Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore tripitaka_17

tripitaka_17

Published by sadudees, 2017-01-10 01:15:38

Description: tripitaka_17

Search

Read the Text Version

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 351ก็จะโกรธไมแ ชมช่ืน เพราะคิดวา อุบาสิกาทงั้ หลายสกั การะ เคารพนับถอื บชู าภกิ ษอุ ่ืน ไมสกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู าเรา ความโกรธและความไมแชมช่ืน ท้งั ๒ นชี้ ื่อวา อังคณะ. องั คณกิเลสที่ ๑๖ [๖๘] ทา นครับ ภกิ ษลุ างรูปในพระธรรมวินยั นี้ พงึ เกิดความปรารถนาอยา งน้วี า ถา กระไรหนอ เราเทา น้นั ควรไดจ ีวรที่ประณีตภิกษอุ ืน่ ไมควรไดจ ีวรที่ประณีต น้เี ปน ฐานะทจี่ ะมีได. ภกิ ษอุ ืน่ พึงไดจ ีวรทีป่ ระณีต ภิกษุนนั้ ไมไ ดจวี รทีป่ ระณีต น้เี ปนฐานะท่จี ะมีได. เธอก็จะโกรธไมแชม ชื่น เพราะคดิ วา ภิกษุอื่นไดจีวรที่ประณีต เราไมไ ดจวี รที่ประณีต ความโกรธและความไมแ ชมช่นื ทั้ง ๒ นช้ี ื่อวา อังคณะ. องั คณกเิ ลสที่ ๑๗ [๖๙] ทา นครับ ภกิ ษุลางรปู ในพระธรรมวินัยน้ี พึงเกิดความปรารถนาอยางน้วี า ถา กระไรหนอ เราเทา นนั้ ควรไดบิณฑบาตอนั ประณีตภกิ ษอุ ่ืนไมค วรไดบณิ ฑบาตอนั ประณีต นี้เปนฐานะท่ีจะมีได. ภิกษุอ่นืพึงไดบิณฑบาตอันประณตี ภิกษุนน้ั ไมไ ดบ ิณฑบาตอนั ประณตี น้ีเปนฐานะท่ีจะมีได. เธอกจ็ ะโกรธไมแชม ชนื่ เพราะคิดวา ภกิ ษุอ่ืนไดบิณฑบาตอันประณีต เราไมไ ดบิณฑบาตอนั ประณตี ความโกรธและความไมแ ชม ชื่น ท้งั ๒ น้ชี ่อื วา องั คณะ. อังคณกเิ ลสที่ ๑๘ ภิกษลุ างรูปในพระธรรมวินยั น้ี พงึ เกดิ ความปรารถนาอยา งน้ีวา

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 352ถากระไรหนอ เราเทานน้ั ควรไดเสนาสนะอันประณีต ภิกษุอื่นไมค วรไดเสนาสนะอนั ประณีต น้เี ปนฐานะที่จะมไี ด. ภกิ ษอุ ืน่ พึงไดเสนาสนะอนัประณตี ภิกษุนั้นไมไดเสนาสนะอันประณตี นเี้ ปนฐานะท่จี ะมีได. เธอก็จะโกรธไมแ ชมชื่น เพราะคิดวา ภกิ ษอุ ืน่ ไดเ สนาสนะอันประณีต เราไมไ ดเ สนาสนะอนั ประณตี ความโกรธและความไมแชม ชน่ื ทงั้ ๒ นี้ชอื่ วา อังคณะ. องั คณกเิ ลสท่ี ๑๙ ภิกษลุ างรูปในพระธรรมวนิ ยั นี้ พึงเกิดความปรารถนาอยางนีว้ าถากระไรหนอ เราเทา นัน้ ควรไดค ลิ านปจจยั เภสชั บริขารอนั ประณตี ภิกษุอื่นไมควรไดค ิลานปจ จัยเภสชั บริขารอันประณีต นเ้ี ปนฐานะทจ่ี ะมไี ด.ภิกษุอนื่ พงึ ไดค ิลานปจ จยั เภสชั บริขารอนั ประณตี ภิกษุน้ันไมไ ดคิลาน-ปจ จัยเภสัชบรขิ ารอันประณตี น้ีเปน ฐานะท่จี ะมไี ด. เธอกจ็ ะโกรธไมแชม ชน่ื เพราะคิดวา ภิกษอุ ื่นไดค ิลานปจ จัยเภสัชบริขารอันประณตีเราไมไ ดคิลานปจ จัยเภสัชบริขารอนั ประณีต ความโกรธและความไมแ ชมชืน่ ท้งั ๒ น้ชี อ่ื วา องั คณะ. อจิ ฉาวจรอกศุ ลที่ยังละไมได [๗๐] ทานครบั อจิ ฉาวจรที่เปน บาปอกุศลเหลาน้ัน ภิกษุรูปใดรปู หนึ่งยังละไมไ ดแลว ชนทัง้ หลายยงั เห็นอยู ยังไดย ินอยู. แมเ ธอจะอยูในปา มเี สนาสนะอันสงัด ถือบณิ ฑบาตเปน วตั ร เทย่ี วบิณฑบาตตามลาํ ดับ

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 353ตรอก ถอื ผาบงั สุกุลเปนวตั ร ครองจีวรเศราหมองอยู ถึงอยา งน้ัน เพอื่ นพรหมจรรยท ง้ั หลายก็ไมส ักการะ เคารพ นบั ถอื บชู าภกิ ษนุ นั้ . ขอนั้นเพราะเหตุอะไร ? เพราะอจิ ฉาวจรทีเ่ ปน บาปอกศุ ลเหลา นั้น. อันทานผมู อี ายนุ ้นั ยงละไมได ชนท้ังหลายยังเหน็ อยู และยังไดย นิ อยู. เปรยี บเหมอื นถาดทองสัมฤทธทิ์ บี่ ุคคลนํามาแตรานตลาด หรือแตส กุลชางทองเปนของสะอาดหมดจด. เจาของเอาซากศพงู ซากศพสนุ ัข หรอื ซากศพมนษุ ยวางลงในถาดทองสัมฤทธ์นิ ัน้ ปดดว ยถาดทองสมั ฤทธใิ์ บอน่ื แลวเดินไปรานตลาด. ชนเห็นถาดทองสมั ฤทธ์ินัน้ แลว จะตองพูดวา พอ คณุสิ่งทท่ี า นนําไปนีค้ ืออะไร ? นารนู า สนใจ. เขาพงึ ลกุ ขนึ้ เปด ถาดทองสมั ฤทธิ์นัน้ ดู พรอมกบั การเห็นซากศพนน้ั กเ็ กิดความไมพ อใจ ความเกลยี ดชังแมคนท่ีหวิ ก็ไมป รารถนาจะบริโภค ไมต องกลา วถึงคนที่บรโิ ภคอ่มิ แลวฉันใด. อจิ ฉาวจรที่เปน บาปอกุศลเหลา น้ี ก็ฉนั นัน้ ภิกษรุ ูปใดรูปหนึ่งยงั ละไมไดแลว อนั ชนท้ังหลายยงั เหน็ ยงั ไดย นิ อยู แมเธอจะอยูใ นปามีเสนาสนะอันสงดั ถือบณิ ฑบาตเปนวัตร เท่ยี วบิณฑบาตตามลาํ ดบั ตรอกถือผาบังสกุ ุลเปนวตั ร ครองจวี รเศราหมอง ถงึ อยา งน้ัน เพ่อื นพรหม-จรรยท้งั หลายกไ็ มส กั การะ เคารพ นบั ถอื บชู าภกิ ษนุ น้ั ขอนน้ั เพราะเหตอุ ะไร ? เพราะอิจฉาวจรท่ีเปน บาปอกศุ ลเหลา น้ัน ทา นผมู ีอายุนน้ั ยังละไมได อันชนท้งั หลายยังเหน็ อยู ยังไดยนิ อยู. อจิ ฉาวจรอกุศลท่ีละไดแ ลว [๗๑] ดูกอ นทานผูมอี ายุ อิจฉาวจรท่ีเปน บาปอกุศลเหลานี้ อัน

พระสุตตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 354ภกิ ษุรูปใดรูปหนงึ่ ละไดแ ลว ชนทัง้ หลายยังเห็นอยู ยังไดยินอย.ู แมเธอจะอยใู นเสนาสนะทายบา น รับนมิ นต ครองคฤหบดีจวี ร ถงึ อยางนัน้เพือ่ นพรหมจรรยท ้งั หลายกย็ งั สกั การะ เคารพ นบั ถือ บูชาภิกษนุ ้นั .ขอน้ัน เพราะเหตุอะไร ? เพราะอิจฉาวจรท่ีเปน บาปอกุศลเหลาน้ัน อนัทา นผมู อี ายุนัน้ ละไดแลว ชนทั้งหลายยังเห็น และยงั ไดย นิ อยู เปรียบเหมอื นภาชนะสมั ฤทธิ์ที่บคุ คลนาํ มาแตร า นตลาด หรอื แตสกลุ ชางทองเปน ของสะอาดหมดจด เจาของเอาขา วสกุ แหงขา วสาลที ี่เลอื กเอาของดาํ ออกแลว เอาแกงและกับหลายอยา งวางลงในถาดทองสัมฤทธ์ินน้ั ปดดวยถาดทองสัมฤทธอิ์ ่นื แลว เดนิ ไปยงั รา นตลาด. ชนเหน็ ถาดทองสมั ฤทธ์ิน้ันแลวจะตอ งพูดอยางน้ีวา พอคณุ สงิ่ ทที่ านนาํ ไปนคี้ ืออะไร นา รู นา สนใจเขาพึงลุกขึน้ เปด ถาดทองสมั ฤทธิน์ นั้ ดู พรอ มกบั การเห็นขาวสกุ แหง ขา วสาลีขาวสะอาดมีแกงและกบั หลายอยางน้ัน กเ็ กดิ ความพอใจ ไมเกลยี ดชงัแมค นทบ่ี รโิ ภคอิ่มแลว กย็ งั ปรารถนาจะบรโิ ภค ไมต อ งกลาวถงึ คนท่หี วิฉนั ใด. อจิ ฉาวจรทเ่ี ปน บาปอกศุ ลเหลา นี้ กฉ็ ันนั้น ภกิ ษรุ ปู ใดรปู หนึง่ ละไดแลว อันชนทง้ั หลายยงั เห็นอยู และยงั ไดยินอยู. แมเ ธอจะอยใู นเสนาสนะทายบา นเปนปกติ รบั นมิ นต ครองคฤหบดจี ีวร ถงึ อยางนนั้ เพือ่ นพรหมจรรยทง้ั หลายกย็ ังสกั การะ เคารพ นับถอื บูชาภิกษุนนั้ . ขอ นั้นเพราะเหตอุ ะไร ? เพราะอิจฉาวจรท่ีเปน บาปอกศุ ลเหลา นั้น ทา นผูมีอายุนนั้ ละไดแ ลว อันชนท้ังหลายยงั เหน็ และยงั ไดยนิ อย.ู

พระสุตตันตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 355 อปุ มาดว ยชา งทาํ รถ [๗๒] เม่ือทา นพระสารีบตุ รกลา วอยา งนแี้ ลว ทานพระมหา-โมคคลั ลานะไดก ลา วกะทานพระสารีบุตรวา ทานพระสารบี ุตรขอรบัอปุ มายอ มแจม แจง แกก ระผม ทา นพระสารบี ุตรจึงกลา ววา ทานพระมหาโมคคัลลานะ อุปมาจงแจมแจง แกท า นเถิด. ม. ทานขอรบั สมัยกาลครั้งหนงึ่ กระผมอยู ณ กรุงราชคฤหอันเปนคอกเขา๑. ครงั้ น้ัน เวลาเชา กระผมนุงแลว ถือบาตรและจวี รเขาไปยงั กรงุ ราชคฤหเ พอื่ บิณฑบาต. กส็ มยั น้ัน บุตรนายชางทํารถช่อืสมีติ ถากกงรถอยู อาชวี กช่ือปณฑบุ ตุ ร เปน บตุ รชางทํารถเกา เขาไปยนื อยใู กลนายสมีติน้นั ครั้งนน้ั อาชวี กปณ ฑบุ ตุ ร บตุ รชา งทํารถเกาเกดิ ความดาํ ริในใจอยา งนี้วา กระไรหนอ บุตรชา งทาํ รถน้ี พึงถากสว นโคง สว นคด กะพ้ี และปมตรงนี้แหง กงนี้ออกเสยี . เมือ่ เปน เชนน้ี กงน้กี จ็ ะส้นิ โคง สิน้ คด ส้นิ กะพ้ีและปม พงึ เหลอื แกน ลวน ๆ. อาชีวก-ปณฑบุ ุตร บุตรชางทาํ รถเกา มคี วามดาํ รใิ นใจ ฉันใด ๆ นายสมตี ิบุตรชา งทาํ รถก็ถากสวนที่โคง ท่คี ด กะพ้ี และปมแหง กงนน้ั ฉันนัน้ ๆ.คร้งั น้ัน อาชีวกปณฑบุ ุตร บตุ รชา งทํารถเกา ดีใจ เปลงวาจาแสดงความดใี จวา นายสมีติบุตรชางทํารถ ถากเหมอื นจะรใู จดวยใจ ฉันใด.ทา นขอรับ บุคคลท้ังหลายก็ฉันน้นั ไมมีศรัทธา เปน ผตู องการจะเลย้ี งชวี ติ ไมออกบวชเปนอนาคาริกดวยศรัทธา เปนคนมกั โออวด เจามารยาหลอกลวง ฟุงซา น ถอื ตน กลบั กลอก ปากกลา พดู จาเลอะเทอะไมคมุ ครองทวารในอนิ ทรียทัง้ หลาย ไมรปู ระมาณในโภชนะ ไมป ระกอบ๑. คือมเี ขาลอ มเปน คอก.

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 356ความเพยี ร ไมม ีความเพงเล็งในสามัญคณุ ไมมคี วามเคารพแรงกลา ในสกิ ขา เปน ผมู ักมาก ยอหยอน เปนหัวหนาในการทอถอย ทอดธรุ ะในความสงัด เกียจคราน มีความเพียรเลวทราม มสี ตฟิ น เฟอ น ไมมีสัมปชัญญะ มีจิตไมต้ังมนั่ มจี ิตหมนุ ไปผดิ มปี ญญาทราม เปนดงั คนใบทา นพระสารบี ุตรเหมอื นจะรใู จของบุคคลเหลา นน้ั ดวยใจ แลว ถากอยูดวยธรรมปรยิ ายน้.ี สวนกลุ บุตรเหลาใด มศี รทั ธา ออกบวชเปนบรรพชติ ไมเ ปนคนโออวด ไมม ีมารยา ไมห ลอกลวง ไมฟงุ ซาน ไมถอื คน ไมกลับกลอกไมปากกลา ไมพ ูดจาเลอะเทอะ คมุ ครองทวารในอนิ ทรียท ง้ั หลายรูประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียร มคี วามเพง เล็งในสามญั คณุ มีความเคารพอยางแรงกลา ในสกิ ขา ไมเปน ผูมักมาก ไมย อ หยอน ทอดธรุ ะในการทอถอย เปน หัวหนาในความสงดั ปรารภความเพยี ร มตี นสง ไปมสี ติตัง้ มัน่ มีสัมปชญั ญะ มีจติ มัน่ คง มจี ติ แนวแน มปี ญญา ไมเปนดุจคนใบ กลุ บตุ รเหลานัน้ ฟงธรรมปริยายของทา นพระสารบี ตุ รน้แี ลวเหมอื นหนง่ึ วา จะดื่ม จะกลืนไวด ว ยวาจาและใจวา เปนการดหี นอ ทา นพระสารบี ุตรผเู ปน เพอ่ื นพรหมจรรย ใหเ ราทัง้ หลายออกจากอกุศล ใหตัง้ อยูใ นกศุ ล. เปรียบเหมือนสตรหี รอื บรุ ุษ ท่ีกําลังสาวกําลังหนุม ชอบแตง ตัวชําระสระเกลาแลว ไดด อกอุบล ดอกมะลิ หรอื ดอกลาํ ดวนแลวประคองดวยมือทง้ั ๒ ยกขึ้นตัง้ ไวบนเศยี รเกลา ฉนั ใด กุลบุตรท้ังหลายกฉ็ นั นน้ั มศี รทั ธา ออกบวชเปน บรรพชติ ไมเ ปน คนโออ วด ไมม มี ารยาไมห ลอกลวง ไมฟ ุงซา น ไมถอื ตน ไมกลับกลอก ไมป ากกลา พูดจา

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 357เลอะเทอะ คมุ ครองทวารในอนิ ทรียท้ังหลาย รปู ระมาณในโภชนะประกอบควานเพยี ร มีความเพง เลง็ ในสามญั คณุ มคี วามเคารพอยา งแรงกลา ในสกิ ขา ไมเ ปนคนมักมาก ไมย อ หยอน ทอดธุระในการทอ ถอยเปนหวั หนา ในความสงัด ปรารภความเพียร มตี นสง ไป มีสติต้ังม่นัมสี มั ปชัญญะ มจี ิตมนั่ คง มีจิตแนวแน มปี ญญา ไมเ ปนดุจคนใบกุลบตุ รเหลา นั้นฟง ธรรมปรยิ ายของทานพระสารีบตุ รนีแ้ ลว เหมอื นหนง่ึวา จะด่มื จะกลืนไวด วยวาจาและใจวา เปน การดีหนอ ทา นพระสารบี ุตรผูเปน เพอ่ื นพรหมจรรย ใหเราทง้ั หลายออกจากอกุศล ใหต ้ังอยูใ นกุศลดงั นี้. พระมหานาคท้งั ๒ น้นั ตางช่นื ชมสุภาษติ แหง กันและกัน ดว ยประการฉะน้แี ล. จบ อนงั คณสูตรท่ี ๕

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนิกาย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาที่ 358 อรรถกถาอนงั คณสตู ร [ ๕๓ ] อนงั คณสตู ร เริ่มตนวา ขาพเจา (พระอานนท)ไดสดบั มาแลว อยางน้ี ทานพระสารีบตุ ร . . . การขยายความ (เฉพาะ) บททย่ี าก ในพระสูตรนน้ั และในพระสูตรทกุ สตู รกจ็ ะเหมือนในพระสตู รนี้ เพราะฉะนน้ั ตอจากนไ้ี ปขา พเจาจักไมก ลาวเฉพาะเทา น้ี แตจะทาํ การขยายบททไี่ มเคยขยายความมากอนดว ย. [ ๕๔ ] บทวา จตตฺ าโร เปนการกาํ หนดนับ. บทวา ปุคคฺ ลาไดแ กส ตั ว ผูคน และบรุ ษุ . ดวยคาํ เพียงเทา นี้ ( บุคคล ) ไมควรถอื วา พระมหาเถระ ( สารบี ุตร) มปี กติกลา วนิยมบคุ คล (พวกบคุ คลนยิ ม ) เพราะทานผูนป้ี ระเสริฐทสี่ ุดในบรรดาพระสาวกผูเปนพุทธบตุ รท้ังหลาย ทานเทศนาไมข ดั แยง กับพระธรรมเทศนาของพระผูมีพระภาคเจาเลย. เทศนา ๒ พระธรรมเทศนาของพระผมู พี ระภาคเจา มี ๒ อยาง คือสมมตเิ ทศนา ( เทศนาเก่ียวกับสมมติ ) ๑ ปรมัตถเทศนา ( เทศนาเกี่ยวกบั ปรมตั ถ) ๑. ในจํานวนเทศนาทัง้ ๒ อยา งนัน้ สมมติเทศนา มีรูปความอยา งนีว้ า บคุ คล สัตว หญงิ ชาย กษัตรยิ  พราหมณ เทพ มาร เปนตน .

พระสตุ ตนั ตปฎก มัชฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 359 สวนปรมตั ถเทศนา มรี ูปความอยางนี้วา อนจิ จงั ทกุ ขัง อนั ตตาขนั ธ ธาตุ อายตนะ สติปฏฐานเปน ตน. ในจาํ นวนเทศนาทง้ั ๒ อยา งนัน้ พระผูม ีพระภาคเจา ทรงแสดงสมมตเิ ทศนาแกเ หลาพุทธเวไนย ผทู ่ีฟงพระธรรมเทศนาวาดว ยเร่ืองสมมตแิ ลว เขาใจเนอื้ ความทะลุปรโุ ปรง สามารถละโมหะบรรลคุ ุณวเิ ศษได สว นคนเหลาใด ฟง พระธรรมเทศนาวา ดวยเรอื่ งปรมัตถแลวเขา ใจเนือ้ ความทะลุปรโุ ปรง สามารถละโมหะบรรลคุ ุณวิเศษได พระองคก็ทรงแสดงปรมัตถเทศนาใหเ ขาฟง . เปรียบเทียบความ ในการทรงแสดงพระธรรมเทศนาทัง้ ๒ อยางนนั้ มีขอเปรียบเทยี บดังตอ ไปน.้ี อุปมาเหมือนอาจารยผบู รรยายไตรเพท รูภาษาถนิ่ เม่อืพดู ภาษาทมฬิ นกั เรียนพวกใดเขาใจความหมาย ก็จะบอกเขาเหลานั้นดว ยภาษาทมิฬ. แตถ า พวกใดเขา ใจความหมายดวยภาษาใดภาษาหน่ึงในจาํ นวนภาษาทัง้ หลาย มภี าษาอนั ธกะ เปน ตน ก็จะบอกเขาเหลานน้ัดวยภาษานั้น. เมอ่ื เปน เชน น้นั มาณพนอ ย (นักเรียน) เหลานัน้ไดอ าศัยอาจารยผ ูฉลาด หลักแหลม จะเรยี นศิลปะไดเร็วทีเดยี ว ฉันใด. ในขอ อปุ ไมยนน้ั กฉ็ ันนัน้ พระผูมพี ระภาคเจา พงึ ทราบวา เหมือนอาจารย พระไตรปฎ กท่อี ยใู นภาวะทจ่ี ะตองทรงสอนเหมือนไตรเพทพระปรชี าฉลาดในสมมติ และปรมัตถ เหมอื นความฉลาดในภาษาถนิ่เวไนยสตั วผ ูสามารถแทงตลอดดว ยสมมตเิ ทศนาและปรมตั ถเทศนา๑ เหมือน๑. ปาฐะ แยกกนั เปน สมฺมติ ปรมตฺถ เทสนา ปฏิวชิ ฌฺ นสมตฺถา เขา ใจวา คงจะติดกนั และฉบบั พมา ก็ติดกนั จึงไดแปลเชนน้นั .

พระสุตตนั ตปฎก มัชฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 360มาณพนอย (นักเรยี น) ผูพ ดู ภาษาถ่ินตา ง ๆ พระธรรมเทศนาวาดว ยสมมติ และปรมัตถข องพระผมู ีพระภาคเจา เหมอื นการบอก (ไตรเพท)ดว ยภาษาทมิฬเปนตน ของอาจารย. และในการทพี่ ระผูมีพระภาคเจา ทรงแสดงสมมตเิ ทศนา และปรมตั ถเทศนานี้ พระโบราณาจารยไ ดกลาวไววา:- พระสัมมาสมั พุทธเจา ผปู ระเสรฐิ กวา ผูสอนท้งั หลาย ไดต รัสสัจจะไว ๒ อยา ง คือ สมมตสิ ัจจะ ๑ ปรมตั ถสัจจะ ๑ ไมมีสจั จะอยา งที่ ๓ พระ พทุ ธดํารสั เกย่ี วกบั สมมติ (สังเกต) ชอื่ วา เปน สจั จะ เพราะเหตุทเ่ี ปน สมมตขิ องโลก สวนพระ พุทธดาํ รสั เก่ียวกับปรมตั ถ ชื่อวา เปน สจั จะ เพราะ เหตุที่เปน ความจรงิ ของธรรมท้งั หลาย เพราะฉะนน้ั สาํ หรบั พระโลกนาถศาสดา ผทู รงฉลาดในโวหาร เทศนา ตรัสถึงสมมติ มุสาวาทจึงไมเ กิดขน้ึ (ไม เปนการกลาวเท็จ) ดังน.้ี เหตุตรสั บคุ คลกถา ๘ ประการ อกี อยา งหนึ่ง พระผูมพี ระภาคเจา ไดตรัสบคุ คลกถา (ถอยคําระบุบคุ คล ) ดว ยเหตุ ๘ ประการ คอื ๑. เพือ่ ทรงแสดงถึงหริ แิ ละโอตตัปปะ ๒. เพ่ือทรงแสดงถึงความท่สี ตั วม กี รรมเปน ของ ๆ ตน ๓. เพื่อทรงแสดงถึงการกระทําของคนโดยเฉพาะตวั

พระสตุ ตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 361 ๔. เพื่อทรงแสดงถึงอนั นตรยิ กรรม ๕. เพ่อื ทรงแสดงถงึ พรหมวหิ ารธรรม ๖. เพ่ือทรงแสดงถึงบพุ เพนวิ าสานสุ สตญิ าณ ๗. เพ่ือทรงแสดงถงึ ทกั ขณิ าวิสทุ ธิ ๘. เพ่อื ไมทรงละทง้ิ สมมติของโลก. ขยายความเหตุ ๘ ประการ เมอื่ พระองคต รสั วา ขนั ธธาตุอายตนะทั้งหลาย ละอายแกใจอยูเกรงกลัวบาปอยู มหาชนจะไมเขาใจ พากนั พิศวงงงวย โตแ ยงวานอ้ี ะไรกัน ขนั ธธาตุอายตนะทั้งหลาย ละอายแกใ จ เกรงกลัวตอบาปดว ยหรอื ? ดังน้ี แตเมอ่ื พระองคตรัสวา บรุ ุษ กษตั ริย พราหมณเทพ มาร (ละอายแกใจ เกรงกลัวตอ บาป ) ดงั นี.้ มหาชนจะเขาใจ ไมพศิ วงงงวย ไมโตแ ยง เพราะฉะนัน้ พระผูมพี ระภาคเจา จึงตรสับุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงหิริและโอตตปั ปะ. แมใ นพระดาํ รัสทตี่ รัสวา ขันธธาตุอายตนะทง้ั หลาย เปน ผมู กี รรมเปนของตน ดังนี้ ก็นยั เดียวกนั นัน่ แหละ เพราะฉะนนั้ พระผมู พี ระภาคเจาจึงตรสั บุคคลกถา เพ่ือทรงแสดงถึงความท่ีสตั วม ีกรรมเปนของ ๆ ตน. แมใ นพระดํารสั ท่ตี รสั วา มหาวหิ าร มีพระเวฬุวนั เปน ตน ขันธธาตอุ ายตนะทง้ั หลายสรา งไว ดงั นี้ กน็ ัยเดยี วกันนัน่ แหละ ฉะนน้ั พระผมู ีพระภาคเจา จงึ ตรัสบคุ คลกถา เพอ่ื ทรงแสดงถงึ การกระทําของตนโดยเฉพาะตัว.

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 362 แมในพระดํารัสท่ีตรสั วา ขนั ธธ าตอุ ายตนะท้ังหลาย ปลงชวี ติมารดา บิดา พระอรหันต ทําโลหติ ุปบาทกรรม (ทํารายพระพทุ ธเจาใหห อ พระโลหิต ) (และ) ทําลายสงฆใหแ ตกกัน ดงั น.้ี กน็ ยั เดยี วกันนั่นแหละ เพราะฉะนนั้ พระผูม ีพระภาคเจาจงึ ตรัสบคุ คลกถา เพื่อทรงแสดงถึงอนนั ตรยิ กรรม. แมใ นพระดาํ รสั ท่ตี รสั วา ขันธธาตอุ ายตนะทง้ั หลาย ยอ มเมตตา(รกั ใครสตั วท งั้ หลาย ) ดังนี้ กน็ ัยเดยี วกนั น่ันแหละ เพราะฉะนั้น พระผมู ีพระภาคเจา จึงตรสั บคุ คลกถา เพื่อทรงแสดงถงึ พรหมวิหารธรรม. แมใ นพระดํารัสท่ีตรสั วา ขนั ธธาตุอายตนะท้งั หลาย ระลึกชาติที่เคยอยกู อ นของเราได ดงั นี้ ก็นยั เดยี วกันน่ันแหละ ฉะน้นั พระผมู ีพระภาคเจา จงึ ตรัสบุคคลกถา เพ่อื ทรงแสดงถึงการระลึกชาติอยูม าดอนได. แมในพระดํารสั ท่ตี รัสวา ขนั ธธ าตอุ ายตนะทง้ั หลาย รับทานดงั น้ี มหาชนจะไมเขาใจ พากนั พศิ วงงงวย โตแยง วา นี้อะไรกัน ขันธธาตอุ ายตนะทงั้ หลายรบั ทานดวยหรอื ? ดังนี้ แตเมอ่ื ตรสั วา บคุ คลผูม ีศลี มกี ลั ยาณธรรมรับทาน ดงั น้ี มหาชนกเ็ ขาใจ ไมพิศวงงงวยไมโ ตแยง เพราะฉะน้ัน พระผูม พี ระภาคเจาจงึ ตรสั บุคคลกถา เพื่อทรงแสดงถึงความบรสิ ุทธ์ิแหง ทกั ษิณาทาน. เพราะวา ธรรมดาพระผมู ีพระภาคเจา ท้ังหลายจะไมท รงละท้ิงสมมติของโลก ทรงดาํ รงอยใู นถอ ยคาํ ของชาวโลก ในภาษาของชาวโลก ในการเจรจาของชาวโลกนน้ั แหละทรงแสดงธรรม เพราะฉะนน้ัพระผูม พี ระภาคเจา จึงตรสั บุคคลกถาไวเ พ่อื ไมละท้ิงสมมติของโลกเสีย.

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 363 ฉะนนั้ ทา นองคน้ี (พระสารบี ุตรเถระ) เมอื่ จะไมใหข ดั แยงกบั พระธรรมเทศนาพระผมู ีพระภาคเจา จงึ ไดดาํ รงอยใู นสมมติของโลกแลวกลา วคาํ นีอ้ าทิวา ดกู อ นทานผมู อี ายทุ ัง้ หลาย บุคคล ๔ ประเภทเหลา นี้ ดังนี้ เพราะเหตุเปน ผฉู ลาดในสาํ นวนโลก เพราะฉะนนั้ บคุ คลในท่ีนโ้ี ปรดทราบทามสมมติเทานนั้ ไมไดหมายถึงปรมตั ถ. บทวา สนฺโต ส วชิ ชฺ มานา (มอี ยู หาได) คอื พอมี หาพบตามสํานวนของโลก. คําวา ในโลก คอื ในสตั วโลก. ขยายความกิเลสดจุ เนนิ ๓ อยา ง ในทีล่ างแหง กเิ ลสพระองคตรัสเรียกวา อังคณะ ( เปนเหมือนเนิน ) ในคาํ มีอาทวิ า สงคฺ โณว สมาโน. ดังทต่ี รัสไวว า บรรดากเิ ลสเพยี งดังเนินน้นั กเิ ลสเพียงดงั เนินเปน ไฉน ? คือ กเิ ลสเพยี งดังเนนิไดแกราคะ กิเลสเพียงดงั เนิน ไดแกโ ทสะ กเิ ลสเพียงดังเนิน ไดแ กโ มหะกิเลสเพียงดงั เนิน ในท่บี างแหง หมายถงึ มลทินอยางใดอยา งหนง่ึ หรอืเปอกตมดังท่ตี รสั ไวว า พยายามเพอ่ื จะละมลทนิ หรือเปอกตมนัน้ นน่ั แหละ.แตในทีบ่ างแหง หมายถงึ พนื้ ทช่ี นิดนนั้ ( ทเ่ี ปน เนิน) พน้ื ท่นี นั้ พึงทราบตามคาํ ท่พี ูดกัน เชน เนินโพธ์ิ เนนิ เจดีย เปนตน . แตใ นพระสตู รน้ีทานพระสารีบตุ รประสงคเ อากเิ ลสอยา งเผด็ รอ นนานปั การวา กิเลสเพยี งดงั เนิน. จริงอยางนัน้ ทานพระสารบี ตุ ร กลา ววา ทานผูม ีอายุ คําวาองั คณะน้เี ปน ชอื่ ของอกศุ ลธรรมชว่ั ชา มคี วามปรารถนาเปน อารมณ.เปนผูเปนไปกับดวยกเิ ลสเพียงดังเนนิ ชอื่ วา มีกิเลสเพียงดังเนนิ

พระสุตตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 364 บทวา สงคฺ โณว สมาโน ผูม ีกิเลสเพียงดงั เนนิ น่ันเอง ยังมีอยู. ขอวา อตถฺ ิ เม อชฌฺ ตตฺ  องฺคณ (ลางคนไมร ตู ามความจริงวา กิเลสเพียงดังเนินของเรา ยังมีอยใู นภายใน ) ความวา ไมร วู า กเิ ลสมีอยใู นตวั เรา คอื ในจติ สนั ดานของเรา คอื ไมร โู ดยถองแท อยางนีว้ าธรรมดากิเลสเหลานี้ หยาบคาย รา ยแรง ควรละท้ิง ไมควรเอาไวคลายกบั ลูกศรอาบยาพิษกป็ านกนั . สว นผใู ดรูวามดี ว ย รูอ ยางนดี้ ว ย (รวู าหยาบชา ) ผนู ัน้ ทานพระสารีบตุ รเรียกวา รูตามความจรงิ วา กเิ ลสเพยี งดงั เนนิ ภายในของเรายังมีอยู. แตกิเลสทจ่ี ะถอนไดดวยมรรคยังไมเกิดขนึ้ แกผใู ด เพราะหกั หา มไวไดด วยวธิ ีใดวธิ หี นึง่ ก็ตาม ผูนี้ (น่นั เอง) ทานพระสารบี ตุ รเถระประสงคเ อาวา เปนผูไ มม กี เิ ลสเพยี งดงั เนนิ โนพระสตู รน.ี้ ขอ วา นตฺถิ เม อชฌฺ ตฺต องฺคณนตฺ ิ ยถาภตู  นปปฺ ชานาติ(ไมร ตู ามความจรงิ วากเิ ลสเพยี งดังเนนิ ภายในของเราไมม ี) ความวาไมรวู า กิเลสท้ังหลายของเราไมมี เพราะหกั หามดวยวิธีใดวธิ หี น่ึง ไมใ ชไมม ีเพราะถอนไดด ว ยมรรค คือไมเ ขาใจโดยถองแทอ ยางนว้ี า กเิ ลสเหลา นนั้ เมอื่ เกิดขนึ้ จักทาํ ความพนิ าศอยา งใหญหลวง ( เพราะวา) เปนกเิ ลสหยาบชา รา ยแรง ควรละท้งิ ไมค วรเอาไว คลายกบั ลูกศรอาบยาพษิ กป็ านกนั . สว นผใู ดรวู า ไมมเี พราะเหตุอันน้ดี ว ย รูอยางน้ีดว ย ( รวู าหยาบชา)ผนู ั้นทา นพระสารีบุตรเรียกวา รตู ามความจรงิ วา กิเลสเพยี งดงั เนินภายในของเราไมม ี ดงั น.ี้ บทวา ตตฺร เทากบั เตสุ โยค จตูสุ ปุคคฺ เลสุ ในบคุ คล ๔

พระสุตตันตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 365จาํ พวกนัน้ หรือวา โยค ทวฺ สี ุ สงฺคเณสุ ในบุคคลผูมกี ิเลสเพียงดงั เนนิ ทั้ง ๒ น้นั . บทวา ยวฺ าย ตดั บทเปน โย อย (แปลวาบคุ คลนใ้ี ด) ปาฐะ(บาลเี ดมิ ) เปน ยาย ดังนี้ก็มี. คนดี - คนเลว [ ๕๕ ] ทา นพระโมคคัลลานะเรยี นถามถงึ เหตอุ ยา งเดียวเทา นั้นแหละ แตใ ชค ําถามดว ยคาํ ท้ังคาํ วา ทา นพระสารบี ตุ รผูมีอายุ อะไรหนอเปนเหตุ เปน ปจ จัย ? ดังนี.้ พึงทราบความสัมพนั ธก ัน ในบทวา เยนเิ มส เปนตน อยางนวี้ าบรรดาคนทัง้ ๒ ประเภทน้นั คนหนึ่ง ทา นเรยี กวา เปนคนประเสรฐิแตอีกคนหนง่ึ ทา นเรียกวา เปน คนตา่ํ ทราม เพราะเหตุใด เพราะปจ จัยใดเหตนุ ้ันคอื อะไร ปจจยั น้ันคอื อะไร ? ในเรือ่ งเหตุและปจ จยั ทง้ั ๒ อยา งนนั้ ถงึ แมว า คําวา การรบั รูและการไมร ูท้งั คูน้ีเองท่ที านพระสารีบตุ รกลาวไววา ไมรอู ยู รูอยู เปน ทง้ัเหตุ เปนท้ังปจ จยั ก็จรงิ แมถ ึงอยา งนั้น พระเถระไดก ลาวยํ้าไวว า ดกู อนทานผมู อี ายุ ในจํานวนคน ๒ ประเภทนน้ั ดงั นี้เปนตน เพอ่ื แสดงเหตนุ น้ั ใหช ดั กวาแตกอน เพราะเหตุทคี่ นมปี ฏภิ าณเฉยี บแหลม. บรรดาบทเหลานัน้ บทวา ตสฺเสต ปาฏิกงขฺ  ( เขาหวงั ไดเ หตุนนั้ )ดังนี้ อธบิ ายวา บุคคลนั้น พงึ หวังไดเ หตนุ ้นั คอื พงึ คาดหมายไดว าคนน้นั จักประสบเหตนุ แ้ี หละ ไมใชเ หตุอยางอ่ืน หมายความวา เปน สงิ่ทม่ี ไี ดแ นน อน.

พระสตุ ตันตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 366 ทา นพระสารีบุตรกลาวหมายเอาการไมยงั ฉนั ทะใหเ กดิ ขึ้นเปนตนทท่ี านไดก ลาวไว โดยนัยมอี าทวิ า เขาจกั ไมใ หค วามพอใจเกดิ ขึน้ . แมในจํานวนขอ ความเหลา นั้น ขอความวา เขาจกั ใหฉันทะเกดิข้ึน คือ เขาเมอื่ ไมร ู กจ็ ักไมใหความพอใจอยากจะทําเกิดขึ้น เพื่อจะละกเิ ลสเพียงดงั เนนิ น้ัน. บทวา น วายมิสสฺ ติ แปลวา จกั ไมพยายาม คอื จกั ไมท าํ ความพยายามใหมกี าํ ลังมากไปกวาน้ันเลย. ขอ วา น วิรยิ  อารภสิ สฺ ติ ( จักไมปรารภความเพยี ร ) ความวาจกั ไมปรารภความเพียร ท่ีเปน ตัวกําลังเอาเลย อธิบายวา จักไมยงั ความเพยี รใหเ ปนไป. บทวา สงคฺ โณ ( กิเลสดจุ เนิน ) คอื มกี ิเลสดุจเนินดว ยเนนิทง้ั หลายมีราคะเปนตนเหลานน้ั . บทวา สงกฺ ิลิฏ จิตโฺ ต ( เปน ผูมีจิตเศรา หมองแลว ) คือเปนผูมจี ิตมวั หมอง ไดแก มีจิตขนุ มวั เอามาก ๆ เพราะเนินคอื กิเลสเหลา น้นัเอง ไดแ กเปน ผูมจี ติ ถูกกเิ ลสเพียงดังเนินเหลานั้นเบยี ดเบียน มจี ติ ถูกกเิ ลสเพียงดงั เนนิ เหลาน้นั เผาลนเอาทเี ดยี ว. บทวา กาล กรสิ สฺ ติ ( จักมรณภาพ ) คอื จกั ตาย. บทวา เสยฺยถาป คอื เสยฺยถา นาม เปรียบเหมอื นวา. บทวา ก สปาติ ( ถาดทองสมั ฤทธ์)ิ คือภาชนะทที่ าํ ดวยทองสัมฤทธิ.์ บทวา อาภตา คอื เอามา.

พระสุตตนั ตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 367 บทวา อาปณา วา กมมฺ ารกลุ า วา ( จากตลาดหรือตระกูลของชา งทอง) คอื จากรานตลาด หรอื จากบานของชางทองผทู าํ ถาดทองสมั ฤทธิ.์ บทวา รเชน ( ถกู ละออง) คอื ถูกละอองทจี่ รมา มีฝุนเปนตน(ปลวิ มาเกาะ). บทวา มเลน ( ถกู สนิม) คอื ถกู สนิมโลหะทเี่ กดิ กับถาดทองสัมฤทธิ์นัน่ เอง (จบั ). บทวา ปริโยนทธฺ า (จบั ) คอื เกาะหุมอยูทั่วไป. บทวา น จ ปริโยทเปยฺย ( ไมไ ดข ดั ถ)ู คอื ไมไ ดท ําความสะอาด ดวยวิธีลางและขัคสีเปน ตน . บทวา รชาปเถ (ทางฝนุ ) คอื ในทีท่ ่ีมีละออง. อีกอยางหน่ึง ปาฐะ(บาลใี นพระไตรปฎก ) กเ็ ปนอยา งนน้ั เหมือนกัน. อธิบายวา เก็บไวในที่ที่ละอองปลิวมาถึง คือในทีท่ ลี่ ะอองฟุง หรือเก็บไวใตเตียง หรอื ยุงแกลบ หรือภายในภาชนะเหมือนกับเอาละอองโรยใส. ในขอวา สงกฺ ลิ ฎิ ตรา อสสฺ มลคฺคหติ า (มีแตจะมวั หมองมีสนิมเกาะมาก ) นม้ี คี ําอธิบายวา รงั แตจ ะมวั หมองข้ึนกวา เดิม เพราะเกบ็ ไวใ นที่ทางท่มี ลี ะออง คอื ถกู สนมิ เกาะข้นึ มากกวา เดมิ เพราะไมไ ดใ ชและไมไดทําความสะอาด มใิ ชหรอื ? ก็คาํ วา ( มแี ตจะมัวหมองมีสนมิ เกาะมากมใิ ชห รอื ) นเี้ ปนคํายอนถาม. เพราะฉะน้ัน พึงทราบอรรถาธิบายคํายอ นถามนัน้ ดงั ตอ ไปนี้วาทานขอรบั ( โมคคัลลานะ ) ถาดทองสัมฤทธ์ใิ บน้นั ท่ีเขาทําอยา งนี้ภายหลงั จะหมองมากกวา เดิม และจะมีสนมิ เกาะมากกวา เดมิ จนยากทจี่ ะรไู ด

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 368หรอื ไมร ูไดวา เปน ถาดดนิ หรือเปน ถาดทองสมั ฤทธ์ิ. พระเถระเม่ือจะรับรองคาํ น้ี จงึ กลา ววา เปน อยางน้นั นัน่ แหละทา น. พระธรรมเสนาบดี (สารบี ตุ ร) เม่อื จะยืนยนั ขออปุ ไมยอีกคร้งัจงึ ไดก ลาวคาํ มีอาทิไววา เอวเมว โข ( ก็เหมือนกันน่นั แหละ ). ในคํานั้น ควรทราบการเปรยี บเทยี บคําอุปมากับคําอปุ ไมย ดงั ตอไปน้ี :- บคุ คลที่ยังมีกเิ ลสเพยี งดงั เนินอยู เปรยี บเหมือนถาดสมั ฤทธท์ิ ี่มวัหมอง การท่ีบุคคลนัน้ เมอ่ื จะไดบ วช กก็ ลับไดบ วชในสํานักของบุคคลผูขวนขวายในอเนสนาทัง้ หลายมีเวชกรรม (เปน หมอ ) เปน ตน เปรียบเหมือนการทอดทง้ิ ถาดทองสมั ฤทธ์ทิ มี่ วั หมองอยแู ลว ไวใ นทท่ี างท่มี ีละอองเพราะไมไดใ ชส อย เปนตน . การทาํ อเนสนามเี วชกรรมเปน ตน แหงบุคคลนัน้ ผูสาํ เหนยี กอยตู ามอาจารยแ ละอปุ ชฌาย ตามลําดบั ( และ)การมรณภาพท้งั ท่ียังมกี ิเลสเพียงดังเนินของบคุ คลผูด าํ รงอยูใ นวตี กิ กมโทษคอื การทําอเนสนามเี วชกรรมเปน ตน (เปนหมอเหมอื นอาจารย) เปรียบเหมอื นภาวะของถาดทองสัมฤทธทิ์ ่มี วั หมองอยูแลว กลบั มวั หนองยิ่งข้นึ ไปกวาเดิมอีก. อีกอยางหนง่ึ การมรณภาพทัง้ ๆ ท่ยี งั มีกเิ ลสเพยี งดังเนินอยูแหงเขาผดู าํ รงอยูใ นวตี ิกกมโทษนี้ตามลําดบั คอื การตอ งอาบัติทกุ กฏ และทพุ ภาสิต ( เปรยี บเหมือนภาวะของถาดทองสัมฤทธท์ิ ่มี วั หมองอยแู ลวกลับมวั หมองข้ึนไปอีก ). อกี อยางหนึง่ การมรณภาพทงั้ ๆ ที่ยงั มีกิเลสเพยี งดังเนินอยูข องเขาผูดํารงอยูในวตี กิ กมโทษน้ตี ามลําดับ คือ การตอ งอาบตั ิปาจติ ตีย และถลุ ลจั จยั การตองอาบัติสงั ฆาทเิ สส การตอ งอาบัติ

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นิกาย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 369ปาราชกิ และการทําอนันตรยิ กรรม มกี ารฆา มารดาเปนตน (เปรยี บเหมือนภาวะของถาดทองสัมฤทธิ์ที่มวั หมองอยแู ลว กลับมัวหมองยิง่ ข้นึไปอกี ). แตใ นขอความน้วี า จักเปนผูมีจติ เศราหมอง มรณภาพ ไมค วรเหน็ อรรถาธิบายอยา งนี้วา จักมรณภาพดว ยอกศุ ลจิต. เพราะสัตวท กุ ตัวตนตายโดยปกตจิ ิต คือโดยภวงั คจิตกันท้งั นั้น แตคนคนนย้ี ังไมช ําระจิตสนั ดานใหสะอาดกอ นแลว จงึ ตาย ดงั นี้แล พงึ ทราบอรรถาธิบายวาพระสารบี ุตรกลาวขอ ความไวอยา งนี้ หมายเอาอรรถาธบิ ายขอ นี้ . ในทุติยวารมวี ินจิ ฉัย ดงั ตอ ไปน้ี :- บทวา ปรโิ ยทเปยยฺ ุ ( ควรขดั ถู) ความวา ทําใหส ะอาด คอืใหเ ปน เชน กับกระจกเงา ดวยการลา งการขัดและการถูดวยข้ีเถา ละเอียดเปน ตน . ขอวา น จ น รชาปเถ (ไมค วรเกบ็ มันไวใ นท่ที างที่มลี ะออง )ความวา ไมค วรเก็บไวใ นที่ดังทกี่ ลา วมากอนแลว แตค วรวางไวในกลอ งหรือหีบ หรือหอ แลวเอาแขวนไวท ่ีไมสาํ หรับแขวนสิ่งของ (นาคทันตะ).คาํ ท่ยี งั เหลอื อยู ควรถอื เอาตามแนวแหง นยั ที่ไดกลา วมาแลว นน้ั เถิด. แตใ นทุตยิ วารนี้ ควรทราบการเปรียบเทียบ ระหวา งขออุปมากับอุปไมยดังตอไปนีว้ า ภพั พบุคคล (ผูพอบรรลมุ รรคผลได) ท่ียงั มกี เิ ลสเพยี งดงั เนินอยู เปรียบเหมือนถาดทองสมั ฤทธิ์ท่ีมัวหมอง การที่บคุ คลนั้นกลับไดบวชในสาํ นกั ของผมู ีศลี เปน ทร่ี กั เหมอื นกับทําการใชถาดทองสมั ฤทธท์ิ ี่มัวหมองเปน ตน แลวเก็บไวในสถานทที่ ี่สะอาด. อาจารยแ ละอุปช ฌายเหลาใด ตักเตือนพรา่ํ สอน (เขา) เหน็ ความประมาทแมเพียง

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 370เล็กนอยกท็ าํ ทัณฑกรรมแลวใหสาํ เหนียกบอ ย ๆ การมรณภาพขณะท่ไี มมีกเิ ลสเพยี งดังเนนิ แหงเขาผสู ําเหนียกตามอาจารยแ ละอุปชฌายะน้ัน ดาํ รงอยูในคณุ ธรรมน้ี คือการประพฤตปิ ฏิบตั ชิ อบนี้ตามลําดับ เหมอื นกบั ภาวะของถาดทองสัมฤทธิท์ ม่ี ัวหมอง แตส ะอาดหมดจดในภายหลงั . อีกอยา งหนง่ึ การมรณภาพขณะท่ไี มมกี เิ ลสเพยี งดังเนนิ แหง เขาผดู าํ รงอยูในการยนื หยัดอยใู นศีลอนั บรสิ ุทธิ์ การเรียนเอาพระพทุ ธพจนพ อเหมาะสมสาํ หรับคนแลวสมาทานธดุ งค รับเอาพระกรรมฐานท่เี กื้อกูลแกตน ท้งิ การอยูในเสนาสนะใกลบานแลว อยใู นเสนาสนะที่สงัดนตี้ ามลาํ ดับเปรยี บเทยี บกับภาวะของถาดทองสมั ฤทธทิ์ ีม่ วั หมอง แตส ะอาดหมดจดในภายหลัง. อีกอยางหนงึ่ การมรณภาพขณะท่ไี มม ีกิเลสเพยี งดงั เนนิ ในวาระสุดทายนัน่ เอง ( ปรินพิ พาน) แหง ทา นผดู าํ รงอยใู นการทําบริกรรมกสณิ แลวขมกิเลสไวได ดวยการยังสมาบตั ทิ ง้ั ๘ ใหเกดิ ขนึ้ การออกจากฌานทเ่ี ปน บาทของวปิ ส สนาแลว กั้น กิเลสไวไดดวยตทงั คปหาน (การละกเิ ลสบางอยางไดด ว ยองคน ้ัน เชน ละสุภารมณไดดว ยการพิจารณาอสุภะเปนตน ) จงึ บรรลโุ สดาปต ตผิ ลดว ยวิปสสนา ฯ ล ฯ และการทาํ อรหัตใหแจม แจง แกตน (เปรียบเหมือนกบั ภาวะของถาดทม่ี ัวหมองแตสะอาดหมดจดในภายหลงั ). ในตติยวารมวี นิ จิ ฉัย ดงั ตอไปนี้ :- บทวา สภุ นิมิตตฺ  ไดแกอารมณท น่ี า ปรารถนา เปนท่ีตัง้ ของราคะ.













































พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนกิ าย มูลปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 393 บทวา อตฺตมนวาจ นิจฺฉาเรสิ ( เปลงวาจาแสดงความชอบใจ )คือเปลง ไดแกก ลา ว อธิบายวา เผยวาจาดว ยความดใี จ หรอื วาจาทีค่ วรแกความดใี จ. ขอ วา หทยา หทย มเฺ  อฺ าย (เหมอื นรูใ จ ดวยใจ)ความวา เหมอื นกับรใู จ ( เรา) ดวยใจ ( เขา ). บทวา อสทธฺ า (ไมม คี วามเชอ่ื ) คือปราศจากความเช่อื ในพระพุทธเจา พระธรรม และพระสงฆ. บทวา ชวี ิกตถฺ า ( เปนผูต องการเล้ยี งชีพ) คือ ถกู ภัยมีหนีเ้ ปนตนบีบคัน้ ไมส ามารถดํารงชพี ภายนอกได จงึ ตองการเลยี้ งชพี ในศาสนานี้. บทวา น สทธฺ า (ไมม ีศรทั ธา) คือไมไ ดบ วชดวยศรัทธา. บทวา สา มายาวิโน (เปนคนโออ วดมีมารยา) คอื ประกอบดวยมารยาสาไถย ( เจา เลห โออวด). บทวา เกฏภิโน ( ผูหลอกลวง ) คือผูไดศึกษากลโกงมาแลวมีคําอธบิ ายวา ผูสําเร็จการโออวดตามกําลงั . อธิบายวา การโออวดเขาเรยี กวา เกราฏยิ ะ ( กลโกง ) เพราะทาํ พรอมกันไปกบั การแสดงคณุ คาของสงิ่ ไมจรงิ โดยการแสดงคณุ วเิ ศษทีไ่ มม ีจรงิ . บทวา อนุ ฺนฬา ( ถือตวั ) คือยกตนขึ้นไป มคี ําอธบิ ายวายกมานะเปลา ขึ้น. บทวา จปลา (วุนวาย) คอื ประกอบดว ยความวุน วาย มีการตกแตงบาตรและจวี รเปน ตน . บทวา มุขรา ( ปากกลา ) คือปากแข็ง มอี ธิบายวา มคี ําพดู กรา ว.

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌมิ นกิ าย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 394 บทวา วิกณิ ฺณวาจา ( มีวาจาเลอะเทอะ) คอื มีถอยคําไมสาํ รวมไดแก การพดู กันทั้งวันกม็ ีแตค าํ ไรป ระโยชน. บทวา อินทฺ ฺริเยสุ อคุตตฺ ทฺวารา ( มีทวารไมไ ดควบคุมในอนิ -ทรียท งั้ หลาย ) คือ มที วารสําหรับทาํ กรรม ไมไดร ะมดั ระวังแลวในอินทรยี ท ั้ง ๖. บทวา โภชเน อมตตฺ ฺุโน (ไมร ูจักประมาณในการบรโิ ภค)คือไมร จู กั ประมาณในการบริโภค ที่พอใหร างกายอยูไ ปได คือความเปนผมู คี วามพอเหมาะ ในการแสวงหาการรับและการบรโิ ภคที่ควรรู. บทวา ชาคริย อนนุยุตตฺ า ( ไมประกอบความเพียรเปนเครอ่ื งตน่ื อยู ) คอื ไมป ระกอบความเพยี รท่ที าํ ใหตื่นตัว. บทวา สามฺเ อนเปกฺขวนโฺ ต ( ไมมุงสมณภาวะ) มอี รรถา-ธิบายวา ไมม ุงสมณธรรม คอื เวน จากการปฏบิ ตั ิธรรมสมควรแกธ รรม. บทวา สกิ ขฺ าย น ติพพฺ คารวา (ไมเคารพอยา งแรงกลาในสกิ ขา ) คอื ไมมีความเคารพมากในสกิ ขาบททัง้ หลาย ไดแ กม ากไปดวยการตอ งอาบตั ิ. บทวา พาหลุ ฺลกิ า (หมกมุนอยูกับปจจัยมาก) เปนตน ขา พเจาไดก ลา วไวแ ลว ใน ( อรรถกถา ) ธรรมทายาทสูตร. บทวา กุสตี า ( ผูเกียจครา น ) เปนตน ขาพเจา ไดกลาวไวแ ลวใน ( อรรถกถา ) ภยเภรวสูตร. บทวา ธมมฺ ปริยาเยน ( ดวยธรรมปรยิ าย ) คอื ดว ยธรรมเทศนา บทวา สทฺธา อคารสมฺ า ( มศี รัทธา ออกบวช จากเรือน )เปน ตน มเี นือ้ ควานวา ตามปกติแลว ผูบวชดว ยศรัทธา ชอื่ วา เปนผมู ี

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นิกาย มลู ปณณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 395ศรัทธาออกจากเรอื นบวช เปนอนาคาริยบุคคล ( ผูไมมีเหยา เรอื น). ขอ วา ปวนตฺ ิ มเฺ  ฆสนตฺ ิ มเฺ  (คงจะดืม่ คงจะกนิ )หมายความวา เหมือนกับจะด่ืมเหมอื นกับจะกลนื กนิ คอื เม่ือเปลงวาจาดวยความพอใจ ก็เหมอื นกบั ด่มื ด่าํ ดว ยวาจา เม่ืออนุโมทนายงิ่ ขึ้น ก็เหมือนกบั กินดว ยใจ. บทวา สาธุ วต (สาธุขอรบั ) คอื ดแี ลว ขอรับ. บทวา สพรหมฺ จารี เปน รสั สะกไ็ ด เปน ทีฆะกไ็ ด เม่อื เปนรัสสะขา งหนา จะมี สารปี ุตฺต อยู เมอ่ื เปน ทีฆะ ขา งหนา จะมี สพฺรหฺมจารีเม่ือใดขา งหนา มี สารปี ตุ ฺต เม่อื น้นั จะมีเน้อื ความวา ดกู อ นเพื่อนพรหมจารี ทานพระสารีบตุ รใหเราทง้ั หลายออกจากอกุศลแลว. เม่อื ใดมีสพฺรหมฺ จารี อยขู า งหนา เมอ่ื นนั้ จะมีเนื้อความวา ทานพระสารีบุตรใหเพอ่ื นพรหมจารีทั้งหลายออกจากอกศุ ลแลว ( ดาํ รงอยูใ นธรรม ). บทวา ทหโร คอื ยังรุน. บทวา ยุวา คอื อยใู นวัยหนุม สาว. บทวา มณฺฑนกชาตโิ ก (ชอบแตง ตวั ) หมายความวา มสี ภาพชอบเคร่ืองแตง ตวั ( ปกตชิ อบแตง ตัว ). บรรดาทงั้ ๒ ประเภทนนั้ ลางคนถึงจะรนุ แตกย็ ังไมเปนหนมุเปน สาวเหมือนคนหนมุ สาว. แตล างคนถงึ จะเปนหนมุ เปน สาว กไ็ มช อบแตงตัวเหมือนผทู ่มี คี วามสงบเปนสภาพ หรอื ถกู ความเกยี จครานหรือความเสื่อมครอบงํา สว นในท่ีนีป้ ระสงคเ อาคนทง้ั ยงั รนุ ทง้ั เปนหนมุ เปนสาวและชอบแตงตัว. เพราะฉะน้ัน ทานพระมหาโมคคัลลานะจงึ กลาวไวอยางนี้. คําวา ถอื ดว ย เปน ตน ทานกลา วไว เพราะเปน สมมติของโลก

พระสตุ ตนั ตปฎก มชั ฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ที่ 396 บทวา อติ หิ เต เทากับ เอว เต ( แปลวา ดวยประการดังที่กลา วมาแลว น้นั ทา นทง้ั ๒ น้นั ). บทวา อโุ ภ มหานาคา (ทา นมหานาคทง้ั คู ) หมายถงึ ผูย่งิ ใหญทง้ั ๒ องค. เพราะวาทา นอัครสาวกทัง้ ๒ องคน ี้ พุทธบรษิ ัททงั้ หลายเรียกวา มหานาค. ในคําวา มหานาค น้ันมอี รรถพจน ดังตอไปน้ี ผไู มลําเอยี งดว ยอคตทิ ั้งหลาย มีฉนั ทาคตเิ ปนตน ชอ่ื นาคะ. ผไู มก ลบั มาสกู ิเลสทีล่ ะไดดว ยมรรคนนั้ ๆ แลว ชือ่ วา นาคะ ผูไมท าํ บาป ( ความชว่ั ท่เี ปนเหตใุ หกลับมา) มปี ระการตาง ๆชือ่ วา นาคะ. นี้เปนเน้ือความสังเขปในคําวา นาคะ. สวนความพิสดารพงึ ทราบตามนยั ท่ไี ดกลา วไวใ นมหานิเทศนน้ั เทอญ. อกี อยางหนึง่ พึงทราบเนอื้ความในกถาน้อี ยา งนวี้ า ผูไมทาํ บาปอะไรไวเลยในโลก สลัดกเิ ลสเคร่ือง ประกอบสตั วไวใ นภพทุกอยา ง และเครอ่ื งผกู ทัง้ หลาย ได ไมตอ งอยใู นภพท้งั มวล เปน ผหู ลุดพนแลว ผูคงที่ ทา นเรยี กวา นาคะ เพราะความเปนอยางนน้ั . นาคใหญ ชื่อมหานาคะ. อธบิ ายวา มหานาคน้นั ควรบชู ากวาและควรสรรเสรญิ กวา นาคผูขณี าสพเหลา อื่น. บทวา อฺมฺ สฺส (ของกนั และกนั ) ความวา องคห นึ่งชมเชยอีกองคหนง่ึ .

พระสุตตันตปฎก มัชฌิมนกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 397 บทวา สมนโุ มทึสุ (อนโุ มทนาพรอม) ตดั บทเปน สม อนโุ มทึ สุแปลวา อนโุ มทนาเทา ๆ กัน. ในคาํ อนโุ มทนานน้ั พระธรรมเสนาบดีกลา ววา พระมหาโมคคัลลานะ อนุโมทนาดวยอปุ มานว้ี า ทา นครบัขอ นัน้ จงแจมแจง . เพราะเหตุนั้น ทา นจงึ กลาววา พระเถระทัง้ ๒อนุโมทนาคาํ สุภาษติ ของกันและกนั . จบ อรรถกถาอนงั คณสตู ร จบ สูตรที่ ๕

พระสุตตันตปฎ ก มัชฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 398 ๖. อากังเขยยสตู ร [๗๓] ขาพเจา ไดส ดบั มาอยา งนี้ :- สมยั หนงึ่ พระผูมีพระภาคเจา ประทับอยู ณ พระวิหารเชตวันอารามของอนาถบณิ ฑิกเศรษฐี กรงุ สาวตั ถี. ครงั้ น้ันแล พระผมู ีพระภาคเจา ตรสั เรียกภิกษทุ ั้งหลายมาวา ดกู อนภิกษทุ ้ังหลาย. ภกิ ษุเหลา นนั้ ทลู รบั พระดํารสั พระผมู ีพระภาคเจาวา พระเจาขา . พระผูม ีพระภาคเจา ไดตรสั วา ดกู อนภิกษุทั้งหลาย เธอท้ังหลายจงเปน ผูมีศลี อันสมบรู ณ มปี าฏโิ มกขอันสมบรู ณอ ยูเ ถิด จงเปน ผูสํารวมดวยความสํารวมในปาฏิโมกข ถึงพรอ มดวยอาจาระและโคจรอยเู ถิด จงเปนผเู หน็ ภยั ในโทษท้งั หลายมปี ระมาณนอ ย สมาทานศกึ ษาในสกิ ขาบทท้ังหลายเถดิ . ความหวงั ท่ี ๑ [๗๔] ดกู อนภกิ ษุท้ังหลาย ถา ภกิ ษุจะพงึ หวงั วา ขอเราพึงเปนที่รกั เปนทช่ี อบใจ เปน ทีเ่ คารพ และเปนผูควรยกยอ งของเพอื่ นพรหมจรรยท ั้งหลายเถิด ดังนี้ ภิกษนุ ัน้ ควรกระทําใหบ ริบรู ณใ นศลีประกอบธรรมเคร่ืองระงบั จติ ของตน ไมทาํ ฌานใหเหนิ หาง ประกอบดวยวปิ สสนาเพิ่มพูน ( การอยูใน) สญุ ญาคาร. ความหวงั ที่ ๒ [๗๕] ดูกอ นภกิ ษทุ งั้ หลาย ถาภกิ ษจุ ะพึงหวงั วา ขอเราพึงไดจวี ร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปจจยั เภสชั บรขิ ารเถิด ดังนี้

พระสตุ ตันตปฎก มชั ฌิมนิกาย มลู ปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนาท่ี 399ภกิ ษุนัน้ ควรกระทาํ ใหบรบิ รู ณใ นศีล ประกอบธรรมเครือ่ งระงับจิตอนัเปนไปในภายใน ไมทําฌานใหเหินหาง ประกอบดวยวิปสสนา เพม่ิ พูน( การอยูใน ) สุญญาคาร. ความหวงั ท่ี ๓ [๗๖] ดูกอนภกิ ษุทั้งหลาย ถา ภกิ ษุจะพึงหวงั วา เราบรโิ ภคจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปจ จยั เภสชั บริขารของเทวดาและมนุษยเหลาใด สกั การะเหลา นั้นของเทวดาและมนษุ ยเหลา น้ันพึงมผี ลานสิ งสมากดงั น้ี ภิกษนุ ั้นควรกระทาํ ใหบ รบิ รู ณใ นศีล ประกอบธรรมเคร่ืองระงับจติ ของตน ไมท าํ ฌานใหเหินหาง ประกอบดว ยวปิ สสนา เพิ่มพูน(การอยูใน ) สุญญาคาร. ความหวังที่ ๔ [๗๗] ดกู อ นภกิ ษุทงั้ หลาย ถาภิกษุจะพึงหวงั วา ญาติและสาโลหติ ของเราเหลาใด ลวงลับทํากาละไปแลว มีจติ ใจเลื่อมใส ระลกึถึงอยู ความระลึกถึงดว ยจติ อนั เล่ือมใสของญาตแิ ละสาโลหติ เหลานน้ัพงึ มผี ลานิสงสมากเถิด ดงั น้ี ภิกษุนัน้ ควรการทาํ ใหบ รบิ รู ณในศีลประกอบธรรมเคร่อื งระงบั จติ อนั เปนไปในภายใน ไมทาํ ฌานใหเ หนิ หางประกอบดว ยวิปสสนา เพิม่ พนู (การอยูใ น) สุญญาคาร. ความหวงั ท่ี ๕ [๗๘] ดูกอนภิกษทุ ง้ั หลาย ถาภกิ ษุจะพงึ หวังวา เราพึงเปนผูข ม ความไมย ินดีและความยนิ ดีได อนึ่ง ความไมย ินดีอยา พึงครอบงํา

พระสุตตนั ตปฎ ก มชั ฌมิ นกิ าย มูลปณ ณาสก เลม ๑ ภาค ๑ - หนา ท่ี 400เราไดเ ลย เราพงึ ครอบงํา ยาํ่ ยี ความไมยนิ ดีอนั เกดิ ข้นึ แลวไดอยูเ ถิด ดงั น้ีภิกษนุ ้ันควรเปนผกู ระทําใหบริบูรณใ นศีล ประกอบธรรมเคร่อื งระงับจิตอันเปนไปในภายใน ไมท าํ ฌานใหเหนิ หาง ประกอบดว ยวปิ ส สนา เพิม่ พูน( การอยูใ น ) สุญญาคาร. ความหวังท่ี ๖ [๗๙] ดูกอนภกิ ษทุ ัง้ หลาย ถา ภิกษจุ ะพงึ หวังวา เราจะพึงเปนผูขมความกลวั และความขลาดได อน่งึ ความกลวั และความขลาด อยาพึงครอบงาํ เราไดเ ลย เราพึงครอบงาํ ยํา่ ยี ความกลวั และความขลาดทเ่ี กดิ ขึ้นแลว ไดอ ยเู ถิด ดังน้ี ภกิ ษนุ ้ันควรเปนผกู ระทาํ ใหบ ริบูรณใ นศีลประกอบธรรมเครอ่ื งระงับจิตอันเปน ไปในภายใน ไมทําฌานใหเ หินหางเพิม่ พูน ( การอยูใน) สญุ ญาคาร. ความหวังท่ี ๗ [๘๐] ดกู อ นภิกษทุ ้งั หลาย ถาภกิ ษจุ ะพึงหวงั วา เราเปน ผไู ดฌานทงั้ ๔ อนั เกดิ ข้นึ กบั จติ ท่ผี องใสย่ิง เปนธรรมเคร่ืองอยเู ปนสุขในทิฏฐธรรม ตามความปรารถนา พึงไดไมยาก ไมล ําบากเถิด ดังนี้ภกิ ษนุ ้นั ควรเปน ผกู ระทําใหบ ริบรู ณในศีล ประกอบธรรมเครอ่ื งระงับจิตอันเปนไปในภายใน ไมทําฌานใหเ หินหา ง ประกอบดวยวิปสสนาเพ่มิ พูน (การอยใู น) สุญญาคาร. ความหวงั ที่ ๘ [๘๑] ดกู อ นภิกษุทง้ั หลาย ถาภิกษุจะพึงหวังวา เราพึงถูกตอง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook