พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 501เบียดเบยี นกัน ในเพราะเรอื่ งทเ่ี ปนเหตุใหคนอน่ื เขาเบยี ดเบียนกันอยางน้ีเทา นั้น คอื เราทงั้ หลายจักอยูกัน โดยไมใ หเกิดควานเบียดเบียนกันขึน้ . บทวา อติ ิ สลฺเลโข กรณโี ย (เพราะเหตอุ ยา งนี้ การขัดเกลากเิ ลสเปนสิง่ ทค่ี วรทาํ ) ความวา เธอทง้ั หลายควรทําสลั เลขธรรมอยางน้.ีและการไมเ บียดเบยี นกนั นั่นเอง พึงทราบวา เปนสัลเลขธรรมในทีน่ .้ีเพราะวาการไมเบียดเบียนกัน จะขัดเกลาคือตัดการเบยี ดเบยี นกันได เพราะฉะน้นั พระองคจึงตรัสวา สัลเลขะ. ในทุกขอ กม็ นี ยั น.้ี แตมคี วามแปลกกนั อยางนี้ (คอื ) ทฏิ ฐใิ นคาํ วา ปเร มิจฉฺ าทิฏ ี (คนอ่นื จักเปน ผูมคี วามเหน็ ผิด) นีพ้ ึงทราบวา พระองคตรสั ทฏิ ฐไิ ว โดยทรงรวมมิจฉาทิฏฐิขอสุดทายของกรรมบถ (อกุศลกรรมบถ ๑๐) กับมจิ ฉาทฏิ ฐขิ อ ตน ของมิจฉตั ตะ (ความเปน ผดิ ) เขาดวยกัน. อนึ่ง สัมมาทฏิ ฐใิ นฐานะทต่ี รสั ไวว าเราทั้งหลาย จกั เปน ผมู คี วามเห็นถูกในเพราะเรอ่ื งนี้ กบั กรรมบถ ในคาํ วาเราทั้งหลายจกั เปน ผงู ดเวน จากปาณาตบิ าตในเพราะเรอื่ งนี้ เปนตน นี้จกั มีชดั แจง ในสมั มาทฏิ ฐิสตู รโดยพิสดาร สวนมิจฉาทิฏฐิในมิจฉตั ตะเปนตนจกั แจงชัดใน เทฺวธาวติ กั กสตู ร (ขางหนา). กรรมบถ - มจิ ฉตั ตะ แตเนอ้ื ความ (ทจ่ี ะกลา วตอ ไป ) น้ี เปนความสังเขปใน กรรมบถและมจิ ฉตั ตะนี.้ ชนเหลา ใดยงั สตั วท ี่มชี วี ติ ใหตกลวงไป เพราะเหตนุ นั้ ชนเหลาน้นัชือ่ วา ปาณาติปาตี อธิบายวา เปนผูฆา สัตวมชี ีวติ .
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 502 ชนเหลาใด ถือเอาสิ่งของทีเ่ ขาไมไ ดใ ห เพราะเหตนุ ้นั ชนเหลานน้ัชอ่ื วา อทนิ นาทายี อธิบายวา ผูลักของผอู ่ืน. ชนเหลาใดประพฤตธิ รรมไมประเสรฐิ ( ไมเหมือนพรหม) คอืธรรมตา่ํ ไดแกธ รรมเลว เพราะเหตนุ ้นั ชนเหลานน้ั ชื่อวา อพรหมจารีอธิบายวา เปน ผเู สพเมถนุ ธรรม. สว นชนเหลาใดประพฤตธิ รรมประเสริฐ คือปฏิปทาประเสริฐสุดเพราะวาเหตนุ นั้ ชนเหลา นนั้ ชือ่ วา พรหมจารี อธบิ ายวา เปน ผเู วนเมถนุ ธรรม. และพรหมจรรยพ งึ ทราบวา๑ เปนสลั เลขธรรมใหค ําวาเราทัง้ หลายจักเปน ผปู ระพฤติพรหมจรรย ในเพราะเหตนุ ี.้ เพราะวาพรหมจรรย ( การประพฤตธิ รรมทป่ี ระเสรฐิ ) ยอ มขจัดขัดเกลาอพรหม-จรรย (การประพฤตธิ รรมทไ่ี มประเสริฐ) ได. ชนเหลา ใดพูดเทจ็ เพราะเหตนุ ัน้ ชนเหลา นน้ั ชอื่ วา มสุ าวาทีอธิบายวา ผูพ ดู วาจาเปลา คือ เหลาะแหละ ทห่ี กั รานประโยชนข องผอู ่ืน. เหลาชนผูช ือ่ วา มปี สุณวาจา เพราะมวี าจาสอเสยี ด. เหลา ชนผชู ือ่ วา มีผรสุ วาจา เพราะมีวาจาหยาบคาย เราะรานสิง่ท่รี ักของผอู ่นื . ชนเหลาใดพดู พลาม คือไรประโยชน เพราะเหตนุ ั้น ชนเหลา นั้นช่ือวา สมั ผัปปลาป (ผพู ูดเพอเจอ ) ชนเหลา ใดยอ มเพงเล็ง เพราะเหตนุ ั้น ชนเหลานน้ั ช่อื วามีอภชิ ฌาเปน ปกติ อธิบายวา เปนผมู ักไดส่งิ ของ ๆ ผอู ื่น.๑. ปาฐะวา เวทิตพโฺ พ เขา ใจวา คงจะเปน เวทิตพพฺ ฉบับพมา เปน เวทติ พฺพ .
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 503 เหลาชนผูช่ือวา มีจติ พยาบาท เพราะมจี ิตพยาบาท คือเปนจิตเสยี . เหลา ชนผชู ือ่ วา มคี วามเห็นผดิ เพราะความเหน็ พลาด คอื ลามกไดแกทผ่ี ูร ตู ําหนิ อธบิ ายวา ผูประกอบดวย (นัตถกิ ทิฏฐ)ิ มีอาทิวาทานทใ่ี หแ ลว ไมมผี ล อันนับเนือ่ งใน (อกุศล) กรรมบถ และทิฏฐิท่ีไมนาํ สัตวออกจากวฏั ฏะ อันนับเนอ่ื งในมิจฉตั ตะ (ความเปน ผดิ ). แตเ หลา ชนผชู ื่อวา มคี วามเหน็ ถกู เพราะมีความเหน็ ชอบ คอื งามไดแกที่ผรู ูสรรเสริญ อธบิ ายวา ประกอบดว ยความเห็นวา สัตวม กี รรมเปนของตน มีอาทวิ า ทานทใี่ หแลวมีผล ทีน่ ับเนอ่ื งใน (กศุ ล) กรรมบถและความเหน็ ในมรรคทนี่ บั เนื่องดวยสมั มัตตะ (ความเปน ถกู ). บทวา มิจฉาสงั กปั ปา ไดแกความดาํ รใิ นอกศุ ลทไี่ มเปน ไปตามความจริง และไมเปน เครือ่ งนําสัตวออกจากวฏั ฏะ. แมในมจิ ฉาวาจาเปน ตนก็มนี ัยนี้. แตมีความแปลกกนั ดังตอ ไปน้ี :- ความจริง ธรรมดามจิ ฉาสตกิ ็เหมอื นกับมิจฉาสงั กัปปะเปน ตน ไมเปนธรรมอยา งหนึง่ โดยเฉพาะ คือไมมีธรรมอะไรๆ. แตคําวา มจิ ฉาสตนิ ี้เปนชอื่ ของขนั ธที่เปนอกศุ ลทงั้ ๔ ขนั ธ ทเ่ี ปนไปแลว สําหรับผคู ดิ ถึงอดตี . แมค าํ ใดทพี่ ระผูมีพระภาคเจาตรัสไวว า ดกู อ นภกิ ษุทั้งหลาย เราตถาคตกลาววา อนุสสตินนั้ มีอยู ไมใชไ มม ี ซ่งึ ไดแกอนสุ สตขิ องผูต ามระลึกถึงการไดบุตร ตามระลกึ ถึงการไดลาภ หรือตามระลึกถึงการไดย ศนะภิกษทุ ้ังหลาย. แมคาํ นนั้ พงึ ทราบวา พระองคตรัสหมายเอาการเกิดขน้ึ ดว ยสติเทยี ม ของผคู ิดถงึ เรื่องน้นั ๆ. กโ็ มหะทเ่ี กดิ ขน้ึ ดวยอํานาจการคดิ ถงึ อบุ าย ในการทาํ บาปทั้งหลายและโดยอาการแหง การทาํ ชัว่ และพจิ ารณาวา เราทาํ ดแี ลว พึงทราบวา
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 504เปนมจิ ฉาญาณในคําวา มิจฺฉาาณี ผมู คี วามรูผิด นี้. บุคคลท้งั หลายผูป ระกอบดว ยมิจฉาญาณะน้นั ชือ่ วา มิจฉฺ าาณี.สวนปจจเวกขณญาณ แยกประเภทเปน ๗๙ อยาง พระองคต รัสเรียกวาสมั มาญาณะ ในคาํ วา สมฺมาาณี (ผูม ีความรูชอบ) น.้ี บุคคลทงั้ หลายผปู ระกอบดว ยสัมมาญาณน้ัน ชื่อวา สัมมาญาณี. คําวา มจิ ฉฺ าวมิ ุตฺติ ผมู คี วามหลุดพน ผิด คอื ผูย ังไมหลุดพน เลยแตม คี วามสาํ คัญอยา งน้วี า เราทง้ั หลายหลดุ พน แลว หรอื มีความสําคัญวาความไมหลุดพน เปนความหลดุ พน. ในมิจฉาวมิ ุตนิ ั้นมีอรรถพจนด ังตอไปน้ี :- เหลาชนผูช่อื วา มจิ ฉฺ าวมิ ุตฺตี (ผูมคี วามหลุดพนผิด) เพราะมีความหลดุ พนผดิ คือช่วั ชา ไดแ กว ิปรติ . อนงึ่ คําวา มจิ ฉฺ าวมิ ุตตฺ ี น้ีเปน ชือ่ ของขันธท เ่ี ปนอกศุ ล ซ่ึงเปนไปโดยอาการดงั ทกี่ ลาวมาแลว . สว นธรรมที่เหลือท่ีสมั ปยตุ ดว ยผลยกเวน องคท ง้ั ๘ มีสมั มาทฏิ ฐเิ ปน ตน พึงทราบวา วิมตุ ิ. และวิมตุ ิน้ัน พึงทราบวาเปนสลั เลขธรรม เพราะขจัดขัดเกลามจิ ฉาวิมตุ แิ ลวสถิตอยไู ด. พระผูมพี ระภาคเจาเมอื่ จะทรงใหภ ิกษทุ ง้ั หลายประกอบในสัมมา-วมิ ตุ ินั้น จึงตรสั คํามีอาทิไวว า เราท้งั หลายจักเปน ผมู ีสัมมาวิมตุ ใิ นเพราะเรือ่ งนี้ เธอท้งั หลายควรบาํ เพ็ญสัลเลขธรรมอยางน้ี อกศุ ลท้ัง ๓ ตอจากนีไ้ ป พระองคต รสั ไวดว ยอาํ นาจแหง นิวรณ. แตเพราะพระผมู พี ระภาคเจา ตรัสไวแลว ในกรรมบถทั้งหลายอยางน้ีวา ผมู กั เพง เลง็ ผมู จี ติพยาบาท จงึ ควรทราบไววา พระองคตรัสนิวรณ ๒ ขอแรกไวใ นคาํนีแ้ ลว . ในจาํ นวนนิวรณทัง้ ๓ น้ัน เหลา ชนผูถกู ถ่ินมทิ ธะกลุม รมุ แลว
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 505คือครอบงาํ แลว ฉะน้นั จึงช่ือวา ถนี มิทฺธปรยิ ฏุ ิตา (ผถู ูกความงว งเหงาหาวนอนรบกวนแลว ). เหลาชนผชู ่ือวา อุทธฺ ตา (มคี วามฟงุ ซา น) เพราะประกอบดว ยความฟงุ ซาน. เหลาชนผชู ่อื วามี วิจิกจิ ฉฺ า เพราะคิดลังเลสงสัยอยู คือไมสามารถทําความตกลงใจได. อกุศลท้ัง ๑๐ มีความโกรธเปนตน พระองคตรสั ไวดว ยอาํ นาจแหงอุปกเิ ลส. ในจาํ นวนอุปกิเลสทั้งหลายมีความโกรธเปน ตน เหลา น้ัน คาํ ท่ีควรจะกลา ว ( อธบิ าย) ทง้ั หมด ขาพเจาไดกลา วไวแลวในธรรม-ทายาทสตู ร และวัตถสุ ตู ร. แตในสตู รน้ี มีอรรถพจนด ังตอ ไปน้ี :- คาํ วา โกธนา (มกั โกรธ) คือมีความเดือดดาลเปนปกติ. คําวา อุปนาหี (มักผกู โกรธ) คอื มีความผูกโกรธเปนปกติอีกอยางหนง่ึ ช่ือวา อปุ นาหี เพราะคนเหลาน้ันมีความผกู โกรธ. มกขฺ ี(ผูมักลบหล)ู ปลาสี (ผมุ ักตเี สมอ) ก็เชน นนั้ เหมือนกัน. เหลา ชนผูช่ือวา อสิ ฺกกุ ี เพราะมักรษิ ยา. เหลาชนผชู อ่ื วา มจเฺ ฉรีเพราะมักตระหน่ี อกี อยา งหน่งึ เพราะชนเหลาน้นั มีความตระหน่ี. ชนเหลา ใดประพฤตโิ ออวด ชนเหลา นน้ั ชือ่ วา สา (ผโู ออวด)มีคําอธิบายไวว า ไมพ ดู โดยชอบ (ธรรม) คาํ วา สา นี้ เปนชื่อของเหลาชนผปู ระกอบดวยเหตทุ ที่ าํ ใหตํ่าชา .
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 506 มายาของชนเหลา นั้นมอี ยู ฉะนั้น ชนเหลา น้นั จึงช่อื วา มายาวี(มเี ลหเหลี่ยม). เหลา ชนผูช่ือวา ถทธฺ า (มคี วามกระดาง) เพราะประกอบดวยความหวั ดอ้ื . เหลา ชนผูชื่อวามีมานะยงิ่ เพราะประกอบดว ยการดูหมน่ิทาน. สวนธรรมะทีเ่ ปนฝายสุกกธรรม พึงทราบโดยนัยแหงธรรมท่ตี รงกนั ขามกบั ทไี่ ดกลา วไวแ ลว. คาํ วา เปน ผูวา ยาก ความวา เปน ผูยากที่จะวากลา วได คอื ถกูวาอะไรเขา แลว ทนไมไ ด. เหลา ชนผตู รงกันขา มกบั คนวา ยากนั้น ช่อื วาเปนคนวา งาย. เหลาชนท่ีช่ือวา มมี ิตรชัว่ เพราะมีมิตรเลว เชน พระเทวทตั เปนตน. เหลา ชนทช่ี อื่ วา มกี ลั ยาณมิตร เพราะมคี นดี คือพระพทุ ธเจาหรอืสาวกท้งั หลายเชนกบั พระสารีบุตรเปน ตน เปน มติ ร. เหลาชนผตู รงกนั ขา มกับผไู มประมาทแลว ดว ยอํานาจการปลอยจิตในกายทุจริตเปนตน พึงทราบวา เปน ผปู ระมาทแลว . ทงั้ ๓ อยางน้พี ระองคตรัสไวโดยเปนขอเปด เตลด็ สวน ๗ อยา งมีเปนผไู มม ีศรทั ธาเปนตน พระองคตรัสไวโ ดยเปน อสัทธรรม. ในจาํ นวน๗ อยา งน้นั เหลาชนทชี่ ือ่ วา ไมมศี รทั ธา เพราะไมม ีความเชอ่ื ในวัตถุทัง้ ๓ (พระรตั นตรยั ). ในธรรมทเ่ี ปน ฝายสุกกธรรม พงึ ทราบอธบิ ายดงั นี้ ชนเหลาใดเชื่ออยู ฉะนน้ั ชนเหลานัน้ ชอ่ื วา เปน ผเู ชื่อ หรอื ช่ือวามศี รทั ธา เพราะมคี วามเช่อื เหลา ชนผชู ่ือวา อหริ กิ ะ เพราะไมม ีความละอายแกใ จ.
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 507 คาํ วา อหริ กิ ะนเ้ี ปน ชอื่ ของผไู มข ยะแขยงตอ การปฏบิ ตั อิ กุศลธรรม. เหลาชนผูชอ่ื วา มคี วามละอายแกใ จ เพราะมคี วามละอายในใจหรือมใี จประกอบดวยความละอาย. ชนเหลาใดไมส ะดงุ (ตอบาป ) อยู ฉะน้นั ชนเหลา น้นั จึงชื่อวาไมมโี อตตปั ปะ มีคาํ อธิบายไววา ไมกลวั ตอการประพฤตอิ กศุ ลธรรม.แตผูท่ีตรงกันขา มกบั เขา ชือ่ วาเปนผมู โี อตตปั ปะ (เกรงกลัวบาป). เหลา ชนผชู ่อื วา ดอยการศึกษา เพราะมีการศึกษานอ ย แตค วามนี้ ไมค วรถอื วา ไดแกค วามนดิ หนอย. ตองถือวา ไมม เี ลย. เพราะวา ผูไมม กี ารศึกษา (สตุ ะ ). คอื ไรก ารศึกษา พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสเรยี กวา ผดู อ ยการศกึ ษา (สตุ ะ). แตเหลาชนผูช่อื วา เปนพหสู ตู เพราะมกี ารศกึ ษา (สตุ ะ) มาก.คาํ วา พหุสสุตา น้ี เปน ชือ่ ของเหลาชนผรู ูพ ระพุทธภาษิต คือกถา แมเรือ่ งเดยี วโดยถองแทแ ลวปฏบิ ัตพิ อเหมาะสมแกขอปฏบิ ตั .ิ เหลาชนผชู ่ือวา เกยี จครา น เพราะจมลง (สูภ าวะทนี่ า เกลียด)คาํ น้เี ปนชื่อของผเู ส่ือมความเพียรแลว. เหลา ชนผูช ื่อวา ปรารภความเพยี รแลว เพราะมคี วามเพียรท่ีปรารภแลว คาํ นีเ้ ปนชอ่ื ของเหลา ชนผปู ระกอบดวยความเพยี รชอบ. เหลาชนผูช่ือวา มีสติหลงลมื แลว เพราะมีสตฟิ น เฟอนแลว มคี าํอธิบายไววา มสี ติเสือ่ มแลว. เหลา ชนผชู อ่ื วา ผตู ัง้ สติไดแลว แลว มสี ติทีต่ นตั้งไวใกลชิดแลว .คาํ วา อุปฏ ิตสสฺ ตี น้ี เปน ช่อื ของผูปฏบิ ตั ิท้ังหลาย ที่มสี ติเผชิญหนา กับอารมณอยูเปน นจิ .
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 508 เหลาชนผูชอ่ื วา มีปญ ญาทราม เพราะมปี ญญาช่ัวราย มคี ําอธบิ ายไวว า มปี ญญาเสือ่ มแลว. เหลาชนผูช ่ือวา มปี ญญาสมบรู ณ เพราะถงึพรอ มดว ยปญญา. แตปญญาในทีน่ ้ีพงึ ทราบวา ไดแ กวปิ สสนาปญญา. เพราะวาองคประกอบวิปส สนา มมี าครบถวนในทนี่ ้ี เพราะฉะนั้น โบราณจงึ มีบังคับไววา ปญญาน้ีคือวิปส สนาปญญาเทานน้ั . ตอ ไปนีเ้ มื่อจะทรงแสดงทิฏฐิไมนําสตั วออกจากวฏั ฏะอยา งเดยี วเทานน้ั ท่ที าํ อันตรายตอ คุณธรรมทเี่ ปน โลกุตตระ ดวยอาการ ๓ อยา ง จึงตรสั คาํ มอี าทไิ ววา สนฺทฏิ -ิปรามาสี ผูลบู คลําทิฏิฐิของตน. ในวา สนทฺ ฏิ ฐ ิปรามาสี เปนตน นน้ั พงึ ทราบอธิบายดงั นวี้ า :- เหลา ชนผูชื่อวา สนทฺ ิฏิปรามาสี เพราะยึดทิฏฐขิ องตน. เหลา ชนผูชื่อวา อาธานคาหี เพราะยดึ ไวม่นั ความยดึ มัน่ ทานเรยี กวา อาธานะ อธิบายวา ผถู อื ม่ัน. เหลาชนผูชอ่ื วา เปน ผูส ลดั ทงิ้ เพราะเหน็ เหตุท่ถี ูกตอ งแลว ก็สลดั ( ลัทธิเกา) ทิ้ง. แตเหลาชนผชู ่อื วา ทุปฺปฏินิสสฺ คคฺ ี เพราะ(สลัดได) โดยยาก คอื โดยลําบาก ไดแกฝ ด อธบิ ายวา เห็นเหตตุ ง้ัมากมาย กไ็ มอ าจสละได. คาํ วา ทปุ ฺปฏินิสสฺ คคฺ ี น้ีเปนชอ่ื ของเหลาชนผูยดึ มนั่ ทิฏฐิทีเ่ กดิ ขึ้นแกตนวา ส่งิ น้เี ทา นั้นจรงิ ถงึ แมพ ระพุทธเจา เปนตนจะทรงชี้แจงแสดงเหตใุ หฟงก็ไมสลดั ทิง้ . อธบิ ายวา บคุ คลประเภทนนั้ฟง เรื่องใด ๆ มาจะเปน เรอื่ งธรรมะหรอื ไมใ ชธ รรมะก็ตาม ประมวลเร่ืองทงั้ หมดนนั้ ไวภ ายใน (สมอง) นั้นเอง วา อาจารยข องเราทัง้ หลายกลาวไวอยา งน้ี เราท้ังหลายไดส ดบั มาอยางน.ี้ เหมอื นเตา เก็บอวัยวะท้ังหลาย
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 509ไวภายในกระดองของตน คอื ยดึ (ทิฏฐนิ ั้นไว) ไมปลอย เหมอื นการฮบุ ไวของจระเข. สว นธรรมฝายขาว พึงทราบโดยบรรยายตรงกันขา มกบั ทกี่ ลาวมาแลว . [๑๐๕] พระผูมีพระภาคเจาครั้นทรงแสดงสัลเลขธรรมโดยอาการ ๔๔ ประการอยา งน้ีแลว เพอ่ื จะทรงแสดงวา แมก ารเกิดขน้ึแหง จิตในสลั เลขธรรมนัน้ กเ็ ปนธรรมมีอุปการะมาก จึงไดตรัสคํามอี าทิไววา แมก ารเกิดขึน้ แหง จติ เราตถาคต . . . คําวา จติ ตฺ ปุ ปฺ าทมปฺ โข อห เปนตนนน้ั มเี นื้อความวา ดูกอ นจุนทะ แมการเกดิ ข้นึ แหง จติ ในกุศลธรรมทั้งหลาย เราตถาคตก็กลา ววามอี ปุ การะมาก จะกลา วไปไยในเรือ่ งการจดั แจงทาํ ดว ยกาย และดว ยวาจาคอื ทําธรรมเหลานัน้ และบงั คบั ดวยวาจาวา ทานทัง้ หลายจงพากนัทํา หรอื การเรยี นการสอบถามเปนตน เหมอื นกับจิตดวงแรกท่เี กิดขนึ้เพราะวา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงไววา การจัดแจงทําน้ัน มีอปุ การะมากโดยสว นเดียวนน่ั เอง. ถามวา ก็เหตุไฉนแมการเกิดขน้ึ แหงจติ ในกุศลธรรมเหลาน้ัน จงึ มีอปุ การะมาก ? แกวา เพราะนําประโยชนเก้ือกลู และความสุขมาใหโ ดยสวนเดยี วดวย เพราะเปน เหตแุ หงการจดั ทําตามลําดับดวย. จรงิ อยู การเกิดข้นึ แหงจติ วา เราจักถวายทาน โดยลําพงั ตัวมันก็เปน เหตนุ ําประโยชนเ ก้อื กลู และความสขุ มาใหโ ดยสว นเดยี วอยูแลว ท้งัเปนเหตใุ หจัดทาํ ตามลาํ ดบั ดวย. ก็เพราะเกิดความคิดขนึ้ อยา งน้ี (ในวันแรก) นน่ั เอง ในวันท่ี ๒ จึงปดถนนใหญ สรางปะรําใหญ แลว
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 510ถวายทานแกภ กิ ษุ ๑๐๐ รูป หรือ ๑,๐๐๐ รูป ไดบอกเพ่อื นใกลเคียงวาจงนิมนต จงบชู า จงเล้ยี งพระภกิ ษสุ งฆก ันเถิด ดงั นี้ การเกิดขน้ึ แหงจติวา เราจักถวายจวี ร เสนาสนะ และเภสัชแกพระสงฆอ ยางนี้ โดยลาํ พังตัวมันกเ็ ปน เหตนุ ําประโยชนเ กือ้ กลู และความสขุ มาใหไดโ ดยสวนเดยี วอยูแลวทง้ั เปนเหตใุ หจ ัดทําตามลําดบั ดว ยประการดังน.ี้ จรงิ อยู เพราะมีจิตเกดิอยางนีน้ ั่นเอง คนจึงจดั เตรียมจีวรเปน ตนพากนั ถวาย. ในการถงึ สรณะเปนตน ก็มีนัยนน้ั . อธิบายวา คนเกดิ ความคดิ ข้นึ(กอ น) ทีเดียววา เราจกั ถงึ สรณะ ภายหลังจงึ รบั สรณะดว ยกายหรือดว ยวาจา อนึ่ง คนเกิดความคิดข้ึน (กอ น) ทเี ดยี ววา เราจักสมาทานศีลมีองค ๕ มีองค ๘ หรอื มีองค ๑๐ แลวจึงสมาทานดวยกายหรอื ดว ยวาจา. และผบู วชแลวก็เกดิ ความคิดขน้ึ (กอน) เหมอื นกันวาเราจกั ดาํ รงมน่ั อยูในศลี ทัง้ ๕ แลว จงึ ยงั ศลี ท่คี วรใหบ รบิ ูรณดวยกายและวาจาใหบ รบิ รู ณ. ผเู กิดความคิดขึ้น (กอน) วาเราจกั เรียนพระพุทธพจนแ ลว จงึจะเรียนพระพุทธพจนได ๑ นกิ าย ๒ นกิ าย ๓ นกิ าย ๔ นิกาย หรอื๕ นิกาย. ควรนํา ( เรอื่ งจติ ตปุ บาทมาแสดง ) อยา งนี้ ดว ยสามารถแหงการสมาทานธุดงค การเรยี นพระกรรมฐาน การบรกิ รรมกสิณ การเขา ฌาน(การเจรญิ ) วปิ สสนา, มรรค, ผล, ปจเจกโพธิญาณ และสมั มา-สัมโพธิญาณ. เพราะวา การเกดิ ความคดิ ข้ึนวา เราจักเปน พระพุทธเจาโดยลําพงั ตัวมนั ก็เปนเหตุ นําประโยชนเกอื้ กลู และความสขุ มาใหไ ดโ ดยสว นเดียวอยแู ลว น้ันเปนเหตุใหจัดทาํ ตามลําดบั ดวย. อธบิ ายวา เพราะ
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 511เกดิ ความคิดข้ึนอยา งน้ีแหละ สมัยตอมา (พระโพธิสัตว) จงึ บาํ เพญ็ บารมีดว ยกายและวาจา ตลอดเวลา ๔ อสงไขย กําไรแสนกัปแลว (ไดตรสั รู) เสดจ็ ดาํ เนินโปรดสตั วโลกพรอ มทั้งเทวโลก ใหขา มพน(โอฆสงสาร) แมก ารเกดิ ความคดิ ขน้ึ ในกศุ ลธรรมทกุ อยา งกม็ อี ุปการะมาก ดงั ท่ีพรรณนามานี้ แตก ารจัดทาํ ตามลาํ ดับดว ยกายและวาจา พึงทราบวา มอี ุปการะมากย่งิ ทเี ดียว. พระผูม พี ระภาคเจาครั้นทรงแสดงจติ ตปุ บาทเหลา นนั้ จงึ ไดตรัสคาํ มีอาทิไวว า ดูกอ นจนุ ทะ เพราะเหตุนน้ั แล. คาํ น้ันโดยเนอ้ื ความปรากฏชัดแลว . อวหิ งิ สาเหมือนทาน้าํ ท่ีราบรืน่ [๑๐๖] พระผูมพี ระภาคเจา คร้นั ทรงแสดงจติ ตุปบาทในสลั เลข-ธรรม ทพ่ี ระองคทรงแสดงแลว ดว ยอาการ ๔๔ อยา ง วา มีอุปการะมากอยา งนี้แลว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงสัลเลขธรรมน้ันเองวา เปน ทางแหงการบรรลุประโยชนเ กอื้ กูล จงึ ไดตรัสคาํ มีอาทไิ ววา เสยฺยถาป ( แมฉนั ใด ).คําน้ันมอี รรถาธบิ ายวา ดกู อนจนุ ทะ อุปมาเหมอื นวา มีทางทข่ี รขุ ระไปดว ยตอ หนาม และหนิ ตองมที างอน่ื ท่รี าบเรียบ เหมือนพน้ื ท่ี ๆปรบั ไวแ ลว เพ่ือหลกี คือเพือ่ ตองการเวนทางทีข่ รขุ ระนน้ั ฉันใด อนึ่งมีทา นาํ้ ทไ่ี มราบเรียบ มีเหงา ไม มหี ิน และหลมุ เกล่อื นกลนไปดว ยอันตราย มีจระเขและมังกรเปนตน ตอ งมีทาน้ําทรี่ าบเรยี บ ลึกลงไปตามลาํ ดับ เชน กบั ข้นั บันได เพื่อหลีก คอื เพื่อตอ งการเวน ทา น้ําท่ีไมร าบเรยี บนน้ั ซง่ึ คนเดนิ ไปแลว แวะผสมนํ้าหรอื สระ. แลว อาบน้ําหรือข้นึ มาไดโดยสะดวกฉันใด. ดูกอ นจุนทะ อวิหิงสาก็เชนน้ันเหมือนกันนนั้
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 512แหละ เชนกับดว ยทางท่รี าบเรียบ และทา ทรี่ าบรืน่ มีไวเพ่อื หลกี คนมีวหิ งิ สา ผูประกอบดว ยการเบยี ดเบียน ซง่ึ เปนเชน กบั ทาทไี่ มราบรน่ื .ความจรงิ ทางทรี่ าบเรียบ และทาน้าํ ท่ตี กแตง แลว มีไวเ พอื่ เวน ทางทีไ่ มราบเรยี บ และทา นํา้ ทไ่ี มร าบรนื่ ฉนั ใด ผูป ฏิบัตเิ พ่อื ตอ งการเวนวหิ ิงสาและเพื่อปรับปรงุ ( ตน) ดว ยอวหิ งิ สา กฉ็ นั นน้ั เหมอื นกนั จะยอ้ื ยุดเอาคตมิ นษุ ยห รอื คติเทพเจา เสวยสมบตั หิ รือขา มพน โลกไดโดยงา ยดาย.ทุก ๆ บทควรประกอบโดยทาํ นองน้ีเหมอื นกนั . อโธภาวังคมนยี ะอปุ รภิ าวงั คมนียะ [๑๐๗] พระผมู ีพระภาคเจา ครน้ั ทรงแสดงสลั เลขธรรมวา เปนทางแหง การประสบประโยชนเ กอื้ กลู อยางนแี้ ลว บดั น้ี เมื่อจะทรงแสดงภาวะทีส่ ัลเลขธรรมใหถ งึ ความสงู สง จงึ ไดต รสั คาํ มอี าทิไวว า เสยยฺ ถาป(แมฉ นั ใด) ไว. คํานนั้ มอี รรถาธบิ ายวา ดูกอ นจนุ ทะ เหมือนอยา งวาอกุศลธรรมทีใ่ หเ กดิ ปฏิสนธิ หรอื ไมใหเ กิดก็ตาม แมเ ม่ือใหป ฏสิ นธแิ ลวจะใหเ กดิ วบิ ากหรือไมใหเกดิ ก็ตาม ทงั้ หมดนัน้ โดยชาตแิ ลว จะมีชอ่ื อยางนีว้ า อโธภาวังคมนียะ (เปน ธรรมใหถ งึ ความตํ่าทราม) เพราะอกุศล-ธรรมเหลาน้นั ในเวลาใหว บิ ากเปนวบิ ากทไี่ มน าปรารถนาไมน าพอใจฉันใด สวนกุศลธรรมทีใ่ หเ กิดปฏสิ นธิ หรือไมใ หเ กิดก็ตาม แมเม่ือใหป ฏิสนธแิ ลว จะใหเกดิ วิบาก หรือไมใ หเ กดิ ก็ตาม ท้ังหมดน้ันโดยชาติแลว จะมชี ื่ออยา งนี้วา อปุ รภิ าวงั คมนยี ะ (เปน ธรรมใหถึงความสูงสง) เพราะกุศลธรรนเหลา น้นั ในเวลาใหว ิบากเปนวบิ ากทีน่ าปรารถนาพอใจ ฉันใด. ดกู อนจนุ ทะ อวิหิงสากฉ็ ันน้ันเหมอื นกัน มไี วเ พ่ือความ
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 513สูงสง แหง บคุ คลผมู ีวิหิงสา. ในเร่ืองนั้น มีการเปรียบเทียบระหวางอปุ มากบั อปุ ไมย ดังตอ ไปน.้ี อกศุ ลธรรมท้ังหมดนั้นเปนธรรมใหถงึ ความตํา่ทรามฉนั ใด แมว ิหงิ สาอยางเดยี วทเ่ี ปนธรรมใหถงึ ความตํา่ ทราม สาํ หรับผมู ีวหิ ิงสากฉ็ ันนั้น. สวนกุศลธรรมทงั้ หมด เปน ธรรมใหถ ึงความสูงสงฉนั ใด แมอวิหิงสาอยา งเดยี วทีเ่ ปน ธรรมใหถ ึงความสูงสงสําหรับผไู มมีวหิ งิ สากฉ็ ันนน้ั . ควรเปรียบเทียบอกศุ ลกบั อกศุ ล และกศุ ลกับกศุ ล โดยอุบายนนี้ น้ั แหละ. ไดทราบวา ในเรอื่ งนี้ มอี ธิบายดังตอไปน้ี :- เบญจกามคณุ คือปลกั [ ๑๐๘ ] พระผมู ีพระภาคเจา ครนั้ ทรงแสดงสลั เลขธรรมวา เปนธรรมใหถ งึ ความสงู สงอยา งน้ีแลว บดั น้ี เพื่อจะทรงแสดงวา สลั เลข-ธรรมเปนธรรมสามารถในการยงั กเิ ลสของเขาใหดบั รอบ (ใหถึงนิพพาน)จงึ ไดต รัสคาํ มีอาทไิ วว า โส วต จนุ ฺท (ดกู อ นจนุ ทะ นั้นหนอ). บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา โส (นัน้ ) แสดงถงึ บุคคลชนิดท่ีกลาวมาแลว. ควรทราบถึงการนาํ เอาคําอทุ เทศนว้ี า โย ของบทวา โส น้นัมาเชอ่ื น้กี นั ในทุกบทอยางนี้วา ผใู ดตนเองจมอยูในปลกั ผนู ้นั ละหนอจุนทะ จักถอนผูอ นื่ ทจี่ มปลกั ผูจนอยใู นโคลนตมลึก พระผมู พี ระภาคเจาตรสั เรยี กวา ปลปิ ปลปิ นโฺ น (ผูจมปลกั ) แตไ มใ ชเรยี กในอริยวนิ ัยเลย.สว นในอรยิ วนิ ยั พระองคทรงเรยี กเบญจกามคณุ วา ปลิป (ปลกั ).พาลปถุ ชุ น จมลงในเบญจกามคุณนั้น ชอ่ื วา ปลปิ นนะ (ผูจมลงในเบญจกามคณุ ).
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 514 เพราะฉะนน้ั ควรทราบการประกอบเนือ้ ความในคาํ นว้ี า โส วตจุนฺท เปน ตนน้ี (ตอไป) ดกู อ นจนุ ทะ คนลางคน จมลงในโคลนตม(ปลัก) ลกึ จนถงึ ปลายจมูก จักจบั มือหรอื ศรี ษะอกี คนหน่ึงทีจ่ มลงในโคลนตมนนั้ ดว ยกนั แลวฉุดขน้ึ มา ขอ น้ีเปนเหตทุ ่ีเปน ไปไมได อธิบายวาเหตุทเ่ี ขาจะชวยฉดุ บคุ คลน้นั ใหข้นึ ไปยืนอยบู นบกไดฉ ันใด. ผูท่ีจมปลกัคือเบญจกามคณุ ดว ยตนเอง ก็ฉนั นั้นเหมอื นกนั จกั ยกคนอ่ืนทจี่ มปลักณ ที่น้ันเหมอื นกนั ข้นั มา เหตุนั้น ขอ นี้ จงึ เปน เหตุที่เปนไปไมไ ด. ในเรอื่ งนนั้ พึงมีคาํ ทกั ทว งวา พระพทุ ธดํารัสน้ันคงไมถ กู ตอ งเพราะวา ชนทั้งหลาย ไดฟง ธรรมเทศนาของภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก และอุบาสิกาท้ังหลาย ทย่ี งั เปนปถุ ุชนอยูแ ลว ไดบ รรลุธรรม มอี ยูทเี ดียวเพราะฉะน้ัน ผูจมปลกั จึงช่ือวา ยก (ผูอนื่ ที่จมปลกั ดว ยกัน) ข้ึนได. ควรวิสัชนาวา คาํ นนั้ ไมค วรเห็นอยางน้ัน. ความจรงิ พระผูมี -พระภาคเจา เทาน้ัน ทรงยกขน้ึ ไดใ นเรือ่ งทีว่ านั้น. สว นพระธรรมกถึกทัง้ หลายจะไดร ับกเ็ พยี งคาํ สรรเสริญเทานัน้ เหมอื นกบั ผอู านพระราชหัตถ-เลขาที่พระราชาทรงสงไปฉะนั้น. จริงอยู พระราชหัตถเลขาทีพ่ ระราชาทรงสงไปท่ีชนบทชายแดน คนทน่ี นั้ อานพระราชหัตถเลขาไมออก ก็จะใหค นท่อี านออกอานแลวพากนั ฟง เนือ้ ความพระราชหัตถเลขานนั้ นอมรับโดยเคารพวา เปน พระบรมราชโองการ และเขาเหลาน้นั ไมไ ดมคี วามคิดวา นเี้ ปนคําสัง่ ของผูอาน สวนผูอานพระราชหัตถเลขาก็จะไดร บั เพยี งคาํ สรรเสรญิ เทา นน้ั วา อานดวยถอ ยคําฉาดฉาน ไมตะกกุ ตะกกั ฉนั ใด.พระธรรมกถกึ ทงั้ หลาย เรม่ิ ตนแตพ ระสารบี ุตร แสดงธรรมไดก็จริง ถงึ กระนัน้ ทานเหลานน้ั กฉ็ ันนัน้ เหมอื นกัน คือเปนเหมือนกับ
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 515ผอู านพระราชหัตถเลขา สวนพระธรรมเทศนานั้นกเ็ ปน พระธรรมเทศนาของพระผูมีพระภาคเจาน้ันเอง เหมือนกบั พระบรมราชโองการ. อนึง่ชนเหลา ใดฟงธรรมเทศนาแลว ไดบ รรลธุ รรม พระผมู ีพระภาคเจาน้นัเองพงึ ทราบวา ทรงยกคนเหลานั้นขึ้น (ใหพ นปลัก). สว นพระธรรม-กถึกจะไดก ็เพยี งคําสรรเสริญเทา นน้ั วา แสดงธรรมดวยถอยคาํ ฉาดฉานไมต ะกุกตะกัก เพราะฉะนัน้ พระพทุ ธดํารสั น้ี จึงถกู ตองโดยแท. สว นธรรมะที่เปน ฝายขาว พงึ ทราบโดยบรรยายที่ตรงกนั ขามกับทก่ี ลาวมาแลว. อนึง่ พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในคาํ นีว้ า อทนฺโต (ผูไมไดร ับฝก )อวินีโต (ผไู มไดร บั แนะนํา) อปรินพิ ฺพโุ ต (ผูดบั กิเลสยังไมไ ด) วาผูชือ่ วาไมไดรบั การฝก เพราะเปนผยู งั ไมหมดพยศ. ผชู ือ่ วาไมไ ดรับแนะนาํ เพราะยงั ไมไ ดศึกษาวนิ ยั ผชู อ่ื วาดับกเิ ลสยังไมได เพราะยงั มีกิเลสท่ยี งั ดบั ไมได คนชนดิ น้นั ๆ จักฝกผูอ่นื คือจักทําใหเขาหมดพยศจักแนะนําเขา คอื จกั ใหเขาศกึ ษาไตรสิกขา หรือจกั ใหผูอืน่ ดับกิเลส คอืจักใหก เิ ลสทงั้ หลายของเขาดบั ไป ขอที่วา มานี้เปน เหตทุ ่ีเปนไปไมได แตธรรมะทเี่ ปน ฝา ยขาว พงึ ทราบโดยบรรยายทต่ี รงกันขามกับท่กี ลา วมาแลว . สว นอรรถาธบิ ายในคาํ นวี้ า ดกู อ นจุนทะ อวิหงิ สามีไวเ พือ่ ความดับกเิ ลสของบุรษุ บุคคลผูม วี หิ งิ สากฉ็ ันน้ันเหมอื นกนั พึงทราบอยางน.้ี เหมือนอยา งวา ผูไ มจ มปลัก จักยกผูอ่ืนท่ีไมจมปลกั ข้นึ ได ผฝู กแลวจกั ฝก ผอู ่ืนได ผูไดร ับแนะนําแลว จักแนะนําผอู นื่ ได ผดู บั กิเลสไดแลว จักดับกิเลสของผอู นื่ ได ขอทีว่ า มาน้ี จึงเปนเหตุท่เี ปน ไปได. ถามวา กเ็ หตนุ น้ั คืออะไร ? ตอบวา คือการไมจมปลกั การฝก ฝนแลว การไดรับคําแนะนํา
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 516แลว และการดบั กเิ ลสไดแ ลว ฉันใด ดูกอนจนุ ทะ อวิหงิ สามไี วเ พ่อื ดบักิเลสของบุรษุ บุคคลผมู ีวิหงิ สา ฉนั นน้ั เหมอื นกัน. มคี าํ อธิบายไวอยางไร ? (มไี ววา ) อวิหิงสาของผูไ มเ บยี ดเบียนดว ยตน มไี วเ พือ่ ดบั การเบยี ดเบียนผอู น่ื ของผูท ่ีมีวิหิงสา เพราะวาผไู มเบยี ดเบยี นดวยตนเองจกั ดบั เจตนาเครอ่ื งเบียดเบียนของผูอื่นได เพราะฉะนั้น ขอนั้น จงึ เปนเหตุทเ่ี ปนไปได. ถามวา เหตนุ น้ั คอื อะไร ? แกว า เหตนุ ั้น คือความเปนผูไมเ บยี ดเบียนนั่นเอง. ดวยวาผทู บี่ รรลคุ วามไมเบยี ดเบียนดว ยตนเอง จงึ จะสามารถชักชวนคนอน่ื ใหเปนอยางนั้นได. อีกอยางหน่งึ ผูไมจ มปลัก ฝกฝนแลว ไดร บั แนะนาํ แลว ดบั กเิ ลสไดแลว ดว ยตนเอง จกั ยกผูอ่ืนท่จี มปลกั ข้ึนได จกั ฝกตนท่ยี ังไมไ ดฝ กจกั แนะนาํ คนทยี่ ังไมไ ดรับแนะนํา และจกั ยกผดู ับกเิ ลสยังไมไ ดใหด ับกิเลสได ฉะนน้ั ขอ นี้ จงึ เปน เหตุทเี่ ปน ไปได ฉนั ใด อวหิ ิงสาท่เี กดิ ข้ึนแกผูเจริญมรรค เพ่ือละวิหงิ สาก็ฉันนัน้ เหมือนกัน มไี วเ พื่อดับ (วหิ งิ สา)ของบรุ ษุ บคุ คลผูมีวิหงิ สา อธบิ ายวา อวหิ งิ สาเจตนา (เจตนาท่ีไมเบยี ดเบียน ) จะสามารถดบั วิหิงสาเจตนา ( เจตนาคดิ เบียดเบียน) ไดเหมือนกบั ผดู ับกิเลสไดแลว สามารถย่ิงผูดับกเิ ลสไมไ ดใหด บั ไดฉนั นน้ัพระผมู พี ระภาคเจา เพ่ือจะทรงแสดงเนือ้ ความดงั ทพ่ี รรณนามาอยางน้ีแลว จงึ ไดต รสั คํามอี าทไิ วว า เอวเมว โข จนุ ฺท (ฉนั นั้นเหมอื นกันแลจุนทะ) ฉะน้ัน ผศู ึกษาพึงเห็นอรรถาธิบายในเรอื่ งนี้ดังท่ีพรรณนามา
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 517น้เี ถิด. แตการประกอบเนอ้ื ความ ตามลําดับบทในทกุ ๆ บท ไมไดท าํไวเ หมอื นในบทวิหงิ สาและอวิหิงสานี้ เพราะเกรงวาจะเยิ่นเยอ เกนิ ไป. บรรยายแหงสลั เลขธรรม [๑๐๙] พระผมู พี ระภาคเจา ครนั้ ทรงแสดงสลั เลขธรรมน้ันวาสามารถในการดบั กเิ ลสไดส นิทอยางน้แี ลว บดั น้ี เพือ่ จะทรงยํ้าพระธรรม-เทศนานน้ั ประกอบ (ผูฟง ) ในการปฏบิ ตั ธิ รรม จึงไดตรัสคํามีอาทิไวว าอติ ิ โข จนุ ทฺ (ดูกอนจนุ ทะ เพราะเหตดุ งั นแี้ ล). บรรดาบทเหลา น้นั บทวา สลเฺ ลขปรยิ าโย (บรรยายแหงสลั เลขธรรม) ไดแ กเหตุแหงสัลเลขธรรม. ในทุกบทก็มนี ยั น้.ี กุศลธรรมทง้ั หลายมอี วิหิงสาเปนตน นัน้ แหละ ในสัลเลขสตู รนี้ พงึ ทราบวา ชอื่ วาเหตแุ หง สลั เลขธรรม เพราะขจดั ขัดเกลาอกศุ ลธรรมมีวหิ ิงสา๑เปน ตนช่ือวา เปน เหตุแหง จติ ตปุ บาท เพราะจติ ทบี่ ุคคลพึงใหเกดิ ขน้ึ ดว ยอํานาจแหงอวิหิงสาเปน ตน เหลาน้นั ชือ่ วา เปน เหตแุ หง การหลีกไป เพราะเปนเหตแุ หงการหลีกไปจากวิหงิ สาเปนตน ชือ่ วา เปนเหตแุ หงความเปนผสู งู สง เพราะยงั ความสงู สงใหส ําเร็จ ชอื่ วา เปนเหตแุ หงการยงั กิเลสใหด ับได เพราะยงั วหิ งิ สาเปนตน ใหดบั ได. บทวา หเิ ตสินา ความวา ผทู รงแสวงหาประโยชนเก้ือกลู . บทวา อนุกมฺปเกน (ผทู รงเอน็ ดู) คอื ผูทรงมพี ระทยั เอน็ ด.ู บทวา อนุกมปฺ อุปาทาย (ทรงอาศัยความเอน็ ด)ู คือทรงกําหนดความเอน็ ดูดว ยพระทัย มคี ําอธิบายวา ทรงอาศัย (ความเอ็นด)ู๑. ปาฐะวา อวหิ สึ าทีน เขา ใจวา จะเปน วิหึสาทนี จึงไดแปลตามทีเ่ ขา ใจ และฉบับพมาเปน....เอว วหิ ึสาทนี .
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 518ดงั น้ีบาง. ขอ วา กต โว ต มยา (กิจน้ันเราตถาคตไดทําแลวแกเ ธอท้งั หลาย ) ความวา กิจ๑นนั้ เราตถาคตผูแ สดงเหตุ ๕ ประการเหลาน้ี ไดท าํ แลวแกเธอท้งั หลาย. อธิบายวา กิจมปี ระมาณเทาน้ี เทาน้ันเอง เปนหนาทขี่ องศาสดาผทู รงเอน็ ดู ไดแกการทรงแสดงธรรมทไ่ี มผดิ พลาด ( พระองคไ ดท รงทาํ แลว ) สวนตอแตน้ไี ป ธรรมดาวาการปฏิบัตเิ ปน หนา ที่ของสาวกท้ังหลาย. เพราะฉะนน้ั พระผูมีพระภาคเจาจงึ ไดต รัสไวว า ดูกอ นจนุ ทะ นน่ั โคนตนไมท ั้งหลาย ฯลฯ เปนอนศุ าสนีของเราตถาคต. กใ็ นจาํ นวนสถานที่ ๓ แหงนั้น ดวยบทวารุกขมูล น้ี พระองคท รงแสดงถึงทน่ี ่ัง ท่นี อน คือควงตน ไม ดว ยคาํ วา สญุ ญาคาร (เรอื นราง ) นี้ ทรงแสดงถงึ สถานที่ ๆ สงดั จากคนอกี อยางหนึง่ ดว ยคําทัง้ ๒ น้ี ทรงบอกเสนาสนะทเี่ หมาะสมกบั ความเพยี รคอื ทรงมอบความเปนทายาทให. คําวา เธอท้ังหลายจงเพง หมายความวาจงเขาไปเพงอารมณ ๓๘ ประการ ดว ยอารมั มณูปนชิ ฌาน (การเพงอารมณ ) และเพงขนั ธและอายตนะเปนตน โดยความไมเ ทีย่ งเปน ตน ดว ยลกั ขณปู นิชฌาน ( การเพงลักษณะ) มีคําอธิบายวา เจรญิ สมถะและวปิ ส สนา. ขอ วา มา ปมาทตฺถ ( เธอทงั้ หลายอยา ไดประมาท ) ความวาเธอทง้ั หลายอยาไดป ระมาท คอื อยาไดเ ดือดรอ นในภายหลงั . อธบิ ายวาชนเหลาใด เม่ือกอ น คอื ในเวลายังหนมุ ในเวลาไมมีโรค ในเวลาประสบความสบาย ๗ อยางเปน ตน และในเวลาทย่ี ังมีพระศาสดาอยพู รอมหนา๑. ปาฐะวา กต มยา อเิ ม ปฺจ ปรยิ าเย ทสฺสนเฺ ตน ตุมฺหาก กต เอตฺตกเมว ห ฯลฯกิจฺจ เขาใจวา เปนดังนี้ ต มยา อเิ ม ปฺจ ปรยิ าเย ทสสฺ นฺเตน ตมุ ฺหาก กต ฯ เอตตฺ กเมวหิ ฯลฯ จงึ ไดแปลตามทเ่ี ขาใจ และถูกตามหลักความจริง.
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 519เวน จากโยนโิ สมนสกิ าร เสวยความสุขจากการนอนและความสขุ จากการหลบั เปนเหย่อื ของเรือด ประมาทอยู ท้ังคืนทง้ั วนั ชนเหลา นนั้ ภายหลงัคอื ในเวลาชรา เวลามีโรค เวลาจะตาย เวลาวบิ ัติ และเวลาท่พี ระศาสดาปรินพิ พานแลวระลกึ ถงึ การอยูอยางประมาทในกาลกอ นนั้น และพจิ ารณาเห็นการปฏสิ นธิ และการถึงแกกรรมของตนวาเปน ภาระ ( เรอื่ งท่จี ะตองนําพา ) จงึ เปนผมู ีความเดือดรอน สวนเธอทงั้ หลายอยาไดเ ปนเหมือนคนประเภทนน้ั เพราะเหตนุ น้ั พระผูมพี ระภาคเจา เม่ือจะทรงแสดงเนอื้ ความนั้นดังวามาน้ี จึงไดตรสั วา เธอทั้งหลายอยา ไดเดือดรอ นภายหลัง. บทวา อย โว อมฺหาก อนุสาสนี (นเ้ี ปนอนศุ าสนี ( การพรา่ํ สอน) ของเราตถาคต สาํ หรบั เธอทงั้ หลาย ) ความวา น้เี ปนอนุศาสนี มคี ําอธบิ ายวา เปนโอวาทเพื่อเธอทง้ั หลาย จากสาํ นักของเราตถาคตวา จงเพง ( เผากิเลส ) จงอยา ประมาท ดังน้ีแล. จบอรรถกถาสัลเลขสตู ร จบสตู รที่ ๘
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 520 ๙. สัมมาทิฏฐสิ ูตร ( ๑๑๐ ) ขาพเจา (พระอานนท) ไดฟ ง มาแลว อยา งนี้ ครง้ั หนง่ึ พระผูม พี ระภาคเจา เสด็จประทบั ทพ่ี ระเชตวัน อารามของทา นอนาถปณฑิกะ กรุงสาวตั ถ.ี ครานน้ั แล ทานพระสารบี ตุ ร เรียกภกิ ษุทง้ั หลายมาวา คณุ .ภกิ ษุเหลาน้นั รบั สนองคาํ ของทานพระสารีบตุ รแลว. ทานพระสารบี ตุ รไดกลาวคําน้ีวา คุณ ทีเ่ รียกวา สมั มาทฏิ ฐิสัมมาทิฏฐิ ดงั น.้ี ดว ยเหตุกีป่ ระการนะ คุณ พระอริยสาวกจึงจะเปนผูมีความเหน็ ถกู ตอ ง มคี วามเห็นทรง ประกอบดว ยความเลอ่ื มใสในธรรมไมคลอนแคลน ไดมาสูพระสัทธรรมนแ้ี ลว. ภิกษุทัง้ หลายไดกราบเรียนวา ใตเทาครับ กระผมท้ังหลายมาจากทไ่ี กลมากก็เพ่ือจะฟงอรรถาธบิ ายภาษิตน้ี ในสาํ นักของใตเทา ขอไดโ ปรดกรุณาเถิดขอรับ ใตเทา เทา น้นั แหละ เขา ใจแจมแจงเนอื้ ความแหงภาษิตนี้ภิกษทุ ง้ั หลายพึงอรรถาธิบายของใตเ ทาแลว จกั พากันทรงจําไว. ทานพระสารบี ุตรกลา วเตือนวา ถา เชน นนั้ ขอใหคณุ ทง้ั หลายจงพากนั ตงั้ ใจฟง ผมจกั กลา วใหฟง . ภกิ ษุเหลา น้ัน ตอบรบั คาํ เตือนของทา นพระสารีบตุ รเถระวา พรอ มแลว ใตเทา. ( ๑๑๑ ) ทานพระสารบี ตุ รไดก ลาวคาํ นี้วา คุณ ดว ยเหตุทอ่ี ริย-สาวกรชู ัดอกุศลกบั ทง้ั รากเหงา ของอกศุ ล และรูชดั กุศลกบั ทงั้ รากเหงาของกุศล เพยี งเทานีแ้ หละคุณ อริยสาวกชอ่ื วามคี วามเหน็ ถกู ตอง มีความ
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 521เห็นตรง ประกอบดว ยความเลอ่ื มใสในธรรมไมค ลอนแคลน บรรลพุ ระลัทธรรมนี้ ไดมาสูพระสทั ธรรมนี้แลว. อกุศลและรากเหงา อกศุ ล อกศุ ลคอื อะไรเลา คณุ ? อกศุ ล คือ ปาณาตบิ าต (การฆาสัตว) ๑อทนิ นาทาน (การลักของเขา) ๑ กาเมสุมิจฉาจาร ( การประพฤติผิดในกาม) ๑ มุสาวาท (พดู เทจ็ ) ๑ ปสณุ าวาจา (พูดสอ เสยี ด) ๑ผรุสวาจา (พูดคําหยาบ ) ๑ สัมผปั ปลาปา (พูดเพอเจอ) ๑อภิชฌา (ความเพงเลง็ ) ๑ พยาบาท ( ความปองรายเขา) ๑ มจิ ฉาทิฏฐิ(ความเห็นผิดเปน ถูก) ๑ นลี้ ะคุณ อกุศล. อกุศลมูลเปนอยา งไรเลา คณุ ? อกศุ ลมลู คอื โลภะ โทสะ โมหะนลี่ ะคณุ เรียกวา รากเหงา อกุศล. กุศลและรากเหงากุศล กุศลคืออะไรเลา คุณ ? กศุ ล คอื เจตนาเปน เครอ่ื งงดเวนจากปาณาติบาต ๑ จากอทินนาทาน ๑ จากกาเมสมุ จิ ฉาจาร ๑ จากมสุ าวาท ๑จากปสุณาวาจา ๑ จากผรุสวาจา ๑ จากสมั ผปั ปลาป ๑ อนภิชฌา(ความไมเพงเล็ง) ๑ อัพยาบาท (ความไมป องรายเขา) ๑ สมั มาทฏิ ฐิ( ความเห็นถูกตอง) ๑ นีล้ ะคุณ เรยี กวา กศุ ล. รากเหงา กศุ ลเปนอยางไรเลา คุณ ? รากเหงากุศล คอื อโลภะอโทสะ อโมหะ นี้ละคุณ เรยี กวา รากเหงากศุ ล. คุณ เมือ่ ใดแล อริยสาวกรอู กศุ ลกับท้งั รากเหงาของอกศุ ล และ
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 522รกู ุศลกบั ทัง้ รากเหงาของกศุ ลอยางน้แี ลว เม่ือนัน้ เธอจะละกิเลสท่นี อนเนื่องอยใู นสันดาน คือ ราคะ ( ราคานสุ ยั ) บรรเทากิเลสทีน่ อนเน่ืองในสนั ดาน คือ ปฏิฆะ (ปฏฆิ านสุ ัย) ถอนกิเลสทีน่ อนเน่ืองในสันดานคอื ทฏิ ฐแิ ละมานะวา เรามีอยไู ด (มานานสุ ยั ) ละอวิชชาไดทุกอยา งยงั วิชชาใหเกดิ ขน้ึ แลว เปนผกู ระทําท่ีสุดแหง ทกุ ขไดในปจจบุ ันทเี ดียวดวยเหตุเพียงเทา น้ีแล คุณ อรยิ สาวกช่อื วา มคี วามเหน็ ถูกตอ ง มคี วามเหน็ ตรง ประกอบดวยความเลอ่ื มใสในธรรมไมคลอนแคลน ไดม าสพู ระสทั ธรรมนีแ้ ลว ดงั น.้ี ( ๑๑๒ ) ภิกษเุ หลานัน้ ไดพ ากนั ชมเชยอนโุ มทนาภาษติ ของทา นพระสารบี ุตรวา ดีแลว ใตเ ทา แลว ไดกราบเรยี นถามปญ หากะทานพระสารีบตุ ร สงู ขึ้นไปอีกวา ใตเทาขอรบั ยงั มเี หตุ ( ปรยิ าย) อยา งอ่นือีกบางไหม ท่ีจะใหอ รยิ สาวกมคี วามเห็นถกู ตอ ง มีความเหน็ ตรง ประ-กอบดว ยความเลอ่ื มใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสูพระสัทธรรมนี้. อาหารวาระ (๑๑๓) ทานพระสารีบตุ รตอบวา ยังมี คุณ แลวไดก ลา วคํานี้วาคุณ เพราะเหตทุ อ่ี รยิ สาวกรชู ัดอาหาร เหตเุ กิดของอาหาร ความดบั ของอาหาร และขอปฏบิ ตั ใิ หถึงความดับของอาหารเพยี งเทานแ้ี ล คุณ อรยิ -สาวกกช็ ่อื วา มีความเห็นถกู ตอ ง มคี วามเห็นตรง ประกอบดว ยความเล่ือมใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสูพ ระสทั ธรรมนี.้ ถามวา อาหารคอื อะไรเลา คณุ ? เหตเุ กิดแหง อาหาร ความดับแหง อาหาร และปฏิปทาใหถงึ ความดบั แหง อาหาร คอื อะไร ?
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 523 ตอบวา คุณ อาหารมี ๔ อยางเหลานน้ั เพ่ือใหสตั วท ง้ั หลายทีเ่ กดิแลว ดํารงชีพอยไู ด หรอื เพือ่ อนุเคราะหสัตวท ัง้ หลายท่กี าํ ลงั แสวงหาทเ่ี กิด. อาหาร ๔ อยาง คืออะไร ? คอื กวฬิงการาหาร (อาหารเปนคาํ ๆ) หยาบหรอื ละเอียด ๑ ผัสสาหาร ( อาหารคือผัสสะ) ๑ มโนสญั -เจตนาหาร (อาหารคือกรรม) ๑ วิญญาณาหาร (อาหารคือวญิ ญาณ) ๑เพราะตัณหาเกิด อาหารจึงเกดิ เพราะตณั หาดับ อาหารจึงดบั อริยมรรคมีองค ๘ นี้เทา น้ัน เปน ขอปฏบิ ตั ใิ หถึงความดบั อาหาร คือ :- (๑) สมั มาทฏิ ฐิ ความเห็นถกู ตอ ง (ชอบ) (๒) สัมมาสงั กปั ปะ ความดาํ ริถกู ตอ ง (ชอบ) (๓) สัมมากัมมันตะ การงานถูกตอง (ชอบ) (๔) สมั มาวาจา การเจรจาถูกตอง (ชอบ ) (๕) สัมมาอาชีวะ การเลย้ี งชีพถกู ตอ ง (ชอบ) (๖) สัมมาวายามะ ความพยายามถูกตอ ง (ชอบ) (๗) สัมมาสติ ความระลกึ ถกู ตอง (ชอบ) (๘) สัมมาสมาธิ ความตัง้ ใจมัน่ ถูกตอง (ชอบ) คุณ เมื่อใดแล อริยสาวกรชู ัดอาหาร, เหตเุ กดิ แหง อาหาร, ความดบั แหงอาหาร และรูช ัดปฏปิ ทาใหถ งึ ความดับแหงอาหารอยา งนี้ เมอ่ื นนั้เธอจะละราคานสุ ยั ได บรรเทาปฏิฆานสุ ยั ได ถอนทิฏฐมิ านะวา เรามีไดละอวิชชาได โดยประการทง้ั ปวง ยงั วชิ ชาใหเ กิดขึน้ แลว เปน ผกู ระทาํทส่ี ดุ แหง ทุกขไดในปจจุบนั ทเี ดยี ว แมดว ยเหตเุ พยี งเทาน้ีแล คุณ อรยิ สาวกชอ่ื วา เปน ผมู คี วามเห็นถูกตอง มีความเหน็ ทรง ประกอบดว ยความเล่ือมใส
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 524ในธรรมไมค ลอนแคลน ไดม าสูพระสัทธรรมนี้แลว ดงั น้ี. (๑๑๔) ภิกษุเหลานั้นพากันชนื่ ชมอนุโมทนาภาษิตของทานพระสารบี ตุ ร วาดแี ลว ใตเ ทา ดงั นแี้ ลว ไดก ราบเรยี นถามปญ หากะทา นพระสารีบตุ รสงู ข้นึ ไปวา ยังมีอยูหรอื ไม ใตเทา ฯลฯ สจั จวาระ (๑๑๕) ทานพระสารบี ุตรตอบวา ยังมี คุณ แลวไดกลาวคําน้ีวา คณุ เพราะเหตุท่อี รยิ สาวกรูช ัดทุกข เหตุใหเ กิดทุกข ความดบัแหงทุกข และรชู ดั ปฏิปทาใหถงึ ความดบั แหงทุกข เพียงเทาน้ีแหละ คุณอริยสาวกชอ่ื วาเปน ผมู คี วามเหน็ ถูกตอ ง มคี วามเห็นตรง ประกอบดวยความเลอื่ มใสในธรรมไมค ลอนแคลน ไดมาสพู ระสัทธรรมนี้แลว ก็อะไรเลา คณุ เปน ทุกข ? ความเกิดบา ง เปนทกุ ข ความแกบา งเปนทกุ ข ความตายบา ง เปนทุกข ความเศรา โศก คร่ําครวญ ความทุกขก าย ความเสยี ใจ ความคับแคน ใจบา ง เปน ทุกข การประจวบกับคนหรือสิง่ ไมเปน ที่รัก ก็เปนทกุ ข การพลัดพลากจากคนหรอื สิ่งที่รัก ก็เปน ทุกข แมปรารถนาสิ่งใด ไมไดส มหวัง การไมไ ดสิง่ นน้ั สมหวัง กเ็ ปนทุกข โดยยอ ขนั ธเปนท่ีตงั้ อุปาทาน ( ความยึดม่นั ) ทั้ง ๕ เปนทุกขนเี้ รยี กวา ทกุ ข ละ คณุ . เหตใุ หเกิดทุกขค ืออะไรเลา คุณ ? คอื ตัณหานใ้ี หเกิดในภพใหมไปดว ยกันกบั ความกําหนดั ดวยอํานาจความเพลิดเพลนิ เพลิดเพลินย่งิ นกัในภพน้ัน ๆ คอื กามตัณหา (ความอยากในอารมณท ่ีนา ใคร) ๑
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 525ภวตัณหา (ความอยากเปนโนน เปนนี่ ) ๑ วิภวตัณหา ( ความอยากไมเปน โนน เปน น่ี) ๑ นีเ้ รยี กวาเหตใุ หเ กดิ ทุกข (ทุกขสมทุ ยั ) ละ คุณ. ความดบั ทุกขค ืออะไรเลา คณุ ? คอื ความดับตัณหาท้งั ๓ นน่ัแหละ. เพราะคลายกําหนดั ไมมีเหลอื ความสลดั ความสละคนื ความปลอ ย ความไมมอี าลัยไยดซี ่ึงตัณหาท้ัง ๓ นนั้ นีเ้ รียกวา ความดับทกุ ข(ทุกขนิโรธ) ละ คุณ. ขอ ปฏิบตั ใิ หถงึ ความดบั ทกุ ขค อื อะไรเลา คุณ ? คอื อรยิ าษฎาง-คกิ มรรคน้แี หละ คือ สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นเี้ รียกวา ขอปฏบิ ตั ใิ หถงึ ความดับทกุ ข (ทกุ ขนโิ รธคามินปี ฏิปทา. ) ละ คุณ. คณุ เมอ่ื ใดอริยสาวกรูชัดทกุ ข เหตุใหเกดิ ทกุ ข ความดบั แหง ทกุ ขและรชู ดั ปฏปิ ทาใหถงึ ความดับทุกขอ ยางนี้ เมอ่ื น้ันเธอจะละราคานสุ ยับรรเทาปฏิฆานุสยั ถอนทฏิ ฐแิ ละมานะวา เรามอี ยูออกได ละอวชิ ชาไดโดยประการท้ังปวง ยงั วิชชาใหเกดิ แลว เปน ผูทําท่สี ดุ แหง ทกุ ข ในปจจบุ ันทีเดยี ว ดว ยเหตุเพียงเทา น้แี ล คุณ อริยสาวกชอ่ื วา มีความเห็นถกู ตอ ง มคี วามเห็นตรง ประกอบดว ยความเล่อื มใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสพู ระสัทธรรมน้ี ดงั น้ี. (๑๑๖) ภิกษุเหลาน้นั พากนั ช่นื ชมอนโุ มทนาภาษติ ของทา นพระสารีบุตรวา ดแี ลว ใตเทาครบั ดังนแี้ ลว ไดกราบเรยี นถามปญหาสงู ขนึ้ ไปกะทานสารบี ุตรวา ใตเ ทาครบั ยังมีอกี หรอื ไม ? เหตุ (ปริยาย)แมอ ยา งอ่นื ท่จี ะใหอริยสาวกมคี วามเห็นถูกตอง มคี วามเหน็ ตรง ประกอบดว ยความเลอื่ มใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสูพ ระสทั ธรรมนี.้
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 526 ชรามรณวาระ ( ๑๑๗ ) ทานพระสารบี ตุ ร ไดตอบวา ยงั มี คณุ แลว ไดกลา วคํานี้ วา คณุ เพราะเหตุทอ่ี รยิ สาวกรูชดั ชราและมรณะ เหตุเกดิ แหงชราและมรณะ ความดับแหง ชราและมรณะ และรชู ัดขอ ปฏบิ ตั ิทจี่ ะใหถ ึงความดบั แหงชราและมรณะ แมเ พียงเทา นน้ั แหละคุณ อริยสาวกชื่อวามคี วามเหน็ ถูกตอ ง มีความเห็นตรง ประกอบดว ยความเล่ือมใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสพู ระสทั ธรรมน้ี. ถามวา ชราและมรณะคืออะไรเลา คุณ ? เหตเุ กิดแหงชราและมรณะ ความดับแหงชราและมรณะ และขอ ปฏบิ ตั ใิ หถ ึงความดบั แหง ชราและมรณะคืออะไร ? ตอบวา ความแกแหงสัตวเหลา นัน้ ๆ ในหมูส ัตวน ้นั ๆ ความครา่ํ ครา ฟน หกั ผมหงอก หนงั เหยี่ วยน ความเสอื่ มสิ้นแหง อายุ ความหงอ มแหง อินทรียทัง้ หลายของสตั วเหลานน้ั ๆ ในหมูส ตั วน้นั ๆ นเี้ รียกวา ชรา ( ความแก ). การเคล่ือนท่ี การยายท่ี จากหมสู ตั วน ้นั ๆ ของสตั วเหลานนั้ ๆการแตกทําลาย การสญู หาย การมวยมรณ๑ การถึงแกก รรม การแตกแหง ขนั ธทง้ั หลาย การทอดท้งิ ซากศพ การขาดแหง ชีวติ อินทรีย จากหมสู ตั วน น้ั ๆ ของสัตวเหลา นั้น ๆ นเี้ รยี กวา มรณะ (ความตาย). เพราะชาตเิ กิด ชราและมรณะจึงเกิด เพราะชาติดบั ชราและมรณะจงึ ดบั .๑. มจจฺ ุ มรณ มติของอรรถกถาเห็นวาเปน ศพั ทติดกนั จงึ แปลโดยไมแ ยกกนั .
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 527 อริยาษฏางคกิ มรรคน้เี ทา น้ัน เปนขอ ปฏิบัตใิ หถึงความดบั แหง ชราและมรณะ คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ. คณุ เม่อื ใดแล อริยสาวกรชู ัดชราและมรณะ เหตุเกิดแหง ชราและมรณะ ความดบั แหง ชราและมรณะ และรูชดั ขอ ปฏิบตั ิใหถ งึ ความดับแหงชราและมรณะอยางน้ี เมอ่ื น้ัน เธอจะละราคานุสยั ฯลฯ แมด วยเหตุเพยี งเทาน้ีแล คุณ อรยิ สาวกชือ่ วา เปน ผูมคี วามเห็นถูกตอง มีความเหน็ ตรง ประกอบดวยความเล่ือมใสในธรรมไมค ลอนแคลน (ไดมาสูพระสัทธรรม) นี้แลว . ชาตวิ าระ (๑๑๘) ภิกษุเหลานน้ั ไดกราบเรียนถามวา ใตเ ทาขอรบั เหตุ(ปริยาย) อยางอ่นื ยังคงมีอยูหรือ ? ฯลฯ ทา นพระสารีบตุ รตอบวายงั มี คุณ แลวไดกลาววา เพระเหตทุ ่อี รยิ สาวกรูช ดั ชาติ เหตใุ หเกดิชาติ ความดบั แหงชาติ และรูช ัดขอปฏบิ ัติใหถ ึงความดบั แหงชาตเิ พยี งเทานแ้ี หละ คณุ อริยสาวกชอื่ วาเปนผูม ีความเหน็ ถกู ตอง มีความเห็นตรง ประกอบดวยความเล่ือมใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสูพระสัทธรรมนี.้ ถามวา ชาติ คืออะไรเลา คณุ ? เหตเุ กดิ แหงชาติ ขอ ปฏิบตั ิใหถ งึ ความดบั แหง ชาติ คอื อะไรเลา ? ตอบวา ความเกิดในหมสู ัตวน ั้น ๆ แหงสตั วเ หลา น้นั ๆ ความกอ เกิด ความกาวลง (สูครรภ) ความบังเกดิ ขน้ึ ความถือกําเนิด
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 528ความปรากฏแหง ขนั ธทัง้ หลาย การกลบั ไดอายตนะทง้ั หลาย ในหมสู ตั วนั้น ๆ แหงสตั วเหลานัน้ ๆ น้คี ุณ เรียกวา ชาต.ิ เพราะภพเกิด ชาตจิ ึงเกดิ เพราะภพดบั ชาตจิ ึงดับ อรยิ าษฎาง-คิกมรรคน้ีเทานัน้ เปนขอ ปฏิบตั ใิ หถ งึ ความดับแหงชาติ คอื สมั มา-ทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธ.ิ คุณ เม่ือใดแล อรยิ สาวกรชู ดั อยางน้ี เหตุเกดิ แหงชาติ ความดบั แหง ชาติ รูชดั ขอปฏบิ ตั ิใหถงึ ความดับแหงชาติอยางนี้เมื่อน้ันเธอจะละราคานะสัยไดโ ดยประการท้งั ปวง ฯลฯ ดวยเหตุเพียงเทา นแ้ี ล คุณ อรยิ สาวกชือ่ วา เปนผมู คี วามเหน็ ถกู ตอง มีความเหน็ ตรง ประกอบดว ยความเลอื่ มใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสูพระสทั ธรรมน.ี้ ภววาระ (๑๑๙) ภกิ ษเุ หลาน้ันไดกราบเรียนถามวา ใตเ ทาขอรับ เหตุ(ปริยาย) อยา งอน่ื ยงั คงมีอยูห รอื ? ฯลฯ ทา นพระสารบี ตุ รตอบวายงั คงมี คณุ แลวไดกลา ววา ดว ยเหตทุ อ่ี ริยสาวกรชู ดั ภพ เหตุใหเกิดภพความดบั แหง ภพ รชู ัดขอ ปฏิบัตใิ หถงึ ความดบั แหงภพ เพียงเทาน้แี ล คุณอรยิ สาวกช่อื วา เปน ผมู ีความเหน็ ถกู ตอง มีความเห็นตรง ประกอบดว ยความเลือ่ มใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสูพระสทั ธรรมน.ี้ ถามวา ภพคืออะไรเลา คณุ ? เหตุเกิดแหงภพ ความดับแหงภพขอ ปฏิบตั ิใหถึงความดับแหงภพ คอื อะไรเลา คณุ ? ตอบวา คุณ ภพมี ๓ ดังน้ี คือ กามภพ ๑ รูปภพ ๑ อรูปภพ ๑.
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 529เพราะอปุ าทานเกดิ ภพจึงเกดิ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ อรยิ าษ-ฎางคิกมรรคน้เี ทา น้ัน เปนขอ ปฏิบตั ใิ หถึงความดับแหง ภพ คือ สมั มา-ทฏิ ฐิ ฯ ล ฯ สมั มาสมาธิ. คุณ เมอื่ ใดแล อรยิ สาวกรชู ดั ซงึ่ ภพอยางน้ีรชู ดั เหตุเกดิ แหงภพ ความดับแหงภพ ขอ ปฏิบตั ใิ หถึงความดับแหงภพอยางน้ี เม่ือนน้ั เธอจะละราคานุสัยไดโ ดยประการทงั้ ปวง ฯลฯ ดว ยเหตุเพยี งเทานี้แล คุณ อริยสาวกชื่อวา เปน ผมู ีความเห็นถกู ตอ ง มีความเห็นตรง ประกอบดวยความเล่อื มใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสูพระสัทธรรมน้.ี อปุ าทานวาระ (๑๒๐) ภิกษุเหลาน้นั ไดกราบเรียนถามวา ใตเทา ขอรับ เหตุอยางอ่นื ยงั คงมอี ยหู รอื ? ฯลฯ ทานพระสารบี ตุ รตอบวา ยังมีอยู คณุดว ยเหตทุ ี่อริยสาวกรชู ดั ซ่งึ อปุ าทาน เหตเุ กิดแหง อุปาทาน ความดับแหงอุปาทาน รชู ัดขอปฏิบัตใิ หถงึ ความดบั แหง อุปาทาน แมเ พียงเทานีแ้ ล คุณอริยสาวกชือ่ วาเปนผมู ีความเห็นถูกตอง มคี วามเห็นตรง ประกอบดวยความเลอ่ื มใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสูพ ระสัทธรรมน้ี. ถามวา กอ็ ุปาทานคืออะไรเลา คณุ ? เหตุเกดิ แหงอปุ าทาน ความดบัแหง อุปาทาน ขอปฏิบตั ใิ หถ งึ ความดับแหง อุปาทาน คอื อะไร ? ตอบวา คณุ อุปาทานมี ๔ อยาง ดงั ตอไปนี้ คือ กามปุ าทานความยดึ ม่ันดว ยอาํ นาจกาม ๑ ทิฏุปาทาน ความยึดม่นั ดว ยอาํ นาจทิฏฐิ ๑สลี ัพพตปุ าทาน ความยดึ ม่ันดวยอาํ นาจศีลและพรต ๑ อตั ตวาทุปาทาน
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 530ความยดึ มัน่ ดวยอาํ นาจวาทะวา ตน ๑. เพราะตณั หาเกิด อุปาทานจึงเกดิเพราะตัณหาดบั อปุ าทานจึงดบั อริยาษฎางคิกมรรคนเี้ ทานนั้ เปนขอปฏิบตั ใิ หถึงความดบั แหงอุปทาน คือ สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิคุณ เม่ือใดแลอรยิ สาวกรชู ัดอปุ าทาน เหตุเกิดแหงอุปาทาน ความดับแหงอุปาทาน และรชู ดั ขอปฏบิ ตั ิใหถงึ ความดับแหงอุปาทาน เมือ่ น้ันเธอจะละราคานสุ ัยได โดยประการทง้ั ปวง ฯ ลฯ แมด วยเหตุเพียงเทานี้แล คณุ อริยสาวกช่อื วา เปนผูมีความเหน็ ถกู ตอง มคี วามเหน็ ตรง ประกอบดว ยความเลอ่ื มใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสูพระสทั ธรรมน.ี้ ตัณหาวาระ (๑๒๑) ภกิ ษุเหลา นั้นไดกราบเรียนถามวา ใตเทา ขอรบั เหตุ(ปรยิ าย) อยา งอนื่ ยังคงมอี ยูหรือ ? ฯล ฯ ทา นพระสารีบุตรตอบวายงั คงมอี ยู คณุ แลว ไดก ลาวไวว า คุณ ดว ยเหตุทีอ่ ริยสาวกรชู ัดตัณหาเหตุเกิดตณั หา ความดับตัณหา และรูชัดขอปฏบิ ัติใหถึงความดบั ตัณหาเพียงเทานแ้ี ล คุณ อรยิ สาวกช่อื วาเปน ผูมคี วามเหน็ ถูกตอง มคี วามเหน็ตรง ประกอบดวยความเล่อื มใสไมค ลอนแคลน มาสพู ระสัทธรรมน.้ี ถามวา ตณั หาคืออะไรเลา คุณ ? เหตใุ หเ กิดตณั หา, ความดบั ตณั หา,ขอ ปฏิบตั ใิ หถงึ ความดับตัณหา คอื อะไร ? ตอบวา คณุ ตณั หามี ๖ หมอู ยา งน้ีคอื รูปตัณหา ความทะยานอยากในรูป ๑ สัททตัณหา ความทะยานอยากในเสยี ง ๑ คันธตัณหาความทะยานอยากในกล่ิน ๑ รสตัณหา ความทะยานอยากในรส ๑
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 531โผฏฐพั พตัณหา ความทะยานอยากในโผฎฐัพพะ ๑ ธรรมตณั หา ความทะยานอยากในธรรม ๑. เพราะเวทนาเกิด ตณั หาจงึ เกดิ . เพราะเวทนาดบัตณั หาจึงดบั อรยิ าษฎางคกิ มรรคนี้เทา นน้ั เปนขอ ปฏิบัติใหถงึ ความดบัแหง ตณั หา คือ สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ. คณุ ในกาลใดแล อรยิ สาวกรูช ดั ตณั หาอยางนี้ รูชัดเหตุเกิดตัณหาความดับตณั หา ขอปฏิบตั ิใหถ งึ ความดบั แหง ตัณหาอยา งน้ี เมอ่ื น้ันเธอจะละราคานุสัยไดโดยประการทั้งปวง ฯล ฯ แมดวยเหตุเพียงเทาน้แี ล คณุอรยิ สาวกชื่อวาเปน ผูมคี วามเหน็ ถกู ตอ ง มคี วามเห็นตรง ประกอบดวยความเลื่อมใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสูพ ระสัทธรรมนี้. เวทนาวาระ ( ๑๒๒) ภิกษเุ หลาน้นั กราบเรยี นถามวา ใตเ ทาขอรับ เหตุ(ปริยาย ) อยางอื่น ยงั คงมีอยูหรือ ? ฯลฯ ทา นพระสารีบตุ รตอบวายงั คงมีอยู คณุ แลว ไดกลาววา ดว ยเหตุท่ีอรยิ สาวกรูช ัดเวทนา เหตุเกดิ เวทนา ความดับเวทนา และรชู ดั ขอ ปฏบิ ัตใิ หถ งึ ความดับเวทนาเพียงเทา นีแ้ ล คณุ อริยสาวกชอ่ื วาเปน ผูม ีความเห็นถูกตอ ง มคี วามเห็นตรงประกอบดว ยความเล่ือมใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสพู ระสทั ธรรมน.ี้ ถามวา เวทนาคอื อะไรเลา คุณ ? เหตเุ กดิ เวทหา ความดบั เวทนาขอ ปฏบิ ตั ใิ หถึงความดบั เวทนา คอื อะไร ? ตอบวา คณุ เวทนามี ๖ หมู ดังนี้คือ เวทนาเกดิ แตส ัมผัสทางตา ๑ เวทนาเกิดแตส มั ผัสทางหู ๑ เวทนาเกดิ แตสัมผัสทางจมูก ๑
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 532เวทนาเกิดแตส ัมผสั ทางล้ิน ๑ เวทนาเกดิ แตสัมผัสทางกาย ๑ เวทนาเกดิแตสมั ผสั ทางใจ ๑. เพราะผัสสะเกดิ เวทนาจงึ เกิด เพราะผัสสะดบัเวทนาจึงดบั อรยิ าษฎางคิกมรรคน้เี ทา น้นั เปนขอปฏิบตั ิใหถ ึงความดบัแหง เวทนา คือ สัมมาทิฏฐิ ฯล ฯ สมั มาสมาธ.ิ คณุ ในกาลใดแล อริยสาวกรชู ดั เวทนาอยา งน้ี รูช ัดเหตุเกดิ แหงเวทนา ความดบั แหง เวทนา รชู ดั ขอปฏิบัติใหถ ึงความดับแหงเวทนาอยางนี้เมอื่ นน้ั เธอจะละราคานุสัยไดโ ดยประการท้งั ปวง ฯลฯ แมด วยเหตุเพยี งเทานี้แล คณุ อรยิ สาวกช่ือวาเปนผมู ีความเห็นถูกตอง มคี วามเห็นตรงประกอบดวยความเลอ่ื มใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสพู ระสัทธรรมน.้ี ผัสสวาระ (๑๒๓) ภกิ ษุเหลานน้ั ไดก ราบเรียนถามวา ใตเ ทา ขอรบั เหตุ(ปริยาย) อยา งอื่น ยงั คงมีอยูห รือ ? ฯลฯ ทานพระสารบี ุตรตอบวา ยังคงมีอยู คุณ ดว ยเหตทุ อี่ รยิ สาวกรชู ัดซง่ึ ผสั สะ เหตุใหเกดิผสั สะ ความดับแหง ผัสสะ และรูชัดขอ ปฏบิ ัตใิ หถ ึงความดับแหง ผัสสะเพียงเทานี้แล คุณ อรยิ สาวกช่ือวาเปน ผูมคี วามเห็นถูกตอ ง มคี วามเห็นตรงประกอบดวยความเลื่อมใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสูพ ระสทั ธรรมน้ี. ถามวา ผสั สะคืออะไรเลา คุณ ? ผสั สะมี ๖ หมู อยา งนี้คอืจักขสุ มั ผสั ๑ โสตสมั ผสั ๑ ฆานสัมผัส ๑ ชิวหาสัมผสั ๑ กายสัมผสั ๑มโนสัมผสั ๑. เพราะสฬายตนะเกิด ผสั สะจึงเกิด เพราะสพายตนะดับผสั สะจงึ ดับ อริยาษฎางคกิ มรรคนเี้ ปน ขอ ปฏบิ ตั ิใหถ ึงความผัสสะ
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 533คอื สัมมาทฏิ ฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ. คณุ เม่ือใดแล อรยิ สาวกรชู ดั ผสั สะอยางนี้ เหตุเกดิ ผัสสะ ความดบั แหงผัสสะ และรชู ัดขอปฏบิ ัตใิ หถ งึ ความดับแหง ผัสสะอยางนี้ เมือ่ นนั้เธอจะละราคานสุ ยั ไดโ ดยประการท้งั ปวง ฯล ฯ ดวยเหตุเพยี งเทาน้ีแลคณุ อริยสาวกชอ่ื วาเปนผูม คี วามถกู ตอ ง มีความเห็นตรง ประกอบดวยความเลือ่ มใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสูพระสัทธรรมน้.ี สฬายตนวาระ (๑๒๔) ภิกษเุ หลา นัน้ ไดก ราบเรียนถามวา ใตเ ทาขอรบั เหตุ(ปริยาย) อยา งอื่น ยงั คงมอี ยูห รอื ? ฯลฯ ทานพระสารบี ุตรตอบวา ยังคงมอี ยู คุณ แลวไดกลา ววา ดวยเหตุท่อี ริยสาวกรชู ดั อายตนะทง้ั ๖ เหตุเกิดอายตนะทั้ง ๖ ความดับอายตนะทัง้ ๖ และรชู ัดขอ ปฏิบัติใหถงึ ความดับแหงอายตนะทั่ง ๖ เพยี งเทานีแ้ ล คณุ อรยิ สาวกชือ่ วาเปนผมู คี วามเห็นถกู ตอง มคี วามเหน็ ตรง ประกอบดวยควานเล่ือมใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสพู ระสทั ธรรมน้.ี ถามวา อายตนะทง้ั ๖ คอื อะไรเลา คุณ ? เหตุเกดิ แหง อายตนะท้งั ๖ความดับแหง อายตนะทัง้ ๖ ขอปฏิบัติใหถึงความดับไปแหง อายตนะทง้ั ๖คืออะไร ? ตอบวา คณุ อายตนะทงั้ ๖ เหลา น้ี คือ อายตนะคอื ตา อายตนะคือหู อายตนะคือจมกู อายตนะคือล้นิ อายตนะคือกาย อายตนะคอื ใจ.เพราะนามรปู เกดิ สฬายตนะจึงเกดิ เพราะนามรปู ดบั ไป สฬายตนะจงึ ดับ
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 534อริยาษฎางคิกมรรคนี้เทา นั้น เปนขอปฏบิ ตั ใิ หถ ึงความดบั ไปแหงสฬายตนะคอื สมั มาทฏิ ฐิ ๆลฯ สัมมาสมาธิ. คณุ เมอ่ื ใดแล อริยสาวกรชู ัดอายตนะท้งั ๖ อยา งนี้ เหตุเกิดแหงอายตนะทัง้ ๖ ความดับแหง อายตนะทั้ง ๖ รชู ดั ขอฏิบตั ิใหถ ึงความดับแหงอาตนะท้ัง ๖ อยางนี้ เม่อื นนั้ เธอจะละราคานุสยั ไดโดยประการทง้ั ปวง ฯลฯ แมดว ยเหตเุ พยี งเทา นีแ้ ล คณุ อริยสาวกช่อื วา เปนผูม คี วามเห็นถูกตอง มคี วามเหน็ ตรง ประกอบดว ยความเล่อื มใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสูพ ระสทั ธรรมน.้ี นามรูปวาระ (๑๒๕) ภิกษเุ หลานน้ั ไดกราบเรียนถามวา ใตเ ทา ขอรบั เหตุ(ปริยาย) อยางอน่ื ยังคงมอี ยหู รอื ? ฯลฯ ทานพระสารบี ุตรตอบวายงั คงมอี ยู คณุ แลว ไดกลา ววา คุณ ดว ยเหตทุ ีอ่ รยิ สาวกรชู ัดซ่งึ นามรปูเหตเุ กิดแหง นามรปู ความดับแหงนามรูป และรชู ัดซึ่งขอปฏิบัติใหถ งึความดับแหง นามรูป เพียงเทา นแ้ี ล คุณ อรยิ สาวกช่ือวาเปนผมู ีความเหน็ถูกตอง มคี วามเหน็ ตรง ประกอบดวยความเลื่อมใสในธรรมไมคลอนแคลนไดมาสูพระสทั ธรรมนแ้ี ลว. ถามวา นามรปู คืออะไรเลา คุณ ? เหตุเกดิ แหงนามรปู ความดับแหง นามรปู และขอปฏิบตั ิใหถงึ ความดบั ไปแหง นามรูป คอื อะไร ? ตอบวา เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ และมนสกิ าร ทัง้ ๕อยา งน้ีเรยี กวา นาม มหาภูตรูป ๔ และรปู อาศยั มหาภูตรูป ๔ (อปุ าทาย-
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 535รปู ) นเ้ี รยี กวา รูป. รวมทั้งนามทงั้ รูปน้ลี ะคุณ เรียกวานามรูป. เพราะวิญญาณเกดิ นามรปู จึงเกดิ เพราะวญิ ญาณดบั นามรูปจงึ ดบั อรยิ าษ-ฎางคิกมรรคนเ้ี ทานนั้ เปน ขอ ปฏบิ ัตใิ หถ งึ ความดับไปแหงนามรูป คือสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ. คุณ ในกาลใดแล อรยิ สาวกรชู ดั ซ่ึงนามรปู อยา งน้ี เหตเุ กดิ แหงนามรปู ความดบั แหง นามรูป รชู ดั ขอปฏบิ ตั ใิ หถ งึ ความดับไปแหงนามรูปอยางนี้ เมือ่ นน้ั เธอจะละราคานุสัยไดโดยประการท้งั ปวง ฯลฯ แมดว ยเหตเุ พยี งเทานีแ้ ล คุณ อรยิ สาวกชอ่ื วา เปนผมู คี วามเหน็ ถกู ตอ ง มคี วามเห็นตรง ประกอบดว ยความเลื่อมใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสูพระสทั ธรรมน.ี้ วญิ ญาณวาระ (๑๒๖) ภิกษเุ หลา นั้นไดกราบเรยี นถามวา ใตเ ทาขอรับ เหตุ(ปริยาย ) อยา งอนื่ ยงั คงมีอยูหรอื ? ฯล ฯ ทานพระสารบี ตุ รตอบวายังคงมอี ยู คณุ แลว ไดกลาววาคณุ ดวยเหตทุ ่อี ริยสาวกรูช ดั วิญญาณ เหตุเกดิแหง วิญญาณ ความดบั ไปแหง วญิ ญาณ และรูชดั ขอปฏบิ ตั ใิ หถ ึงความดบัไปแหงวญิ ญาณ เพยี งเทา น้แี ล คณุ อริยสาวกช่ือวา เปน ผมู คี วามเห็นถกูตอ ง มีความเห็นตรง ประกอบดว ยความเลื่อมใสไมคลอนแคลน มาสูพระสัทธรรมน.ี้ ถามวา วญิ ญาณคืออะไรเลา คุณ ? เหตเุ กดิ แหงวญิ ญาณ. ความดับแหงวญิ ญาณ ขอปฏิบตั ใิ หถ งึ ความดับไปแหง วญิ ญาณ คอื อะไร ?
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 536 ตอบวา คุณ วญิ ญาณ มี ๖ หมูเ หลานี้ คือ วญิ ญาณทางตา ๑วิญญาณทางหู ๑ วญิ ญาณทางจมกู ๑ วญิ ญาณทางลิน้ ๑ วิญญาณทางกาย ๑ วญิ ญาณทางใจ ๑. เพราะสังขารเกดิ วญิ ญาณจงึ เกิด เพราะสังขารดบั ไป วิญญาณจึงดับ อรยิ าษฎางติกมรรคนี้เทา น้ัน เปนขอปฏบิ ัติใหถ ึงความดับไปแหง วญิ ญาณ คือ สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ คุณ เมอื่ ใดแล อริยสาวกรูชดั ซ่งึ วญิ ญาณอยางนี้ เหตุเกดิ แหงวญิ ญาณ ความดบั ไปแหงวญิ ญาณ รูชัดขอปฏบิ ัติใหถ ึงความดบั แหงวิญญาณอยางน้ี เมอื่ นั้นเธอจะละราคานุสัยไดโ ดยประการทัง้ ปวง ฯลฯแมด วยเหตเุ พียงเทา นี้แล คุณ อรยิ สาวกช่ือวาเปน ผมู ีความเห็นถกู ตอง มีความเหน็ ตรง ประกอบดว ยความเล่ือมใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสูพระสทั ธรรมน้.ี สงั ขารวาระ ( ๑๒๗ ) ภิกษุเหลาน้ันไดก ราบเรยี นถามวา ใตเทาขอรบั เหตุ(ปรยิ าย) อยางอนื่ ยงั คงมีอยหู รือ ? ฯลฯ ทานพระสารบี ตุ รตอบวายังคงมีอยู คุณ แลวไดก ลาววา คุณ ดวยเหตทุ ่ีอรยิ สาวกรูชดั สังขาร รูชัดเหตุเกดิ แหงสงั ขาร และรชู ัดขอปฏบิ ัติใหถ ึงความดบั ไปแหงสังขาร เพียงเทาน้ีแล คณุ อริยสาวกช่อื วาเปนผมู ีความเห็นถูกตอ ง มคี วามเห็นตรงประกอบดว ยความเลื่อมใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสูพระสัทธรรมน.้ี ถามวา สังขารคอื อะไรเลา คุณ ? เหตุเกดิ แหงสงั ขาร ความดบัแหงสงั ขาร ขอ ปฏบิ ัตใิ หถ ึงความดับไปแหงสังขาร คืออะไร ?
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 537 ตอบวา คุณ สงั ขารมี ๓ อยา งเหลานี้ คือ กายสงั ขาร ๑ วจ-ีสงั ขาร ๑ จิตสงั ขาร ๑. เพราะอวิชชาเกิด สังขารจึงเกดิ เพราะอวิชชาดบัสังขารจงึ ดับ อริยาษฎางคกิ มรรคน้ีเทา นัน้ เปน ขอ ปฏบิ ัตใิ หถ งึ ความดบัไปแหง สงั ขาร คอื สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ. เมื่อใดแล คุณ อริยสาวกรูช ดั สังขารอยา งน้ี เหตเุ กิดแหงสงั ขารความดบั แหงสังขาร รชู ดั ขอปฏบิ ตั ิใหถงึ ความดบั ไปแหง สังขารอยางน้ีเมือ่ น้ันเธอจะละราคานสุ ยั ได บรรเทาปฏิฆานุสัย ถอนทฏิ ฐิมานานุสยั วาเรามีออก ละอวิชชาไดโ ดยประการท้ังปวง ยังวิชชาใหเ กดิ ขน้ึ แลว เปนผูทาํ ท่ีสดุ แหงทกุ ขไ ดใ นปจจบุ นั ทีเดียว แมดว ยเหตุเพยี งเทา นี้แล คุณ อรยิ -สาวกชอ่ื วาเปน ผูมีความเห็นถกู ตอ ง มีความเห็นตรง ประกอบดวยความเลอ่ื มใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสพู ระสทั ธรรมน้ี. อวชิ ชาวาระ (๑๒๘) ภกิ ษุเหลา นัน้ ไดกราบเรียนถามวา ใตเทาขอรบั เหตุ(ปริยาย) อยา งอนื่ ยงั คงมอี ยหู รอื ? ฯลฯ ทา นพระสารบี ุตรตอบวายงั คงมอี ยู คณุ แลว ไดกลาววา คุณ ดวยเหตุทอ่ี ริยสาวกรชู ัดอวิชชา เหตุเกิดอวิชชา ความดบั แหง อวิชชา และรูชดั ขอปฏิบัติใหถงึ ความดบั ไปแหง อวชิ ชา เพียงเทานแ้ี ล คณุ อริยสาวกชอ่ื วาเปน ผูมีความเหน็ ถกู ตอ งมคี วามเห็นตรง ประกอบดว ยความเลือ่ มใสในธรรมไมคลอนแคลน มาสพู ระสัทธรรมน้ี. ถามวา อวชิ ชาคืออะไรเลาคุณ ? เหตเุ กิดอวชิ ชา ความดบั ไป
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 538แหง อวชิ ชา ขอ ปฏบิ ตั ิ ใหถึงความดบั ไปแหง อวิชชา คอื อะไร. ตอบวา คณุ ความไมร ใู นทกุ ข ความไมรูในเหตุใหเ กิดทุกข ความไมรูใ นความดบั ไปแหงทกุ ข ความไมรูในขอ ปฏิบัติใหถ ึงความดบั ไปแหงทุกข นีแ้ ลคุณ เรียกวาอวชิ ชา. เพราะอาสวะเกิด อวิชชาจึงเกดิ เพราะอาสวะดับ อวชิ ชาจงึ ดับอริยาษฎางคกิ มรรคนี้เทานั้น เปน ขอปฏบิ ัตใิ หถ งึ ความดับไปแหง อวิชชาคอื สมั มาทฏิ ฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ. เมอ่ื ใดแล คุณ อริยสาวก รูช ัดอวชิ ชาอยา งนี้ เหตุเถิดอวชิ ชาความดับไปแหง อวิชชา รูช ดั ขอปฏบิ ตั ิใหถงึ ความดบั ไปแหงอวิชชาอยา งน้ีเมอ่ื นน้ั เธอจะละราคานุสยั บรรเทาปฏิฆานุสยั ถอนทฏิ ฐมิ านะวา เรามีออก ละอวชิ ชาไดโ ดยประการทงั้ ปวง ยังวิชชาใหเกิดขึ้นแลว เปนผูกระทําที่สุดแหง ทุกขไ ดใ นปจจบุ ันทเี ดียว ดว ยเหตุเพียงเทานี้แล คณุ อรยิ -สาวกช่อื วา เปนผมู คี วามเห็นถกู ตอง มีความเหน็ ตรง ประกอบดว ยความเลื่อมใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสพู ระสัทธรรมน.ี้ (๑๒๙) ภิกษเุ หลา นั้นไดพากนั ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของทา นพระสารีบตุ รวา ดแี ลว ใตเ ทา แลวไดกราบเรยี นถามปญหาสูงขึ้นไปกะทานพระสารบุตรวา ใตเทา ขอรบั เหตุ (ปริยาย) อยางอ่ืนยังคงมอี กีบางไหน ที่จะใหอ รยิ สาวกเปนผูมคี วามเหน็ ถูกตอ ง มคี วามเห็นตรงประกอบดว ยความเลอื่ มใสในธรรมไมคลอนแคลน ไดม าสพู ระสทั ธรรมน้ีแลว .
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 539 อาสววาระ (๑๓๐) ทานพระสารีบตุ รตอบวา ยังคงมอี ยู คณุ แลว ไดกลาววาคณุ ดวยเหตุทอ่ี รยิ สาวกรูชัดอาสวะ เหตเุ กิดอาสวะ ความดบั แหงอาสวะและรชู ัดขอปฏบิ ัตใิ หถึงความดับไปแหง อาสวะ เพียงเทา นแ้ี ล คณุ อรยิ -สาวกชอ่ื วา เปนผูมีความเหน็ ถูกตอ ง มีความเห็นตรง ประกอบดวยความเล่อื มใสในธรรมไมค ลอนแคลน มาสพู ระสัทธรรมน้ี. ถามวา อาสวะคืออะไรเลา คุณ ? เหตุเกิดแหง อาสวะ ความดับแหง อาสวะ ขอปฏบิ ตั ิใหถ ึงความดบั ไปแหง อาสวะคอื อะไร ? ตอบวา คุณ อาสวะมี ๓ อยา ง เหลา นี้ คอื กามาสวะ เคร่ืองดองสนั ดานคือกาม ๑ ภวาสวะ เครอื่ งดองสันดานคือภพ ๑ อวชิ ชา-สวะ เครือ่ งดองสันดานคืออวิชชา ๑. เพราะอวชิ ชาเกดิ อาสวะจงึ เกดิเพราะอวิชชาดบั อาสวะจงึ ดบั อริยาษฎางคิกมรรคนี้เทา นัน้ เปน ขอปฏิบตั ิใหถึงความดบั ไปแหง อาสวะ คือ สัมมาทฏิ ฐิ ๑ สัมมาสงั กปั ปะ ๑สมั มาวาจา ๑ สมั มากัมมนั ตะ ๑ สัมมาอาชวี ะ ๑ สมั มาวายามะ ๑สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑. เมือ่ ใดแล คณุ อริยสาวกรชู ดั อาสวะอยา งนี้ เหตุเกดิ อาสวะ ความดบั ไปแหง อาสวะ รชู ัดขอ ปฏิบตั ิใหถ งึ ความดับไปแหง อาสวะอยา งนี้ เม่ือนัน้ เธอจะละราคานสุ ัย บรรเทาปฏฆิ านสุ ัย ถอนอนุสยั คอื ทิฏฐิมานะวาเรามีออก ละอวชิ ชาไดโ ดยประการท้ังปวง ยงั วิชชาใหเกิดข้นึ แลวเปนผูการทําทส่ี ุดแหง ทุกขไดในปจจบุ นั ทีเดียว ดวยเหตุเพียงเทาน้แี ล คุณอริยสาวกชอื่ วา มคี วามเห็นถูกตอ ง มคี วามเหน็ ตรง ประกอบดวยความ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 540เลือ่ มใสในธรรมไมค ลอนแคลน ไดมาสพู ระสทั ธรรมนแี้ ลว. ทานพระสารีบตุ รไดกลา วคํานจี้ บแลว ภกิ ษเุ หลา นั้นพอใจ พากนัชืน่ ชมภาษิตของทา นพระสารบี ตุ ร. จบ สัมมาทฏิ ฐิสตู ร สตู รที่ ๙ จบ สรปุ ทุกข ๑ ชรามรณะ ๑ อปุ าทาน ๑ สฬายตนะ ๑ นามรูป ๑วิญญาณ ๑ รวมเปน ๖ บท ซึ่งทา นพระสารบี ตุ รกลาววา เปน อยางไรเลา คุณ ? ชาติ ๑ ตณั หา ๑ เวทนา ๑ อวชิ ชา ๔ อยา ง ๑ รวมเปน ๔บท ซงึ่ ทานพระสารีบุตรเถระกลาววา เปน อยา งไรเลา คณุ ? อาหาร ๑ ภพ ผัสสะ ๑ สังขาร ๑ ที่ ๕ คอื อาสวะ ๑รวมเปน ๕ ซึง่ ทานพระสารบี ตุ รเถระกลา ววา เปนอยางไรเลา คุณ ? ๖ อยา ง คอื อะไร ไดกลาวไวแ ลว ๔ อยางคืออะไร ไดกลาวไวแลว ๕ อยางคืออะไร ก็ไดก ลาวไวแลว จึงรวมเปน ๑๕ บท สาํ หรบัสังขารทั้งมวล ดังนแี้ ล.
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 541 อรรถกถาสัมมาทิฏฐสิ ตู ร (๑๑๐) สัมมาทฏิ ฐสิ ูตรมคี าํ เริ่มตน วา ขา พเจา ไดฟ ง มาแลวอยางน.ี้ พึงทราบวนิ ิจฉยั ในสมั มาทฏิ ฐสิ ตู รนน้ั ดงั ตอไปนี้ :- คาํ ถามท่พี ระเถระ ( สารบี ุตร) กลา วไวอยา งนีว้ า คณุ ที่เรียกวาสัมมาทฏิ ฐิ ดวยเหตมุ ปี ระมาณเทา ไรนะคณุ ? ดงั น้ี หรอื วา อกศุ ลเปนอยา งไรเลา คณุ ? ดังนี้ทกุ ขอ เปน กเถตกุ ามยตาปุจฉา ( ถามเพ่ือตอบเอง ) เทา นน้ั เอง. เพราะวา ในคาํ ถามเหลานั้น คนทงั้ หลายเขาใจในสมั มาทฏิ ฐนิ ้นั ก็มีไมเ ขาใจก็มี เปน คนนอกศาสนาก็มี ในศาสนาก็มี กลา ววา สัมมาทิฏฐิดว ยสามารถที่ไดฟงตามกันมาเปนตนก็มี ดวยไดประจักษด ว ยตนเองมาก็มีฉะน้ัน ทานพระสารบี ตุ ร จงึ ไดก ลา วหมายเอาคําถามของตนสว นมากน้ันยา้ํ ถงึ ๒ ครงั้ วา คณุ ที่เรียกกนั วา สัมมาทิฏฐ.ิ . . อันที่จรงิ ในเรอ่ื งนี้มอี ธบิ ายดงั ตอ ไปน้ี ถงึ อาจารยเ หลา อนื่ กเ็ รยี กวา สมั มาทิฏฐิ. ทา นพระสารีบตุ ร นนี้ น้ั เม่ือกลา วอยา งน้ี ไดก ลา ววา ดวยเหตุเทา ไรนะคณุ อรยิ สาวกจึงช่อื วา มคี วามเห็นถกู ตอง ดังน้ี หมายถงึ ความหมายและลกั ษณะ (ของสัมมาทฎิ ฐ)ิ . แกสัมมาทฏิ ฐิ บรรดาบทเหลานั้น บทวา สมมฺ าทิฏิ ความวา ช่ือวา เปน ผูประกอบดวยความเหน็ ทัง้ ดีงามทงั้ ประเสริฐ.
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 542 กเ็ ม่อื ใด ศพั ทว า สัมมาทิฏฐนิ ้ใี ชใ นธรรมะเทานั้น เมอ่ื นน้ั พงึทราบเน้ือความของศพั ทนน้ั อยางนีว้ า ทฏิ ฐทิ ้ังดีงามท้ังประเสริฐ ชอ่ื วาสมั มาทฏิ ฐ.ิ และสมั มาทิฏฐิน้ีนัน้ มี ๒ อยาง คือ โลกิยสมั มาทิฏฐิ ๑โลกุตตรสัมมาทฏิ ฐิ ๑. ในจํานวนสัมมาทฏิ ฐิ ๒ อยา งน้ัน กมั มัสสกตาญาณ (ปรชี าหย่งั รูวา สัตวมีกรรม เปน ของตน) และสจั จานุโลมกิ ญาณ (ปรีชาเปนไปโดยสมควรแกการกาํ หนดรูอริยสจั ) ช่ือวา โลกิยสมั มาทฏิ ฐิ. สวนปญญาท่ีสมั ปยุตดวยอรยิ มรรค อรยิ ผล ชอ่ื วา โลกุตตรสมั มาทิฏฐิ. แตค นท่มี ีสัมมาทิฏฐิ มี ๓ ประเภท คอื ปถุ ุชน ๑ เสกขบุคคล (ผตู องศกึ ษา) ๑อเสกขบุคคล (ผไู มต อ งศกึ ษา) ๑. ในจํานวน ๓ ประเภทนัน้ ปถุ ชุ นมี ๒ ประเภท คอื พาหิรกชน(คนนอกศาสนา) ๑ ศาสนกิ ชน (คนในศาสนา) ๑ ในจํานวน ๒ประเภทนั้น พาหิรกปุถุชนผูเปน กรรมวาที (เชอ่ื ถือกรรม) ช่ือวา เปนผมู ีความเห็นถูกตอ ง (เปน สมั มาทิฏฐกิ บคุ คล) โดยความเหน็ วา สตั วม ีกรรมเปน ของตน ไมใชโ ดยความเหน็ ขั้นสัจจานุโลมญาณ สว นศาสนกิ -ปถุ ชุ น ช่ือวา มคี วามเห็นถกู ตอง (เปนสมั มาทฏิ ฐกิ บคุ คล ) โดยความเหน็ ท้งั ๒ อยา ง (คือกมั มัสสกตาและอนุโลมญาณ เพราะยังลบคลําความเห็นเรอ่ื งอัตตาอยู ยงั ละสักกายทฏิ ฐิไมได). เสกขบุคคล ช่ือวา มคี วามเหน็ ชอบ เพราะมีความเหน็ ชอบทีแ่ นนอน สว นอเสกขบุคคล ชือ่ วา มคี วามเหน็ ชอบ เพราะไมต อ งศกึ ษา. แตใ นที่นีป้ ระสงคเอาผูประกอบดว ยสัมมาทิฏฐิท่ีเปนโลกุตตรกศุ ลท่แี นน อน คือเปนเคร่อื งนาํ สัตวอ อกจากทุกขวา ผูมคี วามเห็นชอบ.
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 543 เพราะเหตนุ นั้ เอง ทานพระสารบี ตุ รจึงไดก ลาวไวว า เปนผูป ระ-กอบดวยความเลอ่ื มใสในธรรมไมคลอนแคลน ไดม าสพู ระสัทธรรมน้ีแลว. อธบิ ายวา สมั มาทฏิ ฐิทเี่ ปนโลกุตตรกศุ ลเทานัน้ เปนความเหน็ ที่ตรง เพราะไปตามความตรงไมขอ งแวะกับที่สุดทัง้ ๒ อยาง หรือตดั ขาดความคดงอทกุ อยา ง มคี วามคดงอทางกายเปนตนแลว ไปทรง และผูประกอบดว ยทิฏฐิน้ันเอง ชือ่ วา เปนผปู ระกอบดว ยความเลอ่ื มใสไมคลอน-แคลน คอื ดวยความเลือ่ มใสไมหวัน่ ไหวในโลกตุ ตรธรรมท้งั ๙ ประการ.อรยิ สาวกเม่ือคลายความยึดมน่ั ดวยทิฏฐทิ กุ อยา ง ละกิเลสทงั้ ส้ินได ออกไปจากสงสารคือชาติ เสร็จสนิ้ การปฏิบตั ิ ทา นเรยี กวา ผูไดม าสพู ระสทั ธรรม กลา วคอื พระนพิ พาน ที่หยัง่ ลงสูอมตธรรม ท่พี ระสัมมา-สัมพทุ ธเจา ทรงประกาศแลวดว ยอรยิ มรรค. ( ๑๑๑ ) คาํ วา ยโต โข น้ีเปน คาํ กาํ หนดกาลเวลา มอี ธิบายวาในกาลใด. ขอวา อกุสลมูลจฺ ปชานาติ ความวา รูชดั อกศุ ล กลาวคอือกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ คือ เมือ่ แทงตลอดวา สิง่ น้ีเปนทุกข ดวยสามารถแหงกจิ จญาณ ชอ่ื วา รชู ดั อกุศล เพราะความรูชดั ที่มีนโิ รธเปนอารมณ. ขอวา อกสุ ลฺจ ปชานาติ ความวา รูช ัดรากเหงา ของอกุศลท่ีเปนรากเหงา เปน ปจ จัยแหงอกศุ ลนน้ั คือ เมือ่ แทงตลอดวา นเี้ ปน เหตุใหเกิดทุกขโ ดยประการนั้นนนั่ เอง ( ชือ่ วา รูชดั รากเหงาของอกุศล ). ถึงแมใ นคํานว้ี า กุศล และรากเหงาของกุศล กม็ นี ัยน.้ี
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 544 ในทุกวาระตอ จากวาระนีไ้ ป ก็เหมือนกบั ในวาระนี้ ควรทราบการรชู ัดวัตถุ ดว ยสามารถแหงกจิ จญาณน่ันเอง. บทวา เอตฺตาวตาป ความวา ดวยเหตุเพียงเทา น้ี คอื แมดวยการรูช ดั อกศุ ลเปน ตน น้ี . บทวา สมฺมาทิฏิ โหติ ความวา เปนผูประกอบดว ยโลกุตตร-สัมมาทิฏฐิ มปี ระการดังกลาวมาแลว . ดวยคาํ เพียงเทา น้ีวา อรยิ สาวกน้นั มีความเห็นตรง ฯล ฯ ไดมาสูพระสัทธรรมนแี้ ลว เปน อนั ทานพระสารีบตุ ร จบการแสดงโดยยนยอลงแลว . การแสดง ( ของทา น ) นี้ ถึงจะยน ยอ แตก ค็ วรทราบถึงการแทงตลอดดวยมนสิการโดยชอบ ดว ยสามารถแหง ความพสิ ดารอยนู ่ันเองสาํ หรบั ภกิ ษุเหลา นั้น. สว นในทุติยวารถงึ การแสดง (จะยนยอ) กค็ วรทราบถึงการแทงตลอด ดวยมนสิการโดยชอบอยา งพิสดารวา ไดเปน ไปแลว โดยพิสดารอยนู ั่นเอง. ภิกษทุ ั้งหลายไดกลาวกนั วา บรรดาการแสดงทั้ง ๒ อยางน้นั ดวยการแสดงอยา งยนยอ ทานพระสารบี ุตรไดกลา วถึงมรรคเบ้ืองตํา่ ไวท ง้ั ๒อยา ง ดวยการแสดงอยา งพิสดาร ทานพระสารีบุตรไดกลา วถึงมรรคเบื้องสูงไว ๒ อยาง. ในท่สี ุดแหงการแสดงอยางพสิ ดาร ภิกษทุ ั้งหลายเล็งเห็นคํา มีอาทิวา เพราะละราคานุสยั ไดโ ดยประการท้ังปวง. แตพระเถระไดกลา ววามรรคทั้ง ๔ ไดก ลา วไวแลว โดยเปน หมวดดวยการแสดงอยางยอกม็ ีดว ยการแสดงอยางพสิ ดารกม็ .ี อนง่ึ การแสดงทงั้ โดยยอ ท้ังโดยพสิ ดารน้ใี ด เปน การแสดงที่ขา พเจา
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 545ไดการทาํ การวิจารณไวโดยละเอยี ดแจมแจง แลว ในที่นกี้ ารแสดงน้ัน พงึทราบตามนัยทไ่ี ดกลาวไวแลวในทน่ี ้ที ุก ๆ วาระเทอญ. เพราะวา ตอ แตน ี้ไป ขาพเจา จกั ทาํ เพยี งการขยายความเฉพาะบททยี่ าก ทย่ี งั ไมได ( อธบิ าย)เทา น้ัน. พึงทราบวินจิ ฉยั ในการแสดงโดยพสิ ดาร ซึ่งปฐมวารในจํานวนวาระเหลา น้ันกอน. ในคําทง้ั หลายมีอาทวิ า ปาณาติบาตน้นั แหละคณุ เปน อกุศล. อกศุ ลพึงทราบไดจ ากความเปนไปโดยความไมฉลาด. อกุศลนั้นพึงทราบโดย(เปนธรรม) ทรงกันขา มกบั กศุ ลทจ่ี ะตอ งกลา วขางหนา หรอื โดยลกั ษณะพงึ ทราบ (วา เปน) สง่ิ ท่มี โี ทษและมีวบิ ากเปนทกุ ข เปนสิ่งทเ่ี ศราหมอง.นี้เปนการขยายบททว่ั ไปในอกศุ ลวาระน้กี อน. แกป าณาตบิ าต สวนในบทเฉพาะ (ไมท ัว่ ไป) พึงทราบวนิ จิ ฉยั วา การยงั สตั ว.ที่มีชีวติ ใหต กลวงไป ชื่อวา ปาณาตบิ าต ไดแก การฆาสตั วทม่ี ชี ีวติอธบิ ายวา การทาํ ลายสัตวท่มี ีชีวติ . ก็คําวา ปาณะ ในคําวา ปาณาตปิ าโตน้ี โดยโวหาร ไดแกสัตว แตโดยปรมัตถ ไดแ กชีวิตินทรยี สวนเจตนาท่จี ะฆา ของผมู ีความสําคญั ในสัตวมชี วี ิตน้ันวา เปนสัตวมชี วี ติ อันเปนสมุฏฐานแหง ความพยายามทจ่ี ะเขา ไปตดั ชวี ติ นิ ทรยี ทีเ่ ปนไปทางกายทวาร หรอื วจีทวาร ทวารใดทวารหน่ึง ช่ือวา ปาณาติบาต. ปาณาตบิ าตนั้น พงึ ทราบวา มีโทษนอย ในเพราะสัตวมชี ีวติ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 546ตวั เลก็ ในจาํ นวนสัตวมชี วี ติ ท้งั หลาย มเี ดยี รัจฉานเปนตนทีป่ ราศจากคณุแตพ งึ ทราบวา มีโทษมาก ในเพราะสตั วม ชี ีวติ ตัวใหญ. เพราะเหตุไร ? เพราะมีประโยคใหญ (มวี ิธกี ารมาก). แมเ มื่อมปี ระโยคเสมอกัน ปาณาตบิ าตพึงทราบวามีโทษมาก เพราะวัตถุใหญ (ตวั ใหญ). ในจาํ พวกสัตวทีม่ คี ณุ มมี นุษยเ ปน ตน ในเพราะ.สัตวม คี ณุ นอ ย ปาณาติบาตก็พึงทราบวามีโทษนอย ในเพราะสตั วม คี ณุมาก ก็พึงทราบวามีโทษมาก. แตเ มื่อสรรี ะและคุณมคี วามเสมอกันปาณาติบาตพึงทราบวามโี ทษนอย เพราะกิเลสและความพยายามออ น พึงทราบวามีโทษมาก เพราะกิเลสและความพยายามแรงกลา . ปาณาตบิ าตนั้นมอี งคประกอบ ๕ คอื สตั วมชี วี ิต ๑ ความรวู าสตั วมชี ีวติ ๑ จิตคิดจะฆา ๑ ความพยายาม (ฆา) ๑ สัตวตายเพราะความพยายามนน้ั ๑. ประโยคแหงการฆา มี ๖ คอื สาหตั ถกิ ประโยค (ฆา ดวยมอื ของตนเอง ) ๑ อาณัตตกิ ประโยค ( ใชใหผ ูอ ่ืนฆา) ๑ นสิ สคั คิยประโยค(ฆาดวยสาตราวุธท่ีพงุ หรือปลอ ยออกไป) ๑ ถาวรประโยค (ฆา ดวยเครอื่ งมือดักอยกู ับท)่ี ๑ วชิ ชามยประโยค (ฆา ดว ยอํานาจวชิ า) ๑อทิ ธิมยประโยค (ฆาดวยฤทธ์ิ) ๑. แตครั้นจะอธบิ ายประโยคนใี้ หพิสดารในปฐมวาระนี้ ก็จะยดื ยาวไปมาก เพราะฉะนนั้ จะไมข ออธบิ ายประโยคนน้ั และอยา งอน่ื ทีเ่ ปนแบบนี้ใหพ ิสดาร สวนผมู ีความตองการ พงึ ตรวจดูสมันตปสาทิกาอรรถกถาพระวนิ ัยเอาเถิด.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 547 แกอทินนาทาน การถือเอาสง่ิ ของทเ่ี ขาไมไ ดใ ห ชื่อวา อทนิ นาทาน การลกั ของ ๆผอู น่ื ชอ่ื วา เถยยะ อธบิ ายวา เปน กริ ยิ าของโจร. บทวา อทนิ นฺ ไดแ กข องทผี่ อู นื่ หวงแหนซ่ึงคนอ่ืน (เจาของ )เมือ่ ใชต ามทีต่ อ งการ ก็ไมค วรไดรบั ทัณฑและไมค วรถูกตําหน.ิ สวนเจตนาทจี่ ะลักของผมู ีความสาํ คญั ในของท่ีผูอนื่ หวงแหนนน้ั วาเปนของทเ่ี ขาหวงแหน อนั เปน สมฏุ ฐานแหงความพยายามทจี่ ะถอื เอาสิง่ของที่เจาของไมไดใหน ้ัน ชื่อวา อทนิ นาทาน. อทนิ นาทานนั้น มีโทษนอย ในเพราะส่งิ ของ ๆ ผูอนื่ ท่ีเลว ช่ือวามีโทษมาก ในเพราะสง่ิ ของของผูอน่ื ประณีต. เพราะเหตุไร ? เพราะวา เปนส่ิงของประณตี . เม่ือมีความเสมอกันแหง วตั ถุ ชอื่ วามีโทษมาก ในเพราะสง่ิ ของทม่ี อี ยขู องผมู คี ุณย่ิง. อทนิ นาทานนนั้ ชือ่ วา มโี ทษนอ ย ในเพราะสิ่งของทม่ี อี ยูของผูม คี ุณตํ่ากวานัน้ เพราะเปรยี บเทียบกบั ผมู ีคณุ ยิง่ นั้น. อทินนาทานนั้น มอี งคป ระกอบ ๕ ประการ คือของทค่ี นอ่ืนหวงแหน ๑ ความรวู าเปนของทคี่ นอนื่ หวงแหน ๑ จติ คดิ จะลัก ๑ ความพยายาม (จะลกั ) ๑ ลกั ของไดมาดวยความพยายามน้นั ๑. กป็ ระโยค ( การประกอบอทนิ นาทาน) มี ๖ อยา ง มสี าหตั ถิก-ประโยค เปนตน. ก็ประโยคเหลานัน้ แลเปนไปแลว ดวยสามารถแหงอวหาร ( การลกั ) เหลานี้ คอื เถยยาวหาร ( ลักโดยการขโมย ) ๑
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 548ปสยั หาวหาร (ลกั โดยการกรรโชก) ๑ ปฏจิ ฉันนาวหาร (ลักโดยการปด ชองส่ิงของ) ๑ ปรกิ ัปปาวหาร (ลักโดยการกาํ หนดสง่ิ ของหรือเวลา)๑ กุสาวหาร (ลักโดยการสบั เปลย่ี น) ๑ ขอ ความดังทีก่ ลา วมาแลว น้ีเปน ขอความสังเขปในอวหารน.้ี สว นความพสิ ดารไดกลา วไวแลวในอรรถกถาชือ่ สมันตปาสาทิกา. แกกาเมสุมิจฉาจาร กบ็ ทวา กาเมสุ ในขอวา กาเมสมุ ิจฉฺ าจาโร น้ี ไดแก เมถนุ -สมาจาร. ความประพฤติลามกท่ีบณั ฑิตตาํ หนิโดยสว นเดียว ชอื่ วามิจฉาจาร. แตโ ดยลักษณะเจตนาทลี่ ว งเกนิ อคมนยี ฐาน (คนทีต่ องหา ม) ทีเ่ ปนไปทางกายทวาร ดวยความประสงคต อ อสทั ธรรม ชือ่ วา กาเมสมุ จิ ฉาจาร. กอนอ่ืน (หญงิ ) ทช่ี ือ่ วาเปน อคมนียฐาน (หญงิ ท่ตี องหาม)สําหรบั ผูชายในกาเมสมุ ิจฉาจารนี้ ไดแ กหญงิ ๒. จําพวก คอื หญงิ ท่มี ีมารดารักษาเปน ตน. หญงิ ๑๐ จาํ พวก คอื หญงิ ท่มี ารดารกั ษา ๑ ที่บิดารักษา ๑ ทต่ี ้งัมารดาและบดิ ารักษา ๑ ทีพ่ ่ีชายนองชายรักษา ๑ ทีญ่ าติรักษา ๑ ที่โคตรรกั ษา ๑ ทีธ่ รรมรกั ษา ๑ ท่มี กี ารอารักขา ๑ ทม่ี ีอาชญารอบดาน(อยูในกฎมณเฑียรบาล) ๑. และหญงิ อีก ๑๐ จําพวก มหี ญงิ ท่ไี ถม าดว ยทรัพยเ ปนตน เหลานี้คือ ภรรยาทีซ่ อ้ื มาดวยทรัพย ( ภรรยาสนิ ไถ) ๑ ที่อยูดว ยกันเพราะความ
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 549พอใจ ๑ ที่อยดู ว ยกนเพราะโภคะ ๑ ทอี่ ยูดว ยกนั เพราะเครื่องนงุ หม ๑ทผ่ี ูปกครองเตม็ ใจยกให ๑ ทชี่ ายยกเทรดิ ลงจากศรี ษะ ๑ ทเ่ี ปนทง้ั ภรรยาเปนทัง้ ทาส ๑ ทเ่ี ปน ทั้งภรรยาเปน ทงั้ ลกู จาง ๑ ท่ีเปนเชลยศึก ๑ ท่อี ยูดวยกนั เพยี งครเู ดียว ๑. สว นชายอื่น นอกจากสามขี องคน ชอ่ื วา เปน อคมนยี ฐาน (ชายตองหาม) สําหรบั หญิง ๑๒ จาํ พวก คือ ๒ จาํ พวกสําหรับหญงิ มีอารกั ขาและหญงิ มอี าชญารอบดาน และ ๑๐ จาํ พวกสําหรับภรรยาท่ไี ถม าดว ยทรัพยเ ปน ตน ในจํานวนหญิงทั้งหลาย ( ๑๐ จาํ พวก) สําหรับภรรยา. อนง่ึ มิจฉาจารนน้ี ั้น ช่ือวา มีโทษนอย ในเพราะอคมนียฐาน(ผตู อ งหาม) ปราศจากคณุ ธรรม มีศลี เปน ตน ชอ่ื วามีโทษมาก เพราะถึงพรอ มดว ยคุณธรรม มีศีลธรรมเปนตน . กาเมสมุ ิจฉาจารนั้น มีองคป ระกอบ ๔ อยา ง คือ เปนบคุ คลตอ งหา ม ๑ จิตคิดจะเสพในบุคคลตอ งหา มน้นั ๑ การประกอบการเสพ ๑การยงั มรรคใหด ําเนนิ ไปในมรรคหรอื หยดุ อยู ๑ ประโยคมอี ยางเดยี ว คือสาหัตถกิ ประโยคเทา นน้ั . แกมุสาวาท กายประโยคหรือวจีประโยค ที่หกั รานประโยชน (ผูอ่ืน) ของผูมุงจะพดู ใหผิด ช่อื วา มสุ า. เจตนาของผพู ูดใหผ ดิ ตอผอู นื่ ดว ยประสงคจะใหเขาใจผิด มีกายประโยคและวจปี ระโยคเปนสมุฏฐาน ชือ่ วา มุสาวาท. อีกนัยหนึ่ง เรือ่ งไมจริง ไมแท ช่อื วา มุสา (เรื่องเทจ็ ). การ
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 550ให (ผูอนื่ ) เขา ใจเร่อื งเทจ็ น้ัน วาเปนเร่ืองจริง เร่อื งแท ช่อื วา วาทะ(การพูด) แตโดยลกั ษณะ เจตนาของผปู ระสงคจะใหผ อู น่ื เขาใจเรอื่ งที่ไมจรงิ วาเปน เร่อื งจริง อนั เปนสมฏุ ฐานแหงวญิ ญตั ิ (การเคลอื่ นไหว)อยางนน้ั ช่อื วา มุสาวาท (การพดู เทจ็ ). มุสาวาทนน้ั ชอื่ วา มโี ทษนอ ย เพราะประโยชนท คี่ นหักรานมีจาํ นวนนอย ช่ือวามโี ทษมาก เพราะประโยชนที่ตนหกั รานมจี าํ นวนมาก. อีกอยางหนึง่ สําหรับคฤหสั ถ มุสาวาททเ่ี ปนไปแลว โดยนยั มีอาทวิ า ไมม เี พราะไมประสงคจ ะใหของ ๆ ตน (แกคนอ่นื ) มโี ทษนอยทก่ี ลา วเบิกพยานเพ่อื หกั ลางประโยชน (ของคคู วาม) มโี ทษมาก, สําหรบับรรพชิต มสุ าวาททีเ่ ปน ไปแลว โดยนยั แหงบูรณากถา (พูดใหเต็มความหรือเลนสาํ นวน) วา วันน้ี น้าํ มันในบานเห็นจะไหลเปน แมน า้ํ นะดว ยความประสงคจะใหหัวเราะ เพราะไดนาํ้ มันหรือเนยใสนอยไป มีโทษนอย แตของผพู ดู โดยนัยมอี าทิวา สิ่งที่ไมไดเ ห็นเลย วาไดเหน็ มีโทษมาก. มุสาวาทนัน้ มอี งคป ระกอบ ๔ อยาง คอื เรอ่ื งไมจริง ๑ ต้งั ใจพดู ใหผ ดิ ๑ พยายามพูด ๑ ผอู ่นื เขา ใจเน้ือความนนั้ ๑. ประโยคมีประโยคเดียว คอื สาหตั ถิกประโยคเทานน้ั . ประโยคน้นั พึงเห็นวา ไดแกการแสดงกริ ยิ าของผจู ะพูดใหผิดตอผูอนื่ ดว ยกาย ดวยของเนอ่ื งดว ยกายหรือดวยวาจา. ถาหากผอู น่ื เขาใจเนอื้ ความนัน้ ดวยกริ ิยานั้น กริ ยิ านี้ช่อื วาเนื่องดวยมสุ าวาทกรรม ในขณะแหง เจตนาทมี่ ีกริ ยิ าเปน สมุฏฐานนั้นเอง.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 783
Pages: