พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 201(ทฏิ ฐ)ิ กเ็ ปนที่สุดอันหนึง่ และทีส่ ุดของการนบั ทพ่ี ระผมู ีพระภาคเจาตรัสไวอยา งนีว้ า นเ้ี ปนทีส่ ุดแหงทกุ ข เพราะนบั ปจ จัยทกุ อยา งในบรรดาที่สุดทงั้ ๔ อยา งน้นั ภิกษุไดก ระทาํ ทสี่ ดุ ขอ ที่ ๔ โนน แหงวัฏฏทกุ ขท ง้ั ปวงได เพราะความทีแ่ หง มานะอนั ตนเหน็ และละไดด วยอรหตั ตมรรคอยางน.ี้ อธบิ ายวา เธอไดทําการขาดตอน คอื ทาํ ไหหมดไปไดแกท ําทุกขใหเ หลืออยเู พียงรา งกายชาตสิ ุดทาย. บทวา อตฺตมนา เต ภิกขฺ ู ความวา ภกิ ษุเหลาน้ันมีใจเปนของตน คอื มีใจยนิ ดี หรือเปน ผมู ีใจอันสัมปยตุ ดว ยปต ิและโสมนัส. บทวา ภควโต ภาสิต อภินนฺทุ ความวา ภิกษทุ ้ังหลายรับดว ยเศียรเกลาแลว ทูลชมเชยพระพุทธภาษติ คือพระพทุ ธดาํ รสั ทีต่ รสั ดแี ลวไดแกทีท่ รงปราศรยั แลว มกี ารทาํ ทีส่ ุดทุกขเปน ปริโยสานวา พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสซ่ึงคํานี้อยางนี้ พระสุคตเจาตรัสคํานีอ้ ยางน้ี ดงั น.้ี คาํ ทเี่ หลืออนั ใดทข่ี าพเจามไิ ดก ลา วไวใ นที่นี้ ขา พเจา จะไมก ลาวคาํ นน้ั ซํา้ อกี เพราะกลา วไวกอ นแลว และเพราะเขาใจไดงาย เพราะฉะนั้นผูศึกษาพึงพิจารณาคาํ ทัง้ หมดตามลําดับที่ โดยทาํ นองแหงคาํ ที่กลา วแลวเทอญ. จบ อรรถกถาแหง สพั พาสวสงั วรสูตร จบ สูตรที่ ๒
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 202 ๓. ธรรมทายาทสูตร (๒๐) ขา พเจาไดส ดบั มาแลวอยา งนี้ :- สมัยหนง่ึ พระผมู พี ระภาคเจา ประทบั อยู ณ พระวิหารเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรงุ สาวัตถี ณ ท่นี ัน้ แล พระผูม ี-พระภาคเจา ตรสั เรียกภกิ ษทุ ้ังหลายวา ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย. ภกิ ษเุ หลา น้นัทลู รับพระพุทธพจนแลว . (๒๑) พระผมู ีพระภาคเจา ตรัสวา ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เธอทงั้ หลายจงเปน ธรรมทายาท อยาเปน อามิสทายาทของเราตถาคตเลย เราตถาคตมคี วามอนุเคราะหในเธอทั้งหลายอยวู า ทาํ อยา งไรหนอ ? สาวกท้งั หลายของเราตถาคตจึงจะเปน ธรรมทายาท ไมเ ปน อามิสทายาท ดกู อ นภิกษุท้งั หลาย ก็เธอทัง้ หลายจะพงึ เปนอามสิ ทายาท ไมเ ปนธรรมทายาทของเราตถาคต ขอทเ่ี ธอทั้งหลายเปนอามสิ ทายาท ไมเปนธรรมทายาทของเราตถาคตน้ัน จะพงึ เปน เหตุใหถกู วิญชู นตเิ ตยี นเอาไดวา สาวกทงั้ หลายของพระศาสดาพากันเปนอามิสทายาท ไมเปน ธรรมทายาทอยูถงึ เราตถาคตก็คงถกู วิญชู นตเิ ตยี นไดวา สาวกของพระศาสดาเปนอามิสทายาท ไมเ ปนธรรมทายาทอยู ดงั นี.้ ดูกอนภิกษุทัง้ หลาย แตถ าเธอทง้ั หลายพงึ เปน ธรรมทายาท ไมเปน อามิสทายาทของเราตถาคตไซรแมเธอทงั้ หลายจะไมพึงถูกวิญูชนตเิ ตียนวา สาวกท้งั หลายของพระศาสดาเปนธรรมทายาท ไมเปนอามิสทายาทอยู. ถงึ เราตถาคตกค็ งไมถูกวิญูชนติเตียนวา สาวกทัง้ หลายของพระศาสดาเปนธรรมทายาท ไมเปน
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 203อามิสทายาทอยู ดูกอนภกิ ษทุ ง้ั หลาย เพราะเหตนุ ัน้ แล เธอทงั้ หลายจงเปนธรรมทายาทของเราตถาคตเถิด อยา เปนอามิสทายาทเลย เราตถาคตมีความอนุเคราะหในเธอทง้ั หลายอยวู า ทาํ อยางไรหนอ? สาวกท้งั หลายของเราตถาคตจึงจะเปนธรรมทายาท ไมเปนอามิสทายาท. ธรรมทายาทและอามสิ ทายาท (๒๒) ดูกอนภิกษุท้งั หลาย เราตถาคตฉนั เสรจ็ แลว หา มภตั รแลวเสร็จบรบิ รู ณแลว อิม่ แลว เพียงพอแกความตอ งการแลว แตบ ณิ ฑบาตของเราตถาคตยังมเี หลืออยู มอี นั จะตอ งทง้ิ เปน ธรรมดา. เวลานนั้ ภกิ ษุ๒ รปู ถูกความหวิ และความออ นเพลยี ครอบงําแลว หิวโหยมาก พากนั มาเราพึงกลาวกะเธอทั้งหลายนัน้ อยางนีว้ า ดกู อนภกิ ษทุ ั้งหลาย เราตถาคตฉนั เสร็จแลว หามภัตรแลว เสร็จบรบิ รู ณแ ลว อ่ิมแลว เพียงพอแกค วามตองการแลว แตบ ิณฑบาตน้ขี องเราตถาคตยังมีเหลืออยู มีอันจะตองทิง้ เปนธรรมดา ถา เธอทงั้ หลายประสงคจ ะฉนั ก็จงฉันเถิด ถา เธอท้งั หลายไมป ระสงคจะฉนั ก็อยาฉนั เราจักท้ิงเสียในทีท่ ปี่ ราศจากของเขียวสด หรอื จักเทเสยี ในนา้ํ ท่ีไมม ีตัวสัตว ณ บัดน.ี้ ภิกษผุ เู ปนธรรมทายาท บรรดาภิกษุ ๒ รปู รปู หนึง่ มคี วามคดิ อยางนี้วา พระผมู พี ระภาคเจา เสวยเสร็จแลว หา มภตั รแลว เสรจ็ บริบรู ณแลว ทรงอิม่ แลว พอพระประสงคแลว ก็บณิ ฑบาตของพระผูม พี ระภาคเจาน้ียังมเี หลอื อยู มอี นั จะตอ งทิง้ เปน ธรรมดา ถา เราท้งั หลายจักไมฉัน พระผมู พี ระภาคเจา ก็จกั
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 204ทรงทิ้งในท่ที ี่ปราศจากของเขยี วสด หรอื จักทรงเทเสยี ในน้ําที่ไมม ตี ัวสัตวณ บัดนี้ แตพ ระผูม พี ระภาคเจาตรัสสอนไวว า ดกู อ นภกิ ษทุ ้งั หลายเธอทัง้ หลายจงเปนธรรมทายาทของเราตถาคตเถิด อยา เปน อามิสทายาทเลย กบ็ ณิ ฑบาตนเ้ี ปนอามิสทายาทอยา งหนึ่ง อยากระนน้ั เลย เราจะไมฉันบณิ ฑบาตน้ี จะปลอยวันคืนน้ันใหล ว งไปอยางน้ี ทงั้ ทย่ี งั มคี วามหวิและความออนเพลยี อยนู ้ันแหละ. ภกิ ษผุ เู ปนอามิสทายาท สว นภิกษรุ ปู ที่ ๒ มคี วามคดิ อยา งนี้วา พระผูมพี ระภาคเจาเสวยเสร็จแลว หา มภัตรแลว เสร็จบรบิ ูรณแลว ทรงอ่ิมแลว พอพระประสงคแลว ก็บิณฑบาตของพระผูมีพระภาคเจาน้ี ยิง่ มีเหลอื อยูมีอันจะตองท้ิงเปนธรรมดา ถาเราทั้งหลายไมฉ นั พระผูมีพระภาคเจาจักทรงท้ิงในที่ทป่ี ราศจากของเขียวสด หรือจกั ทรงเทเสยี ในนํ้าที่ไมม ีตวั สตั วณ บดั นี้ อยา กระนนั้ เลย เราควรฉันบณิ ฑบาตนี้ บรรเทาความหิวและความออนเพลยี แลวปลอ ยวนั คนื นนั้ ใหลว งไปอยา งน.ี้ เธอจึงฉนับณิ ฑบาตนัน้ บรรเทาความหวิ และความออ นเพลยี แลวปลอ ยวนั คนื นั้นใหลวงไปอยา งน้.ี ดกู อนภิกษุทง้ั หลาย ภิกษนุ ัน้ แมจ ะฉันบิณฑบาตน้นั บรรเทาความหวิ และความออนเพลีย แลวปลอยวนั คนื น้นั ใหลวงไปอยา งน้ีก็จริงถงึ อยางนั้น ภิกษรุ ปู แรกโนน แหละ ของเราตถาคตเปน ผูควรบชู า ควรสรรเสริญมากกวา. ขอนนั้ เพราะเหตอุ ะไร ? ดกู อนภกิ ษุท้ังหลายเพราะขอน้ันจกั เปน ไปเพ่อื ความมักนอย สันโดษ ขดั เกลา เลย้ี งงาย ปรารภ
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 205ความเพียร แกภ ิกษุนั้น ส้นิ กาลนาน. ดูกอนภิกษทุ ั้งหลาย เพราะเหตุน้นั แล เธอทงั้ หลายจงเปน ธรรมทายาทของเราตถาคต อยาเปนอามสิ ทายาทเลย เราตถาคตมีความอนเุ คราะหใ นเธอทัง้ หลายวา ทาํอยางไรหนอ สาวกท้งั หลายของเราตถาคตจงึ จะเปนธรรมทายาท ไมเ ปนอามสิ ทายาท พระผูมพี ระภาคเจาไดต รสั พระพทุ ธพจนน แี้ ลว พระสคุ ตเจา ครั้นตรัสพระพุทธพจนน้แี ลว จึงเสด็จลุกจากอาสนะเขาสูพ ระวิหาร. พระสารบี ุตรอธิบาย (๒๓) ครัง้ น้ัน เมอื่ พระผมู พี ระภาคเจาเสดจ็ หลกี ไปไมนานทา นพระสารีบตุ รเถระ จึงเรยี กภิกษุท้ังหลายมาวา ดกู อนทานผมู อี ายุทั้งหลาย. ภกิ ษุเหลา นน้ั รบั คําทา นพระสารีบตุ รเถระวา ขอรับ ดงั นี.้ทา นพระสารบี ุตรเถระไดกลาวคาํ นี้วา ดกู อ นทานผูมีอายุทั้งหลาย เมื่อพระศาสดาประทบั อยอู ยางผูสงดั แลว สาวกท้งั หลายยอ มไมศ กึ ษาความสงดั วาม ดว ยเหตมุ ีประมาณเทา ไรหนอแล ? ก็แล เมือ่ พระศาสดาประทับอยอู ยางผสู งัดแลว สาวกท้งั หลายยอมศกึ ษาความสงดั ตาม ดว ยเหตุมปี ระมาณเทา ไรหนอแล? ภิกษเุ หลาน้ันเรยี นวา อาวโุ ส แมผมท้ังหลายกม็ าแตท ไี่ กล เพอื่จะทราบเน้ือความแหง ภาษติ ขอนี้ ในสาํ นักทานพระสารบี ตุ รเถระ ขอโอกาสเถิดครบั เน้ือความแหง ภาษิตขอ นีค้ งแจมแจงเฉพาะทานพระสารบี ตุ รเถระองคเดียว ภกิ ษุทัง้ หลายไดสดับตอทานพระสารบี ตุ รเถระแลว จักทรงจาํ ไว. ทา นพระสารบี ุตรเถระจึงกลาววา ดูกอนทา นผมู ี-
พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 206อายุท้งั หลาย ถา อยา งนัน้ ทานท้งั หลายจงตั้งใจฟง ใหด ี ผมจกั กลา ว.ภกิ ษเุ หลา นนั้ ตอบรับคําทานพระสารบี ุตรเถระวา อยางน้ันขอรบั . อามิสทายาทถูกตําหนดิ วยเหตุ ๓ สถาน (๒๔) ทา นพระสารบี ตุ รไดก ลาวคํานี้วา ดกู อนทา นผูมีอายุท้ังหลาย เม่ือพระศาสดาประทับอยูอยา งผสู งดั แลว สาวกทั้งหลายยอ มไมศกึ ษาความสงัดตาม ดวยเหตมุ ปี ระมาณเทา ไรหนอ ดกู อนทา นผมู ีอายุทั้งหลาย เมื่อพระศาสดาประทบั อยอู ยางผูสงดั แลว สาวกทัง้ หลายในพระธรรมวินยั น้ี ไมศึกษาความสงดั ตาม คอื ไมละธรรมท้ังหลายท่พี ระศาสดาตรัสใหล ะ เปนผูมักมาก (ดวยปจจัยลาภ) และเปนผยู อ หยอ นตกอยใู นอํานาจนิวรณ ๕ ทอดธรุ ะในความสงัด. ดูกอ นทา นผมู ีอายทุ ัง้หลาย บรรดาภิกษุเหลานน้ั ภกิ ษผุ ูเ ถระเปน ผอู นั วญิ ูชนพึงติเตียนไดดว ยเหตุ ๓ สถาน คอื ภกิ ษผุ ูเถระทง้ั หลายเปน ผอู นั วิญูชนพึงตเิ ตยี นไดดว ยเหตสุ ถานที่ ๑ น้วี า เมอ่ื พระศาสดาประทับอยอู ยางผสู งัดแลวพระสาวกทั้งหลายไมศ กึ ษาความสงดั ตาม ภิกษผุ ูเถระท้งั หลายเปน ผอู นัวญิ ชู นพึงตเิ ตียนไดดว ยเหตสุ ถานที่ ๒ น้วี า (สาวกทง้ั หลาย ) ไมละธรรมท้งั หลายท่พี ระศาสดาตรัสใหล ะ และภกิ ษุผูเถระทง้ั หลาย เปนผูอนั วญิ ูชนพงึ ตเิ ตียนไดดว ยเหตสุ ถานท่ี ๓ น้ีวา สาวกทงั้ หลายเปน ผูมักมาก (ดว ยปจ จัยลาภ ) ยอหยอน ตกอยูในอํานาจนวิ รณ ๕ ทอดทงิ้ธุระในความสงัด. ดูกอ นทา นผมู ีอายทุ งั้ หลาย ภิกษผุ เู ถระเปนผอู ันวญิ ู-ชนตเิ ตยี นไดดวยเหตุ ๓ สถานเหลานี้. ดูกอนทา นผูม ีอายุทัง้ หลาย บรรดาภกิ ษุเหลานน้ั ภิกษผุ ูปานกลาง
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 207ฯลฯ ภิกษุ ฯลฯ ภกิ ษุผยู งั ใหมท ้ังหลายเปน ผอู นั วญิ ูชนตเิ ตียนไดดวยเหตุ ๓ สถาน คอื ภกิ ษผุ ยู ังใหมท ้งั หลายเปน ผอู ันวิญชู นพงึตเิ ตยี นไดดวยเหตุสถานที่ ๑ นว้ี า เม่อื พระศาสดาประทบั อยูอยา งผูสงัดแลว สาวกทงั้ หลายไมศึกษาความสงดั ตาม ภิกษุผูยงั ใหมทั้งหลาย อนัวญิ ูชนพึงตเิ ตยี นไดดว ยเหตุสถานที่ ๒ นว้ี า (สาวกทั้งหลาย) ไมละธรรมทพี่ ระศาสดาตรัสใหละ และภกิ ษุผยู งั ใหมท้ังหลายเปน ผูอันวญิ ชู นพงึ ตเิ ตียนไดด ว ยเหตสุ ถานที่ ๓ นี้วา สาวกทัง้ หลายเปน ผมู ักมากดวย (ปจจัยลาภ) และเปนผูยอหยอ น ตกอยูในนิวรณ ๕ ทอดทง้ิ ธุระในความสงัด. ดกู อ นทานผูมอี ายุทง้ั หลาย ภกิ ษผุ ยู งั ใหมเปน ผูอนั วญิ ชู นพึงตเิ ตียนไดดวยเหตุ ๓ สถานเหลานี.้ ดูกอนทานผูมอี ายทุ ัง้ หลาย เมอ่ื พระศาสดาประทับอยอู ยา งผูสงัดแลว สาวกทั้งหลายชอื่ วาไมศึกษาความสงดั ตาม ดว ยเหตเุ พียงเทา น้ีแล. ธรรมทายาทไดรับสรรเสรญิ ดว ยเหตุ ๒ สถาน (๒๕) ดูกอนทา นผูมีอายทุ ง้ั หลาย กเ็ มอ่ื พระศาสดาประทับอยูอยางผสู งัดแลว สาวกทัง้ หลายยอ มศกึ ษาความสงัดตาม ดวยเหตมุ ีประ-มาณเทาไร ? ดูกอนทา นผูมอี ายทุ ้งั หลาย เมื่อพระศาสดาประทับอยอู ยางผสู งดั แลว สาวกทัง้ หลายในพระธรรมวินัยน้ี ยอ มศกึ ษาความสงดั ตามคอื (สาวกท้งั หลาย) ยอ มละธรรมทง้ั หลายที่พระศาสดาตรสั ใหละไมเ ปน ผูม ักมาก (ดวยปจจยั ดว ยลาภ) ไมเ ปน ผูยอหยอ น ไมต กอยูในอาํ นาจนิวรณ ๕ มีใจนอ มไปในความสงัด. ดกู อนทานผมู ีอายุทั้งหลาย บรรดาภิกษุเหลา นั้น ภิกษุผเู ถระ อนั
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 208วญิ ชู นพึงสรรเสรญิ ดวยเหตุ ๓ สถาน คอื ภิกษุผเู ถระเปนผูอ ันวิญชู นพึงสรรเสริญดว ยเหตุสถานท่ี ๑ น้ีวา เม่อื พระศาสดาประทบั อยูอ ยา งผสู งัดแลว สาวกทงั้ หลายศึกษาความสงัดตาม ภิกษุผเู ถระเปนผอู ันวญิ ูชนพึงสรรเสรญิ ดว ยเหตสุ ถานท่ี ๒ นีว้ า สาวกทงั้ หลายยอมละธรรมทั้งหลายท่พี ระศาสดาตรัสใหละ ภกิ ษผุ เู ถระท้งั หลายเปนผอู นั วิญชู นพงึ สรรเสริญดวยเหตุสถานท่ี ๓ น้วี า สาวกทงั้ หลายไมเปนผมู ักมาก ไมเปน ผยู อหยอน ไมตกอยใู นอาํ นาจนิวรณ ๕ มใี จนอ มไปในความสงดั .ดกู อนทา นผูมีอายุทัง้ หลาย ภิกษุผเู ถระเปนผูอ ันวิญูชนพงึ สรรเสริญดวยเหตุ ๓ สถานเหลาน้.ี ดกู อ นทานผมู ีอายุทง้ั หลาย บรรดาภกิ ษุเหลานั้น ภิกษทุ ้ังหลายผูปานกลาง ฯลฯ ภิกษทุ ง้ั หลายผูยังใหม เปนผูอนั วญิ ชู นพงึ สรรเสรญิดวยเหตุ ๓ สถาน คอื ภิกษผุ ยู ังใหมท ้งั หลายเปนผูอนั วิญชู นพึงสรร-เสริญดว ยเหตสุ ถานที่ ๑ น้วี า เมือ่ พระศาสดาประทบั อยูอยา งผูสงัดแลวสาวกท้ังหลายศกึ ษาความสงัดตาม ภิกษผุ ูยงั ใหมท ั้งหลายเปน ผอู นั วญิ ูชนพงึ สรรเสริญดวยเหตสุ ถานที่ ๒ น้วี า (สาวกทงั้ หลาย) ละธรรมทั้งหลายที่พระศาสดาตรัสใหละ และภิกษผุ ใู หมท ้ังหลายเปน ผูอันวญิ ูชนพงึ สรรเสริญดว ยเหตสุ ถานท่ี ๓ น้วี า สาวกทัง้ หลายไมเปนผูมักมาก( ดว ยปจจยั ลาภ ) ไมต กอยูในอาํ นาจนิวรณ ๕ มีใจนอ มไปในความสงดั .ดกู อ นทา นผูมอี ายุท้ังหลาย ภกิ ษผุ ูย งั ใหม อันวญิ ชู นพึงสรรเสรญิ ดว ยเหตุ ๓ สถานเหลา นี้. ดูกอ นทานผมู ีอายุท้งั หลาย เมอื่ พระศาสดาประทับอยอู ยางผูสงดัแลว สาวกท้งั หลายชอ่ื วาศึกษาความสงัดตาม ดว ยเหตุเพยี งเทานแ้ี ล.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 209 มัชฌิมาปฏปิ ทา [๒๖] ดกู อนทา นผูมอี ายทุ ั้งหลาย บรรดาธรรมดังกลาวแลวนน้ัโลภะ และ โทสะ เปนธรรมลามก แตมชั ฌิมาปฏิปทา เพอ่ื ละโลภะและโทสะ มอี ยู เปน ธรรมทําใหเกิดดวงตา ทําใหเกดิ ญาณ ยอ มเปนไปเพ่อื ความสงบระงบั เพ่อื ความรูย่งิ เพื่อตรัสรู เพ่อื พระนพิ พาน. ดกู อ นทานผมู ีอายุทงั้ หลาย กม็ ชั ฌิมาปฏิปทาน้นั ที่เปนธรรมทาํ ใหมีดวงตาทําใหเกิดญาณ ยอ มเปนไปเพอ่ื ความสงบระงบั เพื่อความรูยิ่ง เพือ่ ตรัสรูเพ่ือพระนิพพาน คืออะไร ? คอื อรยิ มรรคมีองค ๘ นเี้ อง ไดแกความเห็นชอบ ความดาํ รชิ อบ การเจรจาชอบ การงานชอบ การเลีย้ งชีพชอบ ความพยายามชอบ ความระลึกชอบ ความตั้งใจชอบ. ดูกอนทา นผมอี ายทุ งั้ หลาย มัชฌมิ าปฏปิ ทาน้นี ้นั แล เปน ธรรมทาํ ใหเกิดดวงตาทาํ ใหเ กดิ ญาณ เปน ไปเพอื่ ควานสงบระงับ เพื่อความรยู ิ่ง เพ่ือตรสั รูเพื่อพระนิพพาน. ดกู อนทานผมู ีอายุทัง้ หลาย บรรดาธรรมดังกลา วแลวนัน้ ความโกรธและความผูกโกรธ เปนธรรมลามก . . .ความริษยา และความตระหนี่เปน ธรรมลามก . . . มายาและความโออวด เปนธรรมลามก . . .ความหัวดอ้ืและความแขงดี เปน ธรรมลามก . . . ความถือตวั และความดหู ม่นิ เปนธรรมลามก . . . ความเมาและความเลนิ เลอ เปน ความลามก แตมชั ฌิมาปฏิปทาเพ่ือละความเมาและความเลนิ เลอมีอยู เปนธรรมทาํ ใหเ กดิ ดวงตาทําใหเกิดญาณ ยอ มเปนไปเพอื่ ความสงบระงบั เพ่ือความรูย ง่ิ เพ่อื ตรัสรูเพ่ือพระนิพพาน. ดูกอนทา นผมู อี ายทุ ง้ั หลาย มัชฌมิ าปฏปิ ทานั้น เปน
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 210ธรรมทาํ ใหเ กดิ ดวงตา ทําใหเกิดญาณ ยอ มเปน ไปเพอ่ื ความสงบระงบัเพอ่ื ความรยู ่ิง เพอ่ื ตรัสรู เพื่อพระนิพพาน คืออะไร คอื อรยิ มรรคมอี งค ๘ นแ้ี ล ไดแ กค วามเหน็ ชอบ ความดาํ ริชอบ การเจรจาชอบการงานชอบ การเลี้ยงชพี ชอบ ความพยายามชอบ ความระลกึ ชอบ ความตงั้ ใจชอบ. ดูกอ นทา นผูม ีอายทุ ้ังหลาย มชั ฌิมาปฏปิ ทาน้ีแล เปน ธรรมทําใหเ กดิ ดวงตา ทาํ ใหเกิดญาณ ยอมเปนไปเพ่ือความสงบระงับ เพื่อความรยู ิ่ง เพ่อื ตรสั รู เพอื่ พระนิพพาน. ทา นพระสารบี ตุ รไดกลาวภาษิตน้ีแลว ภิกษเุ หลานัน้ มใี จชื่นชมยินดภี าษติ ของทา นพระสารบี ุตร ฉะน้ันแล. จบ ธรรมทายาทสูตร ท่ี ๔
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 211 อรรถกถาธรรมทายาทสูตร เหตเุ กดิ พระสตู ร [๒๐] ธรรมทายาทสตู รมีคําเร่ิมตนวา เอวมเฺ ม สตุ . ก็เพราะเหตทุ ธ่ี รรมทายาทสูตรนัน้ พระผูมีพระภาคเจาทรงยกข้ึนแสดงตามท่มี ีเรอื่ งเกิดขึน้ ฉะนน้ั ขาพเจา (พระอรรถกถาจารย) จกั แสดงเหตเุ กดิ พระสูตรนั้นแลว จงึ จะกระทําการขยายความพระสตู รนน้ั ไปตามลําดบั บท. ถามวา กธ็ รรมทายาทสูตรน้ีพระผูม ีพระภาคเจาทรงยกขน้ึ แสดงเพราะมเี ร่อื งอะไรเกิดข้นึ เลา ? ตอบวา เร่ืองลาภสักการะ. ดงั ไดส ดับมาวา ลาภสกั การะเปน อนั มากเกิดข้ึนแกพระผมู พี ระ-ภาคเจา โดยที่ไดท รงสงั่ สมทานบารมใี หบริบรู ณแลวดงั ๔ อสงไขย-เปนความจรงิ (เพราะ) พระบารมที ุกขอ เปนเหมือนมาจบั กลุม (ตกลงกัน) วา จักใหผ ลในอัตภาพเดียวกนั น้ีแหละ ดงั นี้แลว ใหบงั เกดิ เปนหว งน้าํ ใหญค อื ลาภสกั การะ ประดจุ มหาเมฆทจ่ี บั กลุมกันเปน คู ๆ กอตวัขึน้ ในทุกทศิ แลว ( ตกลงมา ) ใหบ ังเกิดเปนหวงน้ําใหญฉะนนั้ . ประชาชนตา งวรรณะมีกษัตริยแ ละพราหมณเ ปน ตนมมี อื ถอื ขาว น้าํยาน ผา พวงดอกไม ของหอม และเคร่อื งไลทาเปน ตนมาจากทน่ี ้นั ๆ( ที่ตา ง ๆ กนั ) แลวพากนั ถามหาพระผมู พี ระภาคเจาวา พระพุทธเจาประทับอยูทไี่ หน ? พระผมู พี ระภาคเจา ประทับอยูท่ไี หน ? พระผูเปนเทพของเทพ พระผูเ ปน นระผอู าจหาญ พระผูเปนบรุ ุษประดจุ ราชสหี
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 212ประทบั อยูท่ไี หน ? ประชาชนเหลา น้ันแมใชเกวยี นตง้ั หลายรอยเลม บรรทกุ ปจ จัยมา เม่อืยงั ไมไ ดโ อกาสเขาเฝาก็จะจอดเกวียนคอยเรียงรายตดิ กันโดยรอบ กนิ เนอ้ืทเี่ ปน คาวตุ เชน อนั ธกวนิ ทพราหมณเปนตน เปนตัวอยาง. รายละเอียดทง้ั หมด นกั ศกึ ษาจะพงึ ทราบได ตามนยั ทมี่ าแลว ในขันธกะ (หมวด )และในสูตรน้ัน. และพระผมู ีพระภาคเจามลี าภสกั การะเกดิ ขึน้ มากฉนั ใด พระภกิ ษุสงฆกม็ ฉี ันนนั้ เหมอื นกันแล. ขอน้สี มดวยคําอางท่ีพระอานนทเถระกลา วไวดงั นว้ี า ก็ในสมยั นนั้ แล พระผมู ีพระภาคเจา เปนผูอ นั มหาชนถวายสกั การะแสดงความเคารพนับถือบูชานอบนอ ม ( และ ) ทรงไดร ับจีวรบณิ ฑบาตเสนาสนะและคิลานปจจัยเภสชั บริขารอยเู ปน ประจาํ ฝายภกิ ษุสงฆแล ( ก็เชนกนั ) คอื เปนผูอันมหาชนถวายสักการะ ฯ ล ฯ(และ) ไดรับ...............บริขารอยปู ระจํา. พระผูมพี ระภาคเองก็ตรสั ไวเ หมอื นกันวา ดูกอ นจุนทะ หมูหรือคณะที่อบุ ัติขึน้ โนโลกในบดั นี้ มอี ยูจํานวนเทา ใด (บรรดาหมหู รอื คณะเหลานน้ั ) หมหู รอื คณะอืน่ แมแตหมหู น่ึง ตถาคตกย็ งั มองไมเหน็ เลยท่จี ะไดรับลาภอันเลศิ และยศอนั เลศิ เหมอื นกับหมูภกิ ษุ นะจุนทะ ลาภสักการะน้นี น้ั ทเี่ กดิ ข้นึ แกพระผูม ีพระภาคเจา และภกิ ษุสงฆ รวมกันแลวเปน ของประมาณไมไ ด เหมอื นนา้ํ ของแมน ้ําใหญ ๒ สายทไ่ี หลมารวมเปนสายเดยี วกันกเ็ ปน ของประมาณไมไดฉะนนั้ . ภิกษทุ ั้งหลายไดก ลายเปน ผหู นักในปจ จัย ตดิ ในปจ จยั หมกมุนในปจจัย ตามลําดับ แมเ ม่ือเวลาหลังภตั ร ( หลงั ฉนั อาหารแลว ) เม่อื
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 213ประชาชนนาํ ไทยธรรม มนี ํา้ มัน นา้ํ ผึ้ง และนํา้ ออ ยเปนตน มาถวายภิกษุเหลานั้นครน้ั เคาะระฆงั แลว กส็ ง เสียงเอด็ อึงวา ถวายแกอาจารยของอาตมานะ ถวายแกอปุ ชฌายของอาตมานะ และพฤติกรรมน้นั ของภกิ ษเุ หลานั้นกไ็ ดปรากฏ (ลว งร)ู ถงึ พระผมู พี ระภาคเจา ลาํ ดับนน้ั พระผูม ีพระภาคเจา ทรงเกดิ ธรรมสงั เวชวา ชา งไมเหมาะเอาเสียเลย แลว ทรงดาํ รวิ า ตถาคตไมสามารถจะบญั ญตั สิ ิกขาบท (หา ม) วา ปจจัยเปน ของไมสมควร เน่ืองจากการบําเพญ็ สมณธรรมของกลุ บุตรทั้งหลายตอ งอาศัยปจจัย แตเ อาเถอะตถาคตจักแสดงธรรมทายาทปฏปิ ทา ( ขอปฏิบัติของผูเปนธรรมทายาท) ซ่ึงกจ็ กั เปน เหมอื นการบัญญัติสิกขาบทแหงกุลบตุ รทงั้ หลายผใู ครต อการศึกษา และจกั เปน เหมอื นกระจกสาํ หรับสองดูไดท ว่ัตัวที่ตดิ ต้ังไวท ่ีประตเู มอื ง. อธบิ ายวา ประชาชน ๔ วรรณะ เห็นเงา (รูป) ของตนในกระจกสําหรบั สอ งดไู ดท่ัวตัวซ่ึงติดตง้ั ไวท่ปี ระตูเมอื ง ยอ มขจัดโทษ (สิง่ทท่ี าํ ใหห มดความสวยงาม ) แลวกลับกลายเปน ผไู มมโี ทษฉนั ใด กุลบตุ รท้ังหลาย ผูใครตอการศึกษาก็ฉันนัน้ เหมอื นกนั (คอื ) ประสงคจ ะประดบั ประดาตนดวยเครอ่ื งประดับคือความเพียร มานอ มนกึ ถึงเทศนาซึง่อปุ มาดว ยกระจกสอ งดูไดท่ัวตัว แลว ตางพากนั ละเวน อามิสทายาทปฏิปทาหันมาบําเพญ็ ธรรมทายาทปฏปิ ทา ก็จกั ( สามารถ ) ทาํ ชาตชิ รามรณะใหส้นิ สดุ ไปไดโ ดยฉับพลันทเี ดยี ว พระผมู ีพระภาคเจา ไดตรสั พระสูตรนไ้ี วก็เพราะมีเรอ่ื งอยา งน้ีเกิดขน้ึ .
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 214 ธรรมทายาท และอามสิ ทายาท ในพระสตู รนน้ั พระดํารัสทว่ี า ดกู อ นภิกษุทั้งหลาย เธอท้งั หลายจงเปนธรรมทายาทของตถาคตเถิด อยาเปนอามิสทายาทเลย ดังน้ี มีคําอธบิ ายวา ดูกอนภกิ ษทุ ั้งหลาย ขอเธอทงั้ หลายจงเปนทายาทแหงธรรมของตถาคตเถดิ อยา เปน ทายาทแหงอามิสเลย คือ ธรรมะของตถาคตอันใดขอเธอทง้ั หลายจงเปน ผูรบั ไวซ ึ่งธรรมะอันนั้นเถิด สวนตถาคตมอี ามิสใดแล ของเธอทั้งหลายอยารบั ซง่ึ อามิสนัน้ เลย. ในพระดาํ รัสนัน้ แมธ รรมกม็ อี ยู ๒ อยา ง คอื นปิ ปรยิ ายธรรม(ธรรมโดยตรง) ๑ ปริยายธรรม (ธรรมโดยออ ม) ๑ ฝายอามสิ ก็มีอยู ๒ อยา ง (เชนกนั ) คอื นิปปริยายอามสิ (อามสิ โดยตรง) ๑ปริยายอามสิ (อามิสโดยออม) ๑. ทง้ั ธรรมและอามิสน้ัน มอี ธิบายเปน อยา งไร ? มีอธิบายวา โลกตุ ตรธรรมทงั้ ๙ อยา งซึ่งแยกประเภทเปน มรรค(๔) ผล (๔) และนิพพาน (๑) ชอื่ วา นิปปริยายธรรม คอื ธรรมท่ีผูปฏิบัตใิ หบ ังเกดิ (กบั ตนไดโดยตรง) ทีเดยี ว ไมใชเ ปน ธรรมโดยปริยาย (โดยออ ม) คือ โดยเหตุหรือโดยเลสอะไร. สว ยกศุ ลที่องิ อาศยัววิ ัฏฏะ (นพิ พาน) น้ี เชนคนบางคนในโลกน้ีปรารถนาอยูซง่ึ ววิ ัฏฏะจึงใหทาน สมาทานศีล รกั ษาอโุ บสถ ทําการบูชาพระรตั นตรยั ดวยสักการะท้งั หลายมเี ครือ่ งหอมและพวงดอกไมเปนตน ฟงธรรม (และ)แสดงธรรม ทําฌานและสมาบตั ิใหบ งั เกดิ เขาทําอยยู า งน้ี ยอ มไดนิปปรยิ ายธรรม คืออมตนพิ พานโดยลําดบั . กธ็ รรมดังวามาน้แี หละซอ่ื วา ปริยายธรรม.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 215 ปจจยั ๔ จีวรเปน ตน ก็ทาํ นองนน้ั ชอ่ื วานิปปรยิ ายอามสิ แทท ีเดยี วไมใชเปนอามิสเพราะปริยายอยา งอ่ืน หรือเพราะเลสอยา งอ่นื เลย สว นกุศลทน่ี าํ ไปสูว ัฏฏะ (ภพ ๓) นี้ เชน คนบางคนในโลกน้ีปรารถนาวัฏฏะมงุ หมายภพท่มี ีสมบัติ (พรอมมลู ) จงึ ใหทาน ฯ ล ฯ ทําสมาบตั ใิ หบังเกดิ เขาทําอยูอยา งนี้ ยอ มไดเ ทวสมบตั ิมนษุ ยส มบตั โิ ดยลําดบั กุศลดงั วามานี้ ช่ือวาปริยายอามิส. ในเรอื่ งธรรมและอามิสนน้ั ( มอี ธิบายเพ่ิมเติมอีกวา ) แมน ิปปร-ิยายธรรมกช็ ่ือวา เปนธรรมของพระผูมพี ระภาคเจา เนือ่ งจากวา เพราะธรรมน้ันพระผูมพี ระภาคเจา ตรสั สอนไว ภิกษทุ ้ังหลายจึงไดบ รรลุมรรคผล และนิพพาน ขอนี้สมดวยคําอางท่ีมกี ลา วไวดงั นวี้ า พราหมณก็พระผมู พี ระภาคเจานน้ั ทรงยังมรรคท่ียังไมอุบตั ิใหอ ุบตั ขิ ึ้น ทรงยงัมรรคท่ียงั ไมเ กดิ ใหเ กดิ ข้ึน ฯ ล ฯ สว นพระสาวกท้งั หลายในบัดน้มี าทหี ลังดาํ เนินไปตามมรรค ( ทพ่ี ระผมู พี ระภาคเจา ใหอ บุ ตั แิ ลว ) อยู ดังนี้และวา ดกู อนอาวโุ ส พระผูม พี ระภาคเจานัน้ เมื่อ ( ทรงมีพระประสงค)จะทรงทราบก็ทราบได เมือ่ ทรง (มีพระประสงค ) จะเหน็ ก็เห็นไดพระองคทรงมีพระจกั ษุ ทรงมพี ระญาณ ทรงมีธรรม ทรงเปนพรหมทรงเปน ผบู อกกลาว ทรงเปนผนู อมนําไปสูประโยชน ทรงประทานอมตะ ทรงเปนธรรมสามี เปนพระตถาคต. แมป รยิ ายธรรมกช็ ื่อวาเปน ของพระผูมพี ระภาคเจาโดยแท เน่ืองจากวาเปนเพราะพระผมู พี ระภาคเจา ตรสั สอนไว สาวกทั้งหลายจงึ รูอยา งนีว้ า คนผปู รารถนาววิ ฏั ฏะแลว ใหท าน ฯลฯ ทําสมาบัติใหบงั เกิดไดนพิ พานอนั เปน อมตะโดยลาํ ดับ.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 216 ฝา ยนปิ ปริยายอามิสก็ชื่อวาเปน ของพระผมู พี ระภาคเจาเหมือนกนั .เน่อื งจากวาเปน เพราะพระผมู พี ระภาคเจา ทรงอนญุ าตไวน นั่ เอง ภิกษุทงั้ หลายจงึ ไดจ วี รอนั ประณีต เพราะทรง (ปรารภ) เรือ่ งหมอชีวกเปนตัวอยา ง พระผูมพี ระภาคเจา เองกต็ รสั ไวเปนหลักฐานดงั นี้วา ดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย ตถาคตอนุญาตคหบดจี ีวร (จีวรทคี่ หบดีถวาย) ภิกษรุ ปูใดปรารถนา (จะสมาทานหรือครองผา บงั สกุ ุลเปนวตั ร) กจ็ งเปนผูถอืครองผา บงั สุกุลเปนวตั รไปเถิด ภกิ ษรุ ปู ใดปรารถนาคหบดีจีวร ก็จงยินดีคหบดีจวี รไปเถิด ภกิ ษุทง้ั หลาย แตวา ตถาคตสรรเสริญความสนั โดษดว ยจีวรตามได นะ. อนง่ึ ในกาลกอ น ภกิ ษุท้ังหลายยังไมไดบ ณิ ฑบาตอัน ประณีต จงึไดสรรเสรญิ คําขา วทีแ่ สวงหาดว ยลําแขงโดยการเที่ยวไปตามลาํ ดับตรอกเทานั้น เปน เพราะพระผมู พี ระภาคเจาเมื่อประทบั อยูในกรุงราชคฤหไดทรงอนญุ าตไวเองอยางนวี้ า ดูกอนภกิ ษุท้ังหลาย ตถาคตอนุญาตสงั ฆภัตรอทุ เทสภตั ร นมิ ันตนภัตร สลากภัตร ปก ขกิ ภตั ร อโุ บสถกิ ภัตร ปาฏ-ิปทกิ ภตั ร ภิกษเุ หลานน้ั ไดโภชนะอนั ประณตี เสนาสนะกท็ าํ นองเดียวกันแมใ นกาลกอน ภกิ ษทุ ง้ั หลายไดอาศัยอยตู ามทีต่ าง ๆ อาทติ ามเงอื้ มเขาทไ่ี มไดตกแตง และตามควงไม (รม ไม) เปนเพราะพระผูมพี ระภาคเจาทรงอนญุ าตไวเ อง อยา งนี้วา ดกู อ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ตถาคตอนญุ าตเสนาสนะ ๕ ชนดิ ภกิ ษุเหลาน้นั จึงไดเสนาสนะเหลานน้ั คอื วหิ าร เพงิปราสาทมียอด ปราสาทไมมยี อด เรอื นโลน และถ้ํา. อนง่ึ ในกาลกอ น ภิกษทุ ัง้ หลายไดใ ชส มอดองดว ยนํา้ มูตรทาํ เปนยา เปนเพราะพระผูมีพระภาคเจา น่นั แหละท่ที รงอนญุ าตไวโ ดยนัยมอี าทิ
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 217อยางนวี้ า ดกู อนภิกษุท้งั หลาย ตถาคตอนุญาตเภสัช ๕ ชนดิ คือ เนยใสเนยขึน้ น้าํ มนั นํา้ ผ้ึง นํา้ ออ ย ภกิ ษเุ หลา นัน้ จึงไดเภสัชนานาชนิด. ถึงปรยิ ายอามิสก็ช่อื วา เปน ของพระผูมีพระภาคเจา เหมือนกนั เนอ่ื งจากวา เปน เพราะพระผมู ีพระภาคเจา ไดตรสั สอนไว สาวกทง้ั หลายจึงรูอยา งนวี้ า คนที่ปรารถนาภพท่ีมสี มบัติ (พรอ มมูล) ใหทาน สมาทานศลี ฯลฯ ทําสมาบัติใหบ ังเกิดแลว ยอมไดปรยิ ายอามิสคือทิพยสมบตั ิมนุษยสมบัติโดยลาํ ดบั . เพราะเหตุท่ที ้ังนิปปริยายธรรม ทงั้ ปริยายธรรม ทงั้ นปิ ปริยายอามิสทั้งปริยายอามิส ชอื่ วาเปน ของพระผูมีพระภาคเจา ทั้งนั้น ฉะนั้น เมอ่ื จะทรงแสดงภาวะที่พระองคทรงเปน เจาของท้งั ในธรรมและอามิสนนั้ พระผมู ี-พระภาคเจา จึงตรัสวาดกู อ นภกิ ษทุ ั้งหลาย เธอท้ังหลายจงเปน ธรรมทายาทของตถาคตเถิด อยาเปนอามิสทายาทเลย อธบิ ายวา ธรรมท้งั ๒ อยา งซง่ึเปนของตถาคตอันใด ขอเธอทั้งหลายจงเปนทายาทแหงธรรมนัน้ เถดิสวนอามิสนนั้ ใด ซ่ึงเปน ของตถาคตเหมอื นกัน ขอเธอทงั้ หลายจงอยาเปนทายาทแหงอามิสนน้ั เลย คอื ขอเธอทัง้ หลายจงเปน เจา ของแตเฉพาะสวนแหง ธรรมเทา นนั้ เถิด อยาเปน เจา ของสวนแหง อามสิ เลย ดวยวาภิกษรุ ูปใดบวชในศาสนาของพระชนิ เจา มีปจจยั เปนยอดเย่ยี ม คือเหน็ แกปจจัย ๔ ซ่ึงเปนเหตุเกิดตัณหา ทอดท้งิ ธุระในการปฏบิ ตั ิธรรมสมควรแกธ รรมอยู ภกิ ษุรปู นชี้ ื่อวา อามสิ ทายาท ขอเธอทัง้ หลายจงอยา เปน เชนนัน้ เลย สวนภิกษรุ ูปใดอาศยั คุณธรรมมคี วามเปนผมู กั นอ ยเปน ตนในปจ จัยท่พี ระผมู พี ระภาคเจา ทรงอนญุ าตไวใหพิจารณาอยางละเอยี ดกอ นแลวจึงเสพ (บรโิ ภค) มีขอปฏบิ ตั ิยอดเย่ียมเห็นเอง ( ดาํ รงอยู ) ใน
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 218อรยิ วงศ ๔ ภิกษรุ ูปน้ีชือ่ วา ธรรมทายาท ขอเธอทงั้ หลายจงเปน เชนนน้ัเถดิ . ตถาคตอนุเคราะหส าวก บดั น้ี ก็ชนเหลาใดไดม ีความวิตกดงั นว้ี า ในอนาคตกาลจักมีหรอืไมห นอ พระผมู ีพระภาคเจาผูไ มทรงประสงคใ หพระสาวกทัง้ หลายไดลาภจึงตรสั อยา งนี้ เพื่อจะทรงแสดงแกช นเหลา น้นั วา พระตถาคตเจาประสงคจะใหพ ระสาวกท้ังหลายไดล าภอันประณตี ยงิ่ ( กวาน้ี ) จึงกลาวอยา งน้ี พระผมู พี ระภาคเจา จงึ ตรัส วา อตถฺ ิ เม ตุเมหฺ สุ ฯ ล ฯ ในอามสิ ทายาทา ดงั น้ี (เราตถาคตมีความอนุเคราะหใ นเธอทัง้ หลาย ฯ ล ฯไมเ ปนอามสิ ทายาท). พระพทุ ธดํารัสนน้ั มอี รรถาธบิ ายดังนวี้ า ตถาคตมคี วามอนเุ คราะหความเอ็นดู ความมงุ หวัง เกือ้ กลู ในเธอทั้งหลายวา ดวยเหตอุ ะไรหนอดว ยอุบายอะไรหนอ พระสาวกท้ังหลายจึงจะเปน ธรรมทายาท เปน เจาของสว นแหง ธรรม ไมเ ปน อามสิ ทายาท. อนงึ่ ทา นอธิบายไวดงั น้ีวา ไดยนิ วา พระผูมีพระภาคเจาทรงเหน็ นกั บวชหลายรอยจาํ พวก เปน ตนวา ภกิ ษภุ ิกษณุ แี ละนางสิกขมานาในอดีตกาล (ในศาสนาของพระพุทธเจาพระองคกอน) มีหลกั ฐานปรากฏมาโดยนัยวา แมสงั ฆาฏขิ องกบลิ ภิกษุกถ็ กู ไฟลุกไหม ดังน้ีเปน ตน และนักบวชในศาสนาของพระองคเองเชน พระเทวทัตเปน ตน ซง่ึ เปนผเู หน็แกอ ามสิ ถลําเขา ไปในอามสิ (ตายแลว ไปบงั เกดิ ในอบายภมู ิ จนเตม็อบายภูม)ิ แตท รงเห็นพระสาวกผูหนกั ในธรรมมีพระสารบี ุตร พระ
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 219มหาโมคคลั ลานะและพระมหากสั สปะ เปนตน กลับไดบ รรลคุ ุณมีอภิญญาและปฏิสมั ภทิ าเปน อาทิ เพราะฉะนัน้ พระผูมีพระภาคเจา ทรงปรารถนาใหพระสาวกเหลาน้ันหลดุ พน อยางสิน้ เชิงไปจากอบายภมู ิและไดบ รรลุคุณธรรมทั้งหมดจงึ ตรัสวา อตฺถิ เม ตเุ มหฺ สุ อนกุ มปฺ ากินตฺ ิ เม สาวกา ธมมฺ ทายาทา ภเวยฺย โน อามสิ ทายาทา(ตถาคตมคี วามอนเุ คราะหใ นเธอทง้ั หลาย ทาํ อยางไรหนอ สาวกของตถาคตจึงจะเปนธรรมทายาท ไมเ ปน อามิสทายาท) ดงั นี.้ ก็ภกิ ษผุ ูเหน็ แกปจจยั ยอ มส้ินเดชอบั แสงระหวางบริษัท ๔ คลายกับกหาปณะเกแ ละเถา ถานไฟท่ดี บั แลว ฉะน้นั (สวน) ภกิ ษุผมู ีจติ หวนกลับจากปจจยั นั้น เปนผหู นกั ในธรรม ประพฤตคิ รอบงาํ อามสิ อยูเ ปนนติ ย ยอ มมเี ดช ( สงา ราศี ) คลายกับราชสีหฉ ะนั้น เพราะเหตุน้นั เอง พระผมู -ีพระภาคเจา จึงตรัสอยา งนีว้ า อตถฺ ิ เม ฯ เป ฯ โน อามิสทายาทาดงั น้ี ( เราตถาคคมี ฯลฯ อยาเปนอามสิ ทายาท ). ครน้ั ทรงช้ีแจงใหเขา ใจวา พระพุทธดาํ รสั น้ีวา ดกู อ นภกิ ษุท้งั หลายขอเธอทง้ั หลายจงเปน ธรรมทายาทของตถาคตเถิด อยา เปนอามิสทายาทเลย ตถาคตปรารถนาใหเ หลา พระสาวกไดล าภทป่ี ระณตี กวา ตรสัไวแ ลว ดวยความอนุเคราะห หาใชไ มตองการใหพระสาวกไดลาภไมอยางนแ้ี ลว เมอ่ื จะทรงแสดงโทษในเพราะไมยอมทาํ ตามพระโอวาทนี้ ในบัดนี้จงึ ตรัสวา ตุเมหฺ จ เม ภิกขฺ เว ฯ เปฯ โน ธมฺมทายาทาดังนี้ (ดกู อนภกิ ษทุ ้งั หลาย แตถา เธอทั้งหลาย ฯลฯ ไมพ งึ เปน ธรรมทายาทของตถาคตไซร). บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา ตเุ มหฺ ป เตน อาทสิ ฺสา ภเวยยฺ าถ
พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 220มคี วามวา แมพ วกเธอกจ็ ะพึงถกู รงั เกยี จโดยความเปน อามสิ ทายาทนน้ั หาถูกรังเกยี จโดยความเปน ธรรมทายาทไม มีคาํ อธิบายวา เธอทั้งหลายพึงถูกเหยยี ดหยาม คอื ถกู กระทาํ ไดแ กก าํ หนดไวตา งหาก (ถกู กนั ไวตา งหาก ) หมายความวา ถกู วญิ ูชนตเิ ตียน. ติเตียนวาอยา งไร ? ติเตยี นวา เหลาสาวกของพระศาสดาเปนอามสิ ทายาทอยู หาเปนธรรมทายาทอยูไม. บทวา อหมปฺ เตน อาทสิ โฺ ส ภเวยยฺ ความวา ถึงเราตถาคตกจ็ ะพึงถกู ตําหนไิ ด โดยท่ีทาํ ใหเ ธอทัง้ หลายเปนอามิสทายาทนั้นหาถกู ตาํ หนโิ ดยที่เธอทง้ั หลายเปนธรรมทายาทไม. ถกู ตําหนิวาอยา งไร ? ถกู ตําหนวิ า เหลา สาวกของพระศาสดาอยอู ยางเปนอามสิ ทายาท หาอยูอยางเปน ธรรมทายาทไม. คําตาํ หนินี้ พระผูมีพระภาคเจาตรัสไวก เ็ พือ่ ทําใหภ ิกษทุ ัง้ หลายเหลา น้ันกลายเปน คนออนโยนอยางยิ่งทเี ดยี ว. กใ็ นพระพุทธดาํ รสั ตอนนี้มีอธิบายดังน้ีวา ดกู อนภิกษุท้ังหลายถา เธอทง้ั หลายจักลุมหลงในอามิสทอ งเทย่ี วไป ในเพราะความลมุ หลงอามิสของพวกเธอนน้ั วญิ ชู นท้ังหลายกจ็ ักพากนั ติเตียนตถาคตวาพระผูมพี ระภาคเจาทรงเปน พระสัพพัญู (รูทกุ สงิ่ ) ไฉนจงึ ไมสามารถทําเหลาสาวกของพระองคใหเปนธรรมทายาท ไมใหเปน อามิสทายาทไดเ ลา เปรยี บเหมอื น (เม่ือ) ชาวโลกเห็นพระมีมรรยาทไมเหมาะสม
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 221ยอมติเตียนถึงอาจารยแ ละอุปช ฌายวา ทา นเหลานี้เปนสทั ธิวหิ าริกของใคร ? เปน อนั เตวาสกิ ของใคร อีกอยา งหนึ่ง เปรียบเหมอื น (ผใู หญ)เหน็ เด็กชายหรอื เด็กหญงิ ท่มี ีตระกูล เปน คนไมด ีมีความประพฤติเสยี หายยอมติเตียนถึงบิดามารดาวา เด็กพวกนเี้ ปนลกู ชายลูกสาวของใคร ฉนั ใดวิญชู นทง้ั หลายก็จักติเตยี นตถาคต. ฉนั นน้ั เหมอื นกนั คือ จักตเิ ตียนวาพระผมู พี ระภาคเจา ทรงเปน พระสพั พัญู ไฉนจงึ ไมท รงสามารถทําเหลาสาวกของพระองคใหเปน ธรรมทายาท ไมใหเ ปน อามิสทายาทไดเ ลา ? ครน้ั ทรงแสดงโทษในการไมย อมทาํ ตามพระพุทธโอวาทนีอ้ ยา งนี้แลว เมื่อจะทรงแสดงอานสิ งสใ นการยอมทําตาม พระผูมพี ระภาคเจาจึงตรัสวา ตเุ มฺห จ เม ดงั นี้เปน ตน . บรรดาบทเหลา น้นั บทวา อหมปฺ เตน อาทสิ ฺโส น ภเวยยฺ ความวา อุปมาเสมือนวาชาวโลกเห็นพวกภิกษุหนุมประพฤตวิ ัตรบริบูรณถงึ พรอมดว ยอเุ ทศและปรปิ ุจฉา (การเรยี นและการสอบถาม) มีอากัปปกริ ิยาเหมาะสมเหมอื นหนึ่งพระเถระรอยพรรษา จงึ ถามวา ทานเหลา นเี้ ปนสัทธวิ หิ ารกิ ของใคร เปน อันเตวาสิกของใคร? เมือ่ มีคนบอกวา ของอาจารยและอุปช ฌายร ปู โนน กจ็ ะพากนั สรรเสริญวา พระเถระชางอาจสามารถตักเตอื นพราํ่ สอน อาจารยและอปุ ชฌายยอมไมถ กู ตําหนิไมถ ูกตเิ ตยี นฉันใด แมเราตถาคต กฉ็ นั นนั้ เหมอื นกัน คือ โดยความท่เี ธอทง้ั หลายเปน ธรรมทายาทนน้ั ไมใชโดยความทเี่ ธอทง้ั หลายเปนอามสิ ทายาท ชาวโลกกจ็ ะพากันถามวา สาวกของใครกนั นะปฏบิ ตั ินาลก-ปฏปิ ทา ปฏิบัติตุวฏกปฏิปทา ปฏบิ ัติจนั ทูปมปฏปิ ทา ปฏบิ ตั ริ ถวนิ ีต-ปฏิปทา ปฏิบตั มิ หาโคสงิ คสาลปฏปิ ทา ปฏิบัติมหาสุญญตาปฏิปทา เปน
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 222พยานในอรยิ วงศ ซ่ึงมีความสนั โดษในปจจยั ๔ และภาวนาเปนทีม่ ายนิ ดี มใี จหลกี ออกหา งจากความกาํ หนดั ในปจจยั อยูไป เปรยี บเหมอื นดวงจนั ทรที่พน จากเมฆหมอก เม่ือมีคนบอกวา สาวกของพระสมณโคดมก็จะพากนั สรรเสริญวา พระผมู ีพระภาคเจา ทรงเปน พระสัพพัญูแทห นอไดท รงสามารถแทห นอ ทจี่ ะทรงแนะนาํ เหลา สาวกใหล ะทิ้งอามิสทายาทปฏิปทาแลวหนั มาบําเพ็ญขอปฏิบตั ขิ องผเู ปนธรรมทายาท พระองคย อมไมถูกวิญูชนทัง้ หลายตําหนติ เิ ตียนอยา งน้แี ล นักศึกษาทราบคาํ อธิบายในบทนอี้ ยา งนี้ รายละเอยี ดทย่ี ังเหลือ พึงทราบโดยนัยท่ีตรงกนั ขามจากนยั ท่กี ลาวแลวในกณั หปกษ ( ฝา ยทไ่ี มดี ). ปวารณา ๔ คร้ันทรงแสดงอานสิ งสใ นการยอ มทําตามพระโอวาทนี้อยา งนี้แลวบดั นี้ เม่ือจะทรงมอบพระโอวาทนั้น พระผูม พี ระภาคเจา จงึ ตรสั วาตสฺมาตหิ เม ภกิ ขฺ เว ฯ เป ฯ โน อามสิ ทายาทา ดังน.้ี [๒๒] พระผูมีพระภาคเจา ครน้ั ทรงมอบพระพทุ ธโอวาทนอ้ี ยา งน้ีแลว บัดนี้ เพอื่ จะทรงชมเชยเหลา ภกิ ษุผบู าํ เพญ็ ขอ ปฏบิ ัตขิ องผูเปน ธรรม-ทายาทนน้ั จึงมพี ุทธดํารัสมีอาทวิ า อธิ าห ภิกขฺ เว ดงั นี้. จริงอยู ภกิ ษุทัง้ หลายพอไดฟง คาํ ตรัสชมของพระผูม ีพระภาคเจาแลว ตา งยอ มพากนั ปฏิบัตเิ พ่อื ความเปน อยางนนั้ ทเี ดยี ว. บรรดาบทเหลา นน้ั บทวา อิธ น้ี เปนบทนิบาต. บทวา ภตุ ตฺ าวี แปลวา เสวยแลวเสร็จ อธิบายวา ทรงกระทาํภัตตกิจแลว.
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 223 บทวา ปวารโิ ต แปลวา (พระผมู ีพระภาคเจา ) ทรงหามภตั รแลวดว ยการปวารณา (การหาม) เม่ือพอแกความตอ งการแลว อธิบายวา เสวยจนพอแกค วามตอ งการแลว จงึ ทรงหา มโภชนะหรอื ทรงอมิ่ แลว . อธบิ ายวา ปวารณา ( การยอนใหตกั เตอื น การยอมใหขอ การหา ม). มี ๔ อยา ง คอื ปวารณาของภกิ ษุผูอยจู ําพรรษาแลว ๑ ปวารณาดว ยปจ จัย ๑ ปวารณาทั้งที่มขี องอยพู รอม ๑ ปวารณาเมื่อพอแกความตองการแลว ๑. ในบรรดาปวารณา ๔ นนั้ ปวารณานวี้ า ดกู อ นภกิ ษุทง้ั หลายเราผูตถาคตอนุญาตใหภกิ ษุอยจู ําพรรษาแลว ปวารณากันได ยอ มใหตกั เตือนโดยเหตุ ๓ สถาน ดงั น้ี ชอ่ื วา ปวารณาของภิกษผุ ูอยจู ําพรรษาแลว . ปวารณานวี้ า ขาแตท านผูเจริญ ขา พเจาปรารถนาจะปวารณา(ยอมใหข อ) สงฆดวยเภสชั ตลอด ๔ เดือน และปวารณานค้ี ือ ปวารณายกเวน ปวารณาซํ้าอกี ยกเวนปวารณาเปนนิตย ชือ่ วา ปวารณาดวยปจ จยั . ปวารณานี้คือ ภิกษุช่ือวา (หา มภัตร ) แลว คือ การฉนัปรากฏอยู ๑ โภชนะปรากฏอยู ๑ คนอยูใ นหตั ถบาส ๑ นอมของเขาไป ๑ การหามปรากฏ ๑ ภกิ ษนุ ้ชี ่อื วา หามภัตรแลว ชอื่ วาปวารณาทงั้ ท่ีมขี องพรอม. ปวารณาน้คี ือ ทายกเล้ียงภิกษสุ งฆใ หอิม่ หนาํ สําราญดวยขาทนยี ะ(ของเคี้ยว ) และ โภชนยี ะ (ของฉนั ) ดวยมือของตน (จน ) ใหบอกหาม (ภตั ร ) ชอ่ื วา ปวารณาเมือ่ พอแกความตอ งการ.
พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 224 ปวารณาเมอ่ื พอแกความตองการนี้ ทา นประสงคเ อาแลวในที่น้ีดวยเหตุนน้ั จึงไดกลา วไววา :- บทวา ปวารโิ ต แปลวา (พระผมู พี ระภาคเจา) ทรงหามภัตรแลวดว ยการปวารณาเม่ือพอแกค วามตอ งการแลว . บทวา ปรปิ ณุ ฺโณ แปลวา ทรงบรบิ ูรณแลว ดว ยโภชนะ. บทวา ปริโยสโิ ต แปลวา มีโภชนะอันพระองคใ หส ้นิ สดุ แลว(ฉันเสรจ็ แลว ). (ในบทวา ปรโิ ยสิโต น)ี้ พึงเห็นวาทานลบบทหลัง(โภชโน) ออกเสีย อธิบายวา เราตถาคตพงึ ฉันไดเทา ใด ก็ฉนั เทา นน้ักริ ิยาคือการฉนั ของเราตถาคตสิน้ สุดลงแลว . บทวา สุหิโต แปลวา ทรงอ่มิ แลว อกี อยางหนง่ึ หมายความวาทรงสาํ ราญแลว เพราะไมมที ุกขค ือความหวิ . บทวา ยาวทตฺโถ ความวา ความตอ งการดว ยโภชนะของตถาคตมีอยูเทา ใด ความตองการน้ันท้งั หมดตถาคตไดบ รรลุ (ถึงทส่ี ุด) แลว. กใ็ นคําเหลาน้ี (คอื คาํ วา ภุตตฺ าวี ปวาริโต ปริปุณฺโณ ปรโิ ยสโิ ตสุหโิ ต ยาวทตฺโถ) ๓ คาํ หลังมคี วามหมายเทากบั ๓ คําแรก อธบิ ายวา ภิกษผุ ูมีโภชนะอนั ตนใหส นิ้ สดุ แลว ช่ือวา มโี ภชนะอนั ตนฉนั แลวภกิ ษผุ อู ม่ิ แลว ช่ือวาหา มภตั รแลวดวยการหา มเมอื่ พอแกค วามตอ งการแลว ภิกษุผูเพยี งพอแกค วามตองการแลว ช่ือวาบริบูรณแ ลว อกี อยา งหน่งึ๓ คําแรกมคี วามหมายเทากบั ๓ คาํ หลงั . อธบิ ายวา เพราะเหตุทภ่ี กิ ษุฉันเสรจ็ ฉะนั้น จงึ ช่ือวา มีโภชนะอันคนใหส ้นิ สุดแลว เพราะเหตุท่ีภกิ ษุหา มภตั รแลว ฉะน้นั จึงชื่อวาอ่ิมแลว เพราะเหตทุ ่ภี ิกษุบริบรู ณแ ลวฉะน้นั จงึ ชือ่ วาพอแกความตอ งการ ดว ยเหตดุ ังกลาวมานีผ้ ศู กึ ษาพงึ ทราบ
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 225เถดิ วา พระผูมพี ระภาคเจา ทรงกาํ หนด (ความหมายของ ) คาํ ทุกคาํ นน้ัไวแลว จงึ ตรสั ไว. บทวา สยิ า ใชใ นอรรถวา เปน สวนหน่ึง ๆ และในอรรถวาคาดหมาย. ใชใ นอรรถวา เปนสวนหนงึ่ ๆคือ ( ในประโยคทวี่ า ) ปวธี าตุสิยา อชฺฌตฺติกา สิยา พาหริ า ( ปฐวีธาตุท่ีเปน ภายในก็มี ที่เปนภายนอกก็ม)ี . ใชในอรรถวา คาดหมาย คือ (ในประโยคท่วี า) สยิ า อฺ ตรสสฺภิกฺขโุ น อาปตฺติวตี กิ กฺ โม (คงจะมภี กิ ษรุ ปู ใดรปู หนงึ่ ลวงละเมดิ อาบัติ )ในท่ีน้ี ใชไดท ง้ั สองความหมาย. บิณฑบาตมากเกนิ นั้นเอง ชือ่ วา เปนของเหลือเพอ่ื เปน ธรรมดา และธรรมดาก็จะตองทิ้งไป. อธบิ ายวา ท้งั เปน ของเหลอื เฟอ ทงั้ เปนของจะตองทง้ิ จงึ ไมต อ งทาํ อะไรอยา งอน่ื . บทนิบาตวา อถ คือ ตมหฺ ิ โยค กาเล (แปลวา ในกาลน้ัน). บทวา ชฆิ จฉฺ าทุพพฺ ลยฺ ปเรตา ความวา อนั ความหวิ และความออนกําลงั ครอบงาํ แลว คือประทษุ รา ยแลว ไดแกตดิ ตามแลว. ในบรรดาภิกษเุ หลา น้นั ภกิ ษบุ างเหลา แมหิวมาต้ัง ๘ วันบา ง ๑๐วันบางก็ยังไมอ อนกําลัง ยงั สามารถขม ความหิวไวไ ด แตภกิ ษุ ( ๒ รูป)นไ้ี มเ ปนเชนนั้น เพอ่ื แสดงเหตผุ ลดงั กลา วมาแลวนี้ พระผูมพี ระภาคเจาจงึ ตรสั ไวท ั้งสองอยา ง ( ท้งั ความหวิ และความออนกาํ ลงั ). บทวา ตฺยาห ตัดบท เปน เต อห ( แปลวา เราตถาคตกะภิกษุ ๒ รปู น้ัน).
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 226 คาํ จาํ กดั ความทีท่ ป่ี ราศจากของสดเขียว บทวา สเจ อากงขฺ ถ ความวา ถา เธอทงั้ สองปรารถนาไซร บทวา อปปฺ หริเต แปลวา ปราศจากของเขียวสดที่งอกขึน้ แลวอธบิ ายวา ในทท่ี ไี่ มมีหญาซึ่งธรรมดาจะตอ งตายไปเพราะถกู กอนขา วทต่ี กลงไปทับ ในทท่ี ีแ่ มจะทงิ้ บิณฑบาตไปเปน เลม เกวยี น หญาทงั้ หลายก็ไมตายหมด ทีน่ ้ันจะไมม หี ญาเลยก็ตาม มหี ญามากก็ตาม ยอ มเปน อันพระผมู พี ระภาคเจา ทรงกาํ หนดถึงแลว ดว ยบทวา อปฺปหริเต นั้น ก็บทวา อปิ ฺปหรเิ ต น่นั พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ไวเ พอื่ ไมใ หภ ิกษลุ ะเมดิภตู คามสกิ ขาบท. บทวา อปปฺ าณเก แปลวา ไมม สี ตั วเล็ก คือในน้าํ จาํ นวนมากซึง่ ปราศจากสตั วเล็กทีจ่ ะตอ งตาย เพราะถูกกอนขา วท่ตี กลงไป เปนความจรงิ เม่อื นํ้านอยคละเคลา ดว ยการใสขาวลงไปเทานั้น พวกสตั วเ ลก็ ๆจึงจะตาย ( แต ) ในสถานที่ทง้ั หลายมสี ระใหญเปนตน พวกสตั วเ ล็ก ๆจะไมต าย เพ่อื อนุรกั ษส ตั วมชี วี ติ ดังกลาวมานแี้ ล พระผมู ีพระภาคเจาจึงตรสั ไวอยา งน.้ี บทวา โอปลาเปสฺสามิ แปลวา จักทิง้ ความวา จกั ใหจมลง บทวา ตตเฺ รกสสฺ ความวา ในบรรดาภิกษุ ๒ รูปนนั้ รปู หนึง่(ไดม คี วามคิดอยางน้ีวา. . . ) แตพ ระผมู พี ระภาคเจา ตรสั หมายเอาภกิ ษุรปู นัน้ คือรปู ทต่ี ง้ั ใจฟง ธรรมเทศนาน แลว นอมนกึ ถึงบอย ๆ ความหมายของวุตตฺ ศพั ท ในคําวา วุตตฺ โข ปเนต มีอธิบายวา วุตฺต ศัพทน ี้ (ใชใน
พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 227ความหมายตาง ๆ กนั ) คือ :- ๑. ใชใ นควานหมายวา ปลงผม บาง (เชน) ในประโยคเปนตนวา มาณพหนุม ชอื่ วา กาปตกิ ะ โกนหวั แลว. ๒. ใชในความหมายวา เพาะปลกู บาง (เชน ) ในประโยคเปน ตน วา พชื ท่ีงอกในสรทกาลปลกู ลงไปในไรนาแลว ยอ มงอกขน้ึ ฉนั ใด. ๓. ใชในความหมายวา กลา ว บา ง (เชน ) ในประโยคเปนตนวา คํานี้ อันพระผูม ีพระภาคเจาผูเ ปนพระอรหันตต รสั ไวแลว. แตใ นทน่ี ้ี นกั ศกึ ษาพึงเห็นวาใชในควานหมายวา กลา ว. ก็คาํ วาวตุ ฺต โข ปเนต น้ันมอี ธบิ ายดังน้วี า กถิต โข ปเนต แปลวา(แตพ ระผูม พี ระภาคเจาไดต รสั คํานี้ ไวแ ลวนะวา . . . ). บทวา อามสิ ฺตร ความวา อามิสคือปจจยั อยางใดอยา งหนงึ่บรรดาอามิสคือปจ จัย ๔ อธบิ ายวา อามสิ คอื ปจ จัยอยา งหนง่ึ . บทวา ยททิ เปน นบิ าต ( และ ) มรี ูปเปน เชนนนั้ นน่ั แหละในทกุ ลิงค วิภัตติ และทกุ วจนะ นกั ศึกษาพงึ ใชใ หถ กู ความหมาย ในลิงควภิ ัตตแิ ละวจนะนัน้ ๆ. แตว า ในท่ีนี้ บทวา ยทิท น้ัน มคี วามหมายเทาโย เอโส. นีคําอธบิ ายไววา ชอ่ื วาบิณฑบาต นั่นใด บิณฑบาตนเ้ี ปนอามิสอยางหนง่ึ . บทวา ยนนฺ ูนาห ไดแ ก สาธุ วตาห (แปลวา ดลี ะหนอเรา. . . ). บทวา เอว ความวา แมปลอ ยวันคืน (ใหลวงไป ) เหมอื นอยางที่บุคคลปลอยขณะน้ีใหลวงไปอยใู นบัดน้ี. บทวา วีตินาเมยยฺ แปลวา พงึ . . . ใหสิ้นไป คอื พงึ ใหลว ง
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 228เลยไป. บทวา โส ต ปณ ฑฺ ปาต ความวา ภิกษนุ นั้ ไมฉ นั บิณฑบาตนน้ั แบบทชี่ าวโลกพรอ มทัง้ เทวโลกพึงรบั ไวด ว ยเศียรเกลาท่ีเหลอื จากท่ีพระสุคต (เสวย ) หวังอยูซ ่งึ ความเปน ธรรมทายาท พิจารณาถงึ ขออปุ มาดว ยบคุ คลทีถ่ กู ไฟไหมศ ีรษะแลว พงึ ปลอยใหคนื และวนั น้ันลวงไปอยา งน้นั ดว ยความหิวและความออนกําลงั น้ันเอง. บณิ ฑบาตท่ีไมค วรฉัน ๕ อยา ง กใ็ นวาระนี้วา อถ ทุติยสสิ มีความยอดงั ตอไปน้ี ถา ภกิ ษุน้ันเม่อืจะคดิ วา ดีละ เรา ฯลฯ พงึ ยงั คนื และวนั ใหล วงไป กพ็ งึ คดิ อยา งน้ดี วยวาการท่ีบรรพชิตจะแสวงหาบิณฑบาตในหมบู า นทเ่ี กล่ือนกลน ดว ยสัตวรา ยคอืเบญจกามคณุ เปน การยากลําบาก เชนเดยี วกบั การแสวงหาเภสชั ในปาซึ่งชกุ ชมุ ไปดวยสัตวรา ย แตวา บิณฑบาตนีพ้ น โดยส้นิ เชงิ จากโทษในการแสวงหาดงั วา มานี้ และเปน บิณฑบาตที่เปน เดนของพระสุคต เพราะฉะน้ันจึงเปนเหมอื นขัตตยิ กมุ ารผูอุภโตสชุ าต ( มีพระราชสมภพดแี ลวจากทง้ัสองฝา ย คือฝา ยพระชนกและฝายพระชนนี ). อน่งึ บณิ ฑบาตเปน ของภิกษไุ มควรฉัน เพราะเหตุ ๕ ประการเหลา ใดคอื . ๑. เปน ของไมค วรฉัน เพราะบุคคล ( ผถู วาย ) มีขอ นาตาํ หนิคอื เปนบณิ ฑบาตของบคุ คลอลชั ชี. ๒. เปน ของไมควรฉนั เพราะบณิ ฑบาตมีการเกดิ ขึ้นไมบริสุทธ์ิ คือเกดิ ข้ึนมาจากการแนะนําของนางภกิ ษุณี และจากการสรรเสริญคณุ ที่ไมมี
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 229จรงิ (ในตน). ๓. เปน ของไมควรฉนั เพือ่ เปนการอนเุ คราะหเ จาของ คือภิกษุเจา ของบณิ ฑบาตก็กําลังหิว. ๔. (แม ) ภกิ ษุเจา ของบิณฑบาตนน้ั จะอม่ิ แลว แตบ ณิ ฑบาตกย็ งั เปนของไมค วรฉนั เพือ่ เปน การอนุเคราะหอันเตวาสิกเปนตนของทา นนน่ั เอง ( เน่อื งจาก) อันเตวาสกิ หรือคนอ่ืน ๆ ทีอ่ าศัยบิณฑบาตนั้นยงั หิวอย.ู ๕. แมค นเหลา น้ันจะอ่มิ หนําสาํ ราญแลว แตวา บิณฑบาทก็ยังเปนของไมควรฉันเพราะความไมม ีศรทั ธา คือ ภกิ ษเุ จาของบณิ ฑบาตยังไมม ศี รัทธา. บิณฑบาตนก้ี ็พนแลว โดยสน้ิ เชงิ จากเหตุ ๕ ประการเหลา นั้นความจรงิ แลว พระผมู พี ระภาคเจาทรงเปน ยอดของลัชชีบคุ คลทัง้ หลายบิณฑบาตมีความเถิดข้ึนโดยบริสุทธ์ิ และพระผมู ีพระภาคเจา กท็ รงอ่มิหนาํ สาํ ราญแลว ทง้ั บคุ คลอื่นที่หวังเฉพาะเจาะจงในบณิ ฑบาตกไ็ มม ี คนเหลาใดเปน ผมู ีศรทั ธาในโลก พระผูม ีพระภาคเจาก็เปน ยอดของคนเหลานัน้ ดังน้ี และภกิ ษนุ ้ันครั้นคดิ อยางนี้แลว จึงฉันบณิ ฑบาตนัน้ แลวฯลฯ ปลอ ยใหคืนและวันลว งไป. ดวยเหตุผลดังกลา วมาเพียงเทานี้ แมภ ิกษใุ ดไมฉัน (บณิ ฑบาตที่เปน เดนพระสุคต) แตบาํ เพญ็ สมณธรรม ภิกษนุ ั้นชอื่ วาไมฉันบิณฑบาตท่ีควรฉันทีเดียว สว นภิกษุใดฉันแลว (บาํ เพ็ญสมณธรรม) ภกิ ษนุ ั้นชือ่ วา ฉนั บิณฑบาตที่ควรฉันโดยแท. ความแปลกกนั ในบณิ ฑบาตไมมี แตมีความแปลกกันอยูในบคุ คล
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 230เพราะฉะน้นั เมื่อจะแสดงความแปลกกนั นั้น พระผูมีพระภาคเจา จงึตรสั วา กิ ฺจาป โส ดงั น้ีเปน ตน. บรรดาบทเหลาน้ัน บทวา กิจฺ าป เปน นิบาต ใชในความหมายวายอมรับ และใชในความหมายวา สรรเสรญิ . ถามวา ยอมรบั ซึง่ อะไร ? ตอบวา ซึง่ การฉนั อันไมมีโทษนั้นของภกิ ษนุ ้นั . ถามวา สรรเสรญิ ซงึ่ อะไร ? ตอบวา ซ่ึงการฉันแลวบําเพ็ญสมณธรรม. มคี ํากลา วอธิบายไวด งั นี้วา ถา ภิกษุรปู น้ันฉันบณิ ฑบาตทคี่ วรฉันแลว บาํ เพ็ญกจิ ท่ีควรบาํ เพญ็ ไซร ขอ วาโดยท่ีแทแ ลวภกิ ษุรปู แรกโนนแหละของเราตถาคต ความวา ภิกษรุ ปู แรกผูปฏิเสธบิณฑบาตน้นั แลวบาํ เพญ็ สมณธรรมโนนนัน่ แลของตถาคต ดเู หมอื นจะเปน ผูแ กลว กลากวา ในบรรดาสาวก ๒ รูป ของตถาคตซง่ึ เปนผูแกลวกลา และดูเหมือนจะเปนบัณฑิตกวาในบรรดาสาวก ๒ รูปผูเ ปนบัณฑิตของเราตถาคต ช่อื วาเปนผนู าบชู ากวา และนา สรรเสรญิ กวา มีคาํ อธบิ ายไววา นา บชู าและนาสรรเสรญิ ย่ิงกวาภกิ ษุรปู ที่ ๒. เหตทุ น่ี าบชู ากวา และนา สรรเสรญิ กวา บดั นี้ เม่อื จะยกเหตุ ( การณะ ) ขึ้นมาขยายความน้นั พระผมู ีพระภาคเจา จงึ ตรสั คาํ วา ต กสิ ฺส เหตุ ดงั นี้เปน ตน . คาํ นนั้ มีอธิบาย (เพม่ิ เตมิ ) วา ในขอ น้นั เธอทงั้ หลายคงมี(ขอ กงั ขา) วา เพราะเหตุไร ภกิ ษุนน้ั จงึ เปนผูนา บูชากวา นา สรรเสริญ
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 231กวาของพระผมู ีพระภาคเจา ? คาํ ตอบก็คือ ตหฺ ิ ตสสฺ ความวา เพราะการหา มบิณฑบาตน้นั จักเปนไปเพ่อื ความมกั นอย ฯลฯ เพอ่ื ความปรารภความเพียรส้ินกาลนานสาํ หรบั ภกิ ษุนน้ั . จักเปน ไปอยางไร? คือภกิ ษุนั้น ถาสมัยตอ มาจักเกดิ ความมักได ความปรารถนาลามกหรือความมกั มากในปจจัยทั้งหลายข้ึน ลาํ ดับนั้น ภกิ ษุ (รูปอน่ื ) พจิ ารณาเห็นอยอู ยางนัน้ จกั กนั เธอไวดว ยตาขอ คอื การหา มบณิ ฑบาตน้ีวา นีแ่ นทา นทา นปฏิเสธบณิ ฑบาตแมทีเ่ ปน เตนของพระสคุ ต แลว ก็ยงั เกิดความปรารถนาเชนน้ีขึ้นจนได นี่เปนนัยในการหามความไมขดั เกลากเิ ลสที่เกิดขึ้นแลว เม่อื เปนเชน นี้ การปฏิเสธบิณฑบาตนนั้ จักเปน ไปเพอ่ื ความมกั นอ ย ความสันโดษ (และ) ความขดั เกลากิเลสสําหรบั เธอกอน. ในคําวา สุภรตาย ( เพอื่ ความเปน ผเู ลีย้ งงาย) นี้ มีการพรรณนาดงั ตอไปนี้ :- ภกิ ษุบางรปู ในธรรมวนิ ัยน้ี เปนผูเลยี้ งยากบาํ รุงยากทั้งแกต นเองทง้ั แกอุปฏ ฐาก ( สวน ) บางรปู เปน ผูเล้ียงงา ยบํารงุ งา ยทงั้ แกต นเองทั้งแกอุปฏ ฐาก. เปน อยางไร ? อธิบายวา ภกิ ษุรูปใดไดอ าหารทีเ่ ปรยี้ วเปนตน แลว ยังแสวงหาอาหารอืน่ มอี าหารที่มรี สไมเปรี้ยวเปน ตน ทิ้งสง่ิ ของทไี่ ดใ นเรือนของคนหนึง่ ไวในเรอื นของอกี คนหนง่ึ เท่ียวจาริกไปจนหมดเวลา (บณิ ฑบาต)แลว มีบาตรเปลากลบั เขาวัดนอน ภกิ ษุรปู นี้จดั วา เปน ผเู ลย้ี งยากสําหรับตนเอง สว นภิกษรุ ปู ใดแมท ายกจะถวายขาวสาลเี น้ือและขา วสกุ เปนตนจนเต็มบาตรแลวก็ยังแสดงสหี นา บ้งึ ตงึ และความไมพอใจ ย่งิ ไปกวา น้ัน
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 232เม่อื จะดูแคลนบิณฑบาตนั้นตอ หนา คนเหลานน้ั วา พวกทานถวายของอะไร ดังน้ี จงึ ใหแกอ นุปสมั บันมีสามเณรและคฤหสั ถ (อื่น) เปน ตนไป(เปนการประชด) ภิกษรุ ปู นจ้ี ดั วา เปน ผูเลย้ี งยากสาํ หรับผูอปุ ฏฐากท้ังหลาย พวกชาวบานเหน็ เธอเขา กจ็ ะพากันหลีก ( หลบหนา ) เสยี แตไกลทีเดียว ดวยนกึ ตาํ หนวิ า พระเล้ยี งยาก พวกเราไมส ามารถจะเลยี้ งดูทานไดหรอก. สวนภกิ ษุใด ไดอ าหารอยางใดอยางหน่ึงจะเปนของชนดิ ดีหรอืชนิดเลวกต็ าม มีจติ สนั โดษฉนั อาหารนน้ั แลวกลบั วัดไปทาํ งานของตน(ตอไป) ภกิ ษุรูปน้ีจัดวา เปนผูเลีย้ งงายสาํ หรับตน. และภกิ ษรุ ูปใดไมดหู มนิ่ ทานของคนอนื่ จะนอ ยหรือมากจะดหี รอื เลวกต็ าม มจี ิตยินดสี หี นาย้มิ แยมแจม ใส ฉันตอหนาคนเหลานน้ั แลวจงึ คอ ยไป ภิกษรุ ูปน้ีจดั วา เปนผูเลยี้ งงายสําหรับผอู ุปฏ ฐาก พวกชาวบานครั้นเหน็ พระรปู นัน้ แลวตางก็พากันดีใจอยางยิ่งยวดวา พระคณุ เจาของพวกเราเปน ผเู ลย้ี งงาย สันโดษแมด ว ยอาหารเลก็ ๆ นอ ย ๆ พวกเราจกั เล้ยี งดูทาน คร้ันตกลงแลว กพ็ ากนั บาํ รงุ เล้ยี งด.ู ในพฤติกรรมนั้น ถา สมยั ตอมาเธอจกั เกิดควานคิดขน้ึ ในทํานองจะเปน ผูเล้ียงยากทงั้ แกตนเองหรืออปุ ฏ ฐากท้ังหลายไซร ครานั้นภิกษุรปู อ่ืนพิจารณาเหน็ อยางน้กี จ็ กั ชว ยกนั เธอไวด ว ยตาขอคอื การปฎิเสธบณิ ฑบาตนีว้ า นแี่ นทาน ทานปฏเิ สธบณิ ฑบาตท่ีเปน เดนของพระสคุ ตแลว ยงั นาเกิดความคดิ เชน นี้ขึ้นจนได. เมอ่ื เปน อยา งนกี้ ารปฏิเสธบิณฑบาตกจ็ ักเปน ไปเพอ่ื ความเปนผูเ ลย้ี งงา ยสาํ หรับเธอ. อนึง่ ถาเธอจักเกดิ ความเกยี จครา นข้ึน ภกิ ษรุ ปู อน่ื ก็จักชวยกันไวดวยตาขอนน้ั เหมอื นกันวา น่แี นท า น ทานปฏิเสธบณิ ฑบาตท่ีเปนตน
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 233ของพระสุคตแลว คราวนัน้ แมจ ะถูกความหิวและความออ นกําลังครอบงาํกย็ ังบาํ เพญ็ สมณธรรมได ( ไฉน) วนั น้จี ึงหนั มาหาความเกียจครา นเสียเลา เม่อื เปนอยางน้ี การปฏเิ สธบณิ ฑบาตจกั เปนไปเพ่ือการปรารภความเพยี รสําหรบั เธอ การปฏเิ สธบิณฑบาตน้ีของภิกษนุ ้นั จกั เปนไปเพ่อืความมกั นอยฯลฯ เพอ่ื การปรารภความเพยี รตลอดกาลนานดงั กลา วมานี้. คุณ ๕ ประการ คุณ ๕ น้ี (ความมกั นอย ความสนั โดษ ความขัดเกลากิเลสความเปนผูเล้ียงงาย และการปรารภความเพยี ร ) ของภกิ ษุนั้นบรบิ ูรณอยา งน้แี ลว ก็จกั ชวยใหก ถาวตั ถุ ๑๐ บริบูรณอ ยางไร? อธบิ ายวา ในจํานวนคณุ ธรรมท่ัง ๕ นนั้ กถาวตั ถุ ๓ ประการคือความเปนผมู กั นอย ความสนั โดษ และการปรารภความเพียรท่มี าในพระบาลีน้ีนั้นแล รวมกนั เขา ไดกับสัลเลขธรรม. เพราะวา สัลเลขธรรมนี้เปน ช่ือของกถาวัตถุเหมอื นกันทกุ ขอ สมดว ยพระดํารสั ทีพ่ ระผูมีพระภาคเจาตรัสไววา ดูกอนอานนท ก็แลกถานีน้ ้ันเปนเครอ่ื งขดั เกลากิเลสอยางย่ิง สะดวกแกก ารเปดเผยจิต ( ออกจากกิเลส) เปน ไปพรอมเพอื่นพิ พิทาโดยสวนเดียว เพื่อวิราคะ (การสํารอกกเิ ลส ) เพ่อื นิโรธะ( การดับกิเลส) เพ่อื อปุ สมะ ( การสงบระงบั กิเลส) เพือ่ อภิญญา(ปญญาอนั ยงิ่ ) เพ่อื สมั โพธะ ( การตรัสสู) เพอ่ื พระนพิ พาน ความดับสนิทแหงกเิ ลส กถาน้นี ้นั คอื อะไร ? ไดแ ก อัปปจฉกถา (กถาวา ดวยควานมกั นอย ). ความพิสดารเปน ดังวา มาน้ี คณุ ๕ ประการบริบรู ณก จ็ กั ชวยใหกถาวัตถุ ๑๐ บริบรู ณไดอยางนี้.
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 234 กถาวัตถุ ๑๐ บรบิ ูรณก ็จักชว ยใหสิกขา ๓ บรบิ รู ณ. อยางไร ? อธิบายวา ในกถาวตั ถุทั้ง ๑๐ นัน้ กถา ๔ น้คี อื อปั ปจฉกถา( กถาวาดว ยความมกั นอ ย) สันโตสกถา (กถาวา ดวยความสันโดษ)อสงั สัคคกถา (กถาวา ดว ยความไมระคนดว ยหมคู ณะ) สลี กถา ( กถาวา ดวยเรอื่ งศลี ) สงเคราะหเ ขา ในอธสิ ีลสิกขาเทา นัน้ กถา ๓ น้ี ปวเิ วกกถา( กถาวา ดวยความสงดั ) วิรยิ ารัมภกถา ( กถาวาดวยการปรารภความเพียร ) สมาธิกถา ( กถาวาดว ยเร่ืองสมาธิ ) สงเคราะหเ ขา ในอธิจิตต-สิกขา กถา ๓ นีค้ ือ ปญญากถา (กถาวา ดวยเร่ืองปญ ญา) วิมุตตกิ ถา( กถาวา ดวยเรอ่ื งวิมตุ ิ ) วมิ ุตตญิ าณทัสสนกถา ( กถาวา ดวยเรือ่ งวิมุตติ-ญาณทัสสนะ ) สงเคราะหเ ขา ในอธิปญ ญาสิกขา กถาวตั ถุ ๑๐ บรบิ ูรณจักชวยใหส กิ ขา ๓ บริบรู ณอยา งน้.ี สิกขา ๓ บรบิ รู ณจ กั ชวยใหก องแหงอเสกขธรรม ๔ อยางบริบรู ณ. อยางไร ? อธบิ ายวา อธสิ ลี สิกขาบรบิ รู ณก็จะเปนหมวดศีลที่เปน อเสกขะทีเดยี ว อธิจติ ตสิกขาบรบิ รู ณกจ็ ะเปนหนวดสมาธิทเี่ ปน อเสกขะ อธปิ ญญา-สกิ ขาบรบิ รู ณกจ็ ะเปนหมวดแหงปญ ญาวิมุตติและวิมตุ ตญิ าณทสั สนะทเ่ี ปนอเสกขะทเี ดียว รวมความวา สิกขา ๓ บริบูรณจักชว ยใหห มวดแหงอเสกขธรรม ๕ บริบรู ณอ ยางน้.ี ( และ ) หมวดแหง อเสกขธรรม ๕บริบูรณก ็จักชว ยใหอมตนิพพานบริบรู ณ. เปรียบเหมือนเมฆกอนมหมึ ากล่นั ตัวเปน นํ้าฝนตกกระหนํา่ ลงบนยอดเขาไหลลงมาเต็มซอกเขา ลาํ ธารละหาน. ซอกเขา ลาํ ธาร ละหานเหลานนั้ เตม็ แลว ก็ไหลบา ออกมาเต็ม
พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 235หนอง หนองเต็มแลว ก็ไหลบา ออกมาเตม็ บึง บงึ เต็มแลว ถึงไหลบาออกมาเต็มแมน ํ้านอย ( แคว ) แมน้ํานอย ( แคว ) เตม็ แลว ก็ไหลบาออกมาเตม็แมน้ําใหญ แมน ้ําใหญเต็มแลว กไ็ หลบาออกมาเตม็ สมุทรสาครฉันใดคณุ ๕ ขอ น้ขี องภิกษนุ ้ันกฉ็ ันน้ันเหมอื นกัน คอื บรบิ รู ณแ ลว กจ็ กั ชว ยใหคณุ ธรรมเร่มิ ตง้ั แตก ถาวัตถุ ๑๐ จนกระทงั่ ถึงอมตนิพพานใหบรบิ รู ณภกิ ษุนี้ปฏิบตั ิปฎปิ ทาแหง ธรรมทายาทแลว จักไดเปน ธรรมทายาทอยางยอดเย่ียม ดว ยประการดงั กลา วมาน้ี พระผูม พี ระภาคเจาทรงเหน็ ประโยชนอยางน้ีแลจึงไดตรัสไวว า ต กิสฺส เหตุ ตฺหิ ตสฺส ภกิ ฺขเว ภิกขฺ ุโนดงั นเี้ ปน ตน (แปลวา ขอนนั้ เพราะเหตอุ ะไร ? เพราะขอนั้นจกั เปน ไปเพ่ือ . . .สาํ หรบั ภิกษนุ ้นั นะภกิ ษุทงั้ หลาย). พระผูมีพระภาคเจา ครั้นทรงยกเหตทุ ีท่ าํ ใหภ ิกษนุ ้ันเปน ผูนาบูชาและนา สรรเสริญกวา ขน้ึ มาอธบิ ายประกอบอยา งนีแ้ ลว บดั น้ี เมื่อจะทรงสาํ ทับภิกษเุ หลานน้ั เพ่ือใหเ ปนอยางนน้ั จงึ ตรสั วา ตสฺมาตหิ เม ภกิ ฺขเวดังนี้ เปน ตน. ตรสั ไวว าอยา งไร ? ตรัสไวว า เพราะเหตุท่ีภิกษุผูฉนั บิณฑบาตนั้นแลว บาํ เพ็ญสมณ-ธรรม เปน ผเู หินหา งจากคณุ ธรรมที่เปนรากเหงา ๕ ประการเหลา น้ี สวนภิกษุผไู มฉ ันแลว บาํ เพญ็ จะเปนผมู สี ว นแหงคณุ ธรรมเหลา นัน้ ฉะน้ันแลภิกษุทงั้ หลาย เธอท้ังหลายจงเปน ฯ ล ฯ ของเรา อยาเปนอามสิ ทายาท. บทวา อหิ มโวจ ภควา ความวา พระผมู ีพระภาคเจา ไดต รัสคําน้คี ือ อปุ เทศแหงพระสูตรวา ตั้งแตท ายนทิ าน๑จนกระทง่ั ถึงอยาเปนอามิสทายาท.๑. ปาฐะเปน นพิ ฺพานปรโิ ยสานโต ฉบับพมาเปน นทิ านปรโิ ยสานโต แปลตามฉบับพมา .
พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 236 บทวา อทิ วตวฺ าน สคุ โต ความวา และครน้ั ตรัสอุปเทศแหงพระสูตรนี้แลว พระผมู ีพระภาคเจา จงึ ไดรับการถวายพระนามวาพระสคุ ตนน้ั แหละ เพราะทรงดาํ เนนิ ไปดว ยปฏิปทาอันงาม. บทวา อฏุ ายาสนา วหิ าร ปาวิสิ ความวา เสด็จลุกขนึ้ จากบวรพทุ ธอาสนทม่ี ีผปู ลู าดถวายไวแ ลว กเ็ สด็จเขา ไปสูวิหาร คือมหาคันธกฎุ ีของพระองค. เหตทุ ี่พระพุทธเจาเสด็จกลับกอ น ถามวา ในเมอื่ บริษทั ยังไมแยกยา ยกนั กลับเลย เพราะเหตไุ ร(พระผมู ีพระภาคเจา จึงเสดจ็ ลุกขนึ้ จากพุทธอาสนเขา ไปสูวหิ ารเลา ) ? ตอบวา เพอื่ จะทรงยกยองพระธรรม ไดส ดับมาวา พระพทุ ธเจาทั้งหลายเม่ือจะเสดจ็ เขา ไปสวู ิหารในเม่อื เทศนายังไมท นั จบ ก็จะเสด็จเขาไปดวยเหตุ ๒ ประการ คอื เพือ่ จะทรงยกยอ งบุคคล ๑ เพ่ือจะทรงยกยอ งพระธรรม ๑. เม่ือเสด็จเขาไปเพ่ือทรงยกยองบคุ คล จะทรงดาํ ริอยางน้วี า เหลา ภิกษุผรู ับเอาธรรมเรยี นเอาอุทเทศนี้ ท่เี ราตถาคตแสดงโดยยอแลว แตย งั ไมไดจาํ แนกใหพ สิ ดาร จกั พากนั เขา ไปเรยี นถามพระอานนทห รือไมกพ็ ระมหา-กจั จายนะ เธอทงั้ สองนัน้ กจ็ กั อธบิ ายสอดคลอ งกบั ญาณของเราตถาคตจากนน้ั เหลาภิกษุผูรับเอาธรรม จักกลบั มาถามเราตถาคตอีก เราตถาคตก็จักชมเธอทัง้ สองน้นั แกเหลาภกิ ษผุ ูรบั เอาธรรมนั้นอยางนีว้ า ดูกอนภกิ ษุทง้ั หลาย อานนทอธิบายดีแลว กัจจายนะ๑ก็อธิบายดีแลว ความขอ นี้แมพวกเธอทั้งหลายจะพึงมาถามเราตถาคตไซร เราตถาคตกจ็ กั อธิบายความ๑. ปาฐะเปน กจฺฉาเนน เหน็ วา ควรจะเปน กจจฺ ายเนน จงึ ไดแปลอยา งนั้น.
พระสตุ ตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 237ขอ นน้ั แบบเดยี วกันน้นั แหละ จากน้ันภิกษทุ ้งั หลายกจ็ กั เกดิ ความเคารพในเธอท้ังสองแลว พากันเขาไปหา. แมเ ธอท้งั สองก็จักแนะนาํ ภิกษุทัง้ หลายไวในอรรถและธรรม ภกิ ษเุ หลา น้ันอนั เธอทัง้ สองนัน้ แนะนําแลว ก็จักพากัน บาํ เพ็ญสกิ ขา ๓ กระทาํ ทสี่ ดุ ทกุ ขไ ด. เม่อื จะเสด็จเขา ไปเพ่ือยกยองพระธรรม จะทรงพระดาํ ริเหมือนท่ีไดทรงพระดําริในทน่ี ั้นนนั่ เองวา เม่ือเราตถาคตเขา ไปสวู ิหารแลว พระสาร-ีบตุ รนัง่ อยูใ นทา มกลางบรษิ ัทน้ีนัน้ แล จักแสดงธรรมตาํ หนิอามิสทายาทและยกยองธรรมทายาทน้ันเหมือนกนั เทศนาน้ีที่เราทัง้ สองแสดงแลว อยางน้ีตามมติที่เปนไปในแนวเดียวกัน จกั เปนเทศนาท่เี ลิศและหนัก (มคี วามสาํ คัญ ) เฉกเชน ฉตั รหนิ จักเปนเหมอื นเรอื ที่จอดอยทู ่ที าแลว เพราะหมายความวา ขา มโอฆะ ๔ ได และจักเปน เหมือนรถเทียมดว ยมา อาชาไนย๔ ตวั เพราะหมายความวา เปนเหตใุ หไ ปสสู วรรค. อนงึ่ เปรียบเหมอื นเม่อื พระราชาทรงออกพระราชบญั ญตั ิในที่ประ-ชุมวา คนทที่ ําความผดิ อยา งน้ตี อ งถกู ปรับสินไหมเทาน้ี แลวเสดจ็ ลุกจากพระราชอาสนข ้นึ สปู ราสาท เสนาบดที ีน่ ั่งอยใู นทนี่ ้นั นนั่ แลจะรกั ษาการณใหเ ปนไปตามพระบญั ญตั นิ น้ั ฉนั ใด เทศนาทเ่ี ราแสดงแลวกฉ็ ันนั้นเหมือนกัน สารบี ุตรนั่งอยใู นทีป่ ระชมุ นีน้ น่ั แหละจกั แสดงยกยอ ง. เทศนาที่ตถาคตกับสารีบตุ รแสดงแลว ตามมติของเราทัง้ สองจกั รงุ เร่อื งมีกาํ ลัง ดุจพระอาทติ ยย ามเที่ยงวนั ฉะน้ัน. เพ่อื ทรงยกยอ งธรรมในท่นี ้ีอยางนี้ พระผูมพี ระภาคเจา จงึ เสดจ็ ลุกขน้ึ จากพุทธอาสนเ ขา ไปสวู หิ าร. อน่ึง ในฐานะเชนนี้พึงทราบวา พระผมู พี ระภาคเจา ทรงหายพระ
พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 238องคไ ปบนพุทธอาสนท่ปี ระทับนง่ั น่ันเอง เสด็จเขาไปสวู หิ ารดวยการเสด็จไปดวยอํานาจจิต เพราะถา พระผูม ีพระภาคเจา จะพึงเสดจ็ ไปดว ยการไปดว ยพระกายไซร บริษทั ท้ังหมด (ทปี่ ระชมุ อยูในทนี่ ั้น) ก็คงจะพากันแวดลอ มพระผูมพี ระภาคเจา ไว. บรษิ ทั (ที่ประชมุ กันอยู ) นนั้ แตกกลุมกนั ชัว่ คราวแลว กย็ ากท่จี ะมาชมุ นุมกนั ไดอ ีก ( เพราะฉะนัน้ ) พระผูมีพระภาคเจา จึงเสดจ็ เขาไปดว ยการเสดจ็ ไปดว ยอํานาจจติ นน่ั เอง ( หายตวัไป ). พระสารีบุตรเถระแสดงธรรม [ ๒๓ ] กแ็ ล คร้นั เมอ่ื พระผูมีพระภาคเจาเสดจ็ เขาไป ( สวู ิหาร )ดว ยอาการอยา งนัน้ แลว ทา นพระสารบี ตุ ร ( น่งั ) อยู ณ ที่น้ันแล ประสงคจะยกยอ งธรรมน้ันใหส อดคลอ งกบั พระประสงคของพระผมู ีพระภาคเจาจงึ ไดก ลา วคํานีไ้ ว. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา อายสฺมา เปนคําเรียกคนทร่ี กั . คําวา สาริปุตโฺ ต เปน นามของพระเถระน้ัน กแ็ ล นามนั้นไดมาจากขางฝายมารดา มิใชไ ดม าจากขา งฝายบดิ า เพราะพระเถระน้ันเปนบุตรของพราหมณีชอื่ รูปสารี ฉะนัน้ จึงช่ือวา สารีบุตร. คาํ วา อจิรปกกฺ นตฺ สสฺ แปลวา เพง่ิ หลกี ไปไดไมน าน. กใ็ นคาํ วา อาวโุ ส ภกิ ขฺ เว น้ี มีวนิ ิจฉยั ดังน.้ี พระผมู พี ระภาคเจา ทง้ั หลายเม่ือจะทรงเรยี กสาวก ( ของพระองค ) ก็จะทรงเรยี กวาภิกฺขเว (ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย ) ฝา ยสาวกทงั้ หลายคิดวา เราท้ังหลายจงอยาเสมอกบั พระพุทธเจาทัง้ หลายเลย ดังนแี้ ลว (เมื่อจะรอ งทกั กัน)กก็ ลาววา อาวโุ ส (แปลวา ดกู อนผูมีอายุ ) กอ นแลว จึงกลา ววา
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 239ภกิ ขฺ เว (ดูกอนภกิ ษุทงั้ หลาย) ทหี ลงั . อนง่ึ ภกิ ษุสงฆทีพ่ ระพทุ ธเจาทง้ั หลายตรสั เรียกแลว กจ็ ะทูลรบั วา ภทนฺเต ( พระเจาขา ) สงฆที่พระสาวกทงั้ หลายเรยี กจะตอบรับวา อาวโุ ส (ดูกอนผมู อี าย)ุ . คําวา กติ ฺตาวตา ในบทวา กติ ฺตาวตา นุ โข อาวโุ ส นี้เปนคําแสดงความกาํ หนด แปลวา ดวยเหตุเทา ไร ? นุ อกั ษรใชใ นอรรถแหง คําถาม. โข อกั ษรเปน เพยี งนบิ าต. บทวา สตฺถุ ปวิวิตฺตสฺส วิหรโต ความวา เม่ือพระศาสดาประทับอยดู ว ยวเิ วก ๓ คือ กายวิเวก จติ ตวเิ วก และอุปธวิ ิเวก. บทวา วเิ วกนฺนานสุ กิ ขฺ นฺติ ความวา ไมศ ึกษาตามซ่ึงวิเวกทั้ง ๓แมแตว เิ วกขอ ใดขอ หนึ่ง. บทวา อามสิ ทายาทาว โหนตฺ ิ ความวา ทานพระสารีบุตรถามเนอ้ื ความนี้กะภกิ ษทุ ั้งหลาย. แมในสกุ กปก ษ ( ฝา ยท่ดี ี) ก็นยั น้ี.เมือ่ พระเถระกลา วอยางนี้แลว ภกิ ษุทงั้ หลายประสงคจ ะสดับเนื้อความนัน้จึงไดก ลาววา ทูรโตป โข ดังนีเ้ ปน ตน. บรรดาบทเหลา นัน้ บทวา ทรู โตป ความวา จากภายนอกแวนแควนบาง จากภายนอกชนบทบาง อธบิ ายวา จากทไ่ี กลนบั ไดห ลายรอยโยชนบ าง. บทวา สนฺตเิ ก แปลวา ในที่ใกล. บทวา อฺ าตุ แปลวา เพือ่ รู คือเพื่อเขาใจ. บทวา อายสมฺ นตฺ เยว สาริปุตฺต ปฏิภาตุ ความวา จงเปนหนา ท่ีสว นของทานพระสารบี ุตรเถดิ อธิบายวา ขอใหทา นพระสารบี ตุ รชวยแจกแจง ( ขยายความ ) ใหเปน สว นของตนดวยเถดิ .
พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 240 ในขอน้มี อี ธิบายดงั ตอไปน้วี า การขยายความเปน หนาที่ของทานพระสารบี ตุ ร สวนการฟงเปนหนาที่ของพวกกระผม คําอธบิ ายอยางนี้สมกับลักษณะของศพั ท. สวนอาจารยบางพวกกลา ววา บทวา ปฏิภาตุคือ ทสิ ฺสตุ ( จงแสดง ). อาจารยอกี พวกหน่ึงกลาววา อปุ ฏาตุ(จงปรากฏ). บทวา ธาเรสฺสนฺติ (จกั ทรงจาํ ไว) ไดแกจกั เรยี น. ลําดับน้นั พระเถระประสงคจะแสดงธรรมแกภ ิกษุทัง้ หลายเหลา -น้นั จึงกลาวคําวา เตนหิ ดังนเ้ี ปนตน. ในคําวา เตนหิ นั้น มอี ธิบายวา บทวา เตน เปน ตติยาวภิ ัตติ.หิ อกั ษร เปน นบิ าต. มคี ําอธิบายวา เพราะเหตทุ ี่ทานทัง้ หลายประสงคจะฟง และบอกกลา วใหเปน ภาระของผม ฉะนั้น ขอทา นทั้งหลายจงฟง เถิด.เหลาภกิ ษุรบั รองคําพูดของพระเถระแลว. เพราะเหตนุ ั้น ทานจงึ กลาววาเอวมาวโุ ส ฯ เป ฯ ปจจฺ สฺโสสุ ดงั นี.้ [๒๔] ลําดับนนั้ ทา นพระสารีบตุ รเมอื่ จะแสดงเน้อื ความท่ีพระผมู พี ระภาคเจา ผทู รงตําหนคิ วามเปน อามิสทายาท ตรัสไวแลวโดยอาการอยางเดยี วกนั นน้ั เองวา แมเธอทั้งหลายกจ็ ะพึงถูกตําหนิ โดยความเปนอามสิ ทายาทนนั้ ดังนี้ โดยอาการ ๓ อยางแกภ ิกษเุ หลานั้น จงึ ไดก ลา วคําน้ีวา อิธาวโุ ส ฯ เป ฯ สาวกา วิเวก นานสุ กิ ฺขนตฺ .ิ ดวยคาํ เพยี งเทา น้ี พระเถระไดก ลาวไวแลว วา พระผูมพี ระภาคเจาเมอ่ื ทรงตาํ หนิปฏปิ ทาของผูเปนอามสิ ทายาทอันใด แมทา นท้งั หลายก็จะพงึถูกตําหนิดว ยปฏปิ ทาของผูเปน อามสิ ทายาทนัน้ . และพระเถระไดถามกจ็ ะถามใดดวยตนเองวา กติ ตฺ าวตา นุโข ฯ เป ฯ นานสุ ิกฺขนตฺ .ิ ความหมายแหง
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 241คําถามนัน้ แบบพิสดารเปนอันพระเถระไดแจกแจงไวด ีแลว. กแ็ ตวา ความหมายนั้นมไิ ดพาดพงิ ถึงวา พระผมู ีพระภาคเจา จะตองถกู ตําหนิดวยเลย. เพราะพระพุทธดํารสั ทีต่ รัสไวแ ลว วา อหมฺป เตนอาทสิ ฺโส ภวสิ สฺ านิ (แมเราตถาคตกจ็ กั ถูกตําหนดิ ว ยความเปนอามสิทายาทน้ันดวย) เปนพระดํารสั ทีถ่ ูกตอ งแลว ของพระผูมพี ระภาคเจาเอง ซ่งึ ทรงประสงคจะสงเคราะหสาวก ไมใชเ ปน ถอ ยคําของพระสาวก.แมใ นฝา ยทด่ี ี (สกุ กปกษ) กน็ ัยนี้. ในตอนนี้มโี ยชนา (การประ-กอบความ) ลาํ ดบั แหงอนุสนธเิ ทา นก้ี อน. สว นการขยายความในเร่อื งน้ี ดงั ตอไปน:้ี - บทวา อิธ แปลวา ในศาสนาน.ี้ บทวา สตฺถุ ปวิวติ ตฺ สสฺ ความวา เมื่อพระศาสดาผทู รงสงัดแลว อยางแทจริงดวยวเิ วก ๓. บทวา วเิ วก นานุสกิ ฺขนตฺ ิ ความวา ไมตามศกึ ษา คือไมบ าํ เพญ็ใหบริบรู ณซึง่ กายวเิ วก. กถ็ าวาพระเถระจะพึงกลา วหมายถึงวิเวกทงั้ ๓ ไซรคําถามก็คงไมมีเปนพเิ ศษ เพราะวา วิเวกในคําวา วเิ วก นานสุ ิกฺขนฺติน้เี ปน ฝา ยแหง คําพยากรณอยแู ลว เพราะฉะนั้น ทานจงึ แสดงกายวเิ วกดวยบทน้ีวา (วิเวก นานสุ กิ ขฺ นตฺ )ิ แสดงจติ ตวิ เิ วกดว ยบทวา เยสฺจธมมฺ าน และแสดงอปุ ธวิ ิเวกดวยวา พาหุลลฺ กิ า ดงั นเ้ี ปนตน . ในตอนนีพ้ ึงทราบความโดยยอดังพรรณนามาฉะนี้. ดวยบทวา เยสฺจ ธมมฺ าน พระเถระกลา วหมายเอาอกศุ ลธรรมมโี ลภะเปน ตน ซึ่งจะกลา วถึงขางหนาโดยนยั เปนตน วา ดูกอนอาวุโสบรรดาอกศุ ลธรรมเหลานั้น โลภะเปน บาป.
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 242 บทวา นปปฺ ชหนตฺ ิ ไดแกไ มละท้งิ อธบิ ายวา ไมบ ําเพญ็ ใหบรบิ รู ณซ่งึ จิตตวเิ วก. บทวา พาหลุ ลฺ กิ า แปลวา ปฏิบตั ิเพ่อื ความเปนผหู มกมุน ดว ยปจ จยั มีจวี รเปนตน . ภกิ ษุเหลานน้ั ช่อื วา สาถลกิ า เพราะนบั ถอื ศาสนาแบบยอ หยอ น. ในบทวา โอกฺกมเน ปุพฺพงฺคมา นี้ มีอธิบายวา นิวรณ ๕เรียกวา โอกกมนะ เพราะเปนเหตใุ หต กตา่ํ ภิกษเุ หลานน้ั นบั วาเปนแนวหนา (นํา ) ดวยการทาํ นวิ รณ ๕ ใหบริบูรณน ัน้ . บทวา ปวเิ วเก คอื ในอุปธิวเิ วก ไดแกน นิพพาน. บทวา นกิ ฺขติ ตฺ ธรุ า ความวา มีธุระอนั ปลงลงแลว คอื ไมทาํ การเริ่มความเพียรเพอ่ื บรรลนุ ิพพานนน้ั . ดวยคาํ เพยี งเทานี้เปน อนั ทานกลา วไวแลววา ไมบําเพญ็ อปุ ธิวิเวกใหบ รบิ ูรณ. พระสารีบุตรเถระครนั้ กลาวโดยไมจ าํ กัดแนนอนดว ยคํามีประมาณเทานี้แลว บดั นี้ เมอื่ จะจํากดั เทศนาใหแนนอน จงึ กลาวคําวา ตตฺราวุโส ดังนเี้ ปนตน. ถามวา เพราะเหตไุ ร ? เมือ่ พระเถระกลาวไมจ าํ กัดแนน อนลงไปอยา งน้ีวา สาวกท้ังหลาย ( ยอ มถกู ตาํ หน)ิ โดยเหตุ ๓ สถานภกิ ษเุ หลา น้นั ยอ มพากันบน วา เรอ่ื งน้นั พระเถระพดู วา คนอื่นไมไดว าพวกเรา แตเ มื่อพระเถระกลา วกาํ หนดแนน อนลงไปอยา งนีว้ า เถรา(สาวกทีเ่ ปนพระเถระ) นวา ( สาวกท่ีเปน นวกะ) มชฌฺ มิ า ( สาวกทม่ี ีพรรษาปานกลาง) ภกิ ษเุ หลา น้ันพากนั ทําความเอ้อื เฟอ วา เรื่องน้ีพระเถระวา พวกเรา. ตอบวา อปุ มาเหมอื นเม่อื เหลา ราชอาํ มาตยแ มจะบอกวา ประชาชน
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 243ตอ งชวยกันทาํ ความสะอาดถนนในเมือง ตางพากนั สงสัยอยูว า ใครกนั นะตอ งทําความสะอาด แลว ไม (มใี คร ) ลงมอื ทําความสะอาด ตอเม่ือตกี ลองบา วประกาศวา ประชาชนตอ งทําความสะอาดประเรือนของตน ๆชาวเมืองท้ังหมดตางกจ็ ะชวยทําความสะอาด และประดับประดาใหส วยงามโดยใชเ วลาเพยี งชัว่ ครูฉันใด อุปไมยก็พงึ ทราบฉันนั้น. บรรดาบทเหลา นนั้ บทวา ตตฺร ไดแ ก เตสุ โยค สาวเกสุ(บรรดาสาวกเหลาน้ัน). ภกิ ษุท้งั หลายท่ถี ูกเรยี กวา เปนพระเถระ เพราะหมายเอาผูม ีพรรษา๑๐ ขน้ึ ไป. ฐานศพั ทใ ชใ นความหมายตา ง ๆ บทวา ตหี ิ าเนหิ ไดแ กโ ดยเหตุ ๓ อยา ง ก็ฐานศพั ทน้ี ใชในอรรถวา ตาํ แหนง (อสิ ฺสรยิ ) เปาหมาย= ที่ตงั้ อย,ู ทด่ี าํ รงอยู, (ฐติ ิ) ขณะ และเหตุ (การณ) (มตี ัวอยา งดงัตอ ไปน้ี):- ฐานศัพท ใชใ นอรรถวา ตาํ แหนง (เชน) ในประโยคเปนตนวา กท็ าวสกั กะจอมเทพนที้ าํ กรรมอะไรไวจงึ ไดรบั ตาํ แหนง น.้ี ฐานศพั ท ใชในอรรถวา เปาหมาย (เชน) ในประโยคเปนตนวา เปนผฉู ลาดในเปา หมาย เปนผูยงิ ทันสายฟา (ยงิ ไมขาดระยะ). ฐานศัพท ใชใ นอรรถวา ขณะ (เชน ) ในประโยคเปน ตน วากค็ ํานีแ้ จมแจงเฉพาะพระผมู พี ระภาคเจาโดยขณะ (โดยฉบั พลัน). ฐานศพั ท ใชในอรรถวา เหตุ (เชน ) ในประโยคเปน ตนวา
พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 244รจู ักเหตุทเี่ ปน ไปไดโ ดยความเปนไปได. แตใ นท่นี ้ี ใชโนอรรถวา เหตุ เทา น้ัน. อธิบายวา เหตเุ รยี กวาฐานะเพราะเปนท่ตี ัง้ อยแู หง ผล โดยมคี วามเปนไปเก่ียวเนอื่ งกันกบั ผลนัน้ .ดวยเหตขุ อที่ ๑ น้ี พระเถระยอ มแสดงวา บทวา คารยหฺ า ในคําวาเถรา ภิกขฺ ู คารยฺหา นี้ แปลวา พงึ ถกู ตาํ หน.ิ พระเถระท้งั หลายจะตองถูกนินทาอยางนวี้ า ช่อื วา เปนพระเถระแลว ยงั ไมเ ขาไปสเู สนาสนะ อันเปน แนวไพร คืออนั สงัดในปา ไมย อมละทิง้ เสนาสนะใกลบ าน เทยี่ วคลกุ คลีดว ยหมคู ณะอยู ไมบ าํ เพ็ญกายวเิ วกเลย, ในเวลาที่เปน ภิกษนุ วกะและมชั ฌมิ ะ ทา นเหลาน้ี (ประพฤติ) เปน เชน ไรมาแลว ? คือพระเถระทั้งหลายยอ มไดร บั คํานินทานี้นะ ทา นผูมอี ายทุ ัง้ หลาย. แมในบทวา ทตุ เิ ยน (ดวยเหตุขอท่ี ๒) นี้ พระเถระทง้ั หลายจะตอ งถกู นินทาอยางนว้ี า ภิกษุเหลานถ้ี งึ จะเปนพระเถระ แตกไ็ มย อมละธรรม มีความโลภเปน ตน ทีพ่ ระศาสดาตรัสใหละ น่งั ในท่ีสมควรสว นขา งหน่งึ ก็ไมไ ดค วามแนว แนส งบนงิ่ แหง จิตแมเพียงชั่วลดั นิ้วมือ ในเวลาทเ่ี ปน ภกิ ษนุ วกะและมัชฌมิ ะ ทา นเหลา น้ี (ประพฤต)ิ เปนเชนไรมาแลว ? คอื พระเถระทงั้ หลายยอมไดรับคํานินทานีน้ ะ ทา นผูมอี ายุทง้ั หลาย.ควรทําการประกอบความดงั พรรณนามาอยางน้.ี แมใ นบทวา ตตเิ ยน (ดวยเหตุขอ ที่ ๓) น้ี พระเถระยอ มแสดงวา อาวุโส พระเถระท้ังหลายจะตองถูกนินทอยา งน้วี า ภิกษเุ หลานี้ ถึงจะเปน พระเถระ แตก็ไมยังอตั ภาพใหเปนไปดว ยปจจยั ตามมตี ามได ยงั มวัประดับประดาตกแตง จีวร บาตร เสนาสนะ และรางกายทเี่ ปอยเนาอยูไมยอมบําเพญ็ อปุ ธิวิเวก ในเวลาท่เี ปน ภกิ ษนุ วกะและมชั ฌิมะ ทา นเหลา นี้
พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 245เปนเชน ไรมาแลว ? คอื พระเถระทั้งหลายยอมไดร บั คาํ นินทานีน้ ะ ทานผมู ีอายุทัง้ หลาย. นักศกึ ษาพงึ ทราบการประกอบความดงั พรรณนามาน.้ี ในวาระเปน มชั ฌมิ ภกิ ษแุ ละนวกภิกษุกน็ ัยน้.ี สว นความแปลกกนั มีดงั ตอไปน้ี :- ภิกษทุ ั้งหลายทช่ี ่อื วา มชั ฌมิ ะ พระเถระกลา วหมายเอาภิกษุทมี่ ีพรรษา ๕ พรรษา จนกระทั่งถึงภกิ ษุมพี รรษาครบ ๙ พรรษา ดงั น้ี.ภกิ ษทุ ้งั หลายทชี่ อ่ื วานวะ พระเถระกลาววา ไดแกภ กิ ษทุ ีม่ พี รรษา ๕ลงมา ดังน้ี. เหมือนอยา งวา เวลาเปน พระเถระนั้น ทา นกลาววาภกิ ษุทั้งหลายท่เี ปน เถระ ในเวลาที่เปนนวกภิกษแุ ละมัชฌิมภิกษไุ ดเ ปนเชนไรมาแลวฉันใด ในเวลานี้ก็ฉนั น้นั คือภกิ ษุผูป านกลางและผใู หมพึงประกอบอธบิ ายวา ในกาลเปน ภิกษุใหมไ ดเ ปน เชนไรมาแลว ในกาลเปนพระเถระจกั เปนเชน ไร ในกาลเปนมชั ฌิมภิกษแุ ละเปน พระเถระจกัเปนเชนไร. และความหมายในสกุ กปกษ (ฝายด)ี กพ็ งึ ทราบตามนัยอันตรงขา มจากทกี่ ลา วมาแลวในกณั หปกษ (ฝายไมดี ) นี.้ สว นในท่ีนีม้ คี วามยอ ดังตอ ไปน้ี :- [๒๕] อีกอยางหนึง่ พระเถระท้งั หลายยอมเปนผูควรสรรเสริญ คือยอมไดรบั การสรรเสริญดว ยเหตุสถานที่ ๑ นวี้ า ภิกษุเหลา นแ้ี มจะเปนพระเถระ แตก ็ยงั อยูในเสนาสนะที่เปนแนวไพรในปา ท่อี ยหู างไกลกนั เปนโยชน แมถ งึ เวลาทีค่ วรจะเขาไปใกลเ สนาสนะใกลบา นก็ไมเขา ไป ถึงจะมีรางกายชราอยา งน้ี กย็ ังสปู รารภความเพียร ทาํ ใหผถู วายปจ จยั เกิดความเลือ่ มใส ในกาลทเ่ี ปนนวกภิกษุและมัชฌมิ ภกิ ษุไดเปน เชน ไรมาแลว ดงั น้ี,ทา นเหลานนั้ ยอมละอกศุ ลธรรมมีโลภะเปน ตน บาํ เพญ็ จติ ตวิเวกอยูให
พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 246บรบิ ูรณ. ดวยเหตุสถานท่ี ๒ น้ี ภกิ ษทุ ง้ั หลายผเู ปน พระเถระยอมเปนผูควรสรรเสริญ คือยอมไดร ับการสรรเสรญิ วา ภกิ ษุน้ถี งึ จะเปนพระเถระผูใหญวัยเชนนี้ เปน เวลาควรจะน่ังใหสัทธิวิหาริกและอนั เตวาสกิ หอ มลอมไดแลว ฉนั เสร็จแลว ก็ยงั เขา (หองบําเพ็ญธรรม ) ตอนเยน็ จึงคอยออกมาเขาไปตอนเย็นแลว ตอนเชา จงึ คอยออกมา กระทาํ บริกรรมกสิณใหสมาบตั ิเกิด บรรลมุ รรคผล บําเพ็ญจติ ตวเิ วกใหบรบิ ูรณโดยประการท้งั ปวง. ดวยเหตุสถานท่ี ๓ นี้ พระเถระยอมเปน ผคู วรสรรเสรญิ คอื ยอมไดรบั การสรรเสรญิ วา ในกาลท่พี ระเถระควร (ใช) จีวรเบาซึ่งมสี มั ผสัสบาย เชน ผา ธรรมดาผา ทาํ ดว ยเปลือกไมแ ละผา แพรเปน ตน พระมหาเถระนก้ี ย็ ังนงุ หม ผา บงั สกุ ุล. ทา นนับถือศาสนาอยางเครงครดั ปราศจากนวิ รณเขาผลสมาบัติ บาํ เพญ็ อุปธวิ ิเวกใหบรบิ ูรณอยู (ในบัดนยี้ งั ปฏิบตั ิไดถ ึงขนาดนี้ ) ในกาลทีเ่ ปน นวกภิกษุและมัชฌมิ ภิกษไุ ดเปน ( ปฏบิ ตั ิ )เชนไรมาแลว. ในวาระที่เปน มชั ฌมิ ภกิ ษุกม็ ีนัยนี้. [๒๖] ถามวา ในบทวา ตตฺราวโุ ส มีอนสุ นธิ (การสบื ตอของเรื่อง ) เปน อยางไร ? ตอบวา พระสารีบตุ รเถระเมอ่ื ตําหนิปฏิปทาของผูเปนอามิสทายาทดวยอาการ ๙ อยาง ( และ) ยกยองปฏปิ ทาของผเู ปนธรรมทายาทดวยอาการ ๙ อยาง ยังเทศนาใหจบลงดว ยอาการ ๑๘ อยา งนี้แลว เพ่อื จะแสดงถึงธรรมทีค่ วรละที่ทา นไดก ลาวไวอยางนีว้ า พระศาสดาตรัสการละธรรมเหลา ใดไว ธรรมเหลา นัน้ ภิกษุยังละไมได แกภ ิกษเุ หลานัน้โดยสรุปวา ไดแกธ รรมเหลานนี้ ัน้ จงึ ไดก ลาวคําน้ีไวว า ตตฺราวุโส
พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 247โลโภ จ ดังนเี้ ปนตน นี้คืออนสุ นธิ (ในสองบทน้นั ). อีกอยา งหนง่ึธรรมทงั้ หลาย ทา นไดกลา วไวโ ดยออ มแลว ในตอนตน นนั่ แล. สว นอามิสกไ็ ดก ลาวไวแลวทั้งโดยออมทั้งโดยตรง. บัดนี้ เพอื่ จะกลาวธรรมโดยตรง คือโลกุตตรมรรค พระเถระจึงไดก ลา วคําน้ไี ว และในคาํ นีก้ ็มอี นุสนธิดังตอไปน้ี :- บทวา ตตรฺ เปน บทแสดงถึงเทศนาท่ผี านมาแลว. มคี ําอธิบายวาในเทศนาท่ีพระผูมีพระภาคเจา ตรสั ไวโ ดยนยั เปน ตน วา เม่อื พระศาสดาทรงอยอู ยางสงัด เหลา พระสาวกกลับไมศ กึ ษาตาม ซึ่งวิเวก ( การอยูอยางสงัด). ดว ยคําวา โลภะเปนบาปธรรมและโทสะกเ็ ปน บาปธรรมพระเถระยอมแสดงวา ธรรมทง้ั ๒ ประการนเ้ี ปน บาป คือตํ่าชา ฉะนน้ัธรรมเหลา นจ้ี ึงตอ งละเสยี . ในบรรดาโลภะและโทสะทง้ั ๒ น้นั โลภะมีลักษณะอยากได โทสะมลี กั ษณะประทษุ รายใจ. ในจาํ นวนโลภะและโทสะนน้ั โลภะมแี กภ กิ ษุผเู ปนอามิสทายาทในเพราะการไดปจจัยทง้ั หลาย. สว นโทสะมเี พราะอลาภะ คือตองการสง่ิ ที่ยงั ไมไ ด (ไมต อ งการสง่ิ ที่ไดอ ยแู ลว ) หรอื มีเพราะโทสะ ( โดยตรง )คือเม่อื ไมไ ดก็นาํ ความคบั แคนใจนาให. โลภะมใี นเพราะไทยธรรม (ของทําบญุ ). สวนโทสะมใี นเพราะบคุ คลทไ่ี มถวายหรอื ในบุคคลทีถ่ วายของทีไ่ มถูกใจ. เพราะโลภะจงึ ทาํให (อกศุ ล) ธรรมซ่งึ มีตณั หา ๙ อยา งเปน มลู บรบิ ูรณ. เพราะโทสะจงึทาํ ใหมัจฉริยะ ๕ อยา งบริบรู ณ. บัดน้ี เมอื่ จะแสดงอบุ ายเปน เครอ่ื งละโลภะและโทสะเหลาน้ัน พระ
พระสตุ ตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 248สารบี ุตรเถระจึงกลาววา โลภสสฺ จ โทสสสฺ จ ปหานาย ดงั น้ีเปนตน . คําของพระเถระนัน้ มอี ธบิ ายความวา ก็ขอปฏบิ ตั สิ ายกลางเพื่อละโลภะและโทสะอันเปน บาปนั้นมีอย.ู คาํ น้ี พระเถระกลา วหมายถงึ มรรค. เพราะวา มรรคจะไมเ ขา ใกล คือไมเ ขาไปใกลทส่ี ุดทง้ั ๒ นี้ คอื โลภะก็เปน ทีส่ ดุ อันหน่งึ โทสะกเ็ ปน ท่ีสดุ อันหนึง่ พนแลว อยา งสิน้ เชิงจากทีส่ ดุ ทงั้ ๒ น้ี เพราะฉะนน้ั จึงเรียกวา มัชฌิมาปฏิปทา (ขอ ปฏบิ ัติสายกลาง). ท่ีชื่อวามชั ฌิมา เพราะอยูในระหวางกลางทส่ี ุดทั้ง ๒ น้ันทีช่ ื่อวา ปฏปิ ทา เพราะอันบคุ คลผตู องการนพิ พานพงึ ปฏบิ ัติ อนึง่ กามสุขลั ลกิ านุโยคก็เปนที่สดุ อนั หนง่ึ อัตตกิลมถานโุ ยคก็เปนที่สุดอันหน่ึง สสั สตทฏิ ฐิก็เปนท่ีสดุ อันหน่งึ อจุ เฉททิฏฐกิ ็เปน ท่ีสุดอนั หนง่ึเพราะเหตุนน้ั บัณฑิตพงึ ใหพสิ ดารโดยนยั แรกนน่ั เถิด. ผลของมัชฌมิ าปฏปิ ทา กพ็ ระสารบี ุตรเถระยอมยกยองปฏปิ ทาน้ันนน่ั เอง ดวยคาํ วา จกิข-ุกรณี เปนตน เพราะวา ปฏปิ ทาน้นั ยอ มเปน ไปพรอ มเพ่ือการเห็นสัจจะทั้งหลาย โดยหมายความวา เปนตวั นาํ ในการเห็น เพราะเหตนุ น้ั จึงชอ่ื วาจกั ขกุ รณ,ี ยอ มเปนไปพรอ มเพ่อื รซู งึ่ สัจจะท้ังหลาย โดยหมายความวาเปน เหตทุ ําใหร แู จง เพราะเหตุน้นั จึงช่ือวา ญาณกรณี. อน่งึ ช่อื วายอมเปนไปพรอ มเพ่อื ความสงบ เพราะทาํ ใหก เิ ลสทั้งหลายมรี าคะเปน ตนสงบ ชอื่ วายอมเปนไปพรอ มเพ่อื อภิญญา (ความรยู ง่ิ ) เพราะเปนเหตุเหน็ วาสัจจะทง้ั เปน ธรรมทค่ี วรรูยง่ิ . มรรค ชื่อวาสมั โพธะ (การตรัสร)ู มชั ฌิมาปฏิปทายอ มเปน
พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 249ไปเพ่อื สัมโพธะ เพราะเปน ไปพรอ มเพอ่ื ประโยชนแกม รรคนน้ั , แทจริงมรรคน่นั เอง ยอ มเปน ไปพรอมเพ่ือประโยชนแกมรรค. ธรรมชาติ ช่อื วาพระนิพพาน เพราะทาํ กจิ ทมี่ รรคตอ งทํา แตปฏปิ ทาทา นกลาววา ชอื่ วา เปน ไปพรอ มเพ่ือพระนิพพาน เพราะเปน ไปพรอ มเพ่ือกระทําใหแจง คอื ทําใหป ระจักษช ดั ซ่งึ นพิ พานน้ัน ทา นจงึกลาววา เปน ไปพรอมเพอ่ื นพิ พาน. ใจความสําคญั ในเรอื่ งนีม้ เี ทาน้ี.การพรรณนาอยางอื่นนอกไปจากนี้จะทําใหเนน่ิ ชา ไป. บดั นี้ พระเถระประสงคจ ะแสดงมชั ฌมิ าปฏิปทาน้ันโดยสรปุ จึงถามวา กตนาวุโส ดงั นแี้ ลว วิสชั นาโดยนัยเปนตน วา อยเมว. บรรดาบทเหลานนั้ บทวา อยเมว (แปลวานเี้ ทา นัน้ ) เปนคําอวธารณะ (หา มคาํ อนื่ ). พระเถระกลาวคํานี้ ไวเ พอื่ เปน การปฏเิ สธมรรค(ทางไปสูน ิพพาน) สายอ่ืน เพอื่ จะไดแ สดงวา มรรคนัน้ เปน ของมที ่ัวไปแกพ ระพุทธเจา พระปจเจกพทุ ธเจา และพระสาวกของพระพทุ ธเจา.ขอนส้ี มดวย พระพทุ ธดาํ รัสทต่ี รัสไวว า มรรค (ทาง) สายนเี้ ทานนั้ ไมม มี รรคอื่น เพ่ือความบรสิ ุทธ์ิแหงทัสสนะ. ความหมายของมรรค มรรคน้ีนน้ั ชอื่ วาอรยิ ะ เพราะทํากิเลสใหอ ยหู า งไกลบา ง เพราะเปนไปพรอมเพอื่ ละขาศึก (กเิ ลส)บา ง เพราะเปนมรรคท่ีพระอริยะแสดงไวบาง เพราะเปนไปพรอ มเพ่อื ใหไดความเปน พระอริยะบา ง. (มรรค)ช่อื วา มีองค ๘ เพราะประกอบดว ยองค ๘ และพน ไปจากองคหาได
พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 250ไม เปรียบเหมือนเครอ่ื งดนตรีประกอบดวยองค ๕ เปนตน ฉะนั้น ทช่ี ื่อวา มรรค เพราะหมายความวา ฆา กิเลสท้งั หลายไปบาง ดาํ เนนิไปสนู พิ พานบา ง อันบุคคลผตู อ งการนิพพานแสวงหาบาง อนั บคุ คลผูตองการนิพพานเหลา นนั้ ดาํ เนนิ ไป คอื ปฏบิ ัติบา ง. บทวา เสยฺยถที เปน นิบาต. นิบาตวา เสยยฺ ถที น้ัน มคี วามหมายเทา กับ กตโม โส (แปลวา มรรคนัน้ คอื อะไรบาง) หรือมีความหมายเทากับ กตมานิ ตานิ อฏงฺคานิ (แปลวา องค ๘ น้ันคอื อะไรบาง). ความจรงิ แลว องคแตละองคก ็คอื มรรคนัน่ เอง. สมดวยคําท่ีทา นกลา วไวว า สัมมาทฏิ ฐิเปน มรรคดว ย เปนเหตดุ ว ย. แมโ บราณาจารยทัง้ หลายกก็ ลา วไววา สมั มาทิฏฐเิ ปนทางเปน เหตุใหเ ห็น สัมมาสังกัปปะเปน ทางเปน เหตใุ หฝง ใจ (ในอารมณ) ฯลฯ สมั มาสมาธิเปนทางเปนเหตุไมใ หฟ ุงซา น. อนงึ่ ในบรรดาองคม รรค๑ทงั้ หลายมีสัมมาทิฏฐิเปน ตน เหลา น้ีสมั มาทิฏฐมิ ีความเหน็ ชอบเปน ลักษณะ สมั มาสงั กัปปะมีความฝงใจโดยชอบเปนลักษณะ สัมมาวาจามีการหวงแหนโดยชอบเปน ลกั ษณะ สมั มา-กัมมนั ตะมกี ารดังขนึ้ พรอมโดยธรรมเปน ลกั ษณะ สมั มาอาชีวะมคี วามผอ งแผวโดยชอบเปนลกั ษณะ สัมมาวายามะมกี ารประคอง ( จติ ) โดยชอบเปน ลักษณะ สัมมาสตมิ ีความปรากฏโดยชอบเปนลกั ษณะ สัมมาสมาธิมีความตั้งมั่นแหงจติ โดยชอบเปนลกั ษณะ แมวเิ คราะหมรรคเหลา นั้นก็พึงทราบโดยนัยน้นั นน่ั เหมอื นกนั วา ทช่ี ่อื วาสนั มาทฏิ ฐิ เพราะเหน็ โดยชอบ.๑. ปาฐะวา สมฺมาทฏีสุ ฉบับพมาเปน สมฺมาทฏิ ฐ าทีสุ แปลตามฉบับพมา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 783
Pages: