32 บทบาทในการเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางการเมืองและการตัดสินนโยบาย คาว่าประชาธรรมน้ี อาจจะมีความหมายท่ีแตกต่างจากการใช้โดยท่ัว ๆ ไป เฉพาะในท่ีนี้ประชาธรรม หมายถึงการมีส่วน ร่วมของประชาชนในกระบวนการทางการเมอื งและการพัฒนาสงั คม สังคมการเมืองท่ีกล่าวมาน้ีไม่ใช่ของใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นการสรุปให้เห็นภาพ ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยจะต้องมีคุณลักษณะ 5 ประการ คือ 1) นิติธรรม 2) ความชอบธรรมและคุณธรรม 3) ความยุติธรรม 4) จริยธรรม 5) ประชาธรรม อย่างไรก็ตาม ความพยายามจะพัฒนาสังคมการเมือง ท่ีพึงประสงค์ดังกล่าวน้ี มนุษย์ได้มีความพยายามมาแล้วเป็นพัน ๆ ปี บางสังคมก็ประสบความสาเร็จ บางสังคมก็ล้มเหลว แต่ตราบเท่าท่ีมนุษย์ยังต้องการชีวิตท่ีดีกว่า ความพยายามที่จะสถาปนาสังคม การเมืองท่ีพึงประสงค์คงจะดาเนินต่อไป แต่ที่น่าเสียดายคือ บางครั้งการพยายามสถาปนาสังคม การเมืองที่พึงประสงค์อาจจะต้องแลกเปลี่ยนด้วยชีวิตและเลือดเน้ือ เช่น การปฏิวัติที่เกิดขึ้นในหลาย สังคมในประวัติศาสตร์มนุษยชาติซ่ึงเกิดขึ้นหลายคร้ัง ประเทศท่ีประสบความสาเร็จก็คือประเทศท่ีมี สังคมการเมืองที่มีระยะเวลาการดารงตาแหน่งของผู้ใช้อานาจรัฐมีการกาหนดแน่นอน กล่าวคือ มกี ระบวนการสบื ทอดอานาจท่ีมีการจัดต้งั เปน็ สถาบนั เชน่ โดยกระทาทุก ๆ สปี่ ี เปน็ ต้น ขณะเดียวกันสังคมน้ันก็มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ 5 ประการที่กล่าวมาเบ้ืองต้น แต่ข้อเท็จจริง ท่ีปฏิเสธไม่ได้คือในโลกนี้ยังมีอยู่หลายประเทศที่กระบวนการพัฒนาสังคม การเมืองท่ีดีท่ีสุดยังไม่ เกดิ ขน้ึ และอาจจะต้องใชเ้ วลาอีกนานจนกว่าจะมีสงั คมการเมืองทส่ี มบูรณ์กว่าท่ีเป็นอยู่ โดยตัวแปรที่ สาคญั 3 ตวั แปรทจ่ี ะมบี ทบาทอยา่ งมากในสว่ นน้ี นนั่ คือ 1) ความเจรญิ และการพัฒนาในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น เศรษฐกิจ สงั คม วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และความเจริญดงั กลา่ วแผไ่ ปท่วั ท้ังหนว่ ยการเมืองนนั้ 2) ระบบการศกึ ษา ซง่ึ จะตอ้ งเปน็ ระบบการศกึ ษาที่ทาให้คนคิดวเิ คราะห์เปน็ และเป็นตวั ของ ตัวเองในการใช้เหตุใช้ผล สามารถเรียนรู้และสามารถสร้างความรู้จากข้อมูล การวิจัย และการ วิเคราะห์ไดด้ ้วยตนเอง 3) วัฒนธรรมของสงั คมน้นั จะตอ้ งเปน็ วฒั นธรรมทีส่ อดคลอ้ งกบั ยคุ สมยั มีเหตุมผี ล มีตรรกะท่ี เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่หลงงมงาย และมีความศรัทธาต่อสังคมการเมืองที่ดีโดยมีคุณลกั ษณะ 5 ประการ ดงั กลา่ วมาแล้ว 1.5.2 ประชาธปิ ไตยแบบมีสว่ นร่วมของภาคประชาชน (Participatory Democracy) ประชาธิปไตยแบบมีส่วนรว่ มของภาคประชาชน หมายถงึ ระบอบการปกครองประชาธิปไตย แบบมีตัวแทน ที่สนับสนุนให้ประชาชนส่วนใหญ่มีส่วนร่วมในทางการเมืองมากข้ึน ท้ังในระดับชาติ และในระดับท้องถ่ิน รูปแบบการเข้ามามีส่วนรว่ มก็มากข้ึนไม่ใช่แค่ไปใช้สิทธ์ิออกเสียงเลือกต้ังเท่านนั้ แต่รวมไปถึงการริเร่ิมร่างกฎหมาย การถอดถอนเจ้าหน้าที่ทางการเมือง การทาประชามติ การทา ประชาพิจารณ์ การเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเร่ืองราวต่าง ๆ เริ่มต้ังแต่กระบวนการ ริเริ่มหาปัญหา การออกนโยบาย การนาไปปฏิบัติ การติดตามและประเมินผล และมีการนาแนวคิด ธรรมรัฐมาใช้ว่า การทางานของรัฐบาลต้องมีความยืดหยุ่น กล่าวคือมีโครงสร้างการทางานที่
33 ตรวจสอบได้ โปร่งใส ให้ประชาชนมีส่วนร่วม และมีความเสมอภาค การท่ีจะทาให้แนวคิดธรรมรัฐ ได้รับการปฏิบัติตามรูปธรรมก็โดยการบัญญัติสิทธิต่าง ๆ ของประชาชนในการเข้าถึงข่าวสาร การ ตรวจสอบ การมีส่วนร่วมไว้ในบทบัญญัติของรัฐธรรมนญู ต้องเน้นให้มีรูปแบบการปกครองท่ีกระจาย อานาจไปสทู่ ้องถน่ิ ใหป้ ระชาชนในทอ้ งถิ่นมีโอกาสทีจ่ ะปกครองตนเองมากขึน้ ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมในมุมมองทางสังคมวิทยาเร่ิมได้รับความสนใจเม่ือ Rousseau (1968) ได้เขียนไว้ในหนังสือสัญญาประชาคม เขาอธิบายว่า การเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ตดั สินใจทางการเมือง มี 3 หน้าท่ีคือ 1) หน้าที่ในการให้ความรู้แก่ประชาชน ในการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะการเข้ามีส่วนร่วม ใน การกระบวนการตดั สนิ ใจทางการเมือง ซงึ่ ประชาชนจะต้องเปน็ ตัวของตวั เอง ไมถ่ ูกอิทธิพลของใครชัก จูง ในส่วนของกระบวนการตัดสินใจเลือกผู้แทนนั้น Rousseau เน้นว่า ในสังคมขนาดเล็กจะ เอ้ืออานวยใหป้ ัจเจกชนมีความเป็นอิสระและมีความเทา่ เทียม เขาเชื่อว่าถ้าเปน็ สังคมที่รา่ รวย คนรวย จะซ้อื เสียงของคนจน และคนจนกจ็ ะขายเสยี งตวั เอง 2) หนา้ ทข่ี องการฝึกฝนการเข้ารว่ มกระบวนการตัดสนิ ใจเป็นลักษณะสาคัญประการหน่ึงของ ระบอบการปกครองแบบประชาธปิ ไตย การเขา้ มสี ว่ นรว่ มในกระบวนการตัดสนิ ใจ เป็นเครือ่ งแสดงให้ เห็นวา่ ประชาชนทราบถึงความต้องการของเขาเองและผปู้ กครองไม่สามารถละเลยความต้องการนี้ 3) หน้าท่ีในการพัฒนาความรู้สึกเป็นเจ้าของชุมชนทางการเมืองและความรู้สึกเป็นอิสระใน การตัดสินใจ ในเร่ืองความรู้สึกเป็นอิสระในการตัดสินใจนั้น ประชาชนจะรู้สึกเป็นนายของตัวเอง เพ่มิ ข้ึนเม่อื เขามีโอกาสในการตัดสนิ ใจเร่ืองชีวติ ของเขาเองในกระบวนการตดั สินใจทางการเมือง Rousseau (1968) ยังเสนอต่อไปว่า เมื่อประชาชนมีโอกาสฝึกทักษะการเข้ามีส่วนร่วมแล้ว ก็จะพัฒนาความรู้สึกมีสมรรถนะทางการเมือง ซ่ึงเป็นความรู้สึกที่คนเข้าใจและพอใจว่าตนมีอานาจ หรืออิทธิพล ที่จะก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางการเมืองได้ โดยผู้มีอานาจทางการเมืองสนใจและใส่ ใจในข้อเรียกร้องของเขา และความรู้สึกมีสมรรถนะทางการเมืองนี่เองที่เป็นปจั จยั สาคัญทางจิตวิทยา ที่กระตุ้นให้ระดับการเขา้ มสี ว่ นรว่ มทางการเมอื งของประชาชนสงู ขน้ึ Mill (1984) เป็นนักคิดอีกท่านหน่ึงท่ีสนับสนุนแนวคิดของ Rousseau โดยเชื่อว่า การเข้ามี ส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนจะเกิดข้ึนอย่างมีประสิทธิภาพในระดับประเทศได้นั้น ประชาชน ต้องมีการฝึกฝนทักษะการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจทางการเมืองในระดับท้องถ่ินเสียก่อน นอกจากนั้นการฝึกฝนทักษะการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจยังสามารถทาได้ในโครงสร้างที่ ไมใ่ ชก่ ารเมอื งด้วยเชน่ ในโรงงานอุตสาหกรรม เปน็ ต้น ตอนที่ 2 คณุ ภาพคนไทยท่ีพงึ ประสงคท์ ตี่ อบสนองการเปลยี่ นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 คุณภาพคนไทยท่ีพึงประสงค์ท่ีตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตปี 2040 ในงานวิจัยนี้ มีความหมายสอดคล้องและเชื่อมโยงกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียน โดยจากการ ทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง พบว่า ผลลัพธ์การเรียนรู้ในปัจจุบันมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี
34 คนเก่ง และมคี วามสุข มศี ักยภาพในการศกึ ษาต่อและประกอบอาชีพ ซ่งึ หลักสตู รแกนกลางการศึกษา ขั้นพ้ืนฐานมุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ คือ 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความสามารถในการคิด 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต และ 5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี พร้อมกับมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ซ่ึงมี 8 ประการ คือ 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่าง พอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทางาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้เปน็ เป้าหมายสาคัญของการพฒั นาคุณภาพผเู้ รยี น มาตรฐานการเรยี นรู้ ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้ ปฏิบัติได้ มีคุณธรรมจริยธรรมและค่านิยมท่ีพึงประสงค์เม่ือจบการศึกษา ขน้ั พื้นฐาน จากการวิเคราะห์พบว่า ผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนในปัจจุบันยังขาดความชัดเจนและ ความครอบคลุมกับความเปล่ียนแปลงในศตวรรษท่ี 21 รวมทั้งผลลัพธ์การเรียนรู้ที่กาหนดไว้ยังยาก ที่จะนาสู่การปฏิบัติในการพัฒนาคุณภาพของคนไทย เน่ืองจากมีความคลุมเครือถึงลักษณะของ พฤติกรรมที่พงึ ใหเ้ กดิ ขาดความเจาะจงของผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ ซึ่งสรปุ จาก ประหยัด พมิ พา (2561) ประกอบดว้ ย 3 ประเดน็ คอื 1) ทกั ษะการคิดของผู้เรยี นไมส่ ามารถพัฒนาด้วยระบบการศึกษาไดด้ ีเท่าท่คี วร เน่ืองดว้ ยการ จัดการเรียนรู้มุ่งสอนให้ผู้เรียนคิดสิ่งใหม่น้อยกว่าการคิดตามรูปแบบวิธีท่ีผู้สอนกาหนด ซึ่งเป็นผล มาจากการท่ีมขี อบเขตของสมรรถนะสาคัญทีก่ วา้ งและมีทกั ษะท่ีตอ้ งพัฒนาให้ผเู้ รยี นที่มากเกนิ ไป 2) ทักษะความรู้ของผู้เรียนไม่ตรงกับความต้องการของตลาด หลังจบการศึกษามีผู้เรียน จานวนมากที่ตลาดแรงงานไม่สามารถรองรับได้หมด ประกอบกับปัญหาคุณภาพของผู้สาเร็จ การศกึ ษา 3) คุณธรรมจริยธรรมถูกละเลยในการพัฒนาผู้เรียน เนื่องจากสถาบันการศึกษาจานวนมาก มุง่ พฒั นาความรู้ทางวิชาการ และประเมนิ ผลการเรยี นในมติ ิของวชิ าการเป็นหลกั จะเหน็ ไดว้ ่าสภาพปญั หาของผลลพั ธ์การเรียนรู้ปัจจบุ นั เก่ียวข้องกับความชัดเจนของจุดหมาย ของการศึกษาและความสอดคลอ้ งกับบริบทภายนอกท่ีมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การพลิกโฉม ผลลัพธ์การเรียนรู้ในอนาคตจึงควรพิจารณาการเปล่ียนแปลงอย่างรอบด้านท้ังทางสังคม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และการเมืองในมิติที่ลึกซึ้งย่ิงข้ึน และควรถอดบทเรียนจากผลลัพธ์การเรียนรู้ เก่า ประสบการณ์เดิม และลักษณะของการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและสังคมโลก เพ่ือออกแบบ ผลลัพธ์การเรียนรู้ท่ีมีความชัดเจน ตลอดจนสามารถนาไปสูก่ ารปฏิบัติและประเมินผลลพั ธ์การเรียนรู้ ไดอ้ ย่างเปน็ รูปธรรม จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับคุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ท่ีตอบสนอง การเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 เพ่ือเป็นหลักยึดในการออกแบบผลลัพธ์การเรียนรู้ คุณภาพคนไทยท่ีพงึ ประสงค์สามารถจัดกลุ่มเอกสารไดเ้ ป็น 2 กลุม่ คือ 1) ความหมายของคณุ ภาพคน
35 ไทยที่พึงประสงค์ท่ีตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 และ 2) กรอบคุณภาพคน ไทยทพี่ งึ ประสงคท์ ่ีตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 มีรายละเอยี ดดงั น้ี 2.1 ความหมายของคุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ที่ตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตใน ปี 2040 คุณภาพของคนท่ีตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 หมายถึง สมรรถนะ ของคนไทยที่สามารถตอบสนองการเปลยี่ นแปลงของโลกอนาคตใน 5 ด้าน คอื 1) ดา้ นสงั คม 2) ดา้ น เทคโนโลยี 3) ด้านเศรษฐกิจ 4) ด้านสิ่งแวดล้อม และ 5) ด้านการเมือง กล่าวคือความสามารถของ บุคคลที่นาไปสู่ความสาเร็จและมีศักยภาพในการเรียนรู้ท่ีสมบูรณ์หลากหลาย เท่าทันและตอบสนอง ต่อการเปล่ียนแปลงของอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี สง่ิ แวดล้อมและการศึกษา เพ่อื บรรลเุ ปา้ หมายตามความถนดั ของบคุ คล มีคณุ ภาพตามมาตรฐานสากล เพ่ิมข้ึนสามารถการแก้ปัญหา ปรับตัว สื่อสาร และทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิผลเพิ่มข้ึน มีความยืดหยุ่นต่อระบบการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย มีนิสัยใฝ่เรียนรู้อย่างต่อเน่ืองตลอดชีวิตการเรียนรู้ และตระหนักถึงความหลากหลายทางพหุปัญญาของตนเองและเพ่ือนมนุษย์ ท้ังนี้คุณภาพของคนท่ี ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตมีกรอบครอบคลุมในเชิงกว้าง (Umbrella term) ครอบรวมคาว่าสมรรถนะ ทักษะ และคุณลักษณะของบุคคลที่จะนาไปสู่ความสาเร็จของชีวิตใน อนาคตอยา่ งรอบด้านและมีคุณภาพ ในทางการศึกษา คณุ ภาพของคนดังกลา่ ว คือ สภาพของผู้เรยี นท่ี สามารถและพร้อมตอบสนองต่อสภาพแวดลอ้ มท่ีเปลย่ี นไปอย่างมพี ลวัต มีปฏิสัมพันธ์ เช่ือมต่อและมี ส่วนร่วม สามารถกากับการเรียนรู้ของตนได้และผสมผสานองค์ความรู้ที่เพ่ิมขึ้นและเปล่ียนแปลงเพื่อ ศักยภาพใหม่นามาใช้ต่อยอดในการประกอบอาชีพได้จริงก่อให้เกิดรายได้ มีความรู้ ทักษะ และ สมรรถนะที่เป็นท่ีต้องการของตลาดแรงงาน และมีพฤติกรรมและเจตคติการเรียนรู้ตลอดชีวิตท่ีนา ผู้เรียนไปสู่ความประสบความสาเร็จในชีวิตและสามารถมีบทบาทในสังคมอย่างเหมาะสม ซ่ึงคุณภาพ ของคนท่ีตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตสามารถเกิดข้ึนและพัฒนาได้ด้วยกระบวนการทาง การศึกษา การตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต หมายถึง ความสามารถในการเปล่ียนแปลง ตามกระแสการเปล่ียนแปลงที่พึงประสงค์ และความสามารถในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ พึงประสงคใ์ น 5 ด้าน คอื 1) ดา้ นสังคม 2) ด้านเทคโนโลยี 3) ดา้ นเศรษฐกิจ 4) ด้านส่ิงแวดลอ้ ม และ 5) ด้านการเมือง ซงึ่ การตอบสนองการเปลย่ี นแปลงของโลกอนาคตนี้ คอื การรองรบั และเตรียมพร้อม สาหรับการเปล่ียนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมโลกภายใต้กระแสเสรีนิยม (Liberalism) ท่ีเร่ิมตั้งแต่ ปลายคริสต์ศตวรรษท่ี 19 คริสต์ศตวรรษที่ 20 จนถึงปัจจุบันท่ีส่งผลให้เกิดการปฏิวัติและเปลี่ยน ทิศทางของการพฒั นาในระดบั โลก (Ball, 2012) แนวคดิ เสรนี ยิ มใหม่ (Neoliberalism) เปลีย่ นแปลง บทบาทของผู้ให้บริการการศึกษา (Education service provider) ตั้งแต่วิสัยทัศน์และกระบวนการ การจัดการศึกษา จนถึงเป้าหมายและคุณค่าของการศึกษา โดยการศึกษามีหน้าที่ในการเตรียมพร้อม ผู้เรียนให้มีศักยภาพเพียงพอสาหรับการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจและสังคมอย่างสร้างสรรค์และมี
36 ปริมาณมากพอสาหรับความต้องการของภาครัฐและเอกชน ท้ังนี้การศึกษาตามแนวคิดเสรีนิยมใหม่ เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการกาหนดและขับเคลื่อนทิศทางของการจัดการศึกษา อยา่ งเสรแี ละเปลี่ยนบทบาทใหภ้ าครฐั เป็นผู้ควบคุมคุณภาพการศึกษาด้วยการกาหนดตวั ช้ีวัดทางการ ศึกษา และกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน (Ball, 2012) หรือที่งานวิจัยนี้เรียกในเชิง กวา้ งวา่ “คณุ ภาพของคน” และ “คุณภาพผเู้ รียน” ในทางการศกึ ษา Nancarrow (2006) อธิบายนิยามของ “คุณภาพของผู้เรียน” ว่าเป็นสภาวะการเรียนรู้ที่นา ผู้เรียนไปสู่ความสาเร็จโดยตอบสนองกับประสบการณ์และส่ิงแวดล้อมรอบตัวเพ่ือให้เกิดประโยชน์ และเป็นไปตามเป้าหมายของการเรียนรู้ นิยามของพฤติกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวยังหมายถึง ความสามารถในการเลือกโดยคานึงถึงความเหมาะสมในการใช้ทักษะจากบริบทและบูรณาการทั กษะ การเรียนรู้ข้ามหมวดหมู่การเรียนรู้ (Learning domains) นิยามโดย Bloom et al. (1956) ที่ระบุ สามด้านหมวดหมู่การเรียนรู้ อันได้แก่ 1) ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ท่ีเกี่ยวข้องกับความรู้ (Knowledge) และกระบวนการคิด 2) ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) ที่เกี่ยวข้องกับ ทักษะ (Skill) การฝึกฝนและกิจกรรมทางกายภาพ และ 3) ด้านเจตพิสัย (Affective Domain) ทเ่ี กี่ยวขอ้ งกบั ความรสู้ ึก ทัศนะ (Attitude) คา่ นยิ ม (Value) อกี ทัง้ UNICEF (2000) กล่าวถึงผ้เู รียนที่ มีคุณภาพ ว่าเป็นบุคคลที่มีความพร้อมที่จะเรียนรู้ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ท้ังได้รับการสนับสนุนท่ี เหมาะสมจากสภาพแวดล้อมรอบตัว จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า “คุณภาพผู้เรียน” เก่ียวข้องกับ ความรู้ ทัศนะ และทักษะของผู้เรียนท่ียึดโยงกับประสบการณ์และสิ่งแวดล้อม และเก่ียวข้องกับ พฤตกิ รรมความสามารถที่หนุนนาให้ผเู้ รียนประสบความสาเร็จในชวี ติ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 องค์การเพ่ือความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ได้ศึกษาพฤติกรรม ความสามารถที่นาไปสู่ความประสบความสาเร็จในชวี ิตและสามารถมีบทบาทในสังคมอย่างเหมาะสม และได้นิยามคาว่า ‘สมรรถนะ (Competency)’ ซึ่งมีความหมายครอบคลุมท้ังความรู้ ทัศนะ และ ทักษะ โดยสมรรถนะ หมายถึง ความสามารถในการตอบสนองความต้องการท่ีซับซ้อนโดยใช้ ทรัพยากรทางปัญญาท่ีหลากหลาย ซ่ึงทรัพยากรในความหมายน้ี อ้างอิงถึงความรู้ ทักษะ และทัศนะ ของบุคคล (Rychen and Salganik, 2003) โดย OECD (2019) อธิบายว่า 1) ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ทฤษฎีและแนวคิดท่ีใช้เพ่ือเข้าใจและตอบสนองต่อเป้าหมายบนฐานของประสบการณ์ ความรู้แบ่งเป็น ความรู้ตามสาขาวิชา (Disciplinary) ความรู้บูรณาการข้ามสาขา (Interdisciplinary) ความรู้เชิงญาณวิทยา (Epistemic) และความรู้เชิงกระบวนการ (Procedural) 2) ทักษะ (Skill) หมายถึง ความสามารถและศักยภาพในการใช้กระบวนการและความรู้เพ่ือตอบสนองต่อเป้าหมาย ทักษะแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ทักษะทางปัญญาและอภิปัญญา (Cognitive and metacognitive skill) ทักษะทางสังคมและอารมณ์ (Social and emotional skill) และทักษะทางการปฏิบัติและ ร่างกาย (Practical and physical skill) และ 3) ทัศนะและค่านิยม (Attitudes and values) หมายถึง หลักความเช่ือที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ พฤติกรรม และการกระทา ตามแต่ปัจจัยทางบุคคล
37 สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อขยายความเข้าใจความเหมือนต่างระหว่างคาว่าสมรรถนะ ความรู้ ทักษะ และทัศนะ ผู้วิจัยจึงนาตัวอย่างกล่าวโดย Rychen and Salganik (2003) มาแสดง ความสามารถใน การส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นสมรรถนะเพราะผู้ที่สื่อสารใช้ทรัพยากรความรู้ทางภาษา ทรัพยากรทักษะทางเทคโนโลยีสื่อสาร และทรัพยากรทัศนะที่มีต่อผู้ที่ต้องการสื่อสารด้วย ในทานอง เดียวกัน สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา (2019) กล่าวว่า สมรรถนะเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกถงึ ความสามารถของบุคคล ในการประยุกต์ใช้ความรู้ และทักษะต่าง ๆ ในการทางาน การใช้ชีวิต และ การแก้ปัญหา และได้นาสมรรถนะมาบรรจุในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐานฉบับปัจจุบัน เพ่ือเป็นจุดมุ่งหมายของการจัดการเรียนรู้ พร้อมกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน Drachsler and Kirschner (2012) ได้อภิปรายความหมายของ ‘คุณลักษณะของผู้เรียน (Learner characteristics)’ ว่าเป็นลักษณะธรรมชาติท่ีสร้างและเกิดขึ้นได้จากกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความ ต่อเนอ่ื ง หลากหลาย และเปน็ ทศิ ทางเดียวกัน ดงั นนั้ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์เปน็ ลักษณะท่ีต้องการ ให้เกิดข้ึนกับผู้เรียนระหว่างและหลังจากการจัดการเรียนรู้ ซึ่ง Drachsler and Kirschner ได้จาแนก คณุ ลกั ษณะของผู้เรียนออกเปน็ 4 แบบ ไดแ้ ก่ 1) คณุ ลกั ษณะทางบคุ คล (Personal characteristics) ท่ีเก่ียวข้องกับ เพศ อายุ และสถานะ 2) คุณลักษณะทางวิชาการ (Academic characteristics) ท่ีเกี่ยวข้องกับเป้าหมายการเรียน ความรู้ท่ีต้องการ 3) คุณลักษณะทางสังคมและอารมณ์ (Social/ emotional characteristics) ที่เก่ียวข้องกับความสามารถทางสังคม การรู้เท่าทันตนเอง และ 4) คุณลักษณะทางปัญญา (Cognitive characteristics) ท่ีเก่ียวข้องกับความสามารถในการคิด ประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ที่หลากหลาย จากท่ีกล่าวมาจะเห็นได้ว่าสมรรถนะ ทักษะ และคุณลักษณะ มีความหมายทับซ้อนและ แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้นิยาม ความชัดเจนของกรอบความหมาย ช่วงเวลาที่นิยาม ความหมาย ในปัจจุบันคาว่าสมรรรถนะได้ถูกนามาใช้อย่างแพร่หลายรวมไปถึงถูกนามาใช้ในวงการ การศกึ ษา ซึ่ง Rychen and Salganik (2003) และสานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา (2019) นยิ าม ‘สมรรถนะการเรียนรู้’เป็นความสามารถในการใช้ความรู้ ทักษะ และทัศนะเพ่ือบรรลุเป้าหมาย ซ่ึงมีความแตกต่างกับคาว่า ‘คุณภาพผู้เรียน’ ของ Nancarrow (2006) และ UNICEF (2000) ที่หมายถึง พฤติกรรมและความพร้อมท่ีตอบสนองต่อประสบกาณ์และส่ิงแวดล้อม โดยใช้ความรู้ ทักษะ และทัศนะเพื่อบรรลุเป้าหมายและหนุนนาความสาเร็จในชีวิต อีกทั้งคุณภาพผู้เรียนยัง สอดคล้องกับความหมายของ ‘คุณลักษณะของผู้เรียน’ ของ Drachsler and Kirschner (2012) ซง่ึ หมายถงึ ลักษณะอนั เกดิ จากการเรยี นรู้ทีต่ ่อเนื่อง จนเกิดเปน็ ธรรมชาตพิ ฤติกรรมของผเู้ รยี น ดังน้นั การทบทวนวรรณกรรมในการศึกษาน้ี จึงใช้คาว่า ‘คุณภาพของคน’ เพ่ือให้ความหมายครอบคลุมใน เชิงกว้าง (Umbrella term) ครอบรวมสรรมถนะ ทักษะ และคุณลักษณะของบุคคลท่ีนาไปสู่ ความสาเร็จในชีวิต กระแสการเปล่ียนแปลงท่ีกล่าวส่งผลให้หลากหลายประเทศได้ปฏิรูปนโยบาย หน้าที่ และ จุดประสงค์ของการจัดการศึกษาเพ่ือปรับให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมโลกอย่างเป็นรูปธรรม
38 ดังนั้น ‘คุณภาพของคนท่ีตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต’ เป็นส่ิงสาคัญในการเตรียมพร้อม บคุ คลสาหรบั การเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 ดังทไ่ี ด้อภิปรายในช่วงที่ 1 ทงั้ น้กี ารกาหนด คุณภาพของคนควรสะท้อนและตอบรับความต้องการของการศึกษาทุกระดับและปัจจัยภายนอกท่ี เป็นสาเหตุการเปลี่ยนแปลง (Kaufman, 2000) การออกแบบระบบการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพจะ เกิดขึ้นจากการมีวิสัยทัศน์ของคุณภาพของคนท่ีชัดเจนเป็นรูปธรรมนาไปปฏิบัติได้ รวมท้ังสอดคล้อง กับเป้าหมายของการศกึ ษาและนโยบายของประเทศ 2.2 กรอบคณุ ภาพคนไทยทีพ่ ึงประสงคท์ ต่ี อบสนองการเปลย่ี นแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับคุณภาพคนไทยที่พึงประสงค์ท่ีตอบสนอง การเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 สามารถจัดกรอบ “คุณภาพคน” ตามมุมมองเชิงทฤษฎี ไดเ้ ป็น 3 กลมุ่ ประกอบดว้ ย สมรรถนะ ทกั ษะ และเจตคติ มรี ายละเอยี ดดงั น้ี 2.2.1 สมรรถนะ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2019) ได้กาหนด 10 สมรรถนะหลักสาหรับผู้เรียน ระดับการศึกษาขั้นพน้ื ฐานและระดบั ประถมศกึ ษาตอนตน้ ซ่งึ ประกอบดว้ ย 1) ภาษาไทยเพ่ือการสื่อสาร (Thai Language for Communication) เป็นความสามารถ ในการใช้ภาษาไทย เปน็ เคร่ืองมือในการตดิ ต่อเก่ยี วข้องกบั บุคคลรอบตัว ผ่านการฟงั ดู พดู อ่าน และ เขียน เพ่อื รับ แลกเปลีย่ น และถา่ ยทอดขอ้ มูล ความรู้ ความรู้สกึ นกึ คดิ 2) คณิตศาสตร์ในชีวิตประจาวัน (Mathematics in Everyday Life) เป็นการบูรณาการ เนื้อหาสาระของคณิตศาสตร์กับอีกหลาย ๆ สาขาวิชาเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่าง มคี วามหมาย เปน็ การนาความรู้ไปเช่ือมกบั ปัญหา สถานการณใ์ นชวี ติ ประจาวนั ทผ่ี ู้เรยี นพบ 3) การสืบสอบทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry and Scientific Mind) เป็นความสามารถ ในการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อการแสวงหาความูร้หรือคาตอบที่ ตอ้ งการ 4) ภาษาองั กฤษเพือ่ การส่ือสาร (English for Communication) เปน็ ความสามารถใช้ภาษาองั กฤษ ใน การรับสาร และการส่งสาร การมีปฏิสัมพันธ์ มีกลยุทธ์ในการติดต่อส่ือสาร สามารถสื่อสารได้ ถูกต้องเหมาะสมกับบรบิ ททางสงั คมและวัฒนธรรม มีเจตคตทิ ด่ี ตี อ่ การเรียนรู้และการใช้ภาษาอังกฤษ 5) ทักษะชีวิตและความเจริญแห่งตน (Life Skills and Personal Growth) เป็นในการใช้ ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และมีความสุข โดยการน้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ สร้างความสมดุลและพอดีในการใช้ชีวิต มีการรู้จักตนเองทั้งจุดเด่น และ จุดบกพร่องและนามาใช้ใน การกาหนดเป้าหมายของชีวิต 6) ทักษะอาชีพและการเป็นผู้ประกอบการ (Career Skills and Entrepreneurship) เป็น ความสามารถของบุคคล ท่ีมุ่งเน้นการสร้างความพร้อมสาหรับการทางาน การประกอบอาชีพ และ เปน็ ผู้ประกอบการท่เี กอ้ื กลู สังคม
39 7) ทักษะการคิดข้ันสูงและนวัตกรรม (Higher-Order Thinking Skills and Innovation) เป็นความสามารถในการดาเนินการคิดเพื่อให้ได้คาตอบ หรือผลลัพธ์ท่ีต้องการ โดยใช้การแก้ปัญหา เป็น และการคิดสร้างสรรค์ เพื่อมุ่งไปที่ความเข้าใจเหตุและผลของปัญหา การแก้ปัญหาให้ได้ผล จะตอ้ งหาต้นเหตุของปัญหานน้ั อยา่ งยืนหยุ่น 8) การรู้เท่าทันส่ือ สารสนเทศ และดิจิทัล (Media, Information and Digital Literacy : MIDL) เปน็ ความสามารถในการเขา้ ถึง เขา้ ใจ สรา้ ง และใช้สอื่ สารสนเทศและเทคโนโลยีดจิ ทิ ัลเพอ่ื การ เรียนรู้และ ใช้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างรู้เท่าทันตนเอง รู้เท่าทันส่ือและรู้เท่าทัน สงั คม 9) การเป็นพลเมืองท่ีเข้มแข็ง /ต่ืนรู้ที่มีสานึกสากล (Active Citizen with Global Mindedness) เป็นพลเมืองที่ตระหนักในศักยภาพของตนเองศรัทธาและเช่ือในศักด์ิศรีความเป็น มนุษย์การอยู่รวมกันท่ามกลางความหลากหลาย มีความรู้ความสามารถเชิงการเมืองท่ีเอ้ือ ให้สามารถ อย่รู ว่ มกันและปกครองกันเองภายใต้ระบอบประชาธปิ ไตย อันมพี ระมหากษัตรยิ ท์ รงเป็นประมุข 10) การทางานแบบรวมพลังเป็นทีมและมีภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork & Leadership) สมรรถนะดังกล่าวเป็นการร่วมกันทางานตามบทบาท เพ่ือให้บรรลุเป้าหมายท่ีกาหนด ร่วมกัน อีกทั้งส่งเสริม บ่มเพาะความสัมพันธ์ทางบวก ท้ังเป็นลักษณะของบุคคลท่ีสามารถแก้ปัญหา และใช้มนุษย์สัมพันธ์ท่ีดีเพ่ือช้ีแนะแนวทางให้ไปสู่เป้าหมายและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อ่ืนได้พัฒนา ตนเองและนาจดุ เดน่ ของแตล่ ะคนมาใช้ปฏิบตั ิงาน OECD (2019) ได้นิยาม 3 สมรรถนะการเรียนรู้ในการเปลี่ยนแปลง (Transformative Competencies) สาหรบั ปี 2030 ซ่ึงประกอบกอบด้วย 1) สมรรถนะการสร้างค่านิยมใหม่ (Creating new value) ความสามารถในการสร้าง นวัตกรรมเพ่ือพัฒนาคุณภาพชีวติ สร้างงานอาชพี ใหม่ สร้างองค์ความรู้และกระบวนการใหม่ด้วยการ มองนอกกรอบ ทัง้ สามารถดาเนินงานร่วมกับผู้อ่ืน และสร้างคุณค่าตอบสนองสถานะปัจจุบัน (Status quo) ของตนเองและสังคม 2) สมรรถนะการประนีประนอมความตึงเครียดและปัญหา (Reconciling tensions and dilemmas) ความสามารถในการปฏิสัมพันธ์และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองแนวคิดท่ีขัดแย้งกัน ซึง่ ตอ้ งอาศัยการคดิ อย่างมเี หตุผล การวางตวั ท่เี หมาะสม และการพจิ ารณาแนวทางปฏบิ ัติทง้ั ในระยะ ส้นั และระยะยาว พร้อมพฒั นาความเข้าใจเชิงลกึ ของฝ่ายท่ีมคี วามคดิ ขดั แย้ง 3) สรรถนะความรับผิดชอบ (Taking responsibility) ความสามารถในการเชื่อม ความสามารถเพื่อตอบสนองและประเมินการเรยี นรูแ้ ละการปฏบิ ัตขิ องตน โดยคานึงถงึ หลักจริยธรรม และเป้าหมายของสงั คม Cannon et al (2015) ไดเ้ สนอโมเดลสมรรถนะความเปน็ ผนู้ า (Leadership Competency Models) สาหรับการสร้างและพัฒนาผู้นาในองค์กรแห่งอนาคต ซ่ึงประกอบด้วย 7 สมรรถนะหลัก ดงั นี้
40 1) มีความเป็นมืออาชีพและอ่อนน้อมถ่อมตน (Professionally humble) ให้ความสาคัญ และยึดมั่นกับอุดมการณ์ของตนเองและส่วนรวม ให้ความสาคัญกับผลลัพธ์ขององค์กรมากกว่า ภาพลักษณ์ของตัวเอง ให้อิสระและความสุขในการทางาน ให้เกรียติและรับรู้ถึงผลงานของผู้ทางาน ยึดในหลักทถ่ี กู ต้องและไม่ยดึ ถือถึงประโยชน์สว่ นตน 2) มีความมงุ่ มัน่ แน่วแน่ตอ่ การทาในสิ่งทถ่ี กู (Unwavering commitment to right action) มีความยึดม่ันและต่อเน่ืองในการดาเนินงานเพ่ือไปสู่เป้าหมายตามอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ ทางานอย่างเต็ม ศกั ยภาพและตัง้ ใจ มองการณ์ไกลและรับฟัง มคี วามอดทนต่อสถานการณ์ความกดดัน 3) เป็นนกั คดิ 360 องศา (A 360 degree thinker) มคี วามสามารถในการเข้าใจถึงธรรมชาติ ของระบบ เข้าใจขอ้ จากดั เข้าใจและรับรู้ถึงผลกระทบของยุทธศาสตร์และการตัดสนิ ใจ ท้ังผลกระทบ ระยะส้นั ระยะยาว ทางตรงและทางอ้อม มคี วามสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบโดยพจิ ารณาบริบท ขององค์กรและสามารถเปลี่ยนผลกระทบให้เป็นโอกาส สร้างความสมดุลภายในองค์กร สร้างองค์กร แห่งการเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรบุคคลอย่างต่อเนื่อง เข้าใจความเช่ือมโยงภายในและภายนอก องคก์ รเพื่อการดาเนนิ การบนพืน้ ฐานของข้อมูลความเป็นจริง 4) แสวงหาความรู้อย่างหลากหลาย (Intellectually versatile) มีแรงบันดาลใจและความ สนใจที่จะเรียนรู้และค้นพบความรู้ใหม่นอกเหนือขอบเขตความรู้เดิม ให้ความสนใจกับการพัฒนา ประเทศ การเมือง และการพัฒนาของนานาชาติ ใช้ความสนใจใหม่ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตอย่าง สมดลุ 5) เข้าใจสถานการณ์จริงและไตร่ตรองสูง (Highly authentic and reflective) เปิดรับต่อ ความคิดเห็นของผู้อื่น สร้างบทสนทนาเพ่ืออภิปรายความเห็น แม้อยู่ในสถานการณ์ท่ีไม่สะดวก ให้ ความสาคัญต่อการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้ของผู้อ่ืน สามารถควบคุมอารมณ์ได้ในทุกสถานการณ์ เพื่อให้เกดิ ผลลพั ธท์ ด่ี ตี ่อทกุ ฝ่าย จัดการความเวลา อปุ สรรค และแรงกดดนั เพื่อให้สามารถดาเนนิ การ ตามวิสัยทัศน์ได้ มีความกล้าท่ีจะเผชิญสถานการณ์ท่ีท้าทาย และมองหาวิธีการใหม่ท่ีช่วยพัฒนา ศักยภาพเพอ่ื บรรลเุ ป้าหมายองคก์ รได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพอยา่ งต่อเนื่อง 6) สามารถสร้างแรงบนั ดาลใจแกผ่ ู้ตาม (Able to inspire followership) มคี วามสามารถใน การเช่ือมโยงคนทุกระดับเพื่อสร้างวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วมกัน ทั้งเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและ สามารถจัดการการเปลี่ยนแปลงเพ่ือให้องค์กรมีภูมิคุ้มกันต่อการเปล่ียนแปลง มีความสามารถในการ บรรเทาความขัดแย้ง และอานวยความสะดวกให้แก่คนในองค์กร พร้อมเข้าใจถึงแรงผลักดันในการ ทางานและพัฒนาของคนในองค์กร เชื่อมเป้าหมายการทางานส่วนรวมกับเป้าหมายส่วนตัวเพ่ือร่วม กา้ วขา้ มอปุ สรรค และสามารถใหค้ าแนะนาแก่ผอู้ ่ืนเพือ่ พัฒนาอย่างสุภาพและมีคุณคา่ 7) สามารถทางานร่วมมือได้โดยธรรมชาติ (Innately collaborative) เปิดรับความร่วมมือ เพ่ือค้นหาวิธีการแก้ปัญหาและกระบวนการดาเนินงานใหม่ ๆ ท่ีเน้นการทางานอย่างมีส่วนร่วม มีความสามารถในการวิเคราะห์มุมมองท่ีหลากหลายและเข้าใจรับรู้คุณค่าของความคิดเห็นที่หลาย
41 หลาย สร้างวิธีการใหม่ท่ีอาจไม่เคยมีมาก่อนเพ่ือตอบโจทย์ท่ีซับซ้อน สร้างเครือข่ายการทางานอย่าง สร้างสรรค์ และเขา้ ใจถงึ ความสาคญั และความคิดเห็นของผู้มสี ว่ นเกยี่ วข้องทห่ี ลากหลาย 2.2.2 ทักษะ World Economic Forum (2020) ไดอ้ อกแบบกรอบการจัดการศึกษา 4.0 เพ่ือเปน็ แนวทาง ให้โรงเรียนจัดการศึกษาท่ีตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ภายในกรอบแนวคิด ดังกล่าวประกอบด้วย 4 ทักษะ ซ่ึงมีสองทักษะที่สอดคล้องกับขอบเขตของคุณภาพของผู้สามารถ เปล่ียนตามกระแสการเปลี่ยนแปลง ซง่ึ ได้แก่ 1) ทักษะการเป็นพลเมืองโลก (Global citizenship skills) ท่ีส่งเสริมผู้เรียนให้ตระหนักรู้ เก่ียวกับโลกภายนอก เข้าใจและเช่ือมโยงประเด็นของโลก (global issues) และเป็นส่วนหน่ึงในการ รบั ผดิ ชอบต่อสังคมโลก 2) ทักษะการส่ือสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Skills) ท่ีสร้างความตระหนักรู้ความ หลากหลายทางสงั คมและวัฒนธรรม สง่ เสรมิ ความฉลาดทางอารมณ์ McKinsey Global Institute (2018) ได้ศึกษาทักษะท่ีจ ะเป็นที่ต้ อง การในยุ ค ข อ ง ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เข้ามามีบทบาทในการโลกของการทางานและในการ ดาเนินชีวิต พร้อมอธิบายแนวโน้มของทักษะท่ีแรงงานควรให้ความสาคัญเพื่อสร้างโอกาสงานใน อนาคต ผู้ศึกษาได้จาแนกกลุ่มทักษะที่เป็นที่ตอ้ งการในยุคของปัญญาประดิษฐอ์ อกเป็น 5 กลุ่มทักษะ ทักษะ ซึ่งมีสองทักษะที่สอดคล้องกับขอบเขตของคุณภาพของผู้สามารถเปล่ียนตามกระแสการ เปล่ยี นแปลง ซ่ึงได้แก่ 1) ทักษะพ้ืนฐานทางปัญญา (Basic cognitive skills) ซึ่งประกอบไปด้วย ความสามารถทาง ภาษา การส่อื สาร คณติ ศาสตร์ และกระบวนการการทางาน 2) ทักษะทางกายภาพและฝีมือ (Physical and manual skills) ซ่ึงประกอบไปด้วยความใน การดแู ลควบคุมและใช้งานเทคโนโลยี และความสามารถในงานการบรกิ ารและดแู ลผใู้ ชบ้ รกิ าร วรคามิน และคณะ (2019) ได้ศึกษาทักษะในอนาคตของกาลังแรงงานในประเทศไทย เพื่อ ศึกษาชุดทักษะของกาลังแรงงานไทยใน 3 ช่วงเวลา ได้แก่ ช่วงการพัฒนา AI (2020 – 2029) ช่วง ทางานร่วมกับ AI (2030 – 2059) และช่วงอยู่กับ AI (2050 –2060) ผ่านเทคนิค Delphi analysis และ PESTEL Analysis โดยผลการศึกษาทักษะที่สอดคล้องกับขอบเขตของคุณภาพของผู้สามารถ เปลีย่ นตามกระแสการเปลยี่ นแปลงประกอบดว้ ย 1) ความฉลาดทางเทคโนโลยีและสังคม (Mobile technology/social intelligence) 2) การจัดการขอ้ มูลเชงิ ปัญญา (Cognitive information management) 3) ภาษาคอมพวิ เตอร์ (Coding/programming language) 4) ทัศนะคติทย่ี ืดหย่นุ (Change mind-set) 5) เทคโนโลยีสขุ ภาพ (Bio-wellness) 6) ทกั ษะสะเตม็ ขน้ั สูง (Advanced STEM skills)
42 7) ความรู้ SMAC ประกอบด้วย ความรู้ทางสังคม (social) อุปกรณ์พกพา (mobile) การ วิเคราะห์ (analytics) และ ฐานข้อมลู ออนไลน์ (cloud) 8) การเขียนโปรแกรมและระบบอัลกอรทิ ึม (Programming and algorithms) 9) ความรสู้ ือ่ ใหม่ (New media literacy) 10) การจัดการเวลา (Time management) 11) การพฒั นาทักษะ (Updating skills) 12) การทางานรว่ มกับปญั ญาประดษิ ฐ์และหนุ่ ยนต์ (Working with AI / robotic) 13) การทางานร่วมกันและความร่วมมือผ่านระบบสื่อสารเสมือนจริง (Co-working and virtual collaboration) Bakhshi et al (2017) ได้ศึกษาทักษะแห่งการทางานในอนาคตปี 2030 ของสหรัฐอเมริกา และประเทศองั กฤษ ผลการศกึ ษาพบว่าทักษะที่สาคญั จาเป็น คอื 1) ทักษะทางปัญญาขั้นสูง (Higher-order cognitive skills) เป็นการคิดวิเคราะห์และ แกป้ ัญหาโดยใชอ้ งคค์ วามรูเ้ ฉพาะสาขาหรือทเ่ี กีย่ วข้องมาเปน็ ส่วนในการคิดตดั สนิ ใจ 2) ทักษะการสื่อการระหว่างบุคคล (Interpersonal skills) เป็นความสามารถในการเข้าใจ บริบทของสังคมเพื่อนาไปเป็นประโยชน์ในการสื่อสารหรือต่อรองอย่างสร้างสรรค์เพ่ือให้เกิด การขับ เคลอื่ นท่ดี ใี นการทางาน ทงั้ ยงั ต้องเขา้ ใจหลกั จิตวิทยาและมคี วามรเู้ กี่ยวกบั เรื่องทีส่ ่ือสาร 3) ทักษะการส่งเสริมคุณภาพแบบองค์รวม (Complementary skills) เป็นความสามารถใน การเข้าใจและกาหนดทักษะที่จาเป็นสาหรับตนเอง และช่วยให้บูรณาการระหว่างทักษะต่างแบบเป็น องค์รวมในเชิงปฏิบัติได้ เช่น การเข้าใจการใช้ทักษะการตัดสินใจ การออกแบบเทคโนโลยี และการ บริการลูกคา้ มาปรับในงานออกแบบการจัดการเทคโนโลยีบรกิ าร เป็นต้น World Economic Forum (2020) ได้ออกแบบกรอบการจัดการศึกษา 4.0 ที่ประกอบด้วย 4 ทักษะเพ่ือตอบรับกับการเปล่ียนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ซ่ึงอีกสองทักษะมีความสอดคล้อง กบั ขอบเขตของคณุ ภาพของผสู้ รา้ งการเปลี่ยนแปลงท่พี ึงประสงค์ ซง่ึ ได้แก่ 1) ทักษะแห่งนวัตกรรมการความคิดสร้างสรรค์ (Innovation and creativity skills) ท่ีสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น ความสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การ แกป้ ญั หา และวเิ คราะห์อย่างเป็นระบบ ผ่านการเรียนเชิงปฏบิ ตั ิ (active learning style) 2) ทักษะทางเทคโนโลยี (Technology skills) ที่ส่งเสริมความสามารถในการใช้ ICT ให้เกิด ประโยชน์ ส่งเสริมการคิดเชิงองค์รวม (Computational thinking) โดยบูรณาการวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์เพื่อสร้างความเข้าใจและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital literacy) ท้ังสร้างความ ตระหนักรู้เกี่ยวกับความรับผิดชอบต่อเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดการศึกษาควรช่วยให้ผู้เรียนมี ความสัมพนั ธแ์ ละเจตคติทด่ี ีต่อเทคโนโลยเี ขา้ ใจความเสย่ี งและความปลอดภัยของขอ้ มูลดจิ ิทลั ซง่ึ สองทักษะของ World Economic Forum (2020) สอดคล้องกบั การศึกษาของ Rivas et al (2018) ทีเ่ นน้ ย้าถงึ ความสาคัญของทักษะการคิดสรา้ งสรรค์ ทักษะทางเทคโนโลยีข้นั สงู และทักษะ
43 ทางดิจิทัลระยะยาว นอกจากทักษะทางปัญญาข้ันสูงจะได้รับการเน้นย้าโดย Bakhshi et al (2017) แล้ว McKinsey Global Institute (2018) ที่ได้ศึกษาทักษ ะท่ี จะเ ป็นท่ี ต้อ งการ ใ นยุ ค ข อ ง ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เน้นย้าถึงความสาคัญของทักษะทางปัญญาขั้นสูงและ ทักษะทางเทคโนโลยี และยังได้กล่าวเพิ่มถึงทักษะทางสังคมและอารมณ์ (Socio and emotional skills) ว่าเป็นทักษะท่ีจาเป็นในโลกแห่งอนาคตอีกด้วย McKinsey Global Institute (2018) ได้ อธิบายทงั้ 3 ทักษะดงั นี้ 1) ทักษะทางปัญญาขั้นสูง (Higher cognitive skills) ที่ประกอบด้วยทักษะทางภาษาขั้นสูง การคานวณเชิงสถิติ การคิดวิเคราะห์และคัดสินใจ ความสามารถในการจัดการ การประมวลผลและ แปลผลข้อมลู ทซ่ี ับซ้อน และความคดิ สร้างสรรค์ 2) ทักษะทางเทคโนโลยี (Technological skill) ท่ีประกอบด้วยทักษะทางดิจิทัล ทักษะทาง ไอทีและคอมพิวเตอร์โปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยี การออกแบบทางเทคโนโลยี และทักษะการวจิ ัยและพัฒนา 3) ทักษะทางสังคมและอารมณ์ (Social and emotional skills) ประกอบด้วยทักษะการ ส่ือสารและเจรจา ความเห็นอกเห็นใจ ความเป็นผู้นาและความเป็นผู้ประกอบการ ความสามารถใน การปรับตวั และเรียนรู้อยา่ งต่อเนื่อง ความสามารถในการถา่ ยทอดความรู้ วรคามิน และคณะ (2019) ได้ศึกษาทักษะในอนาคตของกาลังแรงงานในประเทศไทยจากท่ี กล่าวไปในหัวข้อที่ 2.2.2 ซึ่งชุดทักษะท่ีมีความสอดคล้องกับคุณภาพของผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง ที่พึงประสงค์ ได้แก่ 1) ความสามารถในการปรบั ตวั (Adaptability) 2) การคิดเชงิ ออกแบบ (Design thinking) 3) การปรับทกั ษะเพ่ือการเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ (Reskill for Lifelong learning) 4) ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) 5) ทกั ษะทางเทคโนโลยี (Technological skills) 6) ทกั ษะทางสังคมและอารมณ์ (Social & emotional skills) 7) การบูรณาการขา้ มสาขาวชิ า (Jump across specialist knowledge) 8) ความเป็นผ้ปู ระกอบการ (Entrepreneurship) 9) ทักษะการวิเคราะห์ (Analytical skill) 10) การสรา้ งคุณคา่ (Value creation) 11) ทกั ษะมนุษย์ (People Skills) International Telecommunication Union (2019) ได้สร้างชุดพัฒนาทักษะทางดิจิทัล เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะทางดิจิทัลให้แก่องค์กรภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการ การศึกษาได้แบ่งทักษะทางดิจิทัลเป็นสามระดับ ได้แก่ ระดับพื้นฐาน ระดับกลาง และระดับสูง ซ่ึงท้ัง สามระดับมีความสมั พนั ธ์ยดึ โยงซง่ึ กนั และกนั International Telecommunication Union ได้เสนอ
44 ชุดทกั ษะ ผูป้ ระกอบการเชิงดจิ ิทัล (Digital entrepreneurs) ที่สง่ เสริมการบูรณาการทักษะผู้ประกอบการ และความรู้ทางดิจิทัลและเทคโนโลยี อาทิเช่น สื่อสังคม (Social media) การวิเคราะห์ข้อมูลขนาด ใหญ่ (Big data analytics) การสร้างและจัดการข้อมูลแบบเคล่ือนท่ีและออนไลน์ (Mobile and cloud solutions) การเพื่อขบั เคล่ือน จดั การ และพฒั นาองค์กรอย่างเป็นระบบ ในการส่งเสริมความ เป็นผปู้ ระกอบการเชิงดิจิทัล (Digital entrepreneurs) ตอ้ งพิจารณาสามชุดทักษะ ดงั น้ี 1) ชุดทักษะที่ไม่ใช่ดิจิทัล (Non-digital skill-sets) เช่น ความรู้ความสามารถทางธุรกิจ การเงิน และภาษี ความเป็นผู้ประกอบการ ความสามารถในการปรับตัว การคิดวิเคราะห์ การกล้า เผชิญความเสย่ี ง เป็นตน้ 2) ชุดทักษะดิจิทัล (Digital skill-sets) เช่น การตลาดออนไลน์ การพัฒนาเว็บไซต์ การ พฒั นาแอปพลิเคชัน การวเิ คราะหข์ ้อมูลขนาดใหญ่ การทางานออนไลน์ เป็นตน้ 2.2.3 คณุ ลกั ษณะ Komives and Wanger (2017) ได้เสนอและอภิปรายคุณค่า 7Cs สาหรับการสร้างการ เปล่ียนแปลงภายใต้โมเดลการเปล่ียนแปลงสังคมของการพัฒนาความเป็นผู้นา (Social Change Model of Leadership Development) เพื่อสร้างความเข้าใจและวิธีการพัฒนาศักยภาพความเป็น ผู้นาอย่างเป็นรูปธรรม ซ่ึง Komives and Wanger ได้แบ่งคุณค่าออกเป็น 3 มิติ ได้แก่ 1) คุณค่าต่อ ตนเอง 2) คณุ ค่าต่อสว่ นรวม และ 3) คุณค่าตอ่ สงั คมหรอื ชุมชน กล่าวคอื โมเดลการเปล่ยี นแปลงสังคม นี้เป็นประโยชน์ต่อบคุ คลท่ีต้องการพัฒนาความเป็นผ้นู าการเปล่ียนแปลงทางสังคม กล่มุ คนที่ตอ้ งการ พัฒนากระบวนการการพัฒนาความเป็นผู้นา และสังคมและชุมชนท่ีต้องการมีส่วนร่วมในการสร้าง การเปล่ียนแปลง คุณคา่ 7Cs ประกอบดว้ ย 1) การมีจิตตระหนักรู้ในตนเอง (Consciousness of Self) การพัฒนาคุณค่าการมีจิตสาจิต ตระหนักรู้ในตนเองเกี่ยวข้องความความตระหนักรู้ของความเช่ือ ค่านิยม ทัศนคติ และอารมณ์ใน ระดับบุคคล คุณค่าน้ีส่งเสริมให้ตระหนักรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของตนเองที่กระทบโดยปัจจัย ภายนอก มีความเปิดรับและเข้าใจการเปล่ียนแปลง รวมถึงมีความสามารถในการประเมินตนเองและ การรับฟงั ความเหน็ ของผู้อนื่ 2) ความสอดคล้องเข้ากัน (Congruence) ความสอดคล้องเข้ากันเก่ียวข้องกับการคิดความ เชอ่ื และการกระทาของบุคคลที่เป็นไปในทศิ ทางเดยี วกัน กล่าวคือมคี วามสามารถในการระบุความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ และอารมณ์ของตนเอง แล้วปฏิบัติหรือแสดงออกอย่างสอดคล้องกับความเชื่อ ค่านยิ ม ทัศนคติ และอารมณ์ คณุ ค่านี้ส่งเสริมความสามารถในการประเมินตนเองอย่างต่อเน่ืองและมี ทิศทาง ความสามารถในการทางานโดยมีเป้าหมายร่วมกับผู้อื่น และเคารพในคุณค่าและความเชื่อท่ี แตกต่าง 3) ความมุ่งมั่น (Commitment) ความมุ่งม่ันเกี่ยวข้องกับแรงพลักดันภายใน (Intrinsic passion) พลังงานและการลงมือทาอย่างมีความหมาย และความต้องในการมีส่วนร่วมในการ
45 เปลี่ยนแปลงสังคม คุณค่าน้ีส่งเสริมให้บุคคลเข้าใจถึงแรงขับเคลื่อนของตนเองท่ีจะสามารถนาไป เปลีย่ นแปลงสังคมด้วยการมสี ่วนร่วมที่ตอ่ เนอ่ื งและการสละเวลาและพลงั เพ่ือบรรลผุ ลทค่ี าดหวัง 4) ความมสี ว่ นรว่ ม (Collaboration) ความมสี ว่ นรว่ มเกยี่ วข้องกับความพยายามของกลุ่มคน ท่ีจะสร้างความสัมพันธ์และความเข้มแข็งระหว่างบุคคลเพ่ือสนับสนุนซ่ึงกันและกันในกระบวนการ สร้างการเปล่ียนแปลง คุณค่าน้ีส่งเสริมการทางานร่วมกับผู้อ่ืนอย่างมีความหมาย มีผลประโยชน์ร่วม สร้างแนวทางการแก้ไขปัญหาสังคมท่ีหลายหลายและสร้างสรรค์ สร้างความรับผิดชอบและความเปน็ เจ้าของร่วมกันในการทางานเพื่อสังคม ท้ังยังสร้างความเชื่อใจระหว่างบุคคลและพัฒนาทักษะการ สอื่ สารทีส่ ะท้อนมาจากการสนทนาของกลุ่ม 5) การมีจุดประสงค์ร่วม (Common Purpose) การมีจุดประสงค์ร่วมเสริมสร้างความมสี ่วน ร่วมภายในกลุ่มทุกระดับในการรับผิดชอบร่วมกันต่อเป้าหมาย คุณและวิสัยทัศน์ของกลุ่ม สนับสนุน ความเช่ือใจกันภายในกลุ่ม คุณค่านี้ยังพัฒนาความสามารถในการกาหนดเป้าหมายร่วมกัน ทักษะใน การตัดสนิ ใจ ความสามารถในการทางานร่วมกบั ผู้อนื่ 6) ความแสดงความเห็นต่างด้วยความเคารพ (Controversy with Civility) ความแสดง ความเห็นต่างด้วยความเคารพเก่ียวข้องกับการช่วยในการทางานเป็นทีมเดินไปข้าวหน้ าได้อย่าง สรา้ งสรรค์ เปดิ กวา้ ง และมวี จิ ารณญาณ เพราะความเปน็ จริงในการทางานรว่ มกนั อาจมีความคิดและ มุมมองท่ไี มต่ รงกนั คณุ คา่ นีใ้ หค้ วามสาคญั กบั ความคดิ ที่วา่ มมุ มองทห่ี ลากหลายสามารถนาไปสู่คุณค่า ของกลุ่มคนได้ และคุณค่านี้ส่งเสริมความสามารถในการส่ือสาร เจรจาต่อรอง การฟัง และการมีส่วน ร่วมในบทสนทนา 7) ความเป็นพลเมือง (Citizenship) ความเป็นพลเมืองเกี่ยวข้องกับการท่ีบุคคลกลายมาเปน็ ส่วนหนึ่งของสังคมและเช่ือมตัวตนเองสู่ชุมชน ปฏิบัติตัวเพ่ือบริการและการเปล่ียนแปลงสังคมให้ เป็นไปในทางท่ีดี มีความหวงแหน มีความรับผิดชอบ และมีส่วนร่วมในชุมชน คุณค่านี้ส่งเสริม ความสามารถในการทางานกับความแตกต่าง ความสามารถในการสะท้อนและแก้ปัญหาสังคม การ สร้างแรงบรรดาลใจในตนเอง ความสามารถทางการทูตและการเจรจา ความเห็นอกเห็นใจ การคิด อย่างมวี จิ ารณญาณ ความสามารถในการท้าทายต่อปัญหาเพอื่ ส่งเสรมิ การพัฒนา เ ป้ า ห ม า ย สู ง สุ ด ข อ ง โ ม เ ด ล ก า ร เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง สั ง ค ม ข อ ง ก า ร พั ฒ น า ค ว า ม เ ป็ น ผู้ น า น้ี เพ่ือเสริมสร้างและพัฒนาสถานะ Status Quo ของในสังคมโลกให้ดีข้ึนด้วยกระบวนการท่ีเหมาะสม ทั้งช่วยพัฒนาบุคคลและกลุ่มบุคคลให้มีความสามารถในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อระบบ ความสามารถในการสร้างการเปล่ียนแปลงในสังคม การสร้างความสาคัญและตระหนักรู้ในปัญหา สังคมให้กับตนเองและผู้อ่ืน และมีความกล้าที่จะเผชิญความเส่ียงและสร้างความแตกต่าง (Komives and Wanger, 2017) Stanley (2003) ไดเ้ สนอแนวคดิ หลกั สาคัญ 5 ประการสาหรับผนู้ าร่นุ ต่อไปในอนาคต (Next generation leaders) เพ่ือสร้างผู้นาที่มีคุณภาพ สร้างโอกาสให้การพัฒนาตนเองและสงั คม และเป็น ประสบการณ์ท่ีมคี ุณค่าใหแ้ กผ่ ู้นารุน่ ต่อไป แนวคดิ ทัง้ 5 ประการมดี งั น้ี
46 1) ความรอบรู้ (Competence) คอื การมคี วามรู้ ความสามารถ ทศั นคตทิ ี่เกี่ยวขอ้ งกับความ เป็นผู้นาที่นาไปสู่การพัฒนาองค์กรให้มีความสมบูรณ์รอบด้าน ผู้นารุ่นต่อไปในอนาคตไม่จาเป็นต้อง เก่งทุกด้าน แต่ต้องรักษาสมดุลองค์ความรู้ขององค์กรให้ครอบคลุม ผู้นาต้องมีความสามารถในการ ศักยภาพและของผู้อ่ืนโดยให้สิทธิในการคิดและตัดสินใจเพ่ือสร้างองค์กรท่ีมีคุณภาพ ทั้งต้องมี ศกั ยภาพในการจัดการและใชท้ รพั ยากรเวลา บคุ คล และงบประมาณใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุด 2) ความกล้า (Courage) คือ การมีความกล้าที่จะเผชิญความเสี่ยง กล้าท่ีจะไว้ใจทีมให้ รับผดิ ชอบในงานทีส่ าคญั กลา้ ทจี่ ะเรียนรแู้ ละยอมรบั ความเห็นต่าง กล้าทจ่ี ะรบั รู้ว่าตนเองไม่ไดเ้ ก่งใน ทุกเร่ือง กล้าท่ีจะส่งเสริมให้ผู้อ่ืนได้พัฒนาความเป็นผู้นา ทั้งน้ีผู้นารุ่นต่อไปในอนาคตยังต้องสามารถ มุง่ ความสาคัญไปกับเรอื่ งท่สี าคัญ กล้าที่จะปฏเิ สธทจี่ ะเดินในทศิ ทางท่ีไม่สอดคล้องกบั วิสัยทัศน์ กล้าท่ี จะยอมรับความจริง และกล้าทจ่ี ะฝนั 3) ความชัดเจน (Clarity) คือ การมีความคิดและการกระทาท่ีมีทิศทางชัดเจนแม้ว่าจะอยู่ใน สถานการณ์ท่ีไม่ชัดเจนหรือมีข้อมูลท่ีจากัดและไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์ได้ ผู้นารุ่นต่อไปในอนาคต ต้องมีความสามารถในการจัดการกับความไม่แน่นนอน มีความแน่วแนแ่ ละตอ่ เนื่องในการพยายามจะ สรา้ งความชัดเจน มีความสามารถในการใชท้ รัพยากรท่มี ีจากดั ใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุดและชดั เจนที่สดุ 4) การมีที่ปรึกษา (Coaching) คอื การรับฟังและพิจารณาความคิดเห็นจากผเู้ ช่ียวชาญ และ เห็นคุณค่าของประสบการณ์ของผูท้ ี่มีประสบการณ์ ซ่ึงถือเป็นการประเมินผลจากมุมมองของบุคคลที่ สาม และพัฒนาทักษะในการรับฟังและเรียนรู้จากผู้อ่ืน ทาให้ผู้นารุ่นต่อไปในอนาคตมุมมองท่ีกว้าง และลึกซึ้งมากข้ึน เพิ่มโอกาสให้การตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ท้ังยังได้รับแรงบันดาลใจและ ประสบการณ์ตรงจากทป่ี รึกษา 5) การมีเอกลักษณ์ (Character) คือ การมีความโดดเด่นที่ทาให้ควรค่าต่อการติดตามหรือ เขา้ มามีสว่ นร่วม วธิ กี ารนาผ้อู ื่นต้องตง้ั อยู่บนพ้นื ฐานของความถูกต้องและจริยธรรมอนั ดงี าน และการ ตัดสินใจต้องมีประสิทธิภาพและคุณธรรมสูงสุด ท้ังยังปฏิบัติด้วยหัวใจและฟังเสียงเสียงภายในของ ตนเองและบุคคลอืน่ จากการทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวในตอนท่ี 1 การเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 และตอนที่ 2 คุณภาพคนไทยท่ีพึงประสงค์ท่ีตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 หลักการและองค์ความรู้ของท้ังสองตอนมีความเช่ือมโยงซึ่งกันและกัน คณะผู้วิจัยจึงจัดกลุ่มคุณภาพ คนไทยออกเป็น 6 กลุ่ม ซ่ึงได้แก่ 1) คุณภาพทั่วไป (General Qualities) 2) คุณภาพทางสังคม (Social Qualities) 3) คณุ ภาพทางเทคโนโลยี (Technological Qualities) 4) คณุ ภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Qualities) 5) คุณภาพทางสิ่งแวดล้อม (Environment Qualities) 6) คุณภาพทาง การเมือง (Political Qualities) ตามท่ีแสดงในตารางท่ี 2.1
47 ตารางที่ 2.1 ตารางสงั เคราะห์จัดกล่มุ คุณภาพคนไทยจากการศึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ ง กลมุ่ คุณภาพคนไทย คณุ ภาพคนไทยท่ีพงึ ประสงค์ ทต่ี อบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 1. คุณภาพทัว่ ไป 1) ผูเ้ ชยี่ วชาญการเรยี นรู้ตลอดชีวติ (Lifelong expert learner) (General 2) ผอู้ อกแบบชีวติ ทม่ี ีคณุ ค่า (Valuable Life Designer Qualities) 3) ผนู้ าการเปลยี่ นแปลงที่สรา้ งอนาคต (Change Leader Make the Future) 4) พลเมืองโลกที่มีคณุ ภาพ และความรบั ผิดชอบ (Responsible & Competence Global Citizen) 5) ผู้มีสุขภาวะกายและใจท่ดี ี (Well-being person) 2. คณุ ภาพทางสงั คม 1) ผู้มีสมรรถนะทางอารมณ์ และสงั คม (Emotional & Social (Social Qualities) Competencies) 2) ผสู้ รา้ งสรรคน์ วตั กรรมสงั คม (Social Innovation Creator) 3) ผนู้ าสังคมคุณธรรม (Social justice leader) 3. คณุ ภาพทาง 1) ผพู้ ลกิ ผันดจิ ทิ ัล (Digital Disruptor) เทคโนโลยี 2) ผู้สร้างสรรคน์ วัตกรรม และเทคโนโลยีสเี ขยี ว (Green-Tech (Technological Innovator) Qualities) 4. คุณภาพทาง 1) ผู้สรรคส์ รา้ งงานและอาชพี (Career and Job creator) เศรษฐกิจ 2) ผสู้ รา้ งสรรคน์ วตั กรรมการเกษตร อุตสาหกรรม และธรุ กิจ (Economic (Agricultural, Industrial and Business Innovation Creator) Qualities) 3) ผูป้ ระกอบการดจิ ทิ ัล (Digital Entrepreneur) 4) ผู้นาเชงิ นวตั กรรมและผปู้ ระกอบการ (Innovative and Entrepreneurial Leader) 5. คุณภาพทาง 1) ผมู้ ีวิถีชีวติ ทีเ่ ป็นมติ รกับสิง่ แวดล้อม (Sustainable Life Style) ส่ิงแวดล้อม 2) ผ้สู ร้างสรรคส์ ่งิ แวดลอ้ มสีเขยี ว (Green Environment Creator) (Environment Qualities) 6. คุณภาพทาง 1) ผสู้ ร้างสรรค์นวัตกรรมการเมอื งคุณภาพ (Quality Political การเมือง (Political Innovation Creator) Qualities) ตามท่ี 2) ผู้ออกเสยี งคุณภาพ (Quality Voter) แสดงในตาราง 3) ผปู้ ฏิบตั ิงานการเมืองคุณภาพ (Quality Political Actor)
48 ตอนที่ 3 ระบบการเรียนรู้ที่พึงประสงค์ในการตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 จากการศึกษาเอกสาร และงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับระบบการเรียนรู้ท่ีพึงประสงค์ในการ ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 สามารถจัดกลุ่มเอกสารได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1) แนวคดิ และหลักการการจดั การศกึ ษา 2) ระบบการเรยี นรู้ และ 3) กรณีศึกษาระบบการเรยี นรู้ของ ตา่ งประเทศ มรี ายละเอยี ดดังน้ี 3.1 แนวคดิ และหลกั การการจัดการศึกษา จากการศึกษาพบว่า แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ และการสอนนั้นเร่ิมมีการพัฒนาข้ึน ต้ังแต่ช่วงสริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ซ่ึงแต่ละทฤษฎีต่างมีท้ังจุดเหมือนและจุด แตกตา่ งกนั ซึ่งหลาย ๆ ทฤษฎกี ็มกี ารแยกย่อยออกเปน็ แนวคิดย่อย ๆ แผข่ ยายออกไปตามบริบทของ ผู้พัฒนาแนวคิด และทฤษฎี ในปัจจุบัน หลักการและแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนมี มากมายหลากหลายแนวคดิ ทฤษฎีการเรียนรู้ คือ การได้มาซึ่งความรู้ (Knowledge) การเรียนรู้ส่ิงใหม่ และการเข้าใจ ที่มาของความรู้ ด้วยหลักการท่ีได้รับการยอมรับในเชิงวิทยาศาสตร์และสามารถพิสูจน์ได้ ทฤษฎีการ เรียนรู้อธิบายถึงกรอบแนวคิดของปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึนโดยธรรมชาติที่สามารถแปลความหมายได้ ผ่านกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ เชน่ การสารวจ การสงั เกต เป็นตน้ ทฤษฎกี ารเรยี นรู้นาไปสู่การ ตั้งสมมติฐานของงานวิจัย (Schunk, 2012) เมื่อพูดถึงการได้มาซ่ึงความรู้แนวคิดลัทธิเหตุผลนิยม (Rationalism) โดย Plato และแนวคิดลัทธิประสบการณ์นิยม (Empiricism) โดย Aristotle เป็นจุดเร่ิมต้นของทฤษฎีการเรียนรู้ทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ลัทธิเหตุผลนิยม เช่ือว่า มนุษย์มีความรู้ บางอย่างติดตัวมาตั้งแต่กาเนิดโดยไม่ต้องอาศัยประสบการณ์ ความรู้เกิดจากการคิดด้วยหลักเหตุผล ประสบการณ์เป็นส่ิงเร้าทาให้มนุษย์คิด แต่ในทางตรงกันข้ามลัทธิประสบการณ์นิยม เชื่อว่า ความรู้ เกิดจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทางประสาทสัมผัส เหตุผลไม่ใช่แหล่งเกิดแห่งความรู้ ถ้าไม่มีหลัก ประสบการณ์เหตผุ ลน้นั ก็เปน็ เพยี งแนวคดิ เทา่ นั้น (Schunk, 2012) ปัจจุบันมีทฤษฎีการเรียนรู้มากมายท่ีส่งเสริมและสนับสนุนการได้มาซึ่งความรู้ การเข้าใจซึ่ง ความรู้ และการพัฒนาและประยุกต์ใช้ซ่ึงความรู้ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) ท่ีเช่ือกระบวนการการได้มาซึ่งความรู้ที่เกิดข้ึนภายในของผู้เรียน โดยที่ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ หรือ แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม (Social constructivism) ที่เชื่อว่าสังคมเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อ การได้มาซ่ึงความรู้ การสร้างความรู้และความเชื่อของความรู้ ส่ิงแวดล้อมมีผลต่อการเรียนรู้ของ ผู้เรียน (Sprague, 2010) ซ่ึงจะเห็นได้ว่าแนวคิดต่าง ๆ บ้างมีความเชื่อย้อนแย้งซึ่งกันและกัน บ้างสง่ เสรมิ ซงึ่ กนั และกนั บ้างพัฒนามาจากบางแนวคิด ดังนั้นจะเหน็ ไดว้ า่ การได้มาซงึ่ ความรู้และการ เขา้ ใจซึ่งความรู้เปน็ กระบวนการท่ีต่อเนอื่ งไม่รูจ้ บ (Ongoing process) Cherewka (2019) ได้ระบุ 5 องค์ประกอบสาคัญสาหรับออกแบบทฤษฎีการเรียนรู้แห่ง อนาคตผ่านการอภิปรายทฤษฎีการเรียนรู้ร่วมสมัย (Contemporary learning theories) เพื่อเป็น
49 สว่ นชว่ ยในการกาหนดวิสัยทัศน์สาหรับสังคมแหง่ การเรียนรู้ โดยทฤษฎีการเรยี นรรู้ ว่ มสมัยที่ใช้ระบุหา องคป์ ระกอบ ได้แก่ ชมุ ชนนักปฏบิ ตั ิ (Communities of practice) การเรยี นรู้แบบขยาย (Expansive learning) การเรียนรู้เชิงทดลอง (Experiential learning) การเรียนรู้แบบองค์รวม (Holistic learning) จิตวิทยาในการเรียนรู้ผู้ใหญ่ (Psychology in adult learning) การเรียนรู้ 3 มิติ (Three dimensions of learning) การเรียนรู้เพ่ือการเปล่ียนแปลง (Transformative learning) และ การศึกษาทฤษฎกี ารเรียนรู้ผ้ใู หญ่ (Study of adult learning theories) ซึ่งพบว่าองคป์ ระกอบสาคัญ ประกอบดว้ ย 1) กระบวนการการเรียนรู้ (The Process of Learning) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความรู้ และสร้างเสริมประสบการณ์ของผู้เรียนจากการเช่ือหรือปฏิบัติตามทฤษฎี การสร้างการมีปฏิสัมพันธ์ กบั สง่ิ แวดล้อมใหแ้ ก่ผเู้ รยี น 2) บทบาทของผู้เรียน (The Role of the Learner) หมายถึง แนวการปฏิบัติตัวของผู้เรียน และการมองตนเองในความสัมพันธ์กับปัจจัยภายในและภายนอก เช่น จิตใจ ผู้สอน และสังคม เป็น ตน้ ทั้งน้ีบทบาทของผู้เรยี นมไี ด้หลายหลายขึ้นอยู่กบั แนวคดิ ที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ 3) จุดประสงค์ของการเรียนรู้ (The Purpose of Learning) หมายถึง กรอบแนวคิดหรือ ความมงุ่ หวงั ของทฤษฎี ซึ่งเปน็ หลกั ตงั้ ตน้ ในการออกแบบกระบวนการเรียนรูแ้ ละบทบาทของผ้เู รียน 4) วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ (The Object of Learning) หมายถึง การกาหนดความ มุ่งหวังในเชิงรูปธรรม สามารถนาข้อมูลและผลลัพธ์มาใช้สะท้อนและประเมินการเรียนรู้ได้ การระบุ ความร้หู รือพฤตกิ รรมมงุ่ หวงั หลังจากการจดั การเรียนรู้ 5) สังคมและการเรียนรู้ในสังคมแห่งการเรียนรู้ (Society and Learning in the Learning Society) หมายถึง การเช่ือมการเรียนรู้และความรู้ของผู้เรียนกับสังคมโลกและด้านอ่ืนท่ีผู้เรียนสนใจ เพ่ือขยายขอบเขตของความรู้ให้กว้างและใกล้เคียงกับความเป็นจริง มองเป็นเองเป็นส่วนหน่ึงของ สงั คมและเข้าใจบทบาทและความรบั ผดิ ชอบต่อสังคม Merriam (2018) ไดอ้ ภปิ รายทฤษฎีการเรียนรูส้ าหรับทิศทางแห่งอนาคต โดยกลา่ วถงึ ทฤษฎี ท่เี ปน็ พืน้ ฐานของการเรียนรดู้ ว้ ยตนเองสาหรับการเรยี นรผู้ ูใ้ หญใ่ นศตวรรษท่ี 21 ซ่งึ มี 3 แนวคิดสาคัญ ได้แก่ 1) ทฤษฎีการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ (Andragogy) ท่ีเชื่อการท่ีมนุษย์ท่ีเรียนรู้ด้วยตนเองและสรา้ ง การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-directing human being) สามารถนาทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อการเรียนรู้ได้ เรียนรู้เตรียมพร้อมที่จะเป็นส่วนหน่ึงของสังคม เรียนรู้โดยวิเคราะห์แบบปัญหาเป็น ฐานมากกว่าแบบการเรียนเป็นฐาน มีเหตุผลและตรรกะในการกระทา และมีแรงบันดาลใจในการ เรียนรู้ 2) ทฤษฎีการเรียนรู้แบบนาตนเอง (Self-directed learning, SDL) มีความเชื่อเร่ืองความ เป็นอิสระในการเรียนรู้และการเรียนรู้ไม่ได้จากัดเพียงในโรงเรียน ซึ่งสนับสนุนผู้เรียนให้มี
50 ความสามารถและความรับผิดชอบในการวางแผน การปฏิบัติ และการประเมินผลความก้าวหน้าของ การเรยี นรูต้ นเอง เช่อื ในการพัฒนาการเรียนรู้อยา่ งต่อเนื่องตลอดชวี ติ 3) ทฤษฎีการเรียนรู้เพ่ือการเปล่ียนแปลง (Transformative learning) ท่ีเชื่อในการสร้าง ความหมายและเรียนรู้อย่างมีความหมาย ส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นหาเส้นทางวิธีการใหม่เพ่ือรับมือกับ ปัญหาและความท้าทาย สร้างการเปลีย่ นแปลงด้านความเชื่อ ทัศนคติ และมมุ มองโดยรวมของผู้เรียน แนวคดิ และการปฏิบตั ินี้ยังมุ่งเน้นการให้พ้นื ท่ีแก่ผู้เรียนได้ใคร่ครวญความคดิ และความร้สู ึกของตนเอง รวมทั้งมีปฏิสัมพันธก์ ับคนและสง่ิ แวดล้อมรอบตัว การเรียนรู้ที่หลากหลายจะท้าทายคุณค่าและความ เช่ือของผู้เรียนและก่อให้เกิดการคิดพิจารณาอย่างรอบด้านอันจะนาไปสู่การเห็นและเข้าใจรากของ ปญั หาและการสรา้ งการเปลย่ี นแปลง 3.1.1 แนวคดิ และหลกั การจัดการเรยี นการสอนโดยมีครเู ปน็ ศนู ย์กลาง หากพิจารณาจากจุดเร่ิมต้นของหลักการจัดการเรียนการสอนต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจะ พบว่า หลักการจัดการเรียนการสอนโดยมีครูเป็นศูนย์กลางน้ันเป็นหลักการแรกเริ่มของการจัดการ เรียนการสอน วิธีการหลักในการจัดการเรียนการสอนโดยมีครูเป็นศูนย์กลางคือ การจัดการเรียนการ สอนทางตรง (Direct Instruction) ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ครูเป็นผู้เตรียมการสอนมาเป็น อย่างดี โดยมีการจัดเรียงเนื้อหาจากง่ายไปยาก มุ่งเน้นการนาเสนอเน้ือหาสาระแก่ผู้เรียนจานวนมาก ในเวลาอนั ส้นั 3.1.2 แนวคิดหลักการจดั การเรียนการสอนโดยมีผเู้ รียนเปน็ ศูนย์กลาง การจัดการเรียนการสอนโดยมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเป็นหลักการท่ีเชื่อว่า การจัดการเรียน การสอนท่ีมีประสิทธิภาพนนั้ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการถา่ ยทอดความรูโ้ ดยครผู สู้ อนเท่านั้น หากแต่ ต้องเกิดจากการลงมือปฏิบัติของผู้เรียนโดยการกระทา (Learning by doing) ท้ังนี้ การจัดการเรียน การสอนโดยมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมิได้หมายความว่าครูไม่มีความสาคัญ หากแต่เป็นการปฏิบัติตาม แนวทาง 2 ประการ คอื 1) ครูยังคงต้องมกี ารจัดเตรียมเน้ือหา กิจกรรม ประสบการณ์ใหแ้ ก่ผ้เู รียนเช่นเดิม การกระตุ้นให้ผู้เรียนตื่นตัวต่อการเรียนรู้ และสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามท่ีตั้งไว้ และ 2) ในการ จัดการเรียนการสอนครูพึงลงบทบาทหน้าที่ของตนเอง ปรับเปล่ียนบทบาทของตนเองจากเดิมเป็นผู้ ถ่ายทอดความรู้ไปสู่การเป็นผู้อานวยความสะดวก (Facilitator) มีหน้าท่ีสนับสนุน ส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถเรียนร้ไู ดอ้ ย่างราบรนื่ และบรรลผุ ลลพั ธ์การเรียนรทู้ ตี่ ้งั ไว้ ท้ังน้ี หลักการจัดการเรียนการสอนโดยมีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางสามารถนาสู่การปฏิบัติได้ใน หลายลักษณะ สามารถสร้างเป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ สามารถจัดกลุ่มได้ตาม จดุ เน้นของการจดั การเรียนรู้ ดังนี้ 3.1.2.1 แบบเนน้ ตวั ผเู้ รียน ประกอบด้วย 1) การจัดการเรียนรู้ตามเอกัตภาพ (Individualized Instruction) หมายถึง การจัดสภาพ การเรียนการสอนใหแ้ ก่ผู้เรยี นเป็นรายบคุ คล โดยคานงึ ถึงภมู ิหลงั สติปญั ญา ความสามารถ ความถนัด
51 รูปแบบการเรียนรู้ ความสนใจ และความต้องการของผู้เรียนรายบุคคล มีตัวบ่งชี้ของลักษณะการ เรยี นรู้ ดังนี้ 2) การจัดการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนนาตนเอง (Self-Directed Learning) หมายถึง การให้โอกาส ผู้เรียนวางแผนการเรียนรูด้ ้วยตนเอง ซงึ่ ครอบคลุมการวินิจฉยั ความต้องการในการเรียนรู้ของตน การ ต้ังเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ การเลือกวิธีเรียนรู้ การแสวงหาแหล่งความรู้ การ รวบรวมขอ้ มูล การวเิ คราะห์ข้อมูล รวมท้ังการประเมินตนเอง โดยครอู ย่ใู นฐานะกลั ยาณมติ ร ทาหน้ท่ี กระตุ้นและให้กาปรึกยาผู้เรียนในการวินิจฉัยความต้องการกาหนดวัตถุประสงค์ ออกแบบแผนการ เรียนรู้ และจัดเตรียมวสั ดอุ ปุ กรณ์ แหลง่ ข้อมลู รวมทง้ั ร่วมเรียนรูไ้ ปกบั ผ้เู รียน 3.1.2.2 แบบเนน้ ความรู้ ความสามารถ ประกอบด้วย 1) การจดั การเรียนรูแ้ บบรู้จริง (Mastery Learning) หมายถึง กระบวนการในการดาเนนิ การ ให้ผู้เรียนทุกคน ซึ่งมีความสามารถและสติปัญญาแตกต่างกัน สามารถคิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง (Block & Burns, 1976) คือสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามท่ีกาหนดไว้ทุกข้อ โดยผู้สอนวิเคราะห์ เน้ือหาสาระและกาหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้อย่างละเอียดและเป็นไปตามลาดับข้ัน และวางแผน การเรียนรู้สาหรับผู้เรยี นแต่ละคน (หรือแต่ละกลุ่มท่ีมีความต้องการเหมือนกนั ) ให้สนองตอบความถนัดท่ี แตกต่างกันของผู้เรียน โดยการแสวงหาวิธีการ สื่อ หรือให้วลาในการเรียนรู้ตกต่างกันตาม ความสามารถของผเู้ รียน ผูเ้ รยี นมีการดาเนินการเรียนรูต้ ามแผนภายใต้การดแู ลและการช่วยเหลือของ ผู้สอนไปที่ละวัตถุประสงคจ์ นสามารถบรรลุผล โดยมกี ารประเมินผลวา่ ผ้เู รยี นร้จู รงิ ตามวัตถุประสงค์ท่ี กาหนดจึงจะสามารถไปเรียนตามวัตถุประสงค์ต่อไปได้ หากผู้เรียนยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ผู้สอน จะตอ้ งแสวงหาวธิ ีการ สือ่ หรือนวัตกรรมต่าง ๆ มาชว่ ยจนผู้เรียนสามารถเรียนรตู้ ามวัตถปุ ระสงค์กรบ ทกุ วตั ถุประสงค์ 2) การจัดการเรียนรู้แบบรับประกันผล (Verification Teaching) หมายถึง การจัด สภาพการณ์ของการเรียนการสอนท่ีผู้สอนกาหนดวัตถุประสงค์ (ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึง หรือท้ังหมดของ วตั ถุประสงคก์ ารเรยี นรู้ และอาจเป็นวตั ถุประสงค์ทัว่ ไปหรือวัตถุประสงคเ์ ฉพาะก็ได้) ที่สามารถพิสูจน์ ทดสอบได้ว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามท่ีกาหนดไว้หรือไม่ และผู้สอนดาเนินการทดสอบผู้เรียนเป็น รายบุคคลตามวัตถุประสงค์น้ัน โดยผู้เรยี นได้รบั รมู้ าก่อนว่าจะมีการทดสอบตามวัตถุประสงค์น้ัน จาก ผลการทดสอบ หากผูเ้ รียนยงั ไม่เกดิ การเรยี นรู้ตามวัตถุประสงค์ ผู้สอนจะตอ้ งดาเนินการสอนซ้าให้แก่ ผเู้ รยี น และทาการทดสอบใหม่ จนกระทัง่ ผ้เู รียนทุกคน เกดิ การเรยี นรู้ตามวัตถุประสงคท์ ี่กาหนดหรือ ผู้สอนตัดสินใจท่ีจะไม่ใช่การเรียนการสอนแบบรับประกันผลต่อไป ดังน้ัน วัตถุประสงค์ท่ีกาหนดจึง ควรเป็นวัตถุประสงค์ทเ่ี หมาะสมและเป็นไปได้สาหรบั ผู้เรยี น (Laksa, 1990) 3) การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นมโนทัศน์ (Concept-Based Instruction) หมายถึง การวางแผนการจัดการเรียนการสอนโดยการระบุมโนทัศน์ หรือความคิดรวบยอดท่ีต้องการให้ผูเ้ รียน ได้รับและดาเนินการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการและกระบวนการต่าง ๆ ท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความ
52 เข้าใจมโนทัศน์นั้น และสามารถนามโนทัศน์น้ันไปใชใ้ นสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ รวมท้ังมีการประมนิ ผล โดยมุง่ ไปทีค่ วามขา้ ใจของผู้เรยี นในมในทศั นน์ น้ั ๆ 3.1.2.3 แบบเน้นประสบการณ์ ประกอบดว้ ย 1) การจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ (Experiential Learning) หมายถึง การดาเนินการ อนั จะชว่ ยใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรียนรตู้ ามเป้าหมายโดยใหผ้ ู้เรียนได้รับประสบการณ์ (experience) ท่จี าเป็น ต่อการเรียนรู้ในเรื่องท่ีเรียนรู้ก่อน และให้ผู้เรียนสังเกต ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น และนาสิ่งที่เกิดข้ึนมาคิด พิจารณาไตร่ตรองร่วมกันจนกระทั่งผู้เรยี นสามารถสร้างความคิดรวบยอดหรือสมมติฐานต่าง ๆ ในเรื่อง ทเ่ี รยี นรู้แลว้ จงึ นาความคิดหรือสมมติฐานเหล่านน้ั ไปทดลองหรือประยุกต์ใชใ้ นสถานการณ์ใหม่ ๆ ต่อไป 2) การจัดการเรียนรู้แบบรับใช้สังคม (Service Learning) หมายถึง การดาเนินการช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการให้ผู้เรียนเข้าไปมีประสบการณ์ในการรับใช้สังคม ทั้งนี้ผู้เรียนจะด้องมี การสารวดวามต้องการของชุมชนที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องท่ีเรยี น และวางแผนการเข้าไปมีส่วนร่วม ในกิจกรรมต่าง ๆ ลงมือปฏิบัติการรับใช้สังคมตามแผน และนาประสบการณ์ทั้งหลายท่ีได้รับมาคิด พิจารณา ไตร่ตรอง จนกระทั่งเกิดความคิดรวบยอด หลักการ หรือสมมติฐานต่าง ๆ ซึ่งสามารถนาไป ทดลอง หรอื ประยกุ ตใ์ ชใ้ นสถานการณใ์ หม่ ๆ ได้ 3) การจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic Learning) หมายถึง การดาเนินการช่วยให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการให้ผู้เรียนเข้าไปเผชิญสภาพการณ์จริง ปัญหาจริง ในบริบทจริง และ ร่วมกันศึกษาเรียนรู้ แสวงหาความรู้ ข้อมูล และวิธีการต่าง ๆ เพ่ือท่ีจะแก้ไขปัญหานั้น และได้รับผล การประเมนิ ตามมาตรฐานคณุ ภาพในชวี ิตจริง ในกรณีท่ีไม่สามารถจัดให้ผู้เรียนไปเผชิญปัญหาในบริบทจริงได้ผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ ตามสภาพจริงในห้องเรียนได้ โดยการจัดกิจกรรมที่จาลองหรือสะท้อนความเป็นจริงให้ผู้เรียนได้ ร่วมกันคิดแก้ปัญหา หรือข้าไปสวมบทบาทในสถานการณจาลอง และเรียนรู้ที่จะใชค้ วามรแู้ ละทักษะ ต่าง ๆ ในการเข้าใจสภาพความเปน็ จรงิ และแกป้ ัญหาตา่ ง ๆ ซ่ึงกิจกรรมดงั กลา่ วควรจะช่วยให้ผู้เรียน ไดพ้ ฒั นาทักษะการคดิ ข้ันสูง ไดเ้ รียนรคู้ วามรู้ในระดับลกึ ไดเ้ ชอื่ มโยงสิ่งท่ีเรยี นรู้กับโลกแห่งความเป็น จริง ไดอ้ ภิปรายสนทนาในเร่อื งทเ่ี ป็นสาระสาคญั และไดร้ ับผลการตัดสินใจและการกระทาของตนจาก สงั คม หรือตามเกณฑม์ าตรฐานในชวี ติ จริง 3.1.2.4 แบบเน้นปญั หา ประกอบด้วย 1) การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-Based Instruction) เป็นการ จัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอนที่ใช้ปัญหาเป็นเคร่ืองมือในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตาม เป้าหมาย โดยผู้สอนอาจนาผู้เรียนไปเผชิญสถานการณ์ปัญหาจริง หรือผู้สอนอาจจัดสภาพการณ์ให้ ผู้เรียนเผชิญปัญหา และฝึกกระบวนการวิเคราะห์ปัญหาและแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม ซ่ึงจะช่วยให้ ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในปัญหาน้ันอย่างชัดเจน ได้เห็นทางเลือกและวิธีการท่ีหลากหลายในการ แก้ปัญหาน้ัน รวมทั้งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความใฝ่รู้ เกิดทักษะกระบวนการคิด และกระบวนการ แก้ปัญหาต่าง ๆ
53 2) การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงการเปน็ หลัก (Project-Based Instruction) คือ การ จดั สภาพการณ์ของการเรยี นการสอน โดยให้ผ้เู รยี นได้ร่วมกันเลือกทาโครงการท่ีตนสนใจ โดยรว่ มกัน สารวจ สังเกต และกาหนดเรอื่ งทต่ี นสนใจ วางแผนในการทาโครงการรว่ มกนั ศกึ ษาหาข้อมูลความรู้ท่ี จาเป็น และลงมือปฏิบัติงานตามแผนงานท่ีวางไว้จนได้ข้อกันพบหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ แล้วจึงเขียน รายงานและนาเสนอต่อสาธารณชน เก็บข้อมูล แล้วนาผลงานและประสบการณ์ท้ังหมดมาอภิปราย แลกเปลยี่ นความรู้ ความคิดค้น และสรุปผลการเรยี นร้ทู ่ไี ด้รับจากประสบการณท์ ่ีได้รับท้ังหมด 3.1.2.5 แบบเน้นทักษะกระบวนการ ประกอบด้วย 1) การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการสืบสอบ (Inquiry-Based Instruction) หมายถงึ การดาเนนิ การเรียนการสอน โดยผู้สอนกระตุ้นให้ผ้เู รียนเกิดคาถาม เกิดความคิด และลงมือ เสาะแสวงหาความรู้ เพ่ือนามาประมวลหาคาตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยที่ผู้สอนช่วยอานวย ความสะดวกในการเรียนรู้ในดันต่าง ๆ ให้แก่ผู้เรียน เช่น ในด้นการสืบค้นหาแหล่งความรู้ การศึกษา ขอ้ มลู การวเิ คราะห์ การสรุปขอ้ มลู การอภปิ รายโตแ้ ย้งทางวิชาการ และการทางานรว่ มกับผู้อ่นื เป็น ตน้ 2) การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการคิด (Thinking-Based Instruction) คือ การดาเนินการเรียนการสอนโดยผสู้ อนใช้รปู แบบ วธิ ีการ และเทคนิคการสอนต่าง ๆ กระตุ้นใหผ้ เู้ รียน เกิดความคดิ ขยายต่อเน่ืองจากความคดิ เดิมท่ีมีอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่น เกดิ ความคิดท่ีมีความ ละเอยี ด กว้างขวาง ลกึ ซึ้ง ถูกตอ้ งมีหตผุ ล และนาเช่อื ถือมากข้ึนกวา่ เดมิ 3) การจัดการเรยี นการสอนโดยเน้นกระบวนการกลมุ่ (Group Process-Based Instruction) คือ การดาเนินการเรยี นการสอนโดยท่ีผสู้ อนให้ผูเ้ รียนทางานกิจกรรมร่วมกันเป็นกลมุ่ พร้อมท้ังสอน/ ฝึก แนะนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เก่ียวกับกระบวนการทางานกลุ่มที่ดีควบคู่ไปกับการช่วยให้ผู้เรยี น เกิดการเรยี นร้เู นือ้ หาสาระตามวตั ถปุ ระสงค์ 4) การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการวิจัย (Research-Based Instruction) หมายถึง การจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนใช้กระบวนการวิจัย หรือผลการวิจัยเป็น เครื่องมือในการเรียนร้เู นื้อหาสาระต่าง ๆ โดยอาจใช้การประมวลผลงานวจิ ัย (research review) มา ประกอบการสอนเนื้อหาสาระ ใช้ผลการวิจัยมาเป็นเนื้อหาสาระในการเรียนรู้ ใช้กระบวนการวิจัยใน การศึกษาเน้ือหาสาระ หรือให้ผู้เรียนลงมือทาวิจัยโดยตรง หรือช่วยฝกึ ฝนทักษะการวิจัยต่าง ๆ ให้แก่ ผูเ้ รียน 5) การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Instruction Emphasizing Self-Learning Process) หมายถึง การจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอนท่ีผู้สอน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนดาเนินการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อ เน้ือหา วิธีการ และสื่อการเรียนการสอนได้ตามความสนใจ โดยมีผู้สอนช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความใฝ่ รู้ ช่วย พัฒนาทกั ษะในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง และชว่ ยให้คาปรึกษาแนะนาตามความหมาะสมเกี่ยวกับการหา แหล่งความรู้ วิธกี ารศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ การวเิ คราะห์ และสรุปขอ้ ความรู้
54 3.1.2.6 แบบเน้นการบูรณาการ หมายถึง การนาเนื้อหาสาระท่ีมีความเก่ียวข้องกันมา สัมพันธ์ให้เป็นเร่ืองเดียวกัน และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในลักษณะท่ี เป็นองค์รวม และสามารถนาความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ การบูรณาการ เน้อื หาสาระทีม่ คี วามเก่ียวขอ้ งกัน สามารถทาได้หลายลักษณะ ดงั นี้ 1) การบูรณาการภายในวิชา (Intradisciplinary) หมายถึง การนาเน้ือหาสาระในวิชา เดียวกัน หรือกลุ่มประสบการณ์เดียวกันมาสัมพันธ์กัน เช่น ในวิชาภาษาไทย มีเน้ือหาสาระเก่ียวกับ การอ่าน การเขียนคาประพนั ธ์ การพูดจงู ใจ ไวยากรณ์ และวรรณคดี ฯลฯ แทนทผ่ี ้สู อนจะสอนเน้อื หา สาระท่ีละเรื่องแยกจากกัน ผู้สอนสามารถนาสาระทุกเรื่องมาสัมพันธ์กันเป็นเร่ืองเดียว โดยเลือก การศกึ ษาวรรณคดีเรือ่ ง \"พระอภัยมณ\"ี เป็นแกนหรือหัวขอ้ หลกั (Theme) ในการศึกษาเร่ืองพระอภัย มณี ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องราว ความงามของภาษา การเขียนคาประพันธ์ (กลอน) การใช้ไวยากรณ์ใน คาประพนั ธ์ การอ่านใหไ้ พเราะ ชาบซึ้ง และการพูดจงู ใจใหเ้ ยาวชนหนั มาสนใจวรรณคดีไทย เปน็ ต้น 2) การบูรณาการระหว่างวิชา (Interdisciplinary) หมายถึง การนาเน้ือหาสาระของหลาย ๆ วิชามาสัมพันธ์ให้เป็นเร่ืองเดียวกัน ตัวอย่างเช่น นาเนื้อหาสาระของวิชาภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศิลปะ และดนตรี มาประสานสัมพันธ์เป็นเร่ืองเดียวกัน ภายใต้หัวข้อเรื่อง หรอื \"theme\" ทเี่ ลอื ก 3.1.3 แนวคดิ การจัดหลักสูตร 3.1.3.1 แนวคิดหลกั สตู รบรู ณาการ (Integrated Curriculum) หลักสูตรบูรณาการเป็นหลักสูตรท่ีรวมประสบการณ์การเรียนรู้ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ประสบการณ์ดังกล่าวเป็นประสบการณ์ท่ีคัดเลือกมาจากหลายสาขาวิชา แล้วจัดเป็นกลุ่มหรือ หมวดหม่ขู องประสบการณ์ เปน็ การบรู ณาการเน้ือหาเข้าดว้ ยกัน เพ่อื ชว่ ยให้ผู้เรียนได้รบั ประสบการณ์ สมั พันธแ์ ละต่อเนอื่ งอันมคี ุณค่าต่อการดารงชีวิต 3.1.3.2 แนวคดิ หลักสตู รแบบเน้นเน้ือหา (The Subject Matter Curriculum) เป็นรูปแบบที่เก่าแก่ท่ีสุดซ่ึงใช้ในการสอนศาสนา ละติน กรีก อาจเรียกชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า เป็นหลักสูตรท่ีเน้นเน้ือหาเป็นศูนย์กลาง (Subject-Centered-Curriculum) ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการ สอนของครูท่ีใช้วิธีการ บรรยาย ปรัชญาการจัดการศึกษาแนวน้ีจะยึดปรัช ญาสารัตถนิยม (Essentialism) และสจั วิทยา (Perennialism) 3.1.3.3 แนวคดิ หลักสูตรสหสัมพันธ์ (Correlated Curriculum) หลักสูตรสหสัมพันธ์เป็นหลักสูตรเนื้อหาวิชาอีกรูปแบบหน่ึง แต่เป็นหลักสูตรท่ีนาเอา เนื้อหาวิชาของวิชาต่าง ๆ ท่ีสอดคล้องหรือส่งเสริมซึ่งกันและกันมาเช่ือมโยงเข้าด้วยกัน แล้วจัดสอน เป็นเนอ้ื หาเดยี วกนั วธิ ีการดังกลา่ วอาศยั หลักความคดิ ของนกั การศึกษาทีว่ ่า การท่จี ะเรียนรู้ส่ิงใดให้ได้ ดีผู้เรียนต้องมีความสนใจเข้าใจความหมายของส่ิงท่ีเรียนและมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงท่ีเรียน กับสิ่งอื่นที่เก่ียวข้อง เพราะฉะนั้นหลักสูตรสหสัมพันธ์จะกาหนดเนื้อวิชาใดวิชาหนึ่งหรือหมวดใด หมวดหน่ึง แลว้ นาเนอ้ื หาสาระวชิ าทสี่ ัมพันธ์กันมารวมไว้ด้วยกนั
55 3.1.3.4 แนวคดิ หลักสตู รแบบผสมผสาน (Fused Curriculum or Fusion Curriculum) หลักสตู รแบบผสมผสานเป็นหลักสตู รท่ีพยายามปรับปรุงขอ้ บกพร่องของหลักสูตรเน้ือหาวิชา เพราะฉะน้ันหลักสูตรแบบผสมผสานคือหลักสูตรเน้ือหาวิชาอีกรูปแบบหน่ึง โดยการรวมเอาวิชา ยอ่ ย ๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกนั มาผสมผสานกนั ในด้านเน้อื หาเข้าเป็นหมวดหมู่ 3.1.3.5 แนวคดิ หลักสตู รแบบหมวดวิชาแบบกว้าง (Broad Fields Curriculum) หลักสูตรหมวดวิชาแบบกว้างหรือหลักสูตรรวมวิชา เป็นหลักสูตรท่ีพยายามจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ท่ีเกิดจากหลักสูตรเนื้อหาวิชา ซึ่งขาดการผสมผสานของความรู้ให้เป็นหลักสูตรที่มีการประสาน สมั พนั ธ์ของเนอื้ หาความรทู้ ่กี วา้ งยงิ่ ขน้ึ 3.1.3.6 แนวคิดหลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม (Social Process and Life Function Curriculum) หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม เป็นหลักสูตรที่มุ่งแก้ไขข้อบกพร่องของหลักสูตรท่ีผ่านมาด้วย การรวบรวมความรู้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยยึดกิจกรรมต่าง ๆ ของคนไทยเป็นหลัก เป็น หลักสูตรที่ถูกคาดว่ามีคุณค่ามากที่สุดสาหรับผู้เรียน การจัดหลักสูตรแบบนี้ได้ยึดเอาสังคมและชีวิต จริงของเด็กเป็นหลัก เพ่ือผู้เรียนจะได้นาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ เพราะมีการ เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาวิชาในหลักสูตรกับชีวิตจริงของผู้เรียนหรือภาวะทางสังคมที่ ผู้เรียนกาลังประสบอยู่ หลักการจัดหลักสูตรประเภทนี้ ได้รับอิทธิพลมาจากความคิดของจอห์น ดิวอี้ กบั ปรชั ญาการศกึ ษาสาขาพพิ ฒั นาการนิยม และปรชั ญาการศกึ ษาสาขาปฏิรูปนิยม 3.1.3.7 แนวคิดหลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์ (Activity or Experience Curriculum) หลักสูตรกิจกรรมหรือประสบการณ์เป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้นจากความพยายามท่ีจะแก้ไขการ เรียนรู้แบบครูเป็นผู้สอนเพียงอย่างเดียว ไม่คานึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียนซึ่งเป็น ข้อบกพร่องของหลักสูตรแบบเน้ือหาวิชา หลักสูตรแบบนี้ยึดประสบการณ์ และกิจกรรมเป็นหลักมุ่ง ส่งเสริมการเรียนการสอนโดยวิธีการแก้ปัญหา ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยการลงมือกระทา ลงมือ วางแผน เพื่อหาประสบการณ์อันเกิดจากการแก้ปัญหาน้ัน ๆ ด้วยตนเอง ซ่ึงเป็นการเรียนแบบการ เรยี นรู้ดว้ ยการกระทา (Learning by Doing) 3.1.4 หลกั การการจดั การเรยี นรู้ 3.1.4.1 การจัดการเรยี นการสอนโดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป (Programmed Instruction) การจดั การเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมสาเรจ็ รูป หมายถงึ การดาเนนิ การใหผ้ ู้เรยี นเกิดการ เรียนรู้ในเรื่องใดเร่ืองหน่ึงโดยให้ผู้เรียนศึกษาบทเรียนแบบโปรแกรมในเรื่องน้ันด้วยตนเอง บทเรียน แบบนี้นาเสนอเน้ือหาสาระทีละตอนย่อย ๆ ท่ีมีความต่อเน่ืองไปตามลาดับ ซึ่งเรียกกันว่า เฟรม (frame) และมกี ารถามให้ผูเ้ รียนตอบสนอง และตรวจสอบผลการตอบสนองของตนได้ทนั ทวี ่าถูกหรือ ผดิ เม่อื เรยี นจบบทเรียน ผ้เู รยี นสามารถประเมนิ ผลการเรียนรู้ของตนเองและทราบผลการเรยี นรู้ของ ตนเองไดท้ ันที ผเู้ รียนสามารถศึกษาบทเรียนโดยใช้วลาตามความสามารถหรอื ความต้องการของตน
56 บทเรียนแบบโปรแกรม โดยท่ัวไปมี 3 ลักษณะ คือ บทเรียนแบบโปรแกรมชนิดเส้นตรง (Linear program) เป็นบทเรียนที่นาเสนอเนื้อหาสาระไปท่ีละขั้นหรือทีละเฟรม ผู้เรียนทุกคนจะ เรียนรู้ไปตามลาดับเฟรมหมือนกันหมด บทเรียนอีกชนิดหนึ่งเรียกว่าบทเรียนแบบโปรแกรมชนิดแยก สาขา (Banching program) บทเรียนแบบนี้จะมีคาถามให้ผู้เรียนตอบสนอง และคาตอบของผู้เรียน จะนาผู้เรียนไปสู่เฟรมต่อไป ดงั น้ันหากผเู้ รยี นตอบสนองไมเ่ หมอื นกัน ผเู้ รยี นกจ็ ะก้าวไปสู่เฟรมต่างกัน ทาให้การเรียนรู้ของผู้เรียนดาเนินไปตามลาดับไม่เหมือนกัน บทเรียนอีกแบบหนึ่งมีลักษณะการ นาเสนอในรูปของข้อความบรรยายต่อเน่ืองกันไป ไม่อยู่ในรูปของเฟรม และอาจใช้เทคนิคทั้งแบบ เส้นตรง และแบบสาขาผสมผสานกนั ไป 3.1.4.2 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) การจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หมายถึง การนาคอมพิวเตอร์มาใช้ใน การเรยี นการสอน เพื่อช่วยขยายขอบเขตความสามารถในการเรยี นรู้ของผู้เรยี น และความสามารถใน การสอนของครู โดยการสรา้ งบทเรียนคอมพิวเตอร์ขึ้นมา หรอื จัดหาบทเรยี นคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสม ท่ีมีผู้สร้างไว้แล้วมาให้ผู้เรียน หรือเขียนโปรแกรมให้ผู้เรียนและผู้สอนสามารถสร้างบทเรียนขึ้นเอง และใช้คอมพิวเตอร์ในการนาเสนอบทเรียนด้วยวธิ ีใดวธิ ีหนงึ่ โดยมีการนาสอ่ื ประสมเข้ามาช่วยในการ นาเสนอ เช่น ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ผู้เรียนเป็นผู้ดาเนินการเรียนรู้ตามการนาเสนอ ของบทเรียน ซ่งึ จะออกแบบไว้ให้ผู้เรียนไดร้ ับผลย้อนกลับตามการตอบสนองของตน และเม่อื เรยี นจบ ผู้เรียนจะได้รับการประเมินการเรียนรู้ของตน และทราบผลการเรียนรู้ของตน การนาเสนอบทเรียน แบบคอมพิวเตอร์มีหลายแบบท่ีนิยมกันก็มีแบบทบทวนความรู้ (Tutorial) ซึ่งเป็นการทบทวนความรู้ เดิม หรือนาเสนอเน้ือหาใหม่ การนาเสนอทเรียนแบบฝึกปฏิบัติ (Drill & Practice) เป็นลักษณะของ การฝึกการทาแบบฝึกหัดและแบบทดสอบจนสามารถเข้าใจบทเรียนน้ัน ๆ ได้ดี บทเรียนแบบเกม (Game) สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับการเล่นอย่างเพลิดเพลิน การนาเสนอ บทเรียนแบบสถนการณ์จาลอง (Simulation) ผู้เรียนสามารถเข้าไปเล่นและใช้ข้อมูลท่ีมีในการ ตัดสนิ ใจแกป้ ญั หา และได้รบั ผลจากการตดั สินใจนนั้ ๆ 3.1.4.3 การจดั การเรยี นการสอนทางไกล (Distance Instruction) การจัดการเรียนการสอนทางไกล หมายถึง การสอนที่ผู้สอน และผู้เรยี นอยูต่ ่างสถานทีก่ ัน แต่ สามารถติดต่อสื่อสารมีปฏิสัมพันธ์กันในกิจกรรมการเรียนการสอนได้ด้วยการใช้ส่ือและเทคโนโลยีใน รูปแบบต่าง ๆ โดยการเรียนการสอนอาจเป็นแบบทางเดียว (One-way distance instruction) คือ ผู้ถ่ายทอดความรู้ผ่านทางสื่อมวลชน และสื่อวัสดุอ่ืน ๆ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ ส่ิงพิมพ์ เทปบันทึกเสียง เป็นตัน หรืออาจเป็นแบบสองทาง (Two-way distance education) คือ ผู้สอนและผู้เรียนที่อยู่ต่าง สถานที่กันสามารถติดต่อปฏิสัมพันธ์กันได้ โดยใช้ส่ือ โทรศัพท์ โทรทัศน์ และเทคโนโลยีการประชุม ทางไกลผา่ นจอภาพ (Video conferencing) นอกจากน้ัน ยงั มีการจัดการเรียนการสอนเสริมทางไกล ผ่านอินเทอร์เน็ต และใหผ้ ้เู รยี นปฏิสัมพันธ์กบั ผู้สอนดว้ ยไปรษณยี ์อเิ ลก็ ทรอนิกสอ์ ีกดว้ ย
57 3.1.4.4 การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายเวิลด์ ไวด์ เว็บ (Web-Based Instruction) การจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายเวิลด์ ไวด์ เว็บ หมายถึง การออกแบบการเรียนการ สอนโดยการจัดห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual classroom) ท่ีจาลองสภาพชั้นเรียนปกติเป็นช่องทาง ในการส่ือสารระหวา่ งผู้สอนและผู้เรยี น ผสู้ อนจะออกแบบการเรียนรใู้ ห้ผู้เรียนสืบค้นข้อมูลความรู้จาก เครือข่ายต่าง ๆ ในคอมพิวเตอร์ท่ีสาคัญ ได้แก่ เครือข่ายอินเทอร์เน็ต และเครือข่ายเวิลด์ ไวด์ เว็บ (World Wide Web) โดยอาศัยโปรแกรมไฮเปอร์มีเดีย (Hypermedia) ในการสอนจะใช้คุณลักษณะ และทรัพยากร ของอินเทอร์เน็ตมาสร้างหรือออกแบบการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เช่น อาจ กาหนดให้นาองคป์ ระกอบ (เช่น e-mail, listservs, newgroups, conferencing tools ฯลฯ) ท่ีมีอยู่ ในเครือข่ายมาใช้เพียงอย่างเดียว หรือหลายอย่างร่วมกันก็ได้ ทาให้การเกิดรูปแบบการเรียนการสอน ที่หลากหลาย ซ่ึงข้ึนอยู่กับการจัดระเบียบ การใช้เทคโนโลยีท่ีเกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนทางไกล บนเวิลด์ ไวด์ เวบ็ การเรยี นการสอนแบบนี้ผูเ้ รียนสามารถกระทาไดด้ ว้ ยตนเอง หรอื อาจออกแบบให้มี การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน หรือระหว่างผู้เรียนด้วยกันเองก็ได้ และสามารถประเมินผล การเรียนรผู้ ่านเครือข่ายได้ (Khan, 1997) 3.2 ระบบการเรียนรู้ ระบบการเรยี นรทู้ ี่ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคตในปี 2040 หมายถงึ การเรยี นรู้ ในระดับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและอาชีวศึกษาท่ีสามารถพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพ ประกอบด้วย รูปแบบการเรียนรู้ ทรัพยากรการเรียนรู้ รวมทั้งวิธีการประเมินการเรียนรู้ ที่จะ ตอบสนองการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคต มรี ายละเอียดดังนี้ 3.2.1 รปู แบบการเรียนรู้ จากการทบทวนวรรณกรรมทีเ่ ก่ยี วข้องกับรปู แบบแบบการเรยี นรู้ พบว่า การจดั การเรยี นรู้ใน ปัจจบุ นั ยงั คงมุ่งสอนใหผ้ ู้เรยี นคิดตามส่ิงทีผ่ ้สู อนป้อนความรู้ให้มากกว่าการสอนใหผ้ ู้เรียนคิดสิ่งใหม่ ๆ กล่าวคือ การจัดการเรียนการสอนยังคงเน้นเน้ือหามากกว่าการพัฒนาการเรียนรู้ (ประหยัด พิมพา, 2560) สอดคล้องกับรายงานแผนการปฏิรูปประเทศดา้ นการศกึ ษาที่ระบุว่า การจัดการเรียนการสอน ส่วนใหญ่เน้นเนื้อหาสาระและความจามากกว่าการพัฒนาทักษะและสมรรถนะ ส่งผลให้ผู้เรียนขาด การพัฒนาทักษะ กระบวนการคิด ท้ังการคิดวิเคราะห์และคิดสร้างสรรค์อีกท้ังขาดทักษะการ แก้ปัญหา การตงั้ คาถามและแสวงหาความรู้ รวมทัง้ ขาดการพัฒนาทักษะการจดั การข้อมูลสารสนเทศ ซ่ึงเป็นทักษะท่ีจาเป็นสาหรับโลกศตวรรษที่ 21 ท่ีมีข้อมูลให้สามารถเข้าถึงได้จานวนมาก และ หลากหลายช่องทาง ผู้เรียนในอนานคตจาเป็นต้องมีความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อเลอื กใช้ประโยชน์และถ่ายทอดความรู้ได้อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม (คณะกรรมการอิสระเพ่ือการ ปฏิรูปการศึกษา, 2562) ในปัจจุบันมีการนาเอารูปแบบการเรียนรู้ท่ีหลากหลายมาประยุกต์ใช้ในการ เรียนการสอน เช่น การเรียนรู้แบบบรรยาย (Lecture) การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative
58 learning) การเรียนรู้แบบบูรณาการ (Integrated learning) การเรียนรู้แบบโครงงาน (Project- based learning) การเรยี นรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential learning) และการเรียนรูแ้ บบใช้ปัญหา เป็นฐาน (Problem-based learning) อย่างไรก็ตาม การนารูปแบบเหล่าน้ีไปใช้อาจเกิดความ ผดิ พลาดในการตีความและไม่ได้เนน้ ไปท่ีผลลัพธข์ องผู้เรยี นอย่างแทจ้ ริง แตเ่ ปน็ การเน้นท่ีเนื้อหาสาระ ในหลักสูตรตามสภาพปัญหาหาท่ีระบุไว้ข้างต้น แม้ในปัจจุบันรูปแบบการเรียรู้แบบนาตนเอง (Self- directed learning) จะมีบทบาทในการจัดการศึกษาของไทยมากข้ึน แต่ยังคงพบว่าการเรียนรู้ รูปแบบดังกล่าวยังเป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่มีผู้สอนคอยกากับอยู่เช่นเดิม ซึ่งจากสภาพปัญหาในการ นาแนวคิดของรูปแบบการเรียนรู้สู่การปฏิบัติ รวมทั้งปัญหาของการท่ีรูปแบบการเรียนรู้ในปัจจุบัน ทย่ี งั ไม่ตอบโจทย์การเปลย่ี นแปลงของโลกอนาคต ดังนั้น ในอนาคตแนวคิดเก่ียวกบั รปู แบบการเรียนรู้ จาเปน็ ตอ้ งได้รับการพฒั นา ปรับปรุง และยกระดบั ให้สามารถส่งเสริมทักษะและพฒั นาสมรรถนะของ ผเู้ รยี นให้ไดม้ ากยง่ิ ขน้ึ รวมทั้งต้องสามารถตอบสนองความตอ้ งการของผเู้ รยี นได้เปน็ รายบุคคล จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับรูปแบบการเรียนรู้ สามารถจัดกลุ่มของ เนอ้ื หาทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับรูปแบบการเรยี นรู้ได้ 6 กลุ่ม ดงั นี้ 1) การเรียนรู้อย่างมีความหมาย และมีคุณค่า (Purposeful and valuable learning) ประกอบด้วย 1.1) การเรียนรกู้ ารออกแบบชีวติ (Life design learning) Life design learning เป็นการนาแนวคิดการออกแบบมาใช้ในการแสวงหาแรงบันดาลใจ และความสาเร็จของผู้เรียน ซงึ่ มุ่งเน้นทก่ี ารเชอ่ื มโยงผู้เรียนเขา้ กบั ประสบการณ์การเรยี นรู้ และการให้ คาปรึกษาตลอดการเรียนรู้โดยผู้สอน เป้าหมายของการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Life design learning คือการให้โอกาสแก่ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในประสบการณ์การเรียนรู้ตามหลักสูตร และร่วม หลักสูตรการสารวจจุดประสงค์ของชีวิตของพวกเขาและทาตามข้ันตอนต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยความ กล้าหาญมุง่ ไปสู่สาขาอาชีพทีพ่ วกเขาต้องการในอนาคต แนวคิดการออกแบบชีวิตกลายเป็นท่ีสนใจภายในแวดวงการศึกษาเน่ืองจากการนาแนวคิด เชิงการออกแบบธุรกิจมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบแผนชีวิตและการเรียนของ Bill Burnett และ Dave Evans อาจารย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด กล่าวคือ การนาแนวคิดของกระบวนการคิด เชิงออกแบบ (Design thinking) มาเป็นกรอบและแนวคิดการจัดการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียน วางแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านการเรียนรู้และเข้าใจตนเอง โดยคานึงถึงศักยภาพและบริบทของ ผู้เรียน และเข้าใจในความศรัทธาและส่ิงท่ีพลักดันให้ตัวเองเกิดการเรียนรู้ เพ่ือออกแบบวิธีการการ เรียนรู้แล้วทดลองใช้แผนที่ออกแบบ จากนั้นนาประสบการณ์การเรียนรู้ที่ได้มาพัฒนาแผนการเรยี นรู้ ตอ่ ไป (Burnett and Evans, 2016) 1.2) การเรยี นรู้อยา่ งมคี วามหมาย (Purposeful learning) การเรียนรู้อย่างมีความหมาย (Purposeful learning) หรือแนวคิดการเรียนรู้ส่ีรูปแบบ (4 forms of learning) แบบการเรียนรู้ถูกเสนอโดย Koh and Hung (2018) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
59 ของการระบบการจัดการเรียนรู้ท่ีตอบสนองบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสิงค์โปร์ และ เพ่ือพัฒนาแรงงานที่มีคุณภาพ ตระหนักรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พร้อม สาหรับอนาคตของประเทศ ซ่ึง Koh and Hung (2018) กล่าวว่ารูปแบบการเรียนรู้ทั้งสี่นี้สามารถ สร้างและพฒั นาคณุ ภาพผู้เรียนที่มคี วามสาคัญและจาเปน็ ต่อชวี ิตและสังคมของผเู้ รยี นที่กาลังจะเผชิญ ในอนาคต โดยแนวคิดท้ังสี่ (ภาพประกอบที่ 2.2) ประกอบด้วย การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life-long Learning) การเรียนรู้ชีวิตเชิงกว้าง (Life-wide Learning) การเรียนรู้ชีวิตเชิงลึก (Life-deep Learning) และการเรยี นรชู้ วี ิตอย่างฉลาด (Life-wise Learning) ภาพประกอบที่ 2.2 การเรยี นรู้ 4 รูปแบบ (Koh and Hung, 2018) การเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life-long Learning) คือ กระบวนการการเตรียมพร้อมให้ผู้เรียนมี ความรู้พ้ืนฐานสาคัญท่ีสามารถนาไปปรับใช้ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต อีกท้ังนาความรู้ไป เป็นเครื่องมือในการเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาตนเองตามความถนัดและความสนใจ ระบบการเรียนรู้ และการจัดการเรียนรู้ต้องมุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning and innovation skills) ท่ีเน้นการคิดวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์ การการสื่อสารและความร่วมมือ ท้ังพัฒนาทักษะทางข้อมูล สื่อและเทคโนโลยี (Information, media and technology skills) และ ทักษะชีวิตและอาชีพ (Life and career skills) ท่ีเน้นการเรียนรู้จากสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่าง และสร้างภาวะผู้นา ทั้งยังสามารถตระหนักรู้และควบคุมกระบวนการรู้คิด ( Metacognition) ของตนเองได้ รู้ว่าอะไรที่เหมาะสมกับตนเองในการเรียนรู้ ตลอดจนสามารถเลือกกลวิธี ในการ วางแผน กากบั ควบคมุ และประเมินการเรยี นรู้ของตนเองได้ เพ่อื ใหก้ ารเรยี นรู้ บรรลุตามวตั ถปุ ระสงค์ ไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ การเรยี นรู้ชีวติ เชิงกว้าง (Life-wide Learning) คอื กระบวนการการเตรยี มพร้อมใหผ้ ู้เรียนมี ความสามารถในการปรับตวั ให้เข้ากับบรบิ ทท่ีเปลยี่ นไป ทั้งในสังคมการทางาน มมี ุมมองท่หี ลากหลาย
60 สาหรับเข้าใจและสร้างสรรค์สังคม พร้อมมีแนวคิดหลากหลายในการการไขปัญหาสังคมที่มีความ ซบั ซอ้ นเพ่มิ ขน้ึ ทกุ วันดว้ ยการบรู ณาการความรขู้ า้ มสาขาวชิ า การเรียนรู้ชีวิตเชิงลึก (Life-deep Learning) คือ กระบวนการเตรียมพร้อมผู้เรียนให้มี ความรู้ความสามารถเฉพาะในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง ความรู้เชิงลึกจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจกระบวนการ เรียนรู้และองค์ความรู้เพื่อสามารถนาไปปรับใช้กับบริบทสังคมได้จริง การจัดการเรียนรู้ควรเน้นให้ ผู้เรียนเรียนรอู้ ย่างมีเป้าหมาย ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้ผู้เรียน พัฒนาความรู้และฝึกฝนในด้านใดด้านหน่ึงในอย่างลึกซึ้งและต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่าน้ันการเรียนรู้ชีวติ เชงิ ลึกส่งเสริมการสร้างความรู้เชิงลึกที่สามารถปรับใช้เพ่ือแก้ไขหลากหลายปัญหาและมีผลกระทบเชิง บวกในระยะยาว ซ่งึ การเรียนรวู้ ิธนี ชี้ ว่ ยให้เกิดนวัตกรรมใหม่เพื่อสงั คมและเศรษฐกิจขึ้น และสนบั สนุน การเรยี นในระดับอดุ มศึกษาของผ้เู รียนทเ่ี นน้ การพฒั นาความรเู้ ฉพาะสาขา การเรยี นรู้ชวี ติ อย่างฉลาด (Life-wise Learning) คอื กระบวนการการเตรยี มพร้อมผูเ้ รียนให้ มีคุณธรรมจริยธรรม รู้ถึงคุณค่าของตนเองและผู้อื่น คิดและกระทาอย่างมีวิจารณญาณผ่านการ ไตร่ตรอง และมีคณุ ลกั ษณะทร่ี ักความถูกต้องและเคารพความเสมอภาค การจดั การเรยี นรูต้ ้องเน้นให้ ผู้เรียนได้ฝึกฝนการใช้ปัญญาเพื่อใช้ในการช้ีนาความคิดและการกระทาของตนในระยะยาว โดยให้ ผู้เรียนวิเคราะห์และตระหนักถึงบริบทปัจจุบนั ไม่ว่าจะเป็นด้านวัฒนธรรม ด้านประชากร ด้านระบบ สังคม และระบบในโรงเรียน เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าใจสถานการณ์จริงและเง่ือนไขข้อจากัดท่ีกาลัง เผชิญหน้า และเพื่อนาไปสู้การตัดสินใจในการเลือกเส้นทางในการพัฒนาศักยภาพของตนและเลือก วธิ กี ารในการข้าวข้ามอุปสรรคข้อจากดั อย่างยัง่ ยนื เพ่ือให้รูปแบบการเรียนรู้ทั้งส่ีมีประสิทธิภาพมากย่ิงขึ้น การจัดการเรียนรู้ควรพัฒนาการ ควบคุมสังคมอารมณ์ (Socio-emotional regulation) และคุณภาพชีวิต (Well-being) ของผู้เรียน ควบคู่กันไป ความพร้อมและความฉลาดทางอารมณ์และสังคมไม่ใช่แค่ช่วยให้ผู้เรียนประสบ ความสาเร็จในการเรียนแต่ยังช่วยให้ประสบความสาเร็จในการดาเนินชีวิตอีกด้วย การจัดการเรียนรู้ ควรสนับสนุนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมท่ีปลอดภัย กระตุ้นให้แสดงออกอย่างอิสระและ สามารถลุกข้ึนมาได้ทุกคร้ังหากเกิดความล้มเหลวขึ้น โดยสรุปจะเห็นได้ว่ารูปแบบการเรียนรู้ท้ังส่ีซึ่ง ถอดบทเรียนมาจากการศึกษาของประเทศสิงค์โปร์ได้รบั การออกแบบมาเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นเลศิ รอบด้านอย่างยั่งยืน ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีเส้นทางท่ีชัดเจนตามความต้องการของผู้เรียนและสอดรับกบั บริบทของประเทศในอนาคต ทว่าผู้วิจัยมองว่าการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ครอบคลุมท้ังสี่รูปแบบ จาเป็นต้องใช้เวลาและทรัพยากรท่ีมาก การเรียนรู้จาเป็นต้องต่อเนื่องและสัมพันธ์กันเพื่อให้เกิดการ ผลลัพธ์ในระดับกว้าง การจัดการเรียนรู้รูปแบบนี้จะมีประสิทธิภาพย่ิงขึ้นเมื่อบูรณาการให้เข้ากับ หลักสูตรการศึกษาหรือหลักสูตรสถานศึกษา เม่ือมีทรัพยากรบุคคลและมีสิ่งอานวยสะดวกทาง การศกึ ษาทีม่ ีคณุ ภาพและเพียงพอต่อผูเ้ รียนทุกคน
61 1.3) การเรียนรสู้ ู่การเปลย่ี นแปลง (Transformative learning) การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง เป็นกระบวนการของการเรียนรู้ที่ลึกซ้ึงสร้างสรรค์และมี ความหมายซ่งึ นอกเหนอื ไปจากการได้มาซง่ึ ความร้งู า่ ยๆและเป็นการเรียนร้ปู ระเภทหนง่ึ ทสี่ ่งผลให้โลก ทัศนข์ องเราเปลี่ยนไปโดยพืน้ ฐาน (Simsek, 2012) Simsek อธิบายวา่ การเรยี นร้สู ู่การเปลีย่ นแปลงน้ี เปลีย่ นจากการยอมรบั ข้อมลู ที่มีโดยปราศจากความคิดหรือไร้ความสงสยั ไปูสป่ ระสบการณ์การเรียนรู้ ท่ไี ตรต่ รองและมสี ติ การเรยี นร้สู กู่ ารเปลยี่ นแปลงตามท่ี Mezirow (2000) กลา่ วไว้คอื การตระหนักถึง สมมติฐานหรือความคาดหวังโดยปริยายและประเมินความเกี่ยวข้องกับการตีความ การเรียนรู้สู่การ เปล่ียนแปลงมักจะนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในความคิด ความรู้สึก มุมมอง ความเชื่อ และ พฤติกรรมของเรา และส่งผลต่อความเข้าใจสว่ นตัวเกี่ยวกับตัวเรา ความสัมพันธ์กับผอู้ ื่น วิธีคิด ระบบ ความเชอื่ การตอบสนองตอ่ สิง่ แวดลอ้ ม และการตคี วามโดยรวมของโลก (Simsek, 2012) ทฤษฎีการเรียนรู้สู่การเปล่ียนแปลงต้องการการเรียนรู้สองรูปแบบ เป็นการเรียนรู้แบบ เครื่องมือ (instrumental learning) และการเรียนรู้แบบสื่อสาร (communicative learning) การ เรียนรู้แบบเคร่ืองมือมุ่งเน้นไปท่ีการควบคุมสภาพแวดลอ้ มผ่านการฝึกการแก้ปัญหาที่มุ่งเน้นงานและ การประเมินความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล การเรียนรู้แบบการสื่อสารรวมถึงวิธีที่ผู้คนโต้ตอบกับ บุคคลอน่ื เกยี่ วกับความตอ้ งการ อารมณ์ ความคดิ เห็น ความเช่ือ และความคาดหวงั (Taylor, 1998). องค์ประกอบหลักสองประการของการเรียนรู้สู่การเปล่ียนแปลงคือการไตร่ตรองอ ย่างมี วิจารณญาณเก่ียวกับสมมติฐานและวาทกรรมเชิงวิพากษ์ท่ีผู้เรียนจะตรวจสอบการตัดสินท่ีดีท่ีสุด (Mezirow, 2009) หรือ “กระบวนการที่แต่ละคนกระตุ้นเพื่อตรวจสอบลักษณะของปัญหาที่เกิดขึ้น และคุณค่าความจริงของวิธีแก้ปัญหาทางเลือก” (King & Kitchener, 1994, p. 12). Paulo Freire ไม่เพียงต้องการให้ผู้คนได้เรียนรู้ตนเองเท่านั้น แต่ยังต้องการให้เรียนรู้เกี่ยวกับการเปล่ียนแปลงของ สังคมที่เกิดข้ึนรอบตัว และเชื่อว่าเมื่อผู้เรียนตระหนักถึงระบบสังคมที่ส่งผลกระทบต่อผู้เรียนอย่าง ลึกซึ้งมากขึ้น ผู้เรียนก็จะเปลี่ยนแปลงสังคมและในท่ีสุดความเป็นจริงของตัวผู้เรียนเอง (as cited in Taylor, 1998) การเรียนรู้สู่การเปล่ียนแปลงเป็นประโยชน์อย่างย่ิงสาหรับการศึกษาผู้ใหญ่ ( Adult education) เน่ืองจากผู้ใหญ่ตีความและตีความประสบการณ์ของพวกเขาใหม่อย่างต่อเนื่องจาก มุมมองเชิงวิพากษ์และเชิงพัฒนาการ (Simsek, 2012). เนื่องจากการเรียนรู้สู่การเปล่ียนแปลงมัก ต้องการความเข้าใจที่ครอบคลุมและร่วมมือกันมากขึ้นเก่ียวกับความหมาย ผู้เรียนควรมีความเต็มใจ และความสามารถในการแบ่งปันประสบการณ์ร่วมกัน (Simsek, 2012). Freire กล่าวว่านักการศึกษา และผู้เรียนในระดับเดียวกันจะทาให้ห้องเรียนกลายเป็นที่สามารถเข้าถึงได้มากขึ้นสงบและปลอดภัย ดงั นน้ั ผ้เู รยี นจะรูส้ ึกสบายใจท่ีจะแบง่ ปนั มมุ มองและความร้สู ึกกับผู้อื่น (as cited in Simsek, 2012). สรุปได้ว่าการเรียนรู้สู่การเปล่ียนแปลงเก่ียวข้องกับการสะท้อนตัวตนและสังคมซ่ึงส่งผลให้ เกิดการเปล่ียนแปลงในมุมมองของผู้เรียน กระบวนการเรียนรู้คือเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถแบ่งปัน ประสบการณไ์ ด้มากทส่ี ดุ และต้องการสภาพแวดลอ้ มการเรยี นรทู้ ่ยี ืดหย่นุ และเปิดกวา้ ง
62 1.4) การเรยี นรูเ้ หตุผลที่ตอ้ งทาส่ิงทีค่ วรทา (Triple loop learning) แนวคิดการเรียนรู้วงจรท่ีสามชั้น (Triple loop learning) หรือการเรียนรู้เหตุผลที่ต้องทาสิง่ ท่ีควรทา มีจุดเร่ิมต้นจากการพยายามพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Organizational learning) จากประสบการณ์และสิ่งท่ีได้ปฏิบัติมาก่อน ซึ่งเป็นกระบวนการในการสะท้อนผลการปฏิบัติงานใน ระดับบุคคลท่ีได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของ Argyris และ Schön (Tosey et al., 2012) ซึ่งปัจจุบัน แนวคิดการเรียนรู้วงจรที่สามช้ันได้ถูกนามาปรับใช้ในแวดวงการศึกษาโดยเช่ือมโยงกับทฤษฎีการ เรียนรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนตามศักยภาพของแต่ละบุคคล ด้วยกระบวนการคิดสะท้อนเชงิ ลึกเพื่อเข้าใจถงึ กระบวนการเรียนรู้ของตนเอง โดยอาจเรยี กในชื่อใหม่ วา่ “การเรยี นรเู้ หตุผลท่ีต้องทาสิง่ ที่ควรทา” Barbat et al. (2011) ได้อธิบายการเรียนรู้แบบลูปสามช้ันว่าประกอบด้วยแนวในการ สะทอ้ นความรู้ 3 ระดับดังนี้ 1) ระดบั ลปู เดยี ว คอื การสะทอ้ นความคดิ จากสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมที่เปล่ยี นไปหลังจาก การเรียนรู้ 2) ระดับสองลูป คือ การสะท้อนความคิดจากส่ิงแวดล้อมและพฤติกรรมที่เปล่ียนไป รวมท้ัง จากรปู แบบ เทคนคิ และวัตถปุ ระสงคก์ ารจดั การเรียนรหู้ ลังจากการเรียนรู้ 3) ระดับสามลูป คือ การสะทอ้ นความคิดจากสิ่งแวดล้อมและพฤตกิ รรมทีเ่ ปลี่ยนไป และจาก รูปแบบ เทคนิคและวัตถุประสงค์การจัดการเรียนรู้ รวมทั้งกระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ (learning about learning) และการถอดบทเรียนจากประสบการณ์ (learn lessons from experience) หลังจากการเรยี นรู้ ภาพประกอบที่ 2.3 แนวการสะทอ้ นความรูก้ ารเรยี นรู้แบบลูปสามชน้ั (Barbat et al., 2011) การเรียนรแู้ บบลูปสามช้นั สามารถนาไปบรู ณาการในการจัดการเรียนรู้ได้ทุกระดับโดยเฉพาะ อย่างย่ิงระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษาท่ีเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นสาคัญ และนาไปบูรณาการ ได้หลากหลายสาขาวิชา ซ่ึงผู้เขียนมองว่าแนวคิดการเรียนรู้แบบลูปสามช้ันจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อบูรณาการกับรูปแบบและเทคนิคการจัดการเรียนรู้อ่ืน เพราะแนวคิด ดังกล่าวเป็นเพียง
63 กระบวนการสะท้อนการเรียนรู้การเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ปฏิสัมพันธ์ Barbat et al. (2011) ได้นาการ เรยี นรแู้ บบลปู สามชั้นไปบูรณาการรว่ มกบั ทฤษฎีทางสังคมเพื่อจดั การเรียนรู้แบบพหแุ นวทาง (Multi- methodological approach) การศึกษาพบว่าการเรียนรู้แบบลูปสามชั้นที่ร่วมกับการจัดการเรียนรู้ เชิงสังคมรูปแบบอ่ืน ๆ ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เข้าใจกระบวนการคิดและความต้องการของแต่ละ บุคคล ซ่ึงจะมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาตนเองในอนาคต ท้ังนี้จะเห็นได้ว่าแนวคิดตามทฤษฎี คอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม (Social constructivism) ควรถูกนามาพิจารณาในการบูรณาการร่วมกับ การเรียนจัดการเรียนรู้แบบลูปสามชั้น มิใช่เพียงแค่ให้ความสาคัญกับทฤษฎีการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) เน่ืองด้วยบริบทของสังคมก็ส่งผลต่อกระบวนการคิดและเรียนรู้ของผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคทม่ี ีการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศไทยและของโลก 1.5) การเรยี นรแู้ นวมนษุ ยนิยม (Humanistic learning) การนาหลักมนุษย์นิยมมาใช้สาหรับการจัดการศึกษาและการพัฒนาเป็นแนวทางท่ีแยบยล ซ่ึงสามารถรวมเอาความหลากหลายของการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ วิธีการดังกล่าวมีพื้นฐานอยู่บน วิสัยทัศน์ของการพัฒนาท่ีครอบคลุมมิติทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมท่ีย่ังยืน ซ่ึงเป็น วิสัยทัศน์ของการพัฒนาที่ยอมรับความหลากหลายของระบบความรู้ โลกทัศน์ที่กว้างขวาง และ แนวคิดเกี่ยวกับความเป็นอยู่ท่ีดี ในขณะที่ยังยืนยันถึงจุดร่วมของความเป็นสากล เป็นวิสัยทัศน์ท่ี ส่งเสริมวิธีการแบบบูรณาการเพื่อการเรียนรู้ การจัดการศึกษาแบบสหวิทยาการใหม่นั้นดีสาหรับการ กาหนดวิธีการใหม่ในการจัดการศึกษาที่สร้างแรงบันดาลใจ และความหวังสาหรับอนาคต ในขณะที่ ยงั คงมุ่งเนน้ การพัฒนาทีซ่ ับซ้อนมากขน้ึ เพ่ือมุ่งหวังจะเปลยี่ นอนาคต หลักมนษุ ยน์ ิยมสาหรับการจดั การศึกษาน้ัน ประกอบด้วย (Wilenius & Pouru, 2020) 1) สรา้ งสงั คมแห่งการเรยี นรูต้ ามบรบิ ท 2) ยึดหลกั ประชาธปิ ไตยในห้องเรยี น 3) ส่งเสริมวัฒนธรรมทย่ี ดื หยนุ่ ผ่านการแลกเปลีย่ นเรยี นรู้ 4) ปฏริ ปู การเรียนร้โู ดยยึดหลักความย่งั ยนื จากรากฐานของผูเ้ รียน 5) คน้ คว้าความรู้ใหมผ่ ่านการอ่าน 6) สร้างความเปน็ พลเมืองผา่ นการเชอื่ มโยงมนษุ ย์กับธรรมชาติ ท้ังนี้ ส่ิงสาคัญสาหรับการจัดการศึกษาตามหลักมนุษย์นิยม คือ การจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนา คนให้เป็นมนุษย์ โดยการจัดการศึกษานั้นจะต้องเชื่อมโยงมนุษย์เขากับธรรมชาติ และมุ่งหวังให้เกิด เปน็ การพัฒนาทยี่ ัง่ ยืน 1.6) การเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสุข (Happy learning) ระหว่างการเดินทางไปฟินแลนด์ Faridi (2014) สังเกตเห็นปัจจัย 13 ประการท่ีเอื้อต่อการ เรียนรู้อย่างมีความสุขดังน้ี การเน้นหนักในการเล่นทาให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการเล่นจินตนาการและ การค้นพบตัวเอง ดังน้ัน ครูจึงสนับสนุนให้เล่น ตัวอย่างเช่นในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายผู้เรียน นักศึกษาเล่นฟุตบอลและวิดีโอเกมในศูนย์ผเู้ รยี น ในฟินแลนด์ไม่มีการทดสอบมาตรฐานท่ีมีเดิมพันสูง
64 (high-stakes standardized test) เนื่องจากเชื่อว่าการเตรียมการทดสอบที่มากขึ้นหมายถึงการใช้ เวลาในการคิดและการสอบถามอย่างอิสระน้อยลง ในขณะที่ผู้เช่ียวชาญซึ่งเป็นครูจะวัดความ รับผิดชอบในหอ้ งเรียน ปจั จัยทส่ี ามคอื ความไวว้ างใจ (trust) ผนู้ าระดบั สงู ไวว้ างใจครู ครเู ชอ่ื ใจผเู้ รยี น และในทางกลับกันผู้ปกครองก็เช่ือใจครู อีกปัจจัยหน่ึงคือโรงเรียนไม่แข่งขันกันเอง โครงการเตรียม ความพร้อมของครูเป็นเร่ืองที่จริงจังมากโดยจะตรวจสอบความซื่อสัตย์ ความหลงใหล และการเรียน การสอน นอกจากน้ีเวลาส่วนตวั ยงั มีมูลค่าสูง ตัวอย่างเช่นทุก ๆ 45 นาทีผู้เรียนมีสิทธิตามกฎหมายท่ี จะมีเวลาว่าง 15 นาทีซ่ึงจะชว่ ยให้ผู้เรียนมีสว่ นร่วมและการเรียนรจู้ ะประสบความสาเรจ็ มากทสี่ ุดเมื่อ พวกเขามีโอกาสผ่อนคลายและมีสมาธิ ผู้เรียนเข้าช้ันเรียนน้อยก็เป็นปัจจัยสนับสนุนเช่นกัน การเน้น คุณภาพชีวิตทาให้ครูมีความสุขในขณะที่ครูที่ทางานหนักเกินไปจะไม่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของเกม การ เรียนรู้แบบกง่ึ ตดิ ตามคือผู้เรียนเลือกโรงยิม (เน้นวิชาการ) หรอื โรงเรียนอาชวี ศกึ ษาหลงั จากอายุ 16 ปี ยิ่งไปกว่านั้นมาตรฐานแห่งชาติยังมีคุณค่าและครูมีความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ในหลักสูตรและ วิธีการนามาตรฐานไปใช้ ปัจจัยสามประการสุดท้ายคือเกรดจะไม่ได้เก็บจนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีการสอนจริยธรรมในระดับประถมศึกษา และเน้นการทางานร่วมกันและสภาพแวดล้อมการทางาน ร่วมกัน 2) การเรียน รู้ที่เสริมสร้างศักยภ าพเฉพาะบุค ค ล (Personalized Learning) ประกอบด้วย 2.1) การเรียนรู้ในสิ่งทรี่ กั จะเรยี น (Passion based learning) การเรียนรู้ในส่ิงที่รักจะเรียน (Passion-based learning) ประกอบด้วยสองแง่มุมคือค้นพบ สิ่งที่ผู้เรียนหลงใหลมาโดยกาเนิดและการเป็นผู้สอนที่แสดงถึงความหลงใหลในหัวข้อนั้นและทาให้ ผู้เรียนต่ืนเต้นในหัวข้อน้ัน (Ramirez, 2013) ดังนั้นในการเรียนรู้ในสิ่งที่รักจะเรียน เราไม่เพียง ตอ้ งการแคก่ ารมีสว่ นรว่ มของผูเ้ รยี นเท่านั้น แต่ยังตอ้ งมีส่วนรว่ มของครูด้วย (Mas’ud & Syamsinar, 2019) ในการเรียนรู้ในส่ิงที่รักจะเรียน ผู้สอนดูแลความสนใจของผู้เรียนดังน้ันห้องเรียนจึงมีชีวิตชีวา และผูเ้ รียนตนื่ เต้นและมสี ว่ นร่วมในการเรยี นรู้อย่างเต็มใจ (Barirani, Marsh, & Olson, 2014) การเรียนรู้ในสิ่งรักจะเรียนท่ี Brown และ Adler (2008) เรียกว่า “Learning 2.0” เป็นรูปแบบใหม่ของการเรียนรู้ที่เริ่มต้นด้วยความรู้และการปฏิบัติท่ีได้รับในโรงเรียน แต่เหมาะสม อย่างเท่าเทียมกันสาหรับการเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง (Brown & Adler, 2008) Brown และ Adler เชื่อมโยงการเรียนรู้ในสิ่งรักจะเรียนเข้ากับชุมชนการเรียนรู้ท่ีจุดประกายความหลงใหลของ ผู้เรียนในการได้รับท้ังความรู้เชิงลึกเก่ียวกับเรื่องใดเร่ืองหนึ่ง และความสามารถในการมีส่วนร่วมใน การฝึกฝนภาคสนามผ่านการสอบถามเชิงประสิทธิผล (productive inquiry) และการเรียนรู้แบบ เพ่ือน (peer learning) และกล่าวเสริมว่าการเรียนรู้ในสิ่งรักจะเรียนมีแรงจูงใจจากผู้เรียนท่ีต้องการ เป็นสมาชิกของชุมชนแห่งการฝึกฝนเฉพาะหรือเพียงแค่ต้องการเรียนรู้ สร้างหรือทาบางส่ิงบางอย่าง Maiers (2011) กล่าวว่าการเรียนรู้ในส่ิงรักจะเรียนเป็นเร่ืองเก่ียวกับการแสวงหา \"ฮีโร่\" ท่ีสามารถทาให้เขามีประสิทธิภาพในการได้รับการฝึกฝนของผู้ปฏิบัติงานที่มีอยู่ในสาขาที่เลือก
65 (as cited in Mas’ud & Syamsinar, 2019). เมื่อผู้เรียนสามารถได้รับทักษะล่วงหน้า อุตสาหกรรม การตลาดสามารถใช้ประโยชน์จากโรงเรียนเพ่ือผลิตคนงานรุ่นใหม่จานวนมากที่พร้อมทางาน ผลที่ ตามมาคือผู้เรียนสามารถถกู ใช้ประโยชน์ไดต้ ัง้ แตอ่ ายุยังน้อย (Mas’ud & Syamsinar, 2019) การเรียนรู้ในส่ิงรักจะเรียนสามารถส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนได้ (Mas’ud & Syamsinar, 2019) การรหู้ นงั สือดิจิทลั (Woessner, 2014) และแม้แต่นวตั กรรม หากผู้เรียนหลงใหล ในบางสงิ่ ผเู้ รยี นอาจมแี รงบันดาลใจในการสรา้ งสรรคส์ ่งิ ใหม่ ๆ 2.2) การเรียนรูอ้ ยา่ งทั่วถึงทุกคน (Inclusive learning, Universal design for learning) การเรียนรู้ที่เอื้อต่อความต้องการจาเป็นท่ีแตกต่างกันของ ผู้เรียนแต่ละคนโดยไม่ท้ิง ใคร ไว้ข้างหลัง ถือว่าการจัดการศึกษาน้ันเป็นการศึกษาตลอดชีวติ สาหรบั ประชาชนหลักการคือคนทุกคน ต้องได้รับการศึกษาอยา่ งตอ่ เนอ่ื งตลอดชวี ติ การศึกษานี้ต้องครอบคลมุ ทุกด้าน มใิ ชเ่ ฉพาะชีวิตการงาน เท่าน้ัน เพราะไม่เพียงบุคคลต้องพัฒนาตนเองและความสามารถในการประกอบอาชีพของตน คนแต่ละคนต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาชุมชนและประเทศโดยส่วนรวม ท้ังด้านเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและวัฒนธรรมด้วย ท้ังนี้ เพราะสังคม เศรษฐกิจ สภาพแวดล้อม และพัฒนาการทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงจาเป็นต้องศึกษาความเป็นไป รอบตวั เพื่อให้สามารถรองรบั การเปลีย่ นแปลงไดอ้ ย่างเหมาะสม 3) การริเร่มิ เรยี นรู้ดว้ ยตนเอง (Self-initiated learning, Heutagogy) 3.1) การเรียนรู้ในการทาส่ิงต่าง ๆ ได้ถูกต้อง (Single loop learning) และการเรียนรู้ การทาส่งิ ทคี่ วรทา (Double loop learning) การเรียนรู้ดังกล่าวได้ถูกนิยามขึ้นโดย Spady ในปี 1994 โดยแนวคิดนี้มุ่งการจัดการศึกษา และจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างให้ผู้เรียนมปี ระสบการณ์ทีจ่ าเปน็ ต่อการดารงชีพหลังจากสาเร็จการศึกษา อีกท้ังแนวคิดดังกล่าวช่วยให้ครูและนักออกแบบศึกษาได้พัฒนาหลักสูตรการจัดการเรียน รู้ให้ สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรยี น ซ่ึง Yusof. et al (2017) อภิปรายว่าความต้องการของผู้เรียน นั้นยึดโยงกับความตอ้ งการของตลาดแรงงานและการเปลี่ยนแปลงของภาคเศรษฐกิจ ที่สนับสนุนการ พฒั นาผู้เรยี นให้มีคุณลกั ษณะทเี่ ป็นประโยชน์ต่อกลไกลตลาดของประเทศและโลก (Ball, 2012) รูปแบบการจัดการศึกษามีแนวคิดร่วมและสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้แบบผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง (Student-centered) ทว่าขอบเขตของการจัดการศึกษาแบบผลลัพธ์เป็นฐานครอบคลุม ท้ังการเรียนรู้ในและนอกห้องเรียน โดยเน้นการจัดส่ิงแวดล้อมทางการศึกษา อันได้แก่ หลักสูตร การ จัดการเรียนรู้ ทรัพยากร สิ่งอานวยความสะดวก กิจกรรมเสริมหลักสูตร เป็นต้น เพื่อให้ความ สอดคล้องกับผลลพั ธท์ ี่ตอ้ งการใหเ้ กดิ หลังจากจบกระบวนการการจดั การศึกษา (Macayan, 2017) ขั้นตอนสาคัญของรูปแบบการจัดการศึกษาดังกล่าว คือ การกาหนดว่าผลลัพธ์ที่ต้องการให้ เกิดหลังจากสาเร็จการศึกษาคืออะไร ซ่ึงการหาจุดร่วมระหว่างความต้องการของผู้เรียน บริบทของ ชุมชน และบรบิ ทสังคม เปน็ ตัวแปรหลักในการออกแบบการศึกษาและจัดสภาพแวดลอ้ ม โดย Spady
66 (1994) ได้ออกแบบกรอบการออกแบบการจัดการศึกษา ซึ่งประกอบไปด้วยหลักการท้ังหมด 4 หลกั การ ได้แก่ 1) การพิจารณาความชัดเจน (Clarity focus) กิจกรรมการศึกษาและส่งิ อานวยความสะดวก ทง้ั หมดต้องเกี่ยวขอ้ งและตรงกบั วตั ถปุ ระสงค์ และนาไปสผู่ ลลพั ธท์ ่กี าหนดไว้ 2) การขยายโอกาส (Expanded opportunity) การจัดการศึกษาสง่ เสรมิ โอกาสให้ผ้เู รียนได้ พัฒนาตนเองตามผลลัพธ์ท่ีคาดหวังด้วยวิธีการที่หลากหลายและเวลาที่เป็นเสรี ท้ังน้ีผู้เรียนไม่ จาเป็นตอ้ งเรยี นรู้เหมอื นกนั แบะพร้อมกันเสมอไป 3) การคาดหวัง (High expectations) การจดั การศึกษาควรท้าทายความสามารถและพัฒนา ศักยภาพของผเู้ รยี น ทั้งกระต้นุ ใหผ้ ้เู รียนมคี วามมงุ่ ม่ันและใฝห่ าความรู้ 4) การออกแบบย้อนกลับ (Design Down) การออกแบบการจัดการศึกษาควรเร่ิมจาก กาหนดผลลัพธ์หรือวัตถุประสงค์โดยคร่าว ๆ แล้วจึงกาหนดจุดประสงค์เฉพาะเพื่อนาไปสู่การจัดการ เรยี นรู้ในเชิงปฏบิ ัติ (Implement Forward) 3.2) การเรยี นรู้ระบบเปดิ (Open system learning) การเรียนรู้แบบเปิด มักถูกนามาใช้เพ่ืออธิบายการเรยี นรู้ที่ผู้เรยี นมีอิสระในการเลือกเรียน ไร้ ขอ้ จากดั ด้านเวลา สถานท่ี วิธกี ารเรียนรู้ รปู แบบการเขา้ ถงึ หรือด้านอ่นื ๆ เก่ียวกับแนวทางการเรยี นรู้ การเรียนรู้แบบเปิดนี้ เป็นการเรียนรู้ท่ีทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน สถานที่ ไหน เวลาไหน (Caliskan, 2012) ในอีกความหมายจะหมายถึงการเรียนรู้แบบบนอินเตอร์เน็ต (e- learnIng) การเรียนรู้แบบยืดหยุ่น (flexible learning) และ การเรียนการไกล (distance learning) เป็นตน้ การเรียนรู้แบบเปิดเก่ียวพันธก์ ับการเรียนรู้ด้วยตนเอง (self-study) การเรียนรู้ตามอัธยาศยั (informal adult learning)การศึกษาโดยครอบครัว(home study) การเรียนรู้ตลอดชีวิต(lifelong learning) ซึ่งแนวคิดแบบน้ีถูกนามาใช้อธิบายวิธีการเรียนรู้ในระดับอุดมศึกษาใน 40 ปีที่ผ่านมา คาว่า Open ถูกนามาใช้เป็นคร้ังแรกในมหาวิทยาลัยเปิดท่ีอังกฤษ ซึ่งก็คือ UK’s Open University โดยท่ีคาว่า Open University คือตัวอย่างของสถาบันอุดมศึกษาที่เสนอการเรียนรู้แบบเปิดและแบบ ทางไกล ซ่ึงในแต่ละมหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาอาจจะกาหนดขอบเขตการเรียนการสอน แตกต่างกนั ไป การเรียนรู้แบบเปิด (Open Education) ได้พัฒนาไปสู่การเรียนรู้ทางไกล และต่อมาได้ พฒั นาไปสกู่ ารเรียนรู้แบบเปดิ ระยะไกล ทเี่ กดิ มาจากการพัฒนาและแนวโน้มที่ต้องการระบบเช่นนี้มา สนับสนุนความต้องการในการเรียนรู้ อีกหนึ่งแนวคิดที่ใช้ในการเรียนรู้แบบเปิด คือ สื่อการสอนและ การเรียนรู้ท่ีคุณสามารถใช้และนากลับมาใช้ใหม่ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือ Open Educational Resources (OER) มีวตั ถปุ ระสงคส์ าหรบั การศกึ ษา Sariola (1997) as cited in Caliskan (2012) อธิบายถึงลักษณะของระบบเปิด 4 ลักษณะ ดังน้ี
67 1) ลกั ษณะทางกายภาพ เกี่ยวขอ้ งกับกายภาพของสถานการณ์ในการเรยี นรู้และการเข้าถึงได้ โดยผู้เรยี น ลกั ษณะเหล่านี้กาหนดวา่ ผใู้ ชส้ ามารถเปิดสิง่ อานวยความสะดวกได้ตลอดเวลาหรอื ไม่ 2) ลักษณะการสอนเกี่ยวข้องกับวิธีการเรียนรู้และกระบวนการประเมินผลส่ิงเหล่าน้ีตอบได้ วา่ ผ้เู รยี นศึกษาและเรยี นรู้อย่างไร 3) ลักษณะทางจิตวิทยาเก่ียวข้องกับปัจจัยท่ีสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ ส่ิงเหล่านี้จะ ตอบวา่ อะไรเป็นส่งิ ท่เี ปน็ แรงกระตนุ้ ผเู้ รยี นและกระต้นุ อยา่ งไร 4) ลักษณะเสมือนหมายถึงส่ือและเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้ในกระบวนการเรียนการสอน มันจะ กาหนดว่าเทคโนโลยีหรือสื่อใดท่ีเหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียนมากที่สุดภายใต้สถานการณ์ เฉพาะ Lewis กล่าวถึงความหมายของการเรียนรู้แบบเปิดวา่ เป็นทางเลือกสาหรับผทู้ ่ีไม่สามารถรับ การศึกษาแบบปกติได้ เนื่องจากข้อจากัดเร่ืองเวลาและสถานที่ โดยมุมมองของ Lewis ให้การจากัด ความของการเรยี นรู้แบบเปิดไว้ในประเภทเดียวกันกับการเรียนทางไกล สาหรบั คนอนื่ การเรียนรู้แบบ เปิดเป็นมากกว่าความสะดวกสบาย เพราะไม่ใช่แค่ความอิสะในการเลือกเวลาและสถานที่ในการ เรียนรู้เท่านั้น แต่ยังให้อิสระในการเลือกส่ิงที่ต้องการจะเรียนรู้และวิธีการเรียนรู้ได้อีกด้วย ใน ความเห็นมุมมองน้ี มันจะทาให้ผู้เรียนควบคุมการเรียนรู้ของตนเองเกี่ยวกับหลักสูตร วิธีการและ กระบวนการท่ีใชไ้ ดด้ ้วย (Caliskan, 2012) ดงั นน้ั ไมเ่ พยี งแต่เปน็ วธิ ีท่ยี ืดหย่นุ ในการการเรียนการสอน แต่การเรียนรู้แบบเปิดยังเป็นวิธีการเรียนรู้ที่สร้างผู้เรียนที่มีความกระตือรือร้น ความอิสระและความ รบั ผิดชอบพรอ้ มดว้ ยทกั ษะทจ่ี าเป็นต่อศตวรรษท่ี21 มุมมองร่วมสมัยของการเรียนรู้แบบเปิดอาจจะเกี่ยวข้องอย่างมากกับการศึกษาของผู้ใหญ่ แม้ว่าทฤษฎีการศึกษาถูกมองว่าเป็นกระบวนการกระบวนการที่ยั่งยืนตลอดชีวิต แต่โดยปกติแล้ว การศึกษาจะเน้นไปที่การเรียนของเด็ก ซ่ึงก็คือการเรียนการสอน แต่การเรียนของผู้ใหญ่น้ันแตกต่าง ไปจากการเรียนการสอนมาก ในอีกแง่หนึ่ง มองว่าการเรียนรู้แบบเปิดเป็นการเรียนรู้สาหรับผู้ใหญ่ มากกว่าสาหรับเด็กเนื่องจากสถาบันอุดมศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแบบของการศึกษานอกระบบ ท่ีผู้ใหญ่ส่วนมากมีโอกาสใช้ประโยชน์ของความยืดหยุ่นของระเบียบการและกลยุทธ์ของการเรียนรู้ แบบเปิด จากมมุ มองนี้ อาจจะกล่าวไดว้ ่าการเรยี นรแู้ บบเปดิ เป็นการส่งเสริมการเรยี นรู้ตลอดชีวิตและ การเรียนรู้ของผู้ใหญ่น่ันเอง ท้ังน้ีการเรียนรู้แบบเปิดไม่ใช่แนวคิดใหม่ท่ีเพิ่งเกิดข้ึนมาในชีวิตคนเรา การเรียนรู้นี้สามารถสืบค้นกลับไปที่การเรียนรู้ทางไกลได้ ในทางตรงกันข้ามกันน้ัน ก็ยังมีความ เก่ียวข้องกันบางส่วนในการวิเคราะห์เชิงลึกของประสิทธิผลในด้านอ่ืนและตัวแปรอ่ืน ของการเรียนรู้ อีกประเด็นหน่ึงคือ ยังมีความสับสนอยู่ว่าการเรียนรู้แบบเปิดคืออะไรและมีขอบเขตแค่ไหน แต่ท่ี แนน่ อนกค็ ือ การเรียนรแู้ บบเปดิ ไมเ่ หมอื นกับการเรียนรูท้ างไกล (Caliskan, 2012) แนวโน้มในปจั จบุ ันแวดวงของการเรยี นรแู้ บบเปดิ และการเรียนรทู้ างไกลอาจจะถูกจัดให้เป็น เรื่องของการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและเทคโนโลยีก็ได้ แนวโน้มทางการเมืองเกี่ยวข้องกับการเข้าถึง และความเท่าเทียมกันของทรัพยากร การพัฒนาทางเศรษฐกิจ การฝึกอบรมแรงงาน และต้นทุน
68 ประสิทธิผลของการใช้งานในเรื่องการเรียนการสอน แนวโน้มทางเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจบน ฐานข้อมูล การฝึกอบรมตลอดชีวติ และแรงงานทมี่ ีคุณภาพ การศกึ ษาแบบใหม่และตลาดการฝึกอบรม และแหล่งข้อมูลทางเลือกสาหรับระบบการฝึกอบรมท่ียืดหยุ่น แนวโน้มทางสังคมเก่ียวข้องกับการ พัฒนาด้านบันเทิงและสันทนาการ ประชากร กิจกรรมในชุมชน ความเป็นพลเมือง สุขภาพและ อาชญากรรม การเปล่ียนวิถีชีวิต แนวโน้มทางเทคโนโลยี เน้นไปที่การใช้สื่อในอินเตอร์เน็ต (Multimedia) เทคโนโลยใี นการเรียนรูท้ างไกล เทคโนโลยสี ่วนบคุ คลและเทคโนโลยโี ทรศัพทเ์ คลื่อนท่ี โทรคมนาคม โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ ความยืดหยุ่น การเข้าถึง ทางด่วนข้อมูลสารสนเทศ การปฏิสัมพันธ์ และปัญหาต้นทุนต่า ในทางตรงข้ามกับงานวิจัยจานวนมากเกี่ยวกับการเรียนรู้ แบบเปิด ที่ได้รับความนิยมมากข้ึนในแต่ละปี การเข้าถึงและความเท่าเทียมกันเป็น2สิ่งที่สาคัญของ การเรียนรู้ทางไกลที่มีมาเป็นเวลานาน ปัจจุบันนี้ มหาวิทยาลัยและสถาบันพยายามหากลุ่มเปา้ หมาย ใหม่โดยการเข้าสู่ตลาดโลก มหาวิทยาลัยและสถาบันเหล่านี้เปิดโอกาสการเรียนรู้ออนไลน์ผ่านการ เรียนรู้แบบเปิดเพ่ือท่ีจะเข้าถงึ ผู้เรยี นท่ีมีความแตกต่างกันในเรื่องเวลาและสถานท่ีและคุณลักษณะอ่นื เนื่องจากผู้เรียนจะสร้างความต้องการในด้านวัฒนธรรม การเมือง แบบแผน อีกทั้งปัญหาเก่ียวกับ ระบบ ความยดื หยนุ่ ท่ีอาจจะกลายเป็นเรื่องสาคัญมากขึน้ ย่ิงไปกวา่ นน้ั การข้ามวฒั นธรรม การศกึ ษา ในยุคโลกาภิวัตน์ การเข้าถึงและความเสมอภาคเท่าเทียมกันและจริยธรรมและจะกลายเป็นประเด็น สาคัญในการวิจัยสาขานี้ 3.3) การเรยี นรู้ที่มเี ป้าหมายชดั แจง้ (Visible learning) John Hattie เกี่ยวข้องกับการที่ผู้สอนจัดการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนเชิง ประจักษ์หรือเข้าใจอย่างชัดแจ้ง ผู้สอนต้องสังเกตผู้เรียนขณะเรียนรู้และปรับเปล่ียนรูปแบบการสอน เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าในเนื้อหามากที่สุด โดยผู้สอนต้องเข้าใจความรู้สึกของผู้เรียนแต่ละคน ทาให้ผู้เรียน ไว้วางใจ เปิดใจ มีทัศนคติที่ดีต่อครูต่อวิชาเรียนน้ัน ท้ังส่งเสริมให้ผู้เรียนและผู้สอนรู้และเข้าใจ เป้าหมายที่ชัดเจนในการเรียนรู้ร่วมกัน ไม่ใช่เพียงมีเป้าหมายโดยกว้าง ไม่เฉพาะเจาะจง (Moffat, n.d.) การเรียนรู้ท่ีชัดแจ้ง คือผลสาเร็จจากการค้นคว้าและการสังเคราะห์ในการวิเคราะห์อภิมาน มามากกว่า 15 ปีจากงานวิจัยทางการศึกษามากกว่า 50,000 ฉบับทั่วโลก เก่ียวกับอิทธิพลต่อ ความสาเร็จของผู้เรียน การค้นคว้าวิจัยน้ีแสดงให้เห็นถึงสิ่งท่ีมีผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ในโรงเรียน ท้ังนี้ผู้สอนต้องเป็นผู้ประเมินการเรียนรู้และปรับปรุงพัฒนาการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับ ผู้เรียนแต่ละคน เพราะความเชื่อมั่นและความรับผิดชอบของครูมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และ ความสาเร็จของผู้เรียน โดย Moffat (n.d.) ได้กาหนดคุณลกั ษณะของผ้สู อนท่ีมีประสิทธภิ าพท่ีส่งเสริม การเรยี นรทู้ ี่ชดั แจง้ ซงึ่ ได้แก่ 1) สามารถประเมินผลกระทบการเรยี นการสอนจากการเรียนรู้ของผ้เู รียน 2) เป็น “Change Agents” คือเป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลงในตัวผู้เรียน ที่จะทาให้การเรียนรู้ ของผู้เรียนดขี ึ้น
69 3) พูดคุยถึงวธิ กี ารเรียนรขู้ องผ้เู รียนไมใ่ ช่เร่ืองการสอนของครู 4) มองการประเมินเปน็ ผลตอบรับของผลกระทบการเรียนรู้ 5) ให้ผูเ้ รยี นมสี ่วนร่วมในการพดู คุย 6) สนกุ กับการทา้ ทายและให้ผเู้ รียนมสี ว่ นรว่ มในการทา้ ทาย 7) เสริมสรา้ งความสมั พนั ธ์ท่ีดีกบั ผูเ้ รียน เพือ่ สนบั สนุนการเรยี นรทู้ ี่มปี ระสิทธภิ าพ 8) สอ่ื สารกบั ผูเ้ รียนด้วยภาษาทีง่ ่ายตอ่ การเข้าใจ 9) สอนให้ผู้เรยี นเขา้ ใจคณุ ค่าของความตงั้ ใจ ความมุมานะและการฝึกฝนอย่างตัง้ ใจ ดังนั้นการจัดการเรียนรู้ที่ชัดแจ้ง ผู้สอนต้องมีเป้าหมายในการเรียนรู้ที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้เรียน เข้าใจเป้าหมายการเรียนรู้ มีการท้าทายความสาเร็จ มีมีกลยุทธ์ในการจัดการเรียนเพื่อส่งเสริมให้ ผเู้ รียนพัฒนากลยุทธ์การเรยี นรูข้ องตัวเอง ตอ้ งมองออกวา่ ผูเ้ รียนเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ใหผ้ ลสะท้อนที่มี ประโยชน์กับผู้เรียน รู้เท่ากันการจัดการเรียนรู้ของตน ทั้งน้ีเพ่ือเป็นแบบอย่างและส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถสะท้อนการเรยี นรู้ของตนเองได้ Hattie กล่าวว่า ส่ิงหนึ่งท่ีมีอิทธิพลมากท่ีสุดที่มีผลต่อความสาเร็จคือ การสะท้อนผล (feedback) โดยท่ีผลสะท้อนกลับนั้นต้อง ชัดเจน มีเป้าหมาย มีความหมาย และผู้เรียนสามารถ นาไปใช้ได้กับความรู้ที่มี มีความตรงไปตรงมา เพ่ือให้ผู้เรียนเข้าใจง่าย เอาไปปรับใช้ หรือพัฒนากล ยุทธ์ในการเรียนรู้ สามารถเอาไปใช้รวมกับการสอนในห้องเรียน จดจ่อกับเป้าหมายการเรียนรู้ และ วิธีการประสบความสาเร็จ ให้ความรู้ว่าอย่างไรและทาไมผู้เรียนถึงเข้าหรือไม่เข้าเกณฑ์ ให้กลยุทธ์ท่ี ช่วยให้ผเู้ รียนปรบั ปรงุ แกไ้ ขตนเอง 3.4) การเรยี นรู้แบบมงุ่ ยกระดบั ศกั ยภาพ หรือไฮสโคป (High scope learning) การจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคปเน้นการจัดสิ่งแวดล้อมทางการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ของผู้เรียนที่สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ของ Jean Paget และ Vygotsky (UKEssays, 2018) ซ่ึงการจัดการเรียนรู้แบบดังกล่าวได้ถูกนามาปรับใช้อย่างแพร่หลายในการศึกษาประถมวัยทั้งในไทย และต่างประเทศ ในปีการศึกษา 2562 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานได้นาร่อง นานวัตกรรมการจัดการศึกษาปฐมวัยด้วยแนวคิดไฮสโคป มาใช้ในห้องเรียนของโรงเรียนอนุบาล ประจาจังหวัด โรงเรียนประจาอาเภอ จานวน 82 แห่งท่ัวประเทศ และมีแผนจะขยายผลไปยัง โรงเรยี นอืน่ ตอ่ ไป (ผู้จัดการออนไลน์, 2562) ทว่าวรรณกรรมท่ีเก่ยี วขอ้ งแนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบ ไฮสโคปในบริบทของประเทศไทยยังมีอยู่จากัด และแนวคิดดังกล่าวยังได้มีการศึกษาและพัฒนาอยู่ เรื่อย ๆ ดังนั้นรายงานฉบับน้ีจะนาเสนอการจัดสิ่งแวดล้อมแบบไอสโคปในเชิงปฏิบัติและการจัด หลักสูตรการศึกษา การจัดส่ิงแวดล้อมทางการศึกษาเพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนควรคานึงถึง 3 องค์ประกอบหลกั ในการเรียนรดู้ ังน้ี 1) การพัฒนาทางสังคมและอารมณ์ (Social and emotional development) เพือ่ ส่งเสริม ให้ผู้เรียนเรียนรู้การระบุและแก้ไขปัญหา บทบาทหน้าที่ การตั้งเป้าหมาย และสามารถส่ือสารกับ ผูอ้ ่นื ได้
70 2) การพัฒนาทางกายภาพและเคลื่อนไหว (Movement and physical development) เพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้การควบคุมร่างกาย อาจทาได้โดยผ่านกิจกรรมการเล่น วิ่ง ปีน จับ และตอ่ 3) การพัฒนาทางสติปัญญา (Cognitive development) เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนฝึก กระบวนการคิดวิเคราะห์ อาทิ การจัดประเภท การนาเสนอ คานวณพ้ืนท่ีและเวลา และทักษะทาง ภาษา การจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้แบบไฮสโคปควรให้ความสาคัญครอบคลุมท้ัง กระบวนการจัดการศึกษา ต้ังแต่การออกแบบหลักสูตร การดาเนินการ และการประเมิน โดย UKEssays (2018) ได้อธิบายการหลักการสาคัญในการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้ แบบไฮสโคปไวด้ งั น้ี 1) การสังเกต (Observations) ผสู้ อนควรสืบหาความตอ้ งการและความสนใจของผ้เู รียนผ่าน การทากิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมระหว่างครูและผู้เรียน และต้ังคาถามปลายเปิดขณะทากิจกรรม การสังเกตสามารถทาผ่านแบบบันทึกการสังเกตผู้เรียน (Child Observation Record) เพื่อเป็น หลักฐานในการประเมินและวิเคราะห์ความต้องการ ทั้งน้ีแบบบันทึกควรมีจุดประสงค์และตัวชี้วัดที่ ชัดเจน โดยควรมีการบนั ทกึ รายวันด้วยผูป้ ระเมนิ ที่มคี วามใกลช้ ดิ กบั ผ้เู รียน ผลการบนั ทึกนี้ยงั สามารถ ใช้เป็นหลักฐานต่อผู้ปกครองและเพ่ือนครูเพื่อร่วมพัฒนากระบวนการการเรียนรู้ของผู้เรียน อีกทั้งยัง สามารถนามาวิเคราะห์เชงิ เปรียบเทียบเพ่ือประเมินหาจดุ เหมือนต่างของผู้เรยี นสาหรับพัฒนาการจัด การศกึ ษาต่อไป 2) การวางแผน (Planning) ผู้สอนควรออกแบบและวางแผนกิจกรรมและทรัพยากรท่ี สอดคลอ้ งและครอบคลมุ ความต้องการของผเู้ รยี นเปน็ อนั ดับแรก จากนัน้ ร่วมวางแผนกจิ กรรมกับกลุ่ม ผู้เรียนย่อย แล้วให้กลุ่มผู้เรียนร่วมออกความเห็นและตัดสินใจในกิจกรรมและทรัพยากรการเรียนรู้ท่ี ตนสนใจท่ีจะเรียนรู้ เม่ือวางแผนเสร็จกลุ่มผู้เรียนเร่ิมเรียนรู้ โดยผู้สอนเป็นผู้ดูแลและสนับสนุนการ เรียนรู้ ระหวา่ งการเรยี นรผู้ ู้สอนควรตง้ั คาถามทา้ ทายการเรียนรู้ตามองคป์ ระกอบหลักในการเรียนรู้ทั้ง 3 ท่ีกลา่ วข้างต้น แลว้ บนั ทึกการสงั เกตลงในแบบบันทึกเพ่ือใชพ้ ฒั นาการจัดการเรยี นรตู้ ่อไป 3) การดาเนินการ (Implementation) ผู้สอนเป็นตัวใจหลกั ในการจัดการเรียนรู้ โดยการจัด สภาพแวดล้อม เตรียมส่ือการเรยี นรู้และทรัพยากรที่เหมาะสมกับช่วงวยั ของผ้เู รยี น ทั้งคอยสนับสนนุ การเรียนรู้โดยสร้างบรรยากาศที่สร้างสรรค์ ซึ่งกิจกรรมในแต่ละวันค่อนข้างจะมีกรอบแบบแผน ชัดเจนแต่ยังสามารถยืดหยุ่นตามความต้องการของการเรียนการรู้ ซ่ึงกรอบการดาเนินกิจกรรม ในแต่ละวนั มดี งั นี้ 3.1) ทักทายและเตรียมพร้อมการเรยี นรู้ Arrival and greeting 3.2) กจิ กรรม วางแผน ปฏิบตั ิ ทบทวน Plan-Do-Review 3.3) กจิ กรรมเป็นกลุ่มใหญ่ Large group 3.4) กิจกรรมเป็นกล่มุ ยอ่ ย Small group
71 3.5) กจิ กรรมนอกห้องเรยี น Outside time แนวการจัดกิจกรรมวางแผน-ปฏิบัติ-ทบทวน Plan-Do-Review ซึ่งเป็นหัวใจสาคัญของการ จัดการเรียนรู้แบบแบบไฮสโคปประกอบด้วย การวางแผน (Plan) ซ่ึงเป็นการให้ผู้เรียนกาหนดแนว ทางการปฏิบัติ หรือการเรียนรู้ตามท่ีได้ตกลงหรือตามส่ิงท่ีตัวเองสนใจ ผ่านการสนทนากับครู หรือ สนทนาระหว่างเพื่อน เพ่ือวางแผนการทางานหรือการเรียนรู้อย่างเหมาะสม ว่าจะทาอะไร อย่างไร การวางแผนกจิ กรรมอาจบันทกึ ด้วยภาพหรือสญั ลักษณ์ประจาตวั ผเู้ รียนหรือโดยให้ครชู ่วยบนั ทกึ การ ปฏิบัติ (Do) เป็นการให้ผู้เรียนลงมือทากิจกรรมตามแผนท่ีและกรอบเวลาท่ีร่วมกาหนด โดยเน้น ทักษะการคิด ทดลองและแก้ปัญหาร่วมกันอย่างมีจุดมุ่งหมาย การเรียนรู้ตามประสบการณ์ และการ ค้นหาความคิดใหม่ โดยผู้สอนจะทาหน้าท่ีชี้แนะและให้คาแนะนา และการทบทวน (Review) เป็น การให้ผู้เรียนได้สะท้อนผลงานของตนผ่านการสนทนาเชิงสร้างสรรค์ เพื่อทบทวนว่าตนเองน้ันได้ ปฏิบัติงานตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่ มีการเปล่ียนแปลงอย่างไร โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ผู้เรียนได้ เชื่อมโยงแผนการปฏิบัติงานกับผลงานที่ทา สะท้อนประสบการณ์ต่าง ๆ ท่ีได้ลงมือทาด้วยตนเอง (Trueplookpanya, 2019) กิจกรรมที่จัดข้ึนควรคานงึ ถึงความเหมาะสมของเวลาสถานที่และส่ือการเรยี นรู้ในการจัดการ เรียนรู้ พ้ืนท่ีดังกล่าวควรเก่ียวเน่ืองและสัมพันธ์กับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยสื่อการเรียนรู้ต้องได้รับ การจัดเรียงในรูปแบบที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ตลอดเวลา ส่วนช่วงเวลาในการดาเนิน กิจกรรมควรใหค้ วามสาคัญในการวางแผน ปฏิบัติ และทบทวน 1) การประเมิน (Assessment) ผู้สอนประเมินพัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียนและการ จดั การเรียนรู้ของตนผ่านแบบบันทกึ การสงั เกต (Child Observation Record) และผ่านการประเมิน คุณภาพหลักสูตร ซ่ึงการประเมินคุณภาพหลักสูตรควรครอบคลุมด้านส่ิงแวดล้อมการเรียนรู้ ด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและผู้เรียน ด้านกิจกรรมประจาวัน ด้านการออกแบบหลักสูตร ด้านการ ประเมินผล ด้านความมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง ด้านคุณสมบัติและพัฒนาของผู้สอน ด้านการจัดการ และพฒั นาหลักสตู ร ความเหมาะสมของสื่อการเรียนรู้กบั พฒั นาการของผู้เรียน การจดั การเรียนรู้ตาม วัตถุประสงค์ ซึ่งการประเมินนี้เป็นองค์ประกอบสาคัญช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนและการ พฒั นาผู้สอน 2) การจัดทาเอกสาร (Documentation) การจัดเอกสารเป็นรายงานรายบุคคลท่ีสังเคราะห์ มาจากแบบบันทึกการสังเกต รูปภาพ และผลงานผู้เรียน โรงเรียนควรจัดทาเอกสารท่ีสะท้อนการจัด การศึกษาของทุกปีการศึกษาเพ่ือเป็นข้อมูลในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้และจัดสภาพแวดล้อม ผู้ปกครองสามารถติดตามการพัฒนาของการจัดการศึกษาและการเรียนของผเู้ รียนผ่านเอกสาร อีกทั้ง ชุมชนและนักสังคมมีข้อมูลพื้นฐานเพ่ือนาไปขยายผลและช่วยเหลือโรงเรียนได้อย่างเหมาะสมกับ บริบท (UKEssays, 2018) โ ด ย ภ า พ ร ว ม จ ะ เ ห็ น ว่ า ก า ร จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ แ บ บ ไ ฮ ส โ ค ป จ ะ เ น้ น ผู้ เ รี ย น เ ป็ น ศู น ย์ ก ล า ง ให้ความสาคัญกับการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและความเท่าเทียมในการเรียนรู้ ท้ังเตรียมพร้อม
72 ผู้เรียนให้มีความรู้และทักษะที่จาเปน็ ต่อการดารงชีวิตในสงั คม แต่ทว่าจัดการเรยี นรู้แบบไฮสโคปต้อง อาศัยวัฒนธรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ซ่ึงต้องใช้เวลาในการปรับให้เข้ากับการเรียนรู้ตามบริบท ไทย ท้ังจาเป็นต้องใช้ทรัพยากรและงบประมาณที่สูงในการจัดการเรียนรู้ และผู้เรียนระดับ ประถมศึกษามีความท้าทายในการเรียนรู้แบบระยะยาวและต่อเนื่อง ผู้ที่มีความประสงค์จะนาการ จัดการเรยี นร้แู บบไฮสโคปไปปรบั ใชค้ วรตระหนกั ถึงทง้ั ข้อดีและขอ้ เสยี ของรูปแบบการเรียนรนู้ ้ี 4) การเรียนรูส้ ร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovation Creation Learning) ประกอบด้วย 4.1) การเรียนรู้การค้นพบสง่ิ ใหม่ (Discovery learning) เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนค้นหาคาตอบ หรือความรู้ด้วยตนเอง โดยผู้สอนจะ เป็นผู้สร้าง สถานการณ์ในลักษณะท่ีผู้เรียนจะเผชิญกับปัญหา ซึ่งในการแก้ปัญหาน้ัน ผู้เรียนจะใช้ กระบวนการท่ีตรงกบั ธรรมชาติของวชิ าหรือปัญหาน้ัน เช่นผูเ้ รียนจะศึกษาปัญหาทางชวี วิทยา กจ็ ะใช้ วิธีเดียวกันกับนักชีววิทยาศึกษา หรือผู้เรียนจะศึกษาปัญหาประวัติศาสตร์ ก็จะใช้วิธีการเช่นเดียวกับ นักประวัติศาสตร์ศึกษา ดังน้ัน จึงเป็นวิธีจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการเหมาะสา หรับวิชา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ แต่ก็สามารถใช้กับวธิ ีอื่น ๆ ได้ ในการแก้ปัญหาน้ัน ผู้เรียนจะต้องนาข้อมลู มาทาการวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และสรุปเพือ่ ให้ไดข้ ้อค้นพบใหม่ หรอื เกิดความคิดรวบยอดในเรือ่ งนนั้ การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบเน้นให้ผู้เรียนค้นหาคาตอบหรือความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งผู้เรียนจะ ใช้วิธีการ หรือกระบวนการต่าง ๆ ท่ีเห็นว่ามีประสิทธิภาพและตรงกับธรรมชาติของวิชา หรือปัญหา ดังนั้นจึงมีผู้นาเสนอ วิธีการการจัดการเรียนรู้ไว้หลากหลายเช่นการแนะให้ผู้เรียนพบหลักการทาง คณติ ศาสตร์ด้วยตนเองโดยวิธีอปุ นยั การท่ีผู้เรียนใช้กระบวนการแก้ปัญหาแล้วนาไปสู่การคน้ พบมีการ กาหนดปัญหาต้ังสมมติฐานและรวบรวมข้อมูลทดสอบสมมติฐานและสรุปข้อค้นพบซ่ึงอาจใช้วิธีการ เก็บข้อมูลจากการทดลองด้วยการท่ีผู้สอนจัดโปรแกรมไว้ให้ผู้เรียนใช้การคิดแบบอุปนัยและนิรนัยใน เรื่องต่าง ๆ ก็สามารถได้ข้อค้นพบด้วยตนเองผสู้ อนจะเปน็ ผใู้ ห้คาปรึกษาแนะนาหรือกระตุ้นให้ผู้เรยี น ใช้วิธหี รือกระบวนการทเี่ หมาะสม 4.2) การเรียนรู้จนิ ตนาการ (Imagination learning) การเรียนรจู้ ินตนาการเป็นแนวทางการเรียนรู้ทีเ่ คารพความคดิ สร้างสรรค์ของผู้เรียน สง่ เสริม การสอบถาม การสืบสวน การทางานร่วมกัน การทดลอง และการเป็นเจ้าของความคิดและวิธีการ ทางานส่วนบุคคล(Maher, Francisco, & Palius, 2012). Holzer (2007) เสนอความสามารถเก้า ประการที่สามารถใช้เพื่อกาหนดลักษณะการเรียนรู้จินตนาการ ได้แก่การสังเกตอย่างลึกซึ้ง การ รวบรวมผ่านความรู้สึก การตั้งคาถาม การเชื่อมโยง การระบุรูปแบบ การแสดงความเห็นอกเห็นใจ การสร้างความหมาย การกระทา และการสะท้อนหรือประเมิน นอกจากน้ียังมีคุณค่าในการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นหลักในสาขาจิตวิทยาและในสาขาหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (Maher et al., 2012). นอกจากน้ียังพบได้ในหลากหลายสาขาวิชาเช่นคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ (Maher et al., 2012).
73 การเรียนรู้จินตนาการเกี่ยวข้องกับการสืบสวนและการสอบถามอย่างสนุกสนานซึ่งผู้เรียนมี ส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและทดสอบตรรกะโดยการดูดซับความสนใจและการรวมเข้าด้วยกัน (Lawrence, 2010). ทั้งในจินตนาการและการกระทา ผู้เรียนที่มีความคิดสร้างสรรค์จะสร้างการ นาเสนอความคิดท่ีเป็นเอกลักษณ์และเป็นรูปธรรมซึ่งช่วยใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจถึงสถานการณ์ใหม่ท่ีท้าทาย (Maher et al., 2012). ผู้เรียนกาลังทาสิ่งนี้ในหลาย ๆ วิธี (Maher et al., 2012). ผู้เรียนเป็นนัก สงั เกตการณท์ ี่กระตือรือร้น ตคี วามสิ่งตา่ ง ๆ จากมมุ มองท่หี ลากหลาย และวาดภาพูผ้เรยี นในรูปแบบ จินตนาการและเป็นต้นฉบับ (Maher et al., 2012). วิธีการต่างๆในการแสดงความคิดของผู้เรียน ไดแ้ ก่ รปู แบบ รูปภาพไดอะแกรม สญั กรณ์ ภาพร่าง และกฎหมาย (Maher et al., 2012). เมื่อผเู้ รียน ใช้ประสบการณ์ของผู้อ่ืนในการทางานร่วมกัน ผู้เรียนจะสร้างแนวคิดใหม่ ๆ และคิดหาสิ่งที่ซับซ้อน มากข้ึน (Maher et al., 2012). ผู้เรียนท่ีมีจินตนาการกาลังมองหาวิธีการทางานท่ีมีความหมายทาง สังคม (Maher, 2005) 4.3) การเรยี นรูก้ ารเป็นนวัตกร (Innovation learning) การเรียนรู้การเป็นนวตั กร หมายถึง กระบวนการพัฒนาให้ผู้เรียนมีสมรรถนะ ทักษะ ความรู้ และเจตคติที่เป็นผู้ท่ีริเร่ิม ประดิษฐ์คิดค้น สร้างสรรค์ และสนับสนุนให้เกิดเทคนิควิธีการ รูปแบบ เคร่ืองมือ กระบวนการ หรือผลงาน ที่เป็นนวัตกรรม สาหรับใช้ในพัฒนาตนเอง ในการปฏิบัติงาน อันมีประโยชน์ คุณค่า และเหมาะสมต่อการแก้ไขปัญหาและสร้างสรรค์สงั คม กล่าวคือ เป็นการสร้าง ผู้เรียนท่ีพร้อมด้วยคุณสมบัติที่เหมาะสม มีความสามารถและทักษะท่ีจาเป็นต่อการพัฒนานวัตกรรม (Innovation) การเรียนรู้การเป็นนวัตกรและการพัฒนาความเป็นนวัตกรจึงเป็นหัวใจหลักในการ เรยี นรู้แหง่ อนาคต โชติชวัล ฟูกิจกาญจน์ (2556) ได้เสนอรูปแบบการพัฒนาการเป็นนวัตกรไว้ 7 รูปแบบ ดังน้ี 1) รูปแบบการฝึกอบรม (Training Model) เช่น การนาเสนอและการอภิปรายผลงานการประชุมเชงิ ปฏิบัติการการสัมมนา การสาธิต หรือการจาลองสถานการณ์ เป็นต้น 2) รูปแบบการสังเกตหรือการ ประเมิน (Observation/Assessment Model) เป็นการสังเกตคนอ่ืนหรือคนอื่นสังเกตตัวเรา อาจ เป็นรายเดี่ยวหรือเปน็ กลมุ่ เพื่อให้ได้ผลสะท้อนกลบั (Feedback) เกี่ยวกับการปฏบิ ัติงาน 3) รูปแบบ การให้มีส่วนเก่ียวข้องในกระบวนการพัฒนาหรือการปรับปรุง (Involvement in a Development /Improvement Process Model) ซึ่งผู้ที่เข้ามามีส่วนร่วมนั้นต้องมี การศึกษาหาความรู้และพัฒนา ทักษะเพ่ิมเติม มีโอกาสในการทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม การแลกเปล่ียนความคิดเห็น ตลอดจนมีการ ตัดสินใจร่วม 4) รูปแบบการศึกษาเป็นกลุ่ม (Study Groups Model) โดยศึกษาวิเคราะห์ประเด็น ปัญหาในส่วนของกลุ่ม มีการนาเสนอและแลกเปลยี่ นผลการศกึ ษา 5) รูปแบบการสืบค้นหรอื การวิจัย เชิงปฏิบัติการ (Inquiry/Action Research Model)เพื่อแก้ปัญหาหรือหาคาตอบข้อคาถามท่ีเกิดขึ้น ในการปฏิบัติงาน กระทาได้ ทั้งในระดับบุคคล ระดับกลุ่ม หรือระดับองค์การ 6) รูปแบบการพัฒนา ตนเอง (Individually Guided Activities Model) โดยแต่ละบุคคลจะกาหนดจุดมุ่งหมายในการ พฒั นาวชิ าชีพของตนเอง แลว้ เลอื กกิจกรรมเพื่อการปฏิบตั ิ ทเี่ ช่อื ว่าจะช่วยใหบ้ รรลุผลสาเร็จ สามารถ
74 ที่ จะกาหนดทิศทางและริเริ่มการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ และ 7) รูปแบบการเป็นพี่เลี้ยง (Mentoring Model)เป็นการจับคู่กันระหว่างผู้ท่ีมีประสบการณ์และประสบผลสาเร็จแล้วกับ บุคคลที่เร่ิมงานใหม่ หรือที่มีประสบการณ์น้อยกว่าโดยให้มีการอภิปรายกันถึงจุดมุ่งหมายในการพัฒนาวิชาชีพ ก า ร แ ล ก เ ป ลี่ ย น ค ว า ม คิ ด เ ห็ น แ ล ะ ก ล ยุ ท ธ์ ใ น ก า ร ท า ง า น ร ว ม ถึ ง ก า ร ส ะ ท้ อ น วิ ธี ก า ร ที่ ใ ช้ กั น อ ยู่ การสังเกตการณ์ ทางาน และการใชเ้ ทคนคิ เพื่อการปรับปรุงแกไ้ ข การพัฒนาศักยภาพความเป็นนวัตกรต้องมีกระบวนการพัฒนาท่ีมีการกาหนดวัตถุประสงค์ การเรยี นรู้และขอบข่ายเน้ือหาของการพัฒนาไว้อยา่ งชัดเจน มกี ารใชร้ ูปแบบการพัฒนาทห่ี ลากหลาย ได้อย่างเหมาะสม มีการติดตามผลการพัฒนาอย่างเหมาะสม ทั้งต้องมีการสนับสนุนที่เหมาะสมด้วย หรือเรียกโดยรวมได้ว่าเป็นระบบเสริมสร้าง (Reinforcement System) เพื่อพัฒนาศักยภาพความ เป็นนวัตกรได้สอดคล้องกับความสามารถ พฤติกรรม และทัศนคติที่พึงประสงค์ (วสันต์ สทุธาวาศ และธีระวัฒน์ จนั ทกึ , 2559) 5) การเรยี นรูก้ ารนาความรู้ประยุกต์ใชใ้ นชวี ติ จริง (Real life Application Learning) 5.1) การเรยี นรกู้ ารนาความรู้ไปใช้แกป้ ัญหา (Problem solving learning) การแก้ปัญหาเป็นกระบวนการออกแบบและใช้การแสดงแนวคิดของปัญหาเพ่ือหาแนว ทางแก้ไขปัญหาที่พบในเกือบทุกกรณี (Jonassen & Hung, 2012b). Jonassen และ Hung แนะนา วา่ การแก้ปัญหาเป็นกระบวนการมักมีคุณลักษณะทส่ี าคญั สองประการ คือ ประการแรกการแก้ปัญหา เก่ียวข้องกับการพัฒนาภาพความคิดของสถานการณ์ปญั หาบนพ้ืนฐานของสงิ่ ที่นาเสนอ และประการ ท่ีสองการแก้ปัญหายังต้องการการดึงแผนผังปัญหาจากหน่วยความจาของผู้แก้ปัญหาเพ่ือช่วยวิธีการ การเรียนรู้แบบแก้ปัญหาหรือการเรียนรู้ท่ีมีปญั หาเป็นฐานเป็นแนวทางการเรียนการสอนที่มี จุดมุ่งหมายเพ่ือเตรียมผู้เรียนให้พร้อมสาหรับสภาพแวดล้อมในโลกแห่งความจริง (Jonassen & Hung, 2012a) ด้วยการส่งเสริมให้ผู้เรียนแก้ปัญหา การเรียนรู้ท่ีมีปัญหาเป็นฐาน ปรับปรุงผลการ เรียนรู้ของผู้เรียนโดยสนับสนุนทักษะการใช้ความรู้ การแก้ปัญหา การคิดในระดับท่ีสูงข้ึน และการ เรยี นรดู้ ้วยตนเอง Barrows (1996) ได้ระบุองค์ประกอบของการเรียนรู้ที่มีปัญหาเป็นฐาน 4 ประการ ได้แก่ การขับเคล่ือนด้วยปัญหา ตามบริบท ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือนาตนเอง และกระบวนการเรียนรู้ ร่วมกนั ประการแรก ในการเรยี นรทู้ ี่มีปัญหาเปน็ ฐาน การเรียนรู้ของผู้เรียนเกิดจากความต้องการที่จะ แก้ปัญหาที่แท้จริง ประการท่ีสองผ่านกระบวนการแก้ปัญหา ผู้เรียนไม่เพียงแต่ได้รับกลุ่มด้านความรู้ เท่าน้ัน แต่ยังสร้างแผนผังความรู้ท่ีเกี่ยวข้องและกาหนดบริบทความรู้ที่ผู้เรียนได้รับ ประการที่สาม การเรียนร้ดู ว้ ยตนเองเปน็ องคป์ ระกอบท่ีสาคญั ของการเรยี นรู้ที่มีปัญหาเป็นฐาน Savery and Duffy (1995) Savery and Duffy (1995) แย้งว่าในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ที่เน้นปัญหาผู้เรียนจะต้องพัฒนาทักษะและเทคนิคการเรียนรู้ของตนเองเพ่ือดาเนินงานการเรียนรู้ อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ โดยการสังเกตและเลียนแบบกระบวนการใช้เหตผุ ลและการแกป้ ัญหาของผู้สอน และสามารถแก้ปัญหาได้ดว้ ยตนเอง (โดยได้รบั คาแนะนาจากผู้สอนอยา่ งเพียงพอ) ผ้เู รยี นจะได้ฝึกฝน
75 และพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาด้วยตนเอง การเรียนรู้ด้วยตนเอง และทักษะทางอภิปัญญา (Jonassen & Hung, 2012a). สุดท้ายในการเรียนรู้ท่ีมีปัญหาเป็นฐาน ผู้เรียนทางานเป็นกลุ่มย่อย การทางานร่วมกัน ผู้เรียนสามารถระบุว่า \"ปัญหา\" คืออะไรและร่วมกันสร้างประเด็นการเรียนรู้หรือ วัตถุประสงคส์ าหรบั การเรียนรู้ด้วยตนเอง ภาระหนา้ ท่ใี นการทางานเปน็ กลุ่มชว่ ยทาให้ผู้เรียนสามารถ พัฒนาทักษะการทางานเป็นทีม ความร่วมมือ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการส่ือสาร ด้วยเหตุนี้ ในข้ันตอนของกระบวนการของการเรียนรู้ท่ีมีปัญหาเป็นฐาน ผู้เรียนจึงมีส่วนร่วมในกระบวนการรบั รู้ ที่จาเป็นซึ่งช่วยให้ผู้เรียนสร้างประยุกต์ใช้รวมและมุ่งเน้นไปท่ีข้อมูลเน้ือหาที่ต้องการในบริบทเฉพาะ (Jonassen & Hung, 2012a). 5.2) การเรยี นรทู้ างอารมณแ์ ละสังคม (Social emotional learning) CASEL (2016) ได้ให้ความหมายเก่ียวกับการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคมสาหรับผู้เรียนทุก ช่วงวัยว่าเป็นกระบวนการส่งเสริมการเรียนรู้ท่ีอาศัยความร่วมมือระหว่างครอบครัว โรงเรียน และ ชุมชน เพื่อการพัฒนา ความสามารถท่ีสาคัญอันจะนาไปสู่การเสริมสร้างเจตคติที่ดีพฤติกรรมทาง สังคมเชิงบวกและผลสมัฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงข้นอีกทั้งยังสามารถลดปัญหาทางพฤติกรรมและ อารมณ์ของเด็กได้ดีอีกด้วยการเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม ประกอบด้วยความสามารถท่ีสาคัญทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ การตระหนักรู้ตนเอง การจัดการตนเอง การตระหนักรู้สังคม ทักษะสัมพันธภาพ และ การรบั ผดิ ชอบต่อการตดั สนิ ใจ 5.3) การเรยี นรู้การนาความรูไ้ ปใชใ้ นการพัฒนาทักษะชวี ิต (Life skill learning) การศึกษาเป็นเรื่องท่ีต้องปรับเปล่ียนตลอดเวลาให้ทันกับความรู้ที่ก้าวหน้าไปไม่หยุดย้ัง ดังน้ัน การจัดการศึกษาต้องให้ความสาคัญกับการพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง การพัฒนานี้มีทั้งการค้นคิดสาระและกระบวนการเรียนรู้ใหม่ ๆ กรประยุกต์ปรับปรุงเน้ือหาสาระที่มี อยู่ และการติดตามเรียนรู้เนื้อหาสาระท่ีมีผ้ปู ระดิษฐ์คิดค้นมาแล้ว ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายไม่ว่าครู ผู้บริหาร บุคลากรทางการศึกษา ต้องถือเป็นภาระหน้าที่สาคัญในการปรับปรุงตนเองให้ทันโลก และทันสมัย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องทาความเข้าใจสภาพแวดล้อม เพื่อประยุกต์ความรู้ได้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้ การรับความรูม้ าถ่ายทอดโดยปราศจากดุลยพินิจอาจก่อความเสียหายโดยไมค่ าคคดิ จึงเปน็ หน้าที่ของ ทุกฝ่ายที่จะชว่ ยกันดูแลใหค้ วามร้ใู หม่ ๆ เป็นประโยชน์ตอ่ ผูเ้ รียนและสงั คมอย่างแท้จรงิ 5.4) การเรยี นร้กู ารบรหิ ารจัดการ (Management learning) การเรียนรู้การบริหารจัดการ แตกต่างจากการจัดการเรียนรู้ซ่ึงอาจจาเป็นและน่าสนใจ ดังที่ Burgoyne and Reynolds (1997) กลา่ ววา่ คอื แนวคดิ การศกึ ษาการจัดการและความเป็นผู้นาในการ ประสานงาน การส่งเสรมิ และการประเมินองคก์ รและช่วยให้ผู้จดั การและผนู้ าประสบความสาเร็จ การเรียนรู้การบริหารจัดการในส่วนรวมมากกว่ารูปแบบการจัดการส่วนบุคคล (ซ่ึงเป็นการ สร้างสังคมมากกว่าทุนมนุษย์) หมายถึงการเรียนรู้ที่องค์กรควรเรียนรู้ร่วมกันในฐานะหน่วยงานท่ีมี ขอบเขต การเรียนรู้องค์กรและองค์กรเป็นสาขาท่ีสาคัญของการเรียนรู้การบริหารจัดการ (Pedler, Burgoyne, & Boydell, 1996; Senge, 2006)
76 6) การเรียนร้ทู ่สี รา้ งรายไดร้ ะหว่างเรยี น (Income generating learning) 6.1) การเรยี นรกู้ ารทางานสรา้ งผลติ ภัณฑ์ (Work-based learning) การเรียนรู้จากการทางานสามารถเรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้ในทางปฏิบัติหรือจาก ประสบการณ์ จดุ ศูนยก์ ลางของการเรียนรู้ในการปฏบิ ัตคิ ือเพื่อท่ีจะเรียนรูท้ ี่จะลงมือทาในชีวติ เราต้อง ฝึกฝนและฝึกฝนครั้งแล้วคร้ังเล่าจึงจะสามารถทาได้ (Kragelund, 2012) Kragelund กล่าวเพ่ิมเติม ว่าส่ิงน้ีเกิดข้ึนโดยไม่คานึงถึงบริบทไม่ว่าจะเป็นที่บ้านที่ทางานหรือท่ีเก่ียวข้องกับการศึกษาเป็นต้น ประเด็นสาคัญในทฤษฎกี ารเรยี นรู้ล่าสุดคือการเรยี นรู้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นระหว่างการกระทาซ้า ๆ ยิ่งเรา แสดงพฤติกรรมซ้า ๆ บ่อยเท่าไหร่โอกาสท่ีเราจะเป็นผู้เชี่ยวชาญก็จะย่ิงมากขึ้นเท่าน้ัน (Kragelund, 2012) ในห้าข้ันตอนเราสรา้ งความเช่ียวชาญโดยเริ่มจากผู้เร่ิมต้นพัฒนาไปสูผ่ ู้เร่ิมต้นท่ีมีประสบการณ์ จากนน้ั ไปส่คู วามชานาญมีทักษะและในบางกรณีก็ถงึ ขนั้ ผู้เช่ยี วชาญ (Dreyfus & Dreyfus, 1986) Kragelund (2012) ต้ังข้อสังเกตว่าแนวคิดของ Learning in Practice สามารถมองเห็นได้ จากมมุ มองอยา่ งน้อยสามมุมมอง ประการแรกการเรยี นรู้ในทางปฏิบัตสิ ามารถมองเห็นไดโ้ ดยสัมพันธ์ กับการเรียนรู้ในชีวิตประจาวันซ่ึงเป็นเรื่องสบาย ๆ และดูเหมือนจะเป็นเร่ืองธรรมดาในระดับที่มาก หรือน้อย เกิดขึ้นในขณะท่ีเราใช้ชีวิตประจาวันโดยไม่เคยรู้สึกตัว เราทากิจกรรมปกติของเราเช่นการ รับประทานอาหารการเดินการทาอาหารการมีส่วนร่วมกับผู้อื่นหรือทางานที่เก่ียวข้องกับงานใน ลักษณะที่ไม่ได้รับอนุญาต เราไม่คิดว่าเราจะประพฤติตัวอย่างไรในสถานการณ์ใหม่ ๆ เพราะเราได้ ปฏิบัติต่อสถานการณ์ท่ีคล้ายคลึงกันมาแล้วและไม่ได้เรียนรู้ท่ีจะวิเคราะห์และท้าทายมาตรฐานและ กฎเกณฑ์ท่ัวไปของสังคมของเรา ส่ิงน้ีบ่งชี้ว่าเราถูกสังคมส่วนใหญ่ให้อยู่ในสังคมท่ีเราเป็นสมาชิก เราเรียนรู้ที่จะตอบสนองโดยอัตโนมัติต่องานความต้องการและความคาดหวังท่ีอยู่รอบตัวเราใน ชีวติ ประจาวันจริงของเรา ประการท่ีสอง จากมุมมองของพนักงานคุณสามารถเห็นการเรียนรู้แบบเคล่ือนไหว การเรียนรู้ในการปฏิบัติในกรณีนี้รวมถึงการเรียนรู้นอกระบบซึ่งคนงานมีส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ชีวิตการทางานประจาวันของพวกเขา (การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์การเรียนรู้โดยการทางาน) และ การเรียนรู้ในสถานท่ีทางานที่มีโครงสร้าง ตัวอย่างเช่นมือใหม่อาจเข้าร่วมในโปรแกรมการฝึกอบรมที่ เกี่ยวข้องกับงานอย่างมีแบบแผน (การเรียนรู้จากการทางาน การฝึกอบรมตามงาน) พนักงานอาจมี ส่วนรว่ มในโปรแกรมการศึกษาท่ีพวกเขาใช้ประโยชน์จากโอกาสการเรียนรู้ในอาชีพของตนเองหรือใน บรษิ ัท ของตนเอง (Kragelund, 2012). ประการท่ีสาม คือการเรียนรู้ในการปฏิบัติสามารถมองเห็นได้ว่าเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษา อย่างเป็นทางการที่บูรณาการการเรียนรูใ้ นสถานศึกษาและในที่ทางาน วัตถุประสงค์ของการศึกษาดงั กล่าวคือการบูรณาการการเรียนรู้เชิงทฤษฎีกับการใช้ประสบการณ์ภายใต้การดูแล (Kragelund, 2012) ในฐานะที่เป็นส่วนหน่ึงของการศึกษาระดับอาชีวศึกษาหรือวิชาชีพอย่างเป็นทางการ การเรียนรู้ภาคปฏิบัติสาหรับผู้เรียนสามารถอธิบายได้ว่าเป็นการเรียนรู้ในที่ทางาน (Billett, 2020)
77 สถานภาพในสถานท่ีทางานของพวกเขาคือผู้เรียนไม่ใช่พนักงาน การเรียนรูใ้ นการปฏิบตั ิเป็นสว่ นหนึ่ง ของการเตรียมความพร้อมของผู้เรียนสาหรับงานในภาคสนามในอนาคตซึ่งเป็นสถานท่ีฝึกอบรมของ พวกเขา การเรียนร้ภู าคปฏิบัติ ใชใ้ นการศึกษาซึ่งทฤษฎีและประสบการณ์แตกต่างกัน เป็นกรณีศึกษา ด้านเทคนิคที่ผู้เรียนมีคุณสมบัติเป็นช่างประปาช่างหรือช่างไม้และเกี่ยวข้องกับการศึกษาสายอาชีพ อื่น ๆ ซึ่งผู้เรียนจะได้รับการฝึกฝนให้ทางานในสาขาเฉพาะเช่นกิจกรรมบาบัดการพยาบาลการสอน ฯลฯ (Kragelund, 2012) Jarvis (2006) สนับสนุนให้ครูในสถาบันการศึกษามืออาชีพและนักการศึกษาเตรียมผู้เรียน ให้เป็นนักคิดเชิงวิเคราะห์และนักวิเคราะห์ หากเป็นเช่นน้ันก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะสามารถ ปรับปรุงการปฏิบัติได้ หากไม่เป็นเช่นนั้นมีความเป็นไปได้ที่ในสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในปัจจุบัน พวกเขาจะทาซ้ามากกว่าท่ีจะพัฒนาทักษะและน่ันไม่ใช่เป้าหมายของสถานท่ีทางาน (as cited in Kragelund, 2012). 6.2) การเรียนรู้การทางานในสถานประกอบการ หรือสหกิจศึกษา (Co-operative/ Work-based Education) อาจารย์พรวิทย์ พัชรินทร์ตนะกุล รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ สถาบันการจัดการปัญญา ภวิ ฒั น์ (พีไอเอม็ ) กล่าวว่า การศึกษารปู แบบ Work-based Education (WBE) “เข้ามาเพิ่มศักยภาพ ของการศึกษามากขึ้น โดยเน้นจุดเด่นให้นักศึกษาสามารถสัมผัสประสบการณ์การทางานจริงในขณะ เรียน ผ่านโมเดล เรียนทฤษฎีควบคู่การฝึกปฏิบัติงาน” ซ่ึงมีอัตราส่วนการฝึกงานจริงสูงถึง 40% จากเวลาทั้งหมดของหลักสูตร สลับกับการเรียนในห้องเรียน และนามาซ่ึงทักษะสาคัญท้ัง 3 ได้แก่ 1) ทักษะด้านอาชีพ (Professional skills) คือองค์ความรู้ วิชาการท่ีใช้ในการประกอบอาชีพ 2) ทักษะด้านสังคม (Social Skills) คือความสามารถในการสื่อสาร การทางานเป็นทีม มีมนุษยสัมพันธ์ การอยู่ร่วมในสังคม และ 3) ทักษะด้านการดาเนินชีวิต (Life Skills) คือทักษะที่ พัฒนาทัศนคติในการดาเนินชีวิต ทักษะการจัดการปัญหา อารมณ์ และการปรับตัวเพื่อให้สามารถ ด า เ นิ น ชี วิ ต อ ย่ า ง มี ค ว า ม สุ ข ท่ า ม ก ล า ง ส ภ า พ สั ง ค ม แ ล ะ ค ว า ม เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ใ น ยุ ค ปั จ จุ บั น (สยามรัฐออนไลน์, 2560) การจัดการศึกษาการทางานในสถานประกอบการหรือสหกิจศึกษา หรือแบบ Work Based Education (WBE) มี 3 องคป์ ระกอบท่ีสาคญั ดงั นี้ 1) Work Based Teaching (WBT) เป็นการเรียนภาคทฤษฎี หลักการท่ัวไป และการเรียนรู้ วิชา การศึกษาทั่วไปให้นักศึกษามีความสมบูรณ์ นอกจากเป็นความรู้จากตาราแล้ว ได้รับการเรียนรู้ จาก กรณีศึกษาจากผปู้ ฏบิ ตั ิงานจริงในองคก์ ร เตรยี มความพร้อมที่จะเรียนรใู้ นสว่ นท่ีสองคือ WBL 2) Work Based Learning (WBL) เป็นการเรียนรู้โดยการลงมือปฏิบัติงานจริงอย่างมีแบบ แผน รองรับกล่าวคือการจัดวางโปรแกรม ครูฝึก และมีระบบการติดตามประเมินอย่างเป็นระบบใน องค์กร การจัดการเรียนการสอนจะมีการสลับกันระหว่างการเรียนรู้ในห้องเรียนกับการฝึกปฏิบตั ิงาน ตาม โจทย์ที่กาหนดให้อย่างต่อเน่ืองรวม 4 - 8 ครั้ง ตามความเหมาะสมของหลักสูตร และออกแบบ
78 สอดคล้องกับ ความต้องการของสถานประกอบการเพ่ือทาให้มีการบูรณาการระหว่างทฤษฎีกับ ภาคปฏิบัติอย่างแท้จริง ในกระบวนการนี้นักศึกษาสามารถเกาะติดและเรียนรู้เพิ่มเติมหรือแม้การทา การทดลองในสถาน ประกอบการจรงิ ในโจทยเ์ ดิมหรือศกึ ษาร่วมกับนักศึกษา คณาจารย์ขา้ มสาขาวิชา จนได้ข้อสรุปเป็นโครงการ หรือแม้แต่สร้างเป็นนวัตกรรมเพื่อเข้าสู่เวทีประกวดในระดับสถาบันและ กล่มุ ธรุ กิจเพ่ือสรา้ งความร้ใู หม่กลับ ไปสู่องคก์ รไดอ้ ีกด้วย 3) Work Based Researching (WBR) เป็นการศึกษาวิจัยของคณาจารย์จากปัญหาวิจัยจริง ใน องค์การที่ผลวิจัยพร้อมนาไปใช้ในทางปฏิบัติได้โดยตรง และกลับมาสู่การเรียนการสอนใน ห้องเรียน การจัดการศึกษาแบบ WBE จะดาเนินการเป็นกระบวนการต่อเน่ืองสาหรับหลักสูตร ปริญญาตรี 4-5 ปี ทาให้นักศึกษามีโอกาสเรยี นรู้จากประสบการณ์ตรงเปน็ เวลาร้อยละ 40 – 50 ของ เวลารวมทงั้ หมด (สธุ รรมานนท์, n.a) อย่างไรก็ตาม Pancini (n.a) ได้ระบุความท้าทายของการเรียนรู้การทางานในสถาน ประกอบการหรือสหกิจศึกษาไว้ 3 ประการ คือ วิธีการในการสนับสนุน รับรู้ และประเมินการตัดสิน ในการปฏบิ ัติ การสอนการใช้วิจารณญาณทเ่ี ป็นจรงิ ในท่ีทางานจะเป็นเร่ืองหรือปญั หาของการกระตุ้น ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างลึกซ้ึงมากข้ึนในกระบวนการตัดสินใจและตัดสินใจในท่ีทางาน ในการ แก้ปัญหาที่แท้จริงต้องใช้โอกาสในการสนทนาและการเจรจาเพ่ือให้เกิดความเข้าใจร่วมกันกับ วธิ ีดาเนินการทสี่ ามารถพัฒนาได้ สง่ิ น้อี าจเก่ยี วข้องกับการสื่อสารแบบกลุ่มผ่านการทางานแบบตัวต่อ ตัว แต่อาจเกี่ยวข้องกับการสื่อสารผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลที่หลากหลาย ครูหรือผู้อานวยความสะดวก อาจตอ้ งใชก้ ลยุทธ์การสะท้อนเน่ืองจากการไตร่ตรองไม่ใช่วธิ ีปฏิบัติท่ีเรยี บงา่ ยหรือเปน็ ธรรมชาติเสมอ ไป ในทานองเดียวกันการประเมินความรู้ในการปฏิบัติในสถานที่ทางานจะต้องมีความเป็นองค์รวม มากกวา่ การประเมนิ ความร้ทู างทฤษฎีหรอื ความสามารถเชงิ พฤติกรรม 6.3) การเรียนรู้การเปน็ ผู้ประกอบการ (Entrepreneurial learning) McKone-Sweet et al. (2011) อธิบายการเรียนรู้การเป็นผู้ประกอบการว่าเป็นการสร้าง การเปลี่ยนแปลงผู้เรียนให้สามารถตอบสนองการเปลี่ยนของเศรษฐกิจและสังคมของโลกอนาคต โดยอภิปรายแนวคิดการสร้างภาวะผู้นาเชิงนักประกอบการ (Entrepreneurial Leadership) คาจากัด ความของคุณภาพของผู้นานักประกอบการ (Entrepreneurial leaders) สามารถมองได้หลายมิติ ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้มองและมองเพ่ืออะไร กล่าวคือ ภาคองค์กรธุรกิจ กิจการเพื่อสังคมหรือ สถาบนั การศึกษา อาจตีความหมายของคาวา่ ผ้นู านักประกอบการ (Entrepreneurial leaders) ต่างกันไป โดยท่ัวไปความหมายหลักของผู้นานักประกอบการมักส่ือถึง ความพร้อมท่ีจะเผชิญความท้าทาย การ เปล่ียนแปลง และสร้างเส้นทางใหม่เพื่อตอบปัญหาทางสังคม เศรษฐกิจ และส่ิงแวดล้อม ซ่ึงผู้นา ดังกล่าวสามารถตอบสนองปัญหาตา่ ง ๆ ในองค์กรหรือสถาบันที่ตนมีส่วนเกี่ยวข้อง อีกทั้งควรมองหา โอกาสท่ีจะพัฒนากระบวนการท่ีแตกต่างนาไปสู่ผลลัพธ์ท่ีมีความหมาย และควรให้ความสาคัญกับ ประเด็นปัญหาในขอบเขตท่ีผู้อ่ืนอาจละเลย สร้างความมีส่วนร่วมทางสังคมและการเมือง และ
79 เปลี่ยนแปลงนโยบายและสวัสดิการของรัฐและองค์กรอิสระ ภาวะผู้นาผู้ประกอบการประกอบด้วย สามหลักพ้ืนฐานของภาวะผนู้ าเชงิ นกั ประกอบการ ตามรายละเอียดในภาพประกอบที่ 2.4 ซึ่งไดแ้ ก่ 1) หลักการคิดที่ผสมผสานระหว่างสมองซีกซ้ายและขวา (Cognitive ambidexterity) ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีแนวคิดในทานายและสร้างตรรกะเพื่อใช้ในการตัดสินใจ และสร้างอนาคตผ่าน การปฏิบัติและทดลองท่ีน่าเช่ือถือและหลากหลาย โดยคานึงถึงประสบการณ์ในอดีตและหลักการการ เปน็ ผู้ประกอบการ 2) หลักความรับผิดชอบและความย่ังยืนทางสังคม ส่ิงแวดล้อม และ เศรษฐกิจ (Social, Environmental, and Economic Responsibility and Sustainability; SEERS) ที่สรา้ งให้ผูเ้ รยี นมี แนวคดิ และการปฏบิ ตั ิการทีก่ ว้างและหลายหลายขน้ึ ผา่ นการเขา้ ใจคุณค่าของธรุ กจิ และวสิ าหกจิ เดิมที่ มีต่อปัจจัยภายนอก และสร้างความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างวิสาหกิจกับสังคม สิ่งแวดล้อม และ เศรษฐกิจ พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมและคุณค่ากับปัจจัยภายนอกอย่างต่อเนื่อง มิใช่เพียงแค่คาถึง ถึงผลกาไรสงู สดุ หรือการหาหนุ้ สว่ นที่มากท่สี ุด 3) หลกั ความตระหนกั รตู้ ่อตนเองและสังคม (self- and social awareness; SSA) ทสี่ ง่ เสริม ให้ผู้เรียนเข้าใจบทบาทของตัวเองและบริบทของสังคมที่จะนาไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ ความเข้าใจในเชิงลึกและเชิงปฏิบัตชิ ่วยให้ผเู้ รยี นเข้าใจผลกระทบและความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับ บริบทรอบตัว เพ่ือสนับสนุนการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพในบริบทที่ไม่แน่นอนและไม่เคยมีใครรู้ มาก่อน ทั้งบรู ณาการไปยังเชิงการจดั การและปฏิบัติ ภาพประกอบที่ 2.4 สามหลักพืน้ ฐานของภาวะผู้นาเชงิ นักประกอบการ (McKone-Sweet et al., 2011)
80 6.4) การเรียนร้แู บบรว่ มมอื (Collaborative learning) สังคมต้องมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา การมีส่วนร่วมน้ันแสดงออกได้หลายลักษณะ เช่น ร่วมเป็นกรรมการ ร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมสนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษา ร่วมสนับสนุน ทรัพยากร ร่วมติดตามประเมิน ส่งเสริมให้กาลังใจและปกป้องผู้ปฏิบัติงานท่ีมุ่งประโยชน์ต่อส่วนรวม หลักการน้ีถือว่าอนาคตของประเทศและความเจริญรุ่งเรืองของสังคมไทยเป็นความรบั ผิดชอบของคน ไทยทุกคนมิใช่ถูกจากัดโดยตรงในการจัดการศึกษา ดังนั้นจึงเป็นท้ังสิทธิและหน้ที่ของคนไทยทุกคนท่ี จะเข้ามีส่วนร่วมในลักษณะต่าง ๆ โดยฉพาะอย่างย่ิงการเข้ามีส่วนร่วมอย่างสร้างสรรค์ เพ่ือแก้ไข ปัญหา อุปสรรค ของการจัดการศึกษา ช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาและช่วยดูแลการจัด การศึกษาเป็นไปอย่างถูกตอ้ งตามทานองคลองธรรม 3.2.2 ทรัพยากรการเรียนรู้ ทรัพยากรการเรียนรู้มีความสาคัญและจาเป็นอย่างย่ิงต่อการส่งเสริมการเรียนรู้ตามแต่ละ รูปแบบการเรียนรู้ แต่ในปัจจุบันพบว่า การสนับสนุนด้านทรัพยากรการเรียนรู้ยังคงขาดแคลน และ ไม่เพียงพอในการจัดการเรียนรู้ในระดับสถานศึกษา แม้ในภาพรวมของการจัดสรรงบประมาณราย กระทรวงจะได้รับการสนับสนุนเป็นงบประมาณที่สูง แต่ส่วนใหญ่เป็นส่วนของค่าตอบแทนบุคลากร ทางการศึกษา (เงินเดือน) ท่ีเหลือจึงเป็นส่วนที่ใช้จ่ายเพ่ือพัฒนาผู้เรียน และการเรียนการสอน (คณะกรรมการอิสระเพ่ือการปฏิรูปการศึกษา, 2562) จากการศึกษาสภาพปัจจุบันของการจัด ทรัพยากรการเรียนรู้ พบว่า มักจะเป็นการจัดสรรทรัพยากรท่ีเน้นไปที่ภายในห้องเรียนหรือภายใน โรงเรียน ซ่ึงทรัพยากรการเรียนรู้ที่จะสามารถพัฒนาผู้เรียนได้อย่างเต็มศักยภาพน้ัน ต้องอาศัย ทรัพยากรการเรียนรู้ท่ีนอกเหนือไปจากแหล่งเรียนรู้ภายในห้องเรียน และ/หรือโรงเรียน โดยใน ปัจจุบันโรงเรียนยังขาดแหล่งเรียนรู้ท่ีตอบสนองความต้องการของผู้เรียนรายบุคคล รวมท้ังแหล่ง เรียนรู้ที่สอดรบั กบั การเปล่ียนแปลงของโลก จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับทรัพยากรการเรียนรู้ สามารถจัดกลุ่มของ เนอ้ื หาทเี่ กี่ยวข้องกับทรัพยากรการเรยี นรู้ได้ 11 ประเภท ดังนี้ 1) ระบบสนบั สนนุ ความเปน็ เลศิ ของผเู้ รียน (Student Excellence Support System) ระบบสนับสนุนความเป็นเลิศของผู้เรียน หมายถึง กลุ่มของงานท่ีออกแบบมาเพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้เรียนมีความเป็นเลิศ หรือพัฒนาผู้เรียนในด้านที่ผู้เรียนมีความถนัด เช่น ศูนย์กีฬา หอ้ งดนตรี หรอื โปรแกรมพฒั นาทักษะดา้ นวชิ าการของผูเ้ รียน ในหนังสือที่มีชื่อว่า “A Teacher’s Guide to Excellence in Every Classroom” ของ John Wink ได้นิยามระบบสนับสนุนความเป็นเลิศของผู้เรียนว่าเป็น “ระบบท่ีใช้ประโยชน์จากพลัง ของชมุ ชนการเรยี นรทู้ างวชิ าชีพ (PLCs) ผา่ นลักษณะการตอบสนองต่อการแทรกแซง (Response to Intervention-RTI) เพ่ือให้แน่ใจว่าผู้เรียนทุกคนไปถึงจุดสุดยอดของความเป็นเลิศ” (Wink, 2019) และได้เสนอข้ันตอนของระบบสนับสนุนความเป็นเลิศของผู้เรียนไว้ 3 ข้ันตอนท่ีสนับสนุนผู้เรียนทุก คนดงั นี้
81 1) การสนับสนนุ ทีมครู (Teacher Team Supports) หมายถึง ทีมครูร่วมมือกันเก่ียวกับการ สนับสนุนทจ่ี าเปน็ เพอื่ ชว่ ยให้เดก็ ทุกคนปิดช่องวา่ งโดยขอใหค้ รูทุกคนพฒั นาความรแู้ ละทกั ษะเพื่อช่วย ใหผ้ เู้ รยี นทุกคนประสบความสาเร็จ 2) การสนับสนุนให้ทั่วถึงทั้งห้องเรียน (Class-Wide Supports) หมายถึง ครูปรับแต่งการ สนับสนนุ ของทีมให้เหมาะกับท้งั สไตล์การสอนและความต้องการในการเรยี นรขู้ องผ้เู รยี น 3) การสนับสนนุ ผเู้ รยี นสว่ นบุคคล (Individual Student Supports) หมายถึง ผเู้ รยี นจะต้อง ดิ้นรนแม้จะมีทีมครูและการสนับสนุนจากทั้งห้องเรียน และในกรณีเหล่านี้ การแทรกแซงระดับที่ 1 (Tier 1 Intervention) ได้รับการพัฒนาข้ึนโดยเฉพาะเพ่ือตอบสนองความต้องการสูงสุดของเด็ก (Wink, 2019) 2) แหลง่ เรียนรชู้ วี ติ จรงิ (Real World Learning Space) แหล่งเรียนรู้ชีวิตจริง หมายถึง พ้ืนที่ท่ีผู้เรียนสามารถนาตนเองเข้าไปศึกษา เรียนรู้ ฝึกฝน ทกั ษะ เพอ่ื รบั ประสบการณ์ตรงจากสถานท่จี รงิ แหลง่ เรียนรใู้ ด ๆ ในโลกเสมือนจริง 3 มติ มิ ีการเช่ือมโยงแหลง่ เรยี นรู้ชวี ิตจริง และดงั ทชี่ ดั เจน จากงานน้ีสิ่งเหลา่ น้ีสามารถทาหน้าที่สง่ เสริมหรือ จากัด การมีส่วนร่วม ดังน้ันจึงเป็นสิ่งสาคัญที่แหลง่ เรียนรู้ 3 มิติในโลกเสมือนจริงได้รับการออกแบบโดยคานึงถึงบริบทของสภาพแวดล้อมของผู้เรียนใน โลกแหง่ ความเป็นจริง (Mount, Chambers, Weaver, & Priestnall, 2009) 3) แหล่งเรยี นรเู้ ฉพาะบคุ คล (Personalize Learning Space) แหล่งเรียนรู้เฉพาะบุคคล หมายถึง หลักสูตร โปรแกรม หรือพ้ืนท่ี ท่ีออกแบบมาสาหรับ พัฒนาความรู้ หรือทักษะของผู้เรียนซึ่งพิจารณาถึงความต้องการ และความแตกต่างของผู้เรียนเป็น รายบุคคล แหล่งเรียนรู้เฉพาะบุคคลกาลังเกิดข้ึนในโรงเรียนซ่ึงเป็นปฏิกิริยาสาคัญต่อรูปแบบของ โรงเรียนในยุคอุตสาหกรรม แหล่งเรียนรู้เฉพาะบุคคลเกิดจากความพยายามหลายทศวรรษในการ ปรับเปล่ียนการเรียนรู้เฉพาะบุคคลและเปิดห้องเรียนท้ังในทางกายภาพและเสมือนจริง และโดดเด่น ด้วยปฏิสัมพันธ์โดยเจตนาและกระตือรือร้นระหว่างบริบท ครู และผู้เรียน (Deed, Lesko, & Lovejoy, 2014) 4) แหลง่ เรียนรูอ้ อนไลน์ (Online Learning Space) แหล่งเรียนรู้ออนไลน์ หมายถึง แหล่งของข้อมูล หรือความรู้ที่ถูกจัดระเบียบไว้บน อนิ เตอร์เน็ต ซง่ึ ผเู้ รียนแตล่ ะคนสามารถศึกษา หาความรู้ได้จากทุกสถานที่ และทกุ เวลา (Anywhere, Any time) การวิจัยและการปฏิบัติเกี่ยวกับแห่งเรียนรู้จากสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และ ออสเตรเลียแสดงใหเ้ ห็นว่า แห่งเรียนรอู้ อนไลน์ (Online Learning Space) หมายถึงพน้ื ท่ีในโรงเรียน ทั้งหมดซึ่งรวมถึงห้องเรียน ห้องสมุด พื้นท่ีการเรียนรู้กลางแจ้ง และพื้นท่ีทางกายภาพอื่น ๆ เท่าน้ัน แต่ยังรวมถึงพ้ืนที่เสมือนของโรงเรียนด้วย (Wu, 2018) แล้ว Wu ได้ทบทวนงานวิจัยต่างประเทศว่า
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 784
- 785
- 786
- 787
- 788
- 789
- 790
- 791
- 792
- 793
- 794
- 795
- 796
- 797
- 798
- 799
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 799
Pages: