพระพุทธเจา ทรงพระนามวา ตณั หังกร,เมธังกร, สรณังกร, ทีปง กร ทไี่ ดเ สดจ็ อุบัติแลว ในกปั กัปเดยี วกันน้ันแหละ กอ นแตก ปั นี้ไป ๔ อสงไขย เศษแสนกัป จนถึงพระ

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 645ศากยมุนเี ปนที่สดุ กด็ ี พระปจ เจกสัมพุทธเจา หลายรอ ยพระองคก็ดีพระอริยสาวก เหลอื ท่ีจะคณานับกด็ ี ไดทรงลอยและลอยมลทินของจิตท้ังมวลแลว ทรงบรรลุและบรรลคุ วามบริสทุ ธิอ์ ยางยอดเยี่ยม กด็ ว ยทางสายน้ี. แตดวยสามารถแหงมลทนิ ของรูป จะไมมีการบัญญตั ิความเศราหมองและความผองแผว เลย. จรงิ อยางนั้น พระมหาฤาษี (พระพุทธเจา) ไมไดตรัสไวว า มาณพ (คน) ท้งั หลายเศราหมอง เพราะรูป เศราหมอง บริสทุ ธิ์ในเพราะรปู บรสิ ทุ ธิ์ แตพ ระ มหาฤาษไี ดต รัสไวอยา งนี้วา มาณพ (คน) ท้งั หลายเศราหมอง เพราะจิตเศราหมอง บรสิ ทุ ธ์ิ ในเพราะจิตบริสุทธ์.ิ ดงั ท่พี ระองคไดต รัสไวว า ดูกอนภกิ ษุท้งั หลาย สตั วท ้ังหลายเศรา หมอง เพราะจิตเศราหมอง ผอ งแผว เพราะจติ ผอ งแผว . และความผองแผว ของจติ นนั้ นไ้ี ด เพราะทางคอื สติปฏฐานนี.้ เพราะเหตุน้ันพระองคจ ึงตรสั ไววา เพอื่ ความบริสทุ ธ์ิแหง สตั วท ั้งหลาย. บทวา โสกปรเิ ทวน สมตกิ ฺกมาย (เพ่ือระงับโสกปรเิ ทวะท้งั หลาย) ความวา เพอ่ื ระงบั อธิบายวา เพ่อื ละความโศกเศรา และการครา่ํ ครวญท้งั หลาย. เพราะวา มรรคน้ี บคุ คลอบรมแลว เปนไปเพือ่ ระงับความโศกเศรา (ของคนท้ังหลายได) เหมือนสันตติมหาอาํ มาตยเปนตนและระงบั การครา่ํ ครวญ (ของคนทงั้ หลาย) ได เหมอื นปฏาจาราเถรี

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 646เปน ตน . เพราะเหตุนั้น พระผมู ีพระภาคเจาจงึ ตรัสไวว า โสกปรเิ ทวานสมติกกฺ มาย เพ่อื กาวลว งโสกะและปริเทวะท้งั หลาย. ความจริง สนั ตติมหาอํามาตย ถึงจะไดสดับพระคาถาบทน้วี า ส่ิงใดจะมีขางหนา เธอจงละมนั เสีย เธออยา ไดมี ความกงั วลอะไรในภายหลงั ถาเธอจกั ไมยึดอะไร ในทา มกลาง เธอจกั เปน ผสู งบ เท่ียวไป ดังน้ี.แลวไดบ รรลุอรหัตพรอ มดว ยปฏิสัมภิทาทัง้ หลาย. พระปฏาจาราเถรี ไดสดับพระคาถาบทนี้วา บุตรไมมเี พอ่ื การตา นทาน แมบิดาและพวกพองก็ ไมม ีเพือ่ การตา นทาน เมอื่ หมสู ัตวถ ูกมัจจคุ รอบงาํ ยอ มไมม กี ารตา นทานในหมญู าติท้งั หลาย.แลวไดด าํ รงอยใู นโสดาปต ติผล ก็จริงแล. แตว า เพราะข้ึนช่อื วา ภาวนา แลว จะไมเกย่ี วกบั ธรรมะขอ ไหนในกาย, เวทนา, จิต,ธรรม เปนไมม ี เพราะฉะนนั้ แมทัง้ ๒ ทา นนั้น ก็ตอ งทราบไวดวยวากา วลวงโสกปริเทวะไปได เพราะทางสายนีเ้ หมอื นกัน. บทวา ทกุ ฺขโทมนสฺสาน อตฺถงคฺ มาย (เพื่อระงับทุกขโ ทมนัสทัง้ หลาย) หมายความวา เพอ่ื ระงับ อธบิ ายวา เพ่ือดบั ทุกขท ั้ง ๒อยา งนี้ คือ ทุกขทางกาย ๑ โทมนสั ทางใจ ๑. ดวยวา มรรคนี้ คนอบรมแลว จะเปนไปเพือ่ ดบั ทกุ ขข องคนท้ังหลาย เหมือนของพระ

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 647ติสสเถระ เปน ตน และเพ่ือดับโทมนัสของตนทั้งหลาย เหมือนของทาวสักกะ เปนตน . ในเรอ่ื งน้นั มกี ารแสดงเนื้อความดงั ตอ ไปนี้ :- พระเถระทบุ เทา เลา กนั มาวา ในนครสาวัตถี บตุ รชาวกฏุ ม พี ชอ่ื วา ตสิ สะละทิ้งเงนิ ๔๐ โกฏิ ออกบวช แลว อยูในปา ทไี่ มม บี า น. ภรรยานอ งชายคนสุดทองของเขา สง โจร ๕๐๐ คนไปโดยส่ังวา ไปเถอะ พวกเจาจงปลงชวี ติ พระรปู น้นั พวกเขาพากนั ไปน่งั ลอมพระเถระไว. พระเถระพูดวา พากนั มาทาํ ไม อุบาสก ? พวกผมจักปลงชวี ิตทา น โจรบอก. อุบาสก ทานทง้ั หลาย จงยึดเอาตวั อาตมาไวเปน ประกนั แลว ใหชีวติ อาตมาไวคืนวนั น้ีลืมเดยี วเถิด พระเถระขอรอง. ทา นสมณะ ใครจักเปนผคู ้าํ ประกนั ใหท า นใหท นี่ ้ี ? โจรถาม. พระเถระหยิบหนิ กอ นใหญมาทุบกระดูกขาท้งั ๒ ขา งใหหกั แลวบอกวา อบุ าสกเอย ตัวประกัน (คนนี้) สมควร (ไหม ?) พวกเขาพากันหลีกไปกอ ไฟนอนท่ีตนทางเดินจงกรม (ของทาน).เมอ่ื พระเถระขม เวทนาไวแ ลว พจิ ารณาศลี เพราะอาศัยศลี บรสิ ทุ ธิ์ ปต-ิปราโมทยจึงเกิดขึ้น. ลาํ ดบั ตอ จากนั้น ทานกเ็ จรญิ วปิ สสนา บาํ เพญ็สมณธรรมตลอดราตรีท้ัง ๓ ยาม เวลารงุ อรุณ ไดบรรลุพระอรหตัแลวไดเปลง อุทานบทน้ีวา เราทุบเทา ท้ัง ๒ ขาง สญั ญากะทานทง้ั หลายไว

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 648 เราเอือมระอาความตายท้งั ๆ ท่ยี ังมีราคะ ครั้นคดิ อยา งนีแ้ ลว เรากเ็ หน็ แจง ตามความจรงิ เม่อื ถงึ เวลา อรณุ ข้นึ จึงไดบ รรลุพระอรหตั . พระไดบ รรลุพระอรหตั ในปากเสือโครง ภกิ ษุแมเหลา อืน่ อกี ๓๐ รปู เรยี นเอากรรมฐาน ในสํานกั ของพระผูมพี ระภาคเจา แลวจําพรรษาทอ่ี รัญวิหาร พูด (ตกลงกนั ไว)วา คณุ เราท้งั หลายตองบาํ เพ็ญสมณธรรมกันตลอดราตรีท้ัง ๓ ยามและไมค วรไปมาหาสกู ัน ดงั นีแ้ ลว จึงพากนั อยู. เมอื่ ทานเหลา นั้นบําเพ็ญสมณธรรมแลว เวลาเชา ออกไป ( จากวัด ) เสือโครงตัวหนึ่งมาคาบเอาพระไปคราวละ ๑ รปู ไมม ีใครสงเสียงเลยวา เสือโครงตะครบุ ผม.เมือ่ ภิกษถุ กู เสอื คาบไปกินถงึ ๑๕ รูปอยางนี้ ในวันอุโบสถ จึงถามกนั วาพระนอกน้ีไปไหนกนั คุณ ? พอรเู ร่ืองแลว ก็พูด (ตกลงกันใหม) วาตอ ไปนี้ ใครถกู เสอื โครงตะครบุ ควรบอกกนั วา เสือโครงตะครบุ ผมดังน้แี ลว อยูกันตอ ไป. ภายหลัง เสือโครงไดตะครุบภิกษุหนุมรูปหนงึ่แบบคร้งั กอ นน้นั แหละ. เธอไดบอกวา ทานครับ เสอื โครง . ภกิ ษุทง้ั หลายพากันถือไมเ ทา และคบเพลงิ ตดิ ตามไปดวยหมายใจวา จะใหมนัปลอ ย. เสือโครงไดข ึ้นไปท่ชี องเขาขาดที่พระขนึ้ ไปไมได เรมิ่ จะกินพระนั้น ตง้ั แตนิว้ เทา ข้นึ ไป. พระภกิ ษุนอกจากนไ้ี ดพ ากันกลา ววา ทา นผเู ปน สัตบรุ ษุ เอย บัดน้ี พวกผมชวยอะไรคณุ ไมไ ดแ ลว ธรรมดาคณุ -วเิ ศษของภกิ ษทุ ้ังหลายจะปรากฏ (ใหเ ห็น) กใ็ นสถานการณเ ชนนี้

พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 649แหละ. ทา นนอนอยใู กลปากเสือโครง นัน้ แหละ ขมเวทนานั้นไว เจริญวปิ ส สนาในเวลาเสือโครง กินไปจนถึงขอเทา เปนพระโสดา เวลากนิ ถึงเขา เปน พระสกทาคามี เวลากนิ ถงึ ทอ งเปน พระอนาคามี ขณะกินยงัไมถ งึ หัวใจนั่นแหละ. ก็บรรลุพระอรหตั พรอมดวยปฏสิ มั ภทิ า ไดเปลงอทุ านบทนวี้ า :- เรามีศีล สมบูรณดว ยวัตร มสี มาธิ มีปญญา เผลอ ตวั ไปชว่ั ครู ไมไดระมดั ระวังเสอื โครง เสอื โครง ตะครุบเราไวใ นกรงเลบ็ นําเขามาทีภ่ เู ขา จะกนิ เรา แน กาย (ของเรา) ทีไ่ มม จี ติ ใจจะเปน อาหาร (มนั ) เม่อื (เรา) กลบั ไดก รรมฐาน มรณสติ จะเจริญ. พระเถระถูกแทงบรรลุพระอรหัต อีกรูปหนึง่ ช่อื วา ทีปมัลลเถระ เวลาเปนคฤหัสถ ถอื เอาผา ที่กองขยะ ๓ กอง มายังตัมพปณ ณิทวปี เฝา พระราชา แลวไดรบั ราชา-นุเคราะห. วนั หนง่ึ เดินไปทางประตศู าลากิลญั ชกาสนะ ไดฟงนตมุ หา-กวัตรวา ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย รูปไมใ ชของพวกเธอ เธอทัง้ หลายจงละท้ิงมนั ไป รปู นั้นท่เี ธอท้งั หลายละไดแลว จักมีประโยชนเ กือ้ กลู และความสุขตลอดกาลนาน แลวคดิ วา นยั วา รูปไมใ ชของตนเลย เวทนากไ็ มใชของตน. เขาทาํ นตุมหากวตั รนั้นใหเ ปนเหมือนขอชาง ออกไปยงัมหาวิหาร ขอบรรพชา บรรพชาอปุ สมบท เลา ทอ งมาตกิ าทัง้ ๒ ไดคลองแคลว แลว พาภกิ ษุ ๓๐ รูปไปยงั เนิน ชอ่ื วา ครวาลยิ ะ บาํ เพ็ญ

พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 650สมณธรรม. เมื่อเทาบวมก็เดินจงกรมดวยเขา . ในคนื วันนน้ั พรานเน้ือคนหนึง่ เขา ใจวา ทานเปน เนอื้ จึงแทงทาน. หอกทะลเุ ขาไป ทา นใหเขาเอาหอกออก แลวเอามว นหญาอดุ ปากแผลไวใ หเตม็ พยงุ ตนนงั่เหนือลานหนิ ถอื โอกาสเจริญวปิ สสนา บรรลพุ ระอรหัตพรอมดว ยปฏิสมั ภิทา. พยากรณแ กภ กิ ษุผูมาเพราะเสยี งไอ (ของทาน) แลว ไดเปลงอุทานนีว้ า :- พระพทุ ธเจาผูป ระเสริฐท่สี ดุ (ผมู ปี กตติ รัสธรรมอนั เลิศแกสรรพสตั ว) ตรสั ไววา ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย รูปน้ีไมใชข องพวกเธอ เธอทง้ั หลายจงละท้งิ มนั ไป สงั ขารทัง้ หลายไมเท่ียงหนอ มคี วามเกดิ ขึน้ และ เส่อื มไปเปน ธรรมดา คร้นั เกิดขน้ึ แลว กด็ ับไป ความระงับแหงสังขารเหลา นั้น เปน สุข. ครง้ั น้ัน ภิกษุท้ังหลาย ไดพ ูดกะทา นวา ทา นผเู จริญ ถา พระสัมมาสัมพุทธเจา ไมท รงประชวรแลว ไซร พระองคจ ะตองทรงเหยยี ดพระหัตถ ( ขามสมุทร) มาลบู ศีรษะทานเปน แน. ดว ยเหตเุ พยี งเทา นี้ ทางสายน้ี ยอมเปน ไปเพ่อื ความดับทกุ ขของสัตวท ัง้ หลาย เหมอื นของพระตสิ สเถระ เปน ตน . ทาวสกั กะจตุ แิ ลว อุบตั ทิ ันที กท็ าวสักกะจอมเทพ ครนั้ ทรงเหน็ บุพพนิมติ ๕ อยางของพระองคแ ลว ทรงถูกมรณภยั คกุ คาม เกิดเสียพระทยั จงึ เขาไปเฝา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook