พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 551 แกป สุณาวาจา พึงทราบวินจิ ฉัยในคาํ วา ปส ณุ าวาจา เปน ตน. วาจาท่เี ปน เหตใุ หหัวใจของบคุ คลผทู ค่ี นพดู ดวย เกดิ ความรักตนและเกลียดชงั คนอืน่ ชอ่ื วาปสุณาวาจา. สวนวาจาที่เปน เหตุทาํ ใหต นเองบาง ผูอ่ืนบาง หยาบคายและวาจาทหี่ ยาบคายเอง คือไมไ พเราะโสต หรอื ไมชืน่ ใจ (ผฟู ง ) น้ชี ่ือวาผรุสวาจา. วาทะทเ่ี ปน เหตุใหเจรจาเพอเจอ คือไรป ระโยชน ช่อื วาสัมผัป-ปลาป ถึงเจตนาที่เปนมูลฐานของการกลา วคําหยาบและคาํ เพอ เจอ เหลาน้นั ก็ไดน ามวา ปสุณาวาจา เปน ตน อยนู ่นั เอง. และในทน่ี ี้ก็ประสงคเอาเจตนาน้นั แล. เจตนาของผูมีจิตเศรา หมอง ท่เี ปนสมฏุ ฐานแหงกายประโยคและวจ-ีประโยค เพ่อื ทาํ ลายชนเหลา อน่ื หรือเพ่ือประสงคจะทําคนใหเปน ท่รี กั ของผูอนื่ ช่ือวาปส ุณาวาจาในวจกี รรมน้ัน. ปส ณุ าวาจานัน้ ชื่อวา มโี ทษนอ ย เพราะผูถกู ทาํ ใหแ ตกกนั น้นั มีคุณธรรมนอ ย ชือ่ วา มีโทษมากเพราะมคี ณุ ธรรมมาก. ปสณุ าวาจานน้ั มีองคประกอบ ๔ ประการ คือ ผตู อ งถกู ทําลายเปน คนอน่ื ๑ ความมุงหนาจะทาํ ลายดวยประสงควา คนเหลา นี้จกั เปนผแู ตกแยกจากกนั ดว ยอบุ ายอยา งน้ี หรือความประสงคว าเราจักเปนทร่ี กัเปน ที่คุนเคย (ของเขา) ดว ยอบุ ายอยา งน้ี (รวมเปนองค) ๑ ความพยายามทีเ่ กดิ จากความต้งั ใจน้นั ๑ การทเี่ ขาเขาใจเนอ้ื ความนนั้ ๑.
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 552 แกผ รุสวาจา เจตนาทห่ี ยาบคายโดยสว นเดยี ว ท่ีเปนสมฏุ ฐานแหงกายประโยคและวจีประโยค อันเปน เหตุตัดรอนความรกั ของคนอืน่ ชอื่ วา ผรสุ วาจาเพือ่ ความแจมชัดแหงผรสุ วาจาน้นั ตองสาธกเรอื่ งน.้ี ไดท ราบวา เด็กคนหน่งึ ไมเ ชื่อถอ ยคาํ ของมารดา (ขืน) เขาปา ไป.มารดาเมอ่ื ไมสามารถจะใหเขากลับได จึงคําวา ขอใหแ มกระบือดรุ ายจงไลขวิดมึง. ภายหลังแมก ระบือไดป รากฏแกเ ขาเหมือนอยา งทีแ่ มวา นนั่แหละ. เด็กจึงทาํ สัจจกิรยิ าวา คุณแมของขา พเจา กลาวอยางใดดวยปากขออยาเปน อยางนน้ั แตคิดอยา งใดดว ยใจ ขอใหเ ปน อยา งน้นั . แมกระบอืไดห ยดุ ชะงกั อยู ณ ที่น้ันนั่นเองเหมอื นถกู ผูกไว. วจีประโยคแมเปน เหตุตดั เสยี ซ่ึงคาํ รัก (คําที่พาดถึงส่งิ ท่ีรกั ) ดังทพี่ รรณนามานี้ ก็ไมเ ปน ผรุสวาท เพราะผูพูดมจี ติ ออนโยน. จรงิ อยูบางครง้ั พอ แมวาลูกก ๆ อยา งนีว้ า ขอใหพวกโจรฟน พวกเองใหข าดเปนทอน ๆ ไปเถิด ถึงอยา งนั้น แมแตเพียงกลบี ดอกอบุ ลกไ็ มป ระสงคจะใหอนั เตวาสิกและสัทธิวิหารกิ ผอู ยูอ าศัยท้งั หลายวา พวกนี้จะพูดอะไรกนักไ็ มม ียางอาย ไมม คี วามเกรงกลัว สูเจาทงั้ หลาย จงไลเขาไปเสยี . แตถงึ กระนัน้ อาจารยแ ละอุปช ฌายเ หลา น้ันกย็ งั ปรารถนาสมบัติคืออาคม(ปรยิ ัต)ิ และอธิคม (ปฏิเวธ) แกอนั เตวาสกิ และสัทธิวหิ าริกเหลานนั้อยู. อนง่ึ วจีประโยคไมเ ปน ผรุสวาจา เพราะผพู ดู มีจิตออนโยนฉนั ใด
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 553จะไมเ ปนผรุสวาจาเพราะผพู ดู มคี ําพูดออนหวานฉันนนั้ กห็ ามิได เพราะวาคาํ พูดของผปู ระสงคจะใหเ ขาตายวา แกจงใหค นน้นี อนสบายเถดิ ดงั น้ีไมใ ชไ มเปนผรุสวาจา แตวาจานเ้ี ปน ผรุสวาจาทเี ดยี ว เพราะผพู ูดมีจติหยาบคาย. ผรสุ วาจานี้ ช่ือวามโี ทษนอ ย เพราะผูท่ผี รุสวาทีบุคคลพดู หมายถึงเปนผูม ีคณุ นอย ช่ือวา มีโทษมาก เพราะมีคณุ มาก. ผรุสวาจาน้ัน มอี งคป ระกอบ ๓ ประการ คือ ผทู จ่ี ะตองถกู ดาเปน คนอน่ื ๑ จิตขุนเคือง ๑ การดา ๑. แกสัมผัปปลาปะ ความจงใจท่เี ปน อกศุ ล ทีเ่ ปนสมฏุ ฐานแหงกายประโยคและวจี-ประโยค ท่ยี ังผอู ่ืนใหเ ขา ใจคําพูดที่ไรประโยชน ชอ่ื วา สมั ผปั ปลาปะสมั ผัปปลาปะน้นั ชือ่ วา มีโทษนอ ย เพราะผพู ดู มอี าเสวนะออ น (ความเคยชินนอย) ชื่อวา มีโทษมาก เพราะผูพ ูดมีอาเสวนะมาก ( ความเคยชนิ มาก). สมั ผัปปลาปะนน้ั มอี งคป ระกอบ ๒ ประการ คอื ความมุง หนาท่จี ะพดู ถอ ยคําไรประโยชน มีเร่ืองสงความภารตะ และเรอื่ งการลักพานางสีดา (เรอ่ื งรามเกยี รติ)์ เปน ตน ๑ การกลาวถอยคําชนดิ น้นั ๑. แกอ ภชิ ฌา เจตนาช่ือวา อภิชฌา เพราะเพงเลง็ อธบิ ายวา ยอมเปน ไปเพอื่ความเปนผูมุงหนา เพง เลง็ เฉพาะภณั ฑะของผอู นื่ แลว นอมภณั ฑะนนั้ มา.
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 554อภิชฌานนั้ มลี ักษณะเพง เล็งภัณฑะของผูอ ่นื อยา งน้ีวา ไฉนหนอ ของสิ่งนี้จะพงึ เปนของเรา. อภิชฌานนั้ ชอื่ วา มโี ทษนอ ยและมโี ทษมาก เหมอื นกบั อทนิ นาทาน. อภิชฌานน้ั มอี งคประกอบ ๒ ประการ คือ ของของผอู น่ื ๑นอมส่งิ นัน้ มาเพื่อตน ๑. อธิบายวา ถึงจะเกิดความโลภทมี่ ีภณั ฑะของผูอน่ื เปนทตี่ ง้ั ขน้ึกรรมบถกย็ ังไมข าดจนกวา จะนอ มมาเพื่อคนวา ไฉนหนอ ของสิ่งนจ้ี ะพงึเปน ของเรา. แกพ ยาบาท บาปธรรมชอื่ วา พยาบาท เพราะยังประโยชนเ ก้ือกลู และความสุขใหถงึ ความพนิ าศ. พยาบาทนัน้ มีลกั ษณะประทุษรา ย เพื่อความพินาศของผอู ่นื . พยาบาทนนั้ ชอื่ วา มีโทษนอยและมโี ทษมาก เหมอื นกับผรสุ วาจา. พยาบาทนัน้ มีองคป ระกอบ ๒ ประการ คือ สตั วอืน่ ๑ ความคดิทีจ่ ะใหส ัตวน น้ั พนิ าศ ๑. อธิบายวา ถงึ จะเกิดความโกรธที่มีสัตวอ ื่นเปน ทีต่ ั้งขน้ึ กรรมบถกย็ ังไมขาด ตลอดเวลาที่ผโู กรธยังไมคิดใหสัตวนัน้ พินาศวา ไฉนหนอสัตวน ้จี ะพึงขาดสูญพนิ าศไป. แกม จิ ฉาทิฏฐิ เจตนาชอ่ื วา มิจฉาทิฏฐิ เพราะเห็นผิด โดยไมม ีการถือเอาตาม
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 555ความเปนจรงิ . มิจฉาทฏิ ฐินัน้ มีลักษณะเห็นผดิ โดยนยั มอี าทวิ า ทานที่ใหแลว ไมม ีผล. มจิ ฉาทฏิ ฐนิ ้ัน ชอื่ วามโี ทษนอยและมโี ทษมากเหมือนสมั ผปั ปลาปะ. อีกอยางหนง่ึ มจิ ฉาทิฏฐทิ ไี่ มแ นน อน (ยงั ไมดิ่ง)ชือ่ วามีโทษนอย ทแี่ นน อน ( ด่งิ ) ชอ่ื วา มีโทษมาก. มจิ ฉาทฏิ ฐินัน้ มอี งคประกอบ ๒ ประการ คือ การที่เรอ่ื งผิดไปจากอาการท่ยี ึดถอื ๑ การปรากฏข้ึนแหงเรอื่ งนน้ั โดยไมเ ปน อยางที่มิจฉาทฏิ ฐิกบุคคลยึดถือ ๑. วินจิ ฉัยโดยอาการ ๕ อยา ง อนง่ึ พึงทราบวนิ จิ ฉัยอกุศลกรรมบถทงั้ ๑๐ เหลาน้ี โดยอาการ๕ อยาง คือ โดยธรรมะ ( ธมฺมโต) ๑ โดยโกฏฐาสะ (โกฏฐาสโต) ๑โดยอารมณ (อารมฺมณโต) ๑ โดยเวทนา (เวทนาโต) ๑ โดยเคา มูล(มลู โต) ๑. บรรดาบทเหลานน้ั บทวา ธมฺมโต มีเน้อื ความวา ความจรงิ ในจาํ นวนกรรมบถ ๑๐ อยา งเหลา น้ี กรรมบถ ๗ ขอ ตามลําดบั (กาย-กรรม ๓ วจกี รรม ๔ ) เปน เจตนาธรรมตรงตวั สวนกรรมบถ ๓ อยา งมีอภิชฌา เปนตน เปนตวั ประกอบเจตนา. บทวา โกฏ าสโต ความวา กรรมบถ ๗ ขอตามลาํ ดับ และมิจฉาทฏิ ฐิอีก ๑ รวมเปน ๘ ขอ น้ี เปนกรรมบถอยางเดยี ว ไมเ ปน มูล(รากเหงา ของอกศุ ล) สวนอภิชฌากบั พยาบาท (๒ ขอน้ี) เปน ทง้ักรรมบถ เปน ทงั้ มลู (รากเหงาของอกุศล). อธบิ ายวา เพราะเปน
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 556รากเหงา อภชิ ฌาจึงเปน โลภกุศลมูล พยาบาทเปนโทสอกุศลมูล. บทวา อารมมฺ ณโต ความวา ปาณาตบิ าต มสี ังขารเปนอารมณเพราะมีชตี ินทรยี เ ปน อารมณ อทนิ นาทาน มสี ตั วเปน อารมณบ า ง มีสังขารเปน อารมณบ า ง มจิ ฉาจาร มีสังขารเปนอารมณ ดวยอํานาจแหงโผฏฐพั พะ อาจารยพวกหนึง่ กลาววา มีสตั วเ ปน อารมณก ็ม.ี มุสาวาทมสี ตั วเ ปน อารมณบาง มีสังขารเปนอารมณบา ง ปส ณุ าวาจาก็เหมอื นกันผรุสวาจา มีสตั วเ ปน อารมณอ ยา งเดียว สัมผปั ปลาปะ มสี ัตวเ ปนอารมณบาง ดวยอํานาจแหงรูปที่ไดเ ห็นแลว เสยี งทีไ่ ดยนิ แลว กล่นิ รส และโผฏฐัพพะที่ไดท ราบแลว และธรรมารมณท ่ีไดร ูแลว อภชิ ฌากเ็ หมอื นกัน (แต ) พยาบาทมสี ตั วเปนอารมณอ ยา งเดียว (สว น) มจิ ฉาทฏิ ฐิมสี ังขารเปน อารมณ ดว ยอํานาจแหงธรรมอันเปน ไปในภูมิ ๓. บทวา เวทนาโต ความวา ปาณาติบาต มีเวทนาเปน ทุกข. เพราะวา พระราชาท้งั หลายทรงเห็นโจรแลว ถึงจะทรงกระหยิม่ อยพู ลางรบั สง่ัวา ไป เอามันไปสงั หาร ดงั นก้ี จ็ รงิ แตถึงกระนัน้ เจตนาทีเ่ ปน ตวั การใหต กลงปลงพระทัยของพระราชาเหลานั้น เปนเจตนาทปี่ ระกอบดว ยทุกขอยนู ้ัน. อทินนาทาน มเี วทนา ๓. มจิ ฉาจาร มเี วทนา ๒ ดว ยอํานาจแหงสขุ เวทนาและอเุ บกขาเวทนา. แตไมใ ชมเี วทนาเปน อุเบกขา ในเพราะจิตเปนตวั การใหตกลงปลงใจ. มสุ าวาทมเี วทนา ๓. ปส ุณาวาจาก็เหมอื นกัน. ผรุสวาจามีเวทนาเปน ทกุ ขอ ยา งเดียว. สมั ผัปปลาปะ มีเวทนา ๓. อภิชฌามีเวทนา ๒ ดว ยอํานาจแหง สุขเวทนาและอุเบกขา-เวทนา. มิจฉาทฏิ ฐิกเ็ หมือนกนั . (แต) พยาบาท มเี วทนาเปนทกุ ข.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 557 แกอกศุ ลมูล บทวา มลู โต ความวา ปาณาตบิ าต มอี กุศล ๒ อยา งเปน มูลดว ยอํานาจแหงโทสะและโมหะ. อทินนาทาน (มอี กศุ ล ๒ อยา งเปนมูล ) ดว ยอาํ นาจแหง โทสะและโมหะ หรอื ดวยอาํ นาจแหงโลภะและโมหะมจิ ฉาจาร (มีอกุศล ๒ อยา งเปนมูล ) ดวยอํานาจแหงโลภะและโมหะ.มุสาวาท ดวยอํานาจแหงโทสะและโมหะหรือโลภะและโมหะ. ปสุณาวาจาและสัมผัปปลาปะกเ็ หมือนกัน (กับมุสาวาท). ผรุสวาจา ดว ยอํานาจแหงโทสะและโมหะ. อภิชฌา มอี กศุ ลอยางเดยี วเปนมลู ดว ยอํานาจแหงโมหะ. พยาบาทกเ็ หมือนกนั (กบั อภิชฌา). ( แต ) มจิ ฉาทิฏฐิ มีอกุศล๒ อยางเปนมูล ดวยอาํ นาจแหง โลภะและโมหะ ดังนแี้ ล. พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในคําวา โลโภ อกสุ ลมลู เปน ตน (ดงั ตอ ไปนี้) อกุศลธรรม ชอ่ื วาโลภะ เพราะอยากได. ชือ่ วา โทสะ เพราะประทุษราย. ช่ือวาโมหะ เพราะหลง. ในจํานวนอกศุ ลธรรมท้ัง ๓ อยา งเหลานน้ั โลภะ ชือ่ วาเปน อกุศล -มูล เพราะตัวมันเองเปน ทงั้ อกุศล เพราะอรรถวา มีโทษและมที กุ ขเ ปนวิบาก เปนทงั้ รากเหงา ของอกศุ ลธรรมเหลานี้ มปี าณาตบิ าตเปนตนเพราะอรรถวา เปน สภาพแหง สัมปยุตธรรมของอกศุ ลลางเหลา และเพราะอรรถวา เปนอุปนสิ สยปจ จัยของอกุศลธรรมลางอยาง. สมจรงิ ตามคาํท่ีทานพระสารบี ุตรไดกลาววา คณุ ผกู ําหนดั มากแลว ถูกราคะครอบงําแลว มจี ติ ถกู ราคะรงึ รัดแลว ยอ มฆาสตั วม ีชีวติ ได ดงั นี้เปน ตน แมใ นการท่ีโทสะและโมหะเปนอกศุ ลมลู ก็มนี ยั นเ้ี หมือนกนั .
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 558 แกกศุ ลกรรมบถ พึงทราบวนิ จิ ฉยั ในคาํ วา ปาณาตปิ าตา เวรมณี กุสล (เจตนางดเวนจากปาณาตบิ าตเปนกุศล) เปน ตน ดงั ตอไปนี้ อกศุ ลกรรมบถท้ังหลาย มปี าณาติบาตเปนตน มีอรรถาธิบายดังท่ขี าพเจาไดกลา วมาแลวนน้ั แหละ. เจตนาชื่อวา เวรมณี เพราะยํ่ายเี วร อธิบายวา ละเวรไดอีกอยา งหนึ่ง บุคคลเวน จากเวรไดเ พราะเจตนานเ้ี ปน เหตุ เพราะเหตนุ ้ันเจตนานน้ั จึงชอ่ื วา เวรมณี โดยเปล่ยี น วิ อักษร ใหเ ปน เว อักษร ไปน้ีเปน การขยายความในคาํ วา เวรมณี นี้ โดยพยัญชนะกอน สว นการขยายความโดยอรรถ (ความหมาย) พึงทราบวา วริ ตั ิทส่ี ัมปยุตดวยกุศลจิตชือ่ วาเวรมณ.ี วิรตั ิของผูเ วนจากปาณาตบิ าตทต่ี รสั ไวอ ยางนว้ี า การงดการเวนจากปาณาตบิ าต ในสมยั นัน้ ดังน้ี ชอ่ื วา เปน วิรตั ทิ ีส่ ัมปยุตดว ยกศุ ลจติ . แกวิรัติ ๓ วิรตั ินั้นแยกประเภทออกเปน ๓ อยา ง คอื สัมปต ตวริ ัติ ๑ สมาทาน-วริ ตั ิ ๑ สมุจเฉทวิรตั ิ ๑. ในจาํ นวนวริ ัตทิ ้ัง ๓ นัน้ วริ ตั ทิ ่ีเกดิ ขน้ึ แกผูไมไดส มาทานสกิ ขาบททง้ั หลาย (มากอน) แตไ ดพ จิ ารณาถึงชาติ วยัและการคงแกเรียนเปน ตน ของตนแลว เห็นวา ไมเหมาะแกเ รา การทาํ อยางน้ี แลวไมลวงเกนิ สงิ่ ทเ่ี ผชิญเขา พึงทราบวา เปน สมั ปต ตวริ ัติเหมือนวิรตั ขิ องจักกนะอบุ าสกในสหี ลทวีป
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 559 นิทานประกอบสมั ปต ตวิรัติ/H1 ไดทราบวา ในเวลาเขายงั หนุม อยนู ั้นแหละ มารดาของเขาเกดิ โรคและหมอบอกวา ควรจะไดเนอื้ กระตา ยสด ๆ (มาประกอบยา). ลําดบั นนั้พ่ชี ายของจักกนะสงั่ วา ไปเถอะเจาจงไปนา แลว สงจกั กนะไป. เขาก็ไดไ ปทีน่ านนั้ . และเวลานนั้ มกี ระตายตัวหน่ึงมาเลม็ หญา ออ นอย.ู มนั เห็นเขาแลว รบี ว่งิ หนไี ป แตไปขอ งเถาวัลย จึงสงเสยี งรอง แกรก แกรก( กริ กริ) ข้นึ . จักกนะตามเสียงนั้นไป จับกระตายไวไ ด ตัง้ ใจวาจะเอามาทาํ ยาใหแม แตก ฉ็ กุ คิดขึ้นมาวา ไมเปนการสมควรสําหรบั เขาท่ีจะทําลายชวี ติ สัตวอ ่ืนแลกชวี ิตแมของเรา. จึงพูดวา ไปเถดิ เจาไปกนิ หญากนิ นํา้ รวมกับกระตายทัง้ หลายในปา เถดิ แลวปลอ ยมนั ไป และเม่ือกลับถึงบาน เขาถกู พีช่ ายถามวา เปนอยา งไรนอง ไดก ระตายไหม ? จึงไดบอกความเปน ไปน้ันใหทราบ. บัดนัน้ พชี่ ายกไ็ ดบ ริภาษเขา. เขาเขา ไปหาแมแ ลว ไดย นื ตงั้ สัตยาธษิ ฐานวา ขาพเจาตง้ั แตเกิดมาจําความไดไมเคยจงใจฆา สตั วตดั ชวี ติ เลย. ทันใดนน้ั แมของเขาไดห ายจากโรค. แตวิรัติทเ่ี กดิ ขน้ึ แกผสู มาทานสิกขาบทมาแลว ถึงจะสละชีพของตน ในเวลาสมาทานสิกขาบทและเวลาถัดจากนนั้ ไป กไ็ มล วงเกินวตั ถุ พึงทราบวา เปนสมาทานวริ ตั ิ เหมอื นวริ ัติของอบุ าสก ชาวเขาอตุ รวฑั ฒมานะ. นิทานประกอบสมาทานวริ ตั ิ ไดท ราบวา อุบาสกนัน้ รบั สกิ ขาบทในสํานักของทา นปงคลพุทธ-รักขิตเถระชาวอมั พริยวหิ ารแลวไปไถนา. ตอมา โคของเขาหายไป.
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 560เขาเมื่อตามหามนั ไดขนึ้ ภูเขาอตุ รวัฑฒมานะ. งูใหญไดร ดั เขาอยบู นภูเขาน้นั . เขาคิดวา จะเอามีดทีค่ มนี้ตดั หัวมนั แตก ย็ ังคิดอกี วา การที่สมาทานสิกขาบทในสาํ นกั ของครูผนู านบั ถือแลว ทําลายเสียไมส มควรเลย. ครั้นคิดอยา งนี้ถึง ๓ คร้ังแลว ก็ตัดสนิ ใจวา เราจะสละชีวิต ไมยอมสละสิกขาบท(ศีล) แลว ไดข วางมดี โตเ ลม ที่แบกมาอยูบนบาเขาปา ไป. ทนั ใดน้ันงูใหญก ไ็ ดคลายตัวออกแลวเลือ้ ยไป. แกสมจุ เฉทวริ ัติ และกศุ ลกรรมบท สวนวิรัตทิ ่สี ัมปยตุ ดวยอรยิ มรรคพงึ ทราบวา เปนสมจุ เฉทวริ ตั ิ ซึง่จาํ เดิมแตเ กดิ แลว พระอริยบคุ คลทงั้ หลายไมเคยแมแตจ ะเกดิ ความคดิ วาเราจกั ฆาสตั วม ีชวี ติ ดงั น.้ี แตว ริ ัตินน้ี น้ั ทานเรยี กวา กุศล เพราะเปนไปแลว ดวยความฉลาด. อกี อยางหนงึ่ ทานเรยี กวา กุศล เพราะตัดซง่ึความทศุ ลี ท่ไี ดโวหารวา กุศะ เพราะเปนทหี่ มกั หมมความชั่วรายบาง.๑แตไ มไดเ รียกวากศุ ล เพราะไมเ หมาะสมกับปญหาน้ีวา คณุ กุศลเปนอยางไร ? วนิ จิ ฉยั โดยอาการ ๕ อยา ง อน่งึ กศุ ลกรรมบถแมเ หลา นี้ ก็ควรทราบวินจิ ฉยั โดยอาการ ๕อยาง คอื โดยธรรม ( ธมฺมโต ) ๑ โดยโกฏฐาส (โกฏฐ าสโต) ๑โดยอารมณ (อารมมฺ ณโต) ๑ โดยเวทนา (เวทนาโต) ๑ โดยเคามลู(มลู โต) ๑ เหมอื นกบั อกศุ ลกรรมบถทงั้ หลาย.๑. ปาฐะวา กุจฺฉติ สฺส สลนโต วา กุสลนฺต.ิ . ฉบบั พมา เปน กุจฉฺ ติ สยโฺ ต วา กุสนตฺ ิ.. จงึไดแ ปลตามฉบับพมา เพราะเหน็ วาไดความดีวา .
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 561 บรรดาบทเหลานัน้ บทวา ธมมฺ โต ความวา ในจาํ นวนกุศล.กรรมบถแมเหลาน้ี กรรมบถ ๗ ประการตามลําดับเปน ตัวเจตนา กถ็ กูแตว ิรัตทิ ้ัง ๓ ตอนสดุ ทาย (มโนกรรม ๓) เปนธรรมสัมปยตุ ดวยเจตนา. บทวา โกฏาสโต ความวา กศุ ลธรรม ๗ ประการตามลําดบัเปน กรรมบถอยา งเดยี วไมเ ปน รากเหงา ( กุศล). (แต) กุศลธรรม ๓ ประ-การตอนทา ย เปนท้งั กรรมบถ เปน ทัง้ รากเหงา (กศุ ล). อธิบายวาอนภชิ ฌา ถงึ กรรมบถแลว จงึ ช่อื วา เปน อโลภะ กุศลมลู . แตอ ัพยาบาทช่อื วาเปน อโทสะ กุศลมูล. สว นสัมมาทิฏฐิ ชอ่ื วาเปน อโมหะ กศุ ลมูล. บทวา อารมฺมณโต ความวา อารมณทง้ั หลายมปี าณาติบาตเปนตนนั่นแหละ เปนอารมณข องเวรมณี (เจตนางดเวนจากปาณาติบาตเปนตน )เหลา นนั้ เพราะวา เวรมณจี ะมีไดก โ็ ดยไดเผชญิ กบั วตั ถทุ ีจ่ ะตองกา วลว งเทานั้น อปุ มาเสมือนหนง่ึ วา อรยิ มรรค (ตอง) มีนิพพานเปนอารมณจึงจะละกเิ ลสได ฉันใด กรรมบถเหลา นี้ ก็พงึ ทราบวา เปน เชนนน้ัเหมอื นกัน (ตอ ง) มีชีวิตนิ ทรียเปนตน เปน อารมณ จึงจะละทุศีลมีปาณาติบาตเปน ตน ได. บทวา เวทนาโต ความวา กศุ ลกรรมบถทัง้ หมด เปน สุขเวทนาบาง เปนอุเบกขาเวทนาบา ง เพราะวา ถงึ กุศลแลว จะไมมีทกุ ขเวทนา(กรรมบถฝา ยกุศลไมม ีใหผลเปนทกุ ข). บทวา มูลโต ความวา กรรมบถ ๗ จะมมี ูล ๓ ตามอาํ นาจของอโลภะ อโทสะ และอโมหะ สําหรับผงู ดเวน ดวยจติ สมั ปยุตดวยญาณแตมมี ูล ๒ สาํ หรับผงู ดเวนดวยจติ ทปี่ ราศจากญาณ. อนภิชฌามีมลู ๒
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 589 กถาพรรณนาชาติวาระ [๑๐๘] พึงทราบวินจิ ฉัย ในคาํ ทง้ั หลายมอี าทวิ า ชาติ สชฺ าติในชาติวาระ (ดังตอ ไปน้)ี :- ชอ่ื วา ชาติ เพราะอรรถวา. (เร่มิ ) เกดิ . ชาตนิ น้ั ประกอบแลวดว ยสามารถแหง อายตนะยังไมบ ริบรู ณ. ช่ือวา สชฺ าติ เพราะอรรถวา เกิดครบแลว . สัญชาติน้นัประกอบแลว ดวยสามารถแหง อายตนะบรบิ รู ณแ ลว . ชือ่ วา โอกกฺ นตฺ ิ เพราะอรรถวา กา วลง (สูครรภ) . โอกกันตินนั้ ประกอบดว ยอัณฑชกําเนดิ (เกดิ ในฟอง) และชลาพชุ กําเนิด(เกิดเปนตวั ). อธบิ ายวา สตั วเหลา นน้ั กาวลง คือถอื ปฏิสนธิ เหมือนกา วยางเขา ไปสกู ะเปาะไขแ ละรงั มดลูก. ชื่อวา อภนิ พิ ฺพตฺติ เพราะอรรถวา ผดุ เกดิ . อภนิ ิพพัตตินั้นประกอบดว ยสังเสทชกําเนิด (เกิดในเถา ไคล ) และโอปปาตกิ กาํ เนิด(ผุดเกิด) อธิบายวา สตั วเ หลาน้ัน เกดิ ปรากฏข้นึ ทีเดียว. นี้เปนเทศนาตามโวหารกอน. ตอ ไปนี้จึงเปนเทศนาโดยปรมัตถ อธิบายวา โดยปรมมตั ถ ขันธทัง้ หลายเทานนั้ แหละ ปรากฏขน้ึ ไมใชส ตั วป รากฏ. บรรดาบทเหลา นั้น บทวา ขนธฺ าน พึงทราบวา หมายเอาขนั ธ ๑ในเอกโวการภพ ขนั ธ ๔ ในจตโุ วการภพ และขันธ ๕ บา ง ในปญ จโวการภพ. การอบุ ตั ิ ชอื่ วา ปาตภุ าโว. พงึ ทราบการสงเคราะหด ว ยอายตนะทกี่ ําลงั เกดิ ขน้ึ ในภพนั้น ๆ เขา ในคําวา อายตนาน น้ี.
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 590 การปรากฏขึน้ ในสนั ตตินัน่ เอง ช่ือวา ปฏลิ าโภ อธิบายวาอายตนะเหลา นัน้ ท่ีปรากฏอยูน่ันแหละ ยอ มชื่อวาเปน อันสัตวทั้งหลายกลบั ไดแ ลว . ดว ยบทนี้วา อย วุจฺจตาวุโส ชาติ พระเถระกลา วยาํ้ ชาตทิ ่ไี ดแสดงมาแลว ท้ังโดยโวหาร ทัง้ โดยปรมตั ถ ดังนีแ้ ล. กผ็ ศู กึ ษาพึงทราบกรรมภพท่ีเปนปจจยั แหง ชาติ ในคําวา ภว-สมทุ ยา น.้ี คําทเ่ี หลอื มนี ัยดงั ท่ีกลา วมาแลว น้ันแหละ. จบ กถาพรรณนาชาตวิ าระ กถาพรรณนาภววาระ [๑๑๙] พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในภววาระดังตอไปนี้ :- กรรมภพและอปุ ปต ตภิ พ ช่ือวา กามภพ. บรรดาภพทงั้ ๒ อยางนั้น กรรมทเ่ี ปนเหตุใหเขา ถงึ กามภพน่นั เอง ชื่อวา กรรมภพ. อธบิ ายวา กรรมนั้นเองทานกลา ววา ภพ โดยการกลาวถึงผลเหมือนคาํ ทัง้ หลายมีอาทิวา การอบุ ัตขิ นึ้ แหง พระพุทธเจา ทั้งหลายเปน เหตุนํามาซึ่งความสขุ การสะสมบาปเปน เหตุนาํ มาซึ่งทกุ ขด ังน้ี เพราะกรรมภพน้นั เปน เหตุแหง อุปปต ติภพ. ขนั ธปญ จกที่ตณั หาและทฏิ ฐยิ ึดครองแลวเกิดขึ้นแลวดว ยกรรมน้นั ชือ่ วา อปุ ปต ตภิ พ. เพราะวา ขนั ธปญจกน้นัทา นกลา ววา ภพ เพราะตัง้ วเิ คราะหวา เปนที่เกดิ (แหงปฏสิ นธจิ ติ ). เม่ือเปนอยา งน้ี ท้ัง ๒ อยา งน้ี คอื กรรมภพนี้ ๑ อุปปตติภพ ๑ทา นกลาววา เปนกามภพแมโดยประการทั้งปวง. ในรปู ภพและอรปู ภพ
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 591ก็ทาํ นองน.ี แตอปุ าทานในคําน้ีวา อุปาทานสมุทยา นี้ เปน ปจจัยของกรรมภพทเ่ี ปน กุศล. โดยอปุ นิสสยปจจยั นั้นเอง. อปุ าทานเปนปจ จัยของกรรมภพที่เปนอกศุ ล โดยอปุ นิสสยปจจยั บา งโดยสหชาตปจจยั เปน ตนบาง แตเ ปน ปจจัยของอุปปตติภพ ของกรรมภพท้ังที่เปน กศุ ลและอกศุ ลทั้งหมดโดยอุปนสิ สยปจ จัยบาง. คําท่ีเหลือมนี ยั ดงั ที่กลาวมาแลว นน่ั แหละดังน้ี. จบ กถาพรรณนาชาติวาระ กถาพรรณนาอุปาทานวาระ [๑๒๐] พึงทราบวินิจฉยั ในคําทั้งหลายมีอาทิวา กามปุ าทานในอปุ าทานวาระ. กิเลสชาต ช่อื วา กามปุ าทาน เพราะวิเคราะหวา เปน เหตยุ ึดมัน่วตั ถกุ าม หรือเพราะยดึ วัตถกุ ามนัน่ เอง. อกี อยางหนง่ึ กามน้นั ดว ยเปน อุปาทานดวย เพราะฉะน้นั จึงช่ือวา กามุปาทาน. การยึดม่ันทานเรียกวา อปุ าทาน. เพราะวา อุปศพั ท ในคาํ วาอุปาทาน นี้ มเี นอื้ ความวา มั่น เหมอื นอุปศัพท ในคาํ ทัง้ หลายมีอาทิวาอุปายาส และ อุปกฏั ฐะ. คําวา กามปุ าทาน นี้ เปน ชอ่ื ของราคะทเ่ี ปน ไปในกามคุณ. นี้เปน ขอ ความสังเขปในกามุปาทานน้ี. แตโดยพิสดาร กามปุ าทานนี้ พงึ ทราบโดยนยั ทีไ่ ดต รัสไวแลว วาบรรดาอปุ าทานเหลา น้นั กามปุ าทานเปนไฉน ? ไดแ กค วามพอใจดว ยอํานาจความใครใ นกามทง้ั หลาย.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 592 ทฏิ ปุ าทาน กอ็ ยา งนัน้ คอื ทิฏฐนิ นั้ ดวย เปน อุปทานดวยเพราะฉะน้นั จงึ ช่ือวา ทฏิ ปุ าทาน. อกี อยา งหน่ึง กเิ ลสขาด ชือ่ วาทฏิ ปุ าทาน เพราะยดึ มัน่ ทฏิ ฐ.ิ หรือชอ่ื วา ทิฏปุ าทาน เพราะวิเคราะหวา เปนเหตใุ หยึดมั่นทฏิ ฐ.ิ อธิบายวา กเิ ลสขาดใดยอ มยดึ ม่ันทิฏฐเิ ดมิในคําท้งั หลายมอี าทวิ า ท้งั อตั ตา (อาตมัน) ท้ังโลก เปนของเทย่ี งเพราะฉะน้ัน กเิ ลสชาตนิ นั้ จึงชอ่ื วา อยางนั้น (ทฏิ ุปาทาน).อยา งท่ีตรัสไวมีอาทิวา ทั้งอัตตา (อาตมัน ) ทั้งโลก เปนของเทยี่ งสิง่ นีเ้ ทานนั้ เปนสัตยะ (ของจริง) สง่ิ อนื่ เปนโมฆะ. (ไรประโยชน).คาํ วา ทิฏปุ าทานนี้ เปนช่อื ของทิฏฐทิ ้ังหมดเวนไวแ ตส ีลพั พทั ตปุ าทานและอตั ตวาทุปาทาน. น้ีเปน ขอความสงั เขปในทฏิ ปุ าทานน้.ี แตโดยพสิ ดารทิฏปุ าทานน้ี พงึ ทราบโดยนยั ทไ่ี ดต รัสไวแ ลว น่นั แหละวาบรรดาอุปาทานเหลานัน้ ทิฏุปาทานเปนอยางไร ? (ทิฏปุ าทานคอื )ทานท่ีบคุ คลใหแลว ไมม ผี ล. บรรดาอุปาทานเหลานนั้ ชอ่ื วา สลี พั พัตตปุ าทาน เพราะเปนเหตยุ ดึ มัน่ ศีลและพรตบาง เพราะศีลและพรตนน้ั ยึดม่ันเองบาง เพราะศลี และพรตน้ันดวยเปน อปุ ทานดวยบา ง. อธบิ ายวา การยดึ มัน่ ดว ยตนเองนน่ั แหละโดยความเชือ่ มั่นวา ศลีและพรตทั้งหลายมีศีลของโคและวัตรของโคเปนตน เปน ของบรสิ ทุ ธ์ดิ ว ยอาการอยางนี้ เพราะฉะนน้ั จงึ ชือ่ วาอยา งนั้น (สลี พั พตั ตุปาทาน). น้ีเปน ขอความสังเขปในสลี พั พัตตุปาทานน.้ี แตโ ดยพสิ ดารสลี พั พัตตุปาทานน้ี พึงทราบโดยนยั ทีต่ รสั ไวแลว วาบรรดาอปุ าทานเหลา น้ัน สลี พั พัตตปุ าทานเปน ไฉน ? คือ ความบรสิ ุทธิ์
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 593ดว ยศีลของสมณพราหมณท้งั หลายภายนอกศาสนาน.ี้ ชื่อวา วาทะ เพราะเปนเหตกุ ลา วในบดั น.้ี ชอ่ื วา อปุ าทานเพราะเปน เหตุยึดม่นั . ถามวา กลา วหรอื ยดึ ม่นั อะไร ? แกวา กลาวหรอื ยดึ มั่นอัตตา (อาตมัน). การยดึ มั่นวาทะของตน ชอ่ื วา อตั ตวาทุปาทาน. อกี อยา งหนง่ึชือ่ วาอตั ตวาทุปาทาน เพราะเปนเหตุยดึ ม่นั เพียงแตว าทะของตนเทานัน้วาเปนอัตตา (อาตมนั ). คาํ วา อตั ตวาทุปาทาน นเี้ ปนช่ือของสกั กายทฏิ ฐมิ วี ตั ถุ ๒๐. นเี้ ปน ขอความสงั เขปในอัตตวาทปุ าทานน.ี้ สวนโดยพสิ ดารอตั ตวาทุปาทานน้ี พึงทราบโดยนัยท่ตี รสั ไวแลว วาบรรดาอุปาทานเหลานั้น อัตตวาทุปาทานเปน ไฉน ? อัตตวาทุปาทานคือ ปถุ ชุ นในพระศาสนานี้ ไมไ ดสดับแลว ไมเห็นพระอริยเจา ท้งั หลายดังน.้ี ตัณหาในคําวา ตณหฺ าสมทุ ยา น้ี เปนปจ จยั ของกามปุ าทานโดยอปุ นสิ สยปจจัย หรอื โดยอนันตรปจจยั สมนันตรปจจยั นัตถปิ จจัยและอาเสวนปจ จยั แตเปนปจจัยของอุปาทานท่เี หลอื คอื แมโ ดยเปนสหชาตปจ จัยเปน ตนบาง คาํ ท่ีเหลอื มีนยั ดังกลาวแลวนัน้ แหละ ดงั น.้ี จบ กถาพรรณนาอุปทานวาระ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 594 กถาพรรณนาตณั หาวาระ ตณั หา ๑๐๘ [๑๒๑] พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในตณั หาวาระ (ตอ ไป) :- ตณั หาทเ่ี ปนไปแลว โดยชวนวถิ ี มีชื่อตามอารมณท ่ีคลายกับบิดา(ผใู หเ กิด) วา รูปตัณหา ฯลฯ ธรรมตณั หา เหมือนกบั (คน)มีชื่อตามบิดาในคาํ ทัง้ หลาย มีอาทวิ า เศรษฐบี ุตร พราหมณบุตร เปนตน . ก็ในตัณหาวาระน้ี ตณั หามี ๓ ประการอยา งนี้ คือตัณหาท่ีมรี ูปเปนอารมณค อื ตณั หาในรปู เพราะฉะนน้ั จงึ ชอ่ื วา รปู ตัณหา รปู ตณั หานน้ัเม่ือยนิ ดี เปนไปโดยความเปน กามราคะ ช่ือวา กามตณั หา. เม่อื ยินดี (รปู ) เปนไปอยา งนว้ี า รูปเทย่ี ง คือย่งั ยนื ไดแ กต ิดตอกนั ไป โดยความเปน ราคะท่ีเกดิ รว มกบั สสั สตทฏิ ฐิ ชอ่ื วา ภวตณั หา. เม่อื ยนิ ดี (รปู ) เปนไปอยางนว้ี า รูปขาดสูญ คอื หายไป ไดแ กละโลกน้ไี ปแลว จักไมม ี โดยความเปนราคะเกดิ รวมกบั อจุ เฉททิฏฐิช่อื วา วภิ วตณั หา. และสัททตัณหาเปน ตน ก็เหมอื นกบั รูปตณั หา ฉะนั้น จงึ รวมเปนตณั หาวปิ รติ ๑๘ ประการ. ตณั หาวปิ ริตเหลา นนั้ แจกออกเปน ๑๘ในอายตนะทงั้ หลายมรี ปู ภายในเปน ตน (และ) แจกออกเปน ๑๘ ในอายตนะทง้ั หลายมรี ูปภายนอกเปนตน จึงรวมเปน ๓๖ ประการ. แจกเปน อดีต ๓๖ เปนอนาคต ๓๖ เปนปจจบุ ัน ๓๖ ดวยประการอยางนี้จงึ เปน ตัณหาวปิ รติ ๑๐๘ ประการ. อีกอยา งหนงึ่ ตัณหาวปิ รติ ๑๘ ประการ อาศยั รูปท่เี ปนไปภายใน
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 595เปนตน มีอาทอิ ยางนีว้ า เพราะอาศยั รปู เปน ภายใน มีตัณหาวา เรามีเพราะรปู นี้ (และ) วา เม่ือเรามี เราก็เปนทีป่ รารถนา ฉะน้นั จงึรวมเปน ตัณหา ๓๖ แบงเปน อดตี ๓๖ อนาคต ๓๖ ปจ จุบนั ๓๖โดยประการอยางน้ี รวมเปนตัณหาวิปรติ ๑๐๘ ดงั ที่พรรณนามานแ้ี ล. เม่ือทําการสงเคราะหเขา กันอีก ตัณหาก็มี ๖ หมวดเทาน้นั ในอารมณท งั้ หลายมีรปู เปน ตน ดวยอรรถท่ที า นแสดงไวอ ยางนว้ี า ตัณหามี ๓ อยางเทานนั้ มกี ามตัณหาเปน ตน นักปราชญพ ึงทราบ ตณั หาโดยการสงเคราะหขอความท่พี ิสดารเขา ดวยกันอกี จากขอ ความพิสดารทแี สดงไวแลว ดังน้.ี ก็เวทนาทเ่ี ปนวบิ ากพระเถระประสงคเ อาแลว วา เวทนา ในคําวาเวทนาสมุทยา น.ี้ ถาจะมคี ําถามวา เวทนานั้นเปนปจ จัยแหงตัณหาในทวาร ๖อยา งไร ? ตอบวา เปนปจ จัยเพราะเวทนาเปน สิ่งที่นายินด.ี อธิบายวา เมอื่สัตวท ้ังหลายยดึ มน่ั เวทนาวา เปนของเราอย.ู ดวยความชอบใจสุขเวทนาเขาจะเปนผูยังความทะยานอยากเวทนาใหเกิดข้ึนแลว ยนิ ดแี ลว ดว ยความกําหนัดยินดีเวทนา ปรารถนารปู ท่ีไดเหน็ แลว น่ันแหละ และครัน้ ไดรปู นัน้ แลว กช็ อบใจทั้งทําสกั การะแกชา งเขยี นเปนตน ผใู หอ ารมณ. ในโสตทวารเปนตน ก็เหมอื นกัน สัตวทงั้ หลายยอ มปรารถนาเสยี งเปนตน ซง่ึ เปน ทน่ี าปรารถนาทเี ดยี ว และครั้นไดแ ลว ก็ชอบใจเสยี งเปนตน เหลานั้น ท้งั ทาํ การสักการะ นักดีดพิณ ชา งปรงุ น้าํ หอมชางทอ และผูแ สดงศิลปนานาชนิดเปน ตน .
พระสุตตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 596 เหมอื นอะไร ? เหมือนแมผูรักลกู ทําสกั การะแมนมคอื ใหเขาดื่มและบรโิ ภคเนยใสและนมท่อี รอยเปนตน . เพราะความเสนหาในลกู . ถอ ยคาํ ทเ่ี หลือมนี ัยดงั ท่ีกลาวแลวนนั่ แหละ. จบ กถาพรรณนาตัณหาวาระ กถาพรรณนาเวทนาวาระ [๑๒๒] พงึ ทราบวินจิ ฉยั ในเวทนาวาระ (ตอ ไป) :- หมวดเวทนาช่อื วา เวทนากายะ. คาํ วา จกฺขสุ มผฺ สสฺ ชา เวทนา ฯลฯ มโนสมผฺ สฺสชา เวทนาน้ีเปนชอื่ ของเวทนาทัง้ ทีเ่ ปนกุศลทัง้ ทีเ่ ปนอกุศล และอัพยากฤตทเ่ี ปนไปแลว ในจักษุทวารเปน ตน ตามวตั ถุ (ท่ีตัง้ ) ทีค่ ลา ยแม เหมอื นกบั ชือ่(ของลูก ) ตามแมใ นคําท้ังหลายมอี าทิอยา งนว้ี า สารบี ตุ ร ( ลูกนางสารี)มนั ตานีบุตร (ลูกนางมนั ตาน)ี เพราะมาแลวในคัมภีรวภิ งั คอยา งนว้ี าเวทนาท่เี กิดจากจกั ขุสัมผัสทีเ่ ปนกุศลกม็ ี ที่เปนอกุศลกม็ ี ทเ่ี ปน อพั ยา-กฤตก็มี ในคํามอี าทิวา จกขฺ สุ มผฺ สฺสชา เวทนา น้ี มอี รรถพจนวาเวทนาทเี่ กดิ ขึ้น เพราะจักขสุ มั ผสั เปน เหตุ ช่ือวา จกั ขุสมั ผสั สชาเวทนา.ในทุกทวารมีโสตะเปนตน กท็ ํานองนี้. นีเ้ ปน กถาที่วาดว ยการสงเคราะหเขากนั ทุกอยา ง ในเวทนาวาระนกี้ อน. แตวา เวทนาพงึ ทราบโดยเวทนาทส่ี ัมปยตุ ดวยธรรมเหลา น้นั คอืในจักขุทวารโดยวบิ าก มจี ักขวุ ญิ ญาณ ๒ ดวง มโนธาตุ ๒ ดวง มโน-
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 597วิญญาณธาตุ ๓ ดวง. ในโสตทวารเปนตน กท็ าํ นองนี้. สว นมโนทวารพงึ เขา ใจวา เปน เวทนาสัมปยตุ ดว ยมโนวญิ ญาณธาต.ุ กใ็ นคําวา ผสสฺ สมุทยา นี้ พงึ ทราบวนิ ิจฉยั วา ในทวารทั้ง ๕เวทนาอาศัยวตั ถทุ ัง้ ๕ มีการเกิดข้นึ เพราะจกั ขสุ ัมผสั ทีเ่ กดิ ขึน้ รว มกันเปนตน เกิดขึ้น. จักขุสัมผัสเปนตน จงึ เปน ปจจยั ของเวทนาทเี่ หลอื ท้งั หลายโดยเปน อปุ นิสสยปจจยั เปนตน เวทนาโนตทาลมั พณขณะ. ในมโนทวารและเวทนาในปฏิสนธิขณะ ภวังคขณะและจุติขณะทเ่ี ปน ไปในทวารทั้ง ๖มีการเกิดข้ึน เพราะการเกิดขึ้นแหง มโนสัมผสั ทเ่ี กิดขึ้นรวมกัน. คําท่ีเหลอืมนี ยั ดงั ทก่ี ลา วมาแลวนน่ั แหละ. จบ กถาพรรณนาเวทนาวาระ กถาพรรณนาผัสสวาระ [๑๒๓] พงึ ทราบวนิ ิจฉยั ในผสั สวาระ (ตอ ไป) :- สมั ผสั ในเพราะจกั ษุชื่อวา จักขุสัมผสั . ในทกุ ทวารกท็ ํานองน้.ีและดวยคําเพียงเทา น้ีวา จกฺขสุ มผฺ สฺโส ฯลฯ กายสมผฺ สฺโส เปนอันพระเถระไดกลาวถงึ สมั ผสั ท้งั ๑๐ มวี ัตถุ ๕ ทั้งท่เี ปนกุศลวิบากและอกศุ ลวบิ าก. ดว ยคําวา มโนสมผฺ สโฺ ส นี้ เปน อนั พระเถระไดก ลาวถงึ ผสั สะที่สัมปยตุ ดว ยโลกยิ วิบากทเ่ี หลือ ๒๒ อยา ง. บทวา สฬายตนสมทุ ยา ความวา เพราะอายตนะ ๖ อยา ง มีภิกษเุ ปนตน เกิดขน้ึ ผัสสะแมท ง้ั ๖ อยา งนี้ ก็มีการเกดิ ขึน้ . คําทเี่ หลือมนี ยั ดงั กลาวมาแลวน้นั แหละ. จบ กถาพรรณนาผสั สวาระ
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 598 กถาพรรณนาสฬายตนวาระ [๑๒๔] พงึ ทราบวินิจฉยั ในสฬายตนวาระ (ตอไป) วาอายตนะท้งั หมด ทีค่ วรจะกลา วในคาํ ทั้งหลาย มอี าทวิ า จกฺขายตนมีนัยดังท่ีไดกลา วไวแ ลว ในขันธกนิเทศและอายตนนเิ ทศในคัมภีรว สิ ทุ ธิ-มรรคนนั่ เอง. แตว า ในคาํ วา นามรูปสมทุ ยา นี้ ผูศึกษาพึงทราบการเกิดขน้ึแหงสฬายตนะ เพราะนามรูปเกดิ โดยนยั ทไ่ี ดกลา วไวแ ลว ในนเิ ทศแหง ปฏิจจสมุปบาทในคัมภรี วิสทุ ธิมรรค ดวยสามารถแหงอายตนะท่ีมีรูป(อยางเดียว) และนาม (อยา งเดียว) และท้งั นามท้ังรูปเปนปจ จัย.คาํ ทเ่ี หลอื มีประการดังทก่ี ลาวมาแลวนน่ั แล. จบ กถาพรรณนาสฬายตนวาระ กถาพรรณนานามรูปวาระ [๑๒๕] พงึ ทราบวนิ จิ ฉัยในนานรปู วาระ (ตอไป) :- นามมีการนอมไปเปน ลกั ษณะ. รปู มกี ารสลายไปเปนลกั ษณะ.แตว า ในวาระแหงวิตถารนยั ของนามรปู น้นั พงึ ทราบวา เวทนา ไดแ กเวทนาขนั ธ สญั ญา ไดแกสัญญาขันธ เจตนา ผัสสะ มนสกิ ารุ ไดแ กสังขารขนั ธ. ถึงจะมธี รรมะแมอยางอน่ื ท่ีสงเคราะหเ ขา ดว ยสงั ขารขนั ธก็จรงิ อยู แตธ รรม ๓ อยางนี้ มีอยูในจติ ท่มี ีพลังตาํ่ ทกุ ดวง เพราะฉะนั้นในนามรปู วาระน้ี พระเถระกไ็ ดแ สดงสงั ขารขนั ธไ ว ดว ยอาํ นาจแหง ธรรม๓ อยางเหลา นนี้ ่ันเอง คาํ วา จตฺตาริ ในคําวา จตฺตาริ มหาภูตานิ น้ี เปน การกาํ หนด
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 599การนับ (เปนจํานวนนับ). คาํ วา มหาภตู านิ น้ี เปนช่ือของดนิ นํา้ ไฟ ลม แตเหตทุ ี่เรียกส่งิ ท้งั ๔ น้นั วามหาภูตและนยั แหง การวินจิ ฉัยอยางอน่ื ในนานรปู นี้ทง้ั หมด ไดก ลา วไวแลว ในนเิ ทศแหง รปู ขนั ธใ นคมั ภรี ว ิสทุ ธมิ รรค. สว นคาํ วา จตุนนฺ นคําวา จตนุ นฺ ฺจ มหาภตู าน อปุ าทายเปนฉฏั ฐีวิภตั ติ ใชใ นอรรถแหงทตุ ยิ าวิภตั ติ มีอธิบายวา อาศยั ซึง่มหาภตู ทงั้ ๔. บทวา อปุ าทาย ความวา เขา ไปยดึ ไว คือจบั ไว. อาจารยบางพวกวา นสิ สฺ าย ( อาศยั ) กม็ .ี ก็ศัพทว า วตตฺ มาน น้ี เปน ปาฐะเหลอื (เกนิ ). อกี อยางหน่ึงคาํ วา วตฺตมาน นี้ เปนฉฏั ฐวี ิภตั ติ ใชในอรรถวา ชุมนุม เพราะเหตุน้ัน พึงทราบอรรถาธิบายนวี้ า รูปที่อาศัยการชมุ นุมมหาภูตรปู ท้งั ๔เปน ไปอยู. เม่อื เปน อยางน้ี แมใ นท่ีทุกแหง มหาภูตรปู ๔ มีปฐวีเปน ตนและรูป ๒๓ อยา ง ท่ีอาศยั มหาภตู ๔ อยางเปนไป ท่ีตรัสไวใ นพระบาลีน่นั เองในคมั ภรี อ ภิธรรม โดยแยกประเภทเปนจกั ขายตนะเปน ตน แมทัง้ หมดพงึ ทราบวา ชือ่ วา รูป. กใ็ นคาํ วา วิ ฺ าณสมุทยา นี้ วิญญาณใดเปนปจ จัยของนาม(อยางเดยี ว) ดวย ของรปู (อยางเดียว ) ดว ย ท้งั ของนามของรูปดวยเพราะฉะนน้ั ดว ยสามารถแหง นาม แหง รูป และทิง้ นามท้งั รูปท่มี ีวิญญาณเปน ปจจยั น้นั ผูศึกษาพงึ ทราบการเกดิ ข้นึ แหง นามรปู เพราะวิญญาณเกิดขน้ึ ตามนยั ทไี่ ดก ลา วไวแ ลวในนิเทศแหง ปฏิจจสมุปบาท
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 600ในคมั ภรี ว สิ ุทธมิ รรคนัน้ เทอญ. คําทเี่ หลอื มนี ยั ดังที่กลา วมาแลว น้ันแหละดงั น้แี ล. จบ กถาพรรณนานามรปู วาระ กถาพรรณนาวิญญาณวาระ [๑๒๖] พึงทราบวนิ ิจฉัย ในวิญญาณวาระ (ตอ ไป) :- วิญญาณในเพราะจกั ษุ ชอ่ื วา จกั ขวุ ญิ ญาณ อีกอยางหนึง่ วิญญาณทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว จากจกั ษุ เพราะฉะน้ัน จึงช่อื วาจกั ษวุ ญิ ญาณ โสตวญิ ญาณฆานวญิ ญาณ ชิวหาวิญญาณ และกายวญิ ญาณ ก็อยางน้ี เหมอื นกนั .แตว ิญญาณนี้ ไดแ กมโนนั่นเอง เพราะฉะนนั้ จงึ ชอื่ วามโนวญิ ญาณ.คาํ วา มโนวญิ ญาณ นี้ เปนช่ือของวิบากจติ ท่ีเปน ไปในภมู ิ ๓ เวน ทวิ-ปญจวิญญาณ. แตใ นคําวา สงขฺ ารสมทุ ยา น้ี ผศู ึกษาพึงทราบการเกดิ ขึ้นแหงวิญญาณ เพราะสังขารเกิด ตามนยั ทไ่ี ดก ลา วไวแลว ในคัมภรี วสิ ทุ ธิมรรคนนั่ เอง โดยวิญญาณท่ีมีสังขารเปน ปจ จยั . คําทเ่ี หลือมีนัยดงั กลา วแลวนัน่ แหละ ดงั นแ้ี ล. จบ กถาพรรณนาวญิ ญาณวาระ กถาพรรณนาสังขารวาระ [๑๒๗] พึงทราบวนิ ิจฉัยในสงั ขารวาระ (ตอ ไป) :- สงั ขารมกี ารปรุงแตงเปน ลกั ษณะ. แตว า ในวาระแหงวติ ถารนยั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 783
Pages: