พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 301คอื ส วิชชฺ นตฺ ิ มอี ยูพ รอ ม ไดแ ก อปุ ลพฺภนฺติ ไดอยางแนน อน. บทวา รตฺตึเยว สมาน แปลวา เวลา ทีเ่ ปน กลางคืน. บทวา หิวาติ สฺชานนตฺ ิ แปลวา สาํ คญั อยวู า เวลาน้ีเปนเวลากลางวัน. บทวา ทิวาเยว สมาน แปลวา เวลาท่ีเปนกลางวนั . บทวา รตตฺ ตี ิ สฺชานนตฺ ิ แปลวา สาํ คญั อยูวา เวลาน้เี ปน เวลากลางคนื . ถามวา กเ็ พราะเหตุไร บุคลผูไ ดฌานอยา งนี้จึงมคี วามสาํ คัญอยา งน้ี ? ตอบวา เพราะไมมีความฉลาดในการออกจากฌาน หรอื เพราะเสยี งนกรอ ง. ถามวา เปนอยา งไร ? ตอบวา บคุ คลผไู ดโ อทาตกสณิ ลางคนในโลกนเ้ี กดิ มนสิการขึ้นวาเราทาํ บรกิ รรมในตอนกลางวัน เขา (ฌาน) ในตอนกลางวนั แลว จะออกในตอนกลางวันน้ันแหละ. แตวาทานกไ็ มฉลาดในการกําหนดเวลาออกไว ทา นจึงเขา ฌานลว งเลยเวลากลางวันไปออกในตอนกลางคืน และดวยอํานาจการแผไ ปแหงโอทาตกสิณ กสณิ ของทา นจงึ ผอ งใส แจมแจงชัดเจน ทานก็สําคัญเวลาทเี่ ปน กลางคืนนน้ั แหละวา เปน กลางวัน เพราะเหตทุ ่ีเกิดมนสิการวา จะออกในตอนกลางวนั และเพราะการแผไปแหงโอทาตกสิณผอ งใส แจม เเจง . แตบ คุ คลผูไ ดนลี กสณิ ลางคนในโลกนี้เกิดมนสกิ ารวา เราทาํ บรกิ รรมในตอนกลางคืน เขาในตอนกลางคืนแลวจะออกในตอนกลางคนื นัน้ แหละ แตวา ทานไมฉลาดในการกําหนดเวลา
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 302(ออก) ทา นจึง ( เขา ฌาน ) ลวงเลยเวลากลางคืนไปออกในตอนกลางวัน และดวยอาํ นาจการแผไ ปแหงนลี กสิณ กสิณของทา นจึงไมผอ งใสไมแจมแจง ทา นก็สําคญั เวลาทเ่ี ปน กลางวันน้นั แหละวา กลางคนืเพราะเหตุท่ีเกดิ มนสกิ ารวา จะออกในตอนกลางคนื และเพราะการแผไปแหง นลี กสณิ ไมผองใส ไมแจมแจง . เพราะไมม คี วามฉลาดในการออก(จากฌาน) อยา งนี้กอน บคุ คลผไู ดฌานจงึ มคี วามสาํ คัญดงั พรรณนามาฉะน.้ี สว นท่วี า เพราะเสยี งนกรอง (เปนอยา งน)้ี คือ บุคคลผไู ดฌานลางคนในโลกน้ีนั่งอยูภายในเสนาสนะ ทีนัน้ สตั วป า ทง้ั หลายมีนกและกาเปน ตน ทมี่ ักรอ งในตอนกลางวนั สาํ คัญอยูว า เปนเวลากลางวัน เพราะแสงจันทรจงึ สงเสียงรองในตอนกลางคนื หรือสงเสียงรอ งเพราะเหตอุ น่ื ๆทา นไดยนิ เสียงของสัตวป า เหลา นัน้ แลว สําคัญเวลาทเี่ ปนกลางคืนนน้ั แหละวา เปน เวลากลางวนั . แตวา บคุ คลผูไดฌานลางคนในโลกนี้นัง่ อยูในถํ้าภเู ขาท่ปี กปดดว ยปา ทบึ ซึง่ อยลู ึกในซอกเขา ในเวลาท่ีมีแสงสวา งหายไปคราวฝนตกพราํ ตลอด ๗ วนั ทนี น้ั สตั วปา ท้งั หลายมีนกท่ีรอ งในตอนกลางคนืและนกฮูกเปนตนจบั เจาอยใู นทม่ี ดื น้ัน ๆ แมในเวลาเทยี่ งวนั แลว สง เสยี งรอ งดวยสาํ คญั (ผิด) วาเปน เวลากลางคืนหรือดว ยเหตุเหลาอน่ื . บุคคลผไู ดฌ านนัน้ ไดยนิ เสยี งของสัตวป า ท้งั หลายเหลา น้ัน ยอ มสําคัญเวลาทเี่ ปนกลางวันอยูแ ท ๆ วาเปนเวลากลางคนื . เพราะเสยี งนกรอ งดงั พรรณนามาอยา งนี้ บุคคลผไู ดฌานจงึ มีความสําคัญอยา งนแ้ี ล. ปเทสญาณ (ญาณเครอื่ งกําหนดเวลา) บทวา อทิ มห ความวา เราตถาคตยอ มกลาวส่งิ น้ี คอื การกําหนด
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 303หมายอยางน้.ี บทวา สมโฺ มหวิหารสฺมึ วทามิ มอี ธบิ ายวา เราตถาคตยอ มกลา ว (การกําหนดหมาย) วา เปน การอยูท่ีนับเน่อื ง คอื จดั อยภู ายในการอยอู ยา งงมงาย ไดแ กก ลา ววา เปนการอยูอยา งงมงายอยา งใดอยางหนึ่ง. บทวา อห โข ปน พรฺ าหมฺ ณ ฯลฯ สชฺ านามิ ความวาการกําหนดเวลากลางคืนกลางวนั ของพระโพธิสตั วปรากฏแลว แมในเวลาท่ีฝนตกพราํ ตลอด ๗ วนั ถึงพระจนั ทรและพระอาทติ ยจะไมสอ งแสงพระโพธิสัตวก ็ยอมรูไดเ องทเี ดยี ววา ระยะเวลาเทา นี้ ถึงเวลาอาหารเชาระยะเวลาเทา นถ้ี ึงเวลาหลังอาหาร ระยะเวลาเทานถี้ งึ ปฐมยาม ระยะเวลาเทานถ้ี ึงมัชฌิมยาม เพราะเหตนุ ้ัน พระผมู ีพระภาคเจา จงึ ตรสั ไวแลว อยางนน้ั และกไ็ มนา อศั จรรยเลยทพี่ ระโพธิสัตวผมู บี ารมีไดบาํ เพญ็ มาแลว จะรูอยางน้ี. แมเ หลา พระอริยสาวกท่ดี ํารงอยใู นปเทสญาณก็ปรากฏวา กําหนดเวลากลางคนื และกลางวันได. มเี ร่อื งเลาวา พระโคทัตตเถระในกลั ยาณ-ิมหาวิหารรับภตั รในเวลา ๒ องคลุ ี แลวฉันในเวลา ๒ องคลุ ี ( นนั้ เอง )เมอ่ื พระอาทติ ยย ังไมปรากฏดวง กเ็ ขา เสนาสนะแตเ ชา ๆ ออกมาในเวลา(เดียวกนั ) นัน้ . วนั หนง่ึ พวกคนวดั คิดกันวา พวกเราจะพบทา นไดในเวลาท่ีทานออกมาตอนพรุง น้ี จงึ จัดแจงภตั รแลวน่งั ( คอย) อยทู ีใ่ กลหลกั บอกเวลา (หลักวัดเงาแดด). พระเถระออกนาในเวลา ๒ องคลุ ีเหมอื นเดิม. ทราบมาวา ต้งั แตน น้ั มาแมพระอาทิตยจะยงั ไมปรากฏดวงพวกคนวดั ก็จะตกี ลองดว ยสัญญาณทพ่ี ระเถระออกมา. แมใ นธชาครวิหาร พระกาลเิ ทวเถระเคาะระฆงั บอกยามภายใน
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 304พรรษา การเคาะระฆงั บอกยามน้นั เปนกจิ วตั รประจําวนั ของพระเถระแตวาพระเถระไมยอมใชน าฬิกาเคร่ืองจกั ร. สว นภกิ ษุพวกอืน่ ใช. ครั้นตอ มาเมื่อปฐมยามลว งเลยไป พอพระเถระถือไมเคาะ ( ระฆัง ) ยืนอยูหรือเคาะไดค รัง้ ๒ คร้งั เทา นนั้ นาฬกิ าเครอ่ื งจกั รกด็ ี. เมื่อเปนอยา งนี้พระเถระจึงบาํ เพ็ญสมณธรรมในยานท้ัง ๓ แลว เขาไปบานแตเ ชาตรู รับบณิ ฑบาตกลบั มาวดั ในเวลาจะฉันกถ็ อื บาตรไปย่งิ ท่พี กั กลางวัน บําเพญ็สมณธรรม. ภกิ ษุทัง้ หลายเห็นหลักบอกเวลาแลวไดสง ภิกษุไปเพอ่ื ตองการ(ในการกราบเรียน ) ใหพ ระเถระมา. ภกิ ษุ (รูปทไ่ี ป ) นัน้ ไดพบพระเถระ (ขณะ) กําลงั ออกมาจากทพี่ ักกลางวนั บาง ในระหวางทางบาง. แมเหลา พระสาวกท่ดี าํ รงอยใู นปเทสญาณยอ มกําหนดเวลาวา เปนกลางคืนและกลางวนั ไดอ ยางน้ี. ก็จะปว ยกลาวไปไยถึงบรรดาพระโพธิ-สัตว. ตถาคตอุบตั ิมาเพื่อประโยชนสขุ ก็ในคําวา ย โข ต ฯเปฯ วเทยยฺ น้ี นกั ศกึ ษาพงึ ทราบบทสัมพนั ธ (การเชือ่ มบท) อยา งนี้วา ดูกอนพราหมณ ใคร ๆ เมื่อจะกลาวถอยคําใดวา สตั วผ มู คี วามไมงมงายเปน ธรรมดา อบุ ตั ิขึ้นในโลกฯ ล ฯ เพื่อความสุขแกเ ทวดาและมนุษยท ง้ั หลาย จงึ จะชื่อวา กลา วโดยชอบคือ เปนผูกลาวอยา งถูกตอ ง กลาวไมคลาดเคล่อื น เขาเม่ือกลา วคาํ นนั้ตอเราตถาคตเทานนั้ จงึ จะชือ่ วา กลาวโดยชอบ คอื เปนผกู ลาวอยางถกู ตอ งกลา วไมค ลาดเคลอื่ น. บรรดาบทเหลานั้น บทวา อสมฺโมหธมฺโม แปลวา มคี วามไม
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 305งมหงายเปน สภาพ. บทวา โลเก ไดแกใ นมนษุ ยโลก. บทวา พหชุ นหติ าย แปลวา เพอ่ื ประโยชนเก้อื กลู แกชนจํานวนมาก อธบิ ายวา (สตั วน นั้ ) เปน ผชู ้ีแนะประโยชนเกื้อกลู ท้งั ในปจ จุบันทงั้ ในสมั ปรายภพดวยความถึงพรอมแหง ปญญา. บทวา พหชุ นสุขาย แปลวา เพ่อื ประโยชนส ขุ แกช นจํานวนมากอธิบายวา (สัตวนั้น) เปนผใู หสมบตั ิอันเปนอปุ กรณแหง ความสขุ ดวยความถึงพรอมแหงจาคะ ( การเสยี สละ ). บทวา โลกานกุ มปฺ าย แปลวา เพื่อประโยชนอ นเุ คราะหโ ลกอธิบายวา (สัตวนนั้ ) เปน ผูรักษา เปน ผคู มุ ครองโลกเหมอื นบิดามารดา(คุม ครองบตุ ร) ดว ยความถึงพรอ มแหง เมตตากรุณา. และดวยศพั ทว า \"เทวมนุสสฺ \" ในคาํ วา อตฺาย หติ าย สุขายเทวมนสุ สฺ าน น้ี นักศกึ ษาพงึ ทราบวา พระผูม ีพระภาคเจา ทรงหมายเอาเฉพาะเหลา เวไนยสัตวผูเ ปน ภัพพบคุ คล (บคุ คลท่คี วรจะตรัสรู) แลวแสดงการอบุ ัติของพระองค ก็เพอ่ื ตองการใหเ วไนยสัตวเ หลานน้ั ไดบ รรลุมรรคผลนิพพาน. เพราะเมือ่ พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั วา อตฺถาย ( เพอื่ประโยชน) ยอ มหมายถึงวา เพ่อื ประโยชนแกป รมัตถ คอื เพอ่ื นิพพาน.เม่อื พระผูมพี ระภาคเจา ตรัสวา หติ าย ( เพ่อื ประโยชนเ ก้ือกูล) ยอ มหมายถงึ วา เพือ่ ประโยชนแ กม รรคเคร่อื งใหบ รรลุนพิ พานนัน้ . เนอื่ งจากวา ขึน้ ช่อื วาประโยชนเ กอ้ื กูลท่ยี ิ่งไปกวา มรรคเครอ่ื งใหบรรลนุ ิพพานไมมีเลย. เมอื่ พระผูม พี ระภาคเจาตรสั วา สขุ าย (เพ่อื ความสุข) ยอมหมายถึงวา เพือ่ ประโยชนแกความสุขท่เี กดิ จากผลสมาบตั ิ. เพราะวา ไมมี
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 306ความสุข (อนื่ ) ทีย่ ่งิ ไปกวา ความสุขท่ีเกิดจากผลสมาบัตนิ นั้ . สมดว ยคําทพ่ี ระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวด ังนี้วา สมาธิน้ีอํานวยความสุขทเ่ี ปนปจ จบุ นั ใหและยงั มคี วามสุขเปนวบิ ากตอไป. ปฏปิ ทาเคร่ืองบรรลุอสัมโมหวหิ าร พระผมู พี ระภาคเจา คร้นั ทรงแสดงการอยูอยางไมงมงาย ( อสม-ฺโมหวิหาร ) ของพระองค ซึง่ มีการไดบ รรลุคุณแหงพทุ ธะเปนท่ีสุดดังพรรณนามาฉะนั้นแลว บัดนี้ เพอื่ จะทรงแสดงปฏิปทาเปนเหตุใหบ รรลุการอยูอยางไมงมงายอนั ถึงที่สุดแลว นนั้ ตงั้ แตเวลาเริ่มตน จึงตรัสคําวาอารทฺธ โข ปน เม พฺราหมฺ ณ ดังนีเ้ ปน ตน . ฝายอาจารยบ างพวกกลา ววา พราหมณไ ดสดับการอยูอ ยา งไมง มงายนแ้ี ลว ไดเกิดความคดิ ข้นึ มาอยา งนว้ี า พระสมณโคดมบรรลุการอยูอยา งไมง มงายน้ี ดวยปฏิปทาอะไรหนอแล พระผูมพี ระภาคเจา ทรงทราบความคิดของพราหมณนน้ั แลว เมอื่ จะทรงแสดงวา ตถาคตไดบ รรลกุ ารอยูอ ยา งไมงมงาย อันสูงสดุ น้ีดวยปฏิปทาน จึงตรสั ไวอยางนี้. [๔๗ ] บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา อารทฺธ โข ปน เมพฺราหฺมณ วริ ิย อโหสิ มอี ธบิ ายวา ดูกอ นพราหมณ การอยูอยา งไมงมงายอนั สูงสุดน้ี ไมใชวา ตถาคตจะเกียจคราน หลงลืมสติมกี ายกระสบั กระสายหรอื มีจติ ฟุงซา นไดบรรลมุ า แทจรงิ แลวเราตถาคตไดป รารภความเพยี รเพอื่ บรรลุการอยูอยางไมงมงายนั้น คอื เราตถาคตนั่งอยูทค่ี วงไมโ พธ์ิ ไดปรารภประคบั ประคองความเพียรมอี งค ๔ ใหเปน ไปไมย อ หยอ น. ก็เพราะปรารภแลว นน่ั แล ความเพยี รประกอบดวยองค ๔ นนั่ ของเราตถาคตจงึ ไมย อหยอน. บทวา อุปฏิตา สติ อปปฺ มฏุ า ความวา และไมใ ชแตความ
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 307เพยี รอยางเดยี วเทานน้ั ถงึ สติของเราตถาคตกต็ ัง้ มน่ั โดยภาวะทีม่ ุงหนา ไปจบั อารมณ และเพราะตง้ั ม่นั แลว น่ันแหละ มนั จงึ ไมหลงลมื . บทวา ปสสฺ ทฺโธ กาโย อสารทฺโธ ความวา เพราะมีกายและจิตสงบ แมก ายของเราตถาคตกส็ งบดว ย. ในบทนั้นอธิบายวา เพราะเหตทุ เี่ มอ่ื นามกายสงบ แมร ปู กายกย็ อมสงบดวยเหมือนกนั ฉะนั้นพระผมู พี ระภาคเจาจึงตรสั (รวมๆ) วา กายสงบ โดยมไิ ดต รสั แยกวา นามกาย รปู กาย. บทวา อสารทโฺ ธ ความวา ก็เพราะสงบแลวน่ันแล กายนั้นจงึช่อื วาไมก ระสบั กระสา ย อธบิ ายวา ปราศจากความกระวนกระวาย. บทวา สมาหติ จิตฺต เอกคคฺ ความวา แมจิตอันเราตถาคตต้ังใจไวโดยชอบแลว คือเปน เหมอื น (จบั ) วางไวดวยดี และเพราะตงั้ ไวโดยชอบแลวน่ันแล จึงมีช่อื วา มีอารมณเดียวเปนเลิศ ไมหว่นั ไหวไมด้นิ รน. พระผูมีพระภาคเจาตรสั ปฏิปทาอนั เปน สวนเบ้อื งตน แหงฌานไวด ว ยคํามีประมาณเทานี.้ ประโยชนของฌาน ๔ บัดน้ี พระผูม ีพระภาคเจา จะทรงแสดงคุณวิเศษเร่มิ ตนตั้งแตป ฐม-ฌานจนกระทั่งถึงวชิ ชา ๓ เปนทสี่ ุดท่พี ระองคท รงบรรลแุ ลวดวยปฏิปทาน้ี จงึ ตรสั คําวา โส โข อห ดังนี้ เปนตน . ในพระดํารัสนนั้ คาํ ใดทจ่ี ะตองกลา วในตอนนว้ี า ววิ ิจเฺ จว กาเมหิ ฯเปฯ จตุตถฺ ณานอุปสมปฺ ชชฺ วิหาสึ คําน้นั ท้ังหมดไดก ลา วไวแ ลว ในตอนวา ดว ยปฐว-ีกสณิ ในคัมภรี วิสทุ ธมิ รรค. ความจรงิ มีแปลกกนั แหง เดียวเทา นัน้ ดงั น้ี
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 308(คอื ) ในคัมภีรว สิ ทุ ธิมรรคนั้นบทกิรยิ ามาวา อุปสมฺปชฺช วิหรติ(แต) ในทน่ี ีม้ าวา วหิ าส.ึ ถามวา ก็พระผมู ีพระภาคเจาทรงทําอยา งไรจงึ เขาฌานเหลานนั้อยไู ด. ตอบวา ทรงเจรญิ กรรมฐาน. ถามวา กรรมฐานขอไหน ? ตอบวา อานาปานสตกิ รรมฐาน. ก็แล ฌาน ๔ เหลานี้ สาํ หรบั บางทา นมีความเปนหน่ึงแหงจิตเปน ผล สําหรบั บางทา นเปนบาท (พนื้ ฐาน) แหงการเจริญวปิ สสนาสาํ หรับบางทา นเปนบาทแหง การไดอ ภญิ ญา สําหรับบางทา นเปน บาทแหงการเขานิโรธ (พระนพิ พาน) สําหรับบางทา นมีการกาวลงสูภ พเปนผล. บรรดาบุคคลเหลาน้นั สําหรบั พระขณี าสพ ฌาน ๔ มคี วามเปนหนึ่งแหง จติ เปน ผล ดวยวา พระขณี าสพเหลานัน้ ทาํ บริกรรมกสิณอยา งน้ีวา เราจักเขา ฌานมจี ิตมีความเปนหน่งึ อยเู ปน สุขตลอดวัน ดงั นี้แลว ทาํ สมาบัติ ๘ ใหบงั เกิด. สําหรับพระเสขะและปถุ ชุ นคดิ วา เราออกจากสมาบตั ิแลวมีจติ เปนสมาธจิ ักเห็นแจง ดังน้แี ลว ทาํ วิปสสนาใหบงั เกดิ (อยางนี้ ) ฌานยอ มช่อื วาเปนบาทแหง การเจรญิ วปิ สสนา. สวนฌานลาภีบุคคลเหลา ใดทาํ สมาบัติ ๘ ใหบังเกดิ ไดแลว เขาฌานท่เี ปน บาทแหงอภิญญา ออกจากสมาบตั แิ ลวปรารถนาอภญิ ญาซง่ึ มีนยั ดงั ทพี่ ระผูมพี ระภาคเจาตรัสไวแ ลววา แมเปนคนคนเดยี วกท็ ําใหเปน
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 309หลายคนได ดงั นแ้ี ลว ทําอภิญญาใหบงั เกดิ สําหรับฌานลาภีบคุ คลเหลา นัน้ ฌานยอ มเปนบาทแหง อญญิ ญา. สวนพระอรยิ บุคคลเหลา ใดทําสมาบตั ิ ๘ ใหบงั เกิดไดแ ลว เขานิโรธสมาบตั ไิ ดค ิดวา เราจักบรรลุนโิ รธ คือนพิ พานในปจจบุ ันอยูเปนสุขโดยไมม ีจติ สงั ขารตลอด ๗ วัน ดังนี้แลวทาํ สมาบตั ใิ หบงั เกดิ ฌานของพระอริยบุคคลเหลานัน้ ยอ มชื่อวา เปนบาทแหง การเขา นิโรธ. สว นฌานลาภีบุคคลเหลาใดทาํ สมาบัติ ๘ ใหบ งั เกดิ ไดแ ลวคิดวาเราจักเปน ผูมีฌานไมเ สอื่ มเกิดในพรหมโลก ดงั น้ี ทาํ สมาบตั ิใหบงั เกิด(อยา งน้)ี ฌานของบุคคลเหลาน้นั ยอ มมกี ารกา วลงสูภพเปนผล. กจ็ ตตุ ถฌานนี้ท่พี ระผูม พี ระภาคเจาทําใหบ งั เกดิ แลวท่คี วงโพธิ์พฤกษ จตตุ ถฌานน้ันของพระผูมพี ระภาคเจา นั้น ไดเ ปน บาทแหง การเจริญวปิ ส สนา เปน บาทแหง การไดอ ภิญญาและใหส าํ เรจ็ กิจทกุ อยา ง จงึพึงทราบวา อํานวยคุณท่ีเปนโลกยิ ะและโลกุตตระใหไดทุกอยาง. และจตตุ ถฌานนั้นไดอํานวยคุณเหลา ใดให พระผมู พี ระภาคเจาเม่อื จะแสดงเพยี งบางสวน (เอกเทศ ) แหง คณุ เหลานั้น จงึ ตรสั คาํ วา โส เอวสมาหิเต จติ ฺเต ดงั นเี้ ปน ตน . ปพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ วชิ ชา ๒ ในพระสตู รน้ัน (คือปพุ เพนิวาสานุสสติญาณและจุตปู ปาต-ญาณ) มกี ารพรรณนาไปตามลําดบั บทและวิธเี จรญิ ไดก ลาวไวแลวอยางพิสดารในคมั ภรี วิสทุ ธมิ รรค. แทจรงิ ในคมั ภีรวสิ ุทธิมรรคกบั ในทน่ี ้มี ีความแปลกกนั แหงเดยี วเทานัน้ ดงั น้ี คือในวสิ ุทธิมรรคน้นั ทา นกลาวบท
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 310กริ ิยาไวว า โส เอว สมาหเิ ต จติ ฺเต ฯ เป ฯ อภินินฺนาเมติ (แต)ในที่น้ีพระผมู ีพระภาคเจา ตรัสบทกริ ยิ าไววา อภินินฺนาเมสึ. และวาระวา ดวยอปั ปนาอยางนีว้ า อย โข เม พรฺ าหมฺ ณ กม ไิ ดมาในคัมภีรวสิ ุทธมิ รรคนน้ั . บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา โส คือ โส อห เราตถาคตน้นั . บทวา อภินนิ ฺนาเมสึ แปลวา นาํ ไปเฉพาะ. เพราะพระดาํ รสั วาอภินนิ ฺนาเมสึ ในคําวา โส น้ี จึงพงึ ทราบความหมายอยางน้วี า โส อหเราตถาคตน้ัน. ก็เพราะเหตุท่ปี ุพเพนวิ าสานุสสติญาณนี้มาแลวดวยอาํ นาจของพระผูมพี ระภาคเจา ฉะน้นั จึงพงึ ทราบการประกอบควานอยางนใ้ี นคําน้วี าเราตถาคตนั้นจุตจิ ากภพน้นั แลวมาอบุ ัตใิ นภพน.้ี ในคํานพี้ งึ ทราบ(อธบิ ายเพิ่มเติมอกี ) วา คําวา เราตถาคตนัน้ จุติจากภพนนั้ แลว เปนการพจิ ารณาของพระโพธิสัตวผ พู ิจารณายอนกลับ เพราะฉะนนั้ พงึ ทราบความวา ในคาํ วา อิธูปปนฺโน พระผูมพี ระภาคเจาตรัสหมายเอาภพดุสิตวา เราตถาคตอบุ ตั ใิ นภพดุสติ โนนกอ นจะมาอบุ ัตใิ นภพนี.้ บทวา ตตรฺ าปาสึ เอว นาโม ความวา ในภพดุสติ แมน ั้น เราตถาคตไดเปนเทพบุตรนามวา เสตเกต.ุ บทวา เอว โคตโฺ ต คอื มโี คตรเดยี วกบั เทวดาเหลาน้ัน. บทวา เอว วณฺโณ คอื มผี วิ พรรณผุดผอ งดังทองคํา. บทวา เอวนาหาโร คือมีทพิ พสุธาหาร. บทวา เอว สุขทกุ ขฺ ปฏสิ เวที ความวา เปน ผูม ปี กตเิ สวยทพิ ยสุขอยา งน้ี สว นทุกขมเี พยี งทกุ ขประจําสงั ขารเทา นั้น.
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 311 บทวา เอวมายปุ ริยนโฺ ต ความวา มีอายุ ๕๗ โกฏิ ๖ ลา นป. บทวา โส ตโต จโุ ต ความวา ตถาคตน้นั จตุ จิ ากภพน้นั คือภพดสุ ติ . บทวา อธิ ปู ปนโฺ น ความวา บังเกดิ ในภพน้ี คือในพระครรภพระนางสริ ิมหามายาเทว.ี บทวา เม ในคําวา อย โข เม พรฺ าหมฺ ณ เปน ตน คอื มยา. บทวา วชิ ฺชา ความวา ที่ช่อื วา วิชฺชา เพราะหมายความวากระทําใหรแู จง . ถามวา วิชชาทาํ ใหรแู จง ซ่ึงอะไร ? ตอบวา ซึง่ ขนั ธ ( ภพ ) ที่เคยอยอู าศัยในชาติกอ น. บทวา อวชิ ชฺ า ความวา เพราะหมายความวาไมทําใหร ูแจงซึ่งขันธท่อี าศยั อยูใ นชาติกอ น อวชิ ชา พระผมู พี ระภาคเจา จึงตรัสเรยี กวา โมหะ(ความหลง) ซึ่งปกปดขันธที่อาศยั อยใู นชาติกอนน้ัน. บทวา ตโม ความวา โมหะน้ันแลพระผมู พี ระภาคเจาตรสั เรียกวา ตมะ ( ความมดื ) เพราะหมายความวาปกปด. บทวา อาโลโก ความวา วชิ ชานั้นแลพระผูมพี ระภาคเจาตรสัเรยี กวา อาโลกะ ( แสงสวาง ) เพราะหมายความวา ทําแสงสวางให. ก็ในพระดาํ รสั ทีต่ รสั มาน้ียอ มมีความหมายดังนี้วา วชิ ฺชา อธิคตาแปลวา วชิ ชาตถาคตไดบ รรลุแลว . คาํ ทเ่ี หลอื เปนคาํ กลา วสรรเสริญ.อนง่ึ ในพระดํารสั ตอนนี้มีการประกอบความดังนว้ี า วิชชานแี้ ลเราตถาคตไดบรรลุแลว เมอ่ื เราตถาคตน้นั ไดบ รรลวุ ชิ ชาแลว อวิชชาจงึ ถูกขจดัอธบิ ายวา พินาศไป.
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 312 ถามวา เพราะเหตุไร อวิชชาจงึ พนิ าศไป ? ตอบวา เพราะวิชชาเกดิ ขึ้น. แมใ นสองบทนอกนกี้ น็ ัยนี.้ บทวา ยถา ในคําวา ยถาต ใชใ นความหมายวา อปุ มา(เปรยี บเทยี บ). บทวา ต เปน นบิ าต. บคุ คลชอื่ วาไมป ระมาท เพราะความไมอยูปราศจากสติ ชอื่ วา มคี วามเพยี รเครอ่ื งเผากเิ ลสดวยธรรมเคร่ืองทาํ กเิ ลสใหเรา รอ นทว่ั คือวริ ยิ ะ ช่อื วา มตี น (จติ ) อนั สงไปแลว เพราะไมม ีความหว งใยในรางกายและชวี ติ . บทวา ปหติ ตฺตสฺส ความวา มีตนอนั สงไปแลว . มอี ธิบาย(เพมิ่ เตมิ ) ดงั นีว้ า เม่อื โยคาวจรบุคคลไมประมาท มีความเพยี รเครื่องเผากเิ ลส มตี นสง ไปอยู อวชิ ชาพึงถกู กําจัด วชิ ชาพงึ เกดิ ขึ้น ความมืดพึงถกู กาํ จดั แสงสวางพงึ เกดิ ข้ึนฉนั ใด สาํ หรับเราตถาคตกฉ็ ันน้นั เหมือนกันอวิชชาถกู ขจัดแลว วิชชาก็เกดิ ขน้ึ ความมดื ถูกขจัดแลว แสงสวางกเ็ กดิ ขึ้น เราตถาคตไดผลทส่ี มควรกับการบาํ เพ็ญเพียรนั้น. กถาวาดวยปพุ เพนิวาสานสุ สติญาณจบ. กถาวาดวยจุตูปปาตญาณ [๔๙] ในกถาวาดว ยจุตปู ปาตญาณพงึ ทราบอธบิ ายดงั ตอไปน้ีก็เพราะเหตทุ ใ่ี นท่ีนี้ บาลีมาแลวดวยอาํ นาจพระผูมพี ระภาคเจา ฉะน้ันพระผมู พี ระภาคเจาจงึ ตรัสวา ปสฺสามิ ปชานามิ (เราตถาคตเหน็ อยู
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 313รอู ยู ). ความแปลกกนั มีอยเู ทา น.้ี คาํ ท่เี หลือเหมือนกับทีไ่ ดก ลา วไวแลวในคัมภรี ว ิสุทธิมรรคเลยทเี ดียว. กใ็ นกถาน้ี บทวา วชิ ฺชา ไดแกว ิชชา คือทิพยจักษญุ าณ. บทวา อวิชฺชา ไดแ กอวิชชาทีป่ กปดจตุ แิ ละปฏสิ นธิของสตั วทัง้ หลาย. คําทเี่ หลอื เหมือนกบั ทก่ี ลา วมาแลวทีเดยี ว. ก็เพราะเหตทุ ่พี ระมหาสตั วท งั้ หลายไดบําเพญ็ บารมีมาแลว จงึ ไมม ีความจําเปน ตอ งทาํ บริกรรม เพราะวา ทานเหลาน้ันพอนอ มจติ ไปเทาน้ันก็จะระลึกถงึ ขนั ธท ่ีอาศยั อยูในกาลกอนไดม ากมาย จะเห็นสตั วทัง้ หลายดวยทพิ ยจักษุ ฉะน้ัน วธิ ีเจริญวชิ ชาเหลานั้นเร่ิมตนตัง้ แตท ําบริกรรมท่กี ลาวไวแ ลวในคัมภรี วิสุทธมิ รรคนน้ั จงึ ไมจาํ เปน ตองนํามาแสดงไวในท่ีน.้ี กถาวา ดว ยอาสวกั ขยญาณ [๕๐] ในวิชชาท่ี ๓ พงึ ทราบอธบิ ายดังตอ ไปน้ี :- ในคําวา โส เอว สนาหเิ ต จิตเฺ ต เราตถาคตนัน้ เม่ือจิตตัง้ ม่นั อยา งนี้แลว จติ ท่ตี ้งั มนั่ พึงทราบวา คือจตตุ ถฌานอนั เปนพ้ืนฐานสําหรบั เจริญวิปส สนา. บทวา อาสวาน ขยาณาย ความวา เพื่อประโยชนแกอรหตั ต-มรรคญาณ. แทจ รงิ อรหัตตมรรคเรียกวา ธรรมเปนท่ีส้นิ ไปแหง อาสวะทัง้ หลาย เพราะทาํ อาสวะใหพ นิ าศ และญาณน้ียอมมีในอรหตั ตมรรคนน้ัเพราะนบั เนื่องในอรหัตตมรรคนนั้ สองบทวา จิตตฺ อภนิ นิ นฺ าเมสึ คือนอมจิตทส่ี ัมปยตุ ดว ยวิปส สนาไป.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 314 ในคาํ มีอาทอิ ยา งนว้ี า โส อิท ทุกฺข นกั ศึกษาพึงทราบความหมายอยา งน้ีวา เราตถาคตไดทราบคือรู ไดแกแ ทงตลอดซง่ึ ทกุ ขสจั แมทัง้ หมดวา ทกุ ขม ีจาํ นวนเทานี้ ไมมียง่ิ ไปกวา น้ี ตามความเปนจรงิดว ยการแทงตลอดลกั ษณะที่แทจ ริง ไดทราบ คือไดร ู ไดแ กแ ทงตลอดซง่ึ ตัณหาทย่ี งั ทกุ ขน้นั ใหเกิดวา นเี้ ปนทุกขสมุทัย ไดทราบ คือไดรูไดแ กแทงตลอดซ่ึงทที่ ี่ทกุ ขและสมทุ ยั ทัง้ ๒ มาถงึ แลวดบั ไป ไดแ กนพิ พานอนั เปนแดนทท่ี กุ ขแ ละสมุทัยทัง่ ๒ นัน้ ไมเปน ไป วา นเี้ ปนทุกขนิโรธ ไดทราบ คือไดรู ไดแกแทงตลอดซงึ่ อรยิ มรรคท่ใี หบ รรลุนิพพานนัน้ วานเ้ี ปนทกุ ขนโิ รธคามินีปฏิปทา ตามความเปนจรงิ วาดว ยการแทงตลอดลกั ษณะทแี่ ทจ รงิ . มรรค - ผล - ปจจเวกขณญาณ ครั้นทรงแสดงสัจจะทัง้ หลายโดยสรูปอยางน้แี ลว บัดนี้ เม่ือจะทรงแสดงสัจจะทงั้ หลาย โดยออมดว ยอํานาจกเิ ลส พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรสั คําวา อิเม อาสวา ดงั นเ้ี ปน ตน . บทวา ตสฺส เม เอว ชานโต เอว ปสฺสโต แปลวา เมอื่เราตถาคตนัน้ รูอยอู ยา งน้ี เหน็ อยูอ ยา งน้ี. (ดวยคําน้ี ) พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสถึงมรรคทีถ่ ึงทส่ี ุดพรอมท้ังวิปสสนา. บทวา กามาสวา แปลวา จากกามาสวะ. ดว ยบทวา หลุดพน แลว น้ีพระผมู พี ระภาคเจาทรงแสดงขณะแหงผล. เพราะวาจิตกาํ ลังหลดุ พน ใน
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 315ขณะแหงมรรค. จัดวาหลุดพนแลวในขณะแหงผล. ดวยคําวา เมอ่ืหลดุ พนแลวกร็ วู า หลดุ พน แลวนี้ พระผูมีพระภาคเจาทรงแสดงปจจเวก-ขณญาณ. ดว ยคําวา ชาตสิ ้นิ แลว ดังนี้เปนตน พระผมู ีพระภาคเจายอ มทรงแสดงภมู ขิ องปจ จเวกขณญาณนนั้ . เพราะวาพระผูมพี ระภาคเจาทรงพจิ ารณาอยดู วยญาณนน้ั จงึ ทรงทราบวา ชาตสิ นิ้ แลว ดังนีเ้ ปน ตน . ถามวา กช็ าติไหนของพระผูมีพระภาคเจา ส้ินแลว และพระผมู ีพระภาคเจา ทรงทราบชาตนิ น้ั ไดอ ยางไร ? ตอบวา ไมใ ชช าตอิ ดตี ของพระองคส ิน้ ไป เพราะชาตอิ ดีตน้นั สนิ้ไปแลว กอนทเี ดยี ว ไมใชช าติอนาคตของพระองคสิ้นไป เพราะพระองคไมมีความพยายามในอนาคต ไมใชช าตปิ จจบุ นั สนิ้ ไป เพราะชาติปจ จุบันยงั มอี ย.ู แตวาชาติ ( ความเกดิ ) ใด ซึ่งแยกประเภทเปน( ความเกดิ ของ ) ขนั ธ ๑ ในเอกโวการภพ ขนั ธ ๔ ในจตโุ วการภพและขันธ ๕ ในปญ จโวการภพจะพึงเกดิ ขึ้นได เพราะยงั มไิ ดทํา (อรยิ ะ)มรรคใหเกดิ ชาตินัน้ ( แหละ ) จัดวา สนิ้ ไปแลว เพราะถึงความเปนสภาวะทม่ี กี ารไมเ กดิ ขึ้นเปนธรรมดา เหตุท่ีไดทํา (อรยิ ะ) มรรคใหเกดิ มแี ลว. พระผมู ีพระภาคเจา ทรงทราบชาตนิ ้ันโดยทรงพิจารณากิเลสทล่ี ะไดแลวดวยมรรคภาวนา (การทํามรรคใหเ กิดมี) แลวทรงทราบอยูวาเมือ่ กเิ ลสไมมี การกระทาํ แมจะยังมอี ยกู ็จะไมก อใหเกดิ ปฏสิ นธิอีกตอไปดงั นี้แล. บทวา วุสิต แปลวา อยแู ลว คืออยูจบแลว อธิบายวาการทําแลว คือประพฤตแิ ลว ไดแ กสําเร็จแลว.
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 316 บทวา พฺรหมฺ จรยิ ไดแ กมรรคพรหมจรรย. พระเสขะ ๗ จําพวกรวมทง้ั กลั ยาณปถุ ชุ น ชอ่ื วา กําลังอยปู ระพฤติพรหมจรรย พระขีณาสพเปนผมู กี ารอยูประพฤติพรหมจรรยจ บแลว เพราะฉะนั้น พระผูม ีพระภาคเจา ทรงพจิ ารณาอยูถึงการอยูประพฤตพิ รหมจรรยของพระองค จงึทรงทราบวา พรหมจรรยเ ราตถาคตอยูจบแลว . บทวา กต กรณีย ความวา กิจทั้ง ๑๖ อยา ง คอื ปริญญาการกําหนดรู. ปหานะ การละ, สจั ฉกิ ริ ยิ า การทําใหแ จง , และภาวนาการทาํ ใหเกดิ มี ดวยมรรค ๔ ในสัจจะ ๔ อันเราตถาคตใหส าํ เร็จลงแลว . เพราะวา พระเสขะ ๗ จําพวกรวมทัง้ กัลยาณปุถชุ นกาํ ลงั ทํากิจน้นัอยู ( สวน ) พระขีณาสพมกี ิจทค่ี วรทา นน้ั ทําเสร็จแลว เพราะฉะนนั้พระผมู พี ระภาคเจาทรงพจิ ารณาอยถู งึ กจิ ท่คี วรทําของพระองคจงึ ทรงทราบวา กิจทีค่ วรทาํ เราตถาคตไดทําเสรจ็ แลว . บทวา นาปร อติ ฺถตฺตาย ความวา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงทราบวา บดั น้ี กิจดวยการทํามรรคใหเกดิ มเี พอ่ื ความเปนอยางน้ีอีก คือเพอ่ื เกดิ กจิ ๑๖ อยา ง หรือเพอ่ื ความสน้ิ กิเลสอยา งนอ้ี ีกของตถาคตไมม .ี อีกอยางหนึง่ บทวา อติ ฺถตฺตาย ความวา พระผมู พี ระภาคเจาทรงทราบวา ขันธสนั ดาน (ความสบื ตอ แหง ขันธ) อยางอ่ืนจากความเปนอยางนี้ คอื จากประการอยางนี้ ไดแ กจ ากความสืบตอ แหง ขนั ธท ่ีเปน ไปอยใู นบัดน้ีของเราตถาคตไมมี แตข นั ธ ๕ เหลานน้ั อันเราตถาคตกาํ หนดรูอยางรอบคอบแลว ตง้ั อยเู หมอื นตนไมร ากขาดฉะน้ัน เพราะวญิ ญาณดวงสดุ ทายดบั ไป ขันธ ๕ เหลา นนั้ ก็จกั ดับเหมือนไฟท่หี มดเช่อื ฉะนน้ั . บัดนี้ พระผมู พี ระภาคเจา เมื่อจะทรงแสดงการบรรลญุ าณเปนท่สี ้นิ
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 317ไปแหงอาสวะทั้งหลายน้นั ซึ่งพระองคทรงกําหนดแลว ดว ยปจจเวก-ขณญาณอยางน้ี แกพ ราหมณ จึงตรัสคาํ วา อย โข เม พรฺ าหมฺ ณดังนเ้ี ปน ตน . บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา วชิ ชฺ า ไดแกวิชชาในอรหตั ตมรรค-ญาณ. บทวา อวชิ ชฺ า ไดแ กอวิชชาท่ปี กปดสัจจะ ๔. คําท่เี หลือมีนัยดงั ทไ่ี ดก ลา วมาแลว ทเี ดียว ก็พระผูมีพระภาคเจา ทรงประกาศสงเคราะหค ุณแหง ความเปนพระสัพพญั ูแมท ง้ั หมดดว ยวชิ ชา ๓ อยา งนี้คอื ทรงสงเคราะหอ ตีตัง-สญาณดวยปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงสงเคราะหปจ จปุ ปน นงั สญาณและอนาคตังสญาณดวยทิพยจักษญุ าณ (และ) ทรงสงเคราะหโ ลกตุ ตรคุณทัง้ หมดดวยอาสวักขยญาณ ดวยพระดํารสั ดังกลาวมานี้ จัดวาไดทรงแสดงการอยูอ ยา งไมงมงาย (ธรรมเคร่อื งอยูอ ยา งไมงมงาย) ของพระองคแกพราหมณ. ประโยชนของการอยูปา ๒ อยาง [๕๑] ไดยินวา เม่ือพระผมู พี ระภาคเจาตรสั อยา งนี้แลว พราหมณคดิ วา พระสมณโคดมทรงปฏญิ าณความเปนพระสัพพัญู แตแ มใ นวนั นี้พระองคก็ยังไมยอมทิง้ การอยใู นปา กจิ ทค่ี วรทาํ อะไรๆ แมอ ยางอ่นื ของพระองคย ังมีอยหู รือหนอแล. ลาํ ดบั น้ัน พระผูม พี ระภาคเจา ทรงทราบอธั ยาศยั ของพราหมณน ั้นแลว ไดตรัสคําวา สิยา โข ปน เต ดังน้ีเปนตน เพื่อคลอยตามอัธยาศัย.
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 318 บรรดาบทเหลาน้นั บทวา สยิ า โข ปน เต พรฺ าหฺมณเอวมสสฺ ความวา ดกู อนพราหมณ บางครัง้ ทา นพึงมคี วามคิดอยางน.ี้ บทวา น โข ปเนต พรฺ าหฺมณ เอว ทฏ พพฺ ความวาดกู อ นพราหมณ กแ็ ลเมื่อเปน อยางนี้ ทานไมพงึ เหน็ อยา งนีว้ า การอยูในเสนาสนะอันสงดั ของเราตถาคตเปน เพราะสาเหตมุ คี วามท่รี าคะยงิ่ ไมหมดเปน ตน. พระผูมพี ระภาคเจา ครน้ั ทรงปฏิเสธสง่ิ ทีไ่ มใ ช (ดังกลาวมานน้ั )ในการอยใู นเสนาสนะอันสงดั อยางน้ีแลว เมอื่ จะทรงแสดงถึงเหตุ (บา ง)จึงตรสั คําวา เทฺว โข อห ดงั น้เี ปนตน. ประโยชนนัน่ แหละในคําวาอตฺถวเส นั้น ชื่อวา อาํ นาจแหง ประโยชน เพราะฉะนั้น ในคาํ วาเทฺว โข อห พรฺ าหมฺ ณ อตฺถวเส จงึ มีคําอธิบายวา ดกู อ นพราหมณเราตถาคตแลเหน็ อยซู ึง่ ประโยชน ๒ อยาง คอื เหตุ ๒ อยา ง. ในคําวา อตตฺ โน จ ทฏิ ธมมฺ สขุ วหิ าร (การอยูอยา งเปน สขุในปจจบุ นั ของตน) อตั ภาพทเี่ ห็นประจักษอยูน้ี ช่ือวา ทฏิ ฐธรรนการอยูดวยอริ ิยาบถท้งั ๔อยางผาสุก ชื่อวา สุขวหิ าร (การอยอู ยางเปน สขุ )พึงทราบอรรถาธบิ ายนวี้ า เพราะวา คนแตล ะคนมีอริ ิยาบถอนื่ ๆ ท้งั หมดโดยทีส่ ุดการถา ยอจุ จาระปส สาวะสะดวกสบาย เพราะฉะน้ัน การอยูอยา งเปน สุขของอัตภาพท่เี หน็ ประจกั ษอ ยู จึงชอื่ วา ทิฏฐธรรมสขุ วหิ าร. คาํ วา ปจฉฺ ิม ชนต อนกุ มฺปมาโน (อนุเคราะหห มูช นรนุ หลัง)พงึ ทราบอธิบายดงั ตอ ไปน้ี :- พระผูมพี ระภาคเจา ทรงอนเุ คราะหห มูช นรนุ หลังดว ยการอยปู าอยา งไร ?
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 319 อธิบายวา กลุ บตุ รท้งั หลายทีบ่ วชดวยศรัทธาเห็นการอยูปาของพระผมู พี ระภาคเจาแลว พากนั คิดวา แมแตพ ระผมู ีพระภาคเจา ผูซงึ่ไมมีทกุ ขสจั ทจี่ ะตอ งกาํ หนดรู ไมมสี มุทยั สัจท่ตี อ งละ ไมม ีมัคคสัจท่ตี อ งทาํ ใหเ กดิ มี ไมมีนโิ รธสัจท่ตี อ งทาํ ใหแ จง กย็ งั ไมย อมละท้ิงเสนาสนะปาเลย ก็จะปว ยกลา วไปไยถึงเราท้ังหลายเลา ดังน้ี แลวจักพากันสาํ คญัเสนาสนะปา วาอันตนควรอยแู ทท ีเดยี ว ดว ยอาการอยา งน้ี พวกเขาก็จกัทาํ ทกุ ขใหห มดส้นิ ไปไดโดยเร็วพลัน พระผมู พี ระภาคเจา ชอ่ื วา ทรงอนุเคราะหหมูช นรุน หลงั อยา งน้แี ล. พระผูมีพระภาคเจา เมือ่ จะทรงแสดงเน้ือความนีจ้ งึ ตรสั วา ปจฉฺ มิ จฺ ชนต อนุกมปฺ มาโน ดังน.้ี ความหมายของศัพทว า อภิกกนั ตะ [ ๕๒] พราหมณไดฟงพระดํารสั นนั้ แลว รสู ึกพอใจจึงไดก ลา วคาํ วา อนกุ มฺปต รปู า ดงั นเี้ ปน ตน . บรรดาบทเหลา น้ัน บทวา อนกุ มปฺ ตรปู า แปลวา เปนชนิดที่พระโคดมผูเ จรญิ อนเุ คราะหแ ลว คอื เปนผูอันพระโคดมผเู จรญิ เก้อื หนนุแลว เปน สภาพ. บทวา ชนตา แปลวา หมูช น. บทวา ยถาต อรหตา สมมฺ าสมฺพทุ ฺเธน ความวา (หมูชนรุนหลัง)อันพระโคดมผเู จริญอนเุ คราะหแลว อยา งทีผ่ ทู เี่ ปน พระอรหนั ตสัมมาสมั พุทธเจาจะพึงอนุเคราะห. กพ็ ราหมณค ร้ันกลา วอยางนแี้ ลว เม่ือจะแสดความช่ืนชมพระธรรมเทศนาน้ันของพระผมู ีพระภาคเจา อกี จึงไดกลา วคํานก้ี ะพระผูม ี-
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 320พระภาคเจา วา ขาแตพ ระโคดมผเู จรญิ พระดาํ รสั ของพระองคจ ับใจย่งิ นกั พระดาํ รสั ของพระองคจับใจยิง่ นกั . ในคําวา อภิกกฺ นฺต โภ โคตม เปนตน นัน้ อภกิ กันตศัพทน ้ี ใชใ นความหมายวา ขยะ สิ้นไป, หมดไป, ลว งเลย สนุ ทรดี อภริ ูปะ สวยงาม และ อพั ภนุโมทนะ ชื่นชม, ยนิ ดี. ก็ อภิกกนั ตศพั ทท ีใ่ ชในความหมายวา \"ขยะ\" (เชน ) ในประโยคเปนตนวา ขา แตพระองคผ เู จรญิ ราตรีลวงไปแลว ปฐมยามผา นพนไปแลว ภกิ ษสุ งฆนัง่ (คอย) อยนู านแลว. ใชใ นความหมายวา \"สุนทระ\" ( เชน ) โนประโยคเปน ตน วาบรรดาบุคคล ๔ คนน้ี คนน้ีดีกวา และประณีตกวา . ใชใ นความหมายวา \"อภิรปู ะ\" (เชน ) ในประโยคเปนตนวาใครชา งรุงเรือ่ งดวยฤทธ์แิ ละยศ มีผวิ พรรณสวยงาม ทําทิศทง้ั ปวงใหสวางไสว (มา) กราบเทาของเราตถาคต. ใชในความหมายวา \"อัพภนุโมทนะ\" (เชน) ในประโยคเปน ตนวา ขาแตพระองคผ เู จริญ พระดาํ รัสของพระองคจ บั ใจย่งิ นัก. แมใ นท่ีนี้ อภิกกนั ตศพั ทก็ใชใ นความหมาย แหง \"อพั ภน-ุโมทนะ ชน่ื ชม, ยินด\"ี เหมือนกัน. ก็เพราะเหตทุ ่ีอภิกกนั ตศัพทใชใ นความหมายแหง อัพภนโุ นทนะ. ฉะนนั้ จงึ ควรทราบวา (คาํ วาอภิกกฺ นฺต โภ โคตม) ทานอธิบายไววา ไดแก สาธุ สาธุ โภ โคตมขาแตพ ระโคดมผเู จรญิ พระดํารัสของพระองคด ีแลว ดแี ลว พระเจาขา .
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 321 เหตผุ ลท่ีใชอภกิ กันตศพั ท ๒ ครั้ง(นกั ปราชญไดกลาวคาถาประพนั ธน ้ไี วว า) ทา นผูรูพ ึงทาํ การกลา วซา้ํ ใน (คาํ พดู แสดง) ความ กลัว (ภเย) ความโกรธ ( โกเธ ) การสรรเสรญิ (ปส สาย ) ความรบี ดวน ( ตรุ ิเต) ความตน่ื เตน (โกตุหเล) ความอศั จรรยใจ (อจฺฉเร) ความ รา เรงิ ยนิ ดี (หาเส) ความโศก (โสเก) และ ความเลื่อมใส (ปาสาเท). และดว ยลักษณะ (เหตผุ ลดงั วามา) น้ี อภิกกนั ตศัพทนพี้ งึ ทราบวาพราหมณกลาวไวถงึ ๒ คร้ังในทน่ี ี้ กด็ ว ยอํานาจความเล่อื มใสและความสรรเสริญ. อีกอยา งหนง่ึ บทวา อภกิ กฺ นตฺ แปลวา นาใครอยางยงิ่คือนาปรารถนาอยา งยง่ิ อธิบายวา นา พอใจอยางยง่ิ คือ ดียิงนกั . ในอภิกกันตศพั ททั้ง ๒ นน้ั พราหมณชมเชยเทศนาดว ย อภิกกนั ตศพั ท(ทม่ี ีความหมาย) อยางหนง่ึ ประกาศความเล่ือมใสของตนดว ยอภิกกันต-ศพั ท (ทีม่ ีความหมาย) อกี อยา งหนึ่ง. ก็ในความหมายทัง้ ๒ น้ีมอี ธิบายดงั นี้วา พระธรรมเทศนาของพระโคดมผูเจรญิ นาจบั ใจยิงนกั ความเล่ือมใสของขาพระองคอ าศัยธรรมเทศนาของพระโคดมผูเจรญิ กน็ าพอใจยิง่ นกั หรือไมก ็พราหมณน้ีมุง ใชค วามหมายทัง้ ๒ (ไปในการ) ชมเชยพระดํารสั ของพระผมู -ีพระภาคเจาอยางเดยี ว. (คือชมเชยวา ) พระดํารสั ของพระโคดมผเู จรญิ
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 322นบั วา จบั ใจยง่ิ นกั เพราะยังโทษใหพ ินาศไป นับวา นา จบั ใจยิง่ นักเพราะใหบรรลุคณุ อน่งึ นักศกึ ษาพงึ ประกอบ (คําวา ) โภโตโคตมสสฺ วจน อภิกกฺ นตฺ ) เขา กับบททั้งหลายมอี าทิอยางน้ีวา :- พระดาํ รสั ของพระโคดมผเู จรญิ นับวา จับใจยิง่ นัก เพราะทาํ ใหเกดิศรทั ธา นบั วา จับ ใจย่ิงนกั เพราะทาํ ใหเ กิดปญ ญา. พระดํารัสของพระโคดมผเู จริญนับวาจบั ใจยิ่งนัก เพราะพรัง่ พรอ มดวยอรรถะ (ความหมาย ) นบั วาจับใจยง่ิ นัก เพราะพร่ังพรอมดว ยพยัญชนะ. พระดาํ รัสของพระโคดมผูเจรญิ นับวา จับใจยิง่ นกั เพราะมีบทงา ยนบั วา จบั ใจย่ิงนกั เพราะมีความหมายลกึ ซ้ึง. พระดํารสั ของพระโคดมผเู จรญิ นบั วา จบั ใจยิ่งนักเพราะ (ฟง แลว)รื่นหู นับวาจับใจยิง่ นัก เพราะ (ฟงแลว ) ซึ้งใจ. พระดํารสั ของพระโคดมผูเจริญนับวาจบั ใจย่ิงนกั เพราะไมย กตนนบั วาจับใจย่ิงนกั เพราะไมขม คนอนื่ . พระดํารสั ของพระโคดมผูเ จรญิ นบั วา จบั ใจยิ่งนัก เพราะเยือกเยน็ดวยพระกรุณา นับวาจบั ใจย่ิงนัก เพราะผองแผวดวยพระปญญา. พระดาํ รสั ของพระโคดมผูเจริญนับวา จับใจยิง่ นกั เพราะเปน ท่ีร่ืนรมยตามคัลลอง นบั วาจบั ใจยิง่ นัก เพราะทนตอ การถกู โจมตี. พระดํารัสของพระโคดมผูเจรญิ นับวา จบั ใจย่ิงนกั เพราะฟงอยูก็เปนสขุ นบั วา จับ ใจยง่ิ นกั เพราะใครครวญอยูก็เปนประโยชน.
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 323 อุปมา ๔ ขอ ตอ จากน้ัน พราหมณไดชมเชยพระธรรมเทศนานนั้ แลดวยอุปมา๔ ขอ. บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา นกิ ุชฺชติ ไดแกภาชนะท่วี างควาํ่ ปากลงหรอื ที่มปี ากอยขู า งใต. บทวา อกุ กฺ ชุ ฺเชยยฺ ไดแกพ งึ หงายปากข้ึน. บทวา ปฏิจฉฺ นฺน ไดแ กท ่ีเขาปด ไวด วยหญาและใบไมเปนตน. บทวา ววิ เรยยฺ แปลวาพึงเปด. บทวา มฬุ ฺหสฺส ไดแก (บคุ คล) ผูห ลงทศิ . บทวา มคคฺ อาจิกเฺ ขยยฺ ความวา พึงจับทีม่ ือแลว บอกวา น่ที าง. บทวา อนธฺ กาเร คอื ในความมดื มีองค ๔ (คอื มดื ) เพราะวันแรม ๑๔ ค่ํา เพราะเปน เวลาเท่ยี งคนื เพราะปาทบึ และเพราะเมฆหนาบดบัง. ความหมายของบททีไ่ มง ายมีเทา นกี้ อน. สว นคําอธิบายประกอบความหมายมีดงั ตอ ไปนีว้ า :- พระโคดมผูเ จริญผูยังขาพระองคผ เู บือนหนาหนจี ากสัทธรรม ตกไปในอสทั ธรรม ใหพน มาจากอสทั ธรรม เหมอื นใคร ๆ พึงหงายของทคี่ วํ่าขน้ึ ฉะนน้ั ผูเ ปดเผยศาสนาซง่ึ ถูกปด บงั ไวด ว ยรกชัฏ คอื มจิ ฉาทิฏฐิ จําเดมิแตศาสนาของพระผมู ีพระภาคเจาทรงพระนามวา กสั สปะ อันตรธานไปเหมือนใคร ๆ พงึ เปด ของที่ถูกปดบังออกฉะนน้ั ผูบอกทางสวรรคแ ละนพิ พานแกขาพระองคผ ูเดนิ หลงไปสูท างสายตา่ํ คอื ทางท่ีผิด เหมอื นใครๆ
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 324บอกทางแกคนหลงทางฉะนน้ั ช่อื วา ไดทรงประกาศธรรมะไวแ ลว โดยอเนกปรยิ ายแกขา พระองค เพราะทรงประกาศไวแลว โดยปริยายเหลา น้ีโดยทรงสอ งแสงสวางคือพระธรรมเทศนาอันกําจดั เสียซง่ึ ความมดื คอืโมหะท่ปี กปดพระรตั นตรยั นนั้ ไว แกขา พระองคผจู มดงิ่ ลงไปในความมืดคือโมหะ มองไมเหน็ รูปพระรตั นตรยั มพี ระพทุ ธเจา เปน ตน เหมอื นใคร ๆ พึงสองแสงเพลงิ ในที่มดื ฉะนนั้ . พราหมณค รัน้ ชมเชยพระธรรมเทศนาอยา งนีแ้ ลว มีจิตเลือ่ มใสในพระรตั นตรัย เพราะเทศนานี้ เม่อื จะทรงทําอาการของบคุ คลผเู ล่อื มใสจงึ กลาวคาํ วา เอสาห ดังน้ีเปนตน. บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา เอสาห ตดั บทเปน เอโส อห(ขา พระองคนั่น ). หลายบทวา ภวนตฺ โคตม สรณ คจฺฉามิ ความวา ขาพเจาขอถงึ ขอคบ ขอเสพ ขอเขา ไปนงั่ ใกลพ ระโคดมผูเจริญดว ยความประสงคนี้วา ขอพระโคคมผเู จริญจงเปนทีร่ ะลกึ เปน ท่ีพึ่ง เปนผูทําลายความทุกขและเปน ผูสรรคส รางประโยชนสุขใหแกข าพระพุทธเจาดว ยเถดิ อีกอยา งหนง่ึ ความวา ขา พระองคร ู คอื ทราบอยูอ ยา งนี้. เพราะวา ธาตุเหลา ใดแปลวา \"ไป\" ธาตเุ หลานั้นกย็ อ มแปลวา \"ร\"ู ไดดวย. เพราะฉะน้ันบทวา คจฺฉามิ น้ี พระอรรถกถาจารยจ ึงกลา วความหมายไวด งั น้ีวาชานามิ พชุ ณฺ ามิ (รอู ย,ู ทราบอย)ู . กใ็ นคําวา ธมมฺ ฺจ ภิกฺขุสงฆฺ จฺ น้ีพึงทราบอธบิ ายดงั ตอไปน้ี :- ทช่ี ่ือวา ธรรม เพราะมคี วามหมายวา ทรงไวซง่ึ บุคคลท้ังหลายผูไดบ รรลุ (อริย) มรรค ผูทําใหแจง ซ่งึ นโิ รธแลว ( และ) ผปู ฏบิ ัติ
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 325ตามคําทพี่ ระพุทธเจาทรงพราํ่ สอนเปน ประจํามใิ หต กไปในอบาย ๔. ธรรมนน้ั เม่อื วา โดยความหมาย ก็ไดแก อรยิ มรรคและนิพพาน. สมจรงิ ดว ยพระดาํ รัสท่พี ระพุทธเจา ตรัสไวดังนว้ี า ดกู อนภกิ ษทุ ง้ั หลาย ธรรมะทีเ่ ปนสงั ขตะ (ถูกปจ จัยปรุงแตง ) มีอยเู ทา ใด อริยมรรคมีองค ๘ ตถาคตกลาววา เปนยอดแหงธรรมทีเ่ ปนสังขตะเหลา นน้ั ความพิสดารเปนดังวามาน.้ี และไมใชแ ตอ รยิ มรรคและนพิ พานอยางเดยี วเทาน้ัน (ที่ช่ือวาธรรม ) โดยท่แี ทแล แมประยัติธรรมพรอ มทง้ั อริยผลทงั้ หลาย (ก็ชือ่ วาธรรม ) สมจริงดงั คาํ ทีเ่ ทพบตุ รกลา วไวใ นฉตั ตมาณวกวมิ านวัตถุวา ทานจงเขา ถึงธรรมน้ซี ง่ึ เปนธรรมสําหรับสํารอกราคะ ไมห ว่นั ไหว ไมมีความโศก ไมถกู ปจจยั ปรุงแตง ไมป ฏกิ ลู เปน ธรรมอนั ไพเราะทีพ่ ระพุทธเจาทรง เชย่ี วชาญแลว ท้ังยังไดทรงจําแนกไวเรียบรอ ย เพอ่ื เปนท่ีระลึกท่พี ่ึงเถิด. ในคาถานีพ้ งึ ทราบวนิ ิจฉยั ดงั นี้ :- บทวา เปนธรรมสําหรับสํารอกราคะ คือเทพบตุ รกลาวถงึ มรรค. บทวา เปนธรรมไมหว่ันไหว ไมม คี วามโศก คือเทพบุตรกลา วถึงผล. บทวา เปน ธรรมท่ไี มถกู ปจ จัยปรงุ แตง คือเทพบุตรกลาวถงึนิพพาน. บทวา ไมป ฏิกูล เปนธรรมอนั ไพเราะ ท่ีพระพุทธเจาทรงเช่ียวชาญแลว ทั้งยังไดทรงจําแนกไวเ รยี บรอ ยน้ี คือ เทพบตุ รกลา วถึง
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 326พระธรรมขนั ธทง้ั หมดที่ทรงจาํ แนกไวเปนพระไตรปฎ ก. ที่ชือ่ วา สงั ฆะ (สงฆ) เพราะหมายความวา รวมกนั ดวยเครื่องรวมคือทฏิ ฐิและศลี . สงฆน้นั เม่ือวา โดยความหมาย คอื หมูพระอรยิ -บุคคล ๘ จําพวก. สมจรงิ ดงั คําทีเ่ ทพบตุ รกลาวไวในคมั ภีรวิมานวัตถนุ ัน้เองวา ก็บัณฑติ กลาวทานท่ีบคุ คลถวายแลว ในบุคคล ๔ คู เหลาใด ซึง่ เปน คูบุคคลท่สี ะอาด บุคคล ๔ คูเ หลา น้นั คือบุคคล ๘ จําพวก ซ่งึ เปน ผูเ หน็ ธรรม ขอทานจง เขา ถึงพระสงฆนเี้ พอ่ื เปนทรี่ ะลกึ ทีพ่ ึ่งเถดิ . หมูแหง ภิกษทุ ัง้ หลายชื่อวา ภิกษสุ งฆ. พราหมณไ ดป ระกาศการถงึ สรณะทัง้ ๓ ดวยถอ ยคาํ มเี พยี งเทาน้ี. สรณคมน บัดน้ี เพื่อความเปน ผฉู ลาดในสรณคมนเ หลาน้ันจึงควรทราบวธิ นี ้ีคือ สรณะ การถงึ สรณะ ผถู ึงสรณะ ประเภทแหงการถึงสรณะ ผลแหงการถึงสรณะ สังกเิ ลส (ความเศรา หมอง ) และเภทะ ( ความหมดสภาพ). ถามวา วธิ นี ม้ี คี วามหมายเปน อยางไรบาง ? ตอบวา ควรทราบความหมายโดยความหมายเฉพาะบทกอน. ทีช่ ่อืวา สรณะ เพราะหมายความวา เบยี ดเบยี น อธบิ ายวา ยอ มกําจดั คือทาํ ความกลวั ความหวาดสะดุง ความทกุ ข กิเลสทีเ่ ปน เหตุใหไ ปสูทคุ ติ
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 327ของบุคคลผูถงึ สรณะใหพินาศไปดว ยการถึงสรณะนนั้ แล. คําวา สรณะนั่นเปนชอื่ เรียกพระรัตนตรยั . อีกอยางหน่งึ ทีช่ ่ือวา พุทธะ เพราะหมายความวา ขจดั ซึง่ ภัยของสัตวท ัง้ หลายโดยทําสตั วท ้งั หลายใหเ ปนไปในประโยชนเ กอ้ื กลู และถอยกลบั จากสิ่งท่ไี มใชประโยชนเก้ือกลู . ทชี่ อ่ื วา ธรรม เพราะทําสัตวท ้งั หลายใหช วยขามพน จากกันดารคอื ภพและเพราะใหค วามเบาใจแกส ตั วทั้งหลาย ทช่ี ื่อวา สงฆ เพราะทําสกั การะทงั้ หลายแมเ ปน ของนอ ยคา ใหไดร ับผลอันไพบูลย เพราะฉะนั้นพระรัตนตรยั จึงชือ่ วา สรณะ โดยบรรยายนีด้ ว ย. จิตตปุ บาท (ความเกิดความคดิ ขน้ึ ) ท่มี ีกิเลสอันถูกขจดั แลว ดว ยความเปน ผูเ คารพเลอื่ มใสในสรณะนน้ั อันเปนไปโดยอาการที่มคี วามเคารพเลือ่ มใสในพระรตั นตรัยน้นั เปน เบื้องหนา ชอื่ วา สรณคมน. สัตวผ พู ร่ังพรอมดว ยสรณคมนน ้ัน ช่อื วา ถึงสรณะ. อธิบายวายอมเขาถึงรัตนะท้ัง ๓ เหลาน้วี าเปน สรณะ (ท่รี ะลกึ ท่พี งึ่ ) วา เปนปรายนะ (เคร่อื งนาํ ทาง) ดว ยจิตตปุ บาทมปี ระการดังกลา วแลว. นักศึกษาพึงทราบ สรณะ การถึงสรณะ และผูถ ึงสรณะ ทัง้ ๓ อยางนีก้ อน. ประเภทแหงการถึงสรณะ สวนในประเภทแหง การถึงสรณะ (การถึงสรณะมีกป่ี ระเภท)พงึ ทราบอธบิ ายตอ ไป. การถงึ สรณะมี ๒ คือ การถึงสรณะทเี่ ปนโลกตุ ตระ ๑ การถงึ สรณะท่ีเปนโลกิยะ ๑. ในสองอยางนน้ั การถึงสรณะที่เปนโลกุตตระของบุคคลผูเหน็ สัจจะแลว เมื่อวา โดยอารมณย อ มมนี ิพพานเปน อารมณ เม่ือวา โดยกิจยอมสาํ เร็จไดในพระรัตนตรยั แมท ้ังสน้ิ เพราะ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 328ตดั ขาดกิเลสทเี่ ปน เหตขุ ดั ขวางการถงึ สรณะไดในขณะแหงมรรค. (สว น)การถงึ สรณะท่ีเปนโลกิยะของปุถชุ น เมือ่ วา โดยอารมณ ยอ มมพี ระพทุ ธคุณเปน ตนเปน อารมณ สาํ เร็จไดดว ยการขมกเิ ลสทีเ่ ปนเหตุขัดขวางการถงึสรณะไวได. การถึงสรณะนั้น เมอื่ วา โดยความหมาย ไดแก การไดศรทั ธาในพระรัตนตรยั มีพระพทุ ธเจาเปน ตน และสัมมาทฏิ ฐทิ มี่ ีศรัทธา(ในพระรตั นตรัยนน้ั ) เปน พน้ื ฐานทานเรยี กวา ทิฏชุ กุ รรม (การทําความเห็นใหต รง ) ( ซึ่งอยู ) ในบุญกริ ิยาวตั ถุ ๑๐. การถึงสรณะแบบนี้นัน้ มีอยู ๔ อยางคอื (การถงึ ) ดว ยการมอบตน ๑ ดวยการมพี ระรตั นตรยั นั้นเปนเครือ่ งนาํ ทาง ๑ ดวยการยอมเปนศิษย ๑ ดว ยการถวายมือ ( การประนมมือทําความเคารพ) ๑. ใน ๔ อยา งน้นั ทีช่ ่ือวา การมอบตน ไดแก การยอมสละตนแดพระรตั นตรัยมพี ระพุทธเจา เปน ตน ( ดว ยการกลาว ) อยางน้ีวานับแตวนั นี้เปนตน ไป ขา พเจาขอมอบตนถวายแดพระพทุ ธเจา แดพระธรรม และแดพ ระสงฆ. ทีช่ ่อื วา การมีพระรัตนตรัยน้ันเปนเครื่องนําทาง ไดแก การทีม่ ีพระรตั นตรยั นนั้ เปน ท่ไี ปในเบ้ืองหนา (ดว ยการพดู ) อยางนวี้ า นับตง้ั แตวนั นี้เปน ตน ไป ขอทานทง้ั หลายจงจาํ ขาพเจา ไววา ขาพเจาขอมีพระพทุ ธเจาเปนผนู าํ ทาง ขอมพี ระธรรมเปน ผนู ําทาง ขอมพี ระสงฆเ ปนผูนาํ ทาง. ทชี่ อ่ื วา การถวายมือ ไดแก การทําความนอบนอ มอยางสงู ในพระรัตนตรยั มพี ระพทุ ธเจา เปน ตน ( ดวยการพดู ) อยา งนวี้ า นบั ต้งั แต
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 329วนั นเ้ี ปนตนไป ขอทานทง้ั หลายจงจําขาพเจา ไววา ขาพเจาขอทําการกราบไหว การลกุ รบั การประนมมือ การทาํ ความนอบนอ มแดพ ระรตั นตรัยมีพระพุทธเจา เปนตน นน่ั แล. ก็บุคคลเมอื่ ทําอาการอยา งใดอยา งหน่งึ ในบรรดาอาการทั้ง ๔อยางนี้ จดั วาไดรับการถึงสรณะแลว ทเี ดียว. อีกอยา งหนงึ่ พงึ ทราบการมอบคน ( ดว ยการพูด) แมอยา งนี้วาขาพเจาขอสละตนแดพระผมู พี ระภาคเจา แดพ ระธรรม ( และ) แตพระสงฆ ขาพเจาขอสละชีวติ แดพระผมู พี ระภาคเจา แดพระธรรม(และ) แดพ ระสงฆ ขาพเจา สละคนแลวทีเดยี วแดพ ระผูมพี ระภาคเจาแดพ ระธรรม ( และ) แดพ ระสงฆข า พเจาสละชวี ิตแลว ทีเดยี วแดพ ระผมู ีพระภาคเจา แดพ ระธรรม ( และ ) แดพระสงฆ ขาพเจาขอถงึ พระพทุ ธเจา(พระธรรมและพระสงฆ) วา เปน สรณะ โดยขอเอาชีวิตเปนเดิมพันขอพระพุทธเจา ( พระธรรมและพระสงฆ ) จงเปนทรี่ ะลกึ ทพ่ี ึง่ เปนท่ีอาศยั เปนที่ตา นทานของขา พเจา . พงึ เหน็ การเขาถึงความเปน ศษิ ย (การยอมตวั เปนศษิ ย ) เหมอื นการเขา ถงึ ความเปนศิษยในการถึงสรณะของพระมหากัสสปะ (ดว ยการพดู ) แมอ ยางนี้วา ขอขาพเจาพงึ ไดพบพระศาสดา พึงไดพ บพระผูม-ีพระภาคเจา ขอขา พเจา พงึ ไดพ บพระสคุ ต พึงไดพบพระผูมพี ระภาคเจาขอขา พเจา พึงไดพบพระสัมมาสมั พุทธเจา พึงไดพ บพระผูมพี ระภาคเจา. พึงทราบความทม่ี ีพระรตั นตรัยนัน้ เปนเครื่องนําทาง (เปนทไ่ี ปในเบื้องหนา ) เหมอื นการถึงสรณะของชนทัง้ หลายมีอาฬวกยักษเปน ตน( ดว ยการพดู ) แมอ ยา งน้ีวา
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 330 ขา พเจานั้นจักเที่ยวไปจากหมบู าน (นี้) สหู มบู าน (โนน ) จากเมือง (นี้ ) สเู มอื ง (โนน ) (เพ่อื ) นมสั การพระสมั มาสมั พทุ ธเจา ความเปน ธรรม ท่ดี ีแหง พระธรรม (และความเปนสงฆท ่ีดีแหง พระ- สงฆ) . พึงเห็นการพนมมอื ไหว แมอ ยางนี้วา ครัง้ นนั้ แล พราหมณช ื่อพรหมายุ ลุกขึ้นจากที่นงั่ ทําผา หมเฉวยี งบาขา งหน่งึ แลว ซบศีรษะลงแทบพระบาทของพระผูม ีพระภาคเจา จูบพระบาทของพระผูมพี ระภาคเจาดวยปาก นวดเฟนดวยฝามือแลว ประกาศชอ่ื วา ขาแตพ ระโคดมผูเจรญิขา พระองคเ ปน พราหมณช ่อื พรหมายุ ขาแตพ ระโคดมผูเจริญ ขา พระองคเปน พราหมณช อ่ื พรหมาย.ุ กก็ ารพนมมือไหวน้นั มีอยู ๔ อยาง คือ (ถวายมือ) เพราะเปนญาติเพราะความกลวั เพราะเปนอาจารย และเพราะเปน ทักขไิ ณยบุคคล.บรรดาการพนมมอื ไหว ๔ อยา งน้ัน การถึงสรณะมีไดด ว ยการพนมมอื ไหวเพราะเปน ทักขิไณยบคุ คล ไมใชเ ปน ดวยเหตุ ๓ อยางนอกจากน้ี. เพราะวา สรณะอันบุคคลยอ มรบั ไดด วยบุคคลผปู ระเสรฐิ สดุ จะหมดสภาพไป (กาํ หมด ) ดว ยอาํ นาจบุคคลผูประเสริฐสุดเหมือนกันเพราะฉะน้ัน บุคคลใดจะมเี ชอื้ สายเปน ศากยะหรือเปน โกลยิ ะกต็ าม ถวายบังคม (พระพทุ ธเจา ) ดวยสําคัญวา พระพทุ ธเจาเปน พระญาตขิ องเราทง้ั หลาย บุคคลนัน้ ยังไมจ ดั วา ไดรบั สรณะเลย. หรอื วา บคุ คลใดถวายบังคมพระพทุ ธเจา ดว ยความกลัววา พระสมณโคดมเปน ผูอ ันพระราชา
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 331บชู าแลว มอี านภุ าพมาก เม่ือเราไมไหวจะพงึ ทําความเสยี หายใหแ กเราได บคุ คลนนั้ กย็ งั ไมจดั วา ไดร บั สรณะเหมือนกัน. แมบ ุคคลใครร ะลึกถึงคาํ สอนบางอยางทไ่ี ดเ รียนในสํานกั ของพระผูม พี ระภาคเจา เมือ่ คร้ังที่พระองคย งั เปน พระโพธสิ ตั วอยู หรือในพทุ ธกาลไดเ รยี นคาํ สอนทาํ นองนวี้ า บคุ คลควรใชส อย เลีย้ งชีวติ ดวยทรัพยสวนหนง่ึ ลงทุนทาํ งานดวยทรพั ยสองสว น และสวนทส่ี คี่ วร เก็บไว (เพราะมนั จะอาํ นวยประโยชนไ ด) เมือ่ คราว มีความจําเปน ตอ งใช (เกดิ ความเลื่อมใส) ถวายบงั คมดวยความรูส กึ วา พระองคเ ปนพระอาจารยของเรา บุคคลนัน้ ก็ชือ่ วา ยงั ไมไดรบั สรณะเหมือนกนั . สวนบุคคลใดถวายบังคมดวยความสาํ คญั วา พระพุทธเจาทรงเปนอคั รทักขไิ ณยบุคคลในโลก บุคคลนนั้ แลจัดวาไดร ับสรณะแลว . อุบาสกหรอื อุบาสิกาผูไดร ับสรณะอยางนแี้ ลว จะไหวญ าติแนที่บวชในสํานกั อัญญ-เดยี รถยี ด วยความรูสกึ วา ทานผูนี้เปน ญาติของเรา ดงั นี้ การถึงสรณะกย็ ังไมหมดสภาพไป (ไมเสยี ) จะปวยกลาวไปไยถงึ บุคคลหรอื อบุ าสิกาผูไหวญ าติทยี่ งั ไมบ วชเลา. สาํ หรบั อบุ าสกหรืออุบาสกิ าผถู วายบังคมพระราชากเ็ หมือนกนั คอืถวายบงั คมดวยอาํ นาจความกลวั วา พระราชาพระองคน ้ันเพราะเปน ผทู ี่ชาวแวนแควนบชู ากนั แลว เม่ือเราไมถวายบังคมกจ็ ะทรงทาํ ความเสยี หายใหแกเ ราไค ดงั นี้ การถงึ สรณะกย็ ังไมหมดสภาพไป (ยงั ไมเ สีย ) เหมอื น
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 332เม่ือบุคคลแมไ หวเดียรถยี ผูใหการศึกษาศิลปะอยางใดอยา งหน่ึงดวยคิดวาผูนเี้ ปน อาจารยของเรา การถงึ สรณะ ก็ยงั ไมหมดสภาพไป ฉะน้นันักศกึ ษาพงึ ทราบประเภทแหงการถึงสรณะอยา งนีแ้ ล. กก็ ารถงึ สรณะทีเ่ ปน โลกตุ ตระในทน่ี ้ี มสี ามัญญผล ๔ เปน วบิ ากผลมคี วามสน้ิ ไปแหง ทกุ ขท งั้ มวลเปนอานิสงสผล. สมดวยพระดาํ รัสท่ีพระพทุ ธเจาตรสั ไวดงั น้วี า กบ็ คุ ลใดถึงพระพุทธเจา พระธรรม และพระสงฆ วาเปนสรณะ (ทร่ี ะลึก ท่ีพ่งึ ) บคุ คลนน้ั ยอมเห็น อริยสจั ๔ ดวยปญญาอนั ชอบ คอื ยอมเหน็ ทกุ ข เหตเุ กดิ ของทกุ ข ความดับทกุ ข และอรยิ มรรค มอี งค ๘ ซ่ึงเปน ทางใหเ ขาถึงความดับทกุ ข สรณะ (ทร่ี ะลกึ ที่พง่ึ ) อยา งน้ันแลจงั จะเปน สรณะอนั เกษม เปนสรณะอนั สงู สุด เพราะอาศยั สรณะนน่ั บุคคล จงึ หลดุ พนไปจากทกุ ขทง้ั ปวงได. อกี อยางหนึง่ พงึ ทราบอานิสงสผลของการถงึ สรณะน่ันแมดว ยอํานาจแหงเหตมุ กี ารไมเ ขา ไปยดึ ถอื โดยความเปนของเที่ยงเปนตน .สมจรงิ ดังพระดาํ รัสทีพ่ ระพุทธเจาตรัสไวดังน้ีวา ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย มใิ ชฐ านะ มใิ ชโ อกาส (เปนไปไมไดเ ลย )ท่บี คุ คลผูถึงพรอมดวยทฏิ ฐิ จะพงึ เขาไปยึดถอื สงั ขารอะไร ๆ วา เทยี่ งวา เปนสขุ จะพงึ เขา ไปยดึ ถอื ธรรมอะไร ๆ วา เปนอัตตา จะพึงปลงชวี ติ มารดา จะพงึ ปลงชวี ิตบิดา จะพึงปลงชีวติ พระอรหนั ต จะพึงเปน
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 333ผูมจี ิตชวั่ รายยังโลหิตของพระตถาคตใหหอ จะพึงทาํ ลายสงฆ จะพงึ อา งศาสดาอนื่ ฐานะอยา งนจี้ ะมไี มได. สวนการถงึ สรณะทเี่ ปนโลกยิ ะยอ มมีภพสมบัตแิ ละโภคสมบตั เิ ปนผลเหมือนกัน. สมจริงดังพระดํารสั ที่พระพทุ ธเจา ตรัสไวดงั นีว้ า บุคคลทีถ่ งึ พระพุทธเจา วาเปน สรณะจักไมไปสูอบาย- ภูมิ ครน้ั ละรางกายทีเ่ ปน มนษุ ยแลว จกั ยังกายทพิ ย ใหบริบูรณ ( เกดิ ในหมเู ทพ). แมเร่ืองอ่นื ทา นก็กลาวไว. ( คอื ) คราวครัง้ นัน้ แล หา วสกั กะจอมเทพพรอ มดวยเทวดาแปดหม่นื ไดเขาไปหาพระมหาโมคคลั ลานะ.พระมหาโมคคัลลานะไดกลาวกะทา วสกั กะจอมเทพ ผปู ระทับยนื อยู ณทสี่ มควรสว นขางหนงึ่ ดังน้ีวา ขอถวายพระพรพระองคผูจอมเทพ การถึงพระพทุ ธเจาวาเปน สรณะ เปนการดีแท เพราะการถึงพระพุทธเจาวาเปนสรณะ เปนเหตแุ ล สัตวบางพวกในโลกนต้ี ายแลว จึงไดไ ปเกิดในสคุ ตโิ ลกสวรรคอ ยา งน้ี สัตวเหลา น้นั ( เกดิ เปนเทวดาแลว ) ยอมเดนลา้ํ เทวดาพวกอ่นื ดว ยฐานะ ๑๐ คอื ดว ยอายอุ ันเปน ทพิ ย วรรณะอนัเปน ทพิ ย สุขอนั เปน ทิพย ยศอนั เปน ทพิ ย ความเปนใหญอนั เปน ทิพยรปู อันเปน ทิพย เสยี งอนั เปน ทพิ ย กลิ่นอนั เปนทพิ ย รสอนั เปนทพิ ยโผฏฐพั พะอันเปนทพิ ย. ใน ( การถึง) พระธรรมและพระสงฆวาเปนสรณะ ก็นยั นี.้ อกี อยางหนง่ึ พึงทราบผลอนั สําคัญของการถึงสรณะแมดว ยอาํ นาจแหงสตู รมเี วลามสูตรเปนตน . พงึ ทราบผลแหง การถึงสรณะอยางน้ี.
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 334 ในการถึงสรณะ ๒ อยา งนนั้ การถึงสรณะทีเ่ ปน โลกยิ ะยอ มเศรา.หมองดว ยเหตุท้งั หลายมคี วามไมร ู ความสงสัย และความรู ( ความเขา ใจ)ผดิ เปนตน ในพระรัตนตรยั เปน การถงึ สรณะที่ไมมคี วามรุงเร่อื งมากไมก วางไกลมาก. (สว น) การถึงสรณะทีเ่ ปนโลกุตตระไมม คี วามเศรา -หมอง. การถึงสรณะท่ีเปนโลกยิ ะมีการหมดสภาพอยู ๒ อยางคือ การหมดสภาพ (เภโท) แบบมโี ทษ ๑ การหมดสภาพแบบไมมโี ทษ ๑. ในการหมดสภาพทง้ั สองนนั้ การหมดสภาพแบบมีโทษยอ มมีดว ยเหตุท้ังหลายมกี ารมอบตนในศาสดาอ่นื เปน ตน การหมดสภาพแบบนัน้ มีผลไมน าปรารถนา. การหมดสภาพแบบไมมีโทษในเพราะการทาํ กาลกริ ยิ า การหมดสภาพแบบนัน้ ไมมีผลเพราะไมมีวิบาก. แตการถึงสรณะแบบโลกตุ ตระไมมกี ารหมดสภาพเลย. จริงอยู พระอริยสาวก (คายแลวไปเกดิ )แมใ นภพอ่ืนก็จะไมยอมยกยอ งคนอ่ืนวาเปนศาสดา ( แทนพระพุทธเจา).พึงทราบความเศรา หมอง และการหมดสภาพของการถึงสรณะดงั พรรณนานาฉะน้ี. อุบาสก บทวา อปุ าสก ม ภว โคตโม ธาเรตุ ความวา ขอพระโคดมผูเจริญจงจาํ อธิบายวา จงรจู ักขาพเจาอยา งนว้ี า ผูนเ้ี ปน อบุ าสก. ก็ในที่นี้เพ่อื ความเปน ผูฉลาดในวธิ แี สดงตนเปนอุบาสกจึงควรทราบขอปลีกยอยนี้วา อุบาสกคอื ใคร ? เพราะเหตุไร จึงเรียกวา อบุ าสก ?
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 335อบุ าสกน้ันมศี ีลเปน อยางไร ? มีอาชพี เปน อยา งไร ? มีวิบัติเปนอยางไร ? มีสมบัตเิ ปน อยา งไร ? ในขอปลกี ยอยเหลา นนั้ ทวี่ า อุบาสกคืออะไร ? ไดแ ก คฤหสั ถคนใดคนหน่งึ ผูถงึ ไตรสรณะ. สมจริงดงั พระดาํ รสั ท่ีพระพุทธเจาตรัสไวดังน้ีวา ดกู อนมหานาม เมอื่ ใดแลอุบาสกถงึ พระพทุ ธเจา พระธรรม(และ) พระสงฆ วา เปนสรณะ ดูกอนมหานาม บุคคลยอ มเปนอบุ าสกดวยอาการเทานแี้ ล. ท่วี า เพราะเหตุไร จึงเรยี กวา อุบาสก ? ไดแก เพราะเขาไปน่งั ใกลพระรตั นตรยั . จริงอยบู ุคคลน้นั ชอ่ื วา อุบาสก เพราะเขา ไปนั่งใกลพระพทุ ธเจา พระธรรม ( และ ) พระสงฆ. ทวี่ า อุบาสกนน้ั มีศลี เปน อยางไร ? ไดแ ก เจตนาเปน เคร่อื งงดเวน ๕ อยาง. สมจริงดังท่ีพระพุทธเจา ตรสั ไวด ังนว้ี า ดูกอ นมหานามเมอ่ื ใดแล อุบาสกเปนผงู ดเวน จากปาณาตบิ าท จากอทนิ นาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร จากมุสาวาท ( และ ) จากฐานะเปน ที่ตง้ั แหงความประมาท คือนาํ้ เมา อนั ไดแ กส ุราและเมรยั ดูกอนมหานาม อบุ าสกยอ มเปน ผูมศี ีลดว ยเหตเุ พยี งเทา น้แี ล. ท่ีวา มีอาชพี เปนอยา งไร ? ไดแก การละการคาขายผิด ๕ อยา งแลวเลีย้ งชีวติ โดยชอบธรรม สมจริงดงั พระดาํ รัสที่พระพุทธเจาตรัสไวดงั นว้ี า ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย การคาขาย ๕ อยางเหลาน้ี อนั อบุ าสกไมควรทํา ๕ อยา งมอี ะไรบาง คือ การคาขายศัสตราวุธ ๑ การคา ขายสตั ว ๑การคา ขายเนอ้ื ๑ การคา ขายนํา้ เมา ๑ การคา ขายยาพษิ ๑ ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย การคาขาย ๕ อยางนีแ้ ล อุบาสกไมค วรทํา.
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 336 ท่ีวา มีวิบัตเิ ปนอยางไร ? ไดแก ความวิบตั แิ หง ศีลและอาชีวะของอบุ าสกนน้ั นนั่ แลอนั ใด อนั นีเ้ ปนความวิบตั ขิ องอุบาสกน้ัน. อีกอยางหนง่ึ อุบาสกน้ันเปน คนจณั ฑาลและเศราหมองดว ยมลทนิ ตาง ๆ ดวยวบิ ัตอิ นั ใด แมวิบัตนิ ั้นก็พงึ ทราบวา เปน วิบัติของอบุ าสกนน้ั ๆ. และความเปน คนจณั ฑาลนนั้ เม่ือวา โดยความหมาย กไ็ ดแ กธ รรม ๕ประการมคี วามเปนผูไมมีศรทั ธาเปนตน. เหมอื นดังทีพ่ ระพุทธเจา ตรสัไววา ดูกอ นภิกษทุ ้ังหลาย อบุ าสกผปู ระกอบดว ยธรรม ๕ อยา งยอมเปนอบุ าสกจณั ฑาล เปน อบุ าสกมีมลทนิ เปนอบุ าสกมคี วามเศรา หมองและเปน อุบาสกตาํ่ ชา . ธรรม ๕ ประการอะไรบาง (คอื ) เปนผูไมมศี รทั ธา(ในพระรัตนตรยั ) ๑ เปนคนทศุ ลี ๑ เปนคนถือมงคลตื่นขา ว คอืเช่ือมงคล ( ฤกษ, ยาม ) ไมเช่ือกรรม ๑ แสวงหาทกั ขิไณยบคุ คลนอกจากศาสนานี้ (พทุ ธศาสนา ) ๑ บาํ เพ็ญกศุ ลในศาสนานน้ั ๑. ทีว่ า มสี มบตั เิ ปนอยา งไร ? ไดแ ก ความถึงพรอ มดวยศลี และความถึงพรอมดวยอาชวี ะของอุบาสกนั้นช่ือวา สมบตั .ิ อนึง่ ธรรม ๕ประการมศี รัทธาในพระรัตนตรยั เปนตนของอบุ าสกนั้นเหลาใด ธรรม๕ ประการเหลา น้นั ชื่อวา สมบตั .ิ เหมือนอยา งท่ีพระพทุ ธเจาตรัสไวว าดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย อุบาสกผูประกอบดวยธรรม ๕ อยางยอมเปนอบุ าสกแกว เปน อบุ าสกดอกปทมุ และเปนอบุ าสกดอกบุณฑริก. ธรรม ๕ อยา งมีอะไรบาง ( คือ ) เปนผูมีศรัทธา ( ในพระรัตนตรยั ) ๑ เปนผูมศี ลี ๑เปนคนไมถ ือมงคลต่ืนขา ว คือ เชือ่ กรรม ไมเ ชอื่ มงคล ๑ ไมแสวงหาทักขไิ ณยบคุ คลนอกพุทธศาสนาน้ี ๑ บาํ เพญ็ กศุ ลในพทุ ธศาสนาน้ี ๑.
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 337 ความหมายของ \"อัคคะ\" ศพั ท อคั คะ ศพั ทน้ีในคาํ วา อชชฺ ตคฺเค นี้ ยอ มใชในอรรถวา เบื้องตน(อาทิ) เบ้ืองปลาย (โกฏ)ิ สวน (โกฏ าส) และประเสริฐทสี่ ดุ(เสฏ) กอ็ คั คะ ศัพทใชใ นอรรถวา - เบื้องตน ( เชน ) ในประโยคเปนตน วา แนะ นายประตูเพ่อื นรักตง้ั แตว ันนี้เปนตน ไปขา พเจาขอปดประตสู ําหรบั พวกนิครนถ. - เบอื้ งปลาย ( เชน ) ในประโยคเปนตน วา บุคคลพึงลูบคลํายอดออย ยอดไผ ดวยปลายน้ิวมอื นนั้ แล. - สวน (เชน ) ในประโยคเปน ตน วา ดกู อ นภิกษุท้ังหลายเราตถาคตอนญุ าตใหแ บง จากสวนสง่ิ ของท่ีมีรสเปรี้ยว ทมี่ รี สหวาน หรือสวนสงิ่ ของท่มี รี สขมตามสว นวิหารหรอื ตามสว นบรเิ วณ. - ประเสริฐท่ีสดุ (เชน ) ในประโยคเปนตนวา ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย สัตวท ัง้ หลายจาํ นวนเทาใดที่ไมม เี ทา ก็ตาม ฯลฯ พระตถาคตบัณฑติ กลาววาเปนผปู ระเสริฐท่ีสดุ ของสัตวเหลานนั้ . - แตใ นทนี่ ้ี อคั คะ ศพั ทนพ้ี ึงเห็นวา ลงในอรรถวา เบอ้ื งตน .เพราะฉะนั้น ในคาํ วา อชชฺ ตคเฺ ค น้ี พึงเหน็ ความหมายอยา งน้ีวา เรมิ่ตั้งแตว นั น้ีเปนตนไป. - บทวา อชฺชต ไดแ ก อชฺชภาว (แปลวา ความในวนั น้)ี .บาลีวา อชฺชทคฺเค ดังนก้ี ็มี. ท อกั ษร (เปน อาคม) ทาํ หนา ทเ่ี ช่อื มบท ( ระหวาง อชฺช กับ อคเฺ ค ). แปลวา เริ่มตนตงั้ แตว ันนี้. - บทวา ปาณเุ ปต แปลวา เขา ถงึ ดวยชีวิต. อธิบายวา ขอพระโคดม
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 338ผูเจริญจงทรงจาํ คือจงทรงทราบขาพระองคไ ววาเปนอบุ าสก คอื ไวยาจักร(ผูรับใชพระ) ถึงสรณะดวยไตรสรณคมนแบบไมม ศี าสดาอนื่ (นอกจากพระโคดม) ตลอดเวลาท่ีชีวิตของขาพระองคยังเปน ไปอยู เพราะวาขาพระองค ถาแมนใคร ๆ จะพึงใชมดี คมตดั ศีรษะของขา พเจา ไซร กจ็ ะไมข อกลาวพระพุทธเจาวา ไมใชพระพทุ ธเจา พระธรรมวา ไมใชพระธรรม(และ) พระสงฆว า ไมใ ชพระสงฆ. พราหมณคร้นั ถงึ สรณะดว ยการมอบตนอยางนแ้ี ลว และปวารณาดวยปจ จัย ๔ ลุกขึ้นจากทนี่ งั่ ถวายบงั คมพระผมู ีพระภาคเจาแลว เดนิ เวยี นขวา ( รอบพระผมู พี ระภาคเจา )๓ รอบแลว หลกี ไปแล. จบ อรรถกถาภยเภรวสูตร. จบ สูตรที่ ๔
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 339 ๕. อนังคณสูตร [๕๓] ขาพเจาไดสดบั มาอยา งนี้ :- สมยั หนง่ึ พระผมู ีพระภาคเจาประทับอยู ณ พระวหิ ารเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ท่นี ัน้ แล ทานพระสารีบตุ รเรยี กภกิ ษุท้งั หลายวา ดกู อนภิกษทุ ัง้ หลาย ภิกษเุ หลานน้ั รับคําทานพระสารบี ุตรแลว . บคุ คล ๔ จาํ พวก [๕๔] ทา นพระสารบี ุตรไดก ลา ววา คณุ ครบั บคุ คล ๔ จําพวกเหลาน้ี มีปรากฏอยูใ นโลก. ๔ จําพวกน้นั เปนไฉน ? ดูกอ นทานผมู อี ายทุ ้งั หลาย บคุ คลลางคนในโลกน้ี มีอังคณกิเลสแตไมรูต ามเปนจรงิ วา เรามอี งั คณกิเลสในภายใน ๑ บคุ คลลางคนในโลกนม้ี ีอังคณกเิ ลส ก็รูต ามเปน จรงิ วา เรามอี งั คณกิเลสในภายใน ๑ บุคคลลางคนในโลกนี้ ไมมอี ังคณกิเลส แตไ มร ตู ามเปนจริงวา เราไมมอี ังคณ-กิเลสในภายใน ๑ บคุ คลลางคนในโลกนี้ ไมม อี ังคณกิเลส กร็ ูตามเปนจริงวา เราไมมีองั คณกเิ ลสในภายใน ๑. ในบคุ คล ๔ จาํ พวกน้นั บคุ คลใดมีอังคณกเิ ลส แตไ มร ตู ามเปนจรงิ วา เรามอี ังคณกิเลสในภายใน บคุ คล ๒ จําพวกทมี่ ีองั คณกเิ ลสเหมือนกันน้ี บคุ คลน้ี บณั ฑิตกลาววา เปน บรุ ุษเลวทราม. ในบคุ คล๔ จาํ พวกนั้น บคุ คลใดมีองั คณกิเลส รูตามเปนจริงวา เรามอี ังคณ-
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 340กเิ ลสในภายใน บุคคล ๒ จําพวกท่มี อี งั คณกเิ ลสเหมือนกันน้ี บุคคลน้ีบณั ฑิตกลาววา เปน บุรุษประเสรฐิ . ในบุคคล ๔ จําพวกนัน้ บคุ คลใดไมม ีอังคณกเิ ลส แตไ มร ูตามเปนจรงิ วา เราไมมีอังคณกิเลสในภายใน บคุ คล ๒ จาํ พวกที่ไมมีอังคณกเิ ลสเหมอื นกันนี้ บคุ คลน้ี บณั ฑติ กลา ววา เปนบรุ ษุ เลวทราม. ในบุคคล๔ จําพวกนน้ั บุคคลใดไมมีองั คณกิเลสเลย รตู ามเปนจริงวา เราไมม ีองั คณกิเลสในภายใน บุคคล ๒ จําพวกทไ่ี มม ีองั คณกเิ ลสเหมอื นกนั น้ีบคุ คลน้ี บณั ฑิตกลาววา เปน บุรุษประเสริฐ. ความตา งระหวา งคน ๔ จําพวก [ ๕๕ ] เม่ือทานพระสารีบุตรกลา วอยางน้ีแลว ทา นพระมหา-โมคคลั ลานะไดก ลาวคํานกี้ ะทานพระสารบี ุตรวา ทา นสารีบุตรขอรับเหตุอะไรหนอ ? ปจ จยั อะไรหนอ ? ท่ีเปน เหตุทาํ ใหบคุ คล ๒ จําพวกทีม่ ีอังคณกเิ ลสเหมอื นกนั นี้ คนหน่งึ บัณฑติ กลา ววา เปนบุรุษเลวทรามคนหนง่ึ บัณฑิตกลาววา เปนบรุ ุษประเสริฐ. ดูกอ นทา นพระสารบี ตุ ร เหตุอะไรหนอ ? ปจจยั อะไรหนอ ? ทีเ่ ปนเหตทุ ําใหบ ุคคล ๒ จาํ พวกทีไ่ มม ีองั คณกเิ ลสเหมือนกนั นี้ คนหน่ึง บณั ฑิตกลาววา เปนบรุ ุษเลวทรามคนหน่งึ บณั ฑติ กลา ววา เปนบุรษุ ประเสริฐ. บุคคลจําพวกที่ ๑ สา. ทา นครบั ในบุคคล ๔ จาํ พวกนนั้ บคุ คลใดมีองั คณกิเลสแตไ มรูตามเปนจรงิ วา เรามอี ังคณกเิ ลสในภายใน ขอทบ่ี ุคคลนั้นพึงหวังได คือ เขาจกั ไมยงั ความพอใจใหเกิด จกั ไมพ ยายาม จักไม
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 341ปรารภความเพยี ร เพือ่ ละอังคณกเิ ลสนั้นเสยี เขาจกั เปน ผมู รี าคะ โทสะโมหะ มกี เิ ลส มีจติ เศราหมอง ทํากาละ. เหมอื นถาดทองสมั ฤทธิ์ทีบ่ คุ คลนํามาแตรานตลาด หรอื แตสกุลชางทอง อันละอองและสนมิ จบั อยูโ ดยรอบ.เจาของก็ไมใชและไมข ดั สีถาดทองสัมฤทธิน์ นั้ ซาํ้ เกบ็ ไวในทม่ี ลี ะออง เม่ือเปน อยา งน้ี สมัยอืน่ ถาดทองสมั ฤทธิน์ น้ั จะพึงเปนของเศราหมอง สนมิจับยิงขึ้น ฉันใด. ม. อยางนั้นหรอื ทา นขอรับ ? สา. อยางน้ันแหละ ทานครบั บุคคลนก้ี ฉ็ ันน้นั เหมอื นกนั ยังมีอังคณกเิ ลสอยู แตไมรตู ามเปนจรงิ วา เรายังมอี งั คณกิเลสในภายใน ขอ ท่ีบุคคลนนั้ พึงหวังได คอื เขาจักไมยงั ความพอใจใหเ กิด จกั ไมพยายาม จักไมป รารภความเพยี ร เพื่อละกิเลสนน้ั เสยี . เขาจักเปน ผมู ีราคะ โทสะโมหะ มีอังคณกิเลส มจี ิตเศรา หมอง ทาํ กาละ. บุคคลจําพวกท่ี ๒ สา. ทา นครบั ในบุคคล ๔ จําพวกนน้ั บุคคลใดยงั มีอังคณกิเลสอยูกร็ ูตามเปน จริงวา เรายงั มีองั คณกิเลสในภายใน ขอ ท่บี ุคคลน้ันพึงหวังได คอื เขาจักยังความพอใจใหเกดิ จกั พยายาม จกั ปรารภความเพยี รเพ่อื ละกิเลสนน้ั เสีย. เขาจักเปนผไู มม รี าคะ โทสะ โมหะ ไมม ีกิเลสมจี ิตไมเ ศราหมอง ทาํ กาละ. เปรียบเหมือนถาดทองสมั ฤทธ์ทิ บ่ี คุ คลนํามาแตร านตลาด หรอื แตส กุลชางทอง อนั ละอองและสนิมจับอยูโดยรอบเจาของใช ขดั สีภาชนะสมั ฤทธน์ิ น้ั และไมเ กบ็ ไวใ นทม่ี ีละออง เม่อื เปนเชนน้ี สมยั อน่ื ภาชนะสัมฤทธิ์ จะเปนของหมดจดผองใส ฉันใด.
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 342 ม. อยา งนัน้ หรือ ทานขอรบั ? สา. อยางน้ันแหละ ทา นครับ บุคคลน้ี กฉ็ นั น้ันเหมือนกนัยงั มอี งั คณกเิ ลสอยู กร็ ูตามเปนจริงวา เรามีอังคณกเิ ลสในภายใน ขอ น้ีอันบุคคลน้ันพงึ หวงั ได คอื เขาจกั ยงั ความพอใจใหเ กิด จกั พยายามจกั ปรารภความเพียร เพ่อื ละกิเลสนน้ั เสยี . เขาจักเปน ผไู มม ีราคะ โทสะโมหะ ไมม ีกเิ ลส มจี ติ ไมเศรา หมอง ทาํ กาละ. บคุ คลจาํ พวกท่ี ๓ สา. ทานครบั ในบคุ คล ๔ จําพวกน้ัน บคุ คลใด ไมมีองั คณกเิ ลส แตไมรูตามความเปนจรงิ วา เราไมมอี งั คณกิเลสในภายในขอ ที่บคุ คลนัน้ พงึ หวงั ได คือ เขาจกั มนสิการสุภนิมติ . เพราะมนสกิ ารสุภ-นมิ ิตน้นั ราคะจกั ครอบงาํ จติ (เขา). เขาจกั เปนผยู ังมรี าคะ โทสะโมหะ ยงั มีองั คณกิเลส ยังมีจติ เศรา หมอง ทํากาละ. เปรยี บเหมือนถาดทองสัมฤทธิ์ทบ่ี คุ คลนาํ มาแตรานตลาด หรือแตสกลุ ชา งทอง เปนของสะอาดหมดจด แตเจา ของไมใ ชและไมข ดั ถาดน้ัน ซ้ําเก็บไวใ นที่ทมี่ ีละออง เมื่อเปน เชนน้ี สมยั อื่น ถาดทองสมั ฤทธนิ์ นั้ จะพึงเปนของเศรา หมอง สนมิ จบั ฉนั ใด. ม. อยา งน้ันหรือ ทานขอรบั ? สา. อยางน้นั แหละ ทา นครับ บคุ คลน้ีกฉ็ นั นั้นเหมือนกนั ไมม ีอังคณกิเลส แตไ มร ตู ามเปนจริงวา เราไมมีองั คณกเิ ลสในภายใน ขอท่ีบคุ คลนัน้ พงึ หวงั ได คือ เขาจักมนสิการสุภนิมิต เพราะมนสกิ ารสุภนิมตินัน้ ราคะจกั ครอบงาํ จติ ( เขา). เขาจกั เปน ผมู ีราคะ โทสะ โมหะ มีอังคณกเิ ลส ยังมีจติ เศราหมอง ทํากาละ.
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 343 บุคคลจาํ พวกท่ี ๔ สา. ทา นครบั ในบุคคล ๔ จําพวกนัน้ บคุ คลใดไมม อี งั คณ-กเิ ลส กร็ ูตามเปน จรงิ วา เราไมม อี งั คณกิเลสในภายใน ขอ ที่บุคคลน้ันพงึ หวังได คือ เขาจกั (ไม ) มนสกิ ารสภุ นมิ ิต เพราะ (ไม ) มนสกิ ารสุภนิมิตนั้น ราคะจักไมค รอบงํา. จติ เขาจักเปนผูไ มมรี าคะโทสะ โมหะ ไมมีองั คณกเิ ลส มีจติ ไมเ ศรา หมอง ทาํ กาละ. เปรียบเหมอื นถาดทองสมั ฤทธท์ิ ี่บุคคลนํามาแตร านตลาด หรือแตสกลุ ชางทอง เปนของสะอาดหมดจด เจาของใชข ัดสถี าดทองสมั ฤทธิน์ น้ั และไมเ ก็บมนั ไวในทม่ี ีละออง เมอ่ื เปน เชนน้สี มัยอนื่ ถาดทองสัมฤทธิน์ น้ั กพ็ งึ เปนของสะอาดหมดจดยิ่งขน้ึ ฉันใด. ม. อยา งนนั้ หรือ ทานขอรับ ? สา. อยา งนนั้ แหละ ทานครับ บคุ คลนีก้ ฉ็ ันน้นั เหมือนกัน ไมมีองั คณกิเลส กร็ ตู ามเปน จริงวา เราไมมอี ังคณกเิ ลสในภายใน ขอ ทบ่ี ุคคลน้ันพงึ หวงั ได คอื เขาจักไมมนสกิ ารสุภนิมิต เพราะไมม นสิการสภุ นิมตินั้น ราคะจกั ครอบงาํ จติ ไมได. เขาจักเปน ผูไมม ีราคะ โทสะ โมหะ ไมม ีอังคณกเิ ลส มีจิตไมเ ศราหมอง ทาํ กาละ. ทา นโมคคัลลานะ เหตุน้ีแล ปจจยั น้ีแล ทเี่ ปน เหตทุ ําใหบ คุ คล๒ จาํ พวกที่มกี ิเลสเหมือนกันน้ี คนหน่งึ บัณฑติ กลา ววา เปนบรุ ุษเลวทราม คนหนง่ึ บณั ฑติ กลาววา เปนบุรุษประเสรฐิ . อน่งึ เหตนุ ี้แลปจจยั น้ีแล ท่เี ปน เหตทุ าํ ใหบ คุ คล ๒ จาํ พวกที่ไมมอี งั คณกเิ ลสเหมือนกนั นี้ คนหน่ึง บัณฑติ กลาววา เปนบุรุษเลวทราม คนหนึง่ บณั ฑติกลา ววา เปนบรุ ุษประเสรฐิ .
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 344 ความหมายขององั คณกเิ ลส [๕๖] ม. ทานขอรับ คําที่ทา นกลา ววา องั คณะ ๆ ดังนี้ คาํ น้ันเปน ชอื่ ของอะไรหนอ ? สา. ทานครบั คําวา องั คณะน้ี เปนชอ่ื ของอจิ ฉาวจรที่เปนบาปอกศุ ล. องั คณกิเลสที่ ๑ [๕๗] ทานขอรับ ภกิ ษุในพระธรรมวินัยนี้ พงึ เกิดความปรารถนาอยา งน้ีวา เราพึงเปน ผตู องอาบัตหิ นอ แตภ ิกษุทง้ั หลาย อยาพงึ รูเ ราวาตองเลย นี้เปนฐานะท่ีจะมีได. ภกิ ษุทัง้ หลายพึงรูภกิ ษุน้ันวา ตอ งอาบตั ิ เธอกจ็ ะโกรธไมแ ชมช่นื เพราะคดิ วา ภกิ ษทุ ัง้ หลายรเู ราวา ตอ งอาบตั ิ นเี้ ปนฐานะท่จี ะมไี ด ความโกรธและความไมแ ชมชนื่ ท้ัง ๒น้ีช่ือวา องั คณะ. องั คณกิเลสท่ี ๒ [๕๘] ทา นครับ ภิกษลุ างรูปในพระธรรมวินยั นี้ พงึ เกดิ ความปรารถนาอยางนว้ี า เราพึงเปนผูตอ งอาบตั ิหนอ ภกิ ษทุ ้งั หลายพงึ โจทเราในทล่ี บั ไมพ ึงโจทเราในทา มกลางสงฆ น้เี ปนฐานะทจ่ี ะมีได. ภกิ ษุทัง้ หลายพึงโจทภิกษนุ ้ันในทา มกลางสงฆไมโ จทในทล่ี บั เธอก็จะโกรธ ไมแชม ชื่น เพราะคดิ วา ภิกษุทงั้ หลายโจทเราในทามกลางสงฆ ไมโจทในท่ีลบันเ้ี ปน ฐานะที่จะมีได. ความโกรธและควานไมแ ชม ชืน่ ทงั้ ๒ นี้ ช่ือวาอังคณะ.
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 345 องั คณะกเิ ลสที่ ๓ [ ๕๙ ] ทา นครบั ภิกษุลางรูปในพระธรรมวินยั นี้ พึงเกดิ ความปรารถนาอยางนีว้ า เราพึงเปน ผูตองอาบตั ิหนอ บคุ คลทเ่ี สมอกนั พึงโจทเรา บุคคลทไี่ มเ สมอกนั ไมพ งึ โจทเรา นเ้ี ปน ฐานะท่จี ะมไี ด. บุคคลท่ีไมเสนอกนั พงึ โจทภิกษนุ ั้น บุคคลท่ีเสมอกันไมพงึ โจทภิกษนุ น้ั นี้เปนฐานะที่จะมีได. เธอก็จะโกรธไมแชม ชื่น เพราะคิดวา บุคคลทีไ่ มเ สมอกันโจทเราไมใ ชผ ูเสมอกนั โจท. ความโกรธและความไมแชมช่ืน ทั้ง ๒นชี้ ือ่ วา องั คณะ. องั คณกเิ ลสท่ี ๔ [๖๐] ทา นครับ ภิกษุลางรปู ในพระธรรมวนิ ยั น้ี พงึ เกิดความปรารถนาอยา งนี้วา ถากระไรหนอ พระศาสดาพึงทรงซกั ถาม สอบถามเราเทา นัน้ แลวทรงแสดงธรรมแกภ ิกษทุ งั้ หลาย ไมพึงทรงซักถามสอบถามภกิ ษุอ่ืน แลวทรงแสดงธรรมแกภ ิกษทุ งั้ หลายเลย น้เี ปนฐานะทจ่ี ะมีได. พระศาสดาพงึ ทรงซักถาม สอบถามภกิ ษุอน่ื แลว ทรงแสดงธรรมแกภ กิ ษุทงั้ หลาย หาทรงซักถาม สอบถามภกิ ษนุ นั้ แลว ทรงแสดงธรรมแกภ ิกษุทั้งหลายไม นีเ้ ปนฐานะทจ่ี ะมีได. เธอกจ็ ะโกรธ ไมแชมชื่นเพราะคดิ วา พระศาสดาทรงซกั ถาม สอบถามภกิ ษุอ่ืน แลวทรงแสดงธรรมแกภกิ ษทุ ัง้ หลาย หาทรงซกั ถาม สอบถามเรา แลว ทรงแสดงธรรมแกภกิ ษทุ ้งั หลายไม. ความโกรธและความไมแชม ชนื่ ทงั้ ๒ นี้ชื่อวา อังคณะ.
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 346 องั คณะกเิ ลสที่ ๕ [ ๖๑ ] ทานครับ ภกิ ษลุ างรปู ในพระธรรมวนิ ยั น้ี พงึ เกดิ ความปรารถนาอยางนี้วา ถา กระไรหนอ ภิกษทุ งั้ หลายพึงแวดลอ มเราเทา นัน้เขาบาน เพ่ือภตั ตาหาร อยา แวดลอ มภกิ ษุอื่นเขาบาน เพอ่ื ภัตตาหารเลยน้ีเปน ฐานะทจี่ ะมไี ด. ภิกษุท้ังหลาย พงึ แวดลอมภกิ ษุอน่ื เขาบา น เพ่ือภตั ตาหาร ไมพึงแวดลอ มภกิ ษุนัน้ เขา บา น เพ่ือภัตตาหาร น้เี ปน ฐานะที่จะมีได. เธอก็จะโกรธไมแชม ชื่น เพราะคิดวา ภิกษทุ ้งั หลายแวดลอ มภกิ ษุอน่ื เขาบาน เพื่อภัตตาหาร หาแวดลอ มเราเขาบา น เพอ่ื ภตั ตาหารไม ความโกรธและความไมแชม ช่นื ท้งั ๒ นช้ี ื่อวา องั คณะ. อังคณกเิ ลสที่ ๖ [ ๖๒ ] ทานครบั ภิกษุลางรปู ในพระธรรมวินัยนี้ พึงเกดิ ความปรารถนาอยา งนวี้ า ถา กระไรหนอ เราเทาน้นั ควรไดอาสนะอนั เลศิ นาํ้อนั เลิศ บณิ ฑบาตอนั เลิศ ในโรงฉัน ภกิ ษอุ น่ื ไมค วรไดอ าสนะอนั เลิศนา้ํ อนั เลิศ บิณฑบาตอนั เลศิ ในโรงฉันเลย นเ้ี ปนฐานะท่จี ะมีได. ภิกษุอนื่ พึงไดอ าสนะอันเลิศ น้ําอันเลศิ บิณฑบาตอันเลิศ โนโรงฉนั ภกิ ษุนน้ั ไมไดอ าสนะอนั เลศิ น้าํ อันเลิศ บณิ ฑบาตอันเลศิ ในโรงฉันนี้เปน สานะทจี่ ะมไี ด. เธอก็จะโกรธไมแ ชมช่ืน เพราะคิดวา ภกิ ษุอนื่ ไดอาสนะอันเลิศ นาํ้ อนั เลศิ บณิ ฑบาตอันเลิศ ในโรงฉัน เราไมไ ดอาสนะอัน เลศิ บณิ ฑบาตอันเลศิ ในโรงฉัน ความโกรธและความไมแชม ชน่ื ท้ัง ๒ นชี้ ื่อวา องั คณะ.
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 347 อังคณกิเลสท่ี ๗ [ ๖๓ ] ทา นครบั ภกิ ษลุ างรปู ในพระธรรมวินยั นี้ พงึ เกิดความปรารถนาอยางน้ีวา ถากระไรหนอ เราเทาน้ันควรฉนั ในโรงฉันแลวอนุโมทนา ภกิ ษุอนื่ ควรฉันโนโรงฉันแลว ไมตองอนโุ มทนา น้ีเปนฐานะที่จะมีได. ภกิ ษุอื่นพึงฉันในโรงฉันแลว อนุโมทนา ภกิ ษุนน้ั ฉันในโรงฉนัแลว ไมต อ งอนุโมทนา นีเ้ ปน ฐานะท่ีจะมไี ด. เธอกจ็ ะโกรธไมแชมช่ืนเพราะคิดวา ภิกษุอนื่ ฉันในโรงฉนั แลวอนุโมทนา เราฉันในโรงฉันแลวไมไดอนุโมทนา ความโกรธเ เละความไมแชมชนื่ ท้ัง ๒ น้ชี ่ือวา องั คณะ. องั คณกิเลสที่ ๘ [๖๔] ทา นครบั ภิกษุลางรปู ในพระธรรมวินยั นี้ พงึ เกิดความปรารถนาอยา งน้วี า ถากระไรหนอ เราเทาน้นั ควรแสดงธรรมแกภิกษุทัง้ หลายผูไ ปถงึ อาราม ภิกษุอนื่ ไมค วรแสดงธรรมแกภกิ ษุทัง้ หลายผไู ปถงึอารามเลย นี้เปน ฐานะท่ีจะมไี ด. ภกิ ษุอื่นพงึ แสดงธรรมแกภิกษุทัง้ หลายผูไปถึงอาราม ภิกษุนัน้ ไมต องแสดงธรรมแกภิกษุทง้ั หลายผูไ ปถึงอารามนเ้ี ปนฐานะที่จะมไี ด. เธอก็จะโกรธไมแ ชมชืน่ เพราะคดิ วา ภกิ ษอุ ่นื แสดงธรรมแกภ ิกษทุ งั้ หลายผูไปถงึ อาราม เราไมไ ดแสดงธรรมแกภิกษทุ ง้ั หลายผไู ปถงึ อาราม ความโกรธและความไมแชม ชนื่ ท้ัง ๒ นีช้ ่อื วา อังคณะ. องั คณกเิ ลสท่ี ๙ [๖๕] ทา นครับ ภกิ ษุลางรปู ในพระธรรมวินยั นี้ พงึ เกิดความ
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 348ปรารถนาอยา งน้วี า ถา กระไรหนอ เราเทา นั้นควรแสดงธรรมแกภกิ ษุณีทงั้ หลายผไู ปถงึ อาราม ภิกษุอน่ื ไมค วรแสดงธรรมแกภิกษุณที ้ังหลายผไู ปถึงอารามเลย น้เี ปนฐานะท่จี ะมไี ด. ภกิ ษุอืน่ พงึ แสดงธรรมแกภ ิกษุณีท้ังหลายผูไ ปถงึ อาราม ภกิ ษนุ ้นั ไมต อ งแสดงธรรมแกภ ิกษณุ ีทง้ั หลายผไู ปถงึ อาราม น้เี ปนฐานะท่ีจะมไี ด. เธอกจ็ ะโกรธไมแชม ชนื่ เพราะคดิ วาภิกษุอ่นื แสดงธรรมแกภิกษณุ ที ั้งหลายผูไปถงึ อาราม เราไมไดแ สดงธรรมแกภิกษณุ ที ้ังหลายผไู ปถึงอาราม ความโกรธและความไมแ ชมชื่น ทงั้ ๒น้ี ชอ่ื วา องั คณะ. องั คณกิเลสท่ี ๑๐ ภกิ ษลุ างรูปในพระธรรมวนิ ยั นี้ พงึ เกิดความปรารถนาอยางนี้วาถากระไรหนอ เราเทา น้นั ควรแสดงธรรมแกอบุ าสกท้ังหลายผูไปถึงอารามภิกษอุ น่ื ไมควรแสดงธรรมแกอุบาสกทัง้ หลายผูไปถงึ อาราม นเ้ี ปน ฐานะท่จี ะมไี ด. ภิกษอุ น่ื แสดงธรรมแกอ บุ าสกท้ังหลายผไู ปถงึ อาราม ภกิ ษุน้นั ไมต องแสดงธรรมแกอ ุบาสกท้งั หลายผไู ปถึงอาราม นีเ้ ปนฐานะทจี่ ะมไี ด. เธอกจ็ ะโกรธไมแ ชม ชื่น เพราะคดิ วา ภกิ ษุอ่ืนแสดงธรรมแกอุบาสกทัง้ หลายผไู ปถงึ อาราม เราไมไ ดแ สดงธรรมแกอบุ าสกทง้ั หลายผูไปถึงอาราม ความโกรธและความไมแ ชมชื่น ทัง้ ๒ นี้ชื่อวา องั คณะ. อังคณกิเลสท่ี ๑๑ ภิกษุลางรูปในพระธรรมวินัยนี้ พึงเกิดความปรารถนาอยา งน้ี ถา
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 349กระไรหนอ เราเทา นัน้ ควรแสดงธรรมแกอ บุ าสกิ าท้ังหลายผไู ปถึงอารามภิกษอุ ่นื ไมค วรแสดงธรรมแกอบุ าสิกาทงั้ หลายผไู ปถงึ อาราม นเี้ ปน ฐานะที่จะมไี ด. ภกิ ษอุ ่นื พงึ แสดงธรรมแกอ ุบาสิกาทั้งหลายผูไปถึงอาราม ภิกษนุ ้นัไมต อ งแสดงธรรมแกอบุ าสิกาท้ังหลายผไู ปถึงอาราม นี้เปนฐานะที่จะมไี ด.เธอกจ็ ะโกรธไมแ ชม ช่ืน เพราะคดิ วา ภกิ ษุอน่ื แสดงธรรมแกอุบาสิกาทง้ั หลายผไู ปถึงอาราม เราไมไ ดแ สดงธรรมแกอ บุ าสิกาทั้งหลายผไู ปถงึอาราม ความโกรธและความไมแ ชม ช่นื ทงั้ ๒ น้ี ช่อื วา อังคณะ. องั คณกิเลสที่ ๑๒ [๖๖] ทา นครบั ภกิ ษุลางรปู ในพระธรรมวินยั น้ี พึงเกิดความปรารถนาอยางนว้ี า ถา กระไรหนอ ภิกษทุ ง้ั หลายควรสกั การะ เคารพนบั ถือ บูชาเราเทานน้ั ไมค วรสักการะ เคารพ นบั ถือ บูชาภิกษอุ ่นื นี้เปนฐานะทจ่ี ะมไี ด. ภกิ ษทุ ้ังหลาย สักการะ เคารพ นับถอื บชู าภกิ ษุอื่นไมส ักการะ เคารพ นบั ถอื บชู าภกิ ษุน้ัน นี้เปน ฐานะท่ีจะมีได. เธอกจ็ ะโกรธไมแชม ชน่ื เพราะคิดวา ภิกษทุ ้ังหลายสักการะ เคารพนับถอื บูชาภกิ ษอุ ื่น ไมส ักการะ เคารพ นบั ถือ บชู าเรา ความโกรธและความไมแ ชมชนื่ ท้ัง ๒ นี้ช่อื วา องั คณะ. อังคณกเิ ลสที่ ๑๓ [๖๗] ทา นครับ ภกิ ษลุ างรปู ในพระธรรมวินัยน้ี พงึ เกิดความปรารถนาอยางน้วี า ถา กระไรหนอ ภิกษณุ ีทง้ั หลายควรสักการะ เคารพ
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 350นับถอื บูชาเราเทา นั้น ไมควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชาภกิ ษุอืน่เลย นเี้ ปนฐานะที่จะมีได. ภกิ ษุณที ้ังหลายพึงสักการะ เคารพ นับถอืบชู าภกิ ษุอื่น ไมสักการะ เคารพ นับถอื บชู าภกิ ษุนัน้ นีเ้ ปนฐานะทีจ่ ะมีได. เธอกจ็ ะโกรธไมแชม ช่นื เพราะคดิ วา ภกิ ษณุ ที ั้งหลายสักการะ เคารพ นบั ถอื บชู าภิกษุอน่ื ไมสกั การะ เคารพ นับถอืบชู าเรา ความโกรธและความไมแชมช่ืน ทง้ั ๒ นีช้ ่อื วา องั คณะ. อังคณกเิ ลสที่ ๑๔ ภิกษลุ างรูปในพระธรรมวินยั นี้ พึงเกดิ ความปรารถนาอยา งนว้ี าถากระไร อุบาสกทั้งหลายควรสกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู าเราเทานน้ัไมค วรสกั การะ เคารพ นับถอื บชู าภกิ ษอุ ่นื นีเ้ ปนฐานะท่ีจะมไี ด.อบุ าสกท้งั หลายสักการะ เคารพ นับถอื บูชาภกิ ษุอืน่ ไมสกั การะเคารพ นับถือ บชู าภิกษนุ ั้น นี้เปน ฐานะท่จี ะมีได. เธอก็จะโกรธไมแชมช่นื เพราะคดิ วา อบุ าสกท้ังหลายสักการะ เคารพ นับถอื บูชาภกิ ษอุ ่ืน ไมส ักการะ เคารพ นับถือ บูชาเรา ความโกรธและความไมแชม ชื่น ทง้ั ๒ น้ชี ือ่ วา อังคณะ. อังคณกิเลสที่ ๑๕ ภิกษลุ างรปู ในพระธรรมวินัยน้ี พึงเกิดความปรารถนาอยา งนีว้ าถา กระไรหนอ อุบาสกิ าทัง้ หลายควรสกั การะ. เคารพ นับถอื บูชาเราเทา น้นั ไมต องสกั การะ เคารพ นับถือ บูชาภกิ ษุอน่ื นเ้ี ปนฐานะทจ่ี ะมีได อบุ าสิกาท้งั หลายพึงสกั การะ เคารพ นบั ถอื บูชาภิกษอุ ื่น ไมสกั การะ เคารพ นับถอื บชู าภกิ ษนุ น้ั น้เี ปน ฐานะทีจ่ ะมไี ด. เธอ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 783
Pages: