พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 701ยอด (วปิ สสนา) ดว ยประการดังที่พรรณนามานี.้ ๔. อสัมโมหสมั ปชญั ญะ สวนการไมหลงลืม ในการกาวไปขา งหนาเปนตน ชื่อวา อสมั -โมหสมั ปชัญญะ อสมั โมหสมั ปชญั ญะน้ัน พงึ ทราบอยา งนี้. ภกิ ษใุ นพระศาสนาน้ี เม่อื กาวไปขา งหนา หรือถอยกลบั จะไมล มื เหมือนอนั ธ-ปุถชุ น (หลง) ไปวา อัตตากา วไปขางหนา อตั ตาใหเ กดิ การกา วไปขางหนา หรอื วา เรากา วไปขางหนา เราใหเกดิ การกาวไปขา งหนา ในการกา วไปขา งหนาเปน ตน เมอ่ื เกิดความคดิ (จิต) ขนึ้ วา เราจะไมหลงลืมกา วไปขา งหนา วาโยธาตุทม่ี ีจิตเปน สมุฏฐาน เมื่อใหเกดิ วิญญตั ิขน้ึ จะเกดิ ขึน้ พรอมกับจติ ดวงนนั้ น่ันเอง. โครงกระดูกท่ีสมมติวา กายนี้จะกา วไปขางหนาตามอาํ นาจของการแผขยายแหง วาโยธาตทุ ่เี กิดแตก ิรยิ าจิตดว ยประการอยา งนี้ เมือ่ โครงกระดกู นนั้ นั่นแหละกา วไปขางหนา ในการยกเทา แตละขา งขน้ึ ธาตุ ๒ ชนิด คือ ปฐวีธาตุ และอาโปธาตุจะหยอนจะออ นลง. ธาตอุ ีก ๒ อยา ง นอกจากน้ี (เตโชธาต)ุ จะมีกาํ ลังมากยงิ่ ขนึ้ . ในการยา งเทาไป และการสืบเทาไป เตโชธาตุ วาโย-ธาตุ (ทเ่ี ปนไปแลว) ในการเหวีย่ ง (เทา ) ออกไปจะหยอน จะออนลง.ธาตุอกี ๒ อยา ง นอกจากนี้ ( ปฐม, อาโป ) จะมกี ําลังมากยง่ิ ขน้ึ . ในการเหยยี บและการยัน รปู ธรรมและอรปู ธรรม ที่ใชใ นการยก (เทา)ขนึ้ น้ัน ก็เปน เชนนนั้ ไมถ ึงการยางเทาไปที่ท่ใี ชใ นการยา งเทา ไปก็ทาํ นองเดยี วกนั ไมถึงการสบื เทา ไป ทใ่ี ชใ นการสืบเทาไป ก็ไมถงึ การเหวี่ยง(เทา) ออกไป ที่ใชใ นการเหว่ียง (เทา ) ออกไป กไ็ มถึงการเหยยี บทใี่ ชในการเหยยี บ กไ็ มถ ึงการยนั . ขอ ทกุ ขอ (และ ท่ีตอทุกแหง
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 702เปนไปตามระบบในท่ีนนั้ ๆ นน่ั แหละ จะลนั่ เปาะแปะ ๆ เหมือนเมล็ดงาทโี่ ยนลงโนกะทะที่รอน. ในเรอ่ื งนนั้ จะมีใครคนหนึ่งกา วไป หรือจะมีการกา วไปของใครคนหนึ่งเลา . ความจริง (วา ) โดยปรมัตถแลว คือการเดนิ ของธาตุเทานน้ั การยืน, การนั่ง, การนอน, กข็ องธาตุ (ไมใชของใคร). เพราะวา ในสวนนัน้ ๆ จติ ดวงอื่นเกิด ดวงอ่ืนดบั พรอมกบั รปู (เปน คนละดวง ไมใชด วงเดียวกัน) เหมือนกระแสนํา้ ที่ไหลติดตอไป เปน ระลอกฉะน้นั ดังน้ีแล. ความไมหลงในการกา วไปขางหนา เปน ตน ดังทีพ่ รรณนามาน้ีชื่อวา อสัมโมหสัมปชัญญะ ดังนแ้ี ล. เปน อันจบอรรถาธิบายวา เปนผูทําความรตู วั ในการกา วไปขา งหนาและการถอยกลับ. กก็ ารมองไปขา งหนา ชอ่ื วา อาโลกติ ะ ( การแลทรง ) ในคําวาอาโลกเิ ต วโิ ลกิเต นี้ การมองไปตามอนุทิศ (ทศิ เฉียง) ช่อื วา วโิ ลกติ ะ(การแลซายแลขวา ) มอี ริ ยิ าบถแมอยา งอนื่ อีก ช่อื วา การกมลง, การเงยขนึ้ และการหนั ไปมา โดยการมองขางลา ง มองขา งบน มองขา ง ๆ.อริ ยิ าบถเหลาน้ี ไมทรงถือเอาในที่นี.้ แตโ ดยความเหมาะสม ทรงถือเอา๒ อยางนี้ เทา น้นั หรือโดยความสาํ คญั (มุข) น้ี ทรงถือเอาแมท งั้ หมดนน้ั น่ัน แหละ ดงั นี้. บรรดาสัมปชญั ญะเหลานั้น การคาํ นงึ ถึงประโยชนโดยไมมองดูดวยอาํ นาจจติ เทาน้นั ในเม่อื เกิดความคิดขนึ้ วา เราจะมองดู ชื่อวาสาตถกสมั ปชญั ญะ. สาตถกสัมปชัญญะนน้ั ควรทราบโดยยกเอาทาน
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 703พระนนั ทะ ผูมกี ายเปนพยาน (มาเปนตวั อยา ง). สมจริงตามที่พระผ-ูมพี ระภาคเจาไดตรัสไววา ดูกอ นภิกษทุ ง้ั หลาย ถาหากพระนนั ทะ จาํตองมองดทู ิศตะวนั ออกไซร พระนันทะก็จะประมวลเอาทกุ ส่งิ ทกุ อยา งโดยจิต แลว จึงมองดทู ศิ ตะวันออก ดว ยคดิ วา เมื่อเรามองดูทิศตะวันออกอยา งนี้แลว อภิชฌาโทมนัส คือ อกศุ ลกรรมทล่ี ามก จกั ไมทวมทับเรา.ดวยประการดงั น้ี ภิกษใุ นธรรมวนิ ยั น้ี จะเปนผูมีความรตู วั ในสาตถก-สัมปชญั ญะนั้น. ดกู อนภกิ ษุทงั้ หลาย ถาหากพระนนั ทะจะตองนองดูทิศตะวนั ตก ทิศเหนอื ทศิ ใต ทศิ เบอื้ งบน ทศิ เบอื้ งต่าํ และทศิ เฉยี งทั้งหลายไซร พระนันทะกจ็ ะประมวลเอาทกุ สง่ิ ทกุ อยางโดยจติ แลว จงึ จะมองดูทิศเฉยี งทง้ั หลาย ดว ยคดิ วา เม่ือเรามองทศิ เฉียงท้งั หลายอยอู ยา งน้ี ฯ ล ฯจะเปน ผมู ีความรตู วั ในสาตถกสัมปชญั ญะน้นั . กอ็ ีกอยา งหนง่ึ แมใ นสมั ปชญั ญบรรพน้ี ควรจะทราบสาตถกสัม-ปชัญญะ และสัปปายสมั ปชัญู ะ โดยการเห็นพระเจดยี ทไ่ี ดกลาวมาแลว ในตอนตนเปนตน เถดิ . สว นการไมล ะกรรมฐานนั้นแหละ ช่ือวา โคจรสมั ปชัญญะ เพราะ-ฉะนนั้ ผเู จรญิ กรรมฐาน มีขันธธาตแุ ละอายตนะเปน อารมณ ควรทําการแลตรงและการแลซา ยแลขวา ดว ยอํานาจกรรมฐานของตนเทานนั้ หรอืวา ผูเ จรญิ กรรมฐานมกี สณิ เปน ตน (เปนอารมณ) ควรทําการแลตรงและการแลซา ยแลขวา ดว ยอาการมกี รรมฐานเปนสําคัญเหมอื นกนั . ธรรมดาอตั ตาในภายในช่อื วา เปน ผูแลตรงและแลซายแลขวา ไมม ีแตเ ม่ือเกิดความคดิ ข้นึ วา เราจักแลตรง วาโยธาตุทเี่ กิดแตจ ติ เม่ือจะใหว ิญญัตเิ กิด กจ็ ะเกิดขน้ึ พรอมกับจิตดวงนน้ั นั่นเอง.
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 704 ดวยประการดังนี้ เปลอื กตา (หนงั ตา) ขางลาง กจ็ ะรนลงเบอ้ื งลา ง เปลอื กตา (หนงั ตา) ขางบนกจ็ ะเลกิ ขนึ้ ขางบน โดยอํานาจการแผข ยายของวาโยธาตุ ที่เกิดแตกิริยาของจิต. ไมม ใี ครทีช่ อื่ วา เปด(เปลอื กตา) ดว ยเคร่อื งยนตกลไก. ตอ จากนั้นไป จกั ขวุ ญิ ญาณจะเกดิ ขน้ึ ใหส ําเร็จทัสสนกิจ (การเหน็ ) กค็ วามรตู วั ดังท่ีพรรณนามาน้ี ชื่อวา อสัมโมหสัมปชัญญะในอธกิ ารแหง สมั ปชัญญะน.้ี อีกอยางหนง่ึ ในเร่ืองสัมปชญั ญะนี้ พึงทราบอสมั โมหสัมปชัญ-ญะ แมดว ยอํานาจเปน มูลปริญญา (การกําหนดรขู นั้ ตน) เปน อาคัน-ตกุ ะ (เปน แขก) และเปน ตาวกาลกิ (เปน ไปชัว่ คราว). กอ นอืน่ควรทราบอสมั โมหสัมปชัญญะ ดวยอํานาจมูลปรญิ ญา (ดังตอ ไปนี)้ :- ภวงั ค (จิตอยูในภวงั ค) ๑ อาวชั ชนะ (การระลึก ถงึ อารมณ) ๑ ทัสสนะ (การเห็นอารมณ) ๑ สมั ปฏจิ ฉนะ (การรบั เอาอารมณ) ๑ สนั ตรี ณะ (การพจิ ารณาอารมณ ) ๑ โวฏฐัพพะ (การตดั สนิ อารมณ) ๑ ที่ ๗ คอื ชวนะ ๑. หนาทขี่ องจิตแตละขณะ บรรดาจิตท้งั ๗ น้ัน ภวังค ใหกจิ คอื เปน เหตุแหงอุปปต ติภพสาํ เรจ็ เปน ไป. กิริยามโนธาตุ ครน้ั ยงั ภวังคนน้ั ใหหมนุ กลับ แลวจะใหอ าวชั ชนกจิ สาํ เร็จอยู เพราะอาวชั ชนกิจนั้นดบั ไป จกั ขุวญิ ญาณจะใหทัสสนกจิ สําเรจ็ เปน ไป เพราะทสั สนกจิ นน้ั ดบั ไป วปิ ากมโนธาตุ
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 705จะใหส ัมปฏจิ ฉนกิจสําเร็จเปนไป เพราะสัมปฏจิ ฉนกจิ น้นั ดบั ไป มโน-วิญญาณธาตุทเี่ ปน วบิ าก จะใหสันตรี ณกิจสาํ เร็จเปน ไป เพราะสัน-ตรี ณกิจนัน้ ดับไป มโนวิญญาณธาตทุ เี่ ปนกริ ยิ าจะใหโ วฏฐพั พนกจิ สําเรจ็เปน ไป เพราะโวฏฐพั พนกจิ น้นั ดบั ไป ชวนะจะแลนไป ๗ คร้ัง บรรดาชวนะทง้ั ๗ นน้ั ถงึ ในชวนะแรก การแลตรง และการแลซายแลขวาดว ยอาํ นาจความกําหนดั ความขัดเคือง และความหลงวา น้ีเปน หญงินเ้ี ปน ชาย จะไมม ี ในชวนะที่ ๒ ก็ดี ฯลฯ ในชวนะที่ ๗ กด็ ี (กจ็ ะไมมี ). แตเ มอ่ื วถิ จี ติ เหลานแ้ี ตกดบั เปนไปแลว ดวยอาํ นาจจิตดวงแรกจนถงึ จติ ดวงสุดทาย เหมอื นทหารในสนามรบ การแลตรงและการแลซา ยแลขวา ดว ยอํานาจความกาํ หนัดเปนตน วา น้ีเปน หญงิ น้ีเปนชายกจ็ ะมี. พงึ ทราบอสมั โมหสัมปชัญญะ ดวยอาํ นาจเปน มลู ปรญิ ญา ในอิรยิ าบถบรรพน้ี ดงั ทพ่ี รรณนามานีก้ อ น. ก็เมื่อรปู ปรากฏในจกั ษทุ วารแลว ตอจากภวังคจลนะ (ภวงั คไหว) ไป เมื่อวถิ จี ิตมีอาวชั ชนะเปน ตน เกิดขน้ึ แลว ดบั ไปดวยอาํ นาจทํากิจของตนใหส าํ เรจ็ ในที่สุด ชวนะก็จะเกดิ ขน้ึ ชวนะนน้ั จะเปนเหมือนชายทเี่ ปน แขกของวิถจี ติ มีอาวชั ชนะเปน ตน ทเ่ี กิดขึ้นกอน (มาเย่ียมถึง)ประตู คือตา (จกั ขทุ วาร) ท่เี ทา กับเปน เรือน แมเมอื่ วถิ ีจติ มีอาวัชชนะเปน ตน ไมกําหนัด ไมขดั เคอื ง ไมลมุ หลงในจกั ขุทวาร ท่เี ทากบั เปนเรือนของอาวัชชนะเปน ตน ชวนะน้ันจะกําหนดั จะขดั เคอื ง จะลมุ หลงกไ็ มถ ูก เหมือนกบั ชายทีเ่ ปนแขก เขา ไปขออะไรบางอยางท่ีเรอื นคนอ่นืเม่ือเจาของบานนั่งนงิ่ จะทาํ การบังคับ ก็ไมถ กู ฉะนน้ั พึงทราบอสัม-โมหสมั ปชัญญะ โดยเปนเสมือนแขก ดงั ที่พรรณนามานี้.
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 706 อน่งึ จติ มโี วฏฐพั พนะเปน ทสี่ ดุ ทเ่ี กิดข้นึ ในจกั ขุทวารเหลาน้ี จะแตกดับไปในทน่ี นั้ ๆ นัน่ แหละพรอ มกับสมั ปยุตตธรรม จะไมประจวบกนั เลย เพราะฉะนน้ั จติ นอกน้ี จงึ เปน ไปชั่วคราวเทาน้นั . ในขอนน้ั ผศู ึกษาควรทราบอสมั โมหสัมปชญั ญะ โดยความเปนไปช่วั คราวอยา งนี้วา ในเรอื นหลังเดยี วกนั เม่อื คนตายกันหมดแลว คนคนเดียวทยี่ งั เหลอื อยู ซง่ึ ธรรมดาก็จะตายไปอีกในไมชาเหมอื นกัน ชอื่ วาจะยงั มีความรา เรงิ ในการฟอ นและการรอ งราํ เปน ตน ไมถกู ฉนั ใดเมอื่ อาวชั ชนจิต เปนตน ทส่ี มั ปยุตแลวในทวารเดียวกนั แตกดับไปในที่นั้น ๆ นน่ั เอง แมช วนจิตท่ยี งั เหลืออยู ซง่ึ ก็จะมีการแตกดับไปเปนธรรมดา ภายในไมชา เหมอื นกัน ช่ือวาจะยังมคี วามรา เรงิ อยูด วยอํานาจความกาํ หนด ความขัดเคือง และความลุมหลง ไมถ ูกแลว ฉนั นน้ัเหมือนกัน. เออก็ อีกอยา งหน่งึ พงึ ทราบอสมั โมหสัมปชญั ญะนี้ โดยการพจิ ารณาขันธ อายตนะ ธาตุ และปจจยั ( ดังตอ ไปนี้ ) :- อธบิ ายวา ในคําวา ขนั ธเ ปน ตน นี้ ทง้ั จกั ษทุ ัง้ รปู ช่อื วารูปขันธการเหน็ ช่อื วาวญิ ญาณขันธ การเสวยอารมณทสี่ ัมปยตุ ดว ยวิญญาณขันธนน้ั ชื่อวาเวทนาขันธ ความจําไดหมายรู ช่ือวาสัญญาขันธ ธรรมมีผัสสะเปนตน ช่อื วา สังขารขันธ ในเพราะขนั ธเ หลานม้ี าประจวบกันเขาการแลตรง และการแลซา ยแลขวาจึงปรากฏ. เมือ่ การแลตรง และการแลซายแลขวาปรากฏอยดู วยอํานาจเบญจขนั ธนั้น ( แลวจะมี ) ใครสักคนมาแลตรง จะมใี ครสักคนมาแลขวาเลา. อีกประการหนึ่ง จกั ษุ ช่อื วาจกั ขวายตนะ รูป ชื่อวา รปู ายตนะ
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 707การเหน็ ชอื่ วา มนายตนะ สมั ปยตุ ตธรรมทง้ั หลาย มีเวทนาเปนตนชอื่ วา ธรรมายตนะ ในเพราะอายตนะ ๔ เหลานน้ั มาประจวบกนั อยางน้ีนั่นแหละ การแลตรง และการแลซา ยแลขวาจึงปรากฏ. เม่อื การแลตรงและการแลซา ยแลขวาปรากฏดว ยอํานาจอายตนะ ๔ อยูน้นั แลวจะมใี ครสักคนมาแลทรง จะมีใครสกั คนมาแลซายแลขวาเลา. อกี ประการหนงึ่ จกั ษุชื่อวา จักขธุ าตุ รปู ช่อื วารปู ธาตุ การเหน็ ชอ่ื วา จกั ขวุ ญิ ญาณธาตุเวทนาเปนตนทส่ี ัมปยตุ ดวยจักษวุ ิญญาณธาตนุ ัน้ ช่อื วาธรรมธาตุ ในเพราะธาตุ ๘ เหลา น้ีมาประจวบกันอยางนี้ การแลตรง และการแลซายแลขวาจงึ ปรากฏ เมือ่ การแลตรง และการแลซายแลขวาปรากฏดว ยอํานาจธาตุ ๔ อยูน น้ั แลวจะมใี ครสกั คนมาแลตรง จะมใี ครสักคนมาแลซายแลขวา. อีกประการหนงึ่ จักษุเปน นสิ สยปจจยั รปู เปนอารมั มณปจ จยัอาวัชชนะเปนอนันตรปจ จัย สมนนั ตรปจ จยั อปุ นิสสยั ปจ จยั นตั ถ-ิปจจัย และวคิ ตปจจัย อาโลกะ (แสงสวาง ) เปนอปุ นิสสยปจ จัยเวทนาเปน ตน เปน สหชาตปจ จัย. ในเพราะปจ จยั เหลา นั้นประจวบกันอยางนั้น การแลตรง และการแลซา ยแลขวาจงึ ปรากฏ เมอ่ื การแลตรงและการแลซายแลขวาปรากฏดว ยอํานาจปจจัยอยูนัน้ แลวจะมีใครสกั คนมาแลตรง จะมใี ครสกั คนมาแลซา ยแลขวาเลา . พึงทราบอสมั โมหสัมป-ชัญญะ แมโดยการพจิ ารณาขนั ธ อายตนะ ธาตุ และปจ จยั ในการแลตรงและแลซา ยแลขวานี้ ดังทพี่ รรณนามานี้แล. บทวา สมมฺ ิชฺ เิ ต ปสาริเต ไดแ กในการคูเขาและเหยียดขอพับ(ศอก, เขา ) ออกไป.
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 708 บรรดาสัมปชัญญะท้ัง ๔ นั้น การไมท ําการคูเขา และการเหยียดออกไปดวยอาํ นาจจติ (ความคิด) อยางเดียว แตพ ิเคราะหดูผลไดผลเสยีเพราะมีการคูเ ขาและเหยยี ดมอื หรอื เทา ออกไปเปน ปจ จัยแลว เลอื กเอาแตประโยชน ช่อื วาสาตถกสัมปชญั ญะ ในการคูเ ขาและเหยียดออกไปนั้นพึงทราบการพเิ คราะหถงึ ผลเสียอยางนว้ี า เมอ่ื เธอคมู ือหรอื เทาเขา มาวางไวนาน ๆ หรอื เหยยี ดมือหรอื เทา ออกไปวางไวนาน ๆ เวทนาจะเกดิ ขนึ้ ทกุ ๆครั้ง. จิตก็จะไมไดอ ารมณเลศิ อันเดียว (ไมเปนสมาธ)ิ กรรมฐานก็จะลมเหลว เธอจะไมไดบ รรลุคุณวเิ ศษ. แตเ มอื่ คูเขา พอเหมาะเหยียดออกไปพอดี เวทนาจะไมเกิดข้ึน (เลย) จติ จะเปน เอกัคคตา กรรมฐานก็จะถึงความเจรญิ เธอจะไดบรรลคุ ณุ วิเศษ. สวนการท่ีเมื่อปจ จัยแมม ีอยู พระโยคาวจรยังพิเคราะหสถานที่ ๆเปนสัปปายะและไมเ ปนสัปปายะ แลวเลอื กเอาสถานท่ี ๆ เปน สัปปายะชอ่ื วาสปั ปายสมั ปชัญญะ. ในสปั ปายสมั ปชญั ญะ มนี ยั ดังตอ ไปน้ี :- ทราบมาวา ภกิ ษหุ นมุ ๆ พากันสวดมนตท ่ีลานพระเจดยี ใ หญ เบ้อื งหลังของภกิ ษเุ หลา นั้น ภิกษณุ ีสาว ๆ กําลงั ฟงธรรมกัน. ในจํานวนภกิ ษุเหลานน้ั ภกิ ษุหนุมรปู หนง่ึ เหยียดมือออกไปถกู กายภิกษุณี แลวไดกลายเปน คฤหัสถไปเพราะเหตุนนั้ น่ันเอง. ภิกษอุ กี รูปหน่ึงเมอื่ เหยียดเทาออกไป ไดเหยยี ดไปท่ไี ฟ ไฟไหมเ ทาถึงกระดูก. อีกรปู หน่ึงเหยียดไปทจ่ี อมปลวก ทานถูกงพู ิษกัด. อกี รปู หนง่ึ เหยียดไปท่ีดามกลดงเู หาปแ กวกดั ทาน. เพราะฉะน้ัน ( เมื่อจะเหยียดเทา ) กอ็ ยา เหยยี ดไปในทท่ี ไี่ มเ ปน สปั ปายะเชนน้ี ควรเหยยี ดไปในทท่ี ีเ่ ปนสัปปายะ. นเี้ ปน
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 709สปั ปายสัมปชัญญะ ในอริ ยิ าปถบรรพนี้ สวนโคจรสมั ปชญั ญะ ควรแสดงดว ยเรอื่ งพระมหาเถระ. เรอ่ื งพระมหาเถระ เลากันมาวา พระมหาเถระนงั่ ในที่พักกลางวัน เมือ่ จะสนทนากบั เหลา อนั เตวาสกิ ไดกํามอื เขา แลว แบออกอยา งเดิม (จากน้นั ) จึงคอยๆกาํ เขาอกี เหลา อนั เตวาสกิ ไดเรยี นถามทา นวา ใตเ ทา ขอรับ เหตไุ ฉนใตเทาจึงกาํ มือเขาอยางเร็ว แลว กลับแบไวอยา งเดมิ จากนั้นจงึ คอ ย ๆกําเขาอีก. พระมหาเถระตอบวา คณุ ตั้งแตผมเร่ิมใสใ จกรรมฐาน ผมไมเคยละกรรมฐานแลว กํามอื เลย แตบดั น้ผี มจะพดู กบั พวกคณุ ไดล ะกรรมฐานแลว จงึ กาํ มือ เพราะฉะน้ัน ผมจึงไดแ บมอื ออกไปตามเดิมแลวคอย ๆ กําเขาอกี . อนั เตวาสิกทง้ั หลายกราบเรียนวา ดแี ลว ขอรับใตเ ทา ธรรนดาภิกษคุ วรจะเปน แบบนี.้ แมใ นอริ ยิ าปถบรรพน้ี การไมละกรรมฐาน พงึ ทราบวา ชอื่ วา โคจรสัมปชัญญะ ดว ยประการฉะน.ี้ ไมม ีอะไรในภายในท่ชี ่อื วา อตั ตา คเู ขา มาหรอื เหยยี ดออกไปอย.ูแตการคูเขาและเหยียดออก มไี ดโ ดยการแผขยายของวาโยธาตุท่ีเกดิ แตกิรยิ าจิตมีประการดงั ทกี่ ลา วมาแลว เหมือนการเคลื่อนไหวมอื และเทาของหนุ โดยการชกั ดว ยเชือก เพราะฉะนัน้ ก็การกาํ หนดรู (ดังทีก่ ลาวมานี)้พึงทราบเถิดวา ช่ือวามอี สัมโมหสัมปชัญญะ ในอิรยิ าปถบรรพน.้ี การใชผาสังฆาฏิ และผา จีวร โดยการนุง การหม๑ การใชบ าตรโดยการรกั ษาเปนตน ชอื่ วา ธารณะ ในคาํ วา สงฺฆาฏปิ ตตฺ จวี รธารเณน้ี. การไดอ ามสิ ของภกิ ษุผูนงุ และหมแลว เท่ียวไปบิณฑบาต และประ-๑. ปาฐะวา นิวาสนปารุปนวเสน นาจะเปน ปารปุ นวเสน ซงึ่ แปลวา หม เพราะเปน ผาหมไมใ ชผานุง, (ผแู ปล).
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 710โยชนม ีประการดงั ทพ่ี ระผูม ีพระภาคเจา ตรสั ไวนน่ั แหละโดยนยั มีอาทวิ าสีตสฺส ปฏิฆาตาย (เพอ่ื บําบดั หนาว) ชอื่ วาประโยชนในการครองผาสงั ฆาฏิ และผา จวี รนน้ั ผศู ึกษาควรเขา ใจสาตถกสัมปชัญญะ ดวยสามารถแหงประโยชนน ัน้ กอน. สว นจวี รเน้ือละเอียด เปนสัปปายะของผมู ปี กติรอ น (ขีร้ อน) และผมู กี ําลังนอ ย (แต) จวี รเนอ้ื หยาบหนา เปนสัปปายะของผมู ีปกตหิ นาวมาก (ขี้หนาว) ผิดไปจากนก้ี ไ็ มเปนสปั ปายะ. จวี รเกา ไมเ ปนสัปปายะของใคร ๆ เลย. เพราะมันทาํ ความกงั วลใจใหท า นโดยใหความของใจเปน ตน. ผาจวี รชนิดช้นิ เดียว (ไมไดต ัดใหเ ปนขัณฑ) และผาเปลือกไมเปนตนทเี่ ปน ท่ตี ั้งแหงความโลภก็อยา งน้ัน เพราะผา เชน น้ันทําอนั ตรายแกการอยโู ดดเดี่ยวในปา หรือทําอันตรายถึงแกชีวติ กม็ ี และโดยตรงแลว ผาจวี รผืนใดท่ีเกิดขึน้ (ไดม า) ดว ยอํานาจมจิ ฉาชีพ มกี ารทาํ นิมติเปนตน และจวี รใดเมื่อทา นใชอ ยู อกุศลธรรมเจรญิ ขึ้น กศุ ลธรรมเส่ือมลงจีวรน้ัน เปนอสปั ปายะ แตจ วี รทผ่ี ดิ แผกไปจากนี้ เปนสัปปายะ. ในสมั ปชัญญบรรพนี้ ผูศกึ ษาพงึ เขา ใจสปั ปายสมั ปชญั ญะ ดว ยอาํ นาจของจีวรน้ัน และโคจรสัมปชญั ญะ ดว ยอาํ นาจการไมละทง้ิ กรรม-ฐานเลย. ไมม อี ะไรท่ชี ่อื วา อตั ตาในภายในของภกิ ษผุ ูหมจีวรอยู มแี ตการหมจวี ร โดยการแผข ยายของวาโยธาตุทีเ่ กดิ แตกิรยิ าของจิตมีประการดังที่กลา วแลวเทานน้ั . บรรดาจวี รและกายทง้ั ๒ อยา งน้นั ถงึ จวี รก็ไมม ีความตงั้ ใจ ถงึ กายกไ็ มม คี วามตั้งใจ จวี รกไ็ มร วู า เราหมกาย. ถึงกายก็ไมรูว าจวี รหม เรา. ธาตทุ ้งั หลายเทา นนั้ ปกคลุมกลุมธาตไุ ว เหมือนเอาผาเกา
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 711หอรปู คอื คัมภรี เพราะฉะน้นั ไดจวี รทีด่ ีแลว ก็ไมค วรทาํ ความดีใจเลยไดไ มดี ก็ไมค วรเสียใจ อธบิ ายวา คนบางพวกพากันสักการะ นาคจอมปลวกเจดียแ ละตน ไม๑ เปน ตน ดว ยดอกไมของหอมและผาเปนตน.แตคนลางเหลา ทาํ สิง่ ทไี่ มใ ชส ักการะ เชน ถายอุจจาระปส สาวะรดเอาโคลนทา เอาทอนไมตีและศสั ตราประหาร เปน ตน นาค จอมปลวกและตน ไม เปน ตน จะไมทาํ ความยินดยี นิ รา ยดว ยสกั การะหรอื อสกั การะนัน้ (ฉันใด ) ภกิ ษุกเ็ ชนน้นั เหมือนกัน ไดจีวรดแี ลว ก็ไมควรทําความดใี จ ไดไ มด ี ก็ไมควรเสยี ใจ. ในสัมปชัญญบรรพนี้ ผศู กึ ษาควรเขาใจอสมั โมหสมั ปชญั ญะ ดวยอํานาจการพจิ ารณาที่เปน ไปแลวดงั ที่พรรณนามานี้เทอญ. แมในการอุมบาตร ก็ควรทราบอสัมโมหสัมปชญั ญะ ดวยอาํ นาจประโยชนท ี่จะพึงได๒ เพราะมีการถอื บาตรเปน ปจจยั อยา งนี้วา เราจักไมรีบรอ นถอื บาตร แตจะถือเอาบาตร (โดยมกี รรมฐานเปนสาํ คญั )เทยี่ วไปบิณฑบาต ก็จกั ไดภิกษา. สวนบาตรหนกั ไมเ ปนสัปปายะ สําหรับภิกษุผมู ีรางกายผอมและแรงนอ ย และบาตรท่เี ชื่อม ( เหล็ก ) เขา กนั ๔ - ๕ แผน ตะไบไมเ รียบรอ ย ไมเปน สัปปายะแกค นใดคนหนงึ่ เลย๓ เพราะวา บาตรท่ีลา งยาก ไมเหมาะ กเ็ มอ่ื ลา งบาตรนน่ั แหละ เธอจะมคี วามกงั วล. สวนบาตรทมี่ สี ีเหมือน แกวมณี เปน ท่ีต้งั แหงความโลภ ไมเปน สัปปายะ โดย๑. ปาฐะวา นานาวมมฺ ิกเจติยรกุ ฺขาทสี ุ ฉบบั พมาเปน นควมมฺ ิกเจตยิ รุกฺขาทีสุ แปลตามฉบับพมา .๒. ปาฐะวา ปฏิลภติ พฺพ อตฺตวเสน พมาเปน ปฏิลภติ พฺพอตถฺ วเสน แปลตามฉบับพมา .๓. ปาฐะวา อสปปฺ าโย จ พมา เปน อสปฺปาโยว แปลตามพมา.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 712นยั ทไี่ ดกลาวไวแ ลว ในจวี รนนั่ แหละ แตบาตรท่ไี ดม าโดยการทํานมิ ิตเปนตน ซึ่งเมอ่ื ภิกษนุ น้ั ใช อกศุ ลธรรมจะเจรญิ ข้นึ กศุ ลธรรมจะเสือ่ มลง บาตรนี้เปนอสัปปายะโดยสว นเดยี วเทาน้ัน บาตรทผ่ี ดิ แผกไป (จากน้ี)เปนสปั ปายะ. พึงทราบสัปปายสัมปชญั ญะ ดว ยสามารถแหงบาตรนั้นพงึ ทราบโคจรสัมปชัญญะ โดยไมละกรรมฐาน. ไมมีอะไรท่ชี ่อื วาเปนอตั ตาในภายในแกภิกษุอมุ บาตรอยู ธรรมดาการอุมบาตร จะมไี ดก ็โดยการแผข ยายของวาโยธาตุท่ีเกดิ ขนึ้ เพราะกิรยิ าของจติ มปี ระการดังทกี่ ลา วมาแลว บรรดามือและบาตรทง้ั ๒ อยางน้ัน ท้ังบาตรก็ไมม คี วามตงั้ ใจ ทงั้ มือก็ไมม ีความตง้ั ใจ บาตรกไ็ มร ูว ามืออมุ เรา ถงึ มือก็ไมรวู า เราอุมบาตร ธาตทุ ั้งหลายเทาน้ันอุมกลุมธาตุเหมอื นกับในเวลาเอาคีมคีบบาตรท่ีสมุ ไฟ เพราะฉะน้นั ในสมั ปชญั ญบรรพนี้ พงึ ทราบอสมั โมทสัมปชัญญะ โดยการพิจารณาทเ่ี ปนไปแลว ดังทพี่ รรณนามาน.ี้ อีกอยางหนึ่ง ภิกษุใด พิจารณาเห็นจีวรเหมือนผาพันแผล บาตรเหมอื นกระเบื้องใสยา และภิกษาทไี่ ดมาในบาตรเหมือนยาในกระเบอ้ื งภิกษุนี้พึงทราบเถิดวา เปน ผูม ปี กตทิ าํ ความรูตัวสูงสดุ เปน ปกติ ดว ยอสมั โมหสัมปชัญญะ ในการพาดสังฆาฏิ อุมบาตร และหม จีวร เหมือนกับชายทีม่ คี วามเอน็ ดู เหน็ คนอนาถานอน๑อยทู ศ่ี าลา สําหรบั คนอนาถามีมือเทา ดวน มนี ํ้าเหลอื งและเลอื ดทง้ั หมหู นอนไหลออกจากปากแผล มีแมลงวันหวั เขียวตอมห่ึง จึงไดห าผาพันแผลและยา พรอ มท้ังกระเบื้องใสยาไปมอบใหเ ขาเหลานั้น ในจํานวนส่งิ ของเหลา น้ัน แมผ า ท่เี นื้อ๑. พมา มีศัพท นิปนฺเน ในระหวา งน้ี จงึ แปลตามพมา.
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 713ละเอยี ดกต็ กแกลางพวก ทเ่ี น้อื หยาบก็ตกแกล างพวก ถงึ กะลาใสยาที่ทรวดทรงงามก็ตกแกลางพวก ที่ทรวดทรงไมง ามก็ตกแกลางพวก พวกเขาจะไมด ีใจหรอื เสยี ใจในสิง่ ของเหลา นน้ั เพราะพวกเขามคี วามตองการผาเพียงแตใ ชป ด แผลเทานัน้ และกะลาเพยี งแตใชรบั ยาเทานั้นฉะนั้น. พงึ ทราบวินิจฉัย ในการฉันเปน ตน (ดังตอไปน)ี้ :- บทวา อสเิ ต ความวา ในการฉนั บิณฑบาต. บทวา ปเ ต ความวา ในการดม่ื ขาวยาคูเปน ตน . บทวา ขาทิเต ความวา ในการเคี้ยวของเค้ียวท่ที ําดว ยแปง เปนตน. บทวา สายิเต ความวา ในการด่มื ของดมื่ มีนาํ้ ออยเปนตน. ในการฉันเปนตน นัน้ ประโยชนท้ัง ๘ อยาง ท่พี ระพุทธเจาตรัสไวโดยนัยนี้อาทวิ า เนว ทวาย (ไมใ ชเ พอ่ื เลน) ชอ่ื วา ประโยชนผูศ กึ ษาพึงทราบสาตถกสมั ปชัญญะ ดวยสามารถแหงประโยชนนัน้ . ก็ผใู ดมีความไมส บาย เพราะโภชนะใด โภชนะนน้ั เปน อสปั ปายะสาํ หรบั ผนู ัน้ สวนโภชนะใดไดม าโดยการทาํ นมิ ติ เปน ตน และเมอื่ เธอฉนั โภชนะใด อกศุ ลธรรมท้งั หลายเจริญข้ึน กุศลธรรมทง้ั หลายเส่อื มสนิ้ไป. โภชนะน้นั เปนอสัปปายะโดยถายเดยี วเทา น้ัน. แตท ี่ผดิ เพย้ี นไป(จากน)้ี เปน สปั ปายะ. ผศู กึ ษาควรเขาใจสัปปายสัมปชัญญะ ดว ยอํานาจแหงโภชนะที่เปน สัปปายะน้ัน และพงึ ทราบโคจรสัมปชญั ญะ โดยไมละทง้ิ กรรมฐานเลย. ไมม ีใครชื่อวา อัตตา ในภายในเปน ผกู นิ มีแตการรับบาตรธรรมดาโดยการแผข ยายแหงวาโยธาตทุ ีเ่ กดิ แตกิรยิ าของจติ มีประการดงั ทีก่ ลาวมา
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 714แลวเทา นนั้ มแี ตการหยอนมอื ลงในบาตรธรรมดา โดยการแผขยายแหงวาโยธาตอุ ันเกิดแตก ริ ยิ าของจติ เทานัน้ มีแตการปนคาํ ขา ว การยกคาํ ขา วขนึ้ และการอา ปากรับ โดยการแผข ยายของวาโยธาตทุ ีเ่ กดิ แตกริ ยิ าของจติ เทานั้น ไมม ใี ครเอากญุ แจและเครอ่ื งยนตเปดกระดกู คาง มีแตก ารวางคําขาวไวในปาก การใหฟน บนทําหนา ที่แทนสาก การใหฟ น ขา งลางทาํ หนาทแ่ี ทนครก และการใหล ิ้นทําหนาท่ีแทนมอื โดยการแผข ยายของวาโยธาตุทเ่ี กดิ แตก ริ ิยาของจิตเทา นัน้ . ดว ยเหตอุ ยา งนี้ นา้ํ ลายจาํ นวนเลก็ นอ ยจากปลายล้นิ ในบรรดาปลายและโคนนนั้ (และ) นา้ํ ลายจาํ นวนมากจากโคนลิน้ กจ็ ะคลุกเคลาคาํ ขา วน้ัน คาํ ขาวน้นั จะพลิกไปมาดวยมือคอื ล้ินในครกคือฟน (กราม)ลาง เปยกชุมไปดว ยนํา้ คือเขฬะ บดละเอยี ดดว ยสากคือฟน (กราม)บน, ข้นึ ชอ่ื วาใคร ๆ จะเอาชอ นหรือทัพพีสอดเขา ไปขางใน (ปาก)ไมม ี. ( คาํ ขาว ) เขาไปได เพราะวาโยธาตุนนั่ เอง คาํ ขาวทีเ่ ขา ๆ ไปแลว ใคร ๆ ช่อื วาจะยง้ั ไว ทาํ ใหเปน ( เหมือน ) สุมกองฟางไวไมม ีแตจะวางไวไดด ว ยอาํ นาจวาโยธาตุเทานนั้ , ท่ีวาง ๆ ไวแ ลว ใคร ๆ ชื่อวาจะตัง้ เตาตดิ ไฟตม ใหเปอ ยไมม ี แตจะเปอ ยไดเพราะเตโชธาตเุ ทานนั้ , ที่เปอยแลว ๆ ใคร ๆ ชื่อวา จะเอาไมถือหรอื ไมเ ทา เขี่ยออกไปขา งนอกกไ็ มม,ี วาโยธาตเุ ทาน้นั จะนาํ ออกไป. ดว ยเหตอุ ยา งนี้ วาโยธาตนุ าํ(คําขาว) เขา ไปดวย นําออกไปดว ย ใหห ยดุ อยูด วย ใหพ ลกิ ไปมาดวย ใหย อยไปดวย ใหน ํา (กาก) ออกไปดว ย, ปฐวีธาตุทรงไวดว ย ใหพ ลิกไปดว ย ใหย อยดว ย, อาโปธาตใุ หเกาะกุมกนั ไวดวย รกั ษาไวใ หส ดอยดู วย, เตโชธาตุจะยอยคําขาวท่ีเขาไปขา งในแลว อากาศธาตุ
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 715เปนชองทาง, วิญญาณธาตคุ าํ นงึ ถงึ โดยอาศยั การประกอบกนั โดยชอบในธาตนุ นั้ ๆ ผูศ ึกษาพงึ เขาใจสมั โมหสัมปชญั ญะ ในสัมปชญั ญบรรพโดยการพิจารณาท่เี ปน ไปแลว ดังท่ีพรรณนามานเี้ ทอญ. ปฏกิ ลู ๑๐ อกี อยางหน่ึง พระโยคาวจรควรทราบอสมั โมหสัมปชญั ญะ ในสัมปชัญญบรรพน้ี โดยการพิจารณาถงึ ความปฏิกลู ๑๐ อยางนีค้ อื โดยการไป ๑ โดยการแสวงหา ๑ โดยการฉนั ๑ โดยอธั ยาศัย ๑โดยการเกบ็ ไว (ในกระเพาะอาหาร) ๑ โดยสวนทีย่ ังไมยอย ๑โดยสว นทยี่ อ ยแลว ๑ โดยผล ๑ โดยซึมซาบ ๑ โดยเปรอะเปอน ๑สวนกถาอยา งพสิ ดาร ในสัมปชญั ญบรรพน้ี ควรถอื เอาจากนเิ ทศแหงอาหาเรปฏกิ ูลสัญญา ในคัมภีรวสิ ุทธิมรรคเทอญ. บทวา อุจฺจารปสฺสาวกมเฺ ม ความวา ในการถายอจุ จาระและปส สาวะ ( เพราะวา ) ถึงเวลาน้นั แลว เม่ือไมถ า ยอุจจาระปสสาวะ. เหง่อืจะไหลออกทว่ั รางกาย นยั นต าจะพรา จิตไมเปน เอกคั คตา และโรคอ่ืน ๆกจ็ ะเกิดขน้ึ . แตเม่ือถายแลวสิ่งทง้ั หมดนน้ั จะไมมี เพราะฉะนนั้ ขอ ความนเี้ ปน อรรถาธิบายในคําวา อจุ จฺ ารปสสฺ าวกมฺเม นี้. ผูศกึ ษาพึงเขาใจสาตถกสัมปชัญญะ ดวยอํานาจแหงเนือ้ ความนนั้ . ท่เี มอ่ื ถา ยอจุ จาระปสสาวะในทไี่ มสมควรจะเปนอาบัติ จะเสื่อมยศ(เสียเกียรติ) จะเปนอนั ตรายแกช วี ิต แตเมอื่ ถา ยในทเ่ี หมาะสม สิ่งท้ังหมดนนั้ จะไมมี เพราะฉะนนั้ การถายในทีเ่ หมาะสมน้ี จงึ เปนสัปปายะในอจุ จารปส สาวกรรมนี้ ผศู กึ ษาพงึ ทราบสปั ปายสัมปชัญญะ ดวย
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 716อํานาจแหงสัปปายะน้ัน สว นโคจรสนั ปชญั ญะ พึงทราบดวยอาํ นาจการไมล ะทง้ิ กรรมฐานน่ันแหละ. ไมม ใี ครชือ่ วาเปนอัตตาในภายใน ถา ยอจุ จาระปส สาวะ มีแตการถา ยอจุ จาระปส สาวะ เพราะการแผขยายแหง วาโยธาตทุ เ่ี กดิ แตก ิริยาของจิตเทานนั้ , ก็อุจจาระและปส สาวะทีข่ ังอยใู นไสแก และกระเพาะปส สาวะ ถูกกาํ ลังลมดนั ไป กจ็ ะออกไปเอง โดยไมอยากใหอ อกเลยเหมือนเมื่อฝแ กแ ลว หนองและเลอื ดจะไหลออกไปเอง โดยไมอ ยาก(ใหไ หล) เพราะฝแตก และเหมอื นกับน้ําจะไหลออกจากภาชนะใสน า้ํท่ดี นั แลว โดยไมอยาก (ใหไ หล) ฉะนน้ั . กอ็ ุจจาระและปส สาวะนใ้ี ด ทถ่ี า ยออกไปแลว อุจจาระและปสสาวะน้ีนั้นแหง อัตตาของภกิ ษุนัน้ จะไมมเี ลย ของผอู ่นื ก็ไมมี จะมกี ็แตการขบั ถายของรา งกายเทานัน้ . เหมอื นอะไรหรอื ? เหมือนเมอื่ เทนา้ํ เกา ทิ้งจากหมอ น้ําแลว หมอกไ็ มมนี ้าํ นั้นเลย ส่งิอืน่ ก็ไมมี คงมีแตเ พียงปฏิบัติการอยางเดียวเทานนั้ ฉันใด ผูศกึ ษาพึงเขา ใจสมั โมหสัมปชัญญะ ในอสมั ปชัญญบรรพน้ี โดยการพิจารณากริ ยิ าอาการท่ีเปน ไปแลว ฉันนน้ั . พงึ ทราบวนิ จิ ฉยั ในการเดนิ เปน ตน (ดังตอไปน้)ี :- บทวา คเต ไดแกในการเดนิ ไป. บทวา ิเต ไดแ กใ นการยืน. บทวา นิสินเฺ น ไดแกในการน่งั . บทวา สุตเฺ ต ไดแกในการนอนหลบั .
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 717 บทวา ชาคริเต ไดแกใ นการต่ืน. บทวา ภาสเิ ต ไดแกในการกลา ว. บทวา ตุณหฺ ภี าเว ไดแ กในการไมพดู . พระองคไ ดต รัสอริ ิยาบถยาวนานไวใ นฐานะนี้วา เมอื่ เดนิ ไปกร็ วู าเรากําลงั เดนิ บา ง, ยนื แลว กร็ วู า เรายนื แลว บา ง, นั่งแลวกร็ ูวาเราน่งั แลว บางนอนแลว ก็รูวาเรานอนแลว บา ง. ตรัสอิริยาบถกลาง ๆ ไวในฐานะนวี้ าในการกา วไปขางหนา , ในการถอยกลับ, ในการแลตรง. ในการแลซา ยแลขวา, ในการเหยยี ดออก แตใ นบรรพนี้ ตรสั อิรยิ าบถปลกี ยอ ยเล็ก ๆ นอย ๆ ไวว า ในการเดนิ , ในการยนื , ในการนง่ั ในการหลบัในการต่นื เพราะฉะนัน้ พงึ ทราบความเปนผูทาํ ความรูสึกตัวเปน ปกติโดยนยั ท่ีตรัสไวใ นฐานะเหลา นี้น่ันแหละ. ก็ทา นมหาสวิ เถระผทู รงพระไตรปฎ ก ไดกลาวไววา ผใู ดเดินไปหรือจงกรมนาน ๆ แลวตอมาจงึ ยืน พจิ ารณาเห็นอยา งนีว้ า รปู ธรรมและอรปู ธรรมท่เี ปน ไปแลว ในเวลาจงกรม ไดด ับไปแลว ในเวลาจงกรมนี้เอง ผูน ี้น้ัน ช่ือวาทาํ ความรูส ึกตวั ในการเดิน. ผใู ด เม่อื ทําการสาธยาย, แกปญหา หรือมนสิการกรรมฐาน ยืนอยูนาน ๆ แลว ตอมาจึงนง่ั พิจารณาเห็นอยา งนว้ี า รปู ธรรมและอรปู -ธรรม ที่เปน ไปแลว ในเวลายืน ไดดบั ไปแลว ในเวลายนื น้ีเอง ผนู ้ีน้นั ช่อื วาทาํ ความรสู ึกตัวในการยืน. ผใู ด นง่ั นาน ๆ โดยทาํ การสาธยายเปนตนน้ันเอง แลว ตอมาจึงนอน พิจารณาเห็นอยา งน้ี รปู ธรรมและอรูปธรรมท่เี ปน ไปแลว ในเวลานงั่ ไดดบั ไปแลว ในเวลาน่งั นี้เอง ผูน น้ี ัน้ ช่อื วาทาํ ความรูสกึ ตัว
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 718ในการนงั่ . ผใู ด นอนอยนู ่ันแหละ ทาํ การสาธยายไปพลาง หรอื มนสกิ ารกรรมฐานไปพลาง กาวลงสูค วามหลับ ตอ มาจึงลุกข้ึน พจิ ารณาเห็นอยางนวี้ า รปู ธรรมและอรูปธรรมที่เปน ไปแลวในเวลานอน ไดดบั ไปแลวในเวลานอนนี้เอง ผูน้ีนน้ั ช่ือวา ทาํ ความรูสกึ ตวั ทั้งในการหลบั ทัง้ ในการต่ืน. เพราะวา จติ ทส่ี ําเร็จดว ยกริ ยิ า ไมม กี ารเปน ไป (ไมขึน้ สวู ถิ ี) ชือ่วา หลบั มกี ารเปนไป ชือ่ วา ต่นื เพราะฉะนนั้ (ผูน ั้นจงึ ชือ่ วาทาํ ความรสู ึกตวั ทง้ั ในการหลับ ทัง้ ในการต่ืน). สวนผูใด เมือ่ พดู ก็พดู มีสติ รสู กึ ตวั วา ธรรมดาวา เสยี งนีอ้ าศยัรมิ ฝป าก อาศยั ฟน , ลน้ิ , เพดาน และประโยคของจิต ท่ีเหมาะสมกบัจิตนน้ั แลวจึงเกดิ ขน้ึ ได. อกี อยา งหนึ่ง ผูใด ทาํ การสาธยายธรรม บอกธรรม แปลธรรม(สอน) กรรมฐาน หรอื วสิ ัชนาปญ หาเปนเวลานาน ตอ มาจึงน่ิงพิจารณาเหน็ อยางน้ีวา รปู ธรรมและอรูปธรรมท่เี ปนไปแลวในเวลาพดูกด็ ับไปแลวในเวลาพูดนเ้ี อง. ผนู ้นี นั้ ชอ่ื วา ทาํ ความรูส กึ ตวั ในการพดู . ผใู ด ดุษณภี าพ มนสิการถงึ ธรรม หรือกรรมฐาน นาน ๆตอมาพจิ ารณาเห็นอยางนีว้ า รูปธรรมและอรปู ธรรมที่เปน ไปในเวลานง่ิกไ็ ดด บั ไปแลว ในเวลาน่ิงนั้นเอง เมื่อมีการเปนไปแหงอุปาทายรูป (เขา)กช็ ื่อวา พูด เม่ือไมม ี ก็ชือ่ วาเปน ผนู ่งิ ผนู นี้ ั้น ช่อื วาทําความรูสกึ ในดุษณภี าพ. สัมปชญั ญะท่ีมีอสมั โมหะเปน ธรุ ะ ทพี่ ระมหาเถระกลาวไวแ ลวน้ีนัน้ พระองคทรงประสงคเอาแลวในสติปฏฐานสูตรน.้ี สว นในสามญั ญ-
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 719ผลสูตร ไดสมั ปชัญญะหมดท้ัง ๔ อยา ง. เพราะฉะน้ัน ในสามัญญผลสตู รน้ี ผศู ึกษาพงึ ทราบความเปน ผกู ระทาํ ความรูส กึ ตัวไวเปนพิเศษ ดว ยอาํ นาจสัมปชญั ญะที่ไมลืมหลง. และในทกุ ๆ บทวา . สมฺปชานการีสมฺปชานการี ผศู กึ ษาพงึ ทราบอรรถาธบิ าย ดวยอาํ นาจสัมปชัญญะทปี่ ระกอบดว ยสติเหมอื นกัน. สว นในวภิ ังคปกรณ พระองคท รงจาํ แนกบทเหลา น้ีไวอ ยางน้ีเหมอื นกนั วา พระโยคาวจรมีสติ มีสมั ปชัญญะ กา วไปขางหนา มสี ติ มีสมั ป-ชัญญะถอยกลับ . บทวา อติ ๑ิ อชฌฺ ตตฺ วา ความวา พระโยคาวจร ช่อื วาพิจารณาเห็นกายในกายของตน หรอื ของผอู น่ื คอื ในกายของตนตามกาล (ท่คี วร)หรอื กายของผูอ่นื ตามกาล (ท่ีควร) โดยการกาํ หนดดวยสมั ปชญั ญะ๘ ประการอยางน้ี. แมในจตุสมั ปชัญญบรรพน้ี กค็ วรนําเอาความเกิดความเสือ่ มแหงรปู ขันธนนั่ เอง ไปไวในคําทัง้ หลายมีอาทิวา สมุทยวยธมฺมานุปสฺสี วาคาํ ทยี่ งั เหลือ เปนเชน เดยี วกันกับคาํ ท่ไี ดกลา วมาแลว นั่นแหละ. อริยสจั ในสมั ปชญั ญะ ในทีน่ ี้ สตทิ ี่กาํ หนดดว ยสัมปชัญญะ ๔ ประการ เปนทุกขสจัตณั หาเดิมทีย่ งั สติใหปรากฏ ( เปน สมุฏฐานของสต)ิ เปนสมทุ ยั สัจการไมเปนไปของสตแิ ละตัณหาเดมิ ทั้ง ๒ นนั้ เปนนโิ รธสจั อรยิ มรรคมีประการดงั ที่กลาวมาแลว เปน มรรคสจั พระโยคาวจรขวนขวาย ดว ย๑. ปาฐะวา อิทานิ แตฉบบั พมา เปน อติ ิ แปลตามฉบับพมา.
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 720อาํ นาจสัจจะทัง้ ๔ อยางน้ีแลว จะบรรลุ ความดบั ( ตณั หา ) เพราะ-ฉะน้ัน จึงเปน ชอ งทางแหง ธรรมเปนเหตนุ ําออกจากทุกข จนถึงพระอรหัต ดว ยอาํ นาจแหง พระโยคาวจร ผกู าํ หนดดว ยสัมปชญั ญะ ๔ ประการรปู หนงึ่ แล. จบ จตุสัมปชัญญบรรพ ปฏิกูลมนสกิ ารบรรพ [๑๓๖] พระผมู พี ระภาคเจา ครน้ั ทรงจําแนกกายานปุ ส สนา ดวยอาํ นาจแหง สมั ปชัญญะ ๔ ประการดังพรรณนาน้ีแลว บัดน้ี เพ่อื จะทรงจาํ แนกดว ยอาํ นาจมนสกิ าร โดยเปนของปฏิกลู จงึ ไดตรัสคาํ มีอาทวิ าปุน จปร ดังน้ี . พึงทราบวนิ จิ ฉัยในปฏกิ ูลมนสิการบรรพ ดงั ตอ ไปนี้ :- คําใดท่ีจะตองกลา วในคําวา อิมเมว กาย เปนตน คาํ น้ันทั้งหมด๑ ไดก ลาวไวแ ลวในกายคตาสติกรรมฐาน ในคมั ภรี วิสทุ ธิมรรคโดยพสิ ดาร ดวยอาการทุกอยาง. บทวา อภุ โตมขุ า ความวา (ไถ) ประกอบดวยปาก ๒ ทางคอื ท้งั ทางลา งทง้ั ทางบน. บทวา นานาวิหิตสสฺ แปลวา มีอยางตาง ๆ. กใ็ นเรื่องน้ีมีขออุปมาเปน การเทียบเคยี งกนั ดังนี้ :- อธบิ ายวา กาย คือมหาภูตรูป ๔ พงึ ทราบวา เหมอื นไถม ีปาก๒ ทาง อาการ ๓๒ มีผมเปน ตน พงึ ทราบวา เหมือนธัญญชาตนิ านา-ชนดิ ทเ่ี ทปนกนั ในไถ, พระโยคาวจร พึงทราบวา เหมอื นบุรุษมีตาดี,อาการปรากฏแจมชัดแหง อาการ ๓๒ แกพระโยคี พงึ ทราบวา เหมอื น๑. ฉบบั พมามคี าํ วา สพพฺ จงึ แปลตามบาลขี องพมา .
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 721เวลาทีธ่ ัญญชาตินานาชนิด๑ ปรากฏแกบุรษุ นัน้ ผแู กไ ถนน้ั แลว ตรวจดูฉะน้นั . บทวา อติ ิ อชฺฌตฺต วา ความวา พระโยคาวจร ช่อื วา พิจารณาเหน็ กายในกายของตน หรอื ในกายของผอู ืน่ คอื ในกายของตนตามกาล(ที่เหมาะสม) หรอื ในกายของผอู น่ื ตามกาล (ทเี่ หมาะสม) ดวยการกาํ หนดในผมเปน ตน. คําตอจากนไ้ี ป มนี ยั ดังทไี่ ดกลา วมาแลวน้นั แหละ.จริงอยูในปฏกิ ลู มนสิการบรรพนี้ สตทิ ก่ี าํ หนดอาการ ๓๒ เปนทกุ ขสจัอยา งเดยี ว ผูศึกษาควรทาํ การประกอบความดงั ท่พี รรณนามาอยา งนีแ้ ลวทราบมขุ แหงการออกไป (จากทุกข) . คาํ ท่เี หลือ (จากทอี่ ธบิ ายมาแลว น้ี) เปน เชน กบั คาํ กอ นนั้นเอง ดงั นี้แล. จบ ปฏกิ ลู มนสิการบรรพ ธาตมุ นนสกิ ารบรรพ [๑๓๗] พระผมู ีพระภาคเจา คร้ันทรงจาํ แนกกายานุปสสนาดวยอาํ นาจปฏกิ ลู มนสิการอยา งนแ้ี ลว บัดนี้ เพ่ือจะทรงจําแนกดว ยอํานาจการมนสิการถึงธาตุ จึงตรสั คํามอี าทวิ า ปุน จปร ไว. ในคําเหลา น้นัมกี ารพรรณนาความพรอมกบั คําอุปมาเปน การเปรยี บเทยี บกนั ดังน้ี :- เปรยี บพระเหมอื นคนฆา ววั คนฆา ววั ลางคนหรอื ลกู มือของเขาทีเ่ ปน ลกู จาง ฆาววั แลว ชําแหละแลว ตอ งแบง แยกออกเปน สวน ๆ นง่ั (ขาย) อยูทท่ี าง ๔ แพรง๑. ปาฐะวา ปกขฺ ติ นานาวิธชฺ ฉบบั พมา เปน ปกฺขติ ตฺ นานาวธิ ธฺสฺส แปลตามพมา .
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 722กลาวคือทีท่ ามกลางถนนใหญ ทีแ่ ยกไป ๔ ทศิ ฉันใด ภกิ ษุกฉ็ นั นน้ัเหมือนกนั พจิ ารณากาย ตามท่สี ถิตอยูแลวโดยอาการอยางใดอยางหนงึ่แหงอริ ิยาบถท้ัง ๘ และตามที่ดาํ รงอยแู ลว เพราะตามท่ีไดท้ังปณธิ านไวอยา งนวี้ า มอี ยูในกายนี้ (คอื ) ธาตดุ นิ ฯ ล ฯ ธาตลุ ม. มพี ุทธาธิบายไวอ ยา งไร ? มพี ทุ ธาธิบายไววา :- คนฆา โค เม่ือกาํ ลังเลีย้ งโคกด็ ี กําลงั จูงไปสูท่ีฆา สัตวก็ดี ครัน้ จูงไปแลว กาํ ลงั ผกู ใหย ืนอยทู ี่นน้ั ก็ดี กําลงั ฆา ก็ดีกาํ ลงั ดวู ัวทเี่ ขาฆาแลวก็ดี ความหมายรูวา แมโ ค ยงั ไมจางหายไปตลอดเวลาทีย่ งั ไมช าํ แหละแมโ คนั้นแบงแยกออกเปน สวน ๆ แตคร้ันนัง่แบง (เน้อื ) แลว ความหมายรวู า แมโ ค กจ็ ะจางหายไป, ความหมายรูวา เนอ้ื ก็จะเปน ไปเขา มาแทนท่ี เขาจะไมมีความคดิ อยา งนว้ี า เราขายแมโ ค เขาเหลานีซ้ ้ือแมโ ค, โดยท่ีแทแลว เขาจะมีความคิดอยา งนีเ้ ทาน้นั วา เราขายเน้อื เขาเหลา นซ้ี ือ้ เน้ือ ฉนั ใด. ในเวลาทภี่ ิกษุแมรปู น้ียังเปน พาลปถุ ุชนอยกู อ นกเ็ ชน นั้นเหมือนกัน ความหมายรวู าสัตวหรือบุคคลของทานผูเปน คฤหัสถก ็ดี ผูบวชแลวก็ดี ยงั ไมอนั ตรธานไป ตลอดเวลาท่ียังไมไดทาํ กายนี้นน้ั เอง ตามที่สถิตอยูแลว ตามท่ตี ้งั อยแู ลว ใหเ ปน การแยกออกไปจากกอ นแลวเห็นโดยเปนธาตุ แตเ ม่ือทานพิจารณาเห็นอยูโดยเปนธาตุ สตั ตสญั ญา (ความหมายรวู าสตั ว) ของทานก็จะอันตรธานไป จติ จะต้งั อยดู วยอํานาจของธาตุนน้ั เอง. เพราะฉะนั้น พระผมู พี ระภาคเจา จึงไดตรสั ไววา เธอจะพจิ ารณาเหน็ กายนี้ ตามท่สี ถติ อยูแลว ตามทีต่ งั้ อยูแ ลวโดยเปนธาตุวา ในกายน้ีมีธาตดุ ิน ธาตุน้าํ ธาตุไฟ ธาตุลมอยู ดูกอ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย นายโคฆาตก
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 723ผขู ยัน หรอื ฯลฯ วาโยธาตุ แมฉ ันใด. อธบิ ายวา ภิกษผุ บู าํ เพ็ญเพยี ร (โยคี) เหมอื นคนฆา โค ความหมายรูว า สตั ว เหมือนความหมายรูวา แมโ ค อิริยาบถ ๔ เหมอื นทางใหญ ๔ แพรง การพจิ ารณาเหน็ (กาย) โดยเปนธาตุ เหมอื นนายโคฆาตกผ ูนั่งแบง (เนอ้ื ) ออกเปน สว น ๆ. นี้คือการพรรณนาความตามพระบาลีในธาตุมนสิการบรรพน้.ี สวนกถาวา ดวยกรรมฐาน ไดใหพสิ ดารไวแลว ในคัมภรี ว ิสทุ ธิมรรค บทวา อิติ อชฺณตตฺ วา ความวา พระโยคาวจรมีปกติพจิ ารณาเหน็ กายในกายของตน หรอื ในกายของผูอ น่ื คอื มีปกติพิจารณาเหน็ กายในกายของตนตามกาล หรือในกายของผูอ่นื ตามกาล อยอู ยา งน้ี คอืโดยการกําหนดธาตุ ๔ คาํ ตอ จากน้ีไปมีนยั ดังทีก่ ลาวมาแลวนน้ั แหละ.เพราะวาในธาตุมนสกิ ารบรรพน้ี สตทิ กี่ าํ หนดธาตุ ๔ เปนทกุ ขสัจอยา งเดียว. บณั ฑิตพึงทราบชองทางแหง ธรรมเคร่ืองนําออก (จากทุกข)ตามทีไ่ ดอธิบายความประกอบมาอยางน้แี ล. คาํ ทีเ่ หลือ เชนกับคาํ กอ นน้นั เอง ดังนีแ้ ล. จบ ธาตุมนสิการบรรพ นวสีวถกิ าบรรพ [๑๓๘] พระผูมีพระภาคเจา คร้ันทรงจําแนกกายานุปส สนาดว ยอาํ นาจการมนสกิ ารถงึ ธาตุอยางนแี้ ลว บัดน้ี เพอ่ื จะทรงจําแนกดว ย
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 724นวสวี ถกิ าบรรพ (ขอธรรมที่วาดว ยปา ชา ๙) จึงตรสั คําเปน ตนวา ปนุจปร ดงั น.ี้ บรรดาบทเหลานน้ั บทวา เสยฺยถาป ปสฺเสยยฺ ไดแก ยถาปสฺเสยฺย (แปลวา พึงเหน็ ฉันใด). บทวา สรีร ไดแ กรางกายของคนทตี่ ายแลว บทวา สีวถกิ าย ฉฑฺฑิต ความวา ทีเ่ ขาทอดท้ิงไวท ่ีปาชา รา งของคนท่ีตายแลววันเดียว เพราะฉะนัน้ จึงชอ่ื วา เอกาหมตะ. รางกายของคนที่ตายแลว ๒ วนั เพราะฉะนั้น จึงช่อื วา ทวีหมตะ. รา งกายของคนทีต่ ายแลว ๓ วนั เพราะฉะนั้น จงึ ชือ่ วา ตีหมตะ. ศพทพ่ี องลมเหมอื นสบู ชอ่ื อุทธมุ าตกะ (ขึน้ พอง ) เพราะข้ึนพอง โดยอดื ขน้ึ ไปตามลาํ ดับหลังจากสิ้นชวี ติ แลว. สีช้ําดาํ เขียว เขาเรยี กวา วินลี ะ. วนิ ีลกะก็คือวนิ ลี ะนน้ั เอง อกี อยางหนง่ึ ศพท่ีมสี ีเขียวปด นา เกลียด เพราะเปน ของปฏิกูลเพราะฉะน้ัน จงึ ชอ่ื วา วนิ ีลกะ. คําวา วินีลกะ นี้ เปนช่อื ของซากศพท่ีมสี แี ดง ในท่ีท่ีมเี นื้อนนู มสี ขี าวในท่ีที่หนองคั่งอยู แตโดยมากมีสีเขียวในท่ีที่มสี ีเขยี ว ก็เหมือนคลมุ ดวยผา สเี ขียว. อกี อยางหนึ่ง หนองที่ไหลออกจากปากแผลท้ัง ๙ แหง แมใ นท่ีทแ่ี ตกปรแิ ลว ช่อื วา วิปพุ พะ. วิปพุ พะกค็ ือวปิ พุ พกะนัน่ เอง. อีกอยางหนึ่ง หนองทีช่ าํ้ นาเกลียด เพราะปฏกิ ูล เพราะฉะน้ัน จึงช่ือวาวิปุพพกะ. ศพทีก่ ลายเปน ช้าํ หนอง คอื ถงึ ภาวะอยา งนัน้ เพราะฉะนน้ัจึงชือ่ วา วปิ ุพพกชาตะ. บทวา โส อมิ เมว กาย ความวา ภกิ ษนุ ั้น นอมกายของตน
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 725นี้เขา ไป (เปรียบเทียบ) กบั กายน้ันดวยญาณ. บทวา อุปส หรติ แปลวา นอมนําเขา ไป. นอมนาํ เขาไปอยางไร ? นอมนาํ เขาไปอยา งนว้ี า ถึงกายน้กี เ็ ถอะ เปนธรรมดาอยางน้ีมสี ภาพอยางนี้ ไมลว งพนความเปนอยา งนี้ไปได. ทา นกลาวอธิบายไวอยา งไร ? ทา นกลา วอธิบายไววา เพราะมธี รรม ๓ อยางเหลาน้ี คือ อายุไออุน วิญญาณ กายนี้จงึ ทนตอ (การผลัดเปลย่ี น อิริยาบถ) มยี นื และเดนิ เปน ตนได แตเพราะไมมธี รรม ๓ เหลา นี้ รางกายแมนี้จงึ มีอยา งนี้เปนธรรมดา คือมสี ภาพเปน ของเนา เปอ ยอยา งนีเ้ หมอื นกัน. บทวา เอว ภาวี ความวา (กายน)ี้ จกั เปน อยา งนีเ้ หมอื นกันคือ จกั เปนประเภท (ตา ง ๆ) มีเปนรา งกายทพ่ี องอดื เปน ตน. บทวา เอว อนตีโต ความวา ไมล ว งพน ความเปนอยางนี้ คือความเปนรา งกายทพ่ี องอดื เปน ตนไปได บทวา อิติ อชฌฺ ตฺต วา ความวา พระโยคาวจรมีปกติพิจารณาเห็นกายในกายของตน หรอื ในกายของผอู ่นื คือมีปกตพิ จิ ารณาเหน็ กายของตนตามกาล หรือในกายของผูอื่นตามกาลอยดู ว ยอาการอยางน้ี คอืดวยการกําหนดรางกายมีเปนรา งกายทพ่ี องอืดเปนตน . บทวา ขชชฺ มาน ความวา รา งกายท่ถี ูกสตั วทัง้ หลายมีกากบั แรงเปน ตน จิกกิน โดยจบั อยูที่อวยั วะมีทอ งเปน ตน แลวจิกเอาเน้ือทองเน้ือริมฝป าก (และ) กระบอกตาเปนตน ออกมา (กนิ ). บทวา สม สโลหติ ความวา รางกายท่ีประกอบไปดวยเนอ้ื และ
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 726เลอื ดอันเหลอื เศษตดิ อย.ู บทวา นมิ มฺ สโลหติ มกขฺ ิต ความวา ถึงเมอื่ เนื้อหมดไปแลวเลอื ดกย็ ังไมแหง พระผูมพี ระภาคเจา ทรงหมายเอาเลือดนน้ั จงึ ตรัสวาโลหติ มกฺขติ ดงั นี้. บทวา อเฺ น ไดแ กโ ดยทสิ าภาคอ่ืน. บทวา หตถฺ ฏ ิก ความวา กระดกู มอื ทง้ั ๖๔ ชิ้น กระจดั กระจายไปตางทศิ ตา งทางกนั . แมในกระดูกเทาเปน ตน กน็ ยั เดียวกนั น.ี้ บทวา เตโรวสฺสกิ านิ ไดแ ก (กระดูก) คางป. บทวา ปูตนี ิ ความวา กระดกู ที่อยูในทีก่ ลางแจง เม่อื ตอ งลมแดดและฝนจงึ ผุ กระดูกคา งปยงั ไมผุ แตกระดกู ที่ฝง อยูภายในดิน ยอ มอยูไดนานกวา . บทวา จุณฺณกชาตานิ ไดแกแ หลกละเอยี ดกระจัดกระจายไป. ในทุกบท บัณฑติ พึงแตง ถอยคําประกอบความดว ยอํานาจแหงกายทีถ่ ูกกากับแรงจกิ กนิ เปนตน ตามนยั ท่กี ลาวไวแ ลว วา โส อิมเม ดงั นี้ บทวา อติ ิ อชฺฌตฺต วา ความวา พระโยคาวจรมีปกติพิจารณาเหน็ กายในกายของตน หรอื ในกายของผอู ่นื คอื มีปกติพจิ ารณาเห็นกายในกายของตนตามกาล หรือในกายของผอู นื่ ตามกาลอยูดว ยอาการอยา งนี้คอื ดวยการกําหนดกายมีกายทถี่ ูกแรง กาเปน ตน จกิ กินเปน อาทิ จนกระท่ังถึงเปนของแหลกละเอียดเปนผุยผง. ปา ชา ๙ ก็ปาชา ๙ พึงประมวลไวใ นที่ตรงนี้ (คือ) :- ปา ชา ทงั้ หมดทีต่ รัสไวโ ดยนัยเปน ตน วา เอกาหมต วา (ซาก
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 727ศพที่ตายไดแ ลว ๑ วัน) บาง ๑, ปาชา (ทต่ี รสั ไว) เปน ตนวา กาเกหิ วา ขชชฺ มาน ( ซากศพทถ่ี กู พวกกาจกิ กนิ ) บา ง ๑, ปา ชา (ทีต่ รสั ไว) วา อฏิกสขงฺลิก สม สโลหิต นหารุสมพฺ นฺธ(ซากศพท่มี แี ตรางกระดูกยังมีเน้อื และเลอื ดติดอยู ยังมีเสนเอ็นรอ ยรัด) ๑, ปา ชา (ท่ีตรสั ไว) วา นิมฺม สโลหติ มกขฺ ติ นหารุสมพฺ นฺธ (ซากศพท่ไี มม เี น้อื แตยงั เปอ นเลอื ด ยังมีเสนเอน็ รอ ยรัด) ๑. ปาชา (ทีต่ รสั ไว) วา อปคตม สโลหติ นหารสุ มฺพนฺธ (ซากศพทไ่ี มมเี นือ้ และเลอื ดติดอยู แตยงั มเี สนเอน็ รอ ยรดั ) ๑, ปาชา (ทต่ี รัสไว) เปน ตนวา อฏ ิกานิ อปคตสมฺพนธฺ นานิ(กระดูกท่ไี มมีเสนเอน็ รอ ยรดั ) ๑, ปา ชา (ทต่ี รสั ไว) วา อฏิกานิ เสตานิ สงฺขวณณฺ ปฏภิ าคานิ(กระดูกขาวดงั สสี ังข) ๑, ปาชา (ที่ตรสั ไว) วา ปุ ชฺ กติ านิ เตโรวสสฺ ิกานิ (กระดกูท่ีรวมอยเู ปน กอง คา งป) ๑, ปาชา (ท่ตี รสั ไว) วา ปตู นี ิ จณุ ฺณกชาตานิ (กระดูกผแุ หลกเปน ผุยผง) ๑, พระผมู พี ระภาคเจา ครั้นทรงแสดงบาชา ๙ อยา งไวในท่นี แี้ ลวเม่ือจะจบกายานุปส สนาสตปิ ฏฐาน จงึ ตรัสวา เอว โข ภกิ ขฺ เว ดงั น้ี . อรยิ สจั ในนวสีวถิกา สตเิ ปน เครอื่ งกาํ หนดปาชา ๙ ในนวสวี ถิกาบรรพนัน้ เปนทุกขสัจ
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 728ตณั หาเกาท่เี ปน ตวั การใหเกิดสตนิ น้ั เปนสมุทยสจั ความไมเปน ไปแหงทกุ ขสจั และสมุทยสจั ท้ัง ๒ เปนนโิ รธสจั . อริยมรรคทีเ่ ปนตัวการกาํ หนดรูทุกข ละสมุทัย มนี ิโรธ (นพิ พาน) เปน อารมณ เปนมัคคสัจ. พระโยคาวจร ยอ มกา วบรรลถุ งึ นพิ พานดว ยอาํ นาจสจั จะ ๔ ดงัพรรณนามาน้ี สรปุ วานีเ้ ปน ทางแหงธรรมเครอ่ื งนาํ ออก จนถึงพระอรหตัของภกิ ษผุ ูกําหนดปาชา ๙ แล. จบ นวสวี ถิกาบรรพ ก็กายานุปสสนา ๑๔ บรรพ คือ อานาปานบรรพ ๑ อิรยิ าปถ-บรรพ ๑ จตุสมั ปชญั ญบรรพ ๑ ปฏกิ ลู มนสิการบรรพ ๑ ธาต-ุมนสกิ ารบรรพ ๑ นวสวี ถิกาบรรพ ๙ เปน อนั จบลงแลว ดว ยคํามีประมาณเทา น้.ี บรรดาบรรพเหลา น้นั เฉพาะ ๒ บรรพนค้ี อื อานาปานบรรพ ๑ปฏิกูลมนสิการบรรพ ๑ เปนอัปปนากัมมฏั ฐาน (กมั มฏั ฐานท่ีใหบ รรลุอปั ปนาสมาธิ) สวนทเ่ี หลือทั้ง ๑๒ บรรพ เปน อปุ จารกัมมฏั ฐาน(กัมมัฏฐานทใ่ี หบ รรลอุ ุปจารสมาธิ) เทาน้ัน เพราะตรสั ปา ชา ท้ังหลายไวดวยอํานาจอาทนี วานปุ สสนาแล. จบ กายานปุ ส สนา เวทนานปุ สสนา [๑๓๙] พระผูม พี ระภาคเจาคร้นั ตรสั กายานุปสสนาสตปิ ฏ ฐานดว ยวธิ ี ๑๔ อยา งดังพรรณนามานแ้ี ลว บดั น้ี เพอ่ื จะตรัสเวทนานปุ สสนาดว ยวิธี ๙ อยาง จงึ ตรัสคํามอี าทวิ า กถจฺ ภกิ ฺขเว.
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 729 ความรทู ่ีไมเปน สตปิ ฏฐานภาวนา บรรดาบทเหลานน้ั บทวา สขุ เวทน มีอธบิ ายวา พระโยคาวจรเม่ือเสวยสขุ เวทนาทีเ่ ปน ไปทางกาย หรือเปนไปทางจิต ยอมรูชดั วาเรากาํ ลงั เสวยสขุ เวทนา ดงั นี้. ในขอนั้น แมเด็กออนยงั นอนหงายอยูเม่ือเสวยความสุขในเวลาดม่ื น้าํ มนั เปน ตน ก็รชู ดั วา เรากําลังเสวยสขุ กจ็ ริงถึงกระนน้ั คาํ นี้ พระองคก็มไิ ดต รสั หมายเอาความรูอ ยางน้ี เพราะวาความรแู บบน้ี ละสัตตปู ลัทธไิ มไ ด ถอนสตั ตสัญญาไมไ ด ไมเปนกัมมฏั ฐาน หรอื ไมเปนสตปิ ฏ ฐานภาวนา. ความรทู ี่เปนสตปิ ฏ ฐานภาวนา สว นการรขู องภิกษนุ ้ี ละสตั ตูปลัทธิได ถอนสัตตสัญญาไดเปนท้งั กมั มัฏฐาน เปน ท้ังสติปฏ ฐานภาวนา. กค็ วามรูนี้ พระผูมพี ระภาคเจาตรสั หมายเอาการเสวยโดยการรูสึกตวั อยางนวี้ า ใครเสวย การเสวยของใคร เพราะเหตุไรจึงเสวย. บรรดาบทเหลา น้นั บทวา โก เวทยติ (ใครเสวย) ความวาไมใชใคร คอื สัตวหรอื บคุ คลเสวย. บทวา กสฺส เวทนา (การเสวยของใคร) ความวา ไมใ ชการเสวยของใคร คอื ของสัตวห รอื บคุ คล. บทวา กึ การณา เวทนา (เพราะเหตุไรจงึ เสวย) ความวากเ็ พราะมวี ตั ถเุ ปน อารมณ เขาจึงมีการเสวย. เพราะเหตุนนั้ เขารชู ัดอยูอ ยา งนว้ี า เวทนาน้ันเองเสวย โดยทํา
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 730วัตถแุ หง ความสุขเปน ตนนั้น ๆ ใหเ ปน อารมณ. แตเ พราะหมายเอาความเปน ไปแหง เวทนาน้ัน. คําวา อห เวทยามิ ( เราเสวยเวทนา) จึงเปนเพียงโวหารเทานน้ั . พระโยคาวจรน้นั เมื่อกําหนดอยูว า เวทนานนั้ เองเสวย โดยทาํวตั ถใุ หเปนอารมณอยา งน้ี ผศู กึ ษาพึงเขาใจวา เธอรชู ดั วา เรากําลังเสวยสขุ เวทนา. เหมอื นพระเถระรปู ใดรูปหนึ่ง ท่ีจิตตลดาบรรพตฉะนน้ั เรอื่ งพระเถระรปู ใดรปู หนึง่ ไดยินวา พระเถระในเวลาทท่ี านไมส บาย ถอนหายใจพลาง นอนกลิ้งไปมาอย.ู ภิกษหุ นมุ รปู หน่งึ ถามทา นวา ทา นขอรับ ท่ตี รงไหนของทานที่โรคเสยี ดแทง ? พระเถระตอบวา คุณ ช่ือวา ที่ซ่งึ โรคเสยี ดเฉพาะแหงไมมี เวทนาตางหากเสวย โดยกระทําวตั ถใุ หเ ปน อารมณ. ภกิ ษุหนุมเรียนวา เมื่อเปน เชน นี้ ทา นควรจะยับย้ังไวด ังแตเวลาที่รู มิใชห รือ ทานขอรบั ? พระเถระตอบวา ผมกําลงั ยับยั้ง คณุ . ภกิ ษหุ นมุ เรียนวา ทา นขอรบั การยับย้งั ไวเ ปนของประเสรฐิ . พระเถระไดย ับย้ังไวแลว. ลาํ ดับนั้นลมเสยี ดแทงถึงหวั ใจ. ไสใ หญไดอ อกมากองอยูบนเตยี งพระเถระไดช ี้ใหภกิ ษุหนมุ ดวู า ยบั ยง้ั ไวข นาดนี้ สมควรหรอื ยงั คุณ.ภิกษุหนมุ นง่ิ . พระเถระประกอบความเพยี รสม่ําเสมอ แลวไดบรรลุพระ
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 731อรหตั พรอ มดว ยปฏสิ ัมภิทา เปนพระอรหันต (ประเภท) ชวี ติ -สมสีสี ปรินิพพานแลว . กเ็ มื่อพระโยคาวจร รูช ัด (วา ) สุขอยา งไร ทุกขอ ยา งนน้ั ฯลฯเม่ือเสวยอทกุ ขมสขุ เวทนาไมอ ิงอามิส ก็รชู ัดวา เรากําลังเสวยอทกุ ขม-สขุ เวทนา ไมอ งิ อามิส. รปู กัมมฏั ฐาน - อรูปกัมมัฏฐาน พระผูม ีพระภาคเจา ครัน้ ตรสั บอกปรปู กัมมัฏฐานดวยอาการอยางนี้แลว เมอ่ื จะตรสั บอกอรปู กมั มฎั ฐาน จงึ ไดต รัสบอกดวยอาํ นาจแหงเวทนา. เพราะวา กมั มัฏฐานมี ๒ อยา ง คือ รูปกมั มัฏฐาน ๑ อรูป-กมั มฏั ฐาน ๑. รปู กมั มฏั ฐาน และอรูปกมั มฏั ฐาน น้ีนั่นแหละ ตรสัเรียกวา รูปปริคคหะ (การกาํ หนดรปู ) อรปู ปรคิ คหะ (การกําหนดอรปู ) กม็ ี. บรรดารูปกมั มฏั ฐาน และอรปู กมั มัฏฐาน นั้น พระผูม ีพระภาคเจา เมอื่ จะตรัสบอกรปู กมั มฏั ฐาน จึงตรัสจตธุ าตวุ วัตถาน( การกาํ หนดธาตุ ๔) ไวด ว ยอาํ นาจแหงมนสกิ ารโดยสังเขปบาง ดว ยอํานาจการมนสกิ ารโดยพิสดารบา ง. กัมมัฏฐานแมทัง้ ๒ อยางน้นั ไดแสดงไวแ ลวในคัมภีรวสิ ทุ ธิมรรค โดยอาการท้งั ปวงน่นั แหละ. แตพระผมู ีพระภาคเจา เม่ือจะตรัสบอกอรูปกมั มฏั ฐาน โดยมากกจ็ ะตรัสบอกดวยอาํ นาจแหง เวทนา. เพราะวา ความฝงใจในอรปู -กัมมัฏฐาน มี ๓ อยา ง คอื (ฝง ) ดวยอํานาจแหงผสั สะ ๑ ดว ยอํานาจแหง เวทนา ๑ ดวยอาํ นาจแหง จิต ๑. ฝงอยา งไร ? (ฝง อยางนี้ คือ) จริงอยู ผัสสะ เมื่อถกู ตอ งอารมณนนั้ เกิด
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 732ขนึ้ ในขณะท่ีจิตและเจตสิกตกไปเฉพาะครั้งแรกในอารมณนนั้ จะปรากฏแกพ ระโยคาวจรลางรูปในรปู กมั มัฏฐานท่ที านกาํ หนดแลวโดยยอ หรือโดยพิสดาร. เวทนาเม่อื เสวยอารมณน น้ั เกิดขนึ้ จะปรากฏแกพระโยคาวจรลางรูป วญิ ญาณเมอื่ กาํ หนดอารมณนน้ั รอู ยเู กิดขึ้นแกพ ระโยคาวจรลางรปู . บรรดาผัสสะ เวทนา วิญญาณ เหลานนั้ ผสั สะปรากฏแกพ ระโยคาวจรใด ไมเ ฉพาะผัสสะนนั้ อยางเดียวจะเกิดข้ึน ถึงเวทนาทีเ่ สวยอารมณน้นั นน่ั แหละอยู ก็จะเกดิ ข้ึนกับผัสสะน้นั ถึงสัญญาทีจ่ ําไดห มายรูถึงเจตนาทจ่ี งใจอยู ถงึ วิญญาณที่รแู จง อารมณนน้ั อยู ก็จะเกดิ ข้ึนพรอ มกับผสั สะนั้น เพราะฉะน้ัน พระโยคาวจรน้ันยอ มกาํ หนดเจตสิกธรรม มีผัสสะเปน ท่ี ๕ อยนู ่นั เอง. เวทนาใดปรากฏแกพ ระโยคาวจร ไมเ ฉพาะเวทนาอยางเดียวเทา นน้ัจะเกิดขึ้น ผสั สะท่ถี กู ตอ งอยู กจ็ ะเกดิ ข้ึนกับเวทนาน้นั ถงึ สญั ญาท่หี มายอยู ถงึ เจตนาท่ีจงใจอยู ถงึ วญิ ญาณท่รี ูแจงอยู ก็จะเกดิ ขึ้นกับเวทนานั้นเพราะฉะนั้น พระโยคาวจรนั้น กย็ อมกาํ หนดเจตสกิ ธรรม มีผัสสะเปน ท่ี ๕ อยนู นั่ เอง. ถงึ วญิ ญาณจะปรากฏแกพ ระโยคาวจรใด ไมเฉพาะแตว ิญญาณนัน้อยา งเดียวจะเกดิ ข้ึน ถงึ ผสั สะทถ่ี ูกตองอารมณน้ันน่นั แหละอยู ก็จะเกิดขน้ึกับวญิ ญาณนนั้ ถึงเวทนาทเี่ สวยอยู ถึงสญั ญาทจี่ าํ ไดห มายรูอยู ถงึ เจตนาท่ีจงใจอยู ซึง่ อารมณน ้นั กจ็ ะเกดิ ขนึ้ กับวญิ ญาณนัน้ เพราะฉะน้ันพระโยคาวจรน้นั ยอ มกําหนดเจตสิกธรรม มีผัสสะเปนท่ี ๕ อยนู ั่นเอง พระโยคาวจรนั้น เมื่อพิจารณาวา ธรรมมผี สั สะเปนท่ี ๕ เหลานี้อาศยั อย.ู
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 733 จะทราบชดั วา อาศยั วัตถุอย.ู กรชกายชอ่ื วา วตั ถุ พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสหมายเอาวา ก็แลวญิ ญาณของเรานี้อาศยั อยใู นกรชกายน้ี ผกู พนั อยใู นกรชกายนี.้ โดยเนอ้ื ความ พระโยคาวจรนั้นยอ มเห็นทั้ง (มหา) ภูตรปูท้งั อุปาทายรปู เมื่อเปน เชนน้ใี นเวทนาบรรพนี้ พระโยคาวจร จะเหน็ เพียงนามรูปเทาน้นั วา วตั ถเุ ปน รูป เจตสกิ ธรรมมีผสั สะเปนท่ี ๕ เปน นาม.และในขอ นี้ รูปไดแกรูปขนั ธ นามไดแกอ รูปขันธทั้ง ๔ เพราะฉะนั้นจึงมเี พียงเบญจขนั ธเ ทาน้ัน. เพราะวา เบญจขนั ธท่ีจะพนจากนามรปูหรอื นามรูปทจ่ี ะพน ไปจากเบญจขันธไ มม .ี พระโยคาวจรนัน้ เมอื่ พิเคราะหด วู า เบญจขนั ธเ หลานี้มีอะไรเปนเหตุ กจ็ ะเหน็ วา มอี วิชชาเปนตนเปนเหตุ. แตน ้นั พระโยคาวจรจะยก(เบญจขันธ) ขนึ้ สไู ตรลักษณ ดว ยอํานาจนานรูป พรอ มท้ังปจ จยั วานี้เปน (เพียง) ปจ จยั และสิง่ ทอ่ี าศัยปจ จัยเกดิ ข้ึน ไมมีอยางอืน่ ท่เี ปนสตั วห รือบุคคล มีเพียงกองสงั ขารลวน ๆ เทา น้นั แลวพิจารณาตรวจตราไปวา อนิจจงั ทุกขงั อนัตตา ตามลาํ ดับแหง วปิ ส สนา. เธอหมายมั่นปฏิเวธวา (จะไดบ รรลุ ) วันน้ี วันน้ี ไดอ ุตุสัปปายะ(อากาศสบาย) ปุคคลสัปปายะ ( บุคคลสบาย) โภชนสปั ปายะ(โภชนะสบาย) ธมั มสั สวนะสัปปายะ ( การฟง ธรรมสบาย) น่งั ขดั สมาธิทา เดยี ว ยงั วปิ สสนาใหถงึ ท่ีสุด แลวตงั้ อยูในพระอรหตั ตมรรค ดวยประการดงั กลา วมานี้ เปน อนั ตรสั บอกพระกมั มัฏฐานแกช นทงั้ ๓ แมเหลา น้ี จนถงึ พระอรหัต.
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 734 เวทนาคอื อรปู กมั มฏั ฐาน แตใ นสตปิ ฏ ฐานสูตรนี้ พระผูมพี ระภาคเจา เมื่อจะตรสั บอกอรปู กัมมัฏฐาน จงึ ไดต รสั ไวดว ยอาํ นาจแหงเวทนา. เพราะวา เมอื่ ตรัสบอกดว ยสามารถแหงผสั สะ หรือดว ยสามารถแหงวิญญาณ กัมมัฏฐานจะไมป รากฏ จะปรากฏเหมือนความมืด. สว นทตี่ รสั บอกดว ยสามารถแหงเวทนา กัมมัฏฐานจะปรากฏ. เพราะเหตไุ ร ? เพราะกัมมัฏฐานจะปรากฏ กเ็ พราะเวทนาเกดิ ขึ้น. จริงอยู ความเกดิ ข้ึนแหง สุขเวทนา และทุกขเวทนา จะปรากฏตอเมื่อความสุขเกิดข้ึน ไดแกความสุขทเ่ี กิดข้ึนทาํ ใหสิ้นไปทงั้ ราง ไหลเอิบอาบไปจนทวมทน (หวั ใจ) เหมือนการไดด ืม่ เนยใสทกี่ วนตงั้ รอ ยครง้ั เหมอื นใหทาน้ํามนั ทห่ี งุ แลว รอ ยครั้ง และเหมือนใหดับความเรารอนดว ยนาํ้ พนัหมอ ทําใหเปลง วาจาออกไปวา สขุ หนอ สขุ หนอ ดังน้ีทเี ดยี ว (และ)ตอ เม่อื ทกุ ขเกิดข้ึน ไดแกค วามทุกขท ี่เกดิ ขน้ึ ทําใหส ั่นไปทั้งราง ไหลเอิบอาบไปจนทว มทน (หัวใจ) เหมอื นใหเขา ไปสเู ปลวไฟท่รี อนระอุเหมอื นถูกลาดดว ยน้ําทองแดงทลี่ ะลายควา ง และเหมือนโยนดนุ ไฟเขา ไปในปาทม่ี หี ญาแหง และตน ไมย ืนตนตาย ถึงกับใหร องครวญครางวา ทกุ ขจรงิ ทกุ ขจริง. การเกดิ ข้ึนแหง สุขเวทนา และทกุ ขเวทนา จะปรากฏขนึ้ไดด วยอาการอยา งน.ี้ สว นอทกุ ขมสุขเวทนา แสดง (ใหเหน็ ) ไดย าก มืดมน ไมแจมชัด. อทุกขมสขุ เวทนาน้ัน จะปรากฏแกพระโยคาวจรผูย ดึ ถอื โดยนยั วาอทกุ ขมสขุ เวทนา มอี าการเปนกลาง โดยการท้งิ ความสาํ ราญและไมส ําราญ
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 735ในเมือ่ สขุ และทกุ ขหมดไป. เปรยี บเหมอื นอะไร ? เปรียบเหมือนนายพรานเนือ้ ตามรอยเนอื้ ตัวท่ีกระโดดขึ้นพลาญหินในระหวา งทาง แลวหนีไปได (เขา) เหน็ รอยเทา ทง้ั ฟากนี้ ทงั้ ฟากโนนของพลางหิน แมจะไมเ หน็ (รอยเทา ) ตรงกลาง (บนพลาญหิน)ก็ทราบไดโ ดยนยั วา เนอื้ ตัวทีข่ นึ้ ทางฟากนี้ แลว ไปลงทางฟากโนนคงจะผา นไปดานน้บี นพลาญหนิ ตรงกลาง ฉนั ใด ความเกิดข้ึน แหงสขุ เวทนา กฉ็ ันนัน้ จะปรากฏเหมือนรอยเทา (ของเน้อื ปรากฏ) ในที่ท่มี ันจะข้ึนไป ความเกิดข้นึ แหง ทุกขเวทนา จะปรากฏเหมอื นรอยเทา(ของเนื้อปรากฏ ) ในที่ ๆ มันลงแลวฉะนนั้ . อทุกขมสุขเวทนาจะปรากฏแกพ ระโยคาวจรผูยดึ ถอื โดยนัยวา อทุกขมสขุ เวทนา มีอาการเปน กลาง โดยทงิ้ ความสาํ ราญ และความไมสาํ ราญ ในเมื่อสขุ และทกุ ขหายไป เหมอื นการยดึ ถอื โดยนยั วา ผานไปตรงกลางนีแ้ หละ โดยขึน้ทางฟากขางนี้ แลวลงทางฟากขางโนน ฉะนนั้ . พระผูม ีพระภาคเจาไดท รงแสดงสตปิ ฏ ฐาน โดยตรัสรูปกมั มัฏฐานกอนแลว ยังอรูปกัมมัฏฐานใหบงั เกดิ ดวยอาํ นาจแหงเวทนาในภายหลัง. เวทนาคืออรูปกมั มฏั ฐานมีในพระสูตรหลายแหง พระผมู พี ระภาคเจา ทรงแสดงไวอ ยางน้ี เฉพาะในสตปิ ฏฐานสตู รนี้แหงเดียว ก็หามิได (แต) ไดทรงแสดงโดยตรสั รปู กัมมฏั ฐานกอนแลวยังอรูปกัมมฏั ฐานใหบงั เกดิ ดวยอํานาจเวทนาในภายหลัง ในพระสูตรหลายพระสตู รหลายแหง อยางนี้ คอื ในจุลลตัณหาสังขยสตู ร ในมหาตณั หาสังขยสตู ร ในจุลลเวทลั ลสตู ร ในมหาเวทลั ลสูตร
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 736ในรฏั ฐปาลสตู ร ในมาคณั ฑิยสตู ร ในธาตวุ ภิ งั คสูตร ในอาเนญช-สปั ปายสตู ร ในมหานิพพานสตู ร ในสักกปหู สตู ร ในมหาสต-ิปฏฐานสตู ร ในทฆี นิกาย ในจลุ ลนิทานสูตร ในรกุ โขปมสูตร ในปริวิมังสนสูตร และในเวทนาสังยตุ ทงั้ หมดในสงั ยุตตนิกาย และแมในสตปิ ฏฐานสูตรนี้ พระผมู ีพระภาคเจา จงึ ทรงแสดงโดยตรสั บอกรูปกมั มฏั ฐานกอ นแลว จึงทรงยงั รปู กมั มัฏฐานใหบังเกดิ ดวยอาํ นาจแหง เวทนาในภายหลงั เหมือนในพระสตู รเหลา นัน้ . บรรดาบทเหลา น้นั มีปริยายแหงการรูชัด (เวทนา) แมอกี อยา งหนึ่ง ดงั ตอไปนี้ :- สุขเวทนาแปรปรวน ขอวา สขุ เวทน เวทยิ ามตี ิ ปชานาติ ความวา เพราะไมม ีทกุ ขเวทนาในขณะแหง สุขเวทนา พระโยคาวจรเมื่อเสวยสขุ เวทนา กร็ ูชดัวา เรากาํ ลงั เสวยสุขเวทนา. เวทนาชอื่ วา ไมเ ท่ียง ไมย ง่ั ยืนมีความแปรปรวนเปน ธรรมดา เพราะทุกขเวทนาทีเ่ คยเสวยมากอ น ในบัดน้ี ไมม แี ลว และเพราะสุขเวทนาน้กี อนแตนี้ ก็ไมม ี เพราะฉะนนั้พระโยคาวจรจงึ เปนอนั รูชัด ในสุขเวทนาและทกุ ขเวทนานนั้ ดังพรรณนามาฉะน้ี ดวยคาํ วา สุข เวทน เวทิยามีติ ปชานาติ นน้ั . สมจริงดังคําทพ่ี ระผมู พี ระภาคเจาตรัสไว ดังน้ีวา :- ดูกอนอัคคิเวสนะ ในสมยั ใด บคุ คลเสวยสุขเวทนาอยู ในสมยั นั้นจะไมเ สวยทุกขเวทนา จะไมเสวยอทกุ ขมสุขเวทนา ในสมยั นน้ั เสวยแตสขุ เวทนาอยา งเดียว ดูกอนอคั คิเวสนะ ในสมัยใดบคุ คลเสวยทกุ ขเวทนา ฯลฯ เสวยอทุกขมสุขเวทนา
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 737 อยู ในสมยั น้นั จะไมเ สวยสุขเวทนาเลย ในสมยั นนั้ เสวยแต อทุกขมสขุ เวทนาอยางเดียว ดกู อ นอัคคเิ วสนะ แมสขุ - เวทนาเอง กไ็ มเ ท่ียง ถกู ปจ จัยปรุงแตง อาศัยเกดิ ข้นึ มีความสน้ิ ไปเปนธรรมดา มีความเสือ่ มไปเปน ธรรมดา มี ความคลายความกําหนัดเปนธรรมดา มีความดับเปน ธรรมดา แมท กุ ขเวทนาเอง ฯลฯ ดกู อนอัคคิเวสนะ ถงึ อทุกขมสุข- เวทนาเองก็ไมเ ท่ยี ง ฯลฯ มคี วามดบั เปนธรรมดา ดูกอ น อัคคิเวสนะ พระอริยสาวกผูไ ดสดบั เม่ือเห็นอยูอยา งนี้ ยอ ม เบ่อื หนายทั้งในสุขเวทนา ยอ มเบือ่ หนายทั้งในทกุ ขเวทนา ยอมเบือ่ หนา ยท้ังในอทุกขมสุขเวทนา เม่อื เบอ่ื หนา ยยอ ม คลายกําหนดั เพราะคลายกําหนดั จงึ หลุดพน เมือ่ หลุดพน แลว ก็รูวา เราหลดุ พน แลว ยอ มรชู ัด ชาตสิ ้นิ แลว พรหมจรรยอยจู บแลว กจิ ท่คี วรทําไดท ําเสร็จแลว กิจทีค่ วร ทําอยางอนื่ เพ่อื ความเปน อยา งน้ี ไมม.ี ในคาํ วา สามสิ วา สุข เปนตน พึงทราบวินิจฉัย ดงั ตอ ไปนี้ :- โสมนัสสเวทนาท่ีอาศัย (เกิดมาจาก) เรอื น (ตณั หาอปุ าทาน)๖ อยาง เจอื ดวยอามิสคือ เบญจกามคุณ ช่ือวา สามสิ สขุ เวทนา. โสมนสั สเวทนาท่ีอาศยั (เกดิ มาจาก) เนกขัมมะ ๖ อยา ง ชื่อวานริ ามิสสขุ เวทนา. โทมนสั สเวทนาท่อี าศยั (เกิดมาจาก) เรือน (ตณั หาอุปาทาน)๖ อยา ง ช่ือวา สามสิ ทกุ ขเวทนา โทมนัสสเวทนา ทอี่ าศยั (เกดิ มาจาก) เนกขัมมะ ๖ อยา ง ชือ่ วา นิรามสิ ทุกขเวทนา. อุเบกขาเวทนาที่อาศัย (เกดิ นาจาก) เรือน (ตณั หาอุปาทาน)
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 738๖ อยา ง ชอ่ื วา สามสิ อทกุ ขมสขุ เวทนา. อเุ บกขาเวทนาท่ีอาศัย (เกิดมาจาก) เนกขัมมะ ๖ อยา ง ชื่อวานริ ามิสอทกุ ขมสุขเวทนา การจาํ แนกเวทนาเหลาน้นั มาชัดแลว ในพระบาลี ในอปุ รุ ปิ ณ ณาสก. บทวา อิติ อชฌฺ ตฺต วา ความวา พระโยคาวจรมปี กติพิจารณาเหน็ เวทนาในเวทนาทงั้ หลายของคนหรอื ในเวทนาท้งั หลายของผอู นื่ คอืในเวทนาทงั้ หลายของตนตามกาล หรอื ในเวทนาทั้งหลายของผูอ่ืนตามกาลอยู. กใ็ นบทวา สมุทยวยธมมฺ านุปสฺสี วา น้ี พึงทราบความวา พระ-โยคาวจรเมอ่ื เหน็ ความเกดิ ข้นึ และความเสือ่ มไปของเวทนาทัง้ หลาย ดว ยอาการ ๕ มีอาทคิ อื เพราะอวชิ ชาเกดิ เวทนาจึงเกิด ชือ่ วา มีปกติพจิ ารณาเหน็ ธรรม คอื ความเกิดขน้ึ ในเวทนาทง้ั หลายอยู หรอื มปี กติพจิ ารณาเห็นธรรม คอื ความเสอ่ื มในเวทนาทัง้ หลายอยู คอื มีปกติพิจารณาเหน็ ธรรม คอื ความเกิดขึน้ ในเวทนาทง้ั หลายตามกาลหรือมีปกติพิจารณาเหน็ ธรรมคอื ความเสอ่ื มในเวทนาทัง้ หลายตามกาลอยู. คาํ นอกเหนอื จากน้ีมีนยั ดังกลาวแลว ในกายานปุ สสนานั่นเอง. อรยิ สจั ในเวทนา ก็สตเิ ปนเคร่อื งกาํ หนดเวทนาในเวทนานุปส สนา นเี้ ปนทกุ ขสจัอยางเดยี ว บัณฑติ พึงทราบทางแหง ธรรมเคร่อื งนําออกของภกิ ษุผูกาํ หนดเวทนาเพราะอธิบายประกอบความดงั วามานแ้ี ล. คาํ ทเี่ หลอื เปนเชน(คาํ ท่กี ลาวมาแลว) นัน้ แล. จบ เวทนานุปส สนา
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 739 แกจ ิตตานปุ สสนา [๑๔๐] พระผูมีพระภาคเจา คร้นั ตรัสสตปิ ฏ ฐาน คอื เวทนานุ-ปสสนา โดยอาการ ๙ อยาง ๆ นแ้ี ลว บัดน้เี พือ่ จะตรัสจิตตานุปส สนาโดยอาการ ๑๖ อยา ง จึงตรสั คําวา กถฺจ ภกิ ขฺ เว ดงั นี้เปน ตน . บรรดาบทเหลา น้นั บทวา สราค ไดแกจิตท่สี หรคตดวยโลภะ๘ อยาง. บทวา วีตราค ไดแ กกศุ ลจติ ฝา ยโลกิยะและอพั ยากตจติ ะ ก็จติทปี่ ราศจากราคะนี้ ในจิตตานปุ สสนานี้ ไมไ ดห มายถงึ โลกตุ ตรจติ แมในบทหน่ึง เพราะการพิจารณาไมใชเ ปน การประชมุ ธรรม (สว น)อกุศลจติ ๔ ดวงทเ่ี หลือไมจดั เขาในบทแรก ท้ังไมจดั เขา ในบทหลงั . บทวา สโทส ไดแ กจ ิตทสี่ หรคตดวยโทมนัส ๒ ดวง. บทวา วีตโทส ไดแ กกุศลจติ ฝา ยโลกยิ ะ และอพั ยากตจติ . อกศุ ลจิต ๑๐ ดวงท่ีเหลือไมจ ัดเขาในบทแรก ท้งั ไมจดั เขาในบทหลัง. บทวา สโมห ไดแ กอ กศุ ลจิต ๒ ดวง คือ อกุศลจิตท่ีสหรคตดวยวิจิกจิ ฉา ๑ ดวง อกศุ ลจิตทีส่ หรคตดว ยอุทธจั จะ ๑ ดวง. ก็เพราะโมหะยอมเกดิ ขึน้ ในอกุศลจิตทุกดวง ฉะน้นั อกุศลจติ ท้ังหมดแมน น้ั จึงเหมาะ (ทจ่ี ะจัดเขา ) ในจิตตานุปส สนานี้ โดยแทท เี ดียว.จรงิ อยู ในจติ ท่ีเปนคกู ันนแ้ี หละ ทานจัดอกศุ ลจิต ๑๒ ดวง เขา ไวแลวแล. บทวา วตี โมห ไดแ กกุศลจติ ฝายโลกิยะ และอพั ยากตจติ . บทวา สงฺขิตฺต ไดแกจิตทตี่ กไปตามถนี มิทธะ, ก็จติ ที่ตกไปตามถนี มิทธะน้นั ชือ่ วา จติ หดหู.
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 740 บทวา วกิ ฺขติ ตฺ ไดแ กจ ิตท่ีสหรคตดวยอุทธัจจะ กจ็ ติ ทสี่ หรคตดว ยอุทธจั จะนนั้ ชื่อวา จิตฟุง ซา น. บทวา มหคคฺ ต ไดแกรูปาวจรจติ และอรูปาวจรจติ . บทวา อมหคฺคต ไดแ กก ามาวจรจติ . บทวา สอุตฺตร ไดแ กก ามาวจรจิต. บทวา อนตุ ฺตร ไดแ กรปู าวจรจิต และอรูปาวจรจิต. อนงึ่ ในบททั้ง ๒ วา สอุตติ ร อนตุ ตฺ ร น้นั สอตุ ตรจิต ไดแ กรปู าวจรจติ อนุตตรจิต ไดแ กอ รปู าวจรจิตน่ันเอง. บทวา สมาหิต ไดแ กจ ติ ท่ีมอี ปั ปนาสมาธิ หรอื อุปจารสมาธ.ิ บทวา อสมาหติ ไดแ กจติ ท่ีไมมีสมาธทิ ้งั ๒. บทวา วมิ ตุ ฺต ไดแกจ ติ ที่หลุดพนแลว ดวยตทงั ควิมตุ ิ และวิกขมั ภนวมิ ุต.ิ บทวา อวิมตุ ฺต ไดแกจ ติ ที่ไมมวี ิมุตทิ ง้ั ๒. สวน สมุจเฉทวิมุติ ปฏปิ สสทั ธิวมิ ุติ และนิสสรณวิมุติ ไมม ีโอกาส (ไมไดพ ูดถึง) ในจติ ตานปุ สสนานเ้ี ลย. บทวา อติ ิ อชฌฺ ตฺต วา ความวา พระโยคาวจร เม่อื กําหนดจิตที่เปน ไปอยูท กุ ขณะ ดว ยการกําหนดจิต มีสราคจติ เปน ตนอยูอ ยา งนี้ช่ือวา มปี กติ ตามเหน็ จติ ในจิตของตน หรอื ในจติ ของผูอื่นอยู (บาง)ชอ่ื วา มปี กติตามเหน็ จิตในจิตของตน ตามกาล หรอื ในจติ ของบคุ คลอืน่ ตามกาลอยู (บาง). สวนในบทวา สมทุ ยวยธมฺมานปุ สสฺ ี (มปี กตติ ามเหน็ ธรรมคอืความเกิดขนึ้ และควานเสอื่ มไป ) นีค้ วรขยายความเกิดและความดับของ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 741วิญญาณออกเปนอยา งละ ๕ อาการ อยา งนี้ คอื เพราะอวิชชาเถดิวญิ ญาณจึงเกดิ เปนตน . คาํ นอ้ี กจากน้ี มีนัยดงั กลาวแลวนั่นแล. อริยสจั ในจิตตานุปสสนา กส็ ตเิ ปนเครือ่ งกาํ หนดจิตในจิตตานุปสสนานี้ เปน ทุกขสัจอยางเดยี วบณั ฑติ พงึ ทราบมุขแหง ธรรมเปนเครือ่ งนาํ ออกของภิกษุผกู ําหนดจิต ตามท่ไี ดอธิบายนาอยา งนี้แล. คาํ ท่ีเหลอื (มคี วามหมาย) เชน (กับทกี่ ลาวมา) นัน้ แล. จบ จิตตานปุ สสนา แกธรรมานุปสสนา [๑๔๑] ครน้ั ตรสั จติ ตานุปสสนาสติปฏฐาน โดยอาการ ๑๖ อยา งดังพรรณนามานี้ บดั น้ี เพ่ือจะทรงแสดงธรรมานุปสสนาโดยอาการ ๕อยาง พระผูมพี ระภาคเจาจึงตรสั คําวา กถจฺ ภกิ ฺขเว ดังนเ้ี ปน ตน . อกี ประการหนง่ึ พระผูม ีพระภาคเจา ตรสั การกาํ หนดรปู ลวน ๆดวยกายานุปสสนา ตรสั การกาํ หนดนานลวน ๆ ดวยเวทนานุปสสนา และจติ ตานุปส สนา บดั น้ี เพือ่ จะตอ งการกําหนดรวมกนั ท้งั รปู และนาม จึงตรัสคาํ วา กถจฺ ภกิ ขฺ เว ดังนเี้ ปน ตน . อีกอยา งหนึ่ง พระผูมีพระภาคเจา ตรสั เฉพาะการกําหนดรูปขันธดว ยกายานุปส สนา ตรสั เฉพาะการกําหนดเวทนาขนั ธดว ยเวทนานปุ สสนาตรัสเฉพาะการกาํ หนดวญิ ญาณขนั ธด วยจิตตานปุ ส สนา. บัดนี้ เพือ่ จะตรัสการกําหนดวญิ ญาณขนั ธ และสงั ขารขนั ธบาง จงึ ตรัสคาํ วา กถจฺ ภกิ ฺขเวดังนเี้ ปน ตน .
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 742 นวี รณบรรพ บรรดาบทเหลา น้นั บทวา สนตฺ ไดแ กม อี ยโู ดยการเกิดขึ้นเนอื ง ๆ บทวา อสนฺต ไดแ กไ มมอี ยู โดยการไมเ กิดขึ้น หรอื ไมมีอยูเพราะละไดแ ลว . บทวา ยถา จ ความวา กามฉันทะยอมเกิดขน้ึ ไดด วยเหตใุ ด. บทวา ตจฺ ปชานาติ ไดแกยอ มรูเหตนุ นั้ ดว ย. พึงทราบอธบิ ายในทุก ๆ บทโดยนยั นี้. ในบทวา ยถา จ เปนตนนน้ั พึงทราบวนิ ิจฉัยวา :- อธิบายสภุ นิมติ กามฉนั ทะยอ มเกิดขึน้ เพราะการทําไวใ นใจโดยไมแ ยบคายในสภุ นิมิต. ท่ชี ่อื วา สุภนิมติ ไดแ กส ุภนิมิตท่ีงามบา ง สุภนิมติ ท่ีมีอารมณงามบา ง ท่ีชอื่ วา การทาํ ไวในใจโดยไมแ ยบคาย ไดแ กการทาํ ไวใ นใจโดยไมถกู อุบาย การทําไวใ นใจโดยไมถกู ทาง คอื การทาํ ไวใ นใจในส่งิ ท่ไี มเ ทย่ี งวา เทย่ี งบา ง ในส่ิงทเ่ี ปน ทกุ ขวา สุขบาง ในส่งิ ทีเ่ ปนอนัตตาวา เปนอตั ตาบา ง ในสง่ิ ทไี่ มงามวา งามบา ง เม่อื พระโยคาวจรยังการทาํ ไวในใจโดยไมแ ยบคายนน้ั ใหเ ปน ไปในสภุ นิมิตนัน้ มากครง้ั เขากามฉนั ทะยอมเกดิ ขึน้ . ดว ยเหตนุ นั้ พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรัสวา ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย มอี ยู สุภนมิ ิต การทําไวใ นใจโดยไมแ ยบคาย และการทํามากคร้งั เขา ในสภุ นิมติ นนั้ น้เี ปน อาหาร (ปจจัย) ใหก ามฉันทะท่ียงั ไมเกดิ เกิดข้ึนบา ง ใหก ามฉนั ทะทเ่ี กดิ ขนึ้ แลวไพบลู ยย ง่ิ ขึ้นบา ง
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 743 อธบิ ายอสุภนิมติ สวนในอสภุ นิมิต การละยอ มมีไดดวยการทาํ ไวใ นใจโดยแยบคายทชี่ ื่อวา อสภุ นมิ ิต ไดแ กอสภุ นมิ ิตท่ไี มง ามบา ง อสภุ นมิ ติ ทมี่ อี ารมณไมง ามบาง ที่ชอ่ื วาการทําไวใ นใจโดยแยบคาย ไดแกการทําไวใ นใจโดยถูกอบุ าย การทําไวใ นใจโดยถูกทาง คือการทําไวใ นใจในสงิ่ ที่ไมเทีย่ งวาไมเ ท่ยี งบา ง ในสิ่งทเ่ี ปน ทกุ ขวา เปน ทุกขบาง ในส่ิงทเี่ ปน อนัตตาวา เปนอนตั ตาบาง ในส่งิ ทไี่ มง ามวา ไมง ามบาง เมอื่ พระโยคาวจรยังการทําไวใ นใจโดยแยบคายนนั้ ใหเปน ไปในอสภุ นิมิตนน้ั มากครัง้ เขา กย็ อ มละกามฉันทะได. ดว ยเหตุนน้ั พระผูมีพระภาคเจา จึงตรัสวา ดกู อ นภิกษทุ ง้ั หลาย มีอยู อสภุ นิมติ การทาํ ไวในใจโดยแยบคาย และการทาํมากคร้งั ในอสุภนมิ ติ นัน้ นเ้ี ปนอาหาร (ปจ จัย) ใหก ามฉันทะทย่ี งัไมเ กดิ ขนึ้ เกดิ ข้นึ ไมไ ดบ า ง ใหละกามฉนั ทะทีเ่ กิดขน้ึ แลว บา ง. ละกามฉันทะดวยธรรม ๖ ประการ อกี อยางหนง่ึ ธรรม ๖ ประการ ยอ มเปนไปเพ่อื ละกามฉันทะคอื การเรียนอสภุ นิมติ ๑ การบาํ เพญ็ อสภุ ภาวนา ๑ ความเปนผูคนุ ครองทวารไวไดในอินทรียทัง้ หลาย ๑ ความเปนผรู จู ักประมาณโภชนะ ๑ ความเปนผูมกี ลั ยาณมติ ร ๑ สนทนาเร่ืองท่เี ปนสัปปายะ ๑. ก็เมอื่ พระโยคาวจรแมเ รยี นอสภุ นิมติ ๑ อยางอยู (ในระหวา งนี้)กามฉนั ทะอันเธอยอมละได เม่ือเธอเจรญิ อสุภนมิ ิตอยูก ด็ ี ปด ก้ันทวารในอินทรียทั้งหลายอยกู ด็ ี รูจ ักประมาณในโภชนะโดยทม่ี ชี องจะฉนั ไดอีก
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 744๔ - ๕ คาํ (แตเธอก็อดเสยี ) แลว ด่ืมนํ้าแทน เปนประจาํ กด็ ี กามฉันทะอนั เธอยอมละได. ดวยเหตุนั้น ทา นจึงไดกลาวคาถาประพันธน ี้ไวว า (เหลอื อีก) ๔ - ๕ คาํ จะอม่ิ พระโยคาวจรอยาฉัน ควรด่ืมนํา้ แทน (เพราะวา) เพียงเทาน้ี กเ็ พียงพอ จะอยูอยางสําราญ สาํ หรบั ภกิ ษผุ มู ีตนอนั สง ไปแลว . แมเ ม่ือพระโยคาวจรคบหากัลยาณมติ ร ผยู ินดใี นอสภุ ภาวนา เชนพระติสสเถระผเู จรญิ อสภุ กัมมฏั ฐาน กามฉันทะอนั เธอยอมละได เธอยอมละกามฉันทะได แมดว ยการสนทนาถงึ ท่เี ปนสัปปายะอนั อาศัยอสุภะ ๑๐ในอิรยิ าบถทง้ั หลาย มีอริ ยิ าบถยนื และน่งั เปนตน. ดว ยเหตนุ น้ั ทานจงึกลา ววา ธรรม ๖ ประการ ยอมเปนไปเพ่ือละกามฉันทะ. กพ็ ระโยคาวจรยอ มรูชัดวา กามฉันทะทลี่ ะไดแลว ดว ยธรรม ๖ ประการนี้ ยอ มจะเกดิขึน้ ไมไ ดอ กี ตอ ไปดวยอรหัตตมรรค. อธิบายปฏิฆนิมิต อนึง่ เพราะการทําไวใ นใจโดยไมแ ยบคายในปฏฆิ นมิ ิต พยาบาทยอ มเกิดข้นึ ได. ในปฏฆิ ะนิมิตนนั้ ไดแ กปฏิฆนิมติ ทีเ่ ปนปฏิฆะบางปฏฆิ นมิ ิตท่มี ีปฏิฆะเปน อารมณบา ง. การทาํ ไวในใจโดยไมแ ยบคายมีลกั ษณะอยางเดียวกันในทกุ แหง แล. เมอื่ พระโยคาวจรยังการทาํ ไวในใจโดยไมแ ยบคายนนั้ ใหเ ปน ไปในนิมติ นน้ั มากครงั้ เขา พยาบาทยอ มเกิดขนึ้ ได. ดว ยเหตุน้ันพระผูมพี ระภาคเจา จงึ ตรสั วา ดกู อ นภิกษุทงั้ หลายมอี ยู ปฏฆิ นิมิตการทําไวในใจโดยแยบคาย และกระทํามากครง้ั ในปฏิฆนิมิตน้นั น้เี ปน อาหาร (ปจจัย ) ใหพยาบาทท่ียงั ไมเกดิ เกิดขึ้น
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 745ไดบ า ง ใหพยาบาทที่เกิดข้นึ แลวไพบูลยยงิ ข้ึนบา ง. กก็ ารละพยาบาทนน้ัยอ มมีไดดวยการทาํ เมตตาเจโตวมิ ุตไิ วใ นใจโดยแยบคาย ในเมตตาเจโต-วมิ ุตนิ นั้ พงึ ทราบวนิ ิจฉัยดังตอ ไปนี้ :- เม่ือพระผมู พี ระภาคเจา ตรสั วา เมตตายอ มควรทง้ั อัปปนาสมาธิทงั้ อุปจารสมาธิ เมอ่ื ตรสั วา เจโตวิมุตยิ อ มควรเฉพาะอัปปนาอยา งเดยี วการทาํ (เมตตาเจโตวิมุต)ิ ไวในใจโดยแยบคาย มีลกั ษณะดังกลาวมาแลว แล เม่ือพระโยคาวจรยังการทาํ ไวใ นใจโดยแยบคายนัน้ ใหเปนไปในเมตตาเจโตวิมุตติน้ัน มากครง้ั เขา เธอกย็ อมละพยาบาทได. ดว ยเหตนุ ้ัน พระผูมีพระภาคเจาจึงตรัสวา มีอยู ภิกษทุ ้งั หลายเมตตาเจโตวิมุติ การทาํ ไวในใจโดยแยบคายและการทาํ ใหม ากในเมตตาเจโตวิมุตนิ นั้ นเ้ี ปน อาหาร (ปจ จัย) ไมใหพ ยาบาทท่ยี ังไมเ กิดเกดิ ขึน้บาง ใหละพยาบาททีเ่ กดิ ขนึ้ แลวบาง. ละพยาบาทดวยธรรม ๖ ประการ อีกอยา งหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ยอ มเปน ไปเพอื่ ละพยาบาท คอืการเรียนเมตตานมิ ติ ๑ การบาํ เพญ็ เมตตาภาวนา ๑ การพิจารณาวาสัตวท ้ังหลายมีกรรมเปนของตน ๑ ความเปน ผมู ากดวยการพจิ ารณา ๑ความเปน ผมู ีกลั ยาณมติ ร ๑ การสนทนาถงึ เร่ืองท่เี ปน สัปปายะ ๑. อธบิ ายวา เม่อื พระโยคาวจรแมเรยี นเมตตาอยู ดวยอาํ นาจการแผไปโดยเจาะจงทศิ และไมเ จาะจงทิศ อยา งใดอยางหนึ่ง พยาบาทอนั เธอยอ มละได. แมเม่ือพระโยคาวจรเจรญิ เมตตา โดยแผไปสทู ศิ โดยเจาะจง พยาบาท
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 746อันเธอยอ มละได. เมอื่ พระโยคาวจร พิจารณาเหน็ วาคนและคนอื่นมกี รรมเปนของตนอยางนีว้ า เจา โกรธเขาแลว จกั ทาํ อะไรได เจา จักสามารถทําคุณธรรมมศี ลี เปนตน ของเขาใหพ นิ าศไดห รือ เจา มาตามกรรมของตนแลว ก็จกั ไปตามกรรมของตนนัน่ เอง มใิ ชห รือ ? ช่อื วา การโกรธคนอื่นเปนเหมือนกับการท่บี ุคคลประสงคจ ะควาเอาเถาที่ปราศจากเปลว หลาวเหลกี ท่ีรอนและคูถเปนตน ขวา งปาบุคคลอืน่ ถงึ เขาโกรธเจาแลว กจ็ ักทาํ อะไรใหไ ดเขาจกั สามารถใหค ณุ ธรรมมศี ีลเปน ตน ของเจาพินาศไดห รือ ? เขามาตามกรรมของตน กจ็ ักไปตามกรรมของตนเหมอื นกนั ความโกรธนน้ักจ็ กั ตกรดหัวเขานั่นแหละ เหมือนของทีส่ ง ไป ไมม ใี ครรบั (กจ็ ะกลบัมาหาผสู ง) และเหมือนกาํ ฝุน ท่ีซดั ไป ทวนลม (ก็จะปลิวกลบั มาถูกผูขวา ง) ฉะนัน้ บา ง พิจารณาเหน็ วา ท้ังคนท้ังคนอ่นื มกี รรมเปน ของตนและดาํ รงอยใู นการพิจารณาบา ง คบหากัลยาณมติ รผูย ินดใี นเมตตาภาวนาเชน พระอสั สคุตตเถระบาง, พยาบาทอนั เธอยอ มละได. เธอยอมละพยาบาทได แมด ว ยการสนทนาถึงสิง่ ทเี่ ปนสัปปายะเก่ียวเน่ืองดว ยเมตตา ในอิริยาบถท้ังหลาย มอี ริ ิยาบถยนื และนั่งเปน ตน ก็พระโยคาวจรยอ มรชู ดั วา พยาบาทท่ลี ะไดแลว ดว ยธรรม ๖ประการน้ี จะเกดิ ขน้ึ ไมไ ดต อ ไป ดว ยอนาคามมิ รรค. อธิบายอรติ เปน ตน เพราะทําไวในใจโดยไมแยบคาย ในธรรมทั้งหลายคือสติ เปน ตนถนี มทิ ธะยอ มเกิดขน้ึ ได.
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 747 ที่ชอื่ วา อรติ ไดแ กค วามเปนผูระอา. ท่ีชือ่ วา ตนตฺ ิ ไดแกความเปน ผูอดื อาดทางกาย. ท่ีช่อื วา วชิ มฺภิกา ไดแกก ารเอีย้ วบิดกาย. ที่ชอ่ื วา เมาอาหาร ไดแกค วามเซ่ืองซึมท่เี กดิ จากอาหาร และความกระวนกระวายท่ีเกิดจากอาหาร. ที่ชอื่ วา ความหดหแู หง จติ ไดแ กก ารทจี่ ิตหงอยเหงา. กเ็ มือ่ พระโยคาวจรยงั การทาํ ไวใ นใจโดยไมแยบคาย ใหเปน ไปในธรรมทั้งหลายมีอรตเิ ปนตนนี้มากครั้งเขา ถีนมิทธะยอมเกิดข้ึนได. ดว ยเหตุนั้น พระผมู พี ระภาคเจา จึงตรสั วา มีอยนู ะ ภกิ ษุท้งั หลายความเออื มระอา ความอดื อาด ความบดิ ขี้เกียจ ความเมาอาหาร และความท่ีจิตหดหู การทาํ ไวใ นใจโดยไมแ ยบคาย และการทาํ ใหม ากในธรรมท้ังหลายมีความเอือมระอาเปน ตน นัน้ นี้เปนอาหาร (ปจ จยั ) ใหถนี มิทธะท่ียงั ไมเ กิด เกิดข้ึนไดบ าง ใหถนี มิทธะท่เี กดิ ขนึ้ แลว ไพบูลยย่ิงขึ้นบาง. อธบิ ายอารพั ภธาตุ เปนตน กก็ ารละถีนมทิ ธะนน้ั ยอ มมีไดโดยโยนโิ สมนสิการในเพราะธาตุทัง้ หลาย มี อารัพภธาตุ เปนตน. ทชี่ ่ือวา อารพั ภธาตุ ไดแ กค วามเพยี รท่ีเริม่ คร้ังแรก. ที่ชือ่ วา นกิ กมธาตุ ไดแ กค วามเพียรท่มี ีพลงั มากกวาความเพยี รที่เร่มิ ครง้ั แรกนนั้ เพราะออกไปแลวจากความเกียจครา น. ท่ีชื่อวา ปรักกมธาตุ ไดแกค วามเพียรท่มี ีพลังมากกวา นิกกมธาตุ
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 748แมนัน้ เพราะกาวไปสฐู านะย่งิ ๆ ข้นึ ไป. เมือ่ พระโยคาวจรยงั การทาํ ไวใ นใจโดยแยบคายใหเปน ไปในความเพยี ร ๓ ประเภทนี้มากครัง้ เขา เธอยอมละถีนมิทธะได. ดว ยเหตุน้นั พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรสั ไวว า มีอยนู ะ ภกิ ษุทั้งหลายอารัพภธาตุ นิกกมธาตุ ( และ) ปรกั กมธาตุ การทาํ ไวใ นใจโดยแยบคาย และการทําใหม ากในอารัพภธาตุเปนตนนัน้ น้เี ปน อาหาร(ปจจัย ) ไมใ หถ ีนมิทธะทย่ี งั ไมเกิดเกดิ ขนึ้ บา ง ใหละถนี มิทธะท่ีเกิดขึ้นแลว บาง. ละถีนมทิ ธะดว ยธรรม ๖ ประการ อีกอยา งหนงึ่ ธรรม ๖ ประการ ยอ มเปน ไปเพ่ือละถีนมิทธะ คอืการเอานมิ ติ ในการบรโิ ภคมากเกินไป ๑ การผลดั เปลย่ี นอริ ยิ าบถ ๑มนสิการถึงอาโลกสัญญา ๑ การอยูในทีก่ ลางแจง ๑ ความเปนผมู ีกลั ยาณมติ ร ๑ การสนทนาถึงเรือ่ งท่ีเปน สัปปายะ ๑. กเ็ มอ่ื พระโยคาวจรฉัน (มากเกนิ ไป) อยา งอาหารหตั ถกพราหมณ ภตุ ตอมิตกพราหมณ ตตั รวฏกพราหมณ อลังสาฏก-พราหมณ และกากมาสกพราหมณ แลวนั่งบาํ เพญ็ สมณธรรมอยู ในท่ีพกักลางคืน และในท่พี กั กลางวนั ถนี มทิ ธะยอมมาครอบงาํ ได เหมือนชางใหญมาเหยยี บฉะนัน้ . แตส ําหรบั ภิกษผุ ูงดโอกาสทจ่ี ะฉันไดอ กี ๔ - ๕ คาํ เสยี แลว ด่ืมนาํ้แทนอยเู ปนประจํา ถนี มิทธะน้ันยอมไมมี เม่ือพระโยคาวจร แมถอื เอานมิ ติ ในการฉนั มากเกินไปอยา งวามานีแ้ ล เธอยอมละถนี มิทธะได.
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 749 ในอิริยาบถใด พระโยคาวจรตกอยใู ตอ ํานาจถีนมทิ ธะ เมอื่ เธอเปลย่ี นเปน อิริยาบถอื่นจากอิริยาบถนั้นก็ดี มนสกิ ารถงึ แสงจนั ทร แสงประทปี และแสงคบเพลิงในตอนกลางคนื (และ) แสงพระอาทติ ยใ นตอนกลางวนั กด็ ี อยูใ นที่กลางแจง ก็ดี คบหากัลยาณมิตรผลู ะถีนมิทธะไดแ ลว เชนกบั พระมหากัสสปเถระกด็ ี ถนี มิทธะอนั เธอยอ มละได. เธอยอมละถนี มิทธะได แมดวยการสนทนา ถึงเรื่องทเ่ี ปน สปั ปายะเกีย่ วกบั ธดุ งคใ นอิรยิ าบถทง้ั หลายมอี ริ ิยาบถยนื และนง่ั เปนตน. ดว ยเหตุน้นั พระผูมพี ระภาคเจา จึงตรสั วา ธรรม ๖ ประการยอมเปนไปเพอื่ ละถนี มทิ ธะ. ก็พระโยคาวจรยอมรชู ดั วา ถนี มิทธะที่ละไดแ ลว ดวยธรรม ๖ ประการนี้ จะเกิดขน้ึ ไมไดอกี ตอ ไปดว ยอรหัตต-มรรค. อธิบายอทุ ธัจจกุกกุจจะ เม่ือใจไมส งบ อทุ ธจั จกกุ กุจจะยอมเกดิ ขน้ึ ได โดยการไมไดกระทําไวใ นใจโดยแยบคาย (ไมม โี ยนิโสมนสกิ าร). อาการที่จติ ไมส งบชือ่ วา อวปู สมะ. โดยอรรถ คาํ วา อวปู สมะนน้ั คืออุทธจั จกุกกจุ จะนน่ั เอง. เม่อื พระโยคาวจร ยงั อโยนโิ สมนสิการใหเ ปนไปในอวูปสมะน้นัมากคร้งั เขา อทุ ธจั จกุกกจุ จะยอมเกิดข้นึ . ดว ยเหตนุ นั้ พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรสั วา มอี ยู ภิกษุทัง้ หลายความไมส งบใจ การทําไวในใจโดยไมแ ยบคาย และการทําใหม ากครง้ัเขา ในความไมส งบใจน้นั นเ้ี ปนอาหาร (ปจ จยั ) เพอื่ ใหอ ทุ ธัจจ-กกุ กุจจะทย่ี งั ไมเกดิ เกดิ ข้ึนบาง เพ่ือความไพบลู ยย ่งิ ๆ ขึ้นไปแหง อุทธัจจ-
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 750กุกกจุ จะทเ่ี กดิ ข้นึ แลวบาง. ก็การละอุทธจั จกุกกจุ จะนน้ั มีไดด วยโยนโิ สมนสกิ ารในเพราะจติสงบ กลา วคอื สมาธิ. ดวยเหตนุ ั้น พระผูมีพระภาคเจาจงึ ตรสั วามอี ยู ภิกษุทัง้ หลาย ความสงบใจ การมนสิการโดยแยบคาย และการกระทาํ มากครั้ง ในความสงบใจนัน้ น้เี ปน อาหาร (ปจจัย) เพ่อื ไมใหอุทธัจจกกุ กุจจะท่ยี งั ไมเกิด เกิดขึ้นบา ง เพอ่ื ละอทุ ธจั จกกุ กุจจะท่ีเกดิขน้ึ แลวบา ง. ละอุทธจั จกกุ กุจจะดว ยธรรม ๖ ประการ อกี อยางหน่งึ ธรรมทั้ง ๖ อยาง ยอ มเปน ไปเพื่อละอทุ ธจจั กกุ -กจุ จะ คือ ความเปน พหสู ูต ๑ ความเปน ผสู อบถาม ๑ ความเปน ผรู ูปกติในพระวินัย ๑ การคบหาคนเจรญิ แลว ๑ ความเปนผูมีกัลยาณ-มติ ร ๑ การกลาวถอ ยคาํ ทเี่ ปนสปั ปายะ ๑. อธบิ ายวา เธอแมเ รยี นนิกาย ๑ บา ง ๒ นกิ ายบาง ๓ นกิ ายบาง๔ นกิ ายบา ง ๕ นิกายบา ง ท้งั โดยพระบาลีทง้ั โดยอรรถกถา ยอ มละอุทธจั จกกุ กจุ จะได. เธอผมู ากไปดว ยการสอบถามซ่งึ ทเ่ี ปน กัปปยะและอกัปปยยะกด็ ี ผรู ูค วามเปนปกติในวินัยบัญญตั ิ เพราะความเปน ผูเปน ไปในอํานาจวนิ ยั ที่ตนชํ่าชองแลวก็ดี เขา ไปหาทานผูเจริญ คอื พระเถระผูใหญก็ดี คบหาสมาคมกบั กลั ยาณมิตรผูท รงวินัย เชน พระอบุ าลเี ถระก็ดี ยอมละอุทธจั จกกุ กุจจะได. ในอริ ยิ าบถทงั้ หลาย มีการยืนและการนง่ั เปน ตน เธอยอ มละไดดว ยการกลาวถอ ยคําท่เี ปนสปั ปายะเก่ยี วกบั สิง่ ที่เปนกัปปยะและอกปั ปย ะ.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 783
Pages: