Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานการวิจัยการออกแบบนโยบายการพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ ที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040

รายงานการวิจัยการออกแบบนโยบายการพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ ที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040

Published by Aj.pan Rattanaumporn, 2021-11-08 04:14:04

Description: รายงานการวิจัย
การออกแบบนโยบายการพลิกโฉมระบบการเรียนรู้
ที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040
Policy Design for Transforming Learning Systems
Responsive to Future Global Changes in 2040

Search

Read the Text Version

82 การวิจัยเก่ียวกับพ้ืนที่การเรียนรู้ออนไลน์ในต่างประเทศส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปท่ีคาจากัดความและ คาอธิบาย หลักการและแนวคิดออกแบบ และการสร้างและออกแบบซอฟต์แวร์ แอปพลิเคชันการ เรยี นการสอน ฯลฯ และเนน้ ผ้เู รยี นเป็นศูนย์กลางคือ ผู้เรยี นเปน็ ผู้ริเร่ิมสร้างเนอ้ื หา และผเู้ รียนมีส่วน รว่ มในการสนทนาทม่ี สี ่วนรว่ มกับผ้เู รียนคนอ่ืน ๆ แหล่งเรียนรู้เป็นสภาพแวดล้อมการเรียนรู้เสมือนจริงที่พัฒนาขึ้นอย่างต่อเน่ืองพร้อมกับ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสารวจแนวคิดทางการศึกษาอย่างต่อเน่ือง และ สามารถนาเสนอในสองมุมมอง ได้แก่ แหล่งเรียนรู้แบบกว้าง (Broad Online Learning Space) คือ พื้นที่เสมือนจริงท่ีทางานบนไซต์ต่าง ๆ ที่อานวยความสะดวกในกิจกรรมการเรียนการสอนออนไลน์ และแหล่งเรียนรู้แบบกว้างแบบแคบ (Narrow Online Learning Space) คือ เครือข่ายบริการ การศกึ ษาพเิ ศษที่อานวยความสะดวกในกจิ กรรมการเรยี นการสอนออนไลน์ 5) แหลง่ เรียนรู้ในการทางาน (Hands on Learning Space) แหล่งเรียนรู้ในการทางาน หมายถึง สถานที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ซึ่งอาจอยู่ ในโรงเรยี น หรือนอกโรงเรียน ม่งุ พัฒนาทกั ษะของผูเ้ รียนเป็นรายบคุ คล แหล่งเรียนรู้ในการทางานให้ความยืดหยุ่นท่ีรุ่นแรงซ่ึงส่งเสริมความรู้สึกเป็นเจ้าของใน กระบวนการเรียนรู้ และส่งเสริมการเรียนรู้ (ท้ังแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ) การวิจัย ความคดิ สรา้ งสรรค์ และการทางานร่วมกนั (Lopez & Gee, 2006) แหลง่ เรยี นรู้ในการทางานไดร้ บั การออกแบบโดยคานึงถึงหลักการดังนี้ 1) ศนู ย์วิทยาศาสตรเ์ ฉลิมฉลองการเรยี นรู้และการคน้ พบวิทยาศาสตรด์ ้วยการทาให้กิจกรรม ทเี่ กดิ ข้นึ ภายในอาคารมองเหน็ ได้ 2) ห้องเรียนและห้องสัมมนากระจายอยู่ทั่วทั้งอาคาร ดังนั้นการสัญจรของผู้เรียนจึงทาให้ อาคาร “มชี วี ิต” 3) ห้องเรียนและห้องปฏิบัติการได้รับการออกแบบมาเพ่ือเพิ่มความยืดหยุ่นสูงสุดและเพื่อ รองรับแนวทางการสอนที่หลากหลาย 4) ห้องปฏิบัติการการสอนช่วยให้สามารถผสมผสานระหว่างการบรรยายและกิจกรรม ภาคปฏิบัตใิ นชน้ั เรยี นเดยี ว (Reynolds & Weldon, 2006) แนวคิดแหล่งเรียนรู้ในการทางานอาจจะเห็นในรูปแบบแหล่งเรียนรู้แบบชีวิต (life space) Marrow (1969, p. 35) ได้นยิ ามแหล่งเรยี นรู้ชีวิตว่า \"คือสภาพแวดล้อมทางจิตใจโดยรวมทีบ่ ุคคลน้ัน มีประสบการณ์โดยอัตวิสัย\" แหล่งเรียนรู้ชีวิตรวมถึงข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มีอยู่สาหรับคนเราและไม่ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ไม่มีอยู่สาหรับคนเรา และรวบรวมความต้องการ เป้าหมาย อิทธิพลโดยไม่รู้ตัว ความทรงจา ความเช่ือ เหตกุ ารณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม และสง่ิ อ่นื ๆ ท่ีอาจมผี ลโดยตรง ต่อพฤติกรรม (Kolb & Kolb, 2005)

83 6) แหล่งเรียนร้รู ว่ ม (Co-learning Space) แหล่งเรียนรู้ร่วม หมายถึง สถานท่ีรวมตัวของผู้เรียนเพื่อทางานโดยมีเป้าหมายร่วมกัน เน้น ให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนแต่ละคน ซึ่งอาจมีสิ่งอานวยความสะดวกในการทางานร่วมกัน เช่น กระดาน หรอื เคร่ืองฉายภาพ เป็นตน้ รูปแบบหนึ่งของแหล่งเรียนรู้ร่วมคือ แหล่งเรียนรู้ร่วมรูปแบบสามมิติ (3D model co- learning space) ทม่ี คี ุณลักษณะ 3 ประการ (Lin, Li, Liang, & Lin, 2017) ไดแ้ ก่ 1) สร้างภาพขนาดยอ่ โดยอัตโนมัตสิ าหรบั มุมมองท่ีดีที่สุดของรปู แบบ 2) ใช้การติดแทก็ เพ่ือจดั กลมุ่ การเรยี นรู้และกิจกรรม 3) สนับสนุนการทบทวนแบบไม่เห็นชื่อกัน (blind peer review) และการเปรียบเทียบการ ประเมนิ ตนเอง แหล่งเรียนรรู้ ่วมสามารถใหผ้ ู้เข้าร่วมแบง่ ปันความรักและความกระตือรือร้นท่ีจะมีอิทธิพลใน เชิงบวกและร่วมมือกันโดยมีสาเหตุรว่ มกันและเปน็ ที่ที่การวิจัยเปน็ ตัวเป็นตนในความสมั พันธร์ ะหว่าง นักวจิ ัยและปฏิสมั พนั ธ์ซงึ่ กันและกันอย่างเปิดเผยและเคารพ (Uusiautti & Määttä, 2016) 7) แหล่งเรียนรู้สงั คมประกติ (Socialization Learning Space) แหล่งเรียนรู้สังคมประกิต หมายถึง บุคคล หรือสถานท่ีซ่ึงสามารถขัดเกลาความรู้ทางสังคม ให้ผู้เรียนมีบุคลิกภาพท่ีสังคมต้องการ เช่น การฝึกมารยาททางสังคม การปฏิบัติกิจกรรมคุณธรรม เชน่ จติ อาสา สัมพนั ธ์ชุมชน สาหรับแหล่งเรียนรู้สังคประกิตด้านภาษา การศึกษาเน้นไปที่การปฏิบัติที่บ้านและชุมชนซ่ึง กาหนดวิธีท่ีผู้เรียนเรียนรู้จะพูดและแสดงเหมือนเป็นสมาชิกทางวัฒนธรรมที่มีความสามารถ (Lee & Bucholtz, 2015) 8) แหล่งเรยี นรนู้ ักประดิษฐห์ รือนวัตกร (Maker Space) แหล่งเรียนร้นู กั ประดษิ ฐห์ รอื นวตั กร หมายถึง พ้นื ที่ซึง่ มีอุปกรณ์อานวยความสะดวก รวมถึงผู้ อานวยความสะดวก (Facilitator) และมีอุปกรณ์ในการทางาน หรืออุปกรณ์เพื่อการประดิษฐ์ เพื่อให้ ผูเ้ รียนสามารถสร้างชิน้ งาน หรือผลิตภณั ฑ์ (Product) ได้ แหล่งเรียนรู้นักประดิษฐ์หรือนวัตกรส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ ความร่วมมือข้ามพรมแดน ความสาเร็จเชิงสร้างสรรค์ และแม้แต่ผลิตภัณฑ์ผ่านการจัดหาฟิสิกส์อวกาศและอุปกรณ์การ ประมวลผลต้นแบบให้กับผู้ผลิตและจัดการประชุมและเวิร์คช็อปท่ีเกี่ยวข้อง (Yang, Kang, Wu, & Yang, 2016) แหล่งเรียนรู้นักประดิษฐ์หรือนวัตกรบางแหล่งส่วนใหญ่เป็นศูนย์กลางของ Geek สาหรับเทคโนโลยีการเขียนโค้ด การบันทึกเพลงและการออกแบบทางเทคนิค และบางแหล่งเน้นการ ออกแบบงานศิลปะและงานทามือเป็นหลัก ส่วนบางแหล่งครอบคลุมสองรูปแบบซึ่งสามารถสร้าง ไฮบริดได้ และสามารถแบ่งออกเป็น 4 สไตล์ต่อไปน้ีตามวัตถุบริการและฟังก์ชันแหล่งเรียนรู้นัก ประดิษฐ์หรอื นวตั กร ได้แก่ FabLabs Hackerspaces TechShops และ Makerspaces operating mode (Yang et al., 2016)

84 9) แหล่งเรียนร้จู าลอง (Simulation Learning Space) แหลง่ เรยี นรูจ้ าลอง หมายถึง พนื้ ท่ีเสมือนซ่ึงผสานเทคโนโลยีในการจาลองแหล่งเรียนรู้ ซึง่ ไม่ มอี ยูจ่ ริงในโรงเรยี น เพือ่ ให้ผู้เรยี นสามารถใชป้ ระโยชน์ ศึกษา และเรียนรูจ้ ากแหลง่ ความร้นู ้นั ๆ ได้ รูปแบบหน่ึงของแหล่งเรียนรู้จาลองเป็น พื้นท่ีเสมือน (virtual reality space) ซ่ึงเป็น แพลตฟอร์มท่ีมีแนวโน้มในการสนับสนุนการฝึกอบรมการสอนแบบจาลอง (Ke & Xu, 2020) Quintana and Fernandez (2015) รายงานว่า VR มีพนื้ ที่เสมือนจริงเพ่ือจาลองความท้าทายในการ สอนและสามารถทาหน้าทีเ่ ปน็ เคร่ืองมือการสอนสาหรับการฝกึ อบรมการสอนแบบกลมุ่ 10) แหลง่ เรยี นรเู้ ชิงจินตนาการ (Imagination Learning Space) แหล่งเรียนรู้เชิงจินตนาการ หมายถึง พื้นท่ีเรียนรู้ซ่ึงเปิดให้ผู้เรียนเข้ามาพัฒนาความคิด วิสัยทัศน์ และฝกึ ฝนให้ผ้เู รียนใชจ้ ินตนาการ แหล่งเรียนรู้ควรสร้างสรรค์และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังเน้นสีและความตื่นเต้น สถานที่ที่ผู้เรียนสามารถใช้จินตนาการได้ สถานที่ที่ผู้เรียนเรียนรู้และสัมผัสกับความเป็นจริง (Bland, 2011) ในการวิจัยของ Bland and Sharma-Brymer (2012) พบวา่ ผู้เขา้ รว่ มหลายคนเสนออยากได้ สภาพแวดล้อมที่เหมือนจริงมากขึ้น เช่น ชายหาด ป่าฝน และบ้านต้นไม้ที่เป็นสถานที่เรียน รวมถึง สภาพแวดล้อมทางสังคม และห้างสรรพสนิ ค้าสาหรบั จินตนาการเชิงสรา้ งสรรค์ 11) แหล่งเรียนร้ทู ยี่ ดื หยนุ่ (Flexible Learning Space) แหล่งเรียนรู้ท่ียืดหยุ่น หมายถึง สถานท่ีเรียนรู้ท่ีผู้เรียนสามารถเรียนรู้เมื่อไหร่ก็ได้ ไมม่ ีกฎเกณฑ์ตายตวั สามารถปรับเปลีย่ นได้ ผู้เรียนสามารถรวมกลุ่มกัน ปรบั เปลีย่ นแนวคดิ ออกแบบ รวมถึงการส่งเสรมิ ให้ผ้เู รยี นทเี่ รยี นต่างสาขากนั ออกไปให้มาทางานร่วมกนั แหล่งเรยี นรู้ที่ยืดหยุ่นสาหรับการใชง้ านในห้องเรียนจะต้องอานวยความสะดวกในดา้ นต่าง ๆ ดงั นี้ 1) การปรับเปล่ียนการเรียนการสอนจากครูไปเน้นผู้เรียน แนวทางในการฝึกอบรมแบบ รวมกลุ่มและแนวทางปฏิบัติในการค้นหาตนเองรวมถึงการเรียนรู้ของชุมชนและการสนับสนุนชุมชน การเรียนรูท้ างสงั คม 2) การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทางกายภาพ จากเฟอร์นิเจอร์ตายตัวให้เป็นเฟอร์นิเจอร์ อเนกประสงคท์ ีม่ พี ืน้ ทส่ี ามารถปรบั เปลี่ยนการใช้งานได้ (Neill & Etheridge, 2008) ในการออกแบบแหล่งเรียนรู้ท่ียืดหยุ่นได้ให้ความสนใจกับคาถามเกี่ยวกับการเรียนการสอน การออกแบบทางกายภาพ และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการกาหนดค่าของแหล่งเรยี นรูด้ ังนี้ (Neill & Etheridge, 2008) 1) แบบเสน้ ตรง (Linear) คือ การบรรยาย การนาเสนอและวดิ โี อ 2) แบบแนวนอน (Horizontal) คอื การอภปิ รายในชัน้ เรียน 3) แบบกลมุ่ (Cluster) คอื การอภปิ รายกลุ่มย่อยและกจิ กรรม

85 4) แบบเครือข่าย (Network) คือ การเรียนการสอนแบบกระจายอานาจ (Decentralized instruction) 3.2.3 วิธีการวัดและประเมินผล จากการทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวข้องกับการประเมินการเรียนรู้ในปัจจุบัน พบว่า การประเมินการเรียนรู้ในปัจจุบันเป็นรูปแบบท่ีเน้นการทดสอบตามมาตรฐาน และเป็นการวัดและ ตัดสินผลลัพธ์การเรียนรู้โดยเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ก่อนหน้า ซึ่งพบว่า มีเพียงส่วนน้อยท่ีจะเป็นการ ประเมนิ เพ่ือพฒั นาผู้เรยี นอย่างแทจ้ ริง การวดั และประเมินผลภายใต้ระบบการศึกษาของประเทศไทย ให้ความสาคัญกับกับการทดสอบท่ีเน้นมาตรฐานมากเกินไปแทนท่ีจะใชก้ ารประเมนิ ผู้เรียนในวงกว้าง และหลากหลาย ในขณะท่ีระบบการศึกษาในอนาคตจาเป็นต้องใช้การประเมินท่ีหลากหลายเพ่ือ ตรวจสอบและปรับปรุงการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างถูกต้อง (OECD/UNESCO, 2016) จากการศึกษา สภาพปัญหาเก่ียวกับการประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ในปัจจุบัน พบว่า การประเมินการเรียนรู้ใน ปจั จบุ นั ยงั ไมส่ ามารถสะท้อนผลลัพธข์ องการจัดการศึกษาได้อยา่ งแท้จรงิ กลา่ วคอื เปน็ การประเมินท่ี เน้นเอกสารและรายงาน ทาให้เป็นการเพิ่มภาระให้กับสถานศึกษาและครู คณะกรรมการอิสระเพ่ือ การปฏิรูปการศึกษารายงานว่า การประเมินผลการเรียนรู้ควรให้ความสาคัญกับการประเมินเพ่ือ พัฒนา การใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ การประเมินการทางานจากสภาพจริง เน้นท่ีผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน เป็นสาคัญ และมีกลไกการปฏิบัติท่ีเอื้อต่อการดาเนินการตามมาตรฐานการศึกษาของแต่ละระดับ เ พื่ อ ใ ห้ เ กิ ด ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ใ น ก า ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า เ พ่ื อ ก า ร พั ฒ น า คุ ณ ภ า พ ก า ร ศึ ก ษ า อ ย่ า ง แ ท้ จ ริ ง (คณะกรรมการอสิ ระเพอื่ การปฏิรปู การศึกษา, 2562) จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับวิธีการวัดและประเมินผล สามารถจัดกลุ่ม ของเนือ้ หาทเี่ กย่ี วขอ้ งกับวธิ ีการวดั และประเมินผลได้ 7 วธิ ี ดังนี้ 1) การประเมนิ เพอ่ื พัฒนา (Formative Assessment) การประเมินเพ่ือพัฒนา (Formative Assessment) หมายถึง ประเมินแล้วมีการนาเสนอผล การประเมิน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนาข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาตนเอง การวัดผลจะเน้นท่ีกระบวนการใน การเรียนรู้ซ่ึงสะท้อนตัวผู้เรียนท่ีแท้จริง ทาให้ผู้เรียนและครูสามารถวินิจฉัยจุดท่ีควรพัฒนา และ สามารถนาข้อมูลน้ันมาพัฒนาปรับปรุงเพ่ือพัฒนาผลการเรียนรู้ ของผู้เรียนให้มีผลลัพธ์ที่ดีตาม Learning Outcome ท่ีกาหนดไว้ อิสระ กุลวุฒิ และคณะ (2561) ได้สรุปความหมายของการประเมินเพ่ือพัฒนาจากการนยิ าม ความหมายของนักวชิ าการ องค์กรที่รับผิดชอบการประเมินผลระดับ นานาชาติ รวมไปถึงงานวิจัยทงั้ ในประเทศและต่างประเทศ โดยแบ่งไดเ้ ปน็ 2 กล่มุ คือ 1) กลุ่มที่ให้ความหมายคล้ายกับการประเมินผลแบบ Evaluation โดยการเน้นการสอบ จุดประสงค์ยอ่ ย หรอื อาจกลา่ วได้ว่าเป็นกลุม่ ทีก่ บั เคร่ืองมอื วัดและเกณฑ์การประเมิน ถา้ ไมผ่ า่ นเกณฑ์ ต้องมีการปรบั ปรุงการเรยี นรู้

86 2) กลุ่มที่ให้ความหมายคล้ายกับการประเมินผลแบบ Assessment มีลักษณะท่ีกว้าง กว่า การประเมินแบบ Evaluation ซึ่งจะหมายถึงการประเมินผลท่ีใช้รูปแบบการประเมินท่ีหลาก หลาย หรือการประเมินในลักษณะท่ีเป็นแนวใหม่ โดยการประเมินจะเป็นกระบวนการรวมรวมและ เรียบ เรียงสารสนเทศอย่างเป็นระบบเพื่อใช้ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียน เน้นการประเมินตาม สภาพ จรงิ (Authentic) และใชก้ ารส่งเสริมหรือปรบั ปรงุ ความก้าวหนา้ ด้านการเรียนมากกว่าจะเนน้ คะแนน เพื่อเปน็ ตวั ตดั สนิ ว่าผ่านเกณฑห์ รือไมผ่ า่ นเกณฑ์ 2) การประเมินการนาไปใชใ้ นชวี ติ จริง (Authentic Assessment) การประเมินการนาไปใช้ในชีวิตจริง (Authentic Assessment) หมายถึง ประเมินการนา ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงของผู้เรียน การประเมินดังกล่าวเป็นกระบวนการตัดสินความรู้ ความสามารถและทกั ษะตา่ ง ๆ ของผู้เรียนในสภาพทีส่ อดคล้องกบั ชวี ิตจรงิ โดยใช้เร่ืองราว เหตกุ ารณ์ สภาพจริงหรือคล้ายจริงที่ประสบในชีวิตประจาวัน เป็นส่ิงเร้าให้ผู้เรียนตอบสนองโดยการแสดงออก ลงมือกระทา หรือผลิต จากกระบวนการทางานตามท่ีคาดหวังและผลผลิตท่ีมีคุณภาพ จะเป็นการ สะทอ้ นภาพเพ่ือลงข้อสรุปถึงความรู้ ความสามารถ และทักษะต่าง ๆ ของผ้เู รยี นวา่ มมี ากน้อยเพียงใด นา่ พอใจหรือไม่ อยใู่ นระดบั ความสาเร็จใด สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2540) กล่าวไว้ว่า การประเมินตาม สภาพจริงมีลกั ษณะดงั นี้ 1) การประเมินตามสภาพจริง ไม่เน้นการประเมินทกั ษะพื้นฐาน (Skill Assessment) แตเ่ น้น การประเมินทักษะการคิดท่ีซับซ้อน (Complex Thinking Skill) ในการทางาน ความร่วมมือ ในการ แกป้ ัญหา และการประเมินตนเองท้ังภายในและภายนอกห้องเรียน 2) การประเมนิ ตามสภาพจรงิ เปน็ การวดั และประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียน 3) การประเมินตามสภาพจริง เปน็ การสะท้อนใหเ้ หน็ การสังเกตสภาพงานปจั จบุ ัน (Current Work) ของผเู้ รียน และส่งิ ทผี่ ้เู รียนไดป้ ฏิบตั ิจริง 4) การประเมินตามสภาพจริง เป็นการผูกติดผู้เรียนกับงานท่ีเป็นจริง โดยพิจารณาจากงาน หลาย ๆ ชน้ิ 5) ผปู้ ระเมนิ ควรมหี ลาย ๆ คน โดยมีการประชมุ ระหว่างกล่มุ ผู้ประเมินเพอ่ื แลกเปลย่ี นข้อมูล เกย่ี วกับตัวผเู้ รยี น 6) การประเมินต้องดาเนนิ การไปพร้อมกบั การเรียนการสอนอย่างต่อเน่ือง 7) นาการประเมนิ ตนเองมาใชเ้ ป็นสว่ นหนง่ึ ของการประเมนิ ตามสภาพทแี่ ท้จรงิ 8) การประเมินตามสภาพจริง ควรมีการประเมินท้ัง 2 ลักษณะ คือ การประเมินที่เน้นการ ปฏิบตั จิ รงิ และการประเมนิ จากแฟม้ สะสมงาน

87 3) การประเมนิ ดว้ ยการใหข้ ้อมูลย้อนกลบั เชิงสร้างสรรค์ (Creative feedback) การประเมินด้วยการให้ข้อมูลย้อนกลับเชิงสร้างสรรค์ (Creative feedback) หมายถึง การ ประเมินที่เน้นกระบวนการสะท้อนความคิด (reflect) เชิงสร้างสรรค์ให้แก่ผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนเกิด การพัฒนา ปรับปรุงผลงานของตนเองในอนาคต โชติมา หนูพริก และกลุ่มพัฒนาและส่งเสริมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ (2016) กล่าวว่า การให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียนใน 3 ลักษณะ ได้แก่ การให้ข้อมูลกระตุ้นการเรียนรู้ (Feed up) การ ให้ข้อมูลย้อนกลับ(Feedback)และการให้ข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ต่อยอด(Feed forward) เพื่อพัฒนาการ เรียนรู้ ผู้เรียนตระหนักในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับการประเมินผ้เู รียนใน ศตวรรษที่ 21 ให้ ความสาคัญกับการประเมินเพื่อปรับปรงุ การเรียนรู้ของผู้เรยี น (Improve Student Learning) การประเมิน เพ่ือการเรียนรู้ (Assessment for learning) และใช้การประเมินเป็น เครอื่ งมอื การเรียนรู้ (Assessment as Learning) การประเมนิ ดงั กลา่ วไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แตข่ ้นึ อย่กู บั บรบิ ทของการจัดการเรียนรู้ การให้ข้อมูล แก่ผู้เรียนท่ีมี ประสิทธิภาพจะต้องตรงประเด็น อธิบายผลท่ีเกิดตามจริงและทันเวลาเพ่ือผู้เรียนจะได้ แก้ไขได้ทันท่วงที จะไม่ตัดสินว่า ถูก – ผิด แต่จะบอกให้ผู้เรียนเห็นประเด็นตามเกณฑ์แล้วสรุปการ ปฏิบัติของตนเองว่าเป็น อย่างไร ห่างจากเป้าหมายอย่างไร และต้องทาอะไรต่อไปเพื่อให้บรรลุ เป้าหมาย การให้ข้อมูลแก่ผู้เรียนท่ีมี ประสิทธิภาพส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เพราะผู้เรยี นไดฝ้ ึกฝนการประเมนิ ตนเอง 4) การประเมินตนเอง (Self Assessment) การประเมนิ ตนเอง (Self Assessment) หมายถงึ การประเมินตนเองโดยตวั ผเู้ รียน ทผ่ี ้เู รยี น สามารถวางแผนเพ่ือพัฒนา ปรับปรุงผลงานของตนเองในอนาคต การประเมินตนเองเน้นให้ผู้เรียน กาหนดเป้าหมายและการติดตาม คิดอย่างวิเคราะห์ว่าผู้เรียนได้เรียนรู้ อะไรไปบ้าง เพ่ืออธิบาย มาตรฐานของการปฏบิ ัติงานได้อยา่ งเหมาะสมและเพื่อใช้มาตรฐานน้ันในการปฏบิ ัติงาน การประเมิน ตนเองเป็นการส่งเสริมผเู้ รียนเพ่ือตรวจสอบตนเองและตัดสินใจว่าควรใชเ้ กณฑ์อะไรในการตัดสนิ งาน มากกว่าการตดั สินท่ีข้ึนอยูก่ บั ครหู รือผมู้ ีอานาจแตเ่ พียงอย่างเดียว Andrade (2008) ได้เสนอแนวทางในการประเมินตนเองโดยการใช้รูบริคส์ในฐานะท่ีเป็น เคร่อื งมอื การประเมินตนเองของผ้เู รียน ซ่งึ ประกอบดว้ ยขั้นตอนพนื้ ฐาน 3 ข้ันตอน 1) การกาหนดความคาดหวังท่ีชัดเจน ความคาดหวังสาหรับกิจกรรมหรือการปฏิบัติงานควร พูดให้แจ่มแจ้งชัดเจนจากครู ผู้เรียนหรือท้ังสองอย่างใดอย่างหน่ึง เช่น การทาข้อความท่ีเป็นความ คิดเห็นให้ชัดเจน สนับสนุนด้วยความจรงิ และน่าเช่ือถือเป็นส่วนหนึ่งของเกณฑ์ความคิด และเน้ือหา ถามคาถามและข้อคิดเห็นและปรับปรุงรูบริคส์ให้ชัดเจนตามท่ีต้องการ จนครูมีความมั่นใจว่าผู้เรียน เข้าใจและยอมรับรูบรคิ สท์ ส่ี ร้างขึ้น ครจู ึงให้ผู้เรยี นเร่ิมงานทไี่ ดร้ ับมอบหมาย

88 2) การปฏิบัติการประเมินตนเอง ผู้เรียนสร้างงานท่ีได้รับมอบหมาย ผู้เรียนติดตาม ความก้าวหน้าของงานท่ีได้รับมอบหมายโดย การเปรียบเทียบการปฏิบัติกับเกณฑ์ของรูบริคส์ท่ี กาหนดไว้ 3) การปรับปรุง ผู้เรียนใช้ผลสะท้อนกลับจากการประเมินตนเองตามเกณฑ์ของรูบริคส์เพื่อ เป็นแนวทางการ ปรับปรุงงาน ซ่ึงอาจจะเป็นการปรับปรุงงานเดิมให้ดีย่ิงข้ึน หรือนาไปใช้ในการ พยายามพัฒนาการปฏิบตั ิงานชิน้ ใหม่ใหด้ ยี ง่ิ ข้ึน ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้และพฒั นาตนเอง 5) การประเมนิ แบบรว่ มมอื (Collaborative Evaluation) การประเมินแบบร่วมมือ (Collaborative Evaluation) หมายถึง การประเมินท่ีผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย ได้แก่ ผู้อานวยการโรงเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน เป็นผู้ร่วมกันประเมินผล ซึ่งในการ ประเมินร่วมมือกันสามารถให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีส่วนร่วมในทุกข้ันตอน ต้ังแต่การริเริ่มและวาง แผนการประเมิน การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ การออกแบบการประเมนิ การวเิ คราะห์ข้อมูล การตคี วาม ข้อค้นพบ การอภิปรายผล การสรุปผล การให้ข้อเสนอแนะ และการแจกจ่ายข้อค้นพบตลอดจนการ ตดิ ตามการนาผลการประเมนิ ไปใช้ ประนอม พนั ธไ์ สว (2556) แบ่งการประเมนิ แบบรว่ มมอื เปน็ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การมีส่วนร่วมที่เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมและร่วมรับผิดชอบใน กระบวนการประเมิน เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของทั้งในกระบวนการและผลลัพธ์ที่ได้จากการ ประเมิน 2) ความสมั พันธ์ระหว่างกัน การยอมรับนบั ถอื และไว้วางใจซ่งึ กนั ละกัน 3) การตอบสนองในรูปแบบของการให้ข้อมูลป้อนกลับเน่ืองจากการได้ข้อมูลป้อนกลับจะ นาไปใช้ปรบั ปรุงแผนการดาเนินการ 6) การประเมินผลงาน (Performance-based Assessment) การประเมินผลงาน (Performance-based Assessment) หมายถึง การประเมินโดยดูจาก ผลงานที่เกิดข้ึนหลังเสร็จส้ินกระบวนการเรียนรู้ ซ่ึงเป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลการปฏิบัติของ ผู้เรียน ครอบคลุมท้ังผลงานและกระบวนการที่เป็นท้ังการใช้เรียนรู้ เพ่ือนาข้อมูลที่รวบรวมมาใช้ใน การตรวจสอบวา่ ผู้เรยี นสมั ฤทธติ์ ามเป้าหมายของการเรียนการสอนท่ีกาหนดไวห้ รือไม่ สมมาตร ทบั ทิมแกว้ (2552) ได้กล่าวว่า รูปแบบการประเมนิ ผลงานแบ่งออก 5 ขั้นตอนนี้ 1) การระบุวัตถุประสงค์ของการประเมิน โดยควรมีการระบุวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน คานึงถึง ความคิดรวบยอด ทักษะ หรือความรู้ที่ต้องการวัด ผู้เรียนควรรู้สิ่งใดบ้าง ผู้เรียนควรปฏิบัติงานใน ระดบั ใด และความร้ชู นดิ ใดท่ีควรวดั ผล เชน่ การให้เหตผุ ล ความจา หรอื กระบวนการ 2) การเลือกกิจกรรม โดยเลือกกิจกรรมต้องคานึงถึงประเด็นสาคัญ ได้แก่ ระยะเวลา แหล่งข้อมูลท่ีมีอยู่ ข้อมูลที่จาเป็นต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับคุณภาพของปฏิบัติงาน มีกิจกรรมอยู่สอง ประเภททีเ่ หมาะสมในการเลอื กกิจกรรม

89 3) การระบุเกณฑ์การวัดผล โดยระบุองค์ประกอบของโครงงานหรือชิ้นงานท่ีตัดสิน ความสาเร็จของการปฏิบัติงานของผู้เรียน และอาจสามารถหาเกณฑ์ในการประเมินโดยใช้หลักสูตร พืน้ ฐาน หลักสตู รทอ้ งถนิ่ หรอื เอกสารท่ีเผยแพร่ 4) การสร้างเกณฑ์การประเมิน โดยคานึงถึงความเที่ยงตรง ยุติธรรม และง่ายต่อการนาไป ประเมิน เพ่อื ใหก้ ารปฏิบตั ิงานเปน็ ไปอย่างมีประสิทธภิ าพ 5) การวดั ผลการปฏบิ ัติงาน โดยมีหลายวธิ ที จ่ี ะประเมินผลงาน เชน่ วิธรี ะบวุ า่ มอี งค์ประกอบ ใดบ้างท่ีมีอยู่ในการปฏิบัติงาน (Checklist Approach) วิธีระบุระดับของมาตรฐาน โดยใช้เป็นสเกล ตัวเลข (Rating Scale Approach) วธิ ีสงั เกตผเู้ รียนโดยการจดจาเพื่อตดั สินใจ (Memory Approach) วิธีตรวจสอบแก้ไขหรือพิจารณาความถูกต้องให้ตรงตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ (Extended tasks) และ วธิ กี ารรวบรวมผลงานทด่ี ที ่สี ดุ (Portfolios) เป็นต้น 7) การประเมินโดยผเู้ ช่ียวชาญ (Expert Evaluation) การประเมินโดยผู้เช่ียวชาญ (Expert Evaluation) หมายถึง การประเมินโดยมีผู้เชียวชาญ เฉพาะด้านมาร่วมประเมิน การประเมินดังกล่าวเป็นการประเมินที่อาศัยทักษะความเชี่ยวชาญของ บุคคลหรอื กลมุ่ บุคคลที่ได้รับการฝึกฝนหรือมีประสบการณเ์ ก่ยี วข้องกับสง่ิ ที่ทาการประเมินโดยเฉพาะ ซ่ึงการประเมินรูปแบบนี้มีจุดเน้น 4 มิติหลัก คือ การพรรณนา การตีความ การประเมินค่า และ การ สรปุ สาระสาคัญ โดยท่วั ไปจดุ เนน้ ทงั้ 4 มิติมีลักษณะบูรณาการระหวา่ งกนั รชั ภมู ิ สมสมยั (2559) ได้อธบิ ายหลักการและแนวคิดของการประเมนิ โดยผู้เช่ียวชาญว่า 1) ทัศนะมุมมองและความเชี่ยวชาญของผปู้ ระเมินควรหลากหลาย ไม่จากัดเฉพาะผู้ประเมนิ รายใดรายหน่ึง 2) ใชว้ ธิ ีการเชิงคณุ ภาพ เพื่อแสดงให้เหน็ ถงึ คณุ คา่ ในสงิ่ ประเมินเปน็ หลัก 3) ดาเนนิ การด้วยรปู แบบและวิธีการทย่ี ืดหย่นุ 4) เน้นรวบรวมข้อมูลด้วยการสัมผัสสิ่งท่ีประเมิน โดยผ่านการตรวจเยี่ยมหรือเข้าชม (Site visit) เพอื่ รับรู้และเขา้ ใจส่งิ ทป่ี ระเมนิ ดว้ ยประสบการณต์ รงของตนเอง 5) เคร่ืองมือรวบรวมขอ้ มลู ณ พนื้ ท่ี เช่น แบบการสัมภาษณ์ แบบตรวจสอบรายการ 3.3 กรณีศกึ ษาระบบการเรยี นรขู้ องต่างประเทศ 3.3.1 กรณศี ึกษาระบบการเรยี นรู้ของประเทศสงิ คโปร์ ประเทศสิงคโปร์ ได้นาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ( Information and Communication Technology: ICT) มาบูรณาการร่วมกับการจัดระบบการเรียนรู้ โดยแผนแม่บท การศกึ ษาสงิ คโปร์ฉบบั แรกในปี 1997 ไดใ้ ห้ความสาคัญเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในฐานะ เปน็ เครือ่ งมือสาคัญสาหรบั การจัดการเรยี นรู้ ต่อมาแผนแมบ่ ทการศกึ ษาสงิ คโปร์ฉบบั ท่ีสองในปี 2002 มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเพื่อสร้างสรรค์การเรียนรู้ท่ีให้อิสระผู้เรียนในการ เข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กาหนดมาตรฐานและทักษะเทคโนโลยีสารสนเทศและ

90 การส่ือสารสาหรับผู้เรียน และสิงคโปร์ได้พัฒนาและใช้แผนแม่บทการศึกษาสิงคโปร์ฉบับที่ 3 ในปี 2009 ท่ีเน้นเนน้ ย้าการพลกิ โฉมผเู้ รยี นโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารเปน็ ตวั นา ระบบการเรียนรู้ของสิงค์โปรในปัจจุบันพัฒนาบนพื้นฐานของแนวคิดท่ีว่า “Teaching and Learning is pedagogy-led, and can be supported by appropriate & judicious use of technology” หรือ “ระบบการเรียนรู้ที่มีการเรียนการสอนเป็นหลักนาซ่ึงได้รับการสนับสนุนอย่าง เหมาะสมจากเทคโนโลยี” ซ่ึงจะพัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-directed competency) และสมรรถนะการเรียนรู้ร่วม (Collaborative learning competency) ผ่านการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณลักษณะเป็นผู้ใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสารที่ฉลาดและรับผิดชอบ (Discerning & responsible ICT users) ท้ังนี้ แม่บทการศึกษายังมีเป้าหมายในการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน และทรัพยากรการเรียนรู้ ใหส้ อดรับกบั การพลิกโฉมผู้เรยี นดว้ ยเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร โดยการให้อานาจตัดสินใจ แก่ผู้บริหารสถานศึกษามากขึ้น การพัฒนาขีดความสามารถครูผู้สอน และการสนับสนุนโครงสร้าง เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สารทผี่ เู้ รียนสามารถเข้าถงึ ไดท้ ุกทีแ่ ละทุกเวลา 3.3.2 กรณีศกึ ษาระบบการเรยี นร้ขู องประเทศจีน (เซย่ี งไฮ้) ประเทศจีนพัฒนาการศึกษาอย่างก้าวกระโดดหลังจากการปฏิบัติทางวัฒนธรรมในช่วง ปี 1966-1976 ปัจจุบันระบบการเรียนรู้ของจีนโดยเฉพาะเมืองเซ่ียงไฮ้เป็นท่ีจับตามมองของนัก การศึกษาทุกมุมโลกเนื่องจากมีผลการประเมินติด 5 อันดับแรกจากโปรแกรมประเมินสมรรถนะ นักเรียนมาตรฐานสากล (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) ในปี 2012 - 2018 ระบบการเรียนรู้ของเซี่ยงไฮ้ให้ความสาคัญกับการเรียนรู้ตลอดชีวิตของนักเรียนทุกคน (Lifelong development of every student) ท่ีตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม (cultural diversity) ของผู้เรียน โดยยึดตามแผนพัฒนาแนวทางการปฏิรูปการศึกษาระยะกลางและ ระยะยาวแห่งชาติ ปี 2010 หรือ Outline of National Medium- and Long-Term Education Reform and Development Plan 2010 ท้ังนี้ระบบการเรียนรู้มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้การ สร้างความรู้ (Active construction of knowledge learner) และเป็นผู้เรียนท่ีมีคุณธรรม (Moral learner) โดยส่งเสริมการจัดสรรทรัพยากรการเรียนรู้เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ตอบสนองต่อ ความหลากหลายของผู้เรียน เน้นสมรรถนะการประยุกต์ใช้ความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ (Effective application of the knowledge learner) เพื่อให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงและเข้าใจสถานการณ์ จริง (Real-life experiences with actual effects) และมีปฏิสัมพันธ์ในสังคม (Social action) นอกจากน้ีระบบการเรียนรู้ยงั คานึงถงึ ปัญหาความเหลื่อมล้าด้านเศรษฐกิจของประเทศพร้อมกับสร้าง ความร่วมมือระหว่างองค์กรภายในและภายนอกประเทศเพื่อขยายทรัพยากรการเรียนรู้ และเรียนรู้ วธิ กี ารจัดการเรยี นรแู้ ละการประเมนิ การเรยี นนรู้

91 3.3.3 กรณศี กึ ษาระบบการเรียนรขู้ องประเทศเวียดนาม ประเทศเวียดนาม ได้จัดระบบการเรียนท่ีเรียกว่า TEKY STEAM เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ให้มที ักษะทางเทคโนโลยี (Technology skills) ซ่ึงเปน็ สถาบนั การศึกษาดา้ นวทิ ยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) ศิลปะ (Art) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) แห่งแรกในเวียดนาม สาหรับเด็กอายุ 6-18 ปี ต้ังข้ึนในปี พ.ศ.2560 มีการสร้าง ห้องปฏิบัติการ 16 แห่งใน 5 เมืองทั่วประเทศและร่วมมือกับโรงเรียน 30 แห่งท่ัวประเทศเพื่อสร้าง หลักสูตรเทคโนโลยี (Technology courses) ท่ีใช้เวลาเรียน 9-18 เดือน และออกแบบ Coding camp เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าไปการเรียนรู้ทักษะเทคโนโลยใี นชว่ งวนั หยุด รวมท้ังกาลังพัฒนา e-learning platform สาหรับผู้เรียนในจังหวดั หา่ งไกลในภูมิภาคสามารถเข้าเรียนรู้ TEKY มุ่งเน้นการสอนทักษะ เทคโนโลยีผ่านโมดูลในการเขียนโปรแกรม (Programming) หุ่นยนต์ (Robotics) ออกแบบเว็บไซต์ (Website design) การสอื่ มลั ติมเี ดยี (Multimedia communications) และแอนิเมชนั่ (Animation) โดยผู้เรียนจะใช้เวลาประมาณ 80% ในการเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์กับเทคโนโลยี โดยสามารถเข้าไป ทดลองเรยี นในหลายห้องเรียนก่อนตัดสนิ ใจเลือกห้องเรียนเทคโนโลยีทสี่ นใจที่สุด โดยผู้นาของ TEKY ร่วมมือกับพันธมิตรด้านเทคโนโลยีการศึกษาหลายแห่ง รวมถึง Sigong Media, MIT for Scratch, Tynker, LEGO Education, RoboRobo และ Maker Empire รวมถึงผู้พัฒนาโปรแกรมท่ีออกแบบ มาเพื่อสอนทักษะการใช้เทคโนโลยีท่ีสาคัญสาหรับอนาคต และได้ร่วมมือกับ MasterMind Crate เพื่อสร้างโปรแกรม Tekid-preneur เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างและออกแบบเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ (e-commerce websites) และหลักสูตรเสมือนจรงิ (Virtual reality course) แหง่ แรกของเวียดนาม สาหรับผู้เรียนอายุ 13 - 18 ปี ตลอดจนเป็นเจ้าภาพการแข่งขัน Minecraft Hackathon ซ่ึงเป็นการ แขง่ ขันการเขยี นโปรแกรมระดับชาติสาหรบั ผูเ้ รียน ซึง่ มผี ูเ้ รียนในเวยี ดนามมากกว่า 1,000 คนเขา้ รว่ ม การประกวดเทคโนโลยีทุก ๆ ไตรมาส เช่นเดียวกับประเทศอินโดนีเซียท่ีจัดระบบการเรียนที่ส่งเสริม ความสาเร็จด้านอาชีพและเตรียมพร้อมสู่การทางาน (Accelerated Work Achievement and Readiness for Employment: AWARE) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแรงงานที่พร้อมในอนาคตด้วย ทกั ษะทจ่ี าเป็นต่อการประสบความสาเร็จในเศรษฐกิจดิจิทลั AWARE เปน็ การเชื่อมโยงระหว่างผู้เรียน โรงเรยี นและผ้นู าในอุตสาหกรรมโดยตรง เพ่อื สนับสนนุ ความพร้อมในการทางานของเยาวชนโดยผ่าน การเรียนรู้การปฏิบัติงานบนพ้ืนฐานความร่วมมือกับบริษัทเอกชนกว่า 65 แห่ง ได้แก่ BMW, Globe Telecom, LG Electronics และ Schneider Electric ซึ่งมีหลักสูตรการเตรียมความพร้อมในการ ทางาน มีเน้ือหา 8 โมดูล เกี่ยวกับทักษะต่าง ๆ ได้แก่ การส่ือสารระหว่างบุคคล การเป็นผู้นาการ ประกอบการและทางการเงิน นวตั กรรมทางธุรกิจเพ่ือแก้ไขปัญหาชุมชนและธุรกิจ ตลอดจนโครงการ ท่ีผู้เรียนออกแบบสร้างและขยายธุรกิจของตนเอง ทั้งยังมี boot camps แบบเร่งรัด 2 วัน โดยให้ โอกาสผู้เรียนในการใช้ทักษะทางเทคนิคและการประยุกต์ใช้ทักษะในการออกแบบเว็บและการตลาด ดิจิทัล (digital marketing) ผ่านงานจาลอง เรียกว่า “gig economy” โดยร่วมร่วมมือกับพันธมิตร

92 ในอุตสาหกรรม ICT ตลอดหลักสูตรผู้เรียนจะสร้างเว็บไซต์เกี่ยวกับผลงานทางด้านดิจิทัล มีการ ออกแบบและผลติ ภัณฑ์งานดิจิทลั ซึ่งไดพ้ ฒั นาโดยความร่วมมอื กับพันธมิตรในอตุ สาหกรรม 3.3.4 กรณศี กึ ษาระบบการเรยี นรู้ของประเทศฝัง่ ตะวนั ตก ประเทศแคนาดาจัดระบบการเรียนรู้สังคมแห่งความรู้ ( The Knowledge Society) เพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีทักษะแห่งนวัตกรรมการความคิดสร้างสรรค์ (Innovation and creativity skills โดยสนับสนุนโปรแกรมเสริมหลักสูตรร่วมกับพันธมิตรผู้นาเทคโนโลยีเพื่อพัฒนา ทักษะนวัตกรรมผู้ประกอบการสังคมแห่งความรู้ (TKS) เป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตรความยาว 3 ปี เพ่ือพัฒนาทักษะทางเทคโนโลยี และการเป็นผู้ประกอบการให้แก่ผู้เรียนอายุ 13-18 ปี ซึ่งจัดตลอด ปีการศึกษา เป็นเวลาสัปดาห์ละ 10 ชั่วโมง ในปีแรกจะเป็นการเรียนการสอนเพื่อสร้างทักษะทาง เทคโนโลยีและการส่ือสาร โดยผู้เรียนจะได้เรียนรู้หลากหลายเทคโนโลยีและเลือกศึกษาเทคโนโลยีท่ี ตนสนใจในเชงิ ลึก ปีท่ี 2 ผู้เรยี นศึกษาเทคโนโลยีทีต่ นสนใจในเชิงลึก ปีที่ 3 ผู้เรยี นสรา้ งนวัตกรรมเพ่ือ สร้างเปล่ียนแปลง รวมทั้งมีการพัฒนาช่องทางออนไลน์เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าถึงข้อมูลและแบ่งบันไอเดีย TKS ร่วมมือกับเอกชนหลายแห่งท่ีมีศักยภาพด้านนวัตกรรมเพ่ือให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สถานการณ์จริง ได้รับคาปรึกษาและไดส้ มั ผสั กิจกรรมและโครงการของบรษิ ัท ประเทศฟินแลนด์ ได้จัดระบบการศึกษามุ่งเน้นทักษะมนุษย์สัมพันธ์ ความฉลาดทางอารมณ์ ระหว่างบุคคล โดยทางโรงเรียนได้จัดการศึกษาผ่านหลักสูตรแกนกลางของประเทศท่ีมุ่งเน้นไปที่การ พัฒนาความเป็นผู้ประกอบการ พลเมืองท่ีดี และความตระหนักรู้ต่อสังคม โรงเรียนได้มีการจัด โครงการผู้ประกอบการรนุ่ เยาวโ์ ดยใหผ้ ู้เรียนไดอ้ อกแบบธรุ กจิ ของตนเองโดยเปน็ ส่วนหนึ่งของรายวิชา เรียนในปีการศึกษาน้ัน เน้นการมีส่วนร่วมระหว่างผู้เรียน ครอบครัวและโรงเรียน ท้ังยังเป็นแหล่ง ทัศนศึกษาให้กับโรงเรียนในแต่ต่างชาติ โรงเรียนพัฒนาทักษะการส่ือสารระหว่างบุคคลและการเป็น พลเมอื งโลกโดยการจัดทศั นศกึ ษาดูงานในประเทศเนปาล ประเทศสเปนไดจ้ ัดระบบการเรยี นท่ีเรยี กวา่ iEARN เพือ่ พฒั นาคณุ ภาพผูเ้ รียนให้มที ักษะการ สื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Skills) ซ่ึงเป็นสร้างเครือข่ายระดับโลกเชื่อมต่อผู้เรียนกับ ผู้เรียน ผู้เรียนกับโรงเรียน และโรงเรียนกับโรงเรียน เพ่ือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและส่งเสริมโครงการ เพื่อชุมชนผ่านระบบออนไลน์ โดยเครือข่ายมีสื่อและนวัตกรรมการสอนท่ีหลากหลาย ครูผู้สอน สามารถนามาปรับใช้ให้เข้ากับหลักสูตรและบริบทของตนเองได้ ผู้เรียนจึงได้สัมผัสความหลากหลาย ทางวัฒนธรรมและตระหนักถงึ ความเหมือนต่างระหวา่ งบรบิ ทของตนเองและบริบทอนื่ ในโลก โดยเน้น ท่ีการสารวจสิทธิและหน้าที่ กฎหมายท้องถ่ิน กระบวนการเลือกตั้ง ของประเทศของตัวเอง และการ ทากิจกรรมชุมชนและท้องถ่ิน เช่น อาสาสมัครในการแลกเปล่ียนเรียนรู้ผลการเลือกตั้ง และการ อธิบายถึงทักษะการเป็นประชากรท่ีดี สมาชิก iEARN ในแต่ละประเทศมีเจ้าหน้าที่ประสานงานของ ตนเองทาหน้าที่ในการตัดสินใจในระดับนานาชาติและระดับชาติผ่านการโหวตท่ีเป็นธรรม เครือข่าย ยังประกอบไปดว้ ยผู้เชย่ี วชาญในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตรทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั ความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม และมีความร่วมมือกับบริษัทเอกชนที่มีช่ือเสียงในระดับนานาชาติ ดังน้ันโรงเรียนและ

93 ครูผู้สอนจึงได้รับองค์ความรู้ท่ีเหมาะสมและสอดคล้องต่อการพัฒนาทักษะระหว่างบุคคล ในทาง เดยี วกนั โรงเรยี นมธั ยมปลาย South Tapiola ตอนที่ 4 การออกแบบนโยบายทางการศึกษา (Policy Design/ Policymaking) นโยบายการศกึ ษา คอื กญุ แจสาคัญในการบรรลเุ ปา้ ประสงคข์ องประเทศหรอื องค์กร สะทอ้ น การดาเนินการตามกรอบภาพกว้าง และนาไปสู่การพัฒนาการศึกษา ดังน้ันในการศึกษานโยบายนั้น จะต้องมีการดาเนินการอย่างเป็นระบบและเป็นไปตามลาดับข้ันตอน สัญญา เคณาภูมิ (2559) กล่าวว่า การกาหนดนโยบายยึดโยงกับการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการบริหาร ตลอดจนการ ประยุกต์ใช้องค์ความรู้วิชาการสาหรับเป็นกลยุทธ์ในการตัดสินใจ คานึงถึงความพึงพอใจและ ประโยชนข์ องสงั คมเป็นสาคัญ นโยบายพลกิ โฉมระบบการเรียนรู้ หมายถึง แนวดาเนินการในการจัดการศึกษาเพื่อสร้างการ เปล่ียนแปลงคุณภาพคนไทยท่ีพึงประสงค์ท่ีตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 การกาหนดนโยบายแหง่ โลกอนาคตนต้ี ้ังอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีจานวน 5 ทฤษฎี ดังนี้ 4.1 ทฤษฎีความเป็นธรรมในนโยบาย ทฤษฎีความเป็นธรรมในนโยบายให้ความสาคัญกับประโยชน์ของคนจานวนมาก หรือ ท่ีเรียกว่าหลักอรรถประโยชน์นิยม (Utilitarianism) การกาหนดนโยบายใดก็ตามต้องพิจารณา ประโยชน์สุขของประชาชน สร้างการปฏิบัติเพ่ือให้เกิดผลประโยชน์ต่อสังคมมากท่ีสุด ไม่เอื้อต่อ ปัจเจกบคุ คลหรือกลมุ่ ใดกล่มุ หน่งึ Pareto (1935) กล่าวว่าการกาหนดนโยบายและดาเนินนโยบายต้องไม่ลดทอนสิท ธิ ประโยชน์เดิม หรือกล่าวคือต้องไม่ทาให้ใครรู้สกึ แยล่ งกวา่ เดิม ซึ่งกลุ่มคนที่มีโอกาสรู้สึกแย่ลงกว่าเดมิ อันเน่ืองมาจากทิศทางของนโยบายใหม่ ผู้กาหนดนโยบายควรเชิญมามีส่วนร่วมหรือบทบาทใน กระบวนการออกแบบนโยบาย ถา้ หากพบว่าผลกระทบไม่สามารถหลีกเล่ยี งได้ ต้องมกี ารชดเชยให้แก่ คนท่รี ้สู ึกวา่ ตนเองได้รับผลเสยี จากนโยบาย 4.2 ทฤษฎีหลักการและเหตุผล ทฤษฎีหลกั การและเหตุผลมีบทบาทในการกาหนดนโยบายผ่านการวเิ คราะห์ตามแนวคิดทาง เศรษฐศาสตร์และวิทยาการจัดการ สัญญา เคณาภมู ิ (2559) ไดก้ ล่าวถึงคณุ ลกั ษณะของผตู้ ดั สนิ หรือผู้ กาหนดนโยบายไว้ 6 ประการ ดงั นี้ 1) สามารถจาแนกปัญหา พิจารณาเปรยี บเทยี บปญั หาได้อยา่ งมเี หตุมีผล 2) มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเป้าประสงค์ (Goals) ค่านิยม (Values) หรือวัตถุประสงค์ (Objective) ซง่ึ จะทาใหก้ ารพจิ ารณาปัญหามคี วามชัดเจนขึ้น 3) สามารถตรวจสอบทางเลือก (นโยบาย) ในการแกป้ ัญหาไดอ้ ย่างชัดเจน 4) สามารถตรวจสอบผลลพั ธด์ า้ นตน้ ทุน (Cost) ผลประโยชน์(Benefits) ส่วนดีและเสยี ท่คี าด จะเกิดข้ึนจากการดาเนินนโยบาย

94 5) สามารถเปรยี บเทียบผลลพั ธท์ ่ีอาจจะเกิดขนึ้ ของแต่ละนโยบาย 6) สามารถตัดสินใจเลือกทางเลือกและผลลัพธ์ของแต่ละทางเลือกท่ีดีที่สุดที่ตอบสนอง เป้าประสงค์ค่านิยม หรือวัตถุประสงค์สูงสุดขององค์การตลอดจนสามารถผลักดันให้เกิดผลในทาง ปฏิบตั อิ ยา่ งแท้จรงิ 4.3 ทฤษฎีการเปลีย่ นแปลงจากเดมิ บางสว่ นหรอื ทฤษฎสี ่วนเพ่มิ ทฤษฎีการเปล่ียนแปลงจากเดิมบางส่วนหรือทฤษฎีส่วนเพิ่มให้ความสาคัญกับนโยบายเดิม การกาหนดนโยบายพิจารณาจากกิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึงท่ีเคยดาเนินการมาในอดีต พิจารณา เปลี่ยนแปลงการจัดสรรทรัพยากรบางส่วน ไม่ต้องคิดริเริ่มใหม่ท้ังหมด ต่างจากการเปลี่ยนแปลงท้ัง ระบบหรือแบบเบ็ดเสร็จ การตัดสินใจแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งการตัดสินใจแบบนี้จะง่ายและ ประหยัดเวลา ไมต่ ้องรวบรวมขอ้ มลู มาก 4.4 ทฤษฎกี ารตดั สินใจแบบผสมผสาน ทฤษฎีการตัดสินใจแบบผสมผสานระหว่างทฤษฎีหลักการและเหตุผลกับทฤษฎีการ เปล่ียนแปลงจากเดิมบางส่วน การกาหนดนโยบายควรศึกษาและทาความเข้าใจหลักการ ปัญหา และ ผลการดาเนินการที่ผ่าน เพ่ือประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจเลือกกาหนดนโยบายที่มีก่อให้เกิด ผลประโยชน์ต่อส่วนรวม และทุกฝ่ายเกิดความพึงพอใจมากท่ีสุด โดยทั่วไปการตัดสินใจเลือกกาหนด นโยบายแบบผสมผสานต้องคานงึ ถึงปจั จยั ท่เี ก่ยี วข้อง ดงั น้ี 1) ค่านยิ มของผู้ที่เก่ยี วข้อง 2) ความสมั พนั ธ์กบั พรรคการเมือง (Political party affiliation) 3) ผลประโยชน์ของประชาชนในเขตเลอื กตงั้ 4) มติมหาชน 5) ประโยชนส์ าธารณะชน 4.5 ทฤษฎที างเลือกสาธารณะหรอื เศรษฐศาสตรก์ ารเมือง ทฤษฎีทางเลือกสาธารณะหรือเศรษฐศาสตร์การเมืองมีแนวคิดที่มองความต้องการในระดับ ปัจเจกบุคคล (Self-interest) โดยมีฐานคติว่าแต่ละบุคคลมีเหตุผล ในความมีเหตุผลทุกคนย่อม แสวงหาอรรถประโยชน์สูงสดุ ให้ตนเอง ดังนั้นการกาหนดนโยบายจึงต้องสรา้ งทางเลือกท่ีหลากหลาย ส่งเสริมให้ปัจเจกบุคคลได้ตัดสินใจเลือกในสิ่งท่ีตรงความต้องการมากท่ีสุด (Ostorm & Ostrom, 1971) ดังน้ันการศึกษานโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลก อนาคตในปี 2040 ควรมองให้ครอบคลุมรายละเอียดตั้งแต่การระบุปัญหา การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ปัญหา การเลือกทางเลือก ตลอดจนเสนอร่างนโยบาย โดยขั้นตอนการศึกษานโยบาย พลกิ โฉมระบบการเรยี นรู้ทตี่ อบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ครงั้ นี้ ประกอบด้วย 1) การกาหนดนโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี

95 2040 2) เครื่องมือการนานโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ท่ีตอบสนองต่อการเปล่ียนแปลงของโลก อนาคตในปี 2040 สู่การปฏิบัติ และ 3) การกากับติดตามและประเมินผลนโยบายพลกิ โฉมระบบการ เรียนรทู้ ่ีตอบสนองตอ่ การเปล่ยี นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ตอนที่ 5 เครื่องมือในการนานโยบายส่กู ารปฏิบัติ (Policy Tools) เครื่องมือการนานโยบายสู่การปฏิบัติ หมายถึง กลไกการขับเคลื่อนนโยบายพลิกโฉมระบบ การเรียนรู้ท่ีตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ไปสู่การจัดการเรียนรู้ในระดับ การศึกษาข้ันพ้ืนฐานและอาชีวศึกษา McDonnell และ Elmore (1987) จาแนกเครื่องมือการนา นโยบายสู่การปฏิบัติออกเป็น 4 กลไก ประกอบด้วย 1) การส่ังการ (Mandates) 2) การรณรงค์ (Inducement/Campaign) 3) การสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building) และ 4) การ เปล่ยี นแปลงระบบ (System Change) 5.1 การสั่งการ (Mandates) การสั่งการเป็นกลไกการสรา้ งข้อบังคบั หรือส่ิงท่ีต้องปฏิบตั ิตามโดยส่วนกลางจะเป็นผู้กาหนด ข้อบังคับ ในทางปฏิบัติการส่ังการแบ่งออกเป็น 2 องค์ประกอบ คือ 1) สานวนท่ีระบุพฤติกรรมท่ี ต้องการให้เกิดกับคนกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มประชากรเป้าหมาย 2) สานวนที่ระบุเงื่อนไขหรือบทลงโทษ สาหรับผู้ท่ีไม่สามารถปฏิบัติตามสานวนได้ ท้ังน้ีกลไกการส่ังการเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมในบางกรณี เท่านั้น และรัฐบาลผู้ดาเนินกลไกต้องมีอานาจมากพอที่จะส่ังการ เช่น ในกรณีที่ต้องการส่งเสริม พฤติกรรมประชาชนให้เป็นในทิศทางเดียวกันและเป็นระเบียบ การบังคับให้เยาวชนทุกคนต้องได้รับ การศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เครื่องมือการนานโยบายส่กู ารปฏิบัตินี้สามารถก่อใหเ้ กดิ ความขดั แย้งกับระหว่างกลุ่มผูส้ ั่งการ และกลุม่ ผู้ไมป่ ระสงคจ์ ะทาตามคาสง่ั อกี ท้ังต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณมากในกรณที ี่ตอ้ งการส่ัง การแบบกว้างหรอื ทีม่ ผี ลกลบั กล่มุ คนหลายกลุ่ม 5.2 การรณรงค์ (Inducement/Campaign) การรณรงค์เป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้หน่วยงานภายใต้รัฐบาลกลางปฏิบัตินโยบายตาม แนวทางท่ีกาหนด เป็นกลไกที่สนับสนุนทรัพยากรและงบประมาณเพื่อแลกกับบริการและสินค้าท่ีมา จากภาคปฏิบัติ ในทางปฏิบัติการรณรงค์แบ่งออกเป็น 2 องค์ประกอบ คือ 1) งบประมาณตัวเงินและ ทรพั ยากรสนบั สนุน 2) คมู่ อื หรอื แนวทางในการใช้งบประมาณและทรัพยากร โดยคู่มือสามารถระบุได้ หลายแบบ อาทิ ระบุแนวทางอย่างกว้าง ระบแุ นวทางอย่างละเอยี ด ระบุประเภททรัพยากร และระบุ สัดสว่ นของการใช้ประเภททรัพยากร กลไกการรณรงค์ยึดหลักการสมัครใจ (Voluntary) ผู้นาหรือผู้กาหนดนโยบายไม่ควรแสดง พฤติกรรมในเชิงบังคับเพ่ือให้ทุกคนดาเนินการตามนโนบายท่ีกาหนด เน่ืองจากบริบทสังคมมีความ หลากหลายท้ังด้านความต้องการ โอกาส และศักยภาพ แนวคิดกลไกการรณรงค์เน้นการยอมรับ

96 นโยบายจากกลุ่มคนหลากหลายกลุ่มตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลาย กลไกการรณรงค์จะ เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเม่ือผู้ปฏิบัติการมีความยินดีและพึงพอใจในการนานโยบายสู่การปฏิบัติ ในบริบทของการศึกษาการรณรงค์สามารถส่งเสริมส่ือการเรียนการสอน ทรัพยากรการเรียน บริการ การวัดผลประเมินผล แต่อย่างไรก็ตามบริบทท่ีมีความหลากหลายเกินไปอาจก่อให้เกิดปัญหา กลไก การรณรงค์ต้องยึดหลักความสอดคล้องกับนโยบายและวิสัยทัศน์หลักท่ีพึงประสงค์เพื่อป้องกันความ ขดั แยง้ ระหวา่ งนโยบายกับการปฏิบัติ 5.3 การสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building) ก า ร ส ร้ า ง ขี ด ค ว า ม ส า ม า ร ถ เ ป็ น ก ล ไ ก ก า ร ล ง ทุ น ร ะ ย ะ ย า ว เ พื่ อ พั ฒ น า ท รั พ ย า ก ร ม นุ ษ ย์ ความสามารถทางปัญญา และทรัพยากรการส่งเสริมนโยบาย แนวการปฏิบัตินโยบายให้ความสาคัญ กับความต้องการ (need) เพื่อพัฒนาและส่งเสริมขีดความสามารถให้กับองค์กรและปัจเจกอย่างยั่งยืน มุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรการเรียนรู้ องค์ความรู้ และทรัพยากรบุคคล เช่น พัฒนาวิธีการสอนครู เร่ืองการแกป้ ญั หาอย่างมีประสิทธิภาพ กลไกการสร้างขดี ความสามารถวิเคราะห์จากประสบสบการณ์ และความต้องการ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการพัฒนาเป็นเวลา 5 ปีข้ึนไป ทั้งน้ีกลไกการสร้างขีด ความสามารถควรมคี ่มู ือหรือแนวทางในการกาหนดกรอบการดาเนนิ การเชน่ เดยี วกบั กลไกการรณรงค์ อย่างไรก็ตามกลไกการสร้างขีดความสามารถนี้มีข้อจากัดด้านงบประมาณ หรือใช้เงินลงทุน ค่อนขา้ งสงู และใช้เวลานานกวา่ จะเหน็ ผลสาเร็จของกลไก 5.4 การเปลย่ี นแปลงระบบ (System Change) การเปล่ียนแปลงระบบเป็นกลไกการพัฒนาการดาเนินนโยบายเพื่อเปลี่ยนระบบต้ังแต่ระดับ บริหารและจัดการไปจนถึงระดับปฏิบัติการ กลไกน้ียึดหลักการกระจายอานาจไปสู่บุคคลหรือ หน่วยงานกลาง กระจายอานาจในการจัดการทรัพยากรเพ่ือสนองความต้องการใหม่ของภาคประชา สังคม ในทางการศึกษาการเปลี่ยนแปลงระบบส่ือถึงการเปล่ียนแปลงตั้งแต่ในระดับกระทรวง กรม เขตพื้นที่ จังหวัด สถานบันการศึกษา และช้ันเรียน เพื่อแสวงหาแนวทางใหม่ในการพัฒนา ประสิทธิภาพการบริหารจัดการการศึกษาคุณภาพ เช่น นโยบายคูปองการศึกษาของสหรัฐที่กระจาย งบประมาณโดยตรงสู่นักเรียนเพื่อนาไปใช้ส่งเสริมการเรียนตามบริบท การส่งเสริมกลุ่มคนเข้ามามี บทบาทในการจดั การในระดับรฐั และระดบั สถานศึกษา การเปล่ียนแปลงระบบสามารถใช้แก้ปัญหาหน่วยงานกลางขาดความสามรถในการบริหาร จัดการทรัพยากรและงบประมาณ หน่วยงานท่ีมีความคล่องตัวและใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายจึงได้รับ บทบาทในการกาหนดทิศทางการดาเนินนโยบายมากขึ้น ท้ังนี้การเปล่ียนแปลงระบบมีความเส่ียงสูง เน่ืองจากคาดเดาผลลัพธ์ได้ยากและสามารถมีปัจจัยอื่นที่มิได้คาดเดาส่งผลต่อการนานโยบายสู่การ ปฏบิ ตั ิ จากการศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับเครื่องมือในการนานโยบายสู่การปฏิบัติจากแนวคิด เคร่ืองมือนโยบายและงบประมาณของ McDonnell และ Elmore (1987) ซ่ึงประกอบด้วย

97 1) การส่ังการ (Mandates) 2) การรณรงค์ (Inducement/Campaign) 3) การสรา้ งขดี ความสามารถ (Capacity Building) และ 4) การเปล่ียนแปลงระบบ (System Change) สามารถนามาสรุปเป็น ตารางเปรียบเทียบบริบท ต้นทุน และผลกระทบของเคร่ืองมือการนานโยบายสู่การปฏิบัติทั้ง 4 เคร่ืองมือ สรปุ ไดด้ งั ตารางที่ 2.2 ตารางที่ 2.2 เครื่องมือการนานโยบายสูก่ ารปฏบิ ตั ิ เคร่อื งมอื การนานโยบาย บรบิ ททีเ่ หมาะสม ต้นทุน ผลกระทบ สู่การปฏิบตั ิ 1) การสั่งการ ต้องการให้กล่มุ คน คา่ ดาเนนิ นโยบาย ความไมล่ งรอยกนั (Mandates) ปฏิบัติไปในทาง ค่าไกล่เกล่ียต่อรอง ระหวา่ งผู้สัง่ การและ เดยี วกัน ค่าชดใชส้ าหรบั ผู้ ผูไ้ ม่ยินดีปฏบิ ัตติ าม ได้รบั ผลกระทบ 2) การรณรงค์ กลุ่มเปา้ หมายมี ต้นทุนหลากหลาย ความหลากหลายท่ี (Inducement/Campaign) ความหลากหลาย ข้นึ อยูก่ ับผู้สนใจ ต้อง มากเกนิ ไป มวี งเงินสงู รองรบั 3) การสรา้ งขีด หน่วยงานระดบั การลงทุนระยะยาว ผลลพั ธร์ ะยะสนั้ ไม่ ความสามารถ ปฏิบตั กิ ารขาด (Capacity Building) ศกั ยภาพ การจดั การ ชดั เจน กนิ เวลานาน 4) การเปลี่ยนแปลง หนว่ ยงานระดับ งบประมาณ ในการดาเนินการ ระบบ (System Change) นโยบายและ ปฏิบัตกิ ารขาด คา่ การเปล่ียนแปลง ยากตอ่ การคาดเดา ศักยภาพ ในแต่ละระบบ ผลลัพธ์ จากตารางที่ 2.2 จะเหน็ ได้วา่ เครือ่ งมือการนานโยบายสู่การปฏิบตั ิแต่ละเครื่องมือนนั้ มจี ุดแข็ง และข้อจากัดท่ีแตกต่างกัน รวมท้ังมีความเหมาะสมในบริบทท่ีต่างกันไป McDonnell และ Elmore (1987) ได้อธิบายว่าการดาเนินนโยบายท่ีดีควรใช้เครื่องมือนโยบายท่ีหลากหลาย ไม่จาเพาะเพียง เครื่องมอื ใดเครื่องมือหนึ่ง ท้งั นี้ต้องวิเคราะห์ตดั สินใจบนฐานของหลักฐานข้อมลู เชงิ วชิ าการ ไม่ควรใช้ ความรู้สึกในการตัดสินใจเลือกเครื่องมือและกาหนดนโยบาย ซ่ึงในการออกแบบเคร่ืองมือการนา นโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ส่กู ารปฏบิ ัติในครั้งน้ี คณะผู้วิจัยได้ใช้เครื่องมือการนานโยบายสูก่ าร ปฏิบัติท้ัง 4 เครื่องมือ ประกอบด้วย 1) การสั่งการ (Mandates) 2) การรณรงค์ (Inducement/ Campaign) 3) การสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building) และ 4) การเปลี่ยนแปลงระบบ (System Change)

98 ตอนท่ี 6 การประเมนิ ผลนโยบาย (Policy Assessment) การกากับติดตามและประเมินผลนโยบาย หมายถึง การตัดสินคุณค่าของนโยบายพลิกโฉม ระบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 เพื่อกาหนดแนวทางการ ปรับปรุงและพฒั นานโยบาย และสรุปผลการดาเนนิ นโยบาย Kaplan และ Norton (1996) ได้เสนอแนวคิด Balanced Scorecard (BSC) เพื่อใช้ในการ ประเมินผลผลการปฏิบัติงานในระดับองค์กร ปัจจุบัน BSC เป็นเครื่องมือบริหารจัดการและวัด ประเมินผลท่ีเน้นการวัดผลงาน (performance) และได้รับความนิยมมากและมีการนาไปใช้อย่าง แพร่หลายในองคก์ รของไทยและต่างประเทศ หลักการของ Balanced Scorecard (BSC) พิจารณาตัวช้ีวัดใน 4 มุมมอง (Perspective) เพ่ือทาให้การบริหารจัดการและการวัดผลงานเกิดความสมดุล (balance) โดยมุมมองดังกล่าว ประกอบด้วย 1) มมุ มองดา้ นการเงนิ (Financial Perspective) 2) มมุ มองด้านลกู คา้ (Customer Perspective) 3) มมุ มองดา้ นกระบวนการภายใน (Internal Process) 4) มมุ มองดา้ นการเรียนรแู้ ละการพฒั นา (Learning and Growth Perspective) ภาพประกอบที่ 2.5 มมุ มองท้งั สด่ี ้านของ Balanced Scorecard ในการกากบั ตดิ ตามและประเมนิ ผลนโยบาย ทมี่ า Kaplan และ Norton (1996)

99 ในแต่ละมุมมองของการบริหารจัดการและการวัดผลงานเกิดความสมดุลทั้ง 4 Kaplan และ Norton (1996) ระบวุ ่าตอ้ งพิจารณาการมมุ มองยอ่ ยเพอื่ ประเมนิ ศักยภาพโดยรวม และความสามารถ ในการตอบสนองตอ่ การเปลย่ี นแปลงได้ชัดเจนย่ิงขึ้น ซง่ึ ประกอบดว้ ย 4 มมุ มองยอ่ ย ดังน้ี 1) วตั ถปุ ระสงค์ (Objective) เพือ่ เป็นการกาหนดวตั ถปุ ระสงคข์ องแตล่ ะมุมมองทีต่ ้องการจะ ประเมนิ 2) ตวั ช้วี ัด (Performance Indication)คือ มาตรฐานแสดงระดับความสาเร็จตามวัตถปุ ระสงค์ ทไี่ ด้กาหนดไวใ้ นแต่ละดา้ น 3) เป้าหมาย (Target) คอื เป้าหมายหรอื ระดับความสาเรจ็ ทีต่ ง้ั ไว้ 4) แผนงาน โครงการท่ีตั้งใจ (Initiatives) คือ แผนการปฏิบัติงานท่ีมีการลาดับเปน็ ขั้น ๆ ใน การดาเนนิ งาน นอกจากประเมินผลองค์รวมของนโนยายแล้ว Balanced Scorecard ยังแสดงให้เห็นถึงผล ตอบรับ (Feedback) ทั้งจากกระบวนการดาเนินนโยบาย และผลตอบกลบั จากภายนอก เพื่อท่ีองค์กร จะได้นาข้อมูลประเมินผลท่ีได้ไปพัฒนาการนานโยบายสู่การปฏิบัติได้ และไปพัฒนานโยบายของ ระบบต่อไป ซึ่งหลักการประเมินผล Balanced Scorecard มีความจาเป็นต่อการประเมินนโยบาย พลิกโฉมระบบการเรียนรู้ ที่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 นโยบายพลิกโฉม การเรียนรู้เพ่ือสร้างสรรค์ชีวิตเศรษฐกิจและสังคมใหม่ท่ีมีความสุขอย่างมีคุณค่าและการพัฒนา ที่ยง่ั ยืน การประเมินผลนโยบาย (Policy Assessment) ประกอบด้วยกิจกรรมสาคัญ 3 ประการ คือ 1) การกากับติดตาม (Monitoring) การนานโยบายสู่การปฏิบัติ 2) การประเมินผลเพ่ือพัฒนาการนา นโยบายสู่การปฏิบตั ิ และ 3) การประเมนิ ผลเพ่ือพฒั นานโยบายระบบการเรยี นรู้ มีรายละเอียดดงั นี้ 6.1 การกากบั ติดตาม (Monitoring) การนานโยบายส่กู ารปฏิบตั ิ การตดิ ตาม เปน็ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การปฏิบัตงิ านตามกรอบนโยบายและแผนงานท่ีมีการ กาหนดไว้แล้ว เพ่ือนาข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจแก้ไขปรับปรุงวิธีการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผน ทั้งกาหนดนานโยบายสู่การปฏิบัติให้เกิดผลดียิ่งขึ้น ดังน้ัน จุดเน้นที่สาคัญของการติดตาม คือ การ ปฏิบัตกิ ารเพ่ือการตรวจสอบ ควบคมุ กากับ การปฏิบตั ิตามทิศทางของนโยบาย การตดิ ตามจะเกิดข้ึน ในขณะท่ีการนานโยบายสู่การปฏบิ ตั กิ าลงั ดาเนนิ งานตามแผนที่กาหนดไว้ การกากับติดตามการนานโยบายสู่การปฏิบัติในงานวิจัยครั้งน้ี แบ่งการกากับติดตามตาม ประเภทเครอื่ งมอื การนานโยบายส่กู ารปฏิบตั ิ ซง่ึ ประกอบดว้ ย 1) การกากับตดิ ตามการส่ังการ (Mandates) 2) การกากบั ติดตามการรณรงค์ (Inducement/Campaign) 3) การกากบั ติดตามการสร้างขดี ความสามารถ (Capacity Building) 4) การกากับติดตามการเปลยี่ นแปลงระบบ (System Change)

100 Salamon และ Elliott (2002) เสนอแนวคิดการประเมินเครื่องมือการกากับติดตามการนา นโยบายสู่การปฏิบัติในหนังสือที่ช่ือ เครื่องมือการปกครอง การปกครองสมัยใหม่และเครื่องมือการ ปฏิบัตินโยบาย (The Tools of Governance: A Guide to the New Governance. The New Governance and the Tools of Public Action) Salamon และ Elliott จาแนกหลักการประเมิน เครือ่ งมอื การนานโยบายส่กู ารปฏิบัตเิ ป็น 5 หลักเกณฑ์ ไดแ้ ก่ 1) ประสทิ ธผิ ล (Effectiveness) หมายถงึ ผลสาเร็จ หรือการทางานให้บรรลุเป้าหมาย ในเชงิ คณุ ภาพ ปริมาณ หรอื ทาตามเป้าหมายท่กี าหนดไว้ 2) ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ความสามารถในการทางานให้เกิดผล หรือบรรลุ เป้าหมายไดแ้ บบประหยดั ต้นทุน เสร็จทนั เวลา ภายในคณุ ภาพที่ระบไุ ว้ 3) ความเสมอภาค (Equity) หมายถึง ความเท่าเทียมที่ทุกคนจะได้การเข้าถึงโอกาสหรือ ไดร้ บั ประโยชน์จากนโยบายเหมอื นกัน 4) ควบคุมท่ีง่าย (Manageability) หมายถึง ความสามารถในการควบคุมการนานโยบาย สู่การปฏบิ ตั ิ ความยากงา่ ย ไม่วา่ จะเปน็ การคาดเดาผลลัพธ์ การตดิ ตาม และการปรบั ปรุง 5) ความชอบธรรม (Legitimacy) หมายถึง การได้รับการยอมรับจากสาธารณชน โดยยึด หลักยดึ หลกั นติ ธิ รรม แนวทางนติ ริ ฐั คณุ ธรรม จริยธรรม ศีลธรรม และธรรมาภบิ าล ท้ังนี้การกากับติดตามการนานโยบายสู่การปฏิบัติขึ้นอยู่กับบริบทของตัวนโยบาย กลุ่มเป้าหมาย สภาพสังคม และเงื่อนไขของบริบท การวิจัยนโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ ท่ีตอบสนองการเปลยี่ นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 จาเปน็ ตอ้ งคานงึ ถึงกระบวนการการออกแบบ นโยบายและจุดประสงค์ของนโยบายที่คานึงถึงวิธีการประเมินนโยบาย ไม่เพียงแค่การศึกษาเอกสาร นโยบายที่เก่ียวข้อง โครงการวิจัยควรออกแบบการกากับติดตามการนานโยบายสู่การปฏิบัติตามให้ สอดคล้องกบั ผลการวจิ ัย ความคดิ เห็นของผ้ทู รงคุณวฒุ ิ และข้อมลู เชิงประจกั ษ์ 6.2 การประเมินผลเพอ่ื พฒั นาการนานโยบายสูก่ ารปฏบิ ัติ การประเมินผลเพ่ือพัฒนาการนานโยบายสู่การปฏิบัติ เป็นการรวบรวมผลการดาเนิน นโยบายการเรียนรู้และตัวช้ีวัดผลลัพธ์การเรียนรู้ต้ังแต่ก่อนนานโยบายไปปฏิบัติ ระหว่างที่ดาเนิน นโยบาย และหลังนานโยบายไปปฏบิ ัติ เพ่ือปรับปรุงพัฒนานโยบายใหม้ ีประสทิ ธผิ ล (Effectiveness) และประสทิ ธิภาพ (Efficiency) เพม่ิ ข้นึ การประเมนิ ผลเพอ่ื พฒั นาต้องคานงึ ถึงหลักความเสมอภาคใน การท่ีนโยบายจะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กลับกลุ่มคนส่วนใหญ่ และคานึงถึงข้อมูลเชิงปริมาณและ คณุ ภาพเพ่อื ประกอบการประเมินผลเพ่ือพัฒนาการนานโยบายสู่การปฏิบัติ ในการประเมินผลเพื่อพัฒนาการนานโยบายสู่การปฏิบัติของโครงการวิจัยน้ี มีจุดประสงค์ เพ่ือประเมินการเรียนรู้และตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ หรือคุณภาพคนไทยในปี 2040 ซึ่งจะ ประกอบด้วยคุณภาพ 6 ด้าน ได้แก่ คณุ ภาพท่ัวไป คุณภาพด้านสงั คม คุณภาพดา้ นเศรษฐกจิ คุณภาพ ด้านเทคโนโลยี คุณภาพดา้ นส่งิ แวดล้อม และคุณภาพด้านการเมือง

101 United Nations (2017) เสนอวงจรการประเมนิ ผลนโยบาย การประเมินผลจะปรากฏข้ึนใน ทกุ กระบวนนโยบาย ต้งั ระยะออกแบบ ระยะดาเนนิ งาน และระยะประเมนิ ผล ทั้งนีก้ ารประเมินในทุก ระยะมีความเชื่อมโยงสอดคล้องกัน ข้อมูลผลการประเมินท่ีได้มาในแต่ละระยะมีผลต่อทิศทางและ รูปแบบการประเมนิ ผลของระยะถดั ไป ดังภาพประกอบท่ี 2.6 ภาพประกอบท่ี 2.6 วงจรการประเมินผลนโยบาย/โครงการ ที่มา United Nations (2017) จากรูปวงจรการประเมินผลนโยบาย/โครงการ การประเมินผลเพื่อพัฒนาจะแบ่งได้เป็น 3 ระยะ ประกอบดว้ ย 1) ระยะออกแบบ (Planning stage) การออกแบบนโยบายที่ดีตั้งอยู่บนฐานการประเมินทม่ี ี ประสิทธิภาพ ในระยะนี้การประเมินผลจะประเมนิ เพ่ือวิเคราะห์ความต้องการของกล่มุ เปา้ หมายแล้ว ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การประเมินการถอดบทเรียนจากนโยบายก่อนหน้า การประเมินความเป็นไปได้ ของหลักการและกรอบนโยบาย การพัฒนาตัวชี้วัดความสาเร็จ การประเมินแผนการประเมินสอดรับ กับลักษณะของการดาเนินนโยบาย 2) ระยะดาเนินการ (Implementation stage) การเนินนโยบายท่ีดีตั้งอยู่บนพ้ืนฐานการ จัดการที่มีคุณภาพ ในระยะนี้การประเมินผลจะประเมินเพื่อพัฒนาและใช้ระบบการติดตามเพ่ือ รวบรวมผลข้อมูลตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ตลอดเวลาการดาเนินนโยบาย การประเมินการดาเนินนโยบาย กลางเทอมเปน็ สง่ิ สาคญั เพื่อพัฒนาการปฏิบัติของครงึ่ เทอมหลัง

102 3) ระยะประเมินผล (Evaluation stage) การประเมินผลนโยบายท่ีดีต้ังอยู่บนพื้นฐาน มาตรฐานการประเมินที่ชัดเจน ในระยะนี้การประเมินผลจะประเมินผลการดาเนินนโยบายระยะ สดุ ท้ายเพอ่ื นาข้อมลู ไปใช้ประกอบการตัดสินใจและถอดบทเรยี น สาหรบั ระยะการออกแบบในอนาคต ขอ้ มูลผลการประเมนิ ต้องมคี วามเทีย่ งตรงและน่าเชอื่ ถือ Scotland และคณะ (2007) เสนอวงจรการประเมินผลท่ีตั้งอยู่บนหลักการของการพัฒนา ชุมชนสังคม หรือหลักการ LEAP (Learning, Evaluation and Planning) ท่ีประกอบด้วยหลักการ วิเคราะห์ (Analyze) วางแผน (Plan) ดาเนินการ (Do) และทบทวน (Review) หลักการ LEAP ช่วย ให้ผู้ประเมินนโยบายวิเคราะห์หาจุดบกพร่องของนโยบายเพ่ือนาไปพัฒนา เข้าใจบริบทท่ีดาเนิน นโยบาย สามารถปรบั นโยบายตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการทีห่ ลากหลายในบริบทท่ีแตกต่าง สานักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรมและสานักงานกองทุนการสร้างเสริมสุขภาพ (2562) ได้เสนอวงจรการประเมินผลเพ่ือการพัฒนาและการเรียนรู้สาหรับการนานโยบายสู่การปฏิบัติ สอดคล้องกบั หลกั การของ Scotland และคณะ (2007) โดยจะแบ่งเป็นสามช่วง ได้แก่ ภาพประกอบท่ี 2.7 วงจรการประเมินผลเพ่ือการพฒั นาและการเรยี นรู้ ท่มี า สานักสร้างสรรค์โอกาสและนวัตกรรมและสานกั งานกองทนุ การสร้างเสรมิ สุขภาพ (2562) 1) ระยะท่ี 1 ผู้ประเมินผลประสานกลุ่มเป้าหมายและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียท้ังหมดเพ่ือร่วม ออกแบบการดาเนินนโยบาย เร่ิมจากการทบทวนและกาหนดตัวชี้วัดผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการ ดาเนินนโยบาย ออกแบบการติดตามและเก็บข้อมูลตามตัวชี้วัด กาหนดแนวทางการวิเคราะห์และ อภปิ รายข้อมลู แบ่งความรบั ผดิ ชอบในการเกบ็ ข้อมูลและกาหนดชว่ งเวลาทจ่ี ะสะท้อนผลลพั ธ์ 2) ระยะที่ 2 ขณะดาเนินการ ผู้ประเมินนาข้อมูลมาวิเคราะห์ถึงกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติแล้ว วิเคราะหผ์ ลลัพธ์ตามวตั ถปุ ระสงคแ์ ละมาตารฐานตัวช้ีวดั ของนโยบาย

103 3) ระยะที่ 3 หากพบว่าการดาเนินงานไม่เป็นไปตามวตั ถุประสงค์และมาตารฐานตวั ช้ีวดั ของ นโยบาย ผ้ปู ระเมินผลต้องหาวิธกี ารในการปรบั ปรุงพฒั นาแผนการดาเนินงานในระยะต่อไป 6.3 การประเมินผลเพื่อพัฒนานโยบายระบบการเรียนรู้ การประเมินผลเพื่อพัฒนานโยบายระบบการเรียนรู้ เป็นการรวบรวมผลการดาเนินนโยบาย ระบบการเรียนรู้ต้ังแต่ก่อนนานโยบายไปปฏิบัติ ระหว่างที่ดาเนินนโยบาย และหลังนานโยบายไป ปฏิบัติ เพื่อปรับปรุงพัฒนานโยบายระบบการเรียนรู้ให้มีประสิทธิผล (Effectiveness) และ ประสทิ ธภิ าพ (Efficiency) เพมิ่ ขึ้น การประเมินผลเพ่ือพัฒนาระบบการเรียนรู้ต้องคานึงถึงหลักความ เสมอภาคในการท่ีนโยบายจะสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กลับกลุ่มคนส่วนใหญ่ ความเป็นไปได้ และ คานงึ ถงึ ขอ้ มูลเชิงปรมิ าณและคณุ ภาพเพ่อื ประกอบการประเมินผล ในการประเมินผลเพื่อพัฒนาระบบการเรียนรู้ของโครงการวิจัยนี้ มีจุดประสงค์เพื่อประเมิน นโยบายพลิกโฉมการเรียนรู้เพ่ือสร้างสรรค์ชีวิตเศรษฐกิจและ สังคมใหม่ที่มีความสุข อย่างมีคุณค่า และการพัฒนาที่ย่ังยืน ซึ่งการประเมินจะพิจารณา 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) นโยบายพลิกโฉมระบบ การเรียนรู้ 2) คุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ 3) รูปแบบการเรียนรู้ 4) ทรัพยากรการเรียนรู้ และ 5) การประเมินผลการเรยี นรู้ แนวการประเมินผลเพื่อพัฒนานโยบายระบบการเรียนรู้สอดคล้องกับทฤษฎีองค์กร (Organizational theory) การออกแบบ ดาเนินการ และประเมินผลนโยบายมีความเก่ียวเน่ืองกัน แ ล ะ ส่ ง ผ ล ต่ อ ก า ร พั ฒ น า น โ ย บ า ย Taras Shevchenko National University of Kyiv แ ล ะ Voloshina (2014) เสนอกรอบความสัมพันธ์กระบวนการจัดการกลยุทธ์เพื่อการพัฒนา ดงั ภาพประกอบที่ 2.8 ภาพประกอบที่ 2.8 กรอบความสมั พนั ธ์กระบวนการจดั การกลยทุ ธเ์ พอื่ การพัฒนา ทม่ี า Taras Shevchenko National University of Kyiv และ Voloshina (2014) Salamon และ Elliott (2002) เสนอแนวคิดการประเมินผลเพ่ือพัฒนานโยบายในหนังสือท่ี ช่ือว่า “เคร่ืองมือการปกครอง การปกครองสมัยใหม่ และเคร่ืองมือการปฏิบัตินโยบาย (The Tools

104 of Governance: A Guide to the New Governance. The New Governance and the Tools of Public Action)” นอกจากเสนอ 5 หลักเกณฑ์ในการประเมินเคร่ืองมือนโยบาย ได้แก่ 1) ประสิทธิผล (Effectiveness) 2) ประสิทธิภาพ (Efficiency) 3) ความเสมอภาค (Equity) 4) ควบคุมที่ง่าย (Manageability) 5) ความชอบธรรม (Legitimacy) Salamon และ Elliott ได้เสนอ 4 มมุ มองในการประเมนิ ผลเพ่อื การพฒั นานโยบาย ซ่งึ ประกอบด้วย 1) การบังคับใช้ (Coerciveness) หมายถึง การประเมินระดับการบังคับใช้นโยบาย การใช้ กฎเกณฑ์ในการบงั คบั และควบคมุ เพื่อให้กลมุ่ คนมีพฤติกรรมเปน็ ไปตามความประสงค์ 2) ความเด็ดขาด (Directness) หมายถึง การประเมินระดับความตรงไปตรงมาในการมีส่วน ร่วมของกลุ่มผูม้ ีอานาจ (Authorizing body) เพือ่ ดาเนินการปฏิบตั ินโยบาย 3) ความเป็นอิสรภาพและเสรีภาพ (Automaticity) หมายถึง การประเมินระดับการนาไป ปฏิบัติและประยุกต์ใชใ้ นโครงสร้างระบบเดิม 4) ความชัดเจน (Visibility) หมายถึง การประเมนิ ระดบั ความสอดคล้องของการจัดทรัพยากร ความชัดเจนในการตรวจสอบการปฏบิ ตั นิ โยบาย การประเมินเพื่อการพัฒนาระบบการเรียนรู้จึงต้องมีการประเมินในทุกระยะเพื่อให้ ผู้ออกแบบนโยบายประเมินสภาพปัจจุบันของการดาเนินนโยบายและปรับปรุงนโนบายให้เหมาะสม กับบริบทที่อาจมีการเปลี่ยนแปลง การประเมินควรคานึงถึงผลประโยชน์ระยะยาวท่ีมีต่อ กลุ่มเป้าหมาย สร้างความย่ันยืนและความสามารถในการแข่งขัน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนา ศักยภาพภายในระบบ (Taras Shevchenko National University of Kyiv และ Voloshina, 2014) การประเมินนโยบายต้องมีความชัดเจนและเจาะจงเพ่ือเครื่องมือและกระบวนการประเมินจะได้มี กรอบและวัตถุประสงค์การประเมินทีช่ ดั เจน กระบวนการพัฒนานโยบายเปน็ การพัฒนาท่ตี อ่ เน่ืองไม่มี จุดส้ินสุด การประเมินเพ่ือการพัฒนาระบบการเรียนรู้เป็นกระบวนการหน่ึงในการพัฒนาวิสัยทัศน์ และวตั ถุประสงค์ของนโนยายให้มีความชัดเจนข้นึ การประเมินนโยบายระบบการเรียนรู้จงึ ต้องพัฒนา ระบบการประเมนิ ควบคกู่ นั ไป

105 บทท่ี 3 วิธดี าเนินการวจิ ัย การวิจัยเร่ือง การออกแบบนโยบายการพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ท่ีตอบสนองการ เปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 คร้ังนี้เป็นการวิจัยเชิงออกแบบ (Design Research) ใช้การ ออกแบบพหุระยะ (Multi-phase design) มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาและออกแบบ วสิ ยั ทัศน์การศึกษาไทยและคณุ ภาพคนไทยท่ีพงึ ประสงค์ในปี 2040 2) ศึกษาและออกแบบระบบการ เรยี นรทู้ พ่ี งึ ประสงคใ์ นการตอบสนองการเปลยี่ นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 3) ออกแบบนโยบาย พลิกโฉมระบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 และ 4) ออกแบบ เครื่องมือก ารน านโ ย บายสู่ ก ารปฏิ บัติ แล ะก ารป ร ะเ มิน ผ ล นโ ยบ าย พลิ กโ ฉ มร ะบ บ การ เรี ย น รู้ ที่ ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ประกอบด้วยการออกแบบ 3 ระยะ หรือ 3 ขั้นตอน โดยแต่ละระยะจะใช้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) มีเป็นแนวทางใน การกาหนดข้ันตอนในการดาเนินการวิจัย ตามหลักการวิจัยเชิงออกแบบ (Design Research) สามารถสรุปได้ดังตารางท่ี 3.1 ตารางที่ 3.1 ขัน้ ตอนการออกแบบงานวิจยั การออกแบบการวิจัย การคิดเชงิ ออกแบบ ขนั้ ตอนการวิจยั ผลผลิต ระยะท่ี 1: ออกแบบ Empathize 1.1 ศกึ ษาวิสัยทัศน์การศกึ ษาไทย วสิ ยั ทัศน์การศกึ ษา วสิ ยั ทัศน์การศกึ ษาไทย และคณุ ภาพคนไทยท่ีพงึ ไทยและคุณภาพคน ประสงค์ในปี ด้วย 2540 ไทยท่ีพึงประสงคใ์ นปี และคณุ ภาพคนไทยท่ี การศกึ ษาเอกสารเพอื่ ยกร่าง 2040 พงึ ประสงค์ในปี 2040 วิสยั ทศั นก์ ารศกึ ษา และ คุณภาพคนไทยทีพ่ งึ ประสงค์ Define ในป2ี 040 Ideate 1.2 สัมภาษณผ์ ู้ทรงคณุ วุฒิและผทู้ ่ี Prototype มีส่วนเกย่ี วขอ้ งเพอื่ ให้ได้ข้อมูล เพิ่มเตมิ เกีย่ วกบั วิสยั ทศั น์ การศึกษา และคุณภาพคน ไทยที่พงึ ประสงค์ในปี 2040 เพื่อนาไปสมั ภาษณ์ ผทู้ รงคุณวุฒิ 1.3 ออกแบบวสิ ัยทัศนก์ ารศึกษา และคณุ ภาพคนไทยท่ีพึง ประสงคใ์ นปี 2040 โดยการ ยกร่างวสิ ยั ทศั น์การศกึ ษา และคณุ ภาพคนไทยทพ่ี ึง ประสงค์ในปี 2040 1.4 ตรวจสอบความเหมาะสมและ ความเปน็ ไปได้ของวสิ ยั ทัศน์

106 การออกแบบการวจิ ัย การคิดเชิงออกแบบ ขน้ั ตอนการวิจัย ผลผลติ ระยะท่ี 2: ออกแบบ การศึกษา และคุณภาพคน ระบบการเรยี นรู้ ระบบการเรยี นรทู้ ่ีพึง ที่พงึ ประสงค์ในการ ประสงคใ์ นการ ไทยทพ่ี งึ ประสงค์ในปี 2040 ตอบสนองการ ตอบสนองการ เปลย่ี นแปลงของโลก เปลี่ยนแปลงของโลก ด้วยการสนทนากลุ่ม อนาคตในปี 2040 อนาคตในปี 2040 Empathize 2.1 ศกึ ษาระบบการเรยี นร้ทู ่พี งึ ประสงค์ในการตอบสนองการ เปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตปี 2040 ด้วยการศกึ ษาเอกสาร เพอ่ื ยกรา่ งระบบการเรยี นรู้ที่ พึงประสงค์ในการตอบสนอง การเปลย่ี นแปลงของโลก อนาคตในปี 2040 เพื่อนาไป สมั ภาษณผ์ ้ทู รงคณุ วฒุ ิ Define 2.2 สัมภาษณผ์ ู้ทรงคณุ วุฒแิ ละผ้ทู ่ี มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งเพื่อให้ไดข้ อ้ มลู เพิ่มเตมิ เกย่ี วกบั ระบบการ เรยี นรู้ท่พี งึ ประสงคใ์ นการ ตอบสนองการเปลยี่ นแปลง ของโลกอนาคตในปี 2040 Ideate 2.3 ออกแบบระบบการเรยี นรทู้ ่ีพึง ประสงค์ในการตอบสนองการ เปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตปี 2040โดยการยกร่างระบบการ เรียนรูท้ ีพ่ ึงประสงค์ในการ ตอบสนองการเปลี่ยนแปลง ของโลกอนาคตในปี 2040 Prototype 2.4 ศึกษาตัวอยา่ งระบบการ เรียนรู้ท่ีพงึ ประสงค์ในการ ตอบสนองการเปลี่ยนแปลง ของโลกอนาคตในปี 2040 จากสถานศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน และอาชีวศกึ ษา Test 2.5 ปรับปรุงระบบการเรียนรู้พงึ ประสงคใ์ นการตอบสนองการ เปลย่ี นแปลงของโลกอนาคต ในปี 2040 จากขอมูลทไ่ี ด้ การศึกษาสถานศกึ ษาทเ่ี ป็น ตวั อย่าง Prototype 2.6 ตรวจสอบความเหมาะสมและ ความเปน็ ไปไดข้ องระบบการ เรยี นรู้ท่พี ึงประสงคใ์ นการ

107 การออกแบบการวจิ ัย การคดิ เชงิ ออกแบบ ข้นั ตอนการวิจัย ผลผลิต ระยะท่ี 3: ออกแบบ ตอบสนองการเปลย่ี นแปลง นโยบายพลิกโฉมระบบ การเรียนรทู้ ตี่ อบสนอง ของโลกอนาคตในปี 2040 การเปลยี่ นแปลงของโลก อนาคต และเครอ่ื งมือ ด้วยการสนทนากลุ่ม การนานโยบายสูก่ าร ปฏิบัตแิ ละการ Define 3.1 สัมภาษณผ์ ู้ทรงคุณวุฒแิ ละผ้ทู ี่ 1. นโยบายพลกิ โฉม ประเมนิ ผลนโยบาย พลิกโฉมระบบการ มีสว่ นเกี่ยวขอ้ ง โดยนาระบบ ระบบการเรียนรูท้ ี่ เรยี นรูท้ ต่ี อบสนองตอ่ การเปลยี่ นแปลงของ การเรยี นรูท้ ี่พงึ ประสงค์ในการ ตอบสนองการ โลกอนาคต ตอบสนองการเปลี่ยนแปลง เปลยี่ นแปลงของโลก ของโลกอนาคตในปี 2040 มา อนาคตในปี 2040 เป็นแนวทางในการสมั ภาษณ์ 2. เครื่องมอื การนา เพอื่ ใหไ้ ด้ขอ้ มลู เกยี่ วกับ นโยบายส่กู าร นโยบายพลกิ โฉมระบบการ ปฏบิ ัติและการ เรียนร้ทู ตี่ อบสนองการ ประเมนิ ผล เปลี่ยนแปลงของโลก และ นโยบายพลิกโฉม เครื่องมอื การนานโยบายสูก่ าร ระบบการเรียนรูท้ ่ี ปฏบิ ัตแิ ละการประเมินผล ตอบสนองตอ่ การ นโยบายพลกิ โฉมระบบการ เปลย่ี นแปลงของ เรียนรทู้ ต่ี อบสนองตอ่ การ โลกอนาคตในปี เปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต 2040 Ideate 3.2 ออกแบบนโยบายพลกิ โฉม ระบบการเรยี นรทู้ ต่ี อบสนอง การเปลยี่ นแปลงของโลก อนาคต และเครอ่ื งมือการนา นโยบายสู่การปฏิบตั แิ ละการ ประเมนิ ผลนโยบายพลิกโฉม ระบบการเรยี นรู้ท่ีตอบสนอง ต่อการเปลีย่ นแปลงของโลก อนาคต โดยการยกรา่ งจาก ผลการวจิ ัยขน้ั ตอนท่ี 1 คอื วสิ ัยทศั นก์ ารศกึ ษาไทยและ คณุ ภาพคนไทยท่ีพงึ ประสงค์ และข้ันตอนท่ี 2 คือ ระบบ การเรยี นรทู้ ีพ่ ึงประสงค์ในการ ตอบสนองการเปล่ยี นแปลง ของโลกอนาคต และผลการ สัมภาษณผ์ ู้ทรงคณุ วุฒิและผ้ทู ี่ มสี ว่ นเก่ียวขอ้ ง เพอ่ื ยกร่าง นโยบายพลิกโฉมระบบการ เรยี นรู้ทตี่ อบสนองการ เปลีย่ นแปลงของโลกอนาคต และเคร่ืองมือการนานโยบายสู่

108 การออกแบบการวิจยั การคิดเชงิ ออกแบบ ขั้นตอนการวิจัย ผลผลิต Prototype การปฏบิ ัตแิ ละการประเมนิ ผล นโยบายพลิกโฉมระบบการ เรียนร้ทู ตี่ อบสนองตอ่ การ เปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต 3.3 ประเมินความเหมาะสมและ ความเปน็ ไปไดข้ องนโยบาย พลิกโฉมระบบการเรยี นรทู้ ี่ ตอบสนองการเปล่ียนแปลง ของโลกอนาคต ดว้ ยการ สนทนากล่มุ โดยมีรายละเอียดของแต่ละข้ันตอนการดาเนินการวิจัยท่ีเป็นไป ตามระเบียบวิธีวิจัยแล ะ วตั ถุประสงค์การวิจยั ดงั น้ี 3.1 ระยะที่ 1 ศึกษาและออกแบบวิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยท่ีพึงประสงค์ในปี 2040 3.1.1 ศกึ ษาวิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคณุ ภาพคนไทยท่ีพึงประสงคใ์ นปี 2040 ในขั้นตอนน้ีใช้ศึกษาจากเอกสารและแหล่งข้อมูลออนไลน์แล้วสังเคราะห์โดยผู้วิจัย เพื่อกาหนดกรอบแนวคิดวิสัยทัศน์การศึกษาไทย และคุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ในปี 2040 เป็น ขั้นตอนของการทาความเข้าใจ (Empathize) ของกระบวนการคิดเชิงออกแบบมาศึกษาว่าการ เปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ท้ัง 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสังคม (Social: S) ด้านเทคโนโลยี (Technology: T) ด้านเศรษฐกิจ (Economy: E) ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment: E) และด้าน การเมือง (Policy: P) เพ่ือนามาเป็นแนวทางในการศึกษาวิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทย ทีพ่ งึ ประสงคท์ ่ตี อบสนองการเปลี่ยนแปลงในปี 2040 แหล่งขอ้ มูล ได้แก่ แหล่งเอกสารและแหล่งออนไลน์ ประกอบดว้ ย ยทุ ธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 – 2580 แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการเรียนรู้ และด้านการพัฒนาศักยภาพคน ตลอดช่วงชีวิต และแผนการปฏริ ปู ประเทศดา้ นการศึกษา ประเด็นการปฏริ ูปการจดั การเรยี นการสอน เพือ่ ตอบสนองการเปล่ียนแปลงในศตวรรษท่ี 21 และประเดน็ การปฏิรปู การศึกษาและการเรยี นรู้โดย การพลกิ โฉมดว้ ยระบบดิจทิ ลั 3.1.2 สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องเพ่ือให้ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเก่ียวกับวิสัยทัศน์ การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยทพี่ งึ ประสงค์ในปี 2040 โดยการนาผลการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้องในข้ันตอนที่ 3.1.1 มาเป็นแนวทางใน การสัมภาษณ์เพื่อนาไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นข้ันตอนการระบุ (Define)

109 วิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ในปี 2040 ตามแนวคิดการคิดเชิงออกแบบ โดยมีการดาเนนิ การดงั น้ี ผู้ใหข้ อ้ มลู ได้แก่ ผู้ทรงคณุ วฒุ ิและผู้ทีม่ ีสว่ นเก่ียวข้อง จานวน 30 คน ประกอบดว้ ย 1) นกั วิชาการทางด้านการศึกษา จานวน 5 คน 2) ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาและครู จานวน 5 คน 3) ผปู้ ระกอบการภาคเกษตร อตุ สาหกรรมและธุรกิจ จานวน 5 คน 4) ผปู้ กครอง จานวน 5 คน 5) ผูเ้ รยี นขัน้ พื้นฐานและอาชวี ศกึ ษา จานวน 10 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (semi – structured interview) เกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ท้ังด้านสังคม (Social: S) ด้าน เทคโนโลยี (Technology: T) ด้านเศรษฐกิจ (Economy: E) ด้านส่ิงแวดล้อม (Environment: E) และดา้ นการเมือง (Policy: P) วิสัทศั น์การศึกษาไทย และคณุ ภาพคนไทยที่พึงประสงคใ์ นปี 2040 การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการประสานงานไปยงั ผู้ทรงคุณวฒุ ิและผู้ที่มสี ว่ นเกยี่ วขอ้ งเพื่อขอ ความรว่ มมือในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ตามวนั เวลา สถานท่ีนัดหมาย ตลอดจนการสมั ภาษณอ์ อนไลน์ ด้วยโปรแกรม zoom โดยระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลในระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2563 การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เน้ือหา (content analysis) ตามประเด็นของการ สัมภาษณ์ที่สาคัญ ได้แก่ การเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ทั้งด้านสังคม (Social: S) ด้าน เทคโนโลยี (Technology: T) ด้านเศรษฐกิจ (Economy: E) ด้านส่ิงแวดล้อม (Environment: E) และดา้ นการเมือง (Policy: P) วิสยั ทัศนก์ ารศกึ ษาไทย และคุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ในปี 2040 3.1.3 ออกแบบวสิ ยั ทศั นก์ ารศึกษาไทยและคณุ ภาพคนไทยทพ่ี งึ ประสงค์ในปี 2040 ในข้ันตอนน้ีใช้ผลการศึกษาวิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยท่ีพึงประสงค์ในปี 2040 ท่ีได้จากข้ัน 3.1.1. และ 3.1.2 มายกร่างวิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยที่พึง ประสงคใ์ นปี 2040 โดยคณะวจิ ัยซง่ึ เปน็ ขัน้ ตอนการสร้างแนวคิดใหม่ (Ideate) ตามแนวคดิ การคดิ เชิง ออกแบบ 3.1.4 ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของวิสัยทัศน์การศึกษา และคุณภาพคนไทยที่ พงึ ประสงคใ์ นปี 2040 โดยนาร่างวิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยท่ีพึงประสงค์ในปี 2040 มาประเมิน ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ด้วยการจัดสนทนากล่มุ (focus group discussion) ผู้ทรงคุณวฒุ ิ และผู้ที่มีส่วนเก่ียวข้อง ซึ่งเป็นขั้นตอนการจัดทาต้นแบบ (Prototype) ตามแนวคิดการคิดเชิง ออกแบบ ดังนี้

110 ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จานวน 15 คน ประกอบด้วย 1) นักวิชาการทางด้านการศึกษา จานวน 5 คน 2) ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จานวน 5 คน และ 3) ผปู้ ระกอบการภาคเกษตร อุตสาหกรรมและธรุ กจิ จานวน 5 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของ วสิ ยั ทศั น์การศกึ ษาไทยและคณุ ภาพคนไทยที่พงึ ประสงค์ในปี 2040 การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการประสานไปยังผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อขอ ความร่วมมือในการเข้าร่วมการสนทนากลุ่มในวันท่ี 21 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 9.00 – 11.00 น. ณ ห้อง 704 อาคารพระมิง่ ขวญั การศึกษาไทย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เน้ือหา (content analysis) ตามประเด็นของการ สนทนากลมุ่ คอื ความเหมาะสมและความเปน็ ไปไดข้ องวสิ ัยทัศน์การศกึ ษาไทย และคณุ ภาพคนไทยที่ พึงประสงคใ์ นปี 2040 3.2 ระยะท่ี 2 ศกึ ษาและออกแบบระบบการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ในการตอบสนองการเปลี่ยนแปลง ของโลกอนาคตในปี 2040 3.2.1 ศึกษาระบบการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ในการตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตปี 2040 ดว้ ยการศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้องกบั แนวคดิ ระบบการเรยี นรู้ท่ีพงึ ประสงค์ในการ ตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 เป็นขั้นตอนของการทาความเข้าใจ (Empathize) ของกระบวนการคิดเชงิ ออกแบบ แหล่งข้อมูล ได้แก่ แหล่งเอกสารและแหล่งออนไลน์ ประกอบด้วย 1) รูปแบบการเรียนรู้ ได้แก่ การเรียนรู้อย่างมีความหมายและมีคุณค่า (Purposeful and valuable learning) การเรียนรู้ ตามความต้องการเฉพาะบุคคล (Personalized Learning) การริเร่ิมเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self- initiated learning, Heutagogy) การเรยี นรูส้ ร้างสรรค์นวตั กรรม (Innovation Creation Learning) การเรียนรู้การนาความรู้ประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ จริง (Real life Application Learning) การเรียนรู้ที่สร้าง รายได้ระหว่างเรียน (Income generating learning) 2) ทรัพยากรการเรียนรู้ และ 3) การวัดและ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ 3.2.2 สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องเพื่อให้ได้ข้อมูลเพ่ิมเติมเกี่ยวกับระบบการ เรียนร้ทู ี่พึงประสงคใ์ นการตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 โดยการนาผลการศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวข้องในขั้นตอนที่ 3.2.1 มาเปน็ แนวทางใน การสัมภาษณ์เพื่อนาไปสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้อง เป็นขั้นตอนการระบุ (Define) ระบบการเรยี นรู้ที่พงึ ประสงค์ในการตอบสอนการเปลีย่ นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ตามแนวคิด การคดิ เชิงออกแบบ โดยมกี ารดาเนนิ การดงั น้ี

111 ผูใ้ ห้ข้อมูล ได้แก่ ผทู้ รงคณุ วฒุ แิ ละผู้ทีม่ สี ่วนเกย่ี วขอ้ ง จานวน 30 คน ประกอบดว้ ย 1) นกั วิชาการทางดา้ นการศกึ ษา จานวน 5 คน 2) ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาและครู จานวน 5 คน 3) ผู้ประกอบการภาคเกษตร์ อตุ สาหกรรมและธรุ กจิ จานวน 5 คน 4) ผปู้ กครอง จานวน 5 คน 5) ผู้เรียนขัน้ พืน้ ฐานและอาชีวศึกษา จานวน 10 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi – structured interview) เก่ียวกับระบบการเรียนรู้ ทรัพยากรการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลการเรียนที่พึง ประสงค์ในการตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยการประสานงานไปยงั ผทู้ รงคณุ วุฒิและผู้ที่มีสว่ นเกยี่ วข้องเพ่ือขอ ความร่วมมอื ในการเก็บรวบรวมข้อมลู ตามวัน เวลา สถานที่นดั หมาย ตลอดจนการสัมภาษณ์ออนไลน์ ด้วยโปรแกรม zoom โดยระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลในระหว่างเดือนมิถุนายน ถึงเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2563 การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เน้ือหา (content analysis) ตามประเด็นของการ สมั ภาษณท์ สี่ าคญั คือ ระบบการเรียนรทู้ ่พี ึงประสงค์ในการตอบสนองการเปล่ยี นแปลงของโลกอนาคต ในปี 2040 ทป่ี ระกอบด้วย ผลลพั ธ์การเรียนรู้ ตัวชวี้ ดั ผลลัพธก์ ารเรยี นรู้ รูปแบบการเรยี นรู้ ทรพั ยากร การเรยี นรู้ และประเมนิ ผลการเรียนรู้ 3.2.3 ออกแบบระบบการเรียนรู้ท่พี ึงประสงค์ในการตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตใน ปี 2040 ในขั้นตอนน้ใี ชผ้ ลการศกึ ษาจากขัน้ 3.2.1 และ 3.2.2 มายกร่างระบบการเรยี นรทู้ ่ีพงึ ประสงค์ ในปี 2040 ทีป่ ระกอบดว้ ย ผลลัพธ์การเรยี นรู้ ตวั ชี้วดั ผลลัพธก์ ารเรียนรู้ รปู แบบการเรียนรู้ ทรพั ยากร การเรียนรู้ และประเมินผลการเรียนรู้ โดยคณะวิจัย ซ่ึงเป็นข้ันตอนการสร้างแนวคิดใหม่ (Ideate) ตามแนวคิดการคิดเชงิ ออกแบบ 3.2.4 การประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของระบบการเรียนรู้ท่ีพึงประสงค์ในการ ตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ในขั้นตอนน้ีนาข้อมูลที่ได้จากขั้น 3.2.3 มาตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของ ระบบการเรียนรู้ท่ีพึงประสงค์ในการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ด้วยการ จัดสนทนากลุ่ม (focus group discussion) ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นขั้นตอนการ จัดทาตน้ แบบ (Prototype) ตามแนวคดิ การคดิ เชงิ ออกแบบ ดังน้ี ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้อง จานวน 15 คน ประกอบด้วย 1) นักวิชาการทางด้านการศึกษา จานวน 5 คน 2) ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จานวน 5 คน และ 3) ผปู้ ระกอบการภาคเกษตร อตุ สาหกรรมและธุรกจิ จานวน 5 คน

112 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของระบบ การเรียนรู้ทพี่ ึงประสงค์ในการตอบสนองการเปล่ยี นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการประสานไปยังผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องเพ่ือขอ ความร่วมมือในการเข้าร่วมการสนทนากลุ่มในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 9.00 – 11.00 น. ณ ห้อง 704 อาคารพระมิ่งขวัญการศึกษาไทย คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ตามประเด็นของการ สนทนากลุ่ม คือ ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของระบบการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ในการ ตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ที่ประกอบด้วย ผลลัพธ์การเรียนรู้ ตัวช้ีวัด ผลลพั ธ์การเรียนรู้ รปู แบบการเรยี นรู้ ทรัพยากรการเรยี นรู้ และการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ 3.2.5 ศึกษาตัวอย่างระบบการเรียนรู้ท่ีพึงประสงค์ในการตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลก อนาคตในปี 2040 จากสถานศึกษาขน้ั พ้นื ฐานและอาชวี ศึกษา ในข้ันตอนน้ีใช้ผลการศึกษาจากขั้น 3.2.4 ที่ได้ต้นแบบระบบการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ในปี 2040 ที่ประกอบด้วย ผลลัพธ์การเรียนรู้ ตัวชี้วัดผลลัพธก์ ารเรียนรู้ รูปแบบการเรียนรู้ ทรัพยากรการ เรียนรู้ และประเมินผลการเรียนรู้ เพื่อนาไปศึกษาข้อมูลจากสถานศึกษาข้ันพื้นฐานและอาชวี ศึกษาที่ มีการจดั การเรยี นรู้ท่สี อดคล้องกับระบบการเรียนรู้ที่พงึ ประสงค์ เพอ่ื เป็นการทดสอบ (Test) ตน้ แบบ ระบบการเรียนรู้ที่พึงประสงค์กับบริบทจริงและศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในการจัดการศึกษาตาม ระบบการเรียนรู้ที่ได้จากการวิจัย เพ่ือนามาปรับปรุงและพัฒนาระบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับ สภาพทีเ่ ป็นจรงิ และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้จริง ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ สถานศึกษาท่ีมีแนวปฏิบัติท่ีดีในการจัดการศึกษาท่ีสอดคล้องกับรูปแบบ การจดั การเรียนรู้ที่ได้จากการวจิ ยั ท้ัง 6 รูปแบบ จานวน 7 แห่ง ประกอบดว้ ย สถานศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน จานวน 4 แห่ง คือ 1) โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อาเภอเมือง จังหวัดเชียงราย 2) โรงเรียนมีชัยพัฒนา อาเภอลาปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ 3) โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยธนบุรี กรุงเทพมหานคร และ 4) โรงเรียนวัดตาขัน อาเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง สถานศึกษาอาชีวศึกษา จานวน 3 แห่ง คือ 1) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ 2) วทิ ยาลยั เทคโนโลยีปัญญาภวิ ฒั น์ และ 3) วิทยาลัยเทคนคิ ชลบุรี อาเภอบ้านบึง จังหวัดชลบรุ ี เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัย เป็นแบบสังเกตและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi – structured interview) เก่ียวกบั ระบบการเรียนรู้ที่พงึ ประสงค์ในการตอบสนองการเปล่ยี นแปลงของ โลกอนาคตในปี 2040 การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการประสานงานไปยังผู้อานวยการสถานศึกษาทั้ง 7 แห่ง เพ่ือ ขอความร่วมมอื ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตามวนั เวลา ทสี่ ถานศึกษานดั หมาย ดงั นี้ 1) โรงเรียนองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อาเภอเมือง จังหวัดเชียงราย วันท่ี 25-26 สงิ หาคม 2563

113 2) วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีบุรีรัมย์ อาเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ วันที่ 27 สิงหาคม 2563 3) โรงเรียนมีชัยพัฒนา อาเภอลาปลายมาศ จงั หวัดบรุ ีรัมย์ วนั ที่ 28 สงิ หาคม 2563 4) โรงเรยี นวดั ตาขนั อาเภอบ้านคา่ ย จงั หวัดระยอง วนั จันทร์ท่ี 31 สิงหาคม 2563 5) วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ อาเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี วันที่ 3 กันยายน 2563 6) โรงเรยี นสวนกุหลาบวิทยาลัยธนบรุ ี กรุงเทพมหานคร วนั ท่ี 11 กนั ยายน 2563 7) วทิ ยาลยั เทคนิคชลบุรี อาเภอบ้างบึง จังหวัดชลบุรี วนั ที่ 15 กนั ยายน 2563 การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เน้ือหา (content analysis) ตามประเด็นของการ สงั เกตและการสัมภาษณ์ท่ีสาคญั คือ ระบบการเรยี นรู้ที่พึงประสงค์ในการตอบสนองการเปลยี่ นแปลง ของโลกอนาคตในปี 2040 ท่ีประกอบด้วย ผลลัพธ์การเรียนรู้ ตัวชี้วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ รูปแบบการ เรยี นรู้ ทรพั ยากรการเรียนรู้ และการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ 3.2.6 ปรับปรุงระบบการเรยี นรู้พึงประสงคใ์ นการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 จากขอมูลที่ไดก้ ารศกึ ษาสถานศกึ ษาทเี่ ปน็ ตัวอย่าง นาผลการวิจัยในข้ัน 3.2.5 มาปรับแก้ไขระบบการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ในการตอบสนองการ เปลี่ยนแปลงของโลกอนาคนปี 2040 เพื่อให้มีความสอดคล้องกับบริบทของการศึกษาไทย โดย คณะวจิ ัย 3.3 ระยะที่ 3 ศึกษาและออกแบบนโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ท่ีตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของ โลกอนาคต และเครื่องมือการนานโยบายสู่การปฏิบัติและการประเมินผลนโยบายพลิกโฉมระบบ การเรียนรูท้ ีต่ อบสนองตอ่ การเปลยี่ นแปลงของโลกอนาคต 3.3.1 สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้องเพ่ือให้ได้ข้อมูลเพ่ิมเติมเก่ียวกับนโยบาย เครื่องมือการนานโยบายสู่การปฏิบัติและการประเมินผลนโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ที่ ตอบสนองการเปลีย่ นแปลงของโลกอนาตค โดยการนาผลการศึกษาระบบการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ในการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของ โลกอนาคตในปี 2040 มาออกแบบเป็นนโยบายการพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ท่ีตอบสนองการ เปล่ียนแปลงของโลกอนาคต รวมท้ังการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องเพื่อออกแบบเครอ่ื งมอื การนานโยบายสู่การปฏิบัติ และการประเมินผลนโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ท่ีตอบสนองการ เปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต มาเป็นแนวทางในการสมั ภาษณ์เพื่อนาไปสมั ภาษณ์ผู้ทรงคุณวฒุ ิและผู้ที่ มีส่วนเก่ียวข้อง เป็นขั้นตอนการระบุ (Define) ตามแนวคิดการคิดเชิงออกแบบ โดยมีการดาเนินการ ดังนี้

114 ผใู้ ห้ขอ้ มูล ได้แก่ ผทู้ รงคณุ วฒุ แิ ละผ้ทู ม่ี ีส่วนเกย่ี วข้อง จานวน 30 คน ประกอบด้วย 1) นกั วชิ าการทางด้านการศึกษา จานวน 5 คน 2) ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาและครู จานวน 5 คน 3) ผู้ประกอบการภาคเกษตร อสุ าหกรรมและธุรกจิ จานวน 5 คน 4) ผปู้ กครอง จานวน 5 คน 5) ผูเ้ รียนขน้ั พนื้ ฐานและอาชวี ศกึ ษา จานวน 10 คน เครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการวจิ ัย เป็นแบบสมั ภาษณ์กงึ่ โครงสรา้ ง (Semi – structured interview) เกี่ยวกับนโยบาย เครื่องมือการนานโยบายไปสู่การปฏิบัติ และการประเมินผลนโยบายการพลิกโฉม ระบบการเรียนรทู้ ่ีตอบสนองการเปล่ยี นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู โดยการประสานงานไปยงั ผทู้ รงคุณวฒุ ิและผู้ที่มสี ่วนเกยี่ วข้องเพื่อขอ ความร่วมมือในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ตามวนั เวลา สถานทนี่ ัดหมาย ตลอดจนการสมั ภาษณ์ออนไลน์ ด้วยโปรแกรม Zoom โดยระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลในระหว่างเดือนกันยายน ถึงเดือน ตลุ าคม พ.ศ. 2563 การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เน้ือหา (Content analysis) ตามประเด็นการ สัมภาษณ์ท่ีสาคัญ คือ นโยบาย เครื่องมือการนานโยบายไปสู่การปฏิบัติ และการประเมินผลนโยบาย พลกิ โฉมระบบการเรยี นรทู้ ่ีตอบสนองการเปล่ยี นแปลงของโลกอนาคต 3.3.2 ออกแบบนโยบาย เครื่องมือการนานโยบายสู่การปฏิบัติและการประเมินผลพลิกโฉมระบบ การเรียนรู้ท่ตี อบสนองการเปลย่ี นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 โดยการยกร่างจากผลการวิจัยขั้นตอนท่ี 3.1 คือ วิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพ คนไทยท่ีพึงประสงค์ และขั้นตอนที่ 3.2 คือ ระบบการเรียนรู้ท่ีพึงประสงค์ในการตอบสนองการ เปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต และนาร่างนโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ที่ตอบสนองการ เปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต โดยคณะวจิ ัย ซงึ่ เป็นข้นั ตอนการสรา้ งแนวคิดใหม่ (Ideate) ตามแนวคิด การคิดเชิงออกแบบ 3.3.3 ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของนโยบาย เคร่ืองมือการนานโยบายสู่การ ปฏิบัติและการประเมินผลนโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ท่ีตอบสนองการเปล่ยี นแปลงของโลก อนาคตในปี 2040 ในขั้นตอนน้ีนาข้อมูลท่ีได้จากขั้น 3.3.3 มาตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของ นโยบาย เคร่ืองมือการนานโยบายไปสู่การปฏิบัติ และการประเมินผลนโยบายพลิกโฉมระบบการ เรียนรู้ท่ีตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ด้วยการจัดสนทนากลุ่ม (Focus group discussion) ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ท่ีมีส่วนเก่ียวข้อง ซ่ึงเป็นขั้นตอนการจัดทาต้นแบบ (Prototype) ตามแนวคิดการคิดเชงิ ออกแบบ ดงั นี้

115 ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง จานวน 15 คน ประกอบด้วย 1) นักวิชาการทางด้านการศึกษา จานวน 5 คน 2) ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จานวน 5 คน และ 3) ผปู้ ระกอบการภาคเกษตร อุตสาหกรรมและธุรกิจ จานวน 5 คน เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ แบบประเมนิ ความเหมาะสมและความเปน็ ไปไดข้ องนโยบาย เคร่ืองมือการนานโยบายไปสู่การปฏิบัติ และการประเมินผลนโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ท่ี ตอบสนองการเปล่ยี นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 การเก็บรวบรวมข้อมูล โดยการประสานไปยังผู้ทรงคุณวุฒิและผู้ท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องเพ่ือขอ ความร่วมมือในการเข้าร่วมการสนทนากลุ่มในวันท่ี 21 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 9.00 – 11.00 น. ณ ห้อง 704 อาคารพระม่งิ ขวญั การศกึ ษาไทย คณะครศุ าสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั การวิเคราะห์ข้อมูล โดยการวิเคราะห์เน้ือหา (content analysis) ตามประเด็นของการ สนทนากลุ่ม คือ ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของระบบการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ในการ ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ท่ีประกอบด้วย ผลลัพธ์การเรียนรู้ ตัวช้ีวัด ผลลพั ธ์การเรยี นรู้ รปู แบบการเรยี นรู้ ทรัพยากรการเรยี นรู้ และการวดั และประเมินผลการเรียนรู้

116 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล โครงการวิจัย การออกแบบนโยบายการพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ท่ีตอบสนองการ เปล่ยี นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 แบ่งผลการนาเสนอออกเป็น 4 ตอน ดังนี้ ตอนท่ี 1 วิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคณุ ภาพคนไทยที่พงึ ประสงคใ์ นปี 2040 ตอนท่ี 2 ระบบการเรียนรู้ท่ีพึงประสงค์ในการตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคต ในปี 2040 ตอนท่ี 3 นโยบายพลิกโฉมระบบการเรียนรู้ท่ีตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต ในปี 2040 ตอนที่ 4 เครื่องมือการนานโยบายสู่การปฏิบัติและการประเมินผลนโยบายพลิกโฉมระบบ การเรยี นรู้ท่ีตอบสนองต่อการเปล่ยี นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 โดยมีสัญลักษณ์ทใ่ี ชป้ ระกอบการรายงานผลการวเิ คราะห์ข้อมูล ดังน้ี f แทน ค่าความถสี่ ะสม ������̅ แทน คา่ เฉลย่ี SD แทน ส่วนเบย่ี งมาตรฐาน โดยมรี ายละเอียด ดังนี้ ตอนท่ี 1 วิสัยทัศนก์ ารศกึ ษาไทยและคณุ ภาพคนไทยท่ีพึงประสงคใ์ นปี 2040 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลวิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ในปี 2040 จากผู้ให้สัมภาษณ์ท้ังหมด 30 คน และผู้ประเมินความเหมาะสมท้ังหมด 17 คน แบ่งผลการนาเสนอ ออกเป็น 4 ตอน ดงั นี้ 1.1 สถานภาพของผูใ้ ห้ข้อมลู 1.2 ผลการศึกษาและออกแบบคณุ ภาพคนไทยที่พึงประสงค์ 1.2.1) ผลการสัมภาษณค์ ณุ ภาพคนไทยทพี่ ึงประสงค์ในปี 2040 1.2.2) ผลการ (รา่ ง) คณุ ภาพคนไทยที่พงึ ประสงคใ์ นปี 2040 1.2.3) ผลการประเมินความเหมาะสมของคุณภาพคนไทยท่ีพึงประสงค์ในปี 2040 จาก การสนทนากลมุ่ 1.3 ผลการศึกษาและออกแบบวสิ ยั ทศั น์การศึกษาไทยในปี 2040 1.3.1) ผลการสัมภาษณ์วสิ ยั ทัศนก์ ารศกึ ษาไทยในปี 2040 1.3.2) ผลการ (รา่ ง) วิสยั ทศั น์การศึกษาไทยในปี 2040 1.3.3) ผลการประเมินความเหมาะสมของวิสัยทัศน์การศึกษาไทยในปี 2040 จากการ สนทนากลุ่ม 1.4 วิสยั ทศั น์การศกึ ษาไทยและคุณภาพคนไทยท่ีพงึ ประสงคใ์ นปี 2040 ฉบับสมบูรณ์ มีรายละเอียดดังน้ี

117 1.1 สถานภาพของผูใ้ ห้ขอ้ มูล สถานภาพของผูใ้ ห้ข้อมลู วิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยท่พี ึงประสงค์ในปี 2040 ประกอบด้วยผู้ทรงคณุ วุฒิ และผมู้ สี ว่ นไดส้ ่วนเสีย รายละเอยี ดแสดงดงั ตารางท่ี 4.1 ตารางที่ 4.1 สถานภาพของผู้ให้ข้อมูลวิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยท่ีพึงประสงค์ในปี 2040 ท่ี กิจกรรมการวจิ ัย ผใู้ ห้ข้อมลู การสมั ภาษณ์ ผู้ใหข้ ้อมูลการสนทนากลมุ่ จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ กล่มุ ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ/ ผ้มู ีส่วนได้ส่วนเสยี 5 45.45 6 100.00 1 ผทู้ รงคุณวุฒิ 1.1 ผู้ทรงคุณวุฒดิ ้านการศึกษา 1.2 ผทู้ รงคุณวฒุ ิด้านสังคม 1 9.09 - - 1.3 ผู้ทรงคุณวุฒดิ า้ นเทคโนโลยี 2 18.18 - - 1.4 ผู้ทรงคุณวฒุ ิด้านเศรษฐกิจ 1 9.09 - - 1.5 ผู้ทรงคณุ วฒุ ิด้านสง่ิ แวดลอ้ ม 1.6 ผทู้ รงคณุ วุฒิด้านการเมือง 1 9.09 - - รวม 1 9.09 - - 2 ผู้มสี ่วนได้สว่ นเสีย 11 100.00 6 100.00 2.1 ผบู้ รหิ ารและครู 7 36.84 7 63.64 2.2 ผู้ประกอบการภาคเกษตร 3 15.79 4 36.36 อตุ สาหกรรม และธรุ กจิ 5 26.32 - - 2.3 พอ่ แม่-ผูป้ กครอง 2.4 ผู้เรียน 4 21.05 - - รวม 19 100.00 11 100.00 รวมทั้งสนิ้ 30 100.00 17 100.00 จากตารางที่ 4.1 แสดงสถานภาพของผใู้ ห้ข้อมูลวิสยั ทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยที่ พงึ ประสงคใ์ นปี 2040 โดยการสัมภาษณ์วสิ ัยทศั น์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยทีพ่ ึงประสงค์ในปี 2040 ท่ีตอบสนองการเปล่ียนแปลงในโลกอนาคต จานวน 30 คน โดยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจานวน 11 คน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จานวน 19 คน และการสนทนากลุ่มในการประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของร่างวิสัยทัศน์การศึกษาไทยและคุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ จานวน 17 คน เป็นผ้ทู รงคุณวฒุ ิจานวน 6 คน และผมู้ สี ่วนไดส้ ่วนเสยี จานวน 11 คน

118 1.2 ผลการศกึ ษาและออกแบบคณุ ภาพคนไทยที่พงึ ประสงค์ การนาเสนอผลการศึกษาและออกแบบคุณภาพคนไทยท่ีพึงประสงค์ แบ่งผลการนาเสนอ ออกเป็น 3 ตอน ประกอบด้วย 1.2.1) ผลการสัมภาษณ์คณุ ภาพคนไทยทพี่ ึงประสงคใ์ นปี 2040 1.2.2) ผลการ (รา่ ง) คุณภาพคนไทยทพ่ี งึ ประสงคใ์ นปี 2040 1.2.3) ผลการประเมินความเหมาะสมของคุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ในปี 2040 จากการ สนทนากลุ่ม มีรายละเอยี ดดงั นี้

1.2.1 ผลการสัมภาษณ์คณุ ภาพคนไทยทพ่ี ึงประสงค์ในปี 2040 ตารางที่ 4.2 ผลการสัมภาษณ์คุณภาพคนไทยทีพ่ งึ ประสงค์ในปี 2040 ผทู้ รงคณุ วุฒิ/ 1. คุณภาพทว่ั ไป ผลกา ที่ ผู้มสี ่วนได้ (General Qualities) 2. คุณภาพทางสงั คม 3. คณุ ภ สว่ นเสยี (Social Qualities) (Techno 1 ผู้ทรงคณุ วุฒิ 1. สามารถปรับตวั ต่อการ 1. สามารถสร้างสรรค์ 1. มีความ เปลี่ยนแปลง (f=5) พลงั รว่ ม (f=1) (f=4) 1.1 ผูท้ รงคุณวฒุ ิ 2. มที ักษะการแสวงหาความรู้ 2. เปิดรบั ดา้ นการศึกษา การสืบคน้ และการเรียนรดู้ ว้ ย (Openne ตนเอง (f=3) 3. มีทกั ษะการแกป้ ัญหา (f=3) 4. มีความสามารถในการ วเิ คราะห์ สังเคราะห์ (f=3) 5. มีทักษะการทางานเปน็ ทมี (f=2) 6. มที กั ษะการส่อื สาร (f=2) 7. เปิดใจยอมรบั ขอ้ ดขี องผูอ้ ืน่ (f=1) 8. ยนิ ดตี ่อความสาเรจ็ ของ ผอู้ ่นื (f=1) 9. มีความรับผดิ ชอบ (f=1) 10. มีความมานะ อุสาหะใน การทางาน (f=1) 11. มีความซอ่ื สตั ย์ สจุ รติ (f=1)

119 ารสัมภาษณ์คุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ในปี 2040 ภาพทางเทคโนโลยี 4. คุณภาพทาง 5. คณุ ภาพทางสิง่ แวดล้อม 6. คณุ ภาพทาง การเมือง ological Qualities) เศรษฐกจิ (Environment (Political Qualities) (Economic Qualities) Qualities) มฉลาดร้ทู างเทคโนโลยี 1. มีความพอเพยี ง 1. รกั ษ์และ หวงแหน 1. มีความซอ่ื สตั ย์ (f=1) ธรรมชาติ (f=1) สุจริต (f=2) บการเปลย่ี นแปลง 2. มคี วามสามารถใน 2. ตระหนกั รกู้ ารใชพ้ ลังงาน 2. สามารถทางาน ess) (f=3) การสรา้ งสรรค์ และการเลือกใช้พลังงาน เพ่อื ส่วนรวมได้ (f=1) เศรษฐกจิ เพื่อ (f=1) ขบั เคลื่อนการพฒั นา ของประเทศ (f=1) 3. มีความสามารถใน การดารงชวี ติ สร้าง อาชพี และทางาน (f=1) 4. มีความเป็น ผู้ประกอบการ (f=1)

ผทู้ รงคุณวฒุ ิ/ 1. คณุ ภาพทว่ั ไป ผลกา ท่ี ผู้มีสว่ นได้ (General Qualities) 2. คุณภาพทางสังคม 3. คุณภ สว่ นเสีย (Social Qualities) (Techno 1.2 ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ 12. มพี นื้ ฐานด้านการอา่ น 1. มีความเกอ้ื กลู กนั - ดา้ นสังคม ออก เขยี นได้ คดิ เลขเปน็ (f=1) (f=1) 13. มคี วามรู้ด้าน ประวัติศาสตร์ ความเปน็ ชาติ ศาสน์ กษัตริยข์ องไทย (f=1) 14. มคี วามเป็นสากล (f=1) 15. มีทกั ษะในศตวรรษที่ 21 คิดเป็น ทาได้ ใฝ่เรยี นรู้ (f=1) 16. สามารถสรา้ งองค์ความรู้ ดว้ ยตนเอง (Constructionism) (f=1) 17. มเี ครือข่าย (Networking) (f=1) 18. มคี วามเมตตาตอ่ ผ้อู ่ืน (f=1) 19. รู้ความถนัดของตนเอง (f=1) 20. มคี วามเปน็ ผู้นาการ เปลยี่ นแปลง (f=1) 1. มีทักษะการแสวงหาความรู้ และเป็นผู้เรียนร้ตู ลอดชวี ิต (f=2) 2. มคี วามคิดเชื่อมโยง ความสมั พันธ์ของสิ่งต่าง ๆ ท่ี

120 ารสมั ภาษณ์คุณภาพคนไทยทีพ่ ึงประสงคใ์ นปี 2040 ภาพทางเทคโนโลยี 4. คณุ ภาพทาง 5. คณุ ภาพทางสิ่งแวดล้อม 6. คณุ ภาพทาง การเมือง ological Qualities) เศรษฐกจิ (Environment (Political Qualities) (Economic Qualities) Qualities) 1. สามารถสร้าง - 1. มีความเปน็ มลู คา่ เพ่ิม (f=1) พลเมอื ง (f=1)

ผู้ทรงคุณวุฒิ/ 1. คณุ ภาพท่ัวไป ผลกา ที่ ผมู้ สี ว่ นได้ (General Qualities) 2. คุณภาพทางสังคม 3. คณุ ภ สว่ นเสยี (Social Qualities) (Techno 1.3 ผทู้ รงคุณวฒุ ิ ไม่มีอะไรแยกขาดจากกนั 1. เปน็ ผยู้ อมรับใน 1. มที ักษะ ด้านเทคโนโลยี อยา่ งสิน้ เชิง (f=1) ความแตกต่างทางเพศ 2. มีทกั ษะ 3. รคู้ วามถนัดของตนเอง สภาพ (f=1) คอมพวิ เต (f=1) 2. มีกรอบความคิด 3. ทกั ษะก 4. มที กั ษะการพัฒนา ตอ่ ยอด เชิงออกแบบ (f=2) (f=1) สงิ่ ท่มี อี ยูเ่ ดิม (f=1) 3. มกี รอบความคดิ 4. มที ักษะ 5. มคี วามสามารถในการ เติบโต (f=1) (f=1) เรียนร้ตู ามความเปน็ จริง 4. มีความเปน็ นวัตกร 5. มีทักษะ พฒั นา เตบิ โต ต่อยอดเป็น (f=1) โดยไมใ่ ชโ้ ความเขา้ ใจความเปน็ จรงิ 5. มคี วามเกือ้ กลู และ 6. มีทกั ษะ (Right Understanding) ความสัมพันธใ์ น เทคโนโลย (f=1) ครอบครัว (f=1) 7. มที กั ษะ 1. สามารถปรบั ตัวอยู่กบั ความ เปลยี่ นแปลงได้ (f=1) 2. สามารถเรยี นรดู้ ้วยตนเอง ไดเ้ รว็ (f=1) 3. มที ักษะในการแกป้ ัญหา (f=1)

121 ารสมั ภาษณ์คุณภาพคนไทยที่พงึ ประสงค์ในปี 2040 ภาพทางเทคโนโลยี 4. คณุ ภาพทาง 5. คณุ ภาพทางสง่ิ แวดลอ้ ม 6. คณุ ภาพทาง การเมอื ง ological Qualities) เศรษฐกิจ (Environment (Political Qualities) (Economic Qualities) Qualities) ะเรยี นรู้เร็ว (f=1) 1. สามารถประกอบ 1. มกี รอบความคิดในการ 1. รู้หน้าที่พลเมอื ง ะวทิ ยาศาสตร์ อาชพี ออนไลน์ หรือ ตอ่ สู้ ไม่ย่อทอ้ (f=2) (f=1) ตอร์ (f=1) ขา้ มเขตแดนได้ (f=2) 2. มคี วามตระหนกั รกู้ ารใช้ 2. เคารพสิทธขิ อง การวิเคราะหข์ อ้ มลู 2. สามารถเพิ่ม ทรัพยากรอย่างย่งั ยนื (f=1) ตนเองและผอู้ ืน่ ผลผลติ โดยใชพ้ น้ื ที่ใน 3. มีกรอบความคิดไร้ (f=1) ะการพัฒนาซอฟแวร์ การผลติ ลดลง (f=1) คาร์บอน (f=1) 3. มที กั ษะการ 3. มีความเปน็ 4. มีกรอบความคิดยง่ั ยืน ติดตามขา่ วสาร ะการเขยี นโปรแกรม ผู้ประกอบการ (f=1) (f=1) บ้านเมอื ง (f=1) โคด้ (f=1) 4. มีความเป็น 4. สามารถถอด ะ ผปู้ ระกอบการสงั คม ประสบการณ์จาก ยกี ารเกษตร (f=1) (f=1) ผ้อู น่ื ได้ (f=1) ะทางหุ่นยนต์ (f=1) 5. มสี ว่ นรว่ ม ขับเคลื่อนเพอื่ ใหเ้ กิด

ผ้ทู รงคุณวฒุ ิ/ 1. คุณภาพท่วั ไป ผลกา ที่ ผูม้ สี ว่ นได้ (General Qualities) 2. คณุ ภาพทางสงั คม 3. คณุ ภ ส่วนเสีย (Social Qualities) (Techno 1.4 ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ 1. สามารถล้มและลุกขน้ึ ได้ - 1. มีทกั ษะ ดา้ นเศรษฐกจิ อยา่ งรวดเร็วและแขง็ แกรง่ กวา่ เดิม (f=1) 1. เปน็ ผแู้ สวงหา 1. สามาร 1.5 ผทู้ รงคุณวฒุ ิ 2. สามารถจดั การความเสีย่ ง ความรู้ เปดิ โอกาสให้ เทคโนโลย ดา้ นสง่ิ แวดล้อม ในระดบั บคุ คล (f=1) ตนเอง เรียนรูจ้ ากคน 2. สามาร 3. มคี วามเชี่ยวชาญเฉพาะ อ่นื (f=1) พัฒนาขอ ด้าน (f=1) 2. สามารถปรับตวั 3. สามาร 4. มีความคิด และทกั ษะ ลว่ งหน้า พรอ้ ม ส่ผู ู้อ่นื (f= ยดื หย่นุ (f=1) 5. มที ักษะการแสวงหาความรู้ และการปรบั ตวั ในอนาคต (f=1) 6. มีทักษะการเรียนรู้ดว้ ย ตนเอง (f=1) 7. มคี วามรู้บรสิ ทุ ธิ์ (f=1) 1. มที ักษะการสอื่ สารไดก้ ับ คนทุกระดับได้อยา่ งเขา้ ใจ (f=1) 2. มที กั ษะการคดิ รอบดา้ น คิดเปน็ องคร์ วม (f=1)

122 ารสัมภาษณ์คุณภาพคนไทยท่ีพงึ ประสงค์ในปี 2040 ภาพทางเทคโนโลยี 4. คณุ ภาพทาง 5. คุณภาพทางสิง่ แวดล้อม 6. คณุ ภาพทาง การเมือง ological Qualities) เศรษฐกจิ (Environment (Political Qualities) (Economic Qualities) ประโยชน์กบั สงั คม Qualities) ชุมชน (f=1) 6. กล้าแสดงความ 5. มคี วามสามารถใน คดิ เหน็ (f=1) การทางานหลายอย่าง - ในเวลาเดยี วกัน (f=1) ะการโค้ด (f=1) - - รถใชแ้ ละควบคุม 1. สามารถสอ่ื สาร 1. สามารถเลอื กใชส้ นิ คา้ 1. สามารถตัดสินใจ ยี (f=1) และถ่ายทอดแนวคดิ บรกิ ารที่คานงึ ถึงความยั่งยนื บนฐานของขอ้ มลู รถปรับตวั ตามการ เศรษฐกจิ สีเขียว (f=1) ของทรัพยากร (f=1) (f=1) องเทคโนโลยี (f=1) 2. มคี วามรจู้ รงิ ด้าน 2. รแู้ หลง่ ทีม่ าและผลกระทบ 2. มีวจิ ารณญาณใน รถถา่ ยทอดเทคโนโลยี เศรษฐกจิ (f=1) ของขยะ (f=1) การรับขอ้ มลู =1) การเมือง (f=1)

ผ้ทู รงคุณวฒุ ิ/ 1. คุณภาพทัว่ ไป ผลกา ท่ี ผ้มู ีสว่ นได้ (General Qualities) 2. คณุ ภาพทางสงั คม 3. คณุ ภ สว่ นเสีย (Social Qualities) (Techno 3. สามารถทางานรว่ มกบั ผู้อ่ืน สาหรับวยั สงู อายุ 4. มคี วาม (f=1) (f=1) (f=1) 4. มกี ารคิดอยา่ งมี 3. มจี ิตใจม่ันคง เหน็ 5. สามาร วจิ ารณญาณ (f=1) คุณคา่ ของตนเอง ข้อมลู ควา 5. ทักษะการติดต่อระหวา่ ง (f=1) (f=1) บุคคล (f=1) 6. สามาร 6. มที กั ษะการบูรณาการ เปลยี่ นแป (f=1) (f=1) 1.6 ผทู้ รงคุณวุฒิ 1. มคี วามซือ่ สัตยส์ ุจริต (f=1) - - ดา้ นการเมอื ง

123 ารสัมภาษณค์ ณุ ภาพคนไทยที่พงึ ประสงค์ในปี 2040 ภาพทางเทคโนโลยี 4. คุณภาพทาง 5. คุณภาพทางส่งิ แวดล้อม 6. คณุ ภาพทาง การเมือง ological Qualities) เศรษฐกจิ (Environment (Political Qualities) (Economic Qualities) 3. เห็นแก่ประโยชน์ Qualities) ส่วนรวม (f=1) มรกู้ ฎหมายเทคโนโลยี 3. สามารถจัดการขยะอยา่ ง 1. สามารถ เปรยี บเทียบระบบ ครบวงจร (f=1) การเมอื งในประเทศ กบั ตา่ งประเทศ รถใชเ้ ทคโนโลยีเพอ่ื หา 4. มีความตระหนักถึง (f=1) 2. มีความรู้ความ ามรู้เพอื่ พฒั นาตนเอง ธรรมชาติและอากาศ (f=1) เข้าใจรูปแบบการ ปกครอง (f=1) 5. ไม่ก่อใหเ้ กดิ ขยะโดยไม่ 3. สามารถวเิ คราะห์ ข่าวการเมอื งได้ รถรบั รถู้ งึ การ จาเปน็ (f=1) (f=1) ปลงของนวัตกรรม 6. มีความพอเพยี งในการ บริโภคสินค้าบรกิ าร (f=1) 7. คาถงึ ถึงการก่อให้เกิดขยะ อิเลก็ ทรอนิกส์ (f=1) 8. สนใจนโนบายส่งเสริม ส่งิ แวดล้อมของชุมชนและ ประเทศ (f=1) --

ผู้ทรงคณุ วุฒิ/ 1. คณุ ภาพทั่วไป ผลกา ท่ี ผมู้ ีส่วนได้ (General Qualities) 2. คุณภาพทางสงั คม 3. คุณภ ส่วนเสยี (Social Qualities) (Techno 2 ผู้มสี ว่ นได้สว่ นเสยี 1. มที กั ษะการเรียนรตู้ ลอด 1. สามารถรับรู้ และ 1. มคี วาม 2.1 ผูบ้ รหิ ารและครู ชีวิต (f=2) ยอมรบั การ ผลกระทบ 2. สามารถอยู่ และยอมรับ เปลี่ยนแปลงของ 2. มีทักษะ การเปล่ียนแปลง (f=1) นวตั กรรมสังคม (f=3) ออกแบบ 3. มคี ุณธรรม จริยธรรม (f=1) 2. สามารถสือ่ สาร เทคโนโลย 4. มีความซือ่ สัตย์ สามัคคี มี และมีปฏสิ มั พนั ธ์ท่ีดี 3. มีทักษะ วินยั (f=1) กบั คนทกุ วยั (f=2) หลากหลา 5. เก่ง ดี มีสุข (f=1) 3. มคี วาม บรู ณาการ 6. มอี งค์ความรู้ มีความ เออ้ื เฟือ้ เผื่อแผ่ (f=2) โอกาสในก ชานาญ เชย่ี วชาญ (f=1) 4. ยอมรับในคุณค่า (f=2) 7. มีทกั ษะทางสงั คม วินยั ของมนษุ ย์ (f=2) 4. สามาร คุณธรรมจรยิ ธรรม วุฒิภาวะ 5. มีทศั นคติท่ีดีตอ่ ค้นคว้าขอ้ ทางอารมณ์ (f=1) ผู้สูงอายุ เคารพ ตนเอง (f=

124 ารสมั ภาษณ์คุณภาพคนไทยทีพ่ ึงประสงค์ในปี 2040 ภาพทางเทคโนโลยี 4. คุณภาพทาง 5. คุณภาพทางสิ่งแวดล้อม 6. คณุ ภาพทาง การเมือง ological Qualities) เศรษฐกจิ (Environment (Political Qualities) (Economic Qualities) 4. มสี ่วนร่วมทางการ Qualities) เมอื ง (f=1) 5. มคี วามใฝ่รเู้ รื่อง การเมืองการ ปกครอง (f=1) 6. เข้าใจความ เชือ่ มโยงระหวา่ งภาค การเมืองกบั ภาค เศรษฐกจิ (f=1) 7. สามารถเสนอ ความคิดเหน็ (f=1) มรู้ความเข้าใจ 1. สามารถปรบั ตัว 1. สามารถสรา้ งสรรคค์ วาม 1. สามารถตรวจสอบ บของเทคโนโลยี (f=3) เพอื่ ตอบสนอง ตระหนกั เร่อื งกรอนุรกั ษ์ และยับยั้งการทุจริต ะสรา้ งสรรค์ เพอ่ื รปู แบบงานหรืออาชีพ ทรพั ยากรธรรมชาติ (f=2) (f=2) สร้างและใช้ ทเ่ี ปลย่ี นแปลงไป 2. สามารถเข้าถงึ และใช้สือ่ 2. ยอมรับความ ยี (f=2) (f=3) อยา่ งมคี ุณภาพ (f=2) แตกต่าง และเคารพ ะเฉพาะทางท่ี 2. สามารถสร้างความ 3. มีความรู้ด้านสิง่ แวดลอ้ ม ความเปน็ มนุษย์ ายเพ่ือการนาไป ตระหนกั และรณรงค์ (f=1) (f=2) รในการทางานเพอื่ ผอู้ ่ืนเกิดความ 4. สามารถปฏบิ ัตติ นเพอื่ ลด 3. มสี ว่ นร่วมเปน็ การทางานในอนาคต ตระหนักในการอยู่ การปล่อยกา๊ ซเรอื นกระจก สมาชิกของพรรค ร่วมกบั เศรษฐกจิ สี (f=1) การเมือง (f=1) รถใช้เทคโนโลยีเพือ่ เขียว หรือเศรษฐกิจ 5. มีความรเู้ กี่ยวกับสาเหตุ 4. สามารถ อมลู ความร้เู พื่อพัฒนา ยั่งยนื (f=2) ของปญั หาต่าง ๆ และแกไ้ ข สรา้ งสรรค์ =1) ปญั หา (f=1) ประชาธิปไตยแบบ

ผู้ทรงคณุ วุฒิ/ 1. คุณภาพทั่วไป ผลกา ท่ี ผมู้ สี ว่ นได้ (General Qualities) 2. คณุ ภาพทางสงั คม 3. คุณภ ส่วนเสีย (Social Qualities) (Techno 8. มจี ติ ใจบริการ (f=1) ยอมรับ ไม่ขัดแยง้ 5. สามาร 9. รกั ษค์ วามย่ังยืน (f=1) (f=2) ผู้อนื่ เกดิ ค 10. รูจ้ รงิ รู้ลึก เขา้ ใจ 6. มีความคดิ รเิ รมิ่ ความสาค เชีย่ วชาญ (f=1) สรา้ งสรรค์ (f=1) ใชเ้ ทคโนโ 11. สามารถออกแบบการ 7. สามารถพ่งึ พากัน มิตรกบั ส่ิง เรยี นรู้ไดด้ ้วยตนเอง (f=1) และกัน (f=1) 6. มีทักษะ 8. ไมแ่ บง่ ชัน้ วรรณะ ความต้อง (f=1) 7. สามาร 9. มีเจตคติ รอบด้าน อุดมการณ์ (f=1) 8. เข้าถึงแ 10. มคี วามรบั ผดิ ชอบ จากหลาย ตอ่ สังคม (f=1) 9. สามาร 11. สามารถเช่อื มโยง จากการเป และเรยี นรูร้ ่วมกนั เทคโนโลย ระหวา่ งสังคมวยั เป็นที่ตอ้ ง ทางาน วยั รุ ่น และ เศรษฐกจิ สังคมผู้สงู อายุ (f=1) 10. รูจ้ กั ต 12. ตระหนักถงึ และทาอะ ค่านิยมอันดีงามของ 11. ใสใ่ จก ไทย (f=1) ตา่ ง ๆ (f= 13. มวี นิ ยั ในตวั เอง 12. มีทกั ษ เปดิ รบั และรู้จัก (f=1) แกป้ ญั หา (f=1) 13. สามา 14. มคี วามตรงตอ่ เทคโนโลย เวลา (f=1)