50 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) ศิษย์อย่างมากมาย จนเกิดวัดป่าในสาขาอย่างมากมายและวัดในแต่ละสาขาล้วนแต่ยึดถือการ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งเคร่งครดั ปฏิบัติตราบจนถึงปัจจบุ ัน การท่องเท่ียวเชิงศาสนาเป็นอีกทางเลือกหน่ึงสำหรับนักท่องเท่ียวที่ต้องการความ ผ่อนคลายความทุกข์ทางจิตใจ ในขณะเดียวกันเป็นการเปิด“โอกาสทางธรรม”สำหรับผู้ ทอ่ งเที่ยวได้มีโอกาสได้สมั ผัสกับธรรมชาติภายในวัดและชุดคำสอนของพระสงฆส์ ายป่าแต่ละ แห่งโดยตรงท่ีสามารถปรับเปล่ียนทัศนคติต่อชีวิตและโลกตามความเป็นจริงสำหรับผู้มา ท่องเท่ียววัดป่า โดยส่วนมากพุทธศาสนิกชนท่ัวไปมีความเช่ือว่า“ปัญหาทางด้านจิตใจ” สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการหันหน้าเข้าวัดฟังธรรมจากพระสงฆ์ด้วยการศึกษาธรรมะ การฟัง ธรรมะและการปฏิบัติธรรมกับพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำให้พระสงฆ์มีบทบาทสำคัญต่อ การพัฒนาจิตใจและปัญญาของประชาชนท่ัวไป โดยเฉพาะอย่างย่ิงพระสงฆ์สายวัดป่าที่มีการ ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามหลักของพระธรรมวินัยกลายเป็นพระสงฆ์ท่ีมีปฎิปทาน่าเล่ือมใสใน“ศีล จารวัตร”และหลักธรรมคำสอน แม้พระสงฆ์เหล่านั้นจะมรณภาพไปแล้วก็ตาม กลับพบว่ามี พุทธศาสนิกชนเข้าไปเย่ียมส่ิงต่างๆท่ีเก่ียวกับท่าน เช่น สถานท่ีปฏิบัติ บริขาร ส่ิงของเคร่ืองใช้ เอกสารหลักธรรมคำสอนจนเกิดเป็น“กระบวนการกล่อมเกลาจิตใจ”นำมาซ่ึงความเล่ือมใส เป็น การสร้างความผ่อนคลาย พัฒนาจติ ใจและสรา้ งปัญญาให้เขา้ ใจชวี ติ ไดด้ ยี ่ิงขึ้น การท่องเที่ยววัดป่าเป็นการท่องเที่ยวเชิงศาสนาท่ีควรได้รับการส่งเสริมและพัฒนา เพราะเป็นการท่องเท่ียวท่ีสามารถปลูกฝังหรือเป็นการถ่ายโอนคุณธรรมและคุณภาพท่ีดีต่อผู้มา ท่องเทียว ตามหลัก ของคุณธรรม 4 ค.คือ “การครองตน ครองคน ครองงานและครองสุข”และ ตามหลักของคุณภาพชีวิต 3 ส.คือทำให้ผู้ท่องเที่ยวในวัดป่ามี “ความสะอาด ความสว่างและ ความสงบ” ท้ังคณธรรมและคณุ ภาพเป็นคุณค่าและประโยชน์ท่เี กดิ จากการท่องเท่ียวเชิงศาสนา ในสายวัดป่า เพราะเป็นการท่องเท่ียวท่ีมี “เอกลักษณ์”และ“อัตลักษณ์”ท่ีมีความพิเศษเฉพาะ ตนมีความแตกต่างไปจากการท่องเท่ียวโดยทั่วๆไป เพราะการท่องเที่ยวอื่นๆบางครั้งเป็นการ ท่องเที่ยวแบบสนองกิเลสของตนเองแม้ผู้ท่องเท่ียวรู้สึกว่าตนมีความสุขและสนุกสนานในการ ท่องเที่ยวก็ตาม แต่ในความเป็นจริงพบว่าเป็นเพียงความรู้สึกที่กลบทุกข์ไว้ชั่วคราวเท่านั้น พอ กลับไปอยู่ในส่ิงแวดล้อมเดิมความทุกข์ท่ีถูกลบไว้ก็“ว่ิงเข้ามาปะทะชีวิต”อีกครั้ง ในขณะที่การ ท่องเท่ียวตามวัดพระสงฆ์สายวัดป่านอกจากจะทำให้เกิดความศรัทธาลึกซ้ึง เกิดความอัศจรรย์ ใจแล้ว ยังเป็นการกลอ่ มเกลาจิตใจให้สงบ มีปัญญา เกิดเมตตา พัฒนาจิตใจ มสี ัมมาทิฏฐิ เข้าใจ
วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 51 ชวี ติ และโลกไดด้ ี และทีส่ ำคัญพระสงฆส์ ายวัดป่าถอื เปน็ สายปฏิบัติที่ดีงามตามพระธรรมวนิ ยั ทม่ี ี เครือขา่ ยเปน็ จำนวนมาก ด้วยเหตุผลข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยและคณะมีความสนใจที่จะศึกษากระบวนการ พัฒนาจิตใจและปัญญาของพระสงฆ์สายวัดป่าเพ่ือส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิง พุทธในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อหาแนวทางขยายฐานนักท่องเท่ียวกลุ่มนี้ให้มากขึ้น รวมทั้งยังเป็น การแสวงหาวิธีการกระบวนการพัฒนาจิตใจและปัญญาของพระสงฆ์สายวัดป่าเพ่ือสร้างการ พฒั นามนษุ ย์ตามหลักการในทางพทุ ธศาสนาทีด่ ีงามต่อไป วัตถปุ ระสงคก์ ารวจิ ัย 1. ศึกษาเส้นทางและกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงพุทธสายวัดป่าในภาค ตะวนั ออกเฉียงเหนอื 2. ศึกษากระบวนการพัฒนาจิตใจและปัญญาของพระสงฆ์สายวัดป่าเพ่ือส่งเสริม การท่องเทีย่ วเชิงพุทธในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3. ศึกษากระบวนการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมแก่นักท่องเที่ยวของพระสงฆ์สายวัด ป่าเพอื่ ส่งเสรมิ การท่องเท่ยี วเชงิ พุทธในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ 4.ศึกษารูป แบบ การท่องเท่ียวเชิงพุ ท ธของพ ระสงฆ์สายวัดป่าใน ภ าค ตะวันออกเฉียงเหนอื วิธีดำเนินการวจิ ัย 1. รปู แบบการวิจัย เป็ น ก ารวิจัย เชิ งส ำรวจ (Survey Research) แ ล ะก ารวิจัย เชิ งคุ ณ ภ าพ (Qualitative Research) บันทึกรายละเอียดต่างๆ เก่ียวกับการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 52 รูป/คน โดยการศึกษาเอกสารแนวคิดเกี่ยวกับการท่องเที่ยว รูปแบบการท่องเท่ียวเชิง วัฒนธรรม บทบาทของพระสงฆ์สายวัดป่าในการจัดการวัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงพุทธ กิจกรรมของวัดท่ีส่งเสริมให้เกิดนันทนาทางปัญญาแก่นักท่องเที่ยว โดยการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลภาคสนาม
52 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 2. ประชากรและกลมุ่ เปา้ หมาย กลุ่มตัวเป้าหมายท่ีใช้สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interviews) ได้แก่ (1) เจ้า อาวาสวัดทั้ง 5 แห่ง รวมจำนวน 5 รูป (2) พระสงฆ์วัดละ 2 รูป รวมจำนวน 10 รูป (3) นักท่องเที่ยววัดละ 4 คน รวมจำนวน 20 รูป/คนและนักวิชาการผู้ให้ข้อมูล จำนวน 10 รูป/ คน รวมทง้ั หมด จำนวน 45 รปู /คน โดยวิธสี ุ่มแบบเจาะจง โดยมีประเดน็ ที่สำคญั เช่น ข้อมูล ประวัติความเป็นมาของวัด โบราณสถานโบราณวัตถุที่เด่นของวัด กิจกรรมที่สำคัญของ วัด การพัฒนาวัดให้เป็นแหล่งการศึกษาเรียนรู้ ทิศทางการพัฒนาของวัดเพื่อการ ท่องเท่ียวเชิงพุทธ 3.การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยคร้ังน้ี ผู้วิจัยได้กำหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1) คณะผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์เอกสารเก่ียวกับแนวคิดการท่องเท่ียวเชิงพุทธ 2) คณะผู้วิจัยดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interviews) สำหรับผู้ท่ีเกี่ยวข้อง โดยมี ประเด็นท่ีสำคัญ เช่น ความเป็นมาของวัด โบราณสถานของวดั ภูมสิ ถาปัตย์ของวดั แผนการ พัฒนาวดั ผลกระทบและอื่นๆ 3) ดำเนินการจดบันทึก (Field Note) และบันทึกเสียงโดยใช้ แทบบนั ทึกเสียง เพื่อบันทกึ ข้อมลู ท่ไี ดจ้ ากการสัมภาษณ์เชิงลึก 4. การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลโดยพิจารณาประเด็นหลัก (Major themes) ท่ีพบในข้อมูลที่ ได้รับจากการสัมภาษณ์ทั้งหมด จากนั้นจึงนำประเด็นหลัก (Major themes) มาพิจารณา แบง่ แยกออกเปน็ ประเด็นย่อย (Sub-themes) โดยการเร่ิมต้นจากการวเิ คราะห์ภาพรวมไปสู่ การวิเคราะห์ประเด็นย่อยของกระบวนการวิเคราะห์ตามแนวทางการวิจัยเชิงคุณภาพตาม ข้ันตอนดังน้ี 1) ขั้นตรวจสอบข้อมูลตรวจสอบความเท่ียงตรงของข้อมูลท้ังข้อมูลเอกสารและ ข้อมูลภาคสนาม ส่วนข้อมูลใดที่ขาดความชัดเจนและขาดความน่าเช่ือถือก็กลับไปรวบรวม ใหม่ รวมทั้งตรวจสอบว่าข้อมูลท่ีมีอยู่เพียงพอต่อการตอบปัญหาการวิจัยหรือไม่ ส่วนท่ียังไม่ พอสำหรับตอบปัญหาการวิจัยก็กลับไปรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม จากนั้นจึงนำมาจัดระเบียบ ข้อมูลตามวัตถุประสงค์และโครงสร้างของการวิจัย 2) ข้ันวิเคราะห์ข้อมูลศึกษาวิเคราะห์ สังเคราะห์และตีความข้อมลู ที่รวบรวมมาท้ังหมดตามวัตถุประสงคแ์ ละโครงสร้างของการวิจัย จัดความสัมพันธ์ของข้อมูลให้เช่ือมโยงกัน เพื่อตอบปัญหาในการวิจัยท่ีมีความสัมพันธ์และ สอดคล้องกับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ โดยการวิเคราะห์ข้อมูลบนฐานของความจริงมี
วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 53 หลักฐานอ้างอิง และมเี หตุผลรองรับ 3) ขน้ั สรุปขอ้ มูลที่ได้จากการลงสนามโดยการสมั ภาษณ์ สรุปตามสาระสำคัญด้านเน้ือหาที่กำหนดไว้ โดยวิธีวิเคราะห์เนื้อหา (Content analysis) พร้อมสังเคราะห์เป็นภาพรวมด้วยการตีความ (Interpretation) และสร้างข้อสรุป และ จัดพมิ พเ์ ปน็ รูปเลม่ ผลการวจิ ยั สำหรับการวิจัยเรื่อง“กระบวนการพัฒนาจิตใจและปัญญาของพระสงฆ์สายวัดป่า เพ่ือส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงพุทธในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ”ผู้วิจัยได้สรุปผลการวิจัยตาม วตั ถปุ ระสงคใ์ นการวิจยั มี 4 อยา่ งตามลำดบั ดังนี้ 1.ก าร ศึ ก ษ าเส้น ท างแ ล ะกิ จ กรรม ก ารท่ องเท่ี ยว เชิ งพุ ท ธ ส ายวั ด ป่ าใน ภ า ค ตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า สำหรับเส้นทางการท่องเท่ียวและภูมิสถาปัตย์ท่ีส่งเสริมการ เรยี นรูแ้ ละการท่องเท่ียวเชงิ พทุ ธของพระสงฆ์สายวัดป่าในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือพบวา่ วัด ป่าแต่ละแห่งต่างมีท่ีต้ัง แผนที่และเส้นทางการท่องเที่ยวท่ีเอ้ือต่อการเดินทางและการ ท่องเท่ียวอย่างสะดวกและมีความสบายในการเดินทางการท่องเที่ยววัดป่าแต่ละแห่งอย่าง ชัดเจน (วรรณา วงษ์วานิช,2515) วัดป่าแต่ละแห่งยังมีกิจกรรมที่ส่งเสริมการท่องเท่ียวที่ เหมือนกันกล่าวคือมีกิจกรรมข้ันพ้ืนฐานสำหรับพุทธศาสนิกชนท่ัวไปโดยมีการสวดมนต์ทำ วัตร ทำบญุ ใส่บาตร การแผเ่ มตตาเป็นต้นและกจิ กรรมวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาโดยมวี ัน สำคัญต่างๆเช่น วันมาฆบูชาและวันวิสาขบูชา เป็นต้น (สุมาลี มหณรงค์ชัย,2547) ท้ัง 2 กิจกรรมล้วนเป็นพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาท่ีส่งเสริมการท่องเท่ียวและยังเป็นกิจกรรมที่ ยกระดับและพัฒนาจิตใจนักท่องเที่ยวได้พบกับความสุขในการกระทำความดีทำให้จิตใจเบิก บานมีความสงบสุขและความเย็นสบายจิตใจ นอกจากน้ียังมีภูมิสถาปัตย์อันเป็นสิ่งก่อสร้าง หรือศาสนสถานภายในวัดที่แตกต่างกันทำให้วัดป่าแต่ละแห่งมีศาสนสถานที่เป็นปัจจัยสำคัญใน การส่งเสริมการท่องเที่ยว นอกจากน้ีแล้วยังเป็นสถานท่ีมีความเป็นสัปปายะ กล่าวคือมีความ เหมาะสมในการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนา ในบริเวณวัดเป็นป่าร่มรื่นและสงบ เสนาสนะ เท่าที่จำเป็นและมีความพอเพียง และจัดให้กลมกลืนกับธรรมชาติ โดยส่ิงก่อสร้างแต่ละประเภท จะแยกกันอยู่ห่างกันพอสมควร มีความสงัดวิเวก เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียรเจริญสมาธิมีทางเดิน จงกรมท่ีเป็นส่วนตัวทุกกุฏิเพ่ือช่วยเอ้ือแก่การเดินจงกรมของผู้ปฏิบัติธรรม ดังนั้น วัดป่าแต่ละ แห่งจึงมีภูมิสถาปัตย์ทางด้านศาสนสถานตามสมควรมีแต่พอเพียงและมีความกลมกลืนกับ
54 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) ธรรมชาติซึ่งเป็นไปตามความประสงค์หรือเจตนารมณ์ของวัดป่าคือต้องการเน้นการพัฒนาจิตใจ ของคนมากกวา่ การสร้างถาวรวัตถุ (วิชัย เทยี นน้อย,2528) 2.การศึกษากระบวนการพัฒนาจิตใจและปัญญาของพระสงฆ์สายวัดป่าเพื่อ สง่ เสริมการท่องเท่ียวเชิงพุทธในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ พบว่า ทรัพยากรการท่องเที่ยว ประเภทประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมนั้น เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของชนชาติที่สะท้อน ใหเ้ ห็นถงึ อารยธรรม ภูมิปญั ญา วถิ ชี วี ติ และเทคโนโลยีการจัดการของผคู้ นในสังคมเป็นแหล่ง รวมศิลปวิทยาการในสาขาต่างๆท้ังในด้านโบราณคดี วัฒนธรรม จารีตประเพณี สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ทรัพยากรการท่องเที่ยวโดยเฉพาะแหล่งท่องเท่ียวประเภทวัดนั้น นับว่ามีคุณค่าและมีบทบาทท่ีสำคัญยิ่ง เพราะวัดเป็นแหล่งท่ีเช่ือมโยงเร่ืองราวความเป็นมา ของวฒั นธรรมกับชุมชนและเป็นสถานท่รี วบรวมมรดกศิลปวัฒนธรรมและศลิ ปกรรมอันวิจติ ร งดงามเพียบพร้อมด้วยคุณค่าทางศิลปะท่ีแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาและความเป็นอัจฉริย ะ ของบรรพบุรุษ อันเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมโยงสายใยของอดีตกับปัจจุบันไม่ให้ขาดออก จากกัน นอกจากน้ี วัดบางแห่งมสี ภาพแวดล้อมท้ังทางภูมิสถาปัตยกรรมและทางธรรมชาติ ท่ีสวยงาม ถือว่าเป็นทรัพยากรการท่องเที่ยวท่ีมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีคุณค่า ทางศิลปะท่ีนักท่องเท่ียวให้ความสนใจ ที่มีนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งให้ความสนใจต่อการ ท่องเท่ียวเชิงพุทธและการเรียนรู้ที่เป็นการเดินทางเพ่ือการศึกษาและแสวงหาคุณค่าทางด้าน คุณธรรม/จริยธรรม และคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรม อันนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติในแนวทางที่ ถูกต้องท้ังแก่เพื่อนมนุษย์และต่อสิ่งแวดล้อมในลักษณะที่ก่อให้เกิดประโยชน์เกื้อกูลต่อกันและ กัน กอปรในชว่ งที่ผ่านมา หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง (วรรณา วงษ์วานิช,2515) เช่น การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทยและกรุงเทพมหานคร ได้มีการจัดกจิ กรรมเกย่ี วกับการทอ่ งเที่ยวในลักษณะต่างๆ เช่น กิจกรรมการท่องเที่ยวไหว้พระ 9 วัด การไหว้พระประจำวันเกิดปีเกิด การท่องเท่ียวเชิงสุขภาพ โดยเน้นการฝึกสมาธิทางพุทธศาสนา เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้ผู้ที่สนใจได้เรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ และพุทธศาสนาอันจะนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม ซึ่งกิจกรรมการท่องเท่ียวแนวดังกล่าว ไดร้ บั ความสนใจและการตอบรบั จากนักท่องเท่ียวเป็นอย่างดี (วศิน อนิ ทสระ,2515) วัดที่เป็นสถานที่ศึกษาเรียนร้แู ละเปน็ แหลง่ ท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ หรือภาคอีสานนั้น จะมีรูปแบบหรือมีความสัมพันธ์กับ“เส้นทางบุญ”คือ การเดินทางเพื่อไป ไหว้พระสวดมนต์ ถวายผ้าป่า กฐินของพุทธศาสนิกชน กับการศึกษาปฏิบัติใน“เส้นทาง
วารสาร มจร อบุ ลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 55 ธรรม”คือ การเรียนรู้ด้านการปฏิบัติธรรมตามพระเกจิอาจารย์สายวัดป่า เช่น วัดป่า นานาชาติ ที่จังหวัดอุบลราชธานี วัดหนองหมากเป้ง ที่จังหวัดหนองคาย เป็นต้น (พระ โพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท), 2554) ซ่ึงแนวทางดังกล่าวสามารถนำไปสู่การพัฒนาเพ่ือให้เกิด ความย่ังยืนของการเรียนรู้ การพฒั นาการท่องเทยี่ วและการอนุรักษ์โบราณวัตถุ โบราณสถาน อันเป็นสมบัติของชาติได้และถ้าหากวัดท่ีเป็นสถานท่ีท่องเท่ียวได้มีการดำเนินการในลักษณะ ของการเสรมิ สร้างคุณค่าของการเรยี นรู้ การพัฒนาศักยภาพในการจัดการและการส่งเสริมให้ ประชาชน ชุมชนและผปู้ ระกอบการท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในการจัดกจิ กรรมการท่องเที่ยว และ การจัดรูปแบบกิจกรรมการท่องเท่ียวที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนา รวมท้ัง การเช่ือมโยงแหล่งท่องเที่ยวประเภทวัดเข้าด้วยกัน ก็นับว่าจะเป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อ การศึกษาเรียนรู้ของผู้ที่สนใจ และนักท่องเท่ียว อีกทั้งยังจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา กิจกรรมการท่องเที่ยวในเชิงวัฒนธรรมท่ีมีความเหมาะสมกับการเรียน รู้ในทางพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของชาติอันจะเป็นการพัฒนาจิตใจและปัญญาสืบต่อไป เพราะการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวประเภทวัดในภาคอีสานที่มีความสำคัญทั้งทางด้าน ประวัติศาสตร์ มรดกศิลปวัฒนธรรม และการเรียนรู้ตามแนวพระพุทธศาสนา โดยจะศึกษา และวิเคราะห์ถึงรูปแบบ กระบวนการจัดการท่องเที่ยวของวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ชุมชน และหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง รวมถึงการวิเคราะห์ผลกระทบจากท่องเที่ยวท่ีมีต่อวัฒนธรรมทาง พระพุทธศาสนา จะทำให้ทราบถึงแนวทางการพัฒนาท่องเที่ยวทางพระพุทธศาสนาท่ี เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม และการเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนาในลักษณะ ที่วา่ “เท่ียวไทยใหถ้ งึ ธรรม” 3. การศึกษากระบวนการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมแก่นักท่องเท่ียวของพระสงฆ์ สายวัดป่าเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่า สำหรับ กระบวนการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมแก่นักท่องเที่ยวของพระสงฆ์สายวัดป่าในภาค ตะวันออกเฉียงเหนอื จัดเป็นส่วนหน่ึงของการท่องเท่ียวเชงิ พุทธ โดยในเบอ้ื งต้นคณะสงฆ์ควร จัดและพัฒนาวัดเป็นสถานท่ีที่สะอาดร่มล่ืนเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมตามหลักของ 3 ส. คือ “สะอาด สว่างและสงบ”(พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโณ,2557) และยังสามารถดึงดูด ประชาชนชาวพุทธเข้ามาศึกษาธรรมและมาปฏิบัติธรรมในวัดได้เป็นอย่างดีที่ประชาชน สามารถเท่ียวชมและสามารถพักผ่อนได้สำหรับการเข้าถงึ แหล่งท่องเทย่ี วนนั้ พบวา่ การเข้าถึง แหล่งท่องเที่ยวยังไม่เพียงพอเพราะบางวัดยังขาดองค์ประกอบในด้านต่างๆ เช่น การ
56 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) คมนาคม อาคารและสถานที่ เป็นต้น ทำให้การส่งเสริมการปฏิบัติธรรมแก่นักท่องเท่ียวของ พ ระส งฆ์ สาย วั ดป่ ามี ข้ อจ ำกั ดบ างป ระการที่ ยั ง ไม่ ส ามารถตอบ โจท ย์ ค วามต้ องการของ นักท่องเที่ยวเท่าท่ีควร ดังน้ัน ทางวัดได้มีนโยบายและแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงการ สง่ เสริมการปฏิบัติธรรมแก่นักท่องเท่ียวของพระสงฆ์สายวัดป่าเพ่ือจะทำให้นักท่องเที่ยวไดเ้ ข้าถึง แหล่งการท่องเท่ียวพร้อมกับการได้ปฏิบัติธรรมต่อไป ในส่วนของแนวทางการพัฒนาด้านสิ่ง อำนวยความสะดวก ทางวัดมีสถานที่จอดรถและสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆภายในวัด อย่างเหมาะสมโดยเฉพาะในส่วนการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทางวัดได้จัดให้มีเจ้าหน้าท่ีดูแลและรักษาความปลอดภัยให้กันนักท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทางวัดได้จัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเท่ียว เช่น สถานท่ีปฏิบัติธรรม สถานที่ดำเนินกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ท่ีพักอาศัย ห้องน้ำ ท่ีจอดรถ ร้านขายของต่างๆก็มี การพัฒนาและ ส่งเสริมอยู่เสมอ ห้องน้ำของสถานท่ีท่องเที่ยวจะมีการแบ่ง เพศของนักท่องเที่ยว อยา่ งชดั เจน เช่น ผ้หู ญงิ ผูช้ ายหรอื พระภิกษุ เป็นตน้ สำหรับการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมแก่นักท่องเที่ยวของพระสงฆ์สายวัดป่าในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะในส่วนของวัดหนองป่าพงน้ันได้มีการจัดกิจกรรมการ ท่องเที่ยวโดยมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การปฏิบัติธรรม การไหว้พระ และการสวดมนต์ เป็นต้น นอกจากน้ีแล้วนักท่องเท่ียวที่เดินทางมาเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา สถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนาภายในวัดอนั เป็นสถานที่เอื้อต่อการไดพ้ ักผอ่ นหย่อนใจทำ ให้จิตใจมีความสงบสุขเยือกเย็นเพราะเกิดจากการกระทำความดีทางกาย วาจาและจิตใจ ส่วนการส่งเสริมด้านทรัพยากรพบว่า ในการพัฒนาทรัพยากร ทางวัดได้มีการการควบคุม กำกับ ดูแลและอบรมสถานที่ท่ีจะให้พุทธศาสนิกชนได้มาอบรมหรือศึกษาธรรมมะต้องการ ปฏิบัตติ นอยา่ งไรทางด้านสำนกั พุทธจะมีการทำโครงการสง่ เสริมความรใู้ นภาพรวมหรือมกี าร ออกนิเทศหรือถวายความรู้ใหเ้ จ้าอาวาสหรอื คณะสงฆ์ตามโอกาสตา่ งๆ การส่งเสริมการปฏิบัติธรรมแก่นักท่องเที่ยวพบว่าหนองป่าพงน้ัน โดยเฉพาะการ เขา้ มาปฏบิ ัติธรรม ในวัดหนองป่าพง ในช่วงปกติ สามารถเข้ามาถือศีล 5 ศีล 8 ได้ในโกน คือ ก่อนวันพระ 1 วัน ซ่ึงที่วัดหนองป่าพงเอง เปิดให้ชาวบ้านมานอนกันที่อุโบสถได้ สังเกตได้ จากจะมีแม่ออกหรือพ่อออก แต่งชุดขาว มาอยู่วัดกัน โดยท่ีพ่อออก (ผู้ชายที่มาปฏิบัติธรรม อยู่วัด) จะสามารถนอนได้ท่ีโรงนอน ที่ทางวัดหนองป่าพง จัดให้และแม่ออก (ผู้หญิงท่ีมา ปฏิบัติธรรม) สามารถพักรวมกันได้ท่ีอุโบสถภายในวัดหรือผู้หญิงท่านใด ต้องการมาปฏิบัติ
วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 57 ธรรมในระยะเวลานานๆ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ ห้องสมุด ของทางวัดหนองป่าพง โดย จะมีท่านพระให้คำช้ีแนะอีกที ส่วนการมาพักค้างคืนของแม่ชี ทางวัดหนองป่าพงจะมีเขต สำหรับแม่ชีโดยเฉพาะซ่ึงจะอยูบ่ ริเวณด้านหลังของทางวัดหนองป่าพง เป็นต้น (พระโพธิญาณ เถร (ชา สภุ ทฺโท), 2554) กระบวนการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมด้านกลยุทธ์พบว่า มีการสร้างเครือข่ายการ ท่องเท่ียวเชิงพุทธระหว่างหน่วยงานของรัฐ บ้าน วัด และโรงเรียนได้ร่วมมือกับทางวัด โดย นักเรียน นักศึกษา ท่ีได้รับการอบรมและได้รับความรู้แล้วเป็นมัคคุเทศก์ประจำวัดเพ่ือให้ ความรู้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเท่ียวที่มาเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนาและทำบุญไหว้ พระปฏิบัติธรรม รวมถึงการเข้ามามีส่วนร่วมช่วยเหลืองานทางวัดประชาชนได้ร่วมกิจกรรม ต่างๆ (พระครูภาวนาโพธิคุณ, 2553) ส่วนกระบวนการส่งเสริมการปฏิบัติธรรมด้านอื่นๆ พบว่าทางวัดได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมของวัดในวันสำคัญหรือเทศกาลสำคัญต่างๆ อาทิแผ่นพับแนะนำกิจกรรมหรือสถานท่ีท่องเท่ียวภายในวัดแบบง่ายๆอาจบอกกล่าวถึง ประวัติความเป็นมาของวัดลักษณะทางกายภาพของวัดประเพณีท่ีสำคัญของวัดสถานที่ ท่องเท่ียวในวัดและกิจกรรมการทอ่ งเที่ยว ตลอดจนค่มู ือในการปฏิบัติวปิ ัสสนากรรมฐานตาม หลักของสตปิ ัฏฐาน 4 ประการ คือ กาย เวทนา จติ และธรรมอันแนวทางและเป็นองค์ความรู้ ท่นี ักทอ่ งเท่ียวควรได้มีความรู้และความเขา้ ใจและปฏบิ ัตไิ ด้อยา่ งถูกต้องต่อไป (พระวิมาน คมฺ ภรี ปญฺโญ, 2554) 4.ก ารศึ ก ษ า รูป แ บ บ ก ารท่ อ งเท่ี ยว เชิ งพุ ท ธข อ งพ ระ ส งฆ์ ส าย วั ด ป่ าใน ภ า ค ตะวันออกเฉียงเหนือพบว่า รูปแบบการท่องเที่ยวที่เหมือนและแตกต่างกัน จึงประมวลได้ 14 รูปแบบ คือ 1) รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงปฏิบัติธรรม คือ พื้นที่วิจัยท้ัง 5 แห่ง จะมีการ ท่องเที่ยวรูปแบบการการปฏิบัติธรรม เพราะจะมีทั้งพระภิกษุและประชาชนท่ัวไปเข้ามา ปฏิบัติธรรม ท้ังปฏิบัติธรรมตามที่ทางวัดจัดข้ึน และเข้ามาปฏิบัติธรรมด้วยตัวเองต่อหน้ารูป เหมือนของพระบูรพาจารย์สายวัดป่า 2) รูปแบบการท่องเที่ยวเชิงศึกษาธรรมะ คือ นักท่องเท่ียวท่ีเข้ามาวัดแต่ละแห่งโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาเรียนรู้ธรรมะ ทั้งในรูปของ ปรศิ นาธรรม คตธิ รรม เนติธรรม สุภาษิตธรรม ทีท่ างวัดได้จดั ทำติดไวต้ ามสถานทต่ี ่างๆ ซึง่ จะ มีท้ัง 6 แห่ง 3) รูปแบบการท่องเท่ียวเชิงศึกษาแหล่งเรียนรู้ภายในวัด ในพื้นที่วิจัยท้ังหมดจะ มีการจัดนิทรรศการและแหล่งเรียนรู้อ่ืนๆ เช่น แหล่งเรียนรู้พุทธประวัติ แหล่งเรียนรู้ ห้องเรียนสัญจรของสถานศึกษา แหล่งเรียนรู้วิถีชีวิต เป็นต้น 4) รูปแบบการท่องเท่ียวสิ่ง
58 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) ศักดิ์สิทธิ์ คือการท่องเท่ียวในรูปแบบของการสักการะส่ิงศักดิ์สิทธิ์และส่ิงที่เป็นมงคลต่างๆ เช่น สักการะพระพุทธรูปศักด์ิสิทธ์ิ สักการะอัฐิธาตุของพระสงฆ์สายวัดป่าที่เช่ือว่ากระดูก ท่านเป็นพระธาตุ เพื่อให้เป็นมงคลแก่ชีวิต 5) รูปแบบการท่องเท่ียวเชิงนิเวศ คือ นักท่องเที่ยวท่ีเข้ามาเที่ยววัดในพ้ืนที่วิจัยด้วยวัตถุประสงค์เชิงนิเวศ ท้ังการศึกษาความ หลากหลายทางชีวภาพ ความเพลิดเพลินกับสิ่งแวดล้อม ท้ังพืชและสัตว์ เป็นต้น 6) รูปแบบ การท่องเท่ียวเชิงวัฒนธรรม คือ แหล่งท่องเที่ยวท่ีมีลักษณะเป็นวัฒนธรรม เช่น หลวงปู่โพธิ์ ได้สร้างพิพิธภัณฑ์มรดกอีสาน ซ่ึงเป็นการรวมสิ่งของเครื่องใช้ในวิถีชีวิต วัฒนธรรมและ ศาสนา วัดหนองป่าพงได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถระ (ชา สุภทฺโท) ซ่ึงมีส่ิงของ เครอ่ื งใชใ้ นวิถีชีวติ ต่างๆ ซึ่งเป็นการบอกเลา่ วิถีวัฒนธรรม 7) รูปแบบการท่องเทย่ี วเชิงประวตั ิ และผลงาน คือ นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งท่ีเข้ามาท่องเท่ียวเพื่อเพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา ของพระบูรพาจารย์พระสงฆ์สายวัดป่า เป็นกลุ่มที่มุ่งมาหาความรู้ ซึ่งจะทำให้เข้าใจความ เป็นมาของแต่ละท่านและเกิดความศรัทธาอย่างลึกซึ้ง 8) รูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อเรียนรู้ ปฏิปทาและวิถีชีวิตของพระสงฆ์บูรพาจารย์สายวัดป่า คือ การท่องเท่ียวและเรียนรู้ปฏิปทา ของพระสงฆ์สายวัดป่า โดยกลุ่มน้ีจะไม่ให้ความสำคัญกับประวัติด้านอื่นๆ แต่จะทำความ เข้าใจด้านการปฏิบัติธรรม ปฏิปทาท่ีน่าเลื่อมใส และการธุดงค์เป็นหลัก 9) รูปแบบการ ท่องเท่ียววิถีชีวิตของพระสงฆ์แต่ละวัดในยุคปัจจุบัน คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวท่ีเข้ามาเยี่ยมชม และศึกษาข้อวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์สายวัดป่าในปัจจุบันท่ีสืบทอดมาจากบูรพาจารย์ 10) รูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อแสวงบุญ คือ การท่องเที่ยวไปตามวัดต่างๆ เพ่ือการแสวงบุญ โดย เช่ือว่าถ้าหากทำบุญกับพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็จะได้บุญมาก ถึงแม้ว่าท่านจะ มรณภาพไปแล้วก็ตาม ก็เชื่อว่าการได้ทำบุญกับวัดของท่านก็จะทำให้ได้อานิสงส์มาก เช่นเดียวกัน 11) รูปแบบการท่องเท่ียวเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจคือ นักท่องเที่ยวที่ต้องการ หนีออกจากสังคมเมืองท่ีพลกุ พล่าน เพ่ือไปพักผ่อนหย่อยใจในที่สงบ โดยวัดในพื้นท่ีวจิ ัยทั้ง 6 แหง่ จะมพี ื้นทส่ี งบร่มร่นื และรมณยี สถาน ท้ังมีความปลอดภัย เหมาะแก่การพกั ผ่อนหยอ่ นใจ ทำให้นักท่องเท่ียวเลือกใช้วิดป่าเป็นที่พักผ่อน นักท่องเที่ยวบางกลุ่มมาใช้พ้ืนที่มุมสงบในวัด เพ่ือทบทวนชีวิตและคิดงานต่างๆ 12) รูปแบบการท่องเท่ยี วเชิงสุขภาพ คือ การท่องเท่ียวใน วัดจะทำให้สุขภาพจิตดี เป็นการท่องเท่ียวเชิงกศุ ลธรรม ทำให้จิตใจผ่อนคลายความตงึ เครียด นอกจากน้ียังมีการบริการสุขภาพกายด้วย เช่น มีสาธารณสุขมูลฐานต้ังอยู่ในวัด วัดโพธิ์มี สมาคมแพทย์แผนไทย เพ่ือบริการทางด้านสุขภาพ นอกจากน้ียังมีบริการนวดเพ่ือสุขภาพ
วารสาร มจร อบุ ลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 59 และนวดผ่อนคลายด้วย 13) รูปแบบการท่องเท่ียวศิลปกรรม จิตรกรรมและสถาปัตยกรรม คือ ทุกแห่งจะมีส่ิงก่อสร้าง ภาพวาดและปติมากรรม ซ่ึงมีทั้งความสวยงาม ได้เรียนรู้ปริศนา ธรรมท่แี ฝงอยู่ และยงั ได้เรยี นร้ศู ลิ ปกรรม จิตรกรรม และสถาปัตยกรรมดว้ ย 14) รปู แบบการ ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ คือ การท่องเท่ียววัดแต่ละแห่งย่อมทำให้ทราบประวัติความ เป็นมาของวัดและสังคมแต่ละยุคสมัย ถาวรวัตถุต่างๆและลำดับเจ้าอาวาส ล้วนบอกเล่า ประวตั ศิ าสตรไ์ ด้เปน็ อย่างดี องค์ความรู้ที่ได้จากการศกึ ษา การวิจัยเรื่องกระบวนการพัฒนาจิตใจและปัญญาของพระสงฆ์สายวัดป่าเพ่ือ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีพระสงฆ์สายวัดป่าท่ีมี ปฏิปทาน่าเล่ือมใสเป็นแรงดึงดูดนักท่องเท่ียว ซ่ึงเป็นกระบวนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอีก รูปแบบหนึ่ง โดยแหล่งท่องเที่ยวท่ีสำคัญเกี่ยวกับพระสงฆ์สายวัดป่าในพ้ืนท่ีวิจัยทั้ง 5 แห่ง ประมวลลักษณะของการท่องเที่ยวโดยมีการสักการะรูปเหมือน เยี่ยมชมนิทรรศการประวัติ และผลงานของแต่ละท่าน เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ท่ีจัดแสดงส่ิงของเครื่องใช้ของท่าน การศึกษา และศรัทธาซาบซ้ึงกับปฏิปทาอันงดงามของพระสงฆ์สายวัดป่า เย่ียมชมสถานท่ีสำคัญที่ท่าน เคยพำนักหรือใช้ประโยชน์ในทางขัดเกลาจิตใจ ศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตและข้อวตั รของพระสงฆ์ สายวัดป่า ศึกษาธรรมะของท่าน สักการะอัฐิธาตุของแต่ละท่านท่ีเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ นอกจากน้ีแล้วบางแห่งยังมีโบราณสถานและส่ิงศักดิ์สิทธิ์ท่ีสำคัญเป็นส่วนหน่ึงในการดึงดูด นักท่องเท่ียวเข้าไปเที่ยว ยังรวมไปถึงเสนาสนะและส่ิงก่อสร้าง เช่น อุโบสถ ศาลา มณฑป วิหาร เจดีย์ เป็นต้น และส่วนที่เป็นสุนทรียศาสตร์ เช่น ภาพถ่าย จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม สิ่งประดับตกแต่ง การจัดภูมิทัศน์ที่สวยงาม เป็นต้น และยังทำให้ทราบ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาด้วย ส่วนบรรยากาศในวัดป่าแต่ละแห่งพบว่าวัดป่ามีความ สงบร่มร่ืน ความสะอาด ความสวยงามภูมิทัศน์สวยงาม ความปลอดภัย วิถีชีวิตแบบพระป่า เป็นปัจจัยดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวได้ดี การจัดขอบเขตวัดและจัดสัดส่วนอย่าง ชัดเจน โดยกำหนดส่วนท่ีเป็นแหล่งท่องเที่ยวกับกับพ้ืนที่สงบสำหรับพระสงฆ์ มีอาคาร สถานที่กลมกลืนกับส่ิงแวดล้อม ที่สำคัญคือสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น การเดินทางสะดวก มีลานจอดรถ มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีสิ่งอำนวยความสะดวกไว้บริการ ทั้งธูป เทียน ดอกไม้ มีห้องน้ำบริการสะดวก การทำแผนผัง ป้ายแนะนำและคำอธิบายแหล่งท่องเท่ียว
60 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) สำคัญ เพื่อให้ความรู้กับนักท่องเท่ียว และสิ่งศักด์ิสิทธิ์ก็ปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยวสำคัญอีก อย่างหน่ึง นอกจากนี้ในทุกพื้นท่ีวิจัยยังพบว่าองค์กรสงฆ์ท่ีมีความเข้มแข็ง ยังปฏิบัติตามข้อ วัตรท่ีบูรพาจารย์ได้วางเป็นแนวทางเอาไว้อย่างเคร่งครัด ทำให้วิถีปฏิบัติของพระสงฆ์ในแต่ ละแห่งเปน็ อีกปจั จยั สำคญั ทด่ี ึงดูดความสนใจของนักท่องเท่ียว เอกสารอ้างอิง ชาญวทิ ย์ เกษตรศิร.ิ (2540). อารยธรรมไทยพ้ืนฐานทางประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ :บริษทั เลิฟแอนด์ลิพเพรส จำกดั . พระโพธญิ าณเถร (ชา สุภทฺโท). (2554). อปุ ลมณี .อบุ ลราชธานี: ศนู ย์เผยแผ่มรดกธรรม พระโพธญิ าณเถร. วศิน อนิ ทสระ. (2515). สาระสำคญั แห่งมงคล 38. กรงุ เทพฯ: สำนกั พิมพบ์ รรณาคาร. วรรณา วงษ์วานชิ . (2515). ภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว.กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์ สมเด็จพระญาณสงั วร (เจริญ สุขวฒโฺ น). (2533). ความสขุ หาไดไ้ มย่ าก. กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลยั . สมุ าลี มหณรงคช์ ยั . (2547). ทาน-สงั ฆทาน ฉบับคมู่ อื ชาวพทุ ธ. กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร์, พระครูภาวนาโพธิคณุ .(2553). ธรรมทายาท ชุดท่ี 8. ขอนแกน่ :โรงพมิ พ์คลังนานาวิทยา. พระวมิ าน คมฺภีรปญโฺ ญ .(2554). ย้อนรอยประวัติหลวงปู่พระครโู พธสิ ารคณุ . ขอนแกน่ : โรงพมิ พค์ ลงั นานาวทิ ยา. พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมั ปนั โณ .(2557). ประวัตหิ ลวงตา. กรงุ เทพฯ : บรษิ ทั ศลิ ปส์ ยาม บรรจุภณั ฑแ์ ละการพิมพ์ จำกัด. วชิ ยั เทยี นน้อย.(2528). ภมู ิศาสตรก์ ารทอ่ งเท่ียว. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร์.
การบรหิ ารงานประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาภายในสถานศึกษา ในยคุ ไทยแลนด์ 4.0 เขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษา สุราษฎรธ์ านี เขต 3 An Administration of Internal Education Quality Assurance of Schools in Thailand 4.0, Primary Educational Service Area Office 3, Surat Thani Province 1สภุ าวดี จันทร์ศิริ, 2พระปลัดโฆษติ โฆสโิ ต, 3ธีระพงษ์ สมเขาใหญ่, 1Supawadee Jansiri, 2Phrapaladkosit Kosito, 3Teeraphong Somkhaoyai มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ประเทศไทย Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Thailand. [email protected] Received May 10, 2020; Revised July 12, 2020; Accepted August 25, 2020 บทคดั ย่อ การวิจัยคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือศึกษาการบริหารงานประกันคุณภาพ การศึกษาภายในสถานศึกษาเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 2) เพ่ือ เปรียบเทียบการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาเขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำแนกตามเพศ อายุ ตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และการพัฒนาตนเอง/การอบรมที่ต่างกัน 3) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารงานประกัน คุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 เขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษา สุราษฎร์ธานี เขต 3 ดำเนินการวิจัยโดยวิธีวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Method Research)
62 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) และกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้อำนวยการโรงเรียนและครูผู้สอน จำนวน 327 คน เครื่องมือท่ีใช้ใน การเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test), One-Way-ANOVA, (F-test) ทดสอบ ความแตกต่างของค่าเฉล่ียเป็นรายคู่ด้วยวิธี LSD (Least Significant Different) และแบบ สมั ภาษณ์เก่ียวกับแนวทางการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาในยุค ไทยแลนด์ 4.0 ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีระดับการบริหารงานประกันคุณภาพ การศกึ ษาภายในสถานศกึ ษา โดยรวม อยู่ในระดับมาก เมอ่ื พจิ ารณารายด้าน พบว่า ดา้ นการ จัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และด้านการดำเนินการตามแผนพัฒนา การจดั การศึกษาของสถานศึกษา มีคา่ เฉลี่ยสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการจัดทำรายงานผลการ ประเมินตนเอง ด้านการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ดา้ น การกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศกึ ษา ด้านการจดั ใหม้ ีการพัฒนาคุณภาพการศึกษา อย่างต่อเน่ือง ส่วนด้านการติดตามผลการดำเนินการของสถานศึกษา มีค่าเฉล่ียต่ำสุด ผล การเปรียบเทียบระดับการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศกึ ษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 พบวา่ กลุ่มตัวอย่างทม่ี ี อายุ ประสบการณใ์ นการ ทำงาน และการพัฒนาตนเอง/การอบรมท่ีต่างกัน มีการบริหารประกันคุณภาพแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ.05 เม่ือจำแนกตามเพศและตำแหน่ง พบว่า มีการ บริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาไม่แตกต่างกัน และแนวทางส่งเสริมการบริหารงาน ประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 เขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ส่วนใหญ่เสนอแนวทางการบริหารงานประกันคุณภาพ ภายในสถานศึกษาโดยการนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมสมัยใหม่มาใช้ในการบริหารงาน ประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ตั้งแต่ข้ันตอนการวางแผนการดำเนินงาน การ กำหนดเป้าหมายการประเมินผล การจัดทำรายงานประจำปี ตลอดจนพัฒนาคุณภาพ การศกึ ษาอย่างตอ่ เนื่องและสามารถเชอื่ มโยงของข้อมลู ในการนำใช้ในปีต่อๆไป คำสำคญั : ประกนั คุณภาพการศกึ ษา; ยุคไทยแลนด์ 4.0
วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 63 Abstract This research included three objectives as the followings: 1) to study the administration of internal education quality assessment of schools in Thailand 4.0 in Primary Educational Service Area Office 3, Surat Thani province; 2) to compare the administration of internal education quality assessment of schools in Thailand 4.0 in Primary Educational Service Area Office 3, Surat Thani province classified by gender, age, position, work experience and self-development and training; 3) to propose the guidelines for the administration of internal education quality assurance of schools in Thailand 4.0 in Primary Educational Service Area Office 3, Surat Thani province. It was a mixed method research. The samples used in this research were 327 school directors and teachers. The research tools for gathering information were questionnaires. The statistics used were Frequency, Percentage, Standard Deviation, T-test, One-Way ANOVA (F-test) and LSD method (Least Significant Different) and Semi Structure Interview Questionnaires on the administration of internal education quality assurance of schools in Thailand 4.0 in Primary Educational Service Area Office 3, Surat Thani province. The research results were as the followings: The samples on the administration of the internal education quality assurance of schools in overall were at the high level. Considering by aspect, it was found that the education development planning on the administration and implementation of schools were at the highest level. After the highest one, other aspects could be chronologically arranged as the followings: the report on the internal education quality assurance of schools; the evaluation and inspection of internal education quality in schools; standardization of schools’ education; and the continuity of education quality development. The lowest one was the follow up on the performance of the schools. For the comparative results on the levels of administration of the internal education quality assurance of schools in Thailand 4.0 in Primary Educational Service Area Office 3, Surat Thani province, it was found that the samples with different age, working experiences, self-development and training were significantly different in statistics at 0.05 in the administration on the internal education quality assurance. When classified by gender and position, it was found that the administration of education quality assurance was not different. The recommendation for promoting administration of the internal education quality assurance of schools in Thailand 4.0 in Primary
64 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) Educational Service Area Office 3, Surat Thani province was mainly on introducing more modern technology and innovation for the administration of education quality assurance in schools from the stage of planning, defining goal for evaluation, annually reporting and continuously developing education quality and the information can be linked and used in the following years. Keyword : Education Quality Assurance, Thailand 4.0 บทนำ การจัดการศึกษาเป็นภารกิจของรัฐที่จะต้องจัดให้กับทุกคนอย่างทั่วถึงและเท่า เทียมกันและมีคุณภาพตามที่กำหนดไว้ เป้าหมายของการจัดการศึกษาคือมุ่งพัฒนาคุณภาพ ผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรมมีจริยธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอย่กู ับผู้อน่ื ได้อย่างมีความสุข (วิรัตน์ ผดุงชีพ,2560 : 3) การศึกษาของประเทศชใี้ ห้เหน็ วา่ ประเทศไทยยังต้องเผชญิ กบั กระแสการเปลย่ี นแปลงของ โลกศตวรรษที่ 21 ท่ีเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านคุณภาพของคนไทยท่ีผู้เรียนและผู้สำเร็จ การศึกษาระดับต่างๆ กระแสการเปล่ียนแปลงอย่างก้าวกระโดดและไร้ขีดจำกัดของ เทคโนโลยีดิจิทัลท่ีสามารถเชื่อมท้ังโลกให้เป็นหนึ่งเดียวและการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ยุค ไทยแลนด์ 4.0 จึงเป็นทางออกสำคัญของการจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนได้รับโอกาสการ เขา้ ถงึ แหล่งข้อมูลทางเทคโนโลยีสารสนเทศและพร้อมกันนั้นเพือ่ ให้บคุ ลากรทางการศึกษาได้ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือบริหารจัดการระบบฐานข้อมูลได้มีประสิทธิภาพ อันจะนำไปสู่ การสร้างความผาสุก ร่วมกันในสังคมของชนในชาติและลดความเหล่ือมลำ้ ในสังคมให้มคี วาม เสมอภาคและเทา่ เทียมกนั (สำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560 : 75) พระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แกไ้ ขเพม่ิ เติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 47 ให้มีระบบการประกันคุณภาพการศึกษาเพ่ือพัฒนา คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ ประกอบด้วย ระบบการประกันคุณภาพภายใน และระบบการประกันคุณภาพภายนอก ระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการประกันคุณภาพ การศึกษา ให้เป็นไปตามท่ีกำหนดในกฎกระทรวงและมาตรา 48 กำหนดให้หน่วยงานต้น สังกัดและสถานศึกษาจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและให้ถือว่าการ ประกนั คุณภาพภายในเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการบริหารการศึกษาท่ีต้องดำเนินการอย่าง
วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 65 ต่อเน่ืองโดยมีการจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อหน่วยงานต้ นสังกัดหน่วยงานท่ี เก่ียวข้อง และเปิดเผยต่อสาธารณชนเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา และเพอ่ื รองรบั การประกนั คุณภาพภายนอก (สำนกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา,2560 : 17) สถานศึกษาต้องกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาให้เป็นไปตาม มาตรฐานการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2561 ซึ่งให้กำหนดเป้าหมาย ความสำเร็จตามมาตรฐานของสถานศึกษาตามบริบท และสถานศึกษาจัดทำแผนพัฒนาการ จัดการศึกษาของสถานศึกษาที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาและความต้องการจำเป็นของ สถานศึกษาอย่างมีระบบโดยสะท้อนบริบทของสถานศึกษาและคุณภาพการศึกษาได้จริง ประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษา โดยกำหนดผู้รับผิดชอบและวิธีการที่เหมาะสม ในการประเมินผลการทำงานอย่างต่อเน่ือง และนำผลการประเมินมาไปใช้ประโยชน์ในการ ปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขนั้ พ้นื ฐาน, 2561 : 31) มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา และเป็น เป้าหมายสำคัญที่สุดที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในสถานศึกษาต้องเข้ามามีส่วนร่วมปฏิบัติงานใน หน้าท่ีที่ได้รับมอบหมายให้บรรลุถึงเป้าหมายตามมาตรฐานการศึกษาท่ีกำหนดข้ึน การ กำหนดมาตรฐานการศึกษามคี วามสำคัญกับการจัดการศึกษา เป็นการกำหนดความคาดหวัง ท่ชี ดั เจนใหก้ ับผ้บู ริหาร ครู พอ่ แม่ ผ้ปู กครอง ชุมชน และหน่วยงานต่างๆ ทม่ี สี ่วนเกย่ี วขอ้ งใน การจัดการศึกษา หากไม่มีมาตรฐานสาธารณชนก็จะไม่ทราบว่าสาระสำคัญของการจัด การศึกษาและการประกนั คุณภาพการศึกษามคี วามสำคัญและเก่ยี วข้องกบั ตนเองอยา่ งไร เขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 มีหน้าที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การพัฒนาการศึกษาเพื่อให้นักเรียนได้รับการศึกษาท่ีมีคุณภาพได้มาตรฐานชาติซึ่ง นักเรียนเหล่าน้ีเป็นทรัพยากรสำคัญท่ีมีบทบาทในการพัฒนาประเทศในอนาคต จึงได้จัดให้ โรงเรียนแต่ละแห่งในสังกดั มีการประกันคุณภาพภายในสถานศกึ ษาเพ่ือเทียบเคียงกับผลการ จดั การเรียนร้แู ต่ละปีทีเ่ กิดข้ึนและเพ่อื พฒั นาการศึกษาต่อไปอยา่ งต่อเน่ือง ดังนั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัย จึงมีความสนใจที่จะศึกษาเร่ืองการบริหารงาน ประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษายุคไทยแลนด์ 4.0 เพื่อทราบระดับการ บริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาและเป็นแนวทางในการปรับปรุง พฒั นางานประกันคณุ ภาพการศึกษาภายในสถานศกึ ษาต่อไป
66 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพ่ือศึกษาการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาในเขต พื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 3 2. เพ่ือเปรยี บเทียบการบริหารงานประกนั คุณภาพการศกึ ษาภายในสถานศึกษาใน เขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำแนกตามสถานภาพผู้ตอบ แบบสอบถาม 3. เพื่อเสนอแนวทางการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา ในยคุ ไทยแลนด์ 4.0 เขตพื้นท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 3 วธิ ีดำเนินการวจิ ัย การวจิ ยั น้ี เป็นการวิจัยผสานวธิ ี (Mixed Method Research) ผู้วจิ ัยได้ดำเนินการ วจิ ัยตามข้นั ตอน ดังนี้ 1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน และครูผู้สอน โรงเรียนใน เขตพื้นทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 3 ปกี ารศึกษา 2562 จำนวน 2,146 คน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียนและครูผู้สอน โรงเรียนในเขตพ้ืนที่ การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานีเขต 3 ปีการศึกษา 2562 ผู้วิจัยกำหนดขนาดของกลุ่ม ตัวอย่าง โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของเครซ่ีและมอแกน (ธานินทร์ ศิลป์จารุ, 2555 : 49) ได้ กลุม่ ตัวอยา่ งในการวจิ ัย 327 คน 2. เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ท่ีผู้วิจัยสร้างขึ้น จากแนวคิดเก่ียวกับการ บริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 แบ่ง แบบสอบถามออกเป็น 3 ตอน ดงั นี้ ตอนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพทั่วไปของผ้ตู อบแบบสอบถามมีลักษณะ เป็นแบบตรวจ สอบรายการ โดยถามข้อมูลเก่ียวกับเพศ อายุ ตำแหน่ง ประสบการณ์ในการ ทำงาน และการพัฒนาตนเอง/การอบรม
วารสาร มจร อบุ ลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 67 ตอนท่ี 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารงานการประกันคุณภาพการศึกษา ภายในสถานศึกษาตามกรอบกฎกระทรวงการประกนั คุณภาพการศึกษา พ.ศ.2561 ตอนที่ 3 แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับแนวทางการบริหารงานประกนั คุณภาพการศึกษา ภายในสถานศกึ ษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 เขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 3 3. การวเิ คราะห์ข้อมูล ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ผวู้ ิจยั ดำเนินการตามลำดบั ดังน้ี ข้อมูลสถานภาพท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม มาวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพตาม ข้อคำถามในตอนท่ี 1 และนำเสนอข้อมูลในรูปแบบตารางการบริหารงานประกันคุณภาพ การศึกษาภายในสถานศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ ธานีเขต 3 ใน 7 ด้านมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ( ) และค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน (SD) โดยใช้เกณฑ์การแปลผลค่าเฉลี่ยซงึ่ มี 5 ระดบั (บุญชม ศรสี ะอ้าน, 2551: 100) โดยสถิติท่ีใช้การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation), t-test และ F-test ผลการวจิ ยั ตารางท่ี 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเก่ียวกับระดับการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษา ภายในสถานศึกษาเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎรธ์ านี เขต 3 การประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศกึ ษา SD. ระดับ 1 การกำหนดมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศกึ ษา 4.42 0.36 มาก 2 การจัดทำแผนพฒั นาการจัดการศึกษาของสถานศกึ ษา 4.48 0.37 มาก 3 การดำเนินการตามแผนพัฒ นาการจัดการศึกษาของ 4.48 0.37 มาก สถานศึกษา 4 การประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายใน 4.43 0.40 มาก สถานศกึ ษา 5 การติดตามผลการดำเนนิ การของสถานศึกษา 4.41 0.40 มาก 6 การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง 4.45 0.37 มาก 7 การจดั ให้มกี ารพฒั นาคณุ ภาพการศึกษาอยา่ งตอ่ เน่ือง 4.42 0.39 มาก รวม 4.44 0.32 มาก
68 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) จากตารางที่ 1 พบว่า ผ้อู ำนวยการโรงเรียนและครผู ู้สอน มีการบริหารงานประกัน คุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.44) และเม่ือพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านการจัดทำ แผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา และด้านการดำเนินการตามแผนพัฒนาการจัด การศึกษาของสถานศึกษา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ( = 4.48) รองลงมาคือด้านการจัดทำรายงานผล การประเมินตนเอง ( = 4.45) ส่วนด้านการติดตามผลการดำเนินการของสถานศึกษา มี ค่าเฉลีย่ ต่ำสุด ( = 4.41) ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบการบรหิ ารงานประกนั คุณภาพการศกึ ษาภายในสถานศึกษา เขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 3 จำแนกตามเพศและตำแหน่ง จำแนกตาม n SD. t Sig. 1. เพศ ชาย 89 4.46 0.36 1.435 .152 2. ตำแหน่ง หญงิ 238 4.40 0.36 ผู้อำนวยการโรงเรียน 26 4.49 0.32 0.843 .400 ครูผสู้ อน 301 4.44 0.32 จากตารางที่ 2 พบว่า ผู้อำนวยการโรงเรียน และครูผู้สอน ที่มีเพศ และตำแหน่ง ต่างกัน มีระดับการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษา สุราษฎร์ธานีเขต 3 ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
วารสาร มจร อบุ ลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 69 ตารางท่ี 3 ผลการเปรียบเทียบการบริหารงานประกันคุณภาพศึกษาภายในสถานศึกษาเขต พน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำแนกตามอายุ ประสบการณ์ ในการทำงาน และการพฒั นาตนเอง/การอบรม จำแนกตามสถานภาพ แหล่งความ แปรปรวน SS df MS F Sig. 1. อายุ ระหว่างกลมุ่ 1.466 2 0.733 7.483* 0.011 ภายในกล่มุ 31.745 324 0.098 รวม 33.211 326 2. ประสบการณใ์ นการ ระหวา่ งกลมุ่ 1.142 2 0.571 5.771* .003 ทำงาน ภายในกลุ่ม 32.069 324 0.099 รวม 33.211 326 3. การพัฒนาตนเอง/การ ระหวา่ งกลมุ่ 1.898 2 0.949 9.817* 0.000 อบรม ภายในกลมุ่ 31.313 324 0.097 รวม 33.211 326 จากตารางท่ี 3 พบว่า ผู้อำนวยการโรงเรียน และครูผู้สอน ที่มีอายุ ประสบการณ์ ในการทำงาน การพัฒนาตนเอง/การอบรม ต่างกัน มีระดับการบริหารงานประกันคุณภาพ การศึกษาภายในสถานศึกษาเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 แตกต่าง กนั อยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถติ ิท่รี ะดบั .05 จากการสัมภาษณ์ผู้เช่ียวชาญการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายใน สถานศึกษา มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า มีแนวทางการส่งเสริมการบริหารงาน ประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษายุคไทยแลนด์ 4.0 เขตพื้นท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 สถานศึกษาควรนำเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมาใช้การ บรหิ ารจัดการขอ้ มูลและการวิเคราะห์ข้อมลู เพื่อนำไปสู่มาตรฐาน โดยการวเิ คราะห์ข้อมลู จาก ฐานข้อมูลปีท่ีผ่านมาใช้ระบบสารสนเทศในการวางแผนงานเพ่ือจัดทำแผนพัฒนาการศึกษา ของสถานศึกษา นำเทคโนโลยใี นมาใชง้ านควบค่กู ับการปฏิบตั ิงานของสถานศึกษา ตั้งแต่การ วางแผน การดำเนินงาน การวัดผลประเมินผล โดยผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ระบบ คอมพิวเตอร์ โดยใช้เครื่องมือในรูปแบบ QR Code มีการประเมินและตรวจสอบคุณภาพ การศึกษาแบบ On-line โดยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป มีจัดทำรายงานประจำปีด้วยการ เช่ือมโยงจากระบบฐานข้อมูลที่มีอยู่ในระบบสารสนเทศ และเผยแพร่ผ่านช่องทาง Line
70 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) Facebook fan page และสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ในระบบคอมพิวเตอร์ มาวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเน่ืองและสามารถเช่ือมโยงของข้อมูลในการนำใช้ในปี ต่อๆไป อภปิ รายผล จากการศึกษาวิจัย เรื่องการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายใน สถานศึกษาในยุคไทยแลนด์ 4.0 เขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 มีผล การวิเคราะหข์ อ้ มลู ท่ีควรนำมาอภปิ รายดงั นี้ 1. จากผลการวิเคราะห์ระดับการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายใน สถานศึกษาเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ทั้ง 7 ด้านอยู่ในระดับมาก เม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ีอภิปรายว่าตามกฎกระทรวง การประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.2561 ซ่ึงให้สถานศึกษาแต่ละแห่งจัดให้มีระบบการ ประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของ สถานศึกษาให้เป็นไปตามมาตรฐานการศึกษาแต่ละระดับพร้อมทั้งจัดทำแผนพัฒนา และ จัดส่งรายงานผลการประเมินตนเอง ให้แก่หน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงานที่กำกับดูแล สถานศึกษาเป็นประจำทุกปี ซ่ึงสอดคล้องกับงานวจิ ัยของนลินรัตน์ ภาโอภาส (2559 : 103) ได้ศึกษาเร่ืองการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา สังกัดเทศบาลเมืองปากพนัง จังหวดั นครศรีธรรมราช ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มรี ะดับการมสี ่วนร่วมในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาสังกัดเทศบาลเมือง ปากพนงั จังหวดั นครศรีธรรมราช โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก 2. เม่อื พิจารณาผลการวิจยั เป็นรายดา้ นสามารถนำมาอภิปรายผลวจิ ยั ไดด้ งั นี้ 2.1 ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง มีการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ี อภิปรายว่า มาตรฐานการเป็นข้อกำหนดเก่ียวกับคุณลักษณะและคุณภาพท่ีพึงประสงค์ของ ผู้เรียนท่ีให้เกิดข้ึนภายในสถานศึกษา เพ่ือใช้เป็นหลักเทียบเคียงสำหรับการส่งเสริม กำกับ ดูแล ตรวจสอบ การประเมินผลและการประกันคุณภาพการศึกษาซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัย ของมานพ วงษ์น้อย (2554 : 87) ได้ศึกษาเรื่อง“การมีสว่ นรว่ มของครูในกระบวนการประกัน
วารสาร มจร อบุ ลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 71 คุณภาพภายในสถานศึกษาข้ันพื้นฐานโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร”ผลการวิจัยพบว่า ผู้ ต อ บ แ บ บ ส อ บ ถ า ม มี ร ะ ดั บ ก า ร มี ส่ ว น ร่ ว ม ด้ า น ก า ร ก ำ ห น ด ม า ต ร ฐ า น ก า ร ศึ ก ษ า ข อ ง สถานศึกษา โดยรวมอยใู่ นระดับมาก 2.2 ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา พบว่า กลุ่ม ตัวอย่าง มีการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับ มาก ท้ังน้ีอภิปรายว่า การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาแผนพัฒนา การศกึ ษาท่ีมุ่งมาตรฐานการศึกษา ซง่ึ จะเป็นแผน 3 ปีหรือ 4 ปี ตามความเหมาะสมและตาม บริบทของสถานศึกษา ซ่ึงสอดคล้องกับงานวิจัยของพงษ์นภา หุนมาตรา (2553 : 67) ได้ ศึกษาเร่ือง “ศึกษาการพัฒนาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาราชบุรี เขต 1” ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบ แบบสอบถามมีการพัฒนาการดำเนินงาน ด้านการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยรวม อยูใ่ นระดบั มาก 2.3 ดา้ นการดำเนินการตามแผนพัฒนาการจดั การศกึ ษาของสถานศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง มีการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ใน ระดบั มาก ทง้ั นี้อภิปรายวา่ แผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาเปรยี บเสมือนเข็มทิศ ช้ที างในการปฏิบัตงิ าน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของภณัฐพงศ์ พลสุขและจักรกฤษ โพดาพล (2561 :373) ได้ศึกษาเร่ือง“สภาพและปัญหาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษามัธยมศึกษา เขต 19” ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบ แบบสอบถามมีความคิดเห็นต่อสภาพการการดำเนินการตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษา ของสถานศึกษาโดยรวมอยใู่ นระดบั มาก 2.4 ด้านการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง มีการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยรวม อยู่ในระดับมาก ทั้งน้ีอภิปรายว่า การประเมินผลการศึกษาภายในสถานศึกษาเป็นการเก็บ รวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และประเมินผลขอ้ มูล นำเสนอผลการประเมิน ซึ่งสอดคล้องกับ งานวิจัยของมานพ แจ้งพลอย (2553 : 78) ได้ศึกษาเร่ือง “การศึกษาสภาพการดำเนินงาน ประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาจันทบุรี” ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามมีการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในานการจัดใหม้ ีการประเมิน คุณภาพภายในตามมาตรฐานการศึกษา โดยรวมอย่ใู นระดับมาก
72 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 2.5 ด้านการติดตามผลการดำเนินการของสถานศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง มี การบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ท้ังน้ี อภิปรายว่า การติดตามผลการดำเนินการของสถานศึกษาเป็นกระบวนการสำคัญของ สถานศึกษาท่ีจะสร้างความมั่นใจว่าการปฏิบัติงานของสถานศึกษาเป็นไปในทิศทางท่ีถูกต้อง และสามารถสร้างผลงานท่ีสอดคล้องตรงตามเป้าหมายท่ีวางไว้ สอดคล้องกับงานวจิ ัยของนุจ นาจ ขุนาพรมและมณเฑียร พัวไพบูลย์ (2561 :127) ได้ศึกษาเรื่อง“แนวทางการดำเนินการ ประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ” ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัจจุบันการดำเนินงานด้านการติดตามผลการดำเนินงาน โดยรวมอยู่ในระดับ มาก 2.6 ด้านการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีการ บริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากทั้งนี้ อภิปรายว่า สถานศึกษาสามารถสรุปและจัดทำรายงานผลการประเมินคุณภาพการศึกษา ประจำปี เพ่ือนำเสนอต่อคณะกรรมการสถานศึกษา หน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยงานท่ี เก่ียวข้องและเผยแพร่สู่สาธารณชน ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของพงษ์นภา หุนมาตรา (2553:73) ได้ศึกษาเรือ่ ง“ศึกษาการพฒั นาการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ขั้นพื้นฐานของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาราชบุรี เขต 1” ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม มีการพัฒนาการดำเนินงาน ด้านรายงานคุณภาพการศึกษา ประจำปีโดยรวมอย่ใู นระดับมาก 2.7 ด้านการจัดให้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง พบว่า กลุ่ม ตัวอย่าง มีการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับ มากทั้งนี้อภิปรายว่า การดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภ ายในสถานศึกษามี ประสิทธิภาพและเป็นไปตามระบบข้ันตอนอย่างมีมาตรฐาน เพื่อให้เกิดความมั่นคงยั่งยืนใน ระบบการดำเนินงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของมาณพ แจ้งพลอย (2553 : 80) ได้ศึกษาเรื่อง“การศึกษาสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายใน สถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาจันทบุรี”ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบ แบบสอบถาม มีสภาพการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ด้านการจัดให้มกี าร พัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนือ่ งในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 73 ผลการเปรียบเทียบการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา เขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำแนกตามสถานภาพของผู้ตอบ แบบสอบถาม พบว่า กลุ่มตัวอย่างท่ีมีอายุ ประสบการณ์ในการทำงาน การพัฒนาตนเอง/ การอบรมต่างกัน มีการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทร่ี ะดับ.05 สว่ นเพศ และตำแหนง่ ต่างกนั มีการบริหารงานประกัน คุณภาพการศกึ ษาภายในสถานศึกษา ไมแ่ ตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสำคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .05 จากการสัมภาษณ์ผู้เช่ียวชาญการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายใน สถานศึกษา มีแนวทางการส่งเสริมการบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายใน สถานศึกษายุคไทยแลนด์ 4.0 เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยให้ สถานศึกษานำเทคโนโลยีมาใช้งานควบคู่กับการปฏิบัติงานในการจัดการและการวิเคราะห์ ต้ังแต่การวางแผน การดำเนินงาน โดยการใช้เครื่องมือในรูปแบบ On-line มีการใช้ โปรแกรมสำเร็จรปู ด้านการวดั ผล และจดั ทำรายงานผลการประเมนิ ตนเอง และนำเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมโดยนำข้อมูลท่ีมีในระบบคอมพิวเตอร์ มาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาคุณภาพ การศึกษาอย่างต่อเน่ือง ซึ่งสอดคล้องกับกระทรวงศึกษาธิการ (2563) ซ่ึงได้จัดทำมาตรฐาน การศึกษาของชาติ ซ่ึงเป็นผลลัพธ์ท่ีพึงประสงค์ของคนไทยในยุค 4.0 โดยมีคุณลักษณะท่ีพึง ประสงค์ 3 ด้าน คือ 1. ผู้เรียนรู้ เพื่อสร้างงานและคุณภาพชีวิตที่ดี 2. ผู้ร่วมสร้างสรรค์ นวัตกรรม เพ่ือสังคมท่ีมั่นคงม่ังค่ังและย่ังยืน และ 3.พลเมืองที่เข้มแข็ง เพ่ือสันติสุขของชาติ โดยกระทรวงศึกษาธกิ าร ประกาศมาตรฐานการศึกษาแต่ละระดับและประเภทการศึกษา คือ มาตรฐานการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พ.ศ.2561 องค์ความรูท้ ่ไี ดจ้ ากการศกึ ษา การบริหารงานประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษามีแนวทางการส่งเสริม การบริหารงานประกันคุณ ภาพการศึกษาภายในสถานศึกษายุคไทยแลนด์ 4 .0 เขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยให้สถานศึกษานำเทคโนโลยีมาใช้ งานควบคู่กับการปฏิบัติงานในการจัดการและการวิเคราะห์ ต้ังแต่การวางแผน การ ดำเนินงาน โดยการใช้เคร่ืองมือในรูปแบบ On-line มีการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปด้านการ วัดผลและจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง และนำเทคโนโลยีหรือนวตั กรรมโดยนำข้อมูล ท่ีมีในระบบคอมพิวเตอร์ มาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเน่ือง โดย
74 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) การวิเคราะหข์ ้อมลู จากฐานข้อมูลปีทผี่ ่านมาใชร้ ะบบสารสนเทศในการวางแผนงานเพ่ือจัดทำ แผนพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา นำเทคโนโลยีในมาใช้งานควบคู่กับการปฏิบัติงานของ สถานศึกษา ต้ังแต่การวางแผน การดำเนินงาน การวัดผลประเมินผล โดยผ่านระบบ อินเทอร์เน็ต ระบบคอมพิวเตอร์ โดยใช้เครื่องมือในรูปแบบ QR Code มีการประเมินและ ตรวจสอบคุณภาพการศึกษาแบบ On-line โดยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูป มีจัดทำรายงาน ประจำปีด้วยการเชื่อมโยงจากระบบฐานข้อมูลท่ีมีอยู่ในระบบสารสนเทศ และเผยแพร่ผ่าน ช่องทาง Line Facebook fan page และสื่อโซเชียลมีเดยี ต่างๆ ในระบบคอมพวิ เตอร์ เอกสารอา้ งองิ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2563). ประกนั คณุ ภาพการศกึ ษายุคใหม่. สืบค้นเมื่อ 5 มกราคม 2563 จากhttps://www.moe.go.th/index.php. นจุ นาจ ขุนาพรมและมณเฑียร พวั ไพบูลย์. (2561) แนวทางการดำเนินการประกันคุณภาพ ภายในสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ, การบริหารและการ นิเทศการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ปีที่ 9 ฉบับท่ี 1 มกราคม–เมษายน 2561. นลินรตั น์ ภาโอภาส (2559) ,การมสี ว่ นร่วมของบคุ ลากรในการประกันคุณภาพการศึกษา ภายในสถานศึกษา สงั กดั เทศบาลเมอื งปากพนงั จงั หวดั นครศรธี รรมราช, รวม บทความวิจยั โครงการประชุมวิชาการระดบั ชาติ “การขับเคล่ือนคุณภาพการศึกษา : ความท้าทายใหม่ของนวัตกรรมการบริหารจัดการ” มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรธี รรมราช, วนั ที่ 5-7 กุมภาพันธ์ 255. ธานนิ ทร์ ศลิ ปจ์ ารุ. (2555), การวิจยั และวิเคราะห์ขอ้ มลู ทางสถติ ดิ ว้ ย SPSS. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 11. นนทบุรี: เอส.อาร์.พร้ินติ้ง แมสโปรดกั ส์. บญุ ชม ศรสี ะอา้ น, (2551), วธิ กี ารทางสถิตสิ ำหรับการวิจยั , พิมพค์ รั้งท่ี 4, กาฬสินธุ์ : ประสานการพมิ พ์ พงษน์ ภา หุนมาตรา. (2553) ศกึ ษาการพัฒนาการดำเนนิ งานประกนั คณุ ภาพภายใน สถานศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานของโรงเรยี นในสังกดั สำนกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาราชบรุ ี เขต 1, บณั ฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลยั ศรีนครินทราวิโรฒ.
วารสาร มจร อบุ ลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 75 ภณฐั พงศ์ พลสุขและจักรกฤษ โพดาพล. (2561). สภาพและปญั หาการดำเนินงานประกัน คุณภาพภายในของโรงเรียนสังกัดสำนกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามัธยมศกึ ษา เขต 19, วารสาร มจร พุทธปัญญาปริทรรศน,์ ปีท่ี 3 ฉบับท่ี 3 กนั ยายน-ธนั วาคม. มาณพ แจ้งพลอย. (2553) การศึกษาสภาพการดำเนนิ งานประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา สังกดั สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาจนั ทบุรี. บณั ฑิตวทิ ยาลัย: มหาวิทยาลัย ราชภฏั รำไพพรรณี. มานพ วงษ์น้อย. (2554) การมีสว่ นร่วมของครูในกระบวนการประกนั คณุ ภาพภายใน สถานศึกษาขน้ั พืน้ ฐานโรงเรียนสงั กัดกรงุ เทพมหานคร. บณั ฑติ วิทยาลัย: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ธนบรุ ี. วิรัตน์ ผดงุ ชพี . (2560) คู่มือกฎหมายและระเบียบในการปฏบิ ัตริ าชการ. เชียงใหม่: วี วี บุ๊คส์ เอ็ดยเู คชั่น. สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน. (2561) แนวทางการประเมินคุณภาพตาม มาตรฐานการศกึ ษาระดบั ปฐมวยั ระดบั การศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐานและระดบั การศึกษาขน้ั พ้ืนฐานศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ. กรุงเทพฯ: สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพน้ื ฐาน. สำนกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2560) แผนการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2560-2579 กรงุ เทพฯ: กระทรวงศึกษาธกิ าร.
76 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020)
คุณภาพชวี ติ ของผู้สูงอายุในองคก์ ารบริหารส่วนตำบลกุดผึ้ง อำเภอสวุ รรณคูหา จงั หวัดหนองบวั ลำภู The Quality of Life of the Elderly in Kudphueng Sub-district Administrative Organization, Suwannakhuha District, NongbuaLamphu Province ชาญยทุ ธ หาญชนะ Chanyuth Hanchana วทิ ยาลัยพิชญบัณฑติ , ประเทศไทย Pitchayabundit College, Thailand. [email protected] Received May 10, 2020; Revised July 12, 2020; Accepted August 25, 2020 บทคัดยอ่ การศึกษามีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาลักษณะส่วนบุคคล สภาพการดำรงชีวิตและ สภาพปัญหาของผู้สูงอายุ เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ เพื่อเปรียบเทียบระดับ คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ จำแนกตามเพศ ประเภทและกลุ่มอายุ และเพื่อเสนอแนวทาง พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ประชากรคือ ผู้มีอายุ 60 ปีข้ึนไปในเขตปกครององค์การ บริหารส่วนตำบลกุดผึ้ง จำนวน 503 คน กลุ่มตัวอย่างคำนวณได้223 คน กรอบแนวคิด คณุ ภาพชีวิตผู้สูงอายุ 4 ด้าน คือ ด้านสุขภาพร่างกาย ด้านจิตใจ ดา้ นสัมพันธภาพทางสงั คม และด้านส่ิงแวดล้อม ผลการวิจัยพบว่า ระดบั คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยภาพรวมพบว่า มี คา่ เฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง ด้านท่ีมีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ ด้านส่ิงแวดล้อม รองลงมา คือ ด้าน จิตใจ ด้านสัมพันธภาพทางสังคมและด้านสุขภาพร่างกาย ตามลำดับ ผลการเปรียบเทียบ
78 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) ระดับคุณภาพชวี ิตผู้สงู อายุ จำแนกตามเพศ ไมแ่ ตกต่างกนั จำแนกตามประเภทและกลุ่มอายุ แตกต่างกนั อย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ิท่ีระดับ .05 และพบว่า ด้านส่ิงแวดล้อมมีระดับคุณภาพ ชีวิตแตกต่างกัน ข้อเสนอแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ สรุปได้ดังน้ี ควรมีการ เยี่ยมบ้าน จัดรถรับส่ง มีสายด่วนแจ้งเหตุ จัดให้มีจิตอาสาไว้บริการตามหมู่บ้าน บริการ ข่าวสารหลายช่องทาง จัดให้มีบทบาทในสังคม ตั้งกองทุนฌาปนกิจศพ จัดตั้งชมรมผู้สูงอายุ จัดสถานท่ีพักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกาย ดูแลท่ีอยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมให้ถูก สขุ ลกั ษณะ คำสำคัญ : คณุ ภาพชวี ติ , ผสู้ ูงอายุ Abstract The objectives of this research included: to study the personal characteristics, condition of living and problems of the elderly; to study the level of quality of life of the elderly; to compare the level of the quality of life of the elderly classified by gender, type and group of age; and to propose the guidelines for development of quality of life of the elderly. The population was the people with the age of 60 and above in the service area of Kudphueng Sub-district Administrative Organization including 503 persons in total. The calculated samples were 223 persons. The scopes of the concepts include 4 aspects of physical health, mental, social relation and environment. The results of findings were as follows. The overall level of quality of life of the elderly was at moderate level. The highest average was the environmental aspect and chronologically followed by the aspects of mental, social relation and physical health. The result of comparison of the level of quality of life of the elderly classified by gender was not different whereas by type and group of age was statistically significant at the level of .05. It was also found that the level of quality of life in environment aspect was different. Recommendations for the development of the quality of life of the elderly can be concluded as the followings. There should be home visits, transportation, emergency lines, public minded volunteers servicing at the village level, various channels for information service, promotion of the roles of the elderly in
วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 79 society, funeral fund, club of the elderly, establishments of relaxation and exercise, and hygienic dwelling and environment. Keywords : Quality of Life, the Elderly บทนำ โครงสรา้ งอายุของประชากรโลกและของประเทศต่างๆ กำลังเปล่ียนไปในทิศทางที่ มอี ายุสูงข้ึน ในปี 2558 ประชากรโลกมี 7,349 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไปประมาณ 901 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 12 ของประชากรท้ังหมด นับได้ว่า ประชากรรวมทั้งโลกได้เข้าเกณฑ์ที่เรยี กได้ว่าเป็น“สังคมสูงวัย”แล้วประเทศไทยได้กลายเป็น สังคมสูงวัยมาต้ังแต่ปี 2548 คือมีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 10 ตาม นิยามขององค์การสหประชาชาติ ประชากรสูงอายกุ ำลงั เพิม่ ขึน้ ด้วยอัตราที่เรว็ มากคือ สูงกว่า ร้อยละ 4 ต่อปี ในขณะที่ประชากรรวมเพ่ิมข้ึนด้วยอัตราเพียงร้อยละ 0.5 เท่านั้น ประเทศ ไทยจะกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) คือมีสัดส่วน ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 20 ในปี 2564 (กระทรวงพัฒนาสังคมและความ มัน่ คงของมนุษย์.2553). และจะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) เม่ือมี สดั สว่ นประชากรอายุ 60 ปีขน้ึ ไปสูงถึงร้อยละ 28 ในปี 2574 ซ่ึงหมายความว่าสังคมไทยตอ้ ง มีการเตรียมการด้านเศรษฐกิจ สังคมและด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ เพ่ือรับกับ สถานการณ์ดังกล่าว (www.dop.go.th: สืบค้นวันที่ 22 มีนาคม 2562) การท่ีประชากรวัย สูงอายุมีอายุคาดหมายเฉลี่ยที่ยืนยาวข้ึนมิได้หมายความว่าประชากรวัยสูงอายุจะมีสุขภาพ อนามัยที่ดีตามไปด้วย หากผู้สูงอายุไม่ได้เตรียมความพร้อมด้านสุขภาพมาก่อน โอกาสของ การเจ็บป่วย การเกิดภาวะทุพพลภาพและภาวะพิการก็จะสูงข้ึนด้วย (เก้ือ วงศ์บุญสิน, 2545) คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นประเด็นท่ีนักวิจัยและนักวิชาการหลายสาขาให้ความ สนใจศึกษาวิจัยมากว่าทศวรรษ (Farquhar,1995;Ormelet al.,1997;Moons,Werner &Sabina,2006) นับต้ังแต่ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซ่ึงข้อค้นพบจากการศึกษา คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุจะเป็นประโยชน์ต่อชุมชน ต่อหน่วยงานที่เก่ียวข้องในการพัฒนา คุณภาพชีวิตของผ้สู ูงอายุใชเ้ ปน็ ข้อมูลในการวางแผนดูแลช่วยเหลือใหผ้ ู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิต เป็นอยู่ท่ีดีข้ึน ท้ังน้ีเพราะคุณภาพชีวิตเป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงภาพรวมของผู้สูงอายุว่าเป็น
80 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) อย่างไร ท้ังดา้ นสขุ ภาพร่างกายและจติ ใจด้านเศรษฐกิจ ดา้ นสังคม และดา้ นสิง่ แวดล้อม จาก การทบทวนเอกสารงานวิจัยท้ังในและต่างประเทศที่ผ่านมาพบว่า มีนักวิชาการท่ีศึกษา แนวคิดและองค์ประกอบของคุณภาพชีวิต โดยแบ่งองค์ประกอบของคุณภาพชีวิตตามมิติ ต่างๆตั้งแต่ 4 ดา้ น จนถงึ มากกวา่ 7 ดา้ น องค์การอนามัยโลก แบ่งองค์ประกอบของคุณภาพ ชีวิต 4 ด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย (Physical domain) ด้านจิตใจ (Psychological domain) ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม(Social relationships domain) และด้านส่ิงแวดล้อม ( Environmental domain ) ซ่ึงเป็นแบบวัดคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกชุด 26 ตัวชี้วัด (WHOQOL-BREF) โดยสุวัฒน์ มหัตนิรันดร์กุลและคณะ นำมาแปลเป็นภาษาไทย เรียกว่าคุณภาพชีวิตขององค์การอนามัยโลกฉบับภาษาไทยชุดย่อ 26 ตัวชี้วัด (WHOQOL- BREF THAI) ลักษณะของแบบวัดคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเป็นมาตรวัด 5 ระดับ (สุวัฒน์ มหัตนิ รันดร์กุล และคณะ, 2541) ผู้วิจัยได้นำมาปรับปรุงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้ องค์การบริหารส่วนตำบลกุดผ้ึง อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู มีจำนวนผู้สูงอายุ อยูใ่ นความรับผิดชอบจำนวน 503 คน การดำเนนิ การพฒั นาคุณภาพชวี ติ ผูส้ งู อายทุ ี่ผ่านมา มี ปัญหาในเรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุไม่ทั่วถึงและไม่สามารถตอบสนองความ ต้องการที่แท้จริงของผู้สูงอายุได้ จากการลงพ้ืนท่ีเพื่อบริการวิชาการทำให้คณะผู้วิจัยซึ่งเป็น อาจารยป์ ระจำคณะรัฐศาสตร์มีความสนใจในเรื่องการพฒั นาคุณภาพชีวติ ผสู้ ูงอายุในองค์การ บริหารส่วนตำบลกดุ ผ้ึง โดยมุ่งหวังว่าผลการวิจัยจะนำไปสู่การแกป้ ัญหาและตอบสนองความ ต้องการของผู้สูงอายุในชุมชนได้เป็นอย่างดี จึงได้เสนอโครงการวิจัยในเร่ืองดังกล่าว ผลการวิจัยจะนำไปปรับปรุงการดำเนินงานเพ่ือปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุของ องค์การบริหารส่วนตำบลกุดผ้ึง และเป็นรูปแบบให้ชุมชนอื่นท่ีจะนำไปปรับใช้ให้เหมาะสม ตอ่ ไป วตั ถุประสงค์การวจิ ยั 1. เพือ่ ศึกษาลักษณะส่วนบุคคล สภาพการดำรงชวี ิตและสภาพปัญหาของผ้สู ูงอายุ ในองคก์ ารบรหิ ารส่วนตำบลกดุ ผงึ้ จังหวัดหนองบัวลำภู 2. เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลกุดผึ้ง จงั หวัดหนองบัวลำภู
วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 81 3. เพื่อเปรียบเทียบระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ จำแนกตามเพศ ประเภทและ กลุม่ อายุ ในองคก์ ารบริหารสว่ นตำบลกุดผง้ึ จงั หวดั หนองบัวลำภู 4. เพ่ือเสนอแนวทางพัฒนาคณุ ภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ในองค์การบรหิ ารส่วนตำบล กดุ ผงึ้ จังหวัดหนองบัวลำภู วธิ ดี ำเนินการวจิ ยั 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่างประชากรคือ ผู้มีอายุ 60 ปีข้ึนไปในเขตปกครอง องค์การบรหิ ารส่วนตำบลกดุ ผง้ึ จำนวน 503 คนคำนวณหากลมุ่ ตวั อย่างโดยวิธีการของยามา เน่ (Taro Yamane อ้างในบญุ ชม ศรีสะอาด2548 :40) ได้กลมุ่ ตัวอย่าง 223 คน 2. เครื่องมือทใี่ ช้ในการวจิ ยั 2.1แบบสอบถามแบ่งออกเปน็ 3 สว่ น ดังนี้ สว่ นที่ 1 ขอ้ มูลทวั่ ไป ลกั ษณะสว่ นบคุ คล เปน็ แบบสํารวจรายการ (Check List) ส่วนที่ 2 แบบสอบถามระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุเป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) ตามแบบของลเิ คิรท์ (บญุ ชม ศรีสะอาด2548 :99) 2.2 แบบบันทึกการประชุมแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ จากการ ประชุมกลุ่ม (Focus Group) จากผู้มีประสบการณ์ด้านการดูแลผู้สูงอายุ15 คน สรุปเป็น ความเรยี ง 3. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ผู้ ศึ ก ษ า เก็ บ แ บ บ ส อ บ ถ า ม ด้ ว ย ต น เอ ง แ ล ะ ชี้ แ จ ง ท ำ ค ว า ม เข้ า ใจ ใ ห้ ผู้ ต อ บ แบบสอบถามทราบลักษณะของแบบสอบถามและได้จัดประชุมกลุ่ม (Focus Group) ผู้มี ประสบการณ์ในการดูแลผู้สูงอายจุ ำนวน 15 คนประกอบด้วย นายกเทศมนตรี ปลัดเทศบาล เจา้ หนา้ ที่ผู้รับผดิ ชอบการจัดสวัสดกิ ารผสู้ งู อายุ และตวั แทนผสู้ ูงอายุ 4. การวเิ คราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นําข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป การวิเคราะห์ข้อมูล ท่ัวไปของผู้ตอบแบบสอบถาม โดยการแจกแจง ความถ่ี (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) วิเคราะห์ข้อมูลเก่ียวกับระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยการหาค่าเฉล่ีย (x) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation :S.D) ทดสอบสมมตุ ฐิ านเปรยี บเทยี บ
82 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ จำแนกตามเพศ และประเภทผู้สูงอายุ โดยการทดสอบค่าทีแบบ อิสระ (t-test for Independent Samples) โดยกำหนด ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ทดสอบสมมุติฐานเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ จำแนกตามกลุ่มอายโุ ดยใช้ สถิติ F- test (One-way Anova) ผลการวจิ ยั 1. สภาพการดำรงชีวิต พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็น เพศหญิง เป็นผู้สูงอายุ ทัว่ ไป อายุ 60-69 ปี จบการศึกษาระดบั ประถมศึกษา และประกอบอาชีพเกษตรกรรมสภาพ การดำรงชีวิตของผู้สูงอายุ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ได้รับเบ้ียยังชีพ อาศัยอยู่กับ ครอบครัวมีภาระทำงานบ้านบุตรคือ ผู้ดูแลหลักเม่ือเจ็บป่วย เมื่อเจ็บป่วยสถานที่ใช้บริการ ไดแ้ ก่ โรงพยาบาลของรฐั บาล ส่วนใหญไ่ ด้รับขา่ วสารจากโทรทศั น์ สภาพปญั หาของผู้สูงอายุ กลุ่มตัวอย่าง มีโรคประจำตัวที่ตอ้ งพบแพทย์เป็นประจำ การเดินไปมาในบริเวณบ้านทำไม่ได้ ส่วนหนึ่งใช้ห้องน้ำด้วยตนเองไม่ได้ การกลั้นปัสสาวะ หรือกลั้นอุจจาระมีบางส่วนทำไม่ได้ มีภาวะสมองเสื่อม นอกจากเบี้ยยังชีพที่รัฐจัดให้ไม่มี รายได้ สภาพบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ในห้องนอน ในห้องน้ำ บันไดบ้าน ไม่มีราวเกาะ ส้วมที่ ผสู้ ูงอายุใช้เป็น แบบน่ังยอง การเกิดอุบัติเหตุการหกล้ม ส่วนใหญ่หกล้มในบ้าน สาเหตุท่ีทำ ใหห้ กล้ม เนื่องจากพ้นื ลนื่ 2.ระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลกุดผ้ึง จังหวัด หนองบวั ลำภู คณุ ภาพชีวิตของผสู้ ูงอายุในองค์การบริหาร ระดบั ความรู้สึก ส่วนตำบลกุดผงึ้ S.D. แปลผล ลำดบั 1. ดา้ นสุขภาพร่างกาย 2.88 0.394 ปานกลาง 5 2. ด้านจิตใจ 3.01 0.369 ปานกลาง 3 3. ด้านสมั พนั ธภาพทางสังคม 3.00 0.436 ปานกลาง 4 4. ดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม 3.05 0.315 ปานกลาง 2 5. คณุ ภาพชวี ติ โดยรวม 3.08 0.426 ปานกลาง 1
วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 83 จากตารางที่ 1 พบวา่ คุณภาพชีวติ ของผู้สูงอายุ ในองค์การบริหารส่วนตำบลกุดผ้ึง อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู โดยภาพรวมมีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับปานกลาง ( =3.08) เม่ือพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ ด้านสิ่งแวดล้อม ซ่ึงมี ค่าเฉล่ียเท่ากับ ( = 3.05) รองลงมา คือ ด้านจิตใจ ( =3.01) และด้านสัมพันธภาพทาง สงั คม( =3.00) ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีคา่ เฉลีย่ อยใู่ นระดับน้อยที่สุด คอื ด้านสขุ ภาพร่างกาย ( =2.88) สรปุ รายด้านได้ดงั น้ี 2.1 ด้านสุขภาพอนามัยมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางเม่ือพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ มีความสุขกับการพักผ่อนด้วยการนอนหลับที่เพียงพอ ส่วน ข้อที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดบั น้อยทส่ี ุด คือ การเจ็บปวดตามร่างกาย เช่น ปวดหัว ปวดทอ้ ง ปวด ตามตัว ทำให้ไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการด้านจิตใจโดยรวมมีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับปานกลาง เม่ือพิจารณารายข้อ พบว่า ข้อที่มีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ รู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย ส่วนข้อที่มี ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ มีความรู้สึกไม่ดี เช่น รู้สึกเหงา เศร้า หดหู่ ส้ินหวังวิตก กังวล บ่อย 2.2 ด้านสมั พนั ธภาพทางสังคมมีคา่ เฉลี่ยอยู่ในระดบั ปานกลาง เมอื่ พจิ ารณา รายข้อ พบวา่ ข้อท่มี ีคา่ เฉลี่ยสงู สดุ คือพอใจในชีวติ ทางเพศส่วนข้อที่มีค่าเฉลีย่ อยู่ในระดับ น้อยท่ีสุด คือ พอใจต่อการผูกมติ รหรือเขา้ กบั คนอืน่ อย่างที่ผ่านมา 2.3 ด้านสิ่งแวดลอ้ มมีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับปานกลาง เม่อื พิจารณารายขอ้ พบว่า ข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ พอใจกับสภาพบ้านเรือนท่ีอยู่ตอนน้ี ส่วนข้อท่ีมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับ นอ้ ยทสี่ ุด คอื มเี งินพอใช้จา่ ยตามความจำเป็นมากน้อยเพียงใด 3. ผลการเปรียบเทียบระดับคุณภาพชีวติ ของผู้สงู อายุในองค์การบรหิ ารส่วนตำบล กุดผ้ึง จำแนกตามเพศ มีระดับคุณภาพชีวิตไม่แตกต่างกัน ผลการเปรียบเทียบระดับคุณภาพ ชีวิต จำแนกตามประเภท พบว่า ด้านสิ่งแวดล้อมมีระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุประเภท ผู้สูงอายทุ ัว่ ไปและผูส้ ูงอายุพิการแตกต่างกันอย่างมนี ัยสำคัญทางสถติ ิที่ระดับ.05 สว่ นด้านอ่ืน ไม่แตกต่างกันและผลการเปรียบเทียบระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ จำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่า ด้านส่ิงแวดล้อม มีระดับคุณภาพชีวิตแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ.05 จึงทำการทดสอบรายคู่โดยวิธีการของScheffe’ พบว่ากลุ่มอายุ 60-69 ปี มีระดับคุณภาพ ชีวิตแตกต่างกบั กลุ่มอายุ 80 ปีขึ้นไป
84 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 4. ข้อเสนอแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบล กุดผงึ้ ได้ดงั น้ี 4.1 ด้านสุขภาพร่างกายทปี่ ระชุมได้กำหนดแนวทางพัฒนาดงั น้ี 1) การเยี่ยมบ้านเป็นกลุ่มกำหนดปฏิทินการเย่ียมบ้านให้ชัดเจน โดยจัดให้ เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขไปเย่ียมและให้คำแนะนำเป็นกลุ่มโดยกำหนดกลุ่มตามหมู่บ้าน เพื่อ สอบถามเก่ยี วกบั การเจบ็ ปว่ ยของผู้สงู อายุและแนะนำการรักษาสขุ ภาพ 2) การเย่ียมบ้านเป็นการเฉพาะราย กรณีน้ีเป็นเป็นการเยี่ยมบ้านผู้สูงอายุที่ มีปัญหาสุขภาพ หรือเจ็บป่วยเป็นการเฉพาะทาง องค์การบริหารส่วนตำบลกุดผึ้งจะส่ง เจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขไปเย่ียมและตรวจสุขภาพ กรณีเจ็บป่วยร้ายแรงก็จะจัดรถรับส่งไปยัง โรงพยาบาล โดยมีสายด่วนแจ้งเหตุขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดผึ้งเพ่ือติดต่อเจ้าหน้าท่ี โดยตรง 3) จดั หาแพทยแ์ ผนไทยไวบ้ ริการตามหมูบ่ ้าน 4) จดั บริการรกั ษาโดยแพทย์แผนไทย เปน็ การเฉพาะรายที่รอ้ งขอมายัง องค์การบรหิ ารส่วนตำบลกุดผึง้ หรอื เจ้าหนา้ ทสี่ าธารณสุข 5) จดั อบรมการบำบดั ทางแพทยแ์ ผนไทยเบื้องตน้ ให้แกผ่ ้สู งู อายุเพ่ือบรกิ าร กนั เองในชมุ ชนของตนเอง กรณีเจบ็ ปว่ ยเล็กนอ้ ยหรือการปฐมพยาบาลเบ้ืองตน้ 4.2 ดา้ นจิตใจ ทีป่ ระชุมไดก้ ำหนดแนวทางพัฒนาไว้ดังน้ี 1) จดั สอดแทรกความรู้ใหใ้ นการพบปะเยย่ี มเยือนรายกลมุ่ ในแต่ละชุมชน 2) จัดทำเอกสารเผยแพร่สง่ ให้ถึงบา้ นผ้สู งู อายุแตล่ ะคน 3) เผยแพร่ความรูผ้ ่านหอกระจายขา่ วของชมุ ชน / หอกระจายขา่ วของวัด ในชุมชน/ทางกลมุ่ โทรศัพท์มือถือออนไลนเ์ ป็นตน้ 4) จัดให้ผู้สูงอายุได้เผยแพร่ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตามความสามารถท่ีตนเอง ถนัดโดยจัดใหเ้ ผยแพรค่ วามรใู้ หก้ ลมุ่ ผ้สู นใจ ตามวดั ตามโรงเรียน ตามกลุ่มอาชีพ เปน็ ต้น 2.5 ต้งั กองทนุ ฌาปนกจิ ศพในแตล่ ะหมบู่ ้าน และเชิญชวนไปรว่ มงานศพและทำบุญอทุ ิศส่วน กศุ ลให้แก่ผ้ถู งึ แกก่ รรม เปน็ ต้น 4.3 ดา้ นสมั พนั ธภาพทางสงั คม ท่ปี ระชมุ ไดก้ ำหนดแนวทางพัฒนาไวด้ งั นี้
วารสาร มจร อบุ ลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 85 1) จัดตั้งชมรมผู้สูงอายุขององค์การบริหารส่วนตำบลกุดผ้ึง โดยมีเครือข่าย ของชมรมอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ ท่ีสามารถติดต่อประสานงานกันได้โดยสะดวกในการทำงาน แบบทีเ่ ปน็ ประโยชนต์ ่อตนเองและส่ิงแวดลอ้ ม 2) จัดสถานที่ สวนสาธารณะกระจายไปยังหมู่บ้านต่างๆและปรับปรุง สถานที่เดิมให้เหมาะสมปรับปรุงวัดและโรงเรียนให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและออกก กำลงั กาย 3) จดั หาวทิ ยากรแนะนำการออกกกำลังกายจากครูหรืออาสาสมคั รในแต่ละ หม่บู ้านเปน็ ผนู้ ำในการออกกำลงั กายและทำกจิ กรรมนันทนาการ 4.4 ดา้ นส่งิ แวดลอ้ ม ท่ีประชุมไดก้ ำหนดแนวทางพัฒนาไว้ดังนี้ อ ง ค์ ก า ร บ ริ ห า ร ส่ ว น ต ำ บ ล กุ ด ผ้ึ ง ตั้ ง ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร ดู แ ล ท่ี อ ยู่ อ า ศั ย ให้ ถู ก สขุ ลักษณะและปลอดภัย โดยจัดเจ้าหน้าที่ออกให้ความช่วยเหลือดูแล ความสะอาดของบ้าน บริเวณบ้านหรือห้องน้ำห้องส้วม ให้ถูกสุขลักษณะและปลอดภัย ตั้งกลุ่มโทรศัพท์ผู้สูงอายุ เพ่อื ติดต่อสื่อสารเมอื่ จำเปน็ อภิปรายผล คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลกุดผึ้ง อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู โดยภาพรวมมีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับปานกลาง เม่ือพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านส่ิงแวดล้อม รองลงมา คือ ด้านจิตใจและด้าน สัมพันธภาพทางสังคมตามลำดับ ส่วนด้านท่ีมีค่าเฉล่ียอยู่ในระดับน้อยที่สุด คือ ด้านสุขภาพ ร่างกายท้ังน้ีอาจเนื่องจากองค์การบริหารส่วนตำบลกุดผ้ึง อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัด หนองบัวลำภู เป็นพื้นท่ีทำเกษตรกรรมปลูกอ้อย ทำนา ทำสวนผลไม้ ดำรงชีวิตตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พ้ืนท่ีเป็นป่าเขาท่ีอุดมสมบูรณ์ มีวัดท่ีมีช่ือเสียงที่จะไปร่วมทำบุญ ในพ้ืนท่ีใกล้เคียงหลายวัดจึงมีความพึงพอใจในสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่และมีโอกาสได้ พักผ่อนคลายเครียดส่วนด้านท่ีมีค่าเฉล่ยี น้อยทีส่ ุดคือ ด้านสุขภาพร่างกาย ทั้งนี้อาจเน่ืองจาก พืน้ ทอ่ี ำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบวั ลำภูเปน็ พืน้ ทีป่ นเปอ้ื นสารเคมีจากการทำไรอ่ ้อยเช่น ยาฆ่าหญ้าและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากท่ีสุดในระดับจังหวัดและระดับประเทศทำให้ส่งผล ต่อสุขภาพร่างกายของผู้สูงอายุสอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของปิยภรณ์ เลาหบุตร (2557) ได้ศกึ ษา เร่ือง คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนหมู่ 7 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
86 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) ผลการศึกษา พบวา่ โดยภาพรวม คุณภาพชวี ิตของผูส้ งู อายุอยู่ในระดบั ค่อนข้างดี เมือ่ จำแนก ตามรายด้านได้ดังน้ี ด้านส่ิงแวดล้อมอยู่ในอันดับ 1 ด้านร่างกายอยู่ในอันดับ 2 ด้านความ สัมพนั ธท์ างสังคม อย่ใู นอันดับ 3 ด้านจติ ใจอยู่ในอนั ดับ 4 ผลการเปรียบเทยี บระดับคุณภาพชีวิตของผสู้ ูงอายุ จำแนกตามเพศ พบว่าคณุ ภาพ ชีวิตผู้สูงอายุเพศชายและเพศหญิงไม่แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามประเภทพบว่าผู้สูงอายุ ประเภทท่ัวไปและประเภทพิการ มีระดับคุณภาพชีวิตแตกต่างกัน และเม่ือพิจารณาเป็นราย ด้าน พบว่า ด้านส่ิงแวดล้อมแตกตา่ งกันอย่างมีนัยสำคญั ทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านอ่ืนไม่ แตกต่างกันเม่ือเปรียบเทียบตามระดับอายุพบว่าผู้สูงอายุกลุ่มอายุ 60-69 ปี และกลุ่มอายุ 80 ปีข้ึนไป มีคุณภาพชีวิตด้านส่ิงแวดล้อมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ.05 ท้ังน้ีอาจเนื่องจาก บ้านเรอื นท่ีอยู่อาศัยในชนบทมีสภาพไม่เอ้ือต่อผู้สูงอายุท่ีพิการและไม่เอื้อ ต่อผู้สงู อายตุ อนปลายคอื กลุ่มอายุ 80 ปีข้นึ ไปซ่งึ สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของปยิ ภรณ์ เลาหบตุ ร (2557) ได้ศึกษาเรื่อง คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในชุมชนหมู่ 7 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัต หีบ จังหวัดชลบุรี ผลการเปรียบเทียบ พบว่า คุณภาพของผู้สูงอายุในชุมชนหมู่ 7 ตำบลพลู ตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ที่มี เพศ อาชีพ สถานภาพต่างกัน มีคุณภาพชีวิตไม่ แตกต่างกัน ส่วนผู้สูงอายุ ท่ีมี อายุ ระดับการศึกษา ต่างกัน มีคุณภาพชีวิตแตกต่างกัน อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และวีระพงษ์ พรายภิรมณ์ (2557) การศึกษาเรื่อง คุณภาพ ชีวิตของประชาชนในตำบลสวนส้มอำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาครผลการเปรียบเทียบ ความแตกต่างของคุณภาพชีวิตของประชาชนในตำบลสวนส้ม อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัด สมุทรสาคร พบว่าผู้สูงอายุจำแนกตามอายุที่แตกต่างกัน มีระดับคุณภาพชีวิตที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผู้สูงอายุจำแนกตามเพศ การศึกษา สถานภาพและ รายได้ทแี่ ตกตา่ งกัน มคี ณุ ภาพชีวติ ทไ่ี มแ่ ตกต่างกัน องคค์ วามรูท้ ไี่ ดจ้ ากการศึกษา คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในองค์การบริหารส่วนตำบลกุดผึ้ง อำเภอสุวรรณคูหา จงั หวดั หนองบัวลำภู มีการส่งเสรมิ คณุ ภาพชวี ติ ของผสู้ ูงอายุ โดยมีการเย่ียมบ้านเปน็ กลมุ่ และ มีการเย่ียมบ้านเป็นการเฉพาะราย กรณีเจ็บป่วยร้ายแรงก็จะจัดรถรับส่งไปยังโรงพยาบาล โดยมีสายด่วนแจ้งเหตุเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง จัดบริการรักษาโดยแพทย์แผนไทยและ
วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 87 อบรมจิตอาสาเป็นการดูแลเบื้องต้น ให้ผู้สูงอายุมีบทบาทในสังคมโดยเผยแพร่ภูมิปัญญา ท้องถ่ิน ตามความสามารถที่ตนเองถนัด ต้ังกองทุนฌาปนกิจศพในแต่ละหมู่บ้าน และจัดตั้ง ชมรมผู้สูงอายุ จัดสถานที่ สวนสาธารณะ ปรับปรุงวัดและโรงเรียนให้เป็นสถานที่พักผ่อน หย่อนใจและออกกกำลังกาย จัดหาวิทยากรแนะนำการออกกำลังกายจากครหู รืออาสาสมัคร ในแต่ละหมู่บ้านเป็นผู้นำในการออกกำลังกายและทำกิจกรรมนันทนาการ นอกจากน้ันยังมี การจัดต้ังคณะกรรมการดูแลที่อยู่อาศัยห้องน้ำห้องส้วม ของผู้สูงอายุให้ถูกสุขลักษณะและ ปลอดภัย เป็นตน้ เอกสารอา้ งอิง กระทรวงพฒั นาสงั คมและความมัน่ คงของมนุษย์. (2553). แผนผูส้ งู อายแุ หง่ ชาติ ฉบับท่ี 2 (พ.ศ.2545-2564). กรงุ เทพฯ : เพญ็ เทพวานสิ ย.์ เกื้อ วงศ์บุญสิน, (2545) ประชากรศาสตร์ : สาระเพื่อการตัดสินใจเชิงธุรกิจ, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั บญุ ชม ศรสี ะอาด. (2548). การวจิ ัยเบ้ืองต้น. พิมพค์ รง้ั ที่ 6. กรงุ เทพฯ: สุวรี ิยาสาสน์ . ปยิ ภรณ์ เลาหบตุ ร, (2557). คณุ ภาพชีวิตของผู้สูงอายใุ นชุมชนหมู่ 7 ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จงั หวดั ชลบรุ ี, บัณฑิตวทิ ยาลยั :มหาวิทยาลยั บูรพา. วรี ะพงษ์ พรายภิรมณ์, (2557), คุณภาพชวี ติ ของประชาชนในตำบลสวนสม้ อำเภอบา้ นแพ้ว จงั หวัดสมทุ รสาคร. บัณฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลัยบรู พา. สวุ ัฒน์ มหัตนิรนั ดร์กุลและคณะ. (2541). เปรียบเทยี บแบบวัดคุณภาพชวี ิตขององค์การ อนามัยโลก ชุด 100 ตัวช้วี ัดและ26 ตวั ชี้วัด. เชียงใหม่ : โรงพยาบาลสวนปรุง. Farquhar, M. (1995).Elderly people’s definitions of quality of life. Social science&medicine, 41(10), 1439-1446.
การบรหิ ารจดั การช้นั เรียนที่ส่งผลตอ่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวิชา คณิตศาสตรข์ องสถานศกึ ษาในสงั กัดสำนกั งานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษา ประถมศึกษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 3 Classroom Management Affecting Learning Achievement in Mathematics of Schools under Suratthani Primary Educational Service Area Office 3 1กุสมุ า มะโนภักด์ิ, 2พระครพู ิจติ รศุภการและ 3มะลวิ ัลย์ โยธารกั ษ์ 1Kusuma Manopak, 2Phrakru Pijitsupakarn and 3Maliwan Yotharak มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, วิทยาเขตนครศรีธรรมราช, ประเทศไทย Mahachulalongkornrajavidyalaya University, Nakhon Si Thammarat, Thailand. [email protected] Received May 10, 2020; Revised July 12, 2020; Accepted August 25, 2020 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการช้ันเรียนของ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 2) เพื่อ ศึกษาองค์ประกอบการบริหารจัดการช้ันเรียนท่ีส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 และ 3) เพ่ือเสนอแนวทางการบริหารจัดการชั้นเรียนที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุ ราษฎร์ธานี เขต 3 กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย คือ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จำนวน 113 โรงเรียน โดยการสุ่มอย่างง่าย
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 89 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามความคิดเห็นของครูผู้สอนวิชาคณิตศาสตร์ ช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 6 สถิติท่ีใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และการ ถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) ผลการวิจัยพบว่า 1.การบรหิ ารจัดการชั้นเรียนของสถานศึกษาในสงั กดั สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยรวมท้ัง 5 องค์ประกอบ อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณา เป็นรายองคป์ ระกอบ พบวา่ ดา้ นการสรา้ งวนิ ยั ในช้ันเรยี น มีค่าเฉลี่ยสูงสดุ รองลงมา คือ การ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล การจัดสิ่งแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ การดำเนินการ สอนอยา่ งเป็นระบบ สว่ นการจัดกจิ กรรมใหน้ กั เรียนประสบความสำเรจ็ มีค่าเฉลี่ยตำ่ สุด 2. การบริหารจัดการช้ันเรียนท่ีส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของสถานศกึ ษาในสังกดั สำนักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 พบว่า องค์ประกอบการบริหารจัดการช้ันเรียนโดยรวมไม่มีผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 อย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05 3. แนวทางการบริหารจัดการ ชั้นเรียนที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 มีการเสนอแนวทางการบริหารจัดการช้ันเรียนที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 พบว่า 1) ด้านการจัดส่ิงแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ ครูผู้สอนต้องดำเนินการจัดวัสดุ อปุ กรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ 2) การดำเนินการสอนอยา่ งเป็นระบบ มีการวิเคราะห์ หลกั สูตรสถานศึกษาเพ่ือนำใช้ มกี ารจัดทำแผนการจดั การเรียนรู้ เพ่ือนำมาใช้สอนได้ตรงตาม ตัวชี้วัดที่หลักสูตรกำหนด 3) การจัดกิจกรรมให้นักเรียนประสบความสำเร็จ จัดกิจกรรมให้ เหมาะสม และสอดคล้องกับเนื้อหานั้น ๆ เสริมสร้างความรับผิดชอบและให้มีส่วนร่วมต่อการ เรียนรู้ของตนเอง ได้คิดและลงมือปฏิบัติจริง 4) การสร้างวินัยในชั้นเรียน มีการกำหนด กฎกติกา ข้อตกลงในช้ันเรียนเพ่ือสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเรียนการสอน และ5) การคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล มีการออกเย่ียมบ้านนักเรียน และมีการออกแบบ กจิ กรรมการเรยี นรูที่ตอบสนองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล คำสำคัญ : การบรหิ ารจัดการชัน้ เรียน, ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์
90 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) Abstract The objectives of this research included: 1) to study classroom management of schools under Suratthani Primary Educational Service Area Office 3; 2) to study the components of classroom management affecting learning achievement in Mathematics of schools under Suratthani Primary Educational Service Area Office 3; and 3) to propose the guidelines of classroom management that affect learning achievement of Mathematics of schools under Suratthani Primary Educational Service Area Office 3. Sampling groups of this research included 113 schools under Suratthani Primary Educational Service Area Office 3 selected though simple sampling. The instruments used were questionnaires from teachers teaching Mathematics in grade 6. The statistics used included frequency, percentage, mean, standard deviation and multiple regressions. Results of this research were as the followings 1 . Classroom management of schools under Suratthani Primary Educational Service Area Office 3, in overall 5 aspects, was at a high level. When considered by each component, it was found that discipline building in the classroom was at the highest level. This was followed by: taking into account the differences between persons; environment management conducive to learning; systematic teaching operations; then organizing activities for the students to be successful was at the lowest level. 2. Classroom management affecting learning achievement in Mathematics of schools under Suratthani Primary Educational Service Area Office 3, it was found that the components of classroom management in overall had no effect on academic achievement in Mathematics of schools under Suratthani Primary Educational Service Area Office 3 with a statistically significance at .05 level. 3. The proposed guidelines of classroom management that affect learning achievement in Mathematics of schools under Suratthani Primary Educational Service Area Office 3 included: 1) The aspect of environment management conducive to learning, teachers have to arrange materials, equipment and various facilities; 2) Systematic teaching operations: The curriculum should be analyzed for school use; Learning management should be well planned to be used in teaching to meet the indicators specified by the course; 3) Organizing activities in accordance with the content and help enhancing responsibility and participation of students for their own learning and
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 91 achieving success; 4) Enhancing discipline in the classroom by defining rules and agreements for orderliness in learning and teaching; 5) Taking into account the personal differences by visiting families of students and organizing learning activities responding individual differences. Keywords: Classroom Management, Learning Achievement in Mathematics บทนำ การวัดและประเมินผลการเรียนรูของผู้เรียนตองอยู่บนจุดมุ่งหมายพื้นฐาน 2 ประการ คือ 1) การวัดและประเมินผลเพ่ือพัฒนาผู้เรียน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับผล การเรียนและการเรยี นรูของผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่างต่อเน่อื ง 2) การวัดและ ประเมินผลเพื่อตัดสินผลการเรียน เป็นการประเมินสรุปผลการเรียนรู้ หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 จึงกำหนดใหมีการวัดและประเมินผลการเรียนรูใน 4 ระดับ ได้แก ระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษาระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับชาติ ทกุ ระดับมีเจตนารมณเช่นเดียวกัน คือ ตรวจสอบความก้าวหนาในการเรยี นรูของผู้เรียน เพ่ือ นำผลการประเมินมาใชเป็นข้อมูลในการพัฒนาอย่างต่อเน่ือง สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพนื้ ฐาน,2557 รายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติข้ันพื้นฐาน (O–NET) นักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดย สถาบันทดสอบทางการศกึ ษาแหง่ ชาติ (องคก์ ารมหาชน) ปีการศึกษา 2560 พบว่า กลุ่มสาระ การเรียนรู้คณิตศาสตร์ มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 35.55 แสดงให้เห็นว่าคะแนนเฉล่ียร้อยละใน ภาพรวมต่ำกว่าร้อยละ 50 จากรายงานผลการทดสอบสะท้อนให้เห็นว่าผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์ของสถานศึกษา ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษาประถมศึกษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 3 อยู่ในระดบั ต่ำกวา่ ระดบั ประเทศ การบริหารจัดการช้ันเรียน เป็นวิธีการดำเนินการให้ชั้นเรียนได้อยู่ในสภาพความ พร้อมท่ีจะดำเนินการเรียนการสอนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพ่ือให้เกิดประสิทธิผลใน การเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างแท้จริง เน่ืองด้วยช้ันเรียนเป็นแหล่งการเรียนรู้พ้ืนฐานในรายวิชา ต่างๆ ท้ังภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติท้ังประกอบด้วยผู้เรียนท่ีมีความแตกต่างกันในด้านต่างๆ อย่างชัดเจนหรืออาจเรียกว่า“ความแตกต่างระหว่างบุคคล”(Individual Difference) ชั้น
92 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) เรยี นที่มีการบริหารจัดการดีเป็นความสามารถของผู้สอนท่ีสง่ ผลต่อบรรยากาศการเรยี นรู้ของ ผู้เรียนเป็นปัจจัยสำคัญของการเรียนการสอนและหมายความรวมถึง ผู้เรียนมีความสุขใน ขณะท่ีอยู่ในชั้นเรียน ความสุขของผู้เรียนเป็นสิ่งท่ีสุดยอดปรารถนาของผู้สอนและ ผู้รับผิดชอบทางการศึกษาต้องพยายามจัดให้มีข้ึนโดยท่ัวกัน การบริหารจัดการชั้นเรียนเป็น องค์รวมของการบูรณาการความรู้ความสามารถของครูผู้สอน พร้อมทั้งก่อให้เกิดแรงจูงใจให้ ผเู้ รียนไดม้ าโรงเรยี นทุกวันอย่างมีความสขุ วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั 1. เพื่อศกึ ษาการบรหิ ารจดั การชนั้ เรียนของสถานศกึ ษาในสังกัดสำนักงานเขตพนื้ ที่ การศึกษาประถมศกึ ษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 2. เพ่ือศึกษาองค์ประกอบการบริหารจัดการช้ันเรียนท่ีส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษา สุราษฎรธ์ านี เขต 3 3. เพ่ือเสนอแนวทางการบริหารจัดการช้ันเรียนที๋ส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ ธานี เขต 3 วธิ ดี ำเนินการวจิ ยั 1.ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สถานศึกษาในสังกัดสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศกึ ษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 3 รวม 152 โรงเรียน กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างตามตาราง สำเร็จรูปของเครจซ่ีและมอร์แกน (Krejcie & Morgan) และได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ได้กลุ่ม ตัวอย่างจำนวน 113 โรงเรยี น โดยมีผู้ให้ข้อมลู คือ ครผู ู้สอน วชิ าคณิตศาสตร์ ช้ันประถมศกึ ษา ปที ี่ 6
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 93 2.เครอื่ งมือทใี่ ชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูล 2.1 แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการช้ันเรียนของสถานศึกษาในสังกัด สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎรธ์ านี เขต 3 2.2 แบบสมั ภาษณ์เกย่ี วกับแนวทางการบรหิ ารจัดการช้นั เรียนของสถานศึกษา ในสังกัดสำนักงาน เขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 สำหรับครูผู้สอน วชิ าคณติ ศาสตร์ 3.การวิเคราะหข์ ้อมูล ในการวเิ คราะห์ข้อมลู ผู้วจิ ยั ดำเนนิ การตามลำดบั ดังนี้ 3.1 วิเคราะห์ข้อมูลเก่ียวกับข้อมูลท่ัวไปของกลุ่มตัวอย่างที่ตอบแบบสอบถาม โดยหาค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) 3.2 วิเคราะห์ขอ้ มูลเกี่ยวกับการบรหิ ารจัดการช้ันเรียนของสถานศึกษาในสังกัด สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยการหาค่าเฉลี่ย ( X ) และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) แลว้ นำไปเปรียบเทียบกบั เกณฑ์แปลความหมาย 4.51 – 5.00 หมายถงึ มีการบรหิ ารจดั การชั้นเรยี นมากท่สี ดุ 3.51 – 4.50 หมายถงึ มกี ารบริหารจดั การชัน้ เรยี นมาก 2.51 – 3.50 หมายถงึ มกี ารบริหารจัดการช้ันเรียนปานกลาง 1.51 – 2.50 หมายถงึ มกี ารบริหารจัดการชัน้ เรียนน้อย 1.00 – 1.50 หมายถงึ มกี ารบรหิ ารจัดการชน้ั เรียนน้อยทีส่ ุด 3.2 วิเคราะห์การบริหารจัดการช้ันเรียนท่ีส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 โดยการวิเคราะห์ การถดถอยพหุคณู (Multiple Regression) 3.4 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาโดยรวบรวม เรียบเรียงข้อมูล เพื่อนำมาเสนอ แนวทางการบริหารจัดการช้ันเรียนของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎรธ์ านี เขต 3
94 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) ผลการวิจยั 1. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการชั้นเรียนของสถานศึกษาใน สงั กัดสำนักงาน เขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 3 แสดงดังตารางท่ี 1 ตารางที่ 1 คา่ เฉลย่ี ค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และระดับของการบรหิ ารจดั การช้ันเรยี นโดยรวม การบรหิ ารจัดการช้ันเรยี น X SD. ระดบั 1. การจัดส่งิ แวดลอ้ มทเ่ี ออ้ื ตอ่ การเรียนรู้ 4.36 0.59 มาก 2. การดำเนินการสอนอย่างเป็นระบบ 4.34 0.57 มาก 3. การจัดกิจกรรมใหน้ ักเรยี นประสบความสำเรจ็ 4.25 0.57 มาก 4. การสรา้ งวินัยในชน้ั เรียน 4.41 0.56 มาก 5. การคำนงึ ถึงความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล 4.39 0.55 มาก 4.35 0.57 มาก รวม จากตารางที่ 1 พบว่า การบริหารจัดการช้ันเรียนโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( X = 4.35) เมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบ พบว่า การสรา้ งวินัยในชั้นเรียนมีค่าเฉล่ียสูงสุด ( X = 4.41) รองลงมา คือ การคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ( X = 4.39) ส่วนการจัด กจิ กรรมให้นกั เรยี นประสบความสำเรจ็ มคี า่ เฉลย่ี ตำ่ สดุ ( X = 4.25) 2. ผลการวิเคราะห์การบริหารจัดการชั้นเรียนที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วชิ าคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสงั กัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 แสดงดังตารางที่ 2 และ 3 ตารางท่ี 2 การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) ของการบริหารจัดการ ช้ันเรยี นทสี่ ง่ ผลตอ่ ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกดั สำนกั งาน เขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 3 Model SS df MS F Sig. .910 .477 1 Regression 484.525 5 96.905 Residual 11393.327 107 106.480 Total 11877.851 112
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 95 จากตารางท่ี 2 พบว่า การบริหารจัดการชั้นเรียนไม่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ ธานี เขต 3 อย่างมีนยั สำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 ตารางที่ 3 การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) ของการบริหารจัดการ ชั้นเรียน ท่ีส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัด สำนักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 Model B Std. Error Beta t Sig. 1 (Constant) 34.340 10.939 3.139 .002 การจดั สง่ิ แวดลอ้ มทเ่ี อือ้ ต่อการเรยี นรู้ 4.891 4.344 .205 1.126 .263 การดำเนนิ การสอนอย่างเป็นระบบ 1.926 4.785 .077 .402 .688 การจัดกจิ กรรมใหน้ กั เรยี นประสบความสำเรจ็ -2.899 4.135 -.121 -.701 .485 การสรา้ งวินยั ในช้นั เรยี น 4.267 4.128 .184 1.034 .304 การคำนงึ ถงึ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคล -6.254 3.810 -.281 -1.642 .104 จากตารางที่ 3 พบว่า การบริหารจัดการช้ันเรียนไม่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ ธานี เขต 3 และในแต่ละองค์ประกอบไม่ส่งผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 อยา่ ง มีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ร่ี ะดับ .05 ดงั นี้ 1) ด้านการจัดส่ิงแวดล้อมที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ไม่มีผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ ธานี เขต 3 อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถิติที่ระดับ .05 2) ด้านการดำเนินการสอนอย่างเป็นระบบไม่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 อยา่ งมีนยั สำคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .05 3) ดา้ นการจัดกิจกรรมให้นักเรียนประสบความสำเรจ็ ไมม่ ีผลตอ่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการ เรียนวิชาคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึ กษาสุ ราษฎรธ์ านี เขต 3 อยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05
96 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 4) ด้านการสร้างวินัยในชั้นเรียนไม่มีผลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชา คณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 อย่างมีนยั สำคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ .05 5) ดา้ นการคำนงึ ถึงความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลไมม่ ีผลต่อผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น วิชาคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ ธานี เขต 3 อย่างมนี ยั สำคัญทางสถิติทร่ี ะดบั .05 ผลการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณและค่าสถิติที่ได้จากการวิเคราะห์ถดถอย พหุคูณของการบริหารจัดการช้ันเรียนกับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของ สถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศกึ ษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 3 ได้สมการ พยากรณ์ ดังน้ี สมการพยากรณใ์ นรปู แบบคะแนนดิบ Y = 34.340 + 4.891X1 + 1.926X2 – 2.899X3 + 4.276X4 – 6.254X5 สมการพยากรณ์ในรูปแบบคะแนนมาตรฐาน Z = 0.205Z1 + 0.077Z2 - 0.121Z3 + 0.184Z4 - 0.281Z5 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนาโดยรวบรวม เรียบเรียงข้อมูล เพ่ือนำมา เสนอแนวทางการบริหารจัดการชั้นเรียนของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษา ประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 จากข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของครูผู้สอนในสถานศึกษาของสำนักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศกึ ษาสรุ าษฎร์ธานี เขต 3 จำนวน 5 คน ผวู้ ิจัยสามารถสรุปได้ดังน้ี 1. การจดั สงิ่ แวดล้อมทเี่ อ้ือต่อการเรยี นรู้ ครูผู้สอนได้ดำเนินการตั้งแต่ก่อนเปิดภาคเรียน มีการจัดวัสดุอุปกรณ์ส่ิงอำนวย ความสะดวกต่างๆ ท่ีเกี่ยวกับการเรียนการสอน รวมไปถึงส่ิงต่างๆ ท่ีเสริมความรู้ เช่น ป้าย นิเทศ มุมวิชาการ ช้ันวางหนังสือโต๊ะวางสื่อการสอน ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้เกิด ความสบายตา สบายใจ โต๊ะเรียนให้นักเรียนนั่งสลับแยกนักเรียนอ่อน ปานกลาง เก่ง โดยจัด ให้น่ังเป็นคู่บ้าง เด่ียวบ้าง และตัวยู แต่ไม่เสมอไปท่ีการจัดส่ิงแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้จะ สง่ ผลให้นักเรยี นประสบความสำเรจ็ ตวั นักเรยี นเองมากกวา่ ทมี่ ีผลตอ่ การเรยี น 2. การดำเนนิ การสอนอย่างเปน็ ระบบ
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 97 ฝา่ ยบริหารงานวิชาการและครูผู้สอนร่วมกันวิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อนำ ใช้ใน แต่ละปีการศึกษา ครูแต่ละคนจะจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ของตนเอง เพ่ือนำมาใช้ สอนได้ตรงตามตัวช้ีวัดที่หลักสูตรกำหนดและศึกษาหาเทคนิควิธีการสอนต่างๆ อย่าง หลากหลาย มีการจัดกิจกรรมในชั้นเรียนที่สงเสริมใหนักเรียนได้แสดงความสามารถอย่างเต็ม ตามศักยภาพและแทรกคุณธรรม จริยธรรม และในการทดสอบจะมีการนำข้อสอบโอเน็ตของปี ก่อนๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อให้นักเรียนได้คุ้นชินกับข้อสอบ มีการประเมินความก้าวหนาของ นกั เรยี นด้วยวธิ ีท่ีหลากหลายตามแผนการจดั การเรยี นรทู้ ่รี ะบุไว้ 3. การจัดกจิ กรรมให้นกั เรียนประสบความสำเร็จ การจัดกิจกรรมจะระบุในแผนการจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน ว่ามีการใช้กิจกรรม อะไรบ้าง ทำอย่างไร และใช้ส่ืออุปกรณ์ใดบ้าง เพ่ือให้เหมาะสมและสอดคล้องกับเนื้อหาน้ัน ๆ บางครั้งครูผู้สอนก็จะให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการผลิตสื่อ เพ่ือเสริมสร้างความรับผิดชอบและมี สว่ นร่วมตอ่ การเรียนรู้ของตนเอง โดยตระหนักถงึ การไดค้ ิดและลงมือปฏบิ ตั จิ รงิ 4. การสร้างวนิ ยั ในชนั้ เรียน ในคาบแรกของการเรียนการสอน ครูผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันพูดคุยถึงกฎกติกา ข้อตกลงในช้ันเรียน เพ่ือสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการเรียนการสอน การสร้าง ปฏสิ ัมพันธที่ดีตอกันระหวา่ งนกั เรียนกับนกั เรียน และนักเรยี นกับครู ในระหว่างการเรยี นการ สอนท่ีมีกิจกรรมเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์อันดี และมีการปลูกฝงใหนักเรียนมีวินัยในตนเอง มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง ในการส่งงาน และในการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอน ครูผู้สอนจะมีการเสริมแรงทางบวกแก่นักเรียนโดยการแจกของรางวัล กล่าวชมเชย ให้ คะแนนพิเศษ และลงโทษบ้างในบางคร้ังท่ีผู้เรียนมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ แต่จะให้โอกาส ให้ผเู้ รียนไดป้ รบั เปล่ียนพฤตกิ รรมไปในทางทด่ี ี 5. การคำนึงถึงความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ในแต่ละปีการศึกษาทางโรงเรียนจะให้ออกเยี่ยมบ้านนักเรียน เพ่ือศึกษาผู้เรียน เป็นรายบุคคลต้ังแตต่ ้นเทอม ใหค้ รผู ู้สอนได้รู้จักผู้เรยี นอย่างแท้จริง จะได้สง่ เสริมผเู้ รียนได้รับ ผลประโยชนม์ ากทส่ี ุด ในช้ันเรียนครูผูส้ อนจะเรียกชื่อนักเรียน เพื่อจดจำช่อื นักเรียนแต่ละคน ให้ได้ และมีการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากบางชั้นเรียนจะมีนักเรียนบกพร่องเรียนรวมด้วย ครูผู้สอนจึงจำเป็นต้องออกแบบให้
98 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) ตอบสนองต่อผู้เรียนมากที่สุด และมีการจดบันทึกหลังการสอน โดยมีการบันทึกจากการสังเกต พฤติกรรมผู้เรยี น เพอ่ื นำไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขในคาบต่อไป อภปิ รายผล จากผลการวิจัยเรื่องการบริหารจัดการช้ันเรียนที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วชิ าคณิตศาสตร์ของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ ธานี เขต 3 ผู้วิจัยได้อภปิ รายผลของการวิจยั ดงั น้ี 1. การบริหารจัดการชั้นเรียนของสถานศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 3 ในภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน ( X = 4.35) เมื่อพิจารณาเปน็ รายดา้ นสามารถท่ีจะนำมาอภิปราย ดงั น้ี 1.1 การจัดส่ิงแวดล้อมท่ีเอื้อต่อการเรียนรู้ จากการศึกษาพบว่า สถานศึกษามี การจัดส่ิงแวดลอ้ มที่เอ้ือตอ่ การเรียนรูอ้ ยูใ่ นระดับมาก ( X = 4.36) แสดงใหเ้ ห็นว่า มีการจัดช้ัน เรียนใหมีแสงสว่างเพียงพอและมีการถ่ายเทอากาศท่ีปลอดโปร่ง มีการจัดท่ีน่ังในชั้นเรียนให มองเห็นกระดานอย่างท่ัวถึงและมีการตรวจสอบสภาพของช้ันเรียนให มีความปลอดภัยอยู่ เสมอ ซ่ึงสอดคล้องกับอรทัย เลาอลงกรณ์ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง การจัดการชั้นเรียนของผู้ดูแล เด็ก ศูนยพ์ ัฒนาเด็กเล็ก เทศบาลเมอื งเขลางค์นคร จังหวัดลำปาง พบว่า ผู้ดูแลเด็ก ศนู ย์พัฒนา เด็กเลก็ เทศบาลเมืองเขลางค์นคร จังหวัดลำปาง มีการจดั การช้ันเรยี นในภาพรวมอยู่ในระดับ ดี และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบวา่ ผู้ดูแลเดก็ มีการปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการช้ันเรียนใน ระดับดี 4 ด้านเรียงตามลำดับ คือ ด้านการจัดสภาพแวดล้อม ด้านการจัดประสบการณ์การ เรยี นรู้ ด้านการจดั การกบั ความขัดแย้งและดา้ นการจัดการเพื่อความตอ่ เน่ือง ระดบั ปานกลาง คือ ด้านการใชส้ อื่ การเรยี นรู้ 1.2 การดำเนินการสอนอย่างเป็นระบบ จากการศึกษาพบว่า สถานศึกษามี ดำเนินการสอนอย่างเป็นระบบอยู่ในระดับมาก ( X = 4.34) แสดงให้เห็นว่า ครสู อนตามตัวช้ีวัด ที่หลักสูตรกำหนด มีการจัดทำแผนการจัดการเรียนรูลวงหนา และมีการวิเคราะห์หลักสูตร สถานศึกษา ซ่ึงสอดคล้องกับกุลนิษฐ์ชา รานอก ไดก้ ล่าววา่ ครคู วรออกแบบแผนการสอนไว้ ล่วงหน้า มีการทดสอบก่อนเรียนเพ่ือดูความสามารถของนักเรียน ในกิจกรรมการจัดการ เรียนรู้มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการแบ่งกลุ่มให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน ดูแลเอาใจใส่จัด
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 99 ระเบียบห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียนรู้สอดคล้องกับกิจกรรมการเรียนการสอนจัดทำส่ือการ เรียนรู้ให้หลากหลายทั้งสื่อส่ิงประดิษฐ์และส่ือ ICT ครูต้องมีเทคนิคการสอนท่ีดีมีความ ทันสมัยต่อสภาพปัจจุบันและหมั่นปรับเน้ือหาวิชารวมท้ังเทคนิคการสอนให้น่าสนใจเพื่อสร้าง แรงจูงใจใหน้ ักเรยี นมีความสนใจเรียนมากขนึ้ 1.3 การจัดกิจกรรมให้นักเรียนประสบความสำเร็จ จากการศึกษาพบว่า สถานศกึ ษามีการจัดกิจกรรมให้นักเรียนประสบความสำเร็จอยู่ในระดับมาก ( X = 4.25) แสดง ให้เห็นว่ามีการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย การทำงานร่วมกับผู้อ่ืนและความรับผิดชอบ ต่อกลุ่มร่วมกัน มีการจัดกิจกรรมเพื่อฝึกและส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมของผู้เรียนและ นักเรียนเรียนรู้จากการได้คิดและลงมือปฏิบัติจริง ซึ่งสอดคล้องกับฆนัท ธาตุทอง ได้กล่าวว่า การจัดการหองเรียนที่ประสบผลสำเร็จจะต้องมีองคประกอบด้านการเรียนเนนด้านการสอน ที่ใช นักเรียนเป็นศูนย์กลาง เพ่ือการเรียนรูการสอนมีการแทรกแซงหลายแบบท่ีครูอาจช่วยให นักเรียนมีพฤติกรรมเอ้ือสังคมในกลุ่มของนักเรียนด้วยกันเอง ครูควรใชยุทธวิธีการสอน เชน จัดการสอนใหเหมาะสมกับระดับความยากของเนื้อหาสร้างความสัมพันธของบทเรียนแต่ละ บท ตรวจสอบ ติดตาม การทำงานของนักเรียน เป็นตน ดังน้ันในการบริหารจัดการช้ันเรียน ตองมีเทคนิคการสอนและมีพฤติกรรมการสอนที่เหมาะสมที่จะสามารถควบคุมช้ันเรียนให เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ โดยการจัดการเรียนการสอนท่ีเนนนักเรียน เป็นสำคัญ ซึ่งครูผู้สอนจะตองวางแผนจัดการเรียนการสอนอย่างดี มีการเลือกใชวิธีสอนท่ี เหมาะสมกับเนื้อหาและผูเรียน ทำใหผู้เรียนมีสวนร่วมในการเรียนการสอนและสนใจใน เน้อื หาบทเรียนตลอดเวลา จงึ กำหนดใหการจัดการเรยี นการสอนท่ีเนนผู้เรียนเป็นสำคญั เป็น องคประกอบหน่งึ ของกระบวนการพฒั นาระบบการบรหิ ารจดั การชั้นเรยี น 1.4 การสร้างวินัยในชั้นเรียน จากการศึกษาพบว่า สถานศึกษามีการสร้างวินัย ในชั้นเรียน อยู่ในระดับมาก ( X = 4.41) แสดงให้เห็นว่า มีการปลูกฝงใหนักเรียนมีวินัยใน ตนเอง มีการเสริมแรงทางบวกแกนักเรียนแต่ละคน ปราศจากความรุนแรงท้ังทางวาจาและ การกระทำและมีการสงเสริมปฏิสัมพันธท่ีดีตอกันระหว่างนักเรียนกับนักเรียน และนักเรียน กับครู ซ่ึงสอดคล้องกับจันทราภาศ จิตรแก้ว ได้ศึกษาวิจัยเร่ือง ประสิทธิภาพการจัดการชั้น เรียนของครูโรงเรียน ระดับประถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษา เอกชนในจังหวัดตรัง พบว่า ประสิทธภิ าพการจดั การช้นั เรียนของครโู ดยภาพรวมอยู่ในระดับ ดดี า้ นท่ีมคี ่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ดา้ นการสรา้ งวินัยในชั้นเรยี น เม่ือพจิ ารณาเปน็ รายด้าน ด้านทอี่ ยู่
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 784
- 785
- 786
- 787
- 788
- 789
- 790
- 791
- 792
- 793
- 794
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 794
Pages: