750 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 2. กลวธิ กี ารสอนโดยการสอดแทรกทัศนะหรือคำสอนของผู้เขยี น เร่ืองเล่าพระพุทธเจ้าผจญมารบางสำนวนผู้เขียนใช้กลวิธีการสอดแทรกหลักธรรม คำสอนโดยการยกพุทธศาสนสุภาษิตข้ึนมากล่าวเพื่อให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ของตัวละคร ในเร่ือง อาทิ หนังสือองคุลิมาล ฉบับการ์ตูนสีส่ี ของสำนักพิมพ์อมรินทร์คอมมิกส์ โดย หนังสือเล่าเร่ืองราวชีวประวัติขององคุลิมาลหรืออหิง สกะ บุรุษผู้มีความบริสุทธ์ิและใจซื่อ เป็นเหตุให้อหิงสกะจึงถูกความริษยาและความหลงผิดของผู้อ่ืนหลอกล่อให้เดินทางชั่วจน กลายเป็นโจรร้ายของแผ่นดินท่ีรับรู้กันในนาม“องคุลิมาล”กระท่ังได้พบกับพระพุทธเจ้า ได้สัมผัสรสพระธรรมและเข้าบวชในพระพุทธศาสนา แม้ในช่วงแรกของการบวชต้องอดทน ต่อผลกรรมอยู่บ้าง แต่ด้วยไม่ละในความเพียรและความอดทนจึงสามารถบรรลุพระอรหันต์ ได้ในที่สุด การ์ตูนเร่ืองนี้นอกจากผู้อ่านจะได้เรียนรู้หลักธรรมคำสอนต่างๆ ผ่านทาง เหตุการณ์ พฤติกรรมและบทสนทนาของตัวละครในเร่ืองแล้ว ผู้เขียนยังได้ยกเอาพุทธศาสน สุภาษิตที่มีเน้ือหาใจความสอดคล้องกับเหตุการณ์หรือพฤติกรรมของตัวละครต่าง ๆ ดัง ตวั อยา่ ง ในชว่ งเร่มิ ตน้ หนังสือการต์ นู กลา่ วถงึ เรอ่ื งราวชีวติ ในวัยเดก็ ของอหิงสกะวา่ เป็นผู้ทมี่ ี ความขยันมีน้ำใจหมั่นศึกษาเล่าเรียนฯลฯ ผู้เขียนจึงยกพุทธศาสนสุภาษิตท่ีเก่ียวข้องกับวิชา ความรู้ท่ีว่า “บรรดาส่ิงท่ีงอกงามข้ึนมา วิชาความรู้ประเสริฐสุด” (พุทธศาสนสุภาษิต) ขึน้ มาประกอบ ภาพประกอบ 1 ภาพพุทธศาสนสภุ าษิตซงึ่ สอดคล้องกับเรือ่ งราวในวยั เดก็ ของอหิงสกะ ท่มี า: หนงั สือองคลุ มิ าล ฉบับการต์ ูนส่ีสี (โอม รชั เวทย,์ 2554: 14)
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 751 หรือเหตุการณ์ท่ีอหิงสกะเดินทางมาสมัครเข้าเรียนในสำนักทิศาปาโมกข์ ณ เมือง ตักศิลา ตัวละครอาจารย์เจ้าของสำนักยื่นใบสมัครให้อหิงสกะและกล่าวว่า“ท่ีนี่ไม่มีเงินค่า แป๊ะเจี๊ยะ ขอแค่ค่ายกครูนิดหน่อย” (โอม รัชเวทย์, 2554: 25) ดังนั้นใต้ภาพน้ีผู้เขียนจึงยก พุทธศาสนสุภาษิตท่ีว่า“พึงแสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม” ขึ้นมากล่าวเพื่อชี้ให้เห็นว่าการ กระทำของตัวละครอาจารย์นน้ั เป็นสิ่งทไ่ี ม่ถกู ต้อง เป็นตน้ ภาพประกอบ 2 : ภาพพุทธศาสนสภุ าษติ ซ่งึ สอดคล้องกับเหตกุ ารณ์การรบั เงนิ สินบน ที่มา: หนังสอื องคลุ ิมาล ฉบับการ์ตนู ส่ีสี (โอม รชั เวทย์, 2554: 25) ตัวอย่างจากหนังสือการ์ตูนข้างต้น จะเห็นได้ว่ากลวิธีดังกล่าวเป็นการแทรก ทัศนคติของผู้เขียน ด้วยการยกพุทธศาสนสุภาษิตท่ีสอดคล้องกับเหตุการณ์หรือพฤติกรรม ของตัวละคร เพ่ือช่วยชี้นำทางความคิดและกระตุ้นให้ผู้อ่านพิจารณาเหตุการณ์และ พฤตกิ รรมของตัวละคร จนเกิดความเล่ือมใสศรัทธาในหลักธรรมและหลักปฏบิ ัติตามแนวทาง ของพระพุทธศาสนาอนั นำไปสู่ความเข้าใจในคำสอนรวมท้ังสามารถนำไปเป็นแนวทางในการ ประพฤติปฏิบตั ิตนในชวี ิตประจำวันได้ 3. กลวธิ ีการถามตอบปัญหาธรรม กลวิธีการถามและตอบปัญหาธรรมในเร่ืองเล่าพระพุทธเจ้าผจญมาร ผู้เขียนพบว่า กลวิธีดังกล่าวปรากฏในเหตุการณ์การผจญอาฬวกยักษ์และการผจญสัจจกนิครนถ์ในหนังสือ ประเภทบทสวดและตำนาน โดยท้ังสองเหตุการณ์จะมีการกล่าวถึงการสนทนาโต้ตอบ ระหว่างพระพุทธเจ้าและมารเก่ียวกับหลักธรรมหรือปริศนาธรรมที่มารมีข้อสงสัย ทั้งน้ี จุดประสงค์ในการถามคำถามก็แตกต่างกนั ออกไป ไดแ้ ก่ ในเหตุการณ์ผจญสจั จกนิครนถ์เป็น
752 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) การถามปัญหาเพื่อต้องการประลองปัญญาระหว่างแนวคิดหรือคำสอนในลัทธิของตนกับคำ สอนของพระพุทธองค์ ในขณะท่ีเหตุการณ์ผจญอาฬวกยักษ์น้ันถามเพ่ือต้องการเอาชนะและ ต้องการให้พระพุทธองค์พ่ายแพ้ต่ออำนาจของตน โดยมีมารเป็นฝ่ายถามและพระพุทธเจ้า เป็นฝ่ายตอบคำถาม ดังตัวอย่างบทสนทนาโต้ตอบปริศนาธรรมที่อาฬวกยักษ์ถาม พระพุทธเจ้าโดยหวงั จะใช้เปน็ อุบายเพอื่ เอาชนะ ความว่า อาฬวกยักษ์: สมณะ ข้าพเจ้าจะขอตั้งปัญหามาถามท่าน หากท่านตอบ ข้าพเจ้าไม่ได้ ข้าพเจ้าจะควักดวงจิตของท่านออกโยนท้ิงเสีย จะขยี้หัวใจท่านให้ แหลกสลายหรอื ไม่ก็จะจับเทา้ ทั้งสองของท่านเหว่ยี งไปตกทีฝ่ ่งั แมน่ ำ้ คงคาฟากโน้น พระพุทธเจ้า: ยักษ์เอ๋ย เรายังไม่เห็นใครสักคนในโลกท่ีจะทำกับเราเช่นนั้น ได้เลย ทา่ นตอ้ งการถามปญั หาส่งิ ใด จงถามมาเถิด เม่ือพระพุทธองค์ทรงมีพุทธดำรัสเช่นน้ัน อาฬวกยักษ์จึงถามปัญหาท่ีตน สงสยั ดงั น้ี อาฬวกยักษ์: อะไรเล่าเป็นทรัพย์เครือ่ งปล้ืมใจที่ประเสริฐสุดของคนในโลก น้ี อะไรเลา่ ทบ่ี ุคคลประพฤตดิ ีแลว้ นำความสขุ มาให้ อะไรเลา่ เปน็ รสทีด่ ีกว่ารสท้ังหลาย บุคคลมคี วามเปน็ อยอู่ ย่างไร นักปราชญจ์ งึ กล่าวว่ามีชีวิตประเสรฐิ พระพทุ ธเจา้ : ศรทั ธาเปน็ ทรัพยเ์ คร่ืองปลื้มใจที่ประเสรฐิ สดุ ของคนในโลกนี้ ธรรมทีบ่ คุ คลประพฤตดิ แี ล้วนำความสุขมาให้ สจั จะเท่านน้ั เป็นรสทด่ี ีกว่ารสทง้ั หลาย บุคคลมีความเป็นอยู่ด้วยปัญญา นักปราชญ์จึงกล่าวว่ามีชีวิต ประเสริฐ อาฬวกยักษ:์ คนจะขา้ มโอฆะได้อย่างไร จะขา้ มห้วงมหรรณพไดอ้ ยา่ งไร จะลว่ งพ้นทกุ ข์ได้อย่างไร และจะบรสิ ทุ ธ์ไิ ดอ้ ย่างไร
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 753 พระพทุ ธเจ้า: คนจะขา้ มโอฆะไดด้ ว้ ยศรัทธา จะข้ามห้วงมหรรณพไดด้ ้วยความไม่ประมาท จะล่วงพ้นทุกข์ไดด้ ว้ ยความเพียร และจะบริสุทธิ์ได้ดว้ ยปัญญา อาฬวกยกั ษ:์ คนทำอยา่ งไรจงึ จะได้ปัญญา ทำอยา่ งไรจึงจะไดท้ รัพย์ ทำอยา่ งไรจงึ จะไดเ้ กียรติ ทำอย่างไรจงึ จะผกู ใจหมู่มิตรไวไ้ ด้ และทำอย่างไรเมอื่ ตายแล้วจะไม่เศรา้ โศก พระพทุ ธเจา้ : คนต้องการบรรลุนิพพาน เชอ่ื ฟงั คำสั่งสอนของพระอรหนั ต์ ไม่ประมาท รูจ้ ักพินจิ พจิ ารณา ต้งั ใจฟงั ด้วยดี ยอ่ มได้ปัญญา คนปฏิบัติตนตรงต่อเวลา เอาธรุ ะ มีความขยนั ย่อมหาทรพั ย์ได้ ย่อมไดเ้ กียรตดิ ้วยความสตั ยจ์ รงิ ผใู้ ห้ยอ่ มผกู ใจหมมู่ ิตรไว้ได้ คนผคู้ รองเรือน มศี รทั ธา ประพฤติธรรม 4 ประการนี้คอื สจั จะ ธรรมะ ธิติ และจาคะ ตายแลว้ ยอ่ มไม่เศร้าโศก บทสนทนาข้างต้นจะเห็นได้วา่ กลวธิ กี ารตอบปัญหาของพระพุทธองคน์ ้ันไมเ่ พียงแต่ ทำใหผ้ ถู้ ามปัญหากระจา่ งชัดในคำตอบแลว้ กลวธิ ดี ังกล่าวยงั ถือเปน็ วิธกี ารสอนธรรมของพระ พุทธองค์ประการหนึ่งจาก 4 แบบท่ีทรงใช้ในการส่ังสอนสรรพสัตว์ทั้งปวง ดังท่ี พระธรรม ปิฎก (ป.อ.ประยตุ โต) (2542) กลา่ วไว้ดังน้ี 1. การสอนแบบสากัจฉาหรือสนทนา ส่วนใหญ่ทรงใช้วิธีน้ีกับผู้มาเฝ้าท่ียังไม่เข้าใจ หลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยการสนทนานำสู่ธรรม เม่ือเข้าใจแล้วก็จะเกิดความเลื่อมใส ศรัทธา วิธีนเ้ี ปน็ วิธที ่ีทรงใช้กบั พระสาวกโดยการส่งเสรมิ ใหส้ นทนาธรรมร่วมกัน
754 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 2. การสอนแบบบรรยาย ทรงใช้การแสดงธรรมในที่ประชุม หรือคนหมู่มากที่มี พื้นฐานหรอื ความเขา้ ใจในธรรมใกลเ้ คียงกนั โดยทรงบรรยายแบบกว้าง ๆ 3. การสอนแบบตอบปัญหา ผู้ที่มาถามปัญหานั้น มีหลายประเภทท้ังลองภูมิ ถาม เพื่อต้อนให้จนมุม บ้างก็ถามเพื่อไปเทียบกับลัทธิของตน ซึ่งการถามปัญหาแบบน้ีพระพุทธ องค์ทรงสอนให้พิจารณาดูลักษณะของปัญหาและใช้วิธีตอบให้เหมาะสม โดยลักษณะของวิธี ตอบแบ่งเปน็ 4 อย่าง คือ 1) กงั สพยากรณียปญั หา ปัญหาท่พี งึ ตอบอยา่ งตรงไปตรงมา 2) ปฏปิ ุจฉาพยากรณยี ปัญหา ปัญหาที่พงึ ยอ้ นถาม ทวนคำถาม วา่ ถามในแง่มุม ไหน แล้วจึงตอบปัญหา เช่น จักษุ กับ โสตะเหมือนกันไหมต้องย้อนถามก่อนว่าแง่ใด แล้ว แยกตอบวา่ ถ้าในแง่การเป็นเครอ่ื งมองเห็น พึงตอบว่า“ไม่เหมอื น”ถ้าเขาว่าในแง่เป็นอนิจจัง พึงตอบว่าเหมอื น 3) วิภัชชพยากรณียปัญหา หมายถึงปัญหาที่ต้องแยกคำตอบ เช่นเมื่อเขาถาม ว่า“ส่ิงท่ีเป็นอนิจจังได้แก่จักษุใช่ไหม”พึงแยกออกตอบว่า“ไม่ เพียงแต่จักษุเท่านั้นท่ีเป็น อนิจจงั โสตะ ฆานะฯ ก็เป็นอนิจจงั ด้วย” 4) ฐปนยี ปัญหา ปญั หาท่ีพงึ ยับย้งั เสีย ได้แก่ ปัญหาท่ีถามนอกเรื่องไร้ประโยชน์ อันเป็นเหตุให้ยืดเย้ือ สิ้นเปลืองเวลาพึงยับย้ังเสียและชักนำผู้ถามเข้าสู่แนวเรื่องท่ีประสงค์ ต่อไป คำอธิบายวิธีการสอนข้างต้นช้ีให้เห็นว่าวิธีท่ีพระพุทธองค์ทรงใช้สอนอาฬวกยักษ์ น้นั คือการสอนแบบการตอบปัญหาด้วยการตอบในลักษณะกงั สพยากรณียปัญหา คือ ปัญหา ที่พึงตอบแบบตรงไปตรงมา ดังนั้น การถามตอบปริศนาข้างต้นนอกจากจะแสดงให้เห็นถึง วิธีการส่ังสอนและเผยแผ่หลกั ธรรมของพระพุทธองค์แล้ว กลวิธดี ังกล่าวยังชว่ ยรักษาและสืบ ทอดพระธรรมคำสั่งสอนอีกท้ังยังช่วยให้ผู้อ่านได้พิจารณาคำสอนผ่านบทสนทนาถามตอบ ปริศนาธรรม เกิดกระบวนการคิด วิเคราะห์อย่างมีเหตุและผลจนสามารถเข้าใจความหมาย ของธรรมน้ันๆ ในท้ายที่สุดดังที่พิสิทธ์ิ กอบบุญ (2548) กล่าวว่า ปุจฉา-วิสัชนา เป็นกลวิธีท่ี ทำให้ผู้ศึกษาได้มีส่วนร่วมในตัวบท โดยการกำหนดประเด็นปัญหา โน้มน้าว กระตุ้น และท้า ทายให้เกิดการขบคิดตีความแล้วคล่ีคลายปัญหา สร้างความกระจ่าง อรรถาธิบายให้ความรู้ พัฒนาความคิด กำจัดทิฐิมานะ นำไปสู่ความเข้าใจในพุทธธรรมสร้างศรัทธาและปัญญาใน ที่สดุ นัน่ เอง
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 755 4. กลวิธกี ารสอนผ่านพฤติกรรมและคำพดู ของตัวละคร กลวิธกี ารสอนผ่านพฤติกรรมและคำพูดของตัวละคร เป็นกลวธิ ีทพี่ บได้บ่อยในเรอื่ ง เล่าพระพุทธเจ้าผจญมารประเภทหนังสือการ์ตูน อาทิ หนังสือการ์ตูนชุดการผจญภัยของ พระพุทธเจ้าของสำนักพิมพ์แฮปปี้คิดส์ ซึ่งจัดทําข้ึนเพื่อเป็นหนังสือการ์ตูนประเภทนิทาน ภาพสําหรับเด็กอายุระหว่าง 4–6 ปี เรื่องเลา่ ชุดนี้เล่าเร่ืองราวท่ีเกิดขึ้นตามโครงเรื่องเดมิ โดย เป็นการฉายภาพความขดั แยง้ ของตัวละครพระพทุ ธเจ้าและมารแต่ละเหตุการณ์ในบริบทและ สถานการณ์ท่ีแตกต่างกันออกไป ธรรมวิธีในการแก้ไขปัญหาในชีวิตอย่างลึกซึ้งและคมคาย ของพระพุทธเจ้าถูกถ่ายทอดผ่านทางบทสนทนาและพฤติกรรมของตัวละครในเร่ือง ดงั ตัวอย่าง ...ช้างนาฬาคิรีหมอบลงตรงหน้าพระพุทธองค์อย่างนุ่มนวล พระพทุ ธองค์ยกพระหัตถ์ขวาลูบกระพองช้างแล้วตรสั ว่า“นาฬาคิรเี อย๋ ..จง อยอู่ ย่างเปน็ สุขเถดิ อยา่ ทำร้ายผ้ใู ดอีกเลย”(น้านกฮกู (นามแฝง),2557: 16) ...องคุลิมาลตวาดด้วยความโมโหสุดขีด“ทำไมท่านบอกท่าน หยุดแล้ว ท้ังที่ยังเดินอยู่”พระพุทธเจ้าทรงหยุดเดินแล้วตรัสอย่างมีเมตตา ว่า“การหยุดของเรา หมายถึงการหยุดเบียดเบียนชีวิต แต่ทา่ นสิ ยังไม่หยุด เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นเสียที องคุลิมาลเอ๋ย..หยุดฆ่าคนเถิดนะ”(น้านกฮูก (นามแฝง),2558: 15) จากตัวอย่างขา้ งต้นจะเห็นได้วา่ พุทธวธิ ีทพ่ี ระพทุ ธองคท์ รงใชใ้ นการเอาชนะมารนั้น แสดงให้เห็นถึงบทบาทหน้าที่ของตัวละครพระพุทธเจ้าในฐานะ “ผู้สอนธรรมะ” ผ่านถ้อยคำ ท่ีเรยี บง่ายแต่งดงาม อกี ทั้งยงั เตม็ เปี่ยมไปดว้ ยธรรมที่ช่วยช้ีทางใหส้ รรพสตั ว์ท้งั ปวงพึงกระทำ แต่คุณความดี ละเว้นจากบาปและกรรมช่ัว ดังนั้น การใช้ตัวละครเป็นผู้สอนธรรมหรือหลัก ปฏิบัติต่างๆ นั้นจึงมักพบเห็นได้เสมอในวรรณคดีคำสอนอยู่เสมอดังที่ ณัฐกาญจน์ นาคนวล (2559: 191) กล่าวว่า การเลือกใช้ตัวละครที่มีสถานภาพและบทบาทเหมาะสมกับการเป็น ผ้สู อน ทำให้สารหรอื คำสอนมีน้ำหนักชัดเจนและกลมกลืนเป็นเอกภาพกับการดำเนินเร่ืองจึง ทำให้สามารถสอ่ื คำสอนไดโ้ ดยตรง เข้าใจง่ายและสามารถนำไปใชไ้ ด้จรงิ ในชวี ติ ประจำวัน นอกจากน้ีหนังสือการ์ตูนบางสำนวนมีลักษณะเป็นการเล่าเร่ืองการผจญมารของ พระพุทธเจ้าผ่านตัวละครหลักในเร่ือง อาทิ หนังสือประวัติพระพุทธเจ้าของสำนักพิมพ์นาน มีบุ๊คส์ เล่าเรื่องราวพุทธประวัติและสอนธรรมจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านตัวละครคุณตา
756 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) ดังเช่น ในบท การขัดขวางจากลัทธิอ่ืน ตัวละครคุณตาได้เล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ พระพุทธเจ้าถูกใส่ร้ายโดยพวกเดียรถีย์ด้วยการใช้นางจิญจมาณวิกาเข้ามาปรากฏตัวต่อหน้า พุทธศาสนิกชนท่ีมาเฝ้าฟังธรรมและกล่าวอ้างว่าตนต้ังครรภ์กับพระพุทธเจ้า ซ่ึงพระพุทธเจ้า ทรงรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างมีสติด้วยการนิ่งเฉยและไม่นานความจริงทั้งหมดก็ ปรากฏขึ้น กลวิธีดังกล่าวสอดคล้องกับท่ีณัฐกาญจน์ นาคนวล (2559: 186) กล่าวว่า การใช้ ตวั ละครผู้ใหญ่ให้ทำหน้าท่ีสอนหรืออธิบายธรรมกับเด็กนั้นนับเป็นกลวิธีการเลา่ เรอ่ื งโดยการ ใชต้ ัวอย่างแสดงให้เห็นจริง การใช้ตัวละครผู้ใหญ่ทำหน้าท่ีเป็นผ้อู ธิบายและสอนธรรมะให้กับ เด็กจึงนับเป็นภาพจำลองการสอนที่สร้างความใกล้ชิดกับกลุ่มผู้อ่านวัยเด็กได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจะเห็นได้ว่านอกจากจะเป็นการสืบทอดเน้ือหาเรื่องเล่าพระพุทธเจ้าผจญมารแล้วยัง เห็นถึงพลวัตในการสร้างสรรค์วรรณกรรมสำหรับเด็กและเยาวชนในปัจจุบันซ่ึงจากเดิมที่ใช้ วิธีการถ่ายทอดผ่านการเล่าเร่ืองให้ฟัง มาเป็นการถ่ายทอดผ่านการเขียนให้อ่าน ซึ่งวิธีน้ี นอกเหนือจากความสนุกเพลิดเพลินท่ีกลุ่มผู้อ่านซ่ึงเป็นเด็กและเยาวชนจะได้รับจากการดู ภาพประกอบเร่ืองเล่าท่ีมีสีสันสดใสงดงามแล้ว เด็กๆ จะยังได้พัฒนาทักษะการอ่านรวมทั้ง ได้รบั การปลูกฝงั คณุ ธรรมจากธรรมะทส่ี อดแทรกไว้ภายในเรื่องไปพร้อมกนั อีกด้วย ภาพประกอบ 3 : ภาพตวั ละครคณุ ตาเลา่ เร่ืองเหตุการณ์พุทธประวตั ใิ หห้ ลานฟงั ที่มา: หนังสือประวัตพิ ระพทุ ธเจ้า (ลี บอมจี, 2554)
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 757 บทสรปุ จากการศึกษาเรื่องเล่าพระพุทธเจ้าผจญมารในสื่อร่วมสมัยประเภทสื่อส่ิงพิมพ์ท้ัง 17 สำนวนสะทอ้ นให้เหน็ วา่ เรือ่ งเลา่ พระพุทธเจา้ ผจญมารไดท้ ำหน้าทีใ่ นฐานะวรรณกรรมคำ สอนท่ีถูกผลิตซ้ำในส่ือร่วมสมัยได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีความเป็นพลวัต คือ การ ปรับเปลี่ยนรูปแบบของส่ือให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้อ่าน ส่ือร่วมสมัยในหลายสำนวนพยายาม ปรับเปล่ียนให้ตัวละครพระพุทธเจ้ามีความเป็นมนุษย์มากท่ีสุดด้วยการลดทอนความ ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ลง ท้ังนี้ก็เพ่ือต้องการชี้ให้เห็นว่า การประสบความสำเร็จของพระสัมมาสัม พุทธเจ้าน้ันเป็นความสำเร็จท่ีวางอยู่บนรากฐานของความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ซ่ึงวิธีการ นำเสนอเรื่องเล่าพระพุทธเจ้าผจญมารเช่นน้ีจะช่วยทำให้ผู้อ่าน ได้ตระหนักและเรียนรู้ว่า แบบอย่างท่ีพระพุทธองค์ทรงปฏิบัติในการเอาชนะอุปสรรคท้ังปวงน้ันไม่ได้สูงส่งเกินไปกว่า จะเข้าถึงได้ ตรงกันข้าม กลับก่อให้เกิดความศรัทธามากยิ่งขึ้นว่า แท้จรงิ แล้วบนเส้นทางของ การเปน็ พระบรมศาสดาท่ีย่งิ ใหญน่ ั้น มีเคล็ดลับอยู่ทกี่ ารพยายามฝกึ หัดและพฒั นาตนเองเป็น สาระสำคัญ ดังนั้น การนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ในเหตุการณ์การผจญมารมา นำเสนอด้วยกลวิธีต่างๆ จึงทำให้คำสอนและหลักปฏิบัติทั้งหลายที่ปรากฏน้ันมีความชัดเจน เข้าใจง่ายอีกทั้งยังเป็นแบบอย่างให้ผู้อ่านทุกเพศทุกวัยสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในชีวิต เอกสารอา้ งอิง กาญจนา แกว้ เทพ. (2554) การสอื่ สารกับศาสนา.ในการส่ือสาร ศาสนา กีฬา. กรุงเทพฯ : โครงการเมธีวิจัยอาวโุ ส คณะนเิ ทศศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. จิด-ตระ-ธานี (นามแฝง). (2556). พาหงุ : ชยั ชนะแห่งพทุ ธ,. พมิ พค์ ร้งั ที่ 4, กรุงเทพฯ : ไอดี.ปรนิ้ ท.์ ณฐั กาญจน์ นาคนวล. (2559). เรอื่ งเลา่ ทศชาตชิ าดก: การสบื ทอดในสงั คมไทยรว่ มสมยั . อกั ษรศาสตรดษุ ฎีบณั ฑติ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย. นา้ นกฮูก (นามแฝง). (2557). หนังสือชดุ การผจญภัยของพระพุทธเจ้า ตอน ปราบช้างตกมนั . พิมพ์ครั้งท่ี 12. กรงุ เทพฯ: สำนกั พิมพ์แฮปปี้คิดส์ บรษิ ทั แปลน ฟอร์ คิดส์ จำกดั .
758 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) น้านกฮูก (นามแฝง). (2558). หนังสอื ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจา้ ตอน มหาโจร องคุลิมาล. พิมพ์ครั้งท่ี 10. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แฮปป้ีคิดส์ บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จำกดั . พระธรรมปิฎก (ป.อ.ประยุตโต). (2542). พทุ ธวิธใี นการสอน. พมิ พ์คร้ังที่ 6. กรงุ เทพฯ : โอเอ็นจกี ารพมิ พ์. พาหุง มนต์แหง่ ชัยชนะ. (2556). กรุงเทพฯ: สำนกั พมิ พธ์ นชยั รงุ่ เรอื งพฒั นา จำกดั . พสิ ิทธิ์ กอบบญุ . (2548). ปจุ ฉา-วสิ ชั นา: กลวธิ ที างวรรณศลิ ป์ในวรรณคดีพทุ ธศาสนา. คณะอกั ษรศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ลี บอมจี. (2554). ประวตั พิ ระพุทธเจา้ . พมิ พค์ รง้ั ท่ี 6. กรุงเทพฯ: สำนักพมิ พน์ านมบี ุ๊คส์ พับลิเคชัน่ ส์. สวสั ด์ิ พฒั นเ์ กิดผล. (2509). บรรยายความพุทธมนต์ 2 เรอื่ ง พุทธมนตบ์ ทนมสั การและพทุ ธ มนต์ชยั มงคล, (พมิ พ์เนอ่ื งในโอกาสพระราชทานเพลิงศพ น.อ. ทวปี ปรีชากลุ ณ เมรุ วดั เครือวัลนว์ รวหิ าร 7 ก.ค. 2509). ธนบุรี: การช่างวุฒศิ ึกษา. โอม รชั เวทย์. (2554). องคุลิมาล ฉบบั การ์ตนู สสี ี่ พิมพค์ รั้งท่ี 4. กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร์พรน้ิ ตงิ้ แอน พับลชิ ช่ิง.
การพัฒนาสมรรถนะบคุ ลากรทางการศึกษาวิถีใหม่ Competency Development of Personnel in New Normal Education 1รชต กฤตธรรมวรรณ, 2รุ่งนภา ตงั้ จิตรเจรญิ กุลและ 3องค์อร สงวนญาติ 1Rachata Kritdhammawan,1Rungnapa Tangjitcharoenkul and 3Ongorn Sanguanyat มหาวิทยาลัยสวนดุสิต, ประเทศไทย Suan Dusit University, Thailand. [email protected] Received May 10, 2020; Revised July 12, 2020; Accepted August 25, 2020 บทคัดยอ่ ในบทความน้ีได้มุ่งวิเคราะห์ ถึงการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรทางการศึกษาวิถีใหม่ จากการศึกษา ค้นคว้าเอกสาร บทความและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมกับ บุคลากรทางการศึกษาที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคล่ือนประเทศ เพราะการศึกษาเป็น กระบวนการพัฒนาบุคคลให้มีความเจริญงอกงาม คือ สติปัญญา อารมณ์และสังคม การ พัฒนาสมรรถนะบุคลากรทางการศึกษาวิถีใหม่ เป็นการวิเคราะห์ผล ใช้แนวทางสังเคราะห์ ด้วยการลดทอนข้อมูล การจัดระบบข้อมูลและการตีความ นำไปสู่บทสรุป การพัฒนา สมรรถนะบุคลากรทางการศึกษาวิถีใหม่ ที่ตระหนักถึงการพัฒนาและการเรียนรู้ เพ่ือรับสิ่ง ใหม่ที่แตกต่างจากประสบการณ์ความรู้ที่มีอยู่เดิม นำมาพิจารณาถึงความสอดคล้องและ เหมาะสมกับวิถีใหม่ ที่เน้นการคิดเชิงระบบในองค์ความรู้ใหม่ ท่ีเกิดดุลยภาพท้ังด้าน คณุ ลักษณะความรู้ ทักษะและทศั นคติ คำสำคญั :การพฒั นาสมรรถนะ; บุคลากรทางการศึกษา; การศกึ ษาวถิ ใี หม่
760 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) Abstract This article aims at analyzing the competency development of personnel in the new normal education. From the study through documents, articles and participatory sharing and learning with educational personnel as an important force in driving the country i.e. because education is a process of developing personal growth in intellectual, emotional and social aspects. The competency development of personnel in new normal education is the analysis of the results, using synthesis approach by data reduction, data systemization and interpretation leading to conclusion. Competency development of personnel in new normal education is the awareness of developing and learning for perceiving new things that are different from the existing experiences by considering the consistency and suitability with the new normal that emphasizes systematic thinking in new knowledge resulting balances in characteristics, knowledge, skills and attitudes. Key word : Competency Development; Educational Personnel; New Normal Education บทนำ การศึกษามีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจและเทคโนโลยี ในฐานะที่เป็นกระบวนการหนึ่งท่ีมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงท่ีทันสมัยเป็นส่ิงท่ีต้องปฏิบัติอย่างเร่งรีบ โดยมุ่งเน้นให้ประชากรของประเทศ มีลักษณะท่ีพึงประสงค์อยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมี ความสุข ร่วมมือกันเสริมสร้างชุมชนสังคมและประเทศชาติ ด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังน้ันสถานศึกษาควรตระหนักและให้ความสำคัญต่อการ บริหารจัดการบุคลาการทางศึกษาของตน ที่นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จตามภารกิจของ สถานศึกษา ในการพัฒนาประชากรให้มีคุณลักษณะเหมาะสมกับการดำรงชีวิตในโลกไร้ พรมแดน ได้อย่างมีความสุข ให้มีคุณภาพเหมาะสมและมีคุณสมบัติสอดคล้องกับวิถีใหม่ เมื่อ ประเทศใดประชากรมีการศึกษาในระดับท่ีสูงข้ึน ประเทศน้ันก็จะมีกำลังคนท่ีมีประสิทธิภาพ การจัดการศึกษาที่สอดรับกับพฤติกรรมการเรียนรู้วิถีใหม่ ย่อมมีความสำคัญย่ิงต่อ ความสำเร็จของการพัฒนาในลักษณะองค์รวม และเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารแบบเดิม
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 761 ไปสู่รูปแบบการบริหารจัดการแนวใหม่ ที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการแบบมุ่งผลสัมฤทธ์ิ ทำให้ องค์กรทางการศึกษาต้องกำหนดยุทธศาสตร์การทำงานและตัวช้ีวัดของความสำเร็จ ปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานในรูปแบบบูรณาการท่ีทรงความรู้อย่างมีศักยภาพ เป็นยุทธศาสตร์ ใหม่ที่มุ่งพัฒนาบุคลากรให้คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็นและมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีวิถีคิด อย่างมีเหตุผล มีคุณธรรม จริยธรรม มาผสมผสานให้เกิดสมดุล ยกระดับคุณภาพชีวิตในการ กำหนดทิศทางการพฒั นาส่ศู กั ยภาพในการปฏิบัตงิ านวถิ ีใหม่ได้อยา่ งย่งั ยนื กำเนิดของศาสตร์สมรรถนะ การกำเนิดแนวความคิดในเร่ือง “สมรรถนะ (Competency)” มาจากบทความ วิชาการของ David C. McClelland นักจิตวิทยาชื่อดังแห่งมหาลัยฮาร์วาร์ด ได้กล่าวถึง ความสัมพันธ์ระหว่าง คณุ ลักษณะท่ีดีของบุคคล (Excellent Performer) ในองคก์ รกับระดับ ทกั ษะความรู้ ความสามารถ ท่เี กิดข้นึ ในปี ค.ศ.1970 ทาง US State Department ได้ตดิ ต่อ ให้บริษัท McBer ที่ David C. McClelland บริหารอยู่ ทำการคิดค้นเครื่องมือชนิดใหม่ท่ี สามารถทำนายผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ได้แม่นยำข้ึน และจะนำมาใช้แทน แบบทดสอบเก่าอย่างการวัด IQ ตลอดจนการทดสอบบุคลิกภาพ ท่ีไม่เหมาะสมกับการ ทำนายศักยภาพและไม่สามารถสะท้อนความสามารถท่ีแท้จริงได้ ทำให้ David C. McClelland ได้ทำการศึกษาอย่างจริงจังจนเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่เขาได้เขียนเผยแพร่ บ ท ค ว าม Testing for Competence Rather than for Intelligence ล งใน วารส าร American Psychologist เพื่อเผยแพร่แนวคิดคิดนี้ตลอดจนนำเสนอแบบประเมินรูปแบบ ใหม่ท่ีเรียกว่า Behavioral Event Interview (BEI) ขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือประเมินตลอดจน คน้ หาบุคลากร ทมี่ ผี ลการปฏบิ ัตงิ านท่ดี ีซึง่ เขาเรียกมันว่า “สมรรถนะ (Competency)” ความหมายของสมรรถนะ เชอร์แมน (Sherman,2004:11) กล่าวว่า ขีดสมรรถนะ (Competency) เป็น คณุ ลักษณะ พนื้ ฐาน (Underlying Characteristics) ของบคุ คลคนหนง่ึ ท่ีจะช่วยให้คนๆ น้ัน สามารถส่งมอบผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาได้ เราอาจจะเรียกคุณลักษณะเช่นน้ีว่า“กลุ่ม คุณสมบัติ” (Attribute Bundle) อันประกอบไปด้วย ความรู้ ทักษะ ลักษณะติดตัว (Traits)
762 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) บทบาททางสังคม (Social Role) ภาพพจน์แห่งตน (Self - Image) และแรงจูงใจพื้นฐาน (Motive) สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้ให้คำจากัดความของ สมรรถนะ ว่าหมายถึง คุณลักษณะเชิงพฤติกรรม ท่ีเป็นผลมาจากความรู้ ทักษะ ความสามารถและคุณลักษณะอื่นๆ ที่ทำให้บุคคลสร้างผลงานที่โดดเด่นในองค์กร ด้วยคำ จำกัดความน้ีสมรรถนะจงึ เป็นคุณลักษณะเชิงพฤติกรรมท่ีองค์การต้องการ ซึ่งตามโมเดลของ การวิจัยสมรรถนะจึงเป็นตัวแปร เกณฑ์ (Criteria) ในขณะที่ความรู้ ทักษะ ความสามารถ และคณุ ลักษณะอื่น ๆ ของบคุ คลเป็นตัวแปร ทใ่ี ช้ทนาย (Predictors) เกณฑ์ สรุปความหมายของ สมรรถนะ(Competency) หมายถึง กลุ่มของทักษะ ความรู้ ความสามารถ พฤติกรรม คุณลักษณะและทัศนคติท่ีข้าราชการจำเป็นต้องมีเพื่อปฏิบัติงาน อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตรงตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ของ องค์กร เพ่อื ให้ไดผ้ ลงานท่ดี ี มีคณุ ภาพ การเรยี นรู้ใหม่ในวิถี New Normal นิว นอร์มอล (New Normal) ถูกนำมาใช้คร้ังแรกโดยบิลล์ กรอส (Bill Gross) ผู้ ก่อต้ังบริษัทบรหิ ารสนิ ทรัพย์ชาวอเมรกิ ัน โดยในช่วงนั้นเขาใช้อธิบายถึงสภาวะเศรษฐกิจโลก หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ ในสหรัฐฯ ช่วงระหว่างปี 2007-2009 สาเหตุที่ ตอ้ งใชค้ ำว่า“นิว นอรม์ อล”(New Normal) เพราะเดิมทีวกิ ฤตเิ ศรษฐกจิ จะมีรปู แบบคอ่ นขา้ ง ตายตัวและเป็นวงจรเดิม คือเมื่อเศรษฐกิจเติบโตไปได้ช่วงระยะหนึ่ง จะมีปัจจัยที่ทำให้เกิด เป็นวกิ ฤติทางเศรษฐกิจ และหลงั จากเกิดวิกฤตเิ ศรษฐกิจผ่านไปไม่นาน เศรษฐกิจก็จะเริ่มฟื้น ตัวแล้วก็กลับมาเติบโตได้ดีอีกครั้ง ส่ิงเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดข้ึนเป็นปกติ จนเรียกได้ว่าเป็น เรื่อง ปกติ (Normal) แต่หลังจากการเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ หลายคนมองว่าเศรษฐกิจโลกจะไม่ สามารถกลับไปเติบโตได้ดีเหมือนเดิม ส่งผลให้การเติบโตได้ลดลงในอนาคต คำว่า“นิว นอร์ มอล”(New Normal) จึงถูกนำมาใช้เพ่ือพูดถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจท่ีถดถอยลงและคาด ว่าจะไม่กลบั มาเตบิ โตในระดับเดิมไดอ้ ีกต่อไป New Normal หรอื ความปกติรปู แบบใหม่ที่จะเกดิ ขึ้นหลงั จากพน้ วกิ ฤติ Covid-19 ดา้ นที่เกย่ี วข้องกับการบรหิ ารทรัพยากรบคุ คล ที่เข้ามาเปลีย่ นแปลงวิถชี ีวติ ในหลากหลายมิติ ของคนทั่วโลก ต้ังแต่การทำงาน การรักษาสุขภาพ แม้แต่การศึกษาเองก็เผชิญกับภาวะของ
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 763 การปรับตัวครั้งใหญ่เช่นเดียวกัน การเรียนรู้แบบออนไลน์กำลังจะกลายเป็นความปกติใหม่ ของการศึกษาไทยมากข้ึน และการเรียนรู้แบบออนไลน์ก็ไม่ใช่แค่การสอนผ่านดิจิทัล แพลตฟอร์มเทา่ นั้น การเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นส่ิงที่ดี อนาคตของการบริหารจัดการบุคลากรทางการ ศึกษาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร การบริหารจัดการในอนาคตแต่ละด้านจะออกมาในรูปแบบ ไหน ต้ังแต่การวางแผนกำลังคน การสรรหา การรับสมัครและการคัดเลือก การเพ่ิมตำแหน่ง ไม่ใช่เพ่ิมกันง่ายๆอีกต่อไป เพราะได้เรียนรู้กันแล้วในช่วงวิกฤต มีบุคลากรหลายคนที่ทำงาน อย่างมีสมรรถนะ ถึงแม้จะขาดบุคลากรเหล่านี้ไปก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อสถานศึกษา การ ปรับเปล่ียนแผนกลยุทธ์ใหม่ ส่งผลกระทบต่อการวางแผนบุคลากรอย่างหลีกเล่ียงไม่ได้ Competency ของบุคลากรต้องมีการกำหนดและทบทวน Core Competency กันใหม่ เพราะสถานศึกษาเรียนรู้แล้วว่าคุณสมบัติของบุคลากรที่ดีในช่วงท่ีมีวิกฤติน้ันเป็นอย่างไร บุคลากรแบบไหนที่ทำงานได้มปี ระสทิ ธภิ าพ และแบบไหนท่ีสถานศกึ ษาไม่อยากได้อีกตอ่ ไป การพฒั นาสมรรถนะบุคลากรทางการศึกษาวถิ ีใหม่ สมรรถนะเป็นหน่ึงในภารกิจสำคัญที่ฝา่ ยทรัพยากรมนษุ ย์ ต้องพัฒนาบุคลากรให้มี ศักยภาพเพ่ิมมากขึ้น ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้สถานศึกษาประสบความสำเร็จ มีการ เปรียบเปรยสมรรถนะของบุคลากรเสมือนกับภูเขาน้ำแข็ง การเปรียบเปรยนั้นช้ีให้เห็นว่า ภเู ขาน้ำแขง็ ในส่วนที่ลอยอยู่เหนือนำ้ เป็นเพียงยอดภเู ขานำ้ แข็งส่วนนอ้ ยน่ันคอื ความสามารถ ในการทำงาน (Work Performance) ทส่ี ถานศึกษารับร้จู ากหน้าที่ความรบั ผิดชอบพื้นฐานที่ ถูกกำหนดให้ แต่ในส่วนของน้ำแข็งที่จมอยู่ใต้น้ำอันมหึมานั้นเปรียบเสมือนศักยภาพของ บุคลากรท่ีซ่อนอยู่อีกมาก ศักยภาพในส่วนนี้มีท้ังแบบที่ตัวตนน้ันรู้ตัวและมีผู้อื่นรับรู้ ตลอดจนศักยภาพท่ีตัวตนนั้นรู้ตัวและไม่มีผู้อื่นรับรู้ รวมไปถึงศักยภาพแฝงที่ซ่อนอยู่ท่ีตัวตน น้ันยังไม่รู้ตัวว่าตนเองมีความสามารถซ่อนอยู่ สมรรถนะที่แท้จริงจึงเปรียบเสมือนน้ำแข็งท้ัง ก้อน แต่สมรรถนะท่ีสามารถเห็นและรับรู้ได้ คือความสามารถท้ังหมดท่ีบุคลากรคนน้ันมี และรู้ตัวว่ามีตลอดจนสามารถแสดงศักยภาพออกมาให้เห็นได้ แต่บางคร้ังสมรรถนะและ ศักยภาพก็เป็นเร่ืองท่ีใกล้เคียงกันมากขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และการสร้างแรงจูงใจที่ต่างกัน สง่ ผลตอ่ การพัฒนาสมรรถนะให้สูงข้ึนและเติมเต็มศักยภาพใหมใ่ ห้มมี ากขน้ึ ดว้ ย
764 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) องค์ประกอบของสมรรถนะ 1. ความรู้ทางทฤษฏี (Basic) เป็นองค์ความรู้ (Knowledge) ที่บุคคลนั้นมีอยู่ เป็นความรู้ที่เกิดจากความเข้าใจเองมาแต่กำเนิด เป็นความรู้ท่ีเกิดจากการศึกษาเรียนรู้ใน รปู แบบต่างๆ จากการค้นคว้า จากการวิจยั และจากการเรียนรู้ดว้ ยตนเองตามอัชฌาศัย 2. ความรู้ทางปฏิบัติ ทักษะ (Skill) เป็นความสามารถที่ได้รับการฝึกฝนจนเกิด ความชำนาญเฉพาะตัวข้ึน และสามารถนำไปปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะน้ี เกิดข้ึนไดท้ ้งั จากพรสวรรค์ท่ีตดิ ตัวมาแต่กำเนิด ตลอดจนการศกึ ษาและฝึกฝนเปน็ ประจำ 3. ความรู้เพ่ือพัฒนาทัศนคติ (Attitude) เป็นแนวความคิดส่วนบุคคลคือกรอบ ความคิด ค่านิยม การรับรู้ และส่ิงที่ยึดถือส่วนตัวที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหน่ึง ซ่ึงเป็นการตีความ ส่วนบุคคล รวมถึงคุณสมบัติประจำตัว คือคุณสมบัติส่วนบุคคลท่ีรวมถึงบุคลิกลักษณะ นิสัย ใจคอ ตลอดจนการกระทำต่างๆ ท่ีทำจนเกิดเป็นพฤติกรรมเฉพาะบุคคลนั้นขึ้น รวมไปถึง ความสามารถต่างๆ ของบุคคลนนั้ รวมถึงความเช่ือ ตลอดจนบรรทดั ฐานของตน ซ่ึงส่งผลต่อ การกระทำ คำพดู และพฤติกรรมท่แี สดงออกมาได้
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 765 ประเภทของสมรรถนะ ประเภทของสมรรถนะ โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากร ทางการศึกษา ได้กำหนดไว้ ดังนี้ 1. สมรรถนะหลัก (Core Competency) มี 4 สมรรถนะ คือ 1) การมงุ่ ผลสัมฤทธิ์ (Achievement Motivation: ACH) 2) การบริการทด่ี ี (Service Mind: SERV) 3) การพัฒนาตนเอง (Expertise: EXP) 4) การทำงานเปน็ ทมี (Teamwork: TW) 2. สมรรถนะประจำสายงาน (Functional Competency) มี 4 สมรรถนะ คอื 1) ก า ร คิ ด วิ เค ร า ะ ห์ แ ล ะ สั ง เค ร า ะ ห์ (Analytical Thinking & Conceptual Thinking: AT - CT) 2) การสอื่ สารและการจูงใจ (Communication & Influencing: CI) 3) การพัฒนาศักยภาพของบคุ ลากร (Caring & Development Others: DEV) 4) การมีวสิ ัยทัศน์ (Visioning: VIS) บุคลากรทางการศึกษาวถิ ีใหม่ ไม่ว่าสถานศึกษาจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน การพัฒนาสมรรถนะของบุคลากร ทางการศึกษา ยังคงเป็นประเด็นที่จำเป็นต้องทำและในอนาคตอันใกล้การ Disruption ของ เทคโนโลยีดิจทิ ัล ยิ่งต้องอาศยั การพัฒนาสมรรถนะบุคลากรให้ทันกับยุคสมัยอยู่เสมอ ความรู้ ทางทฤษฏี (Basic) ความรูท้ างปฏิบตั ิ (Skill) และความรู้เพื่อพัฒนาทัศนคติ หลายอย่างที่เคย ใช้ได้ในวันนี้ อีกไม่ก่ีวันอาจจะใชไ้ ม่ได้แลว้ ดังน้ันสถานศกึ ษายังคงต้องสนับสนุนนโยบายการ พัฒนาสมรรถนะบคุ ลากรทางการศึกษาวถิ ีใหมอ่ ย่างต่อเนอ่ื ง ซง่ึ จะเปน็ Next Normal ทเี่ ป็น สถานตี ่อไป Competency วิ ถี ให ม่ ท่ี จ ะ ใช้ ใน ก าร พั ฒ น าจ ะ เป ล่ี ย น ไป เดิ ม ที เราใช้ Competency ในการพัฒนาบุคลากรของสถานศึกษาค่อนข้างจะนาน หรือบางสถานศึกษา แทบไม่เคยเปลย่ี นเลย แต่หลังจากน้ีต่อไป Competency New Normal จะถูกเปลยี่ นแปลง ถ่ีขึ้นจะมีการพิจารณาปรับเปล่ียนทุกปี เพราะสิ่งแวดล้อมภายนอกเปล่ียนแปลงเร็ว และ สถานศึกษาต้องการบุคลากรที่มี Competency ที่ทำงานได้อย่างต่อเนื่อง จนทุกวันน้ีเราได้
766 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) เห็น Competency ในการทำงานของบุคลากรทางการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงวิถีใหม่ไป อยา่ งมากจนไมร่ ู้สึกวา่ เป็นเรอ่ื งใหม่ วิธีการพัฒนาสมรรถนะบุคลากรทางการศึกษาท่ีเปลี่ยนไป แนวทางในการพัฒนา บคุ ลากรก็จะเกิดความปกติรูปแบบใหม่เกิดข้ึน โดยเฉพาะการพัฒนาฝึกอบรม จากเดิมท่ีต้อง ใช้ชั้นเรียนตามโรงแรมหรือการไปรวมตัวกันตามสถานที่ฝึกอบรมสัมมนา จะมีให้พบเห็น น้อยลง เปลี่ยนจากพ้ืนที่สาธารณะสู่พ้ืนที่ส่วนบุคคลด้วยเทคโนโลยีนวัตกรรมท่ีสร้างสรรค์ คอนเทนต์ อำนวยความสะดวกการสอนได้แค่ปลายนว้ิ ทำให้ผู้เรยี นสามารถเรียนรู้ทกุ เนื้อหา ได้จากทุกคน ทุกท่ี ทุกเวลา ชุมชนแห่งการเรียนรู้ยังมีอยู่ แต่เปลี่ยนพื้นที่จากโรงเรียนสู่ โทรศัพท์มือถือ การเรียนการสอนและอบรมผ่าน online หรือ e-learning กันเป็นปกติมาก ขึ้น ในแต่ละหน่วยงานบุคลากรจะน่ังอยู่ที่โต๊ะทำงาน สวมหูฟัง เปิดคอมพิวเตอร์ และเข้า เรียนในหอ้ งเรยี นเสมอื นจรงิ กันมากขนึ้ เน้อื หาการพฒั นาสมรรถนะบุคลาการทางการศึกษาท่ีเปล่ียนไป การอบรม online จะมีข้อจำกัดมากข้ึน การมีปฏิสัมพันธ์กันน้อยลง ทำกิจกรรมกลุ่มกันได้อย่างมีข้อจำกัด เน้ือหาในการเรียนรู้จะกระชับ ตรงไปตรงมามากขึ้น ใช้ระยะเวลาในการเรียนเป็นครั้งๆแบบ ส้ันๆการเรียนแบบเดียวยาวๆ จะไม่ได้ผลแล้ว เนื้อหาท่ีเรียนจะ Focus และกระชับมากข้ึน ผสู้ อนจะไมไ่ ด้ถอดบทเรยี นจากการสอนท่ีเหมือนเดิม บทบาทที่เปล่ียนไปของการประเมินสมรรถนะในแบบวิถีใหม่น้ี การประเมินจะถูก เปลี่ยนจาก“การประเมินผลการเรียน”ไปสู่“การประเมินผลเพื่อการเรียนรู้”เป็นการวัดผล ลัพธใ์ ห้สถานศึกษาเข้าใจว่าบุคลากรเหมาะกับการเรียนรู้รูปแบบไหน และอะไรท่ีจะสามารถ เติมทักษะที่สถานศึกษาคาดหวังได้ การประเมินผลในวิถีการศึกษาใหม่จึงเป็นการทำความ เข้าใจ ผู้เรียนต้องเรียนรู้ให้เร็วข้ึน ส่ิงสำคัญก็คือผู้เรียนจะต้องปรับความเรว็ ในการเรียนรู้ ของตนเองให้เร็วข้ึนกว่าก่อน ต้องเขา้ ใจและเรียนรู้เนื้อหาที่เรียนอย่างเร็ว เน่ืองจากมเี ร่ืองให้ ตอ้ งเรยี นมากข้ึน และต้องรีบนำมาใช้งาน อีกทั้งองค์ความรู้ก็ล้าสมัยเรว็ ข้ึน การท้ิงความรู้เก่า และเรียนรู้ความรู้ใหม่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเน่ืองตลอดเวลา การทำงานในอนาคตของ สถานศึกษาก็ต้องการบุคลากรท่ีมีสมรรถนะสูง สามารถเรียนรู้ได้เร็วและนำความรู้มาใช้ได้ อยา่ งทนั สถานการณ์
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 767 ต้องเรียนรู้งานซ่ึงกันและกันทำงานแทนกันได้ แนวทางในการพัฒนาสมรรถนะ บุคลากรจะให้ความสำคัญกับการ Rotation มากขึ้น แต่เดิมที่ไม่ยอมหมุนงานเวียนงานกัน ทำ แต่พอช่วง Covid-19 กลายเป็นมีการหยุดงาน มีการเรียนรู้เพื่อทำงานทดแทนกัน การ ทำงานยืดหยุ่นมากข้ึนไม่ได้ตาม Job Description อย่างเดียวท่ีสำคัญต้องทำงานแทนคนอ่ืน ได้ ให้บุคลากรได้เรียนรู้ความรู้และปรับเปล่ียนทัศนคติมุมมองการทำงานใหม่ๆ ท่ีไม่เคยทำ มาก่อน ให้เปิดใจรับแนวทางในการหมนุ เวียนงาน และมีการโอนย้ายงานเพื่อการพัฒนามาก ขึ้นกว่าเดมิ บทสรปุ การพัฒนาสมรรถนะบุคลากรทางการศึกษาวิถีใหม่ เป็นนำพาองค์กรไปสู่ ความสำเร็จตามภารกิจของสถานศึกษา ในการพัฒนาบุคลากรให้มีคุณลักษณะเหมาะสมกับ การดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข ให้มีคุณภาพเหมาะสมและมีคุณสมบัติสอดคล้องกับวิถีใหม่ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย เป็นสิ่งท่ีต้องปฏิบัติอย่างเร่งรีบ มีลักษณะท่ีพึง ประสงคอ์ ยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข ดว้ ยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ใหม้ ีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ด้วยความรู้ทางทฤษฏี (Basic) เป็นองค์ความรู้ (Knowledge) ที่บุคคลนั้นมี อยู่ เป็นความรู้ท่ีเกิดจากความเข้าใจเองมาแต่กำเนิด ความรู้ทางปฏิบัติ ทักษะ (Skill) เป็น ความสามารถท่ีได้รับการฝึกฝนจนเกิดความชำนาญเฉพาะตัวขึ้น และความรู้เพ่ือพัฒนา ทศั นคติ (Attitude) ประกอบกันทำใหส้ ามารถปฏบิ ัตงิ านหรือกจิ กรรมต่างๆ ตามภาระหน้าท่ี และความรบั ผิดชอบทีเ่ กิดผลสำเรจ็ และบรรลเุ ป้าหมายตามที่ไดว้ างไว้
768 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) เอกสารอา้ งอิง สำนกั งานคณะกรรมการข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?end=2018&locations =USCN &start=1961&view=chart McClelland, D.C.(1973). Testing for Competence rather than for Intelligence, American Psychologist. 28, 1 – 14. Shermon, G.(2004). Competency Based HRM. A Strategic Resource for Competency Mapping, Assessment and Development Centres. New Delhi: Tata McGraw-Hill. https://en.wikipedia.org/wiki/New_Normal_(business) www.scbeic.com/th/detail/product/1313
ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ตามหลกั สปั ปรุ สิ ธรรม 7 School Administrators in the 21st Century following Sappurisa-dhamma 7 1พรรณิภา งามเลศิ , 2รุ่งนภา ต้งั จิตรเจริญกุลและ 3องค์อร สงวนญาติ 1Phannipa Ngamlert, 2Rungnapa Tangjitcharoenkul and 3Ongorn Sanguanyat มหาวิทยาลัยสวนดสุ ติ , ประเทศไทย Suan Dusit University, Thailand. [email protected] Received May 10, 2020; Revised July 12, 2020; Accepted August 25, 2020 บทคดั ย่อ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาเปน็ บุคลากรวิชาชพี ทำหนา้ ทห่ี ลักด้านการบริหารจัดการการ เรียนการสอนและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน รวมถึงบุคลากรในสถานศึกษาด้วย เพ่ือ พัฒนาให้ผู้เรียนมีความสมบูรณ์ท้ังร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ คุณธรรมจริยธรรม และ การดำรงชีวิต ให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนได้อย่างมีความสุข จากสถานการณ์ของโลกใน ศตวรรษท่ี 21 จากความผนั ผวนทางเศรษฐกจิ การเกิดโรคอุบัตใิ หม่ การเข้าสู่สังคมสูงวัยของ ประชากร การเปล่ียนแปลงทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่รวดเร็ว การปรวนแปรของสภาพ ภมู อิ ากาศ ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อมภยั พิบตั ิทางธรรมชาติ ทำ ให้องค์การท้ังภาครัฐและเอกชนต่างได้รับผลกระทบ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนเพ่ือความอยู่ รอด และมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ดังกล่าว ผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะผู้นำ จำเป็นต้องปฏิรูปตนเองโดยได้ใช้หลักสัปปุริสธรรม 7 เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูป เพื่อนำพา สถานศกึ ษาไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายตอ้ งการ ท่ีจะต้องบริหารจัดการทรัพยากรทางการ ศกึ ษาใหเ้ กิดประสิทธิภาพ และความสมดลุ จนบรรลผุ ลตามแผนที่วางไว้ คำสำคญั :ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา; ศตวรรษท่ี 21; หลกั สปั ปุรสิ ธรรม 7
770 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) Abstract School administrators are professional personnel performing principal duties in teaching and learning administration and encouragement of learners including personnel in schools in order to develop learners to be healthy in body, mentality, intellect, knowledge, morality and livelihood that they can live happily with others. According to the changing circumstances in the 21st century from economic volatility, emerging diseases, entering aging society, a rapid change in technology and innovation, climate variability, natural resource and environment deterioration and natural disasters, both government and private organizations are affected and they have to be adaptable for survival and be suitable for the situation. School administrators, as leaders, need to reform themselves by using Sappurisa-dhamma 7 as a means of reformation in order to lead the schools to achieve their goals. They need to manage educational resources with efficiency and balance in order to attain the planned targets. Keywords : School Administrators; the 21st Century; Sappurisa-dhamma 7 บทนำ การศึกษาได้รับความคาดหมายให้ทำหน้าที่ต่างๆ ในทางสังคมการเมืองและ เศรษฐกิจ นับต้ังแต่การช่วยให้ประชาชนอ่านออก เขียนได้และคิดเป็น เรียนรู้คุณธรรม จริยธรรมและความเป็นพลเมือง ตลอดจนพัฒนาทักษะทางเศรษฐกิจ ซง่ึ จะช่วยเพิ่มความเท่า เทียมของสังคมในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างย่ิงในศตวรรษท่ี 21 ซึ่งประชาชนต้องการทักษะ การคิดและการดำรงชีวิตท่ีแตกต่างจากอดีตที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญ ในการพัฒนา การศึกษาดังกล่าว ส่ิงท่ีจะต้องพัฒนาควบคู่กันไป ได้แก่การพัฒนาคุณภาพผู้บริหาร สถานศึกษาที่สอดคล้องกับการพัฒนาสู่ศตวรรษท่ี 21 เป็นการสร้างผู้บริหารยุคใหม่ที่มี บทบาทในการเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ มีระบบกระบวนการผลิตและพัฒนาผู้เรียน และบุคลากรทางการศึกษาท่ีมคี ณุ ภาพมาตรฐานเหมาะสมกับการเป็นวิชาชพี สามารถจัดการ เรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพมาตรฐาน ในขณะเดียวกันสามารถพัฒนาตนเองและแสวงหา ความรู้อยา่ งตอ่ เนื่อง
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 771 ผบู้ รหิ ารสถานศึกษาประสบปญั หาวิกฤตศรทั ธาตอ่ วิชาชีพ ยังสง่ ผลตอ่ คุณภาพของ ผู้เรียนท่ีเข้าศึกษาในสถาบันศึกษา เนื่องจากขาดเอกภาพในเชิงนโยบายและมาตรฐานของ สถานศึกษาที่ยังมีความเหล่ือมล้ำกัน มาจากหน่วยงานรับผิดชอบในการดูแลกำกับติดตาม การพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาส่วนใหญ่ถูกกำหนดแนวทางและวิธีการจากส่วนกลาง ที่ไม่ ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้บริหาร สภาพดังกล่าวก่อให้เกิดวิกฤติของระบบ การ เตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักสัปปุริส ธรรม 7 ของสัตบุรุษที่ทำให้เป็นคนดีท่ีสมบูรณ์ เป็นธรรมท่ีเหมาะสมต่อการเป็นผู้บริหาร สถานศึกษา พร้อมด้วยคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ทีเ่ ป็นเหตุใหผ้ ู้ปฏิบตั ิเป็นคนดี เป็นผู้ควรแก่การยก ย่องนับถือ เป็นคนที่สามารถให้การแนะนำในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องด้วยความปรารถนาดี เป็นธรรมที่ทำให้คนเป็นสัตบุรุษ เปน็ ตัวช้วี ัดให้ประพฤติปฏิบัตดิ ี ซึง่ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ และถอื ปฏบิ ัตเิ ปน็ แบบอยา่ งทีด่ ใี ห้กับผ้อู ่ืน ใหอ้ ยใู่ นกรอบของศีลธรรมอันดีงาม เหมาะสำหรับ เป็นธรรมะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 บทความน้ีจะเป็นประโยชน์สำหรับ ผู้ปฏิบัติงานที่เก่ียวข้องกับผู้บริหารสถานศึกษาท้ังในฐานะผู้ปฏิบัติและผู้ทำหน้าท่ีวางแผน และกำหนดนโยบายทเี่ หมาะสมกับบริบทของสถานศกึ ษาเอง ความสำคัญของผู้บรหิ ารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศกึ ษา หมายถึง บุคคลซึง่ ปฏิบัตงิ านในตำแหน่งผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ภายในเขตพ้ืนที่การศึกษาและสถานศึกษาอ่ืนที่จัดการศึกษาปฐมวัยข้ันพื้นฐาน และ อุดมศึกษาท่ีต่ำกว่าปริญญาทั้งของรัฐและเอกชน (สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2546) คำว่า“ผู้บริหารสถานศึกษา”ไม่ว่าจะเป็นประถมศึกษา หรือมัธยมศึกษาเรียกว่า Principal หรือเรียกว่า Head of School เป็นคำท่ีใช้เรียกผู้บริหารสูงสุดของโรงเรียนของรัฐ แต่ถ้าเป็น โรงเรียนเอกชน อาจใช้คำอ่ืนๆ เช่น head teacher, head master หรือ head mistress สำหรับประเทศไทยผู้บริหารโรงเรียนในปัจจุบันเรียกว่า ผู้อำนวยการสถานศึกษา เมื่อก่อน เรียกว่า“ครูใหญ่” หรือ“อาจารย์ใหญ่” (ประกอบ คุปรัตน์,2552) ดังน้ันผู้บริหารจึงเป็นตัว แปรสำคัญในด้านการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ ผู้บริหารสถานศึกษาในยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 จึงต้องมีความรู้ ความสามารถ ทักษะและประสบการณ์ทางการบริหารการศึกษา เพื่อ พฒั นาสถานศกึ ษาใหท้ นั สมยั เหมาะสมกับการเปล่ียนแปลงของโลกอนาคต
772 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) ผบู้ ริหารสถานศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ผบู้ ริหารสถานศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ต้องมีคุณลักษณะเป็นที่ยอมรับ มีทักษะการ ทำงานท่ีโดดเด่น บทบาทหน้าท่ีในการบริหารจัดการเปล่ียนแปลงที่ทันสมัย รวมถึงคุณธรรม จริยธรรมที่น่าเลื่อมใส นำมาใช้เป็นกลไกในการกำหนดยุทธศาสตร์ และนำยุทธศาสตร์ไปสู่ การปฏบิ ัติ สามารถกำหนดประเดน็ ศกึ ษาทส่ี ำคญั 4 ดา้ น ดังภาพ 1.องคป์ ระกอบผู้บรหิ ารสถานศึกษาในศตวรรษท่ี 21 1.1 คุณลกั ษณะของผู้บริหารสถานศกึ ษายคุ ใหม่ จากการสังเคราะห์ แนวคิดเกี่ยวกับผู้บริหารสถานศึกษายุคใหม่ของ Maxine (2015) Gerald Aungus (2012) และ George Couros (2010) ได้เขียนบทความเรื่อง Top 10 Characteristics of Successful 21st Century School Leaders:21st Century Administrators: New Roles,New Responsibilities และ The 21st Century Principal สรุปไดว้ ่า ผู้บรหิ ารสถานศึกษาทีใ่ นศตวรรษที่ 21 ควรมคี ุณลักษณะ ดังน้ี 1) นักสร้างสรรค์ (Creative) เป็นผู้บริหารที่มีกระบวนการผลักดันให้ บุคลากรในสถานศึกษา ให้มีความสามารถสร้างสรรค์ผลงานให้มีคุณภาพและมาตรฐาน โดย เออ้ื ประโยชน์ต่อผู้มีสว่ นไดส้ ว่ นเสยี อยา่ งต่อเนอื่ งเหมอื น 2) นักการส่ือสาร (Communicator) ผู้บริหารสถานศึกษาไม่เพียงส่ือสาร โดยการแบ่งปันข้อมูลผ่านหลายส่ือเท่านั้น แต่ยังพร้อมเป็นผู้ฟังที่ดี ซ่ึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ ผู้บรหิ ารสถานศึกษาตอ้ งเป็นผสู้ ่ือสารท่มี ีประสทิ ธิภาพกับผ้มู สี ว่ นได้สว่ นเสยี ทัง้ หมด
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 773 3) นักคิดวิเคราะห์ (Critical Thinker) ผู้บริหารสถานศึกษาต้องให้ครูหรือ บุคลากรทางการศึกษามีส่วนร่วมแสดงออกทางความคิด โดยเฉพาะด้านผลกระทบที่มีต่อ สถานศึกษาและนักเรียนในระยะยาว ถือเป็นส่ิงสำคัญสำหรับผู้บริหาร ท่ีจะต้องนำเอาข้อมูล และความคดิ ตา่ งๆ มาใชใ้ นการตดั สนิ ใจ 4) สร้างชุมชน (Builds Community) เป็นการประสานเช่ือมโยงต่อกลุ่ม คน เพ่ือเช่ือมโยงต่อกับคนอื่นๆ ที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ท่ีสำคัญไม่เพียงแต่พัฒนา ผบู้ ริหารสถานศึกษาเทา่ นั้น แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเห็นถึงความเป็นผู้นำ ด้วย 5) การมีวิสัยทัศน์ (Visionary) ผู้บริหารสถานศึกษาตอ้ งมองภาพอนาคตให้ ออก โดยนำองคก์ รไปสู่วิสัยทัศน์ทีต่ ้องการ และต้องแบ่งปันวิสัยทัศน์ไปพรอ้ มพัฒนาชุมชนได้ อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพร่วมกนั ไดด้ ว้ ย 6) ก า ร ส ร้ า งค ว า ม ร่ ว ม มื อ แ ล ะ ก า ร ติ ด ต่ อ (Collaboration and Connection) ผู้บริหารสถานศึกษาต้องริเริ่มสิ่งใหม่ นำสิ่งที่ได้มาแบ่งปันบนฐานข้อมูลจริง เปิดเผยชัดเจน มีการค้นหาความเข้าใจและปฏิบัติอย่างเข้าใจกับคนอ่ืน มีการติดต่อกับโลก ภายนอกผา่ นทางบล็อกและส่ือทางสังคม รวมถงึ ต้องสรา้ งการทำงานเปน็ ทีมร่วมกับผอู้ น่ื 7) สร้างพลังเชิงบวก (Positive Energy) ผู้บริหารสถานศกึ ษาต้องทำท้งั เชิง บวก เชิงรุกและวิธีการดูแลเอาใจใส่ ต้องมีเวลาในการพบปะพูดคุยกับนักเรียน ครูและ ผปู้ กครอง รวมท้งั ผบู้ ริหารต้องสร้างสขุ ภาพตนเองให้มคี วามพร้อมอยู่เสมอ 8) ความเช่ือม่ัน (Confidence) ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีความมั่นใจ (confidence) เข้าถึงได้งา่ ย (approachable) มีความโดดเด่น (be visible) ต้องมีความกล้า ท่ีจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ท่ียากลาบากและมีความมั่นใจในการรักษาขวัญกำลังใจและ ความเชือ่ ม่ันในสถานศึกษา 9) ความมุ่งมั่นและความพากเพียร (Commitment and Persistence) ผู้บริหารต้องมีความมุ่งมั่นและทุ่มเท (dedication) อย่างจริงจัง เพื่อผลักดันให้กับครูและ นักเรียนเกิดความมุ่งมั่นทุ่มเทในงานเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายการพัฒนาที่กำหนด ไว้
774 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 10) ความเต็มใจที่จะเรียนรู้ (Willingness to Learn) ผู้บริหารต้องเรียนรู้ อย่างสม่ำเสมอ เพราะการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 ผู้บริหารจึงต้องเป็นผู้เรียนรู้ตลอด ชวี ติ (Be a Lifelong Learner) 11) ต้ อ งเป็ น นั ก ป ร ะ ก อ บ ก า ร คิ ด ส ร้ า งส ร ร ค์ แ ล ะ น วั ต ก ร ร ม (Entrepreneurial, Creative and Innovative) ความสามารถในการคิดนอกกรอบเป็นพลัง ท่ีมีอำนาจของผู้บริหาร การคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมเป็นวิธีท่ีดีที่สุด ในการบริหาร จัดการกับความซบั ซอ้ นทางสงั คมในศตวรรษที่ 21 12) นักรเิ รม่ิ งาน (Intuitive) ผ้บู รหิ ารตอ้ งเรียนรู้ถึงความ ความสามารถการ เปน็ นักคิด นกั รเิ ร่มิ สร้างสรรค์ แกป้ ัญหาให้สำเร็จอย่างลุลว่ งอย่างมีทักษะและประสบการณ์ 13) ความสามารถในการสร้างแรงบันดาลใจ (Ability to Inspire) ผู้บรหิ าร สร้างความกระตือรอื รน้ ในการร่วมกันกำหนดทิศทางของสถานศกึ ษาในอนาคต 14) การเจียมเนื้อเจียมตัว (Be Humble) ผู้บริหารมีความสำคัญต่อการทำ หน้าที่ในสถานศึกษา ซ่ึงเอื้อต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน การเปิดโอกาสให้ครู นักเรียน ผปู้ กครองและชมุ ชนเข้ามามีสว่ นร่วม 15) ตัวแบบท่ีดี (good Model) ทักษะในศตวรรษที่ 21 ต้องรู้และต้องฝึก ให้มีความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม พัฒนาการสื่อสาร และคิดวิเคราะห์เป็น การใช้ เทคโนโลยอี ยา่ งชาญฉลาด และ จัดสภาพแวดลอ้ มทป่ี ลอดภยั บรรยากาศเอือ้ ตอ่ การเรยี นรู้ 1.2 ทักษะของผู้บริหารสถานศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 ทักษะยุคใหม่เป็นสิ่งสำคัญของการเป็นผู้นำศตวรรษที่ 21 ผู้บริหารสถานศึกษาซ่ึง เป็นผู้นำของสถานศึกษา จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการบริหาร จดั การของสถานศกึ ษาและการเรียนรู้ตนเองอยา่ งตอ่ เน่ือง จากการศกึ ษาแนวคิดเกี่ยวกับทักษะยุคใหม่ของผู้บริหารโรงเรียนท่ีมีประสิทธิภาพ ของ Weigel (2012) ได้เขียนบทความเรื่อง Management Skills for the 21st Century: Avis Gaze (2016) เขียนงาน เรื่อง Preparing School Leaders: 21st Century Skills และNational Association of Secondary School Principals (NASSP) (2013) เขียน หนังสือเรื่อง 10 Skills for Successful School Leaders สามารถสังเคราะห์แนวคิด เกยี่ วกับทกั ษะยุคใหม่ ของผบู้ ริหารโรงเรยี นในศตวรรษท่ี 21 ที่สอดคลอ้ งกันได้ ดังนี้
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 775 1) ทักษะการคิดวิเคราะห์ และการคิดสร้างสรรค์ (Critical and creative thinking skill) 2) ทักษะการแกป้ ญั หา (Problem solving skills) 3) ทักษะการสอ่ื สาร (communication skill) 4) ทักษะทางเทคโนโลยี และการใช้ดิจิตอล (Technological and digital literacy skills) 5) ทกั ษะด้านการบรหิ ารองค์การ (Organizational management skills) 6) ทกั ษะการบรหิ ารงานบคุ คล (Personal management skills) 7) ทักษะทำงานเปน็ ทมี (Teamwork skills) 8) ทกั ษะด้านนวตั กรรมเพื่อการเรยี นรู้ (Learning innovation skill) 9) ทักษะการกำหนดทิศทางองค์กร (Setting instructional direction skill) 10) ทกั ษะการรบั รู้ไว (Sensitivity skill) 11) ทกั ษะการตัดสิน (Adjustment skill) 12) ทักษะมุ่งผลสมั ฤทธ์ิ (Results orientation skill) 13) ทกั ษะความสมั พนั ธ์ระหว่างบคุ คล (interpersonal skill) 14) ทักษะคุณธรรมจรยิ ธรรม (ethical-moral skills) สรุปได้ว่า ทักษะสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ประกอบด้วยทักษะ ต่างๆ ท่ีเริ่มจาก การคิดวิเคราะห์และการคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การส่ือสาร การ ทำงานเป็นทีม การรู้เท่าทันเทคโนโลยีดิจิตอล การตัดสินใจ การมุ่งผลสัมฤทธ์ิ การมีมนุษย สมั พนั ธ์ และคณุ ธรรมจริยธรรม 1.3 บทบาทของผู้บริหารสถานศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 บทบาท เป็นแบบแผนพฤตกิ รรม ทแ่ี สดงออกตามตำแหน่งหน้าท่ี เป็นไปตามความ คาดหวังของสงั คม บทบาทของบุคคลจึงมีความแตกต่างกันไปตามวฒั นธรรม สำหรบั บทบาท ของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นหน้าท่ีในการบริหารสถานศึกษา ให้บรรลุเป้าหมายตาม ตำแหน่งที่ดำรงอยู่ มีนักวิชาการบางท่านให้ทัศนะด้านบทบาทยุคใหม่ที่ผู้บริหารสถานศึกษา ควรนำไปใชป้ ระโยชน์ ดงั น้ี
776 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) The Wallace Foundation (2012) เป็นมูลนิธิให้ทุนสนับสนุนโครงการส่งเสริม ความเป็นผู้นำการศึกษาใน 24 รัฐของประเทศสหรัฐอเมริกา เสนอแนวทางสำหรับผู้บริหาร สถานศึกษาทีม่ ปี ระสิทธผิ ลควรนำไปใช้มี 5 ประการ ดังน้ี 1) การสร้างวิสัยทัศน์ สู่ความสำเร็จทางวิชาการสำหรับนักเรียน (Shaping a vision of academic success for all students) การนำวิสัยทัศน์แปลงไปสู่การปฏิบัติก็ เพ่ือให้เกิดความเข้าใจ และมีส่วนร่วมของบุคลากร ในการมุ่งผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของ ผู้เรยี นใหบ้ รรลผุ ลตามเป้าหมาย 2) สร้างบ รรย าก าศ ที่ อ บ อุ่น เพ่ื อ ก ารศึ ก ษ า (Creating a climate hospitable to education) ผู้บริหารต้องจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับผู้เรียน และ บุคคลภายนอก เพราะโรงเรียนเป็นศูนย์กลางทางการเรียนและกิจกรรม บรรยากาศมี ความสำคญั ทีเ่ อื้อตอ่ การเรยี นการสอน และการเรียนรู้ของผูเ้ รียน 3) การปลูกฝังภาวะผู้นำให้กับบุคคลอื่น (Cultivating leadership in others) ครูในโรงเรียนถือว่าทรัพยากรสำคัญในการบริหาร การสร้างให้ครูเป็นผู้นำทาง วชิ าการ จะสง่ ผลใหโ้ รงเรียนมีการพัฒนาไปสู่คณุ ภาพและมมี าตรฐานทางการศกึ ษา 4) การปรับปรุงการเรียนการสอน (Improving instruction) ผู้บริหารที่มี ประสิทธิผลจะม่งุ ทำงานด้วยความเอาใจใส่ ในการปรับปรุงผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น โดยมงุ่ ถึง คณุ ภาพการสอนและให้บรรลผุ ลสำเร็จตามความคาดหวงั ของผูเ้ รียน และผ้ปู กครอง 5) การบริหารจัดการกับคน ข้อมูล และกระบวนการ (Managing people, data and processes) ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญกับบุคลากรท้ังครูบุคลากร และผู้เรียน รวมทั้งการนำข้อมูลมาใช้ประโยชน์ต่อการพัฒนาสารสนเทศ เพื่อการบริหารและ กระบวนการการบรหิ าร Derick Meado (2016) ผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน ได้เขียนบทความเร่ือง The Role of the Principal in Schools ได้สรุป บทบาทหน้าท่ีในโรงเรียนของผบู้ ริหารสถานศึกษายุค ใหม่ท่ีสำคญั 9 บทบาท ดงั น้ี 1) บทบาทในฐานะผู้นำ (Role as school leader) ประกอบด้วย การเป็น ผ้นู ำที่มีประสิทธภิ าพ (Being an effective leader) โครงการจัดหาทนุ อุปถมั ภ์โรงเรียน การ พฒั นาการประเมินผลครผู สู้ อน และนโยบายการพฒั นาโรงเรียน เป็นต้น
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 777 2) บทบาทในฐานะผู้รักษาระเบียบวินัยของผู้เรียน (Role in Student Discipline) งานส่วนใหญ่ของผู้บริหาร การรักษาระเบียบวินัยของนักเรียน ที่ผู้บริหารต้อง สร้างความเขา้ ใจให้แก่ครูทกุ คน และต้องเปา้ หมาย ของการนำไปใชก้ บั ผ้เู รียน จะทำให้งานงา่ ยขึน้ 3) บทบาทในฐานะผู้ประเมิน (Role as a Teacher Evaluator) ผู้บริหาร ส่วนใหญ่ต้องมีความรับผิดชอบในการประเมินผลงานของครู โรงเรียนที่มีประสิทธิภาพ จะต้องมีครูผู้สอนท่ีมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารต้องจัดให้มีการประเมินตามกระบวนการด้าน คุณภาพครูอย่างมีความเป็นธรรม และต้องช้ีให้เห็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของการปฏิบัติ หน้าที่ของครู 4) บทบาทในการพัฒนา การดำเนินงาน และการประเมินโครงการ (Role in Developing, Implementing, and Evaluating Programs) เป็นหนึ่งบทบาทท่ีผบู้ ริหาร โรงเรียนจะต้องหาวิธีการพัฒนาประสบการณ์ของผู้เรียนเพ่ิมขึ้น โครงการพัฒนาท่ีมี ประสิทธิภาพต้องครอบคลุมพ้ืนที่ เพ่ือเป็นแนวทางเดียวกันและต้องมีการประเมินทุกปี และ พัฒนาเสมอถอื ว่าเปน็ สิง่ จาเป็น 5) บทบาทในการทบทวนนโยบายและกระบวนการภายใน (role in Reviewing Policies and Procedures) เอ ก ส ารส ำคั ญ อ ย่ างห น่ึ งข อ งก ารบ ริห าร (governing) โรงเรียน คือ คู่มือนักเรียน (Student Handbook) ถือเป็นตัวชี้วัดการพัฒนา คุณภาพการศึกษาของนักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถทำให้งานของ ผู้บริหารง่ายข้ึน ให้นักเรียน ครู และผู้ปกครองได้รู้นโยบายและขั้นตอนการทำงานประสบ ผลสำเรจ็ ได้ 6) บทบาทในการกำหนดตาราง (Role in Schedule Setting) การสร้าง ตารางต้องทำทุกๆ ปีซง่ึ จะเป็นภาระงานที่ผู้บริหารต้องการสร้างขึน้ มาเอง ไดแ้ ก่ ตารางการตี ระฆังการเข้าเรยี น ตารางการปฏิบัตงิ าน ตารางการใช้หอ้ งปฏิบัตกิ ารคอมพวิ เตอร์ ตารางการ ใช้ห้องสมุด ฯลฯ ในทางตรงกันข้าม ผู้บริหารต้องตรวจสอบแต่ละตารางเหล่านั้น วา่ ไมท่ ำให้ บคุ ลากรแต่ละคนต้องมีตารางงานมากเกินในแตล่ ะปี 7) บทบาทในการจ้างครูใหม่ (Role in Hiring New Teachers) เป็นหน้าที่ สำคัญของผู้บริหารโรงเรียน ต้องจ้างหรอื รบั ครูและเจา้ หนา้ ทเี่ ข้ามาใหมใ่ นการทำงานไดอ้ ยา่ ง ถกู ตอ้ ง ด้วยกระบวนการสมั ภาษณห์ รืออบรมจึงเปน็ สิ่งสำคัญอยา่ งยงิ่
778 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 8) บทบาทในการปกครองและชุมชนสัมพันธ์ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพ่อแม่ และสมาชิกในชุมชนสามารถเป็นประโยชน์ในความหลากหลายของพื้นที่ การสร้าง ความสัมพันธ์กับบุคคลและธุรกิจในชุมชนสามารถช่วยโรงเรียนได้เป็นอย่างมาก รวมถึง ประโยชน์ทไี่ ดร้ บั บริจาคเวลาส่วนตวั และการสนับสนนุ ในเชงิ บวกโดยรวม 9) บทบาทในการมอบหมายงาน (Delegating) ผู้นำหลายคนโดยธรรมชาติ มีงานหนักอยู่ในมือที่ต้องส่ังการลงไป ผู้บริหารต้องมีการมอบหมายงานบางอย่างซ่ึงเป็น สงิ่ จำเป็น โดยมอบหมายให้กับบุคคลท่มี ีความรู้ และไว้วางใจ ผู้บริหารโรงเรียนท่ีมีประสิทธิภาพไม่มีเวลามากพอ ที่จะทำทุกอย่างท่ีต้องการ ทำด้วยตวั เอง จงึ ต้องพง่ึ พาคนอืน่ ๆ มาชว่ ยทำ เพ่ือให้ผลงานบรรลุผลสำเร็จ 1.4 คณุ ธรรมและจริยธรรมในศตวรรษท่ี 21 คุณธรรมสำหรับผู้บริหารสถานศึกษา แม้จะไม่มีกำหนดให้ปฏิบัติไว้อย่างชัดเจน แต่ต้องประยุกต์จากหลักคุณธรรม จริยธรรมตามแนวทางศาสนา ระเบียบกฎหมายคำสั่ง และจรรยาบรรณจากการศึกษาแนวคิดด้านคุณธรรมและจริยธรรม สำหรับผู้บริหาร สถานศึกษาของนักวิชาการกล่าวสอดคล้องกันว่า ผลกระทบหลายด้านของผู้บริหาร สถานศึกษา ไม่ได้เก่ียวข้องกับปัญหาคุณธรรมจริยธรรมโดยตรง แต่วัตถุประสงค์ด้าน คุณธรรมจริยธรรมต้องเป็นกลไกขับเคล่ือน (driver) ศักยภาพของผู้นำ ให้สามารถบริหาร จัดการบรรลผุ ลสำเรจ็ ได้ Richard Gregory (2010) ไ ด้ เขี ย น บ ท ค ว า ม เรื่ อ ง Moral and Ethical Leadership in Administrator Preparation ได้นำเสนอ ควรมีการให้ความรู้ด้านคุณธรรม จริยธรรมกบั กลุม่ เตรียมเปน็ ผ้นู ำใหม่ (pre-service) และผู้นำท่ปี ฏบิ ัติงานแลว้ ต้องมแี นวทาง การเตรียม ดังนี้ 1) ต้องสอนและฝึกปฏิบัติด้านคุณธรรมจริยธรรม 2) การฝึกปฏิบัติและ ตัดสินใจเชิงคุณธรรมจริยธรรมและ 3 ) มีรูปแบบการการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมท้ังทาง ทฤษฎี การปฏิบัติ โดยเนน้ เนอ้ื หา และการลงปฏบิ ัติภาคสนามให้กับ กลุม่ ผบู้ รหิ ารหนา้ ใหม่ Hester & Killian (2011) กล่าวว่า ผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะตัวแทนคุณธรรม จริยธรรม (moral agency) ต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนทางคุณธรรมจริยธรรม ต้องให้ความ สนใจกับบุคลากรในโรงเรียนในการพัฒนาตนเอง ต้องมีความรับผิดชอบด้านกฎกติกาทาง คุณธรรมจริยธรรม มีข้อผูกพันกับการดูแลเอาใจใส่ทางคุณธรรมจริยธรรม และให้บุคลากรมี ความรู้สกึ เอาใจใสด่ ้านคณุ ธรรมจริยธรรม
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 779 ผบู้ ริหารสถานศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 ตามหลกั สปั ปุรสิ ธรรม 7 การเตรียมความพร้อมสำหรับการเป็นผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ตาม หลักสัปปุริสธรรม7 ของสัตบุรุษที่ทำให้เป็นคนดีที่สมบูรณ์ เป็นธรรมท่ีเหมาะสมต่อการเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา พร้อมด้วยคุณธรรมจริยธรรม ที่เป็นเหตุให้ผู้ปฏิบัติเป็นคนดี เป็นผู้ควร แก่การยกย่องนับถือ เป็นคนท่ีสามารถให้การแนะนำในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องด้วยความ ปรารถนาดี เป็นธรรมที่ทำให้คนเป็นสัตบุรุษ เป็นตัวช้ีวัดให้ประพฤติปฏิบัติดี ซ่ึงสามารถ นำมาประยุกต์ใช้และถือปฏิบัติเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้อ่ืน ให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมอันดี งาม เหมาะสำหรับเป็นธรรมะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย หลกั ธรรม 7 ประการ ดงั นี้ 1. ธัมมัญญุตา เป็นการผรู้ ู้จักเหตุ ร้กู ฎเกณฑ์แห่งเหตุผล และรูห้ ลักการทีจ่ ะทำให้ เกิดผล เมื่อเห็นเหตุการณ์อะไรก็ตาม ก็หย่ังรู้ได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรและผลจากการ คาดคะเนไว้จะเป็นอย่างไร ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล ก่อให้เกิดการ เปล่ียนแปลงของเน้ือหาสาระตำราการเรียนการสอน ควบคู่ไปกับการพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ท่ี จำเป็นในศตวรรษท่ี 21 การเป็นผู้บริหารสถานศึกษาน้ัน ต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงเหตุ ปัจจัยจากทฤษฎี หลักการ และนโยบายของการจัดการศึกษาเป็นอย่างดี รู้จักวิเคราะห์หา เหตุของสถานการณ์และมีความรับผิดชอบในขณะปฏิบัติงาน ร่วมการวางแผนการทำงาน อย่างมีกลยุทธ์ สามารถวิเคราะห์ SWOT รวมถึงการคัดสรรทางเลือกจากหลาย ๆ ทางเลือก อย่างแยบคาย SWOT เป็นกระบวนการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอกของ ณ เวลาปัจจุบัน เป็นเครื่องมอื ที่ช่วยให้ผู้บรหิ ารสถานศึกษา สามารถกำหนดจุดแข็งและจุดอ่อน จากสภาพแวดล้อมภายใน โอกาสและอุปสรรค์จากสภาพแวดล้อมภายนอก ท่ีมีผลต่อการ ดำเนนิ งานของสถานศึกษาในอนาคต เพื่อมากำหนดเป็นกลยุทธท์ ่ีเป็นหลักการ กฎเกณฑแ์ ห่ง เหตุผลท่ีเหมาะสมตอ่ ไป เพอื่ นำมาใช้ในสถานศึกษา 2. อัตถัญญุตา การเป็นผู้รู้จักผล สู่มรรคผลท่ีจะเกิดข้ึนสืบเนื่องจากการกระทำ ก่อให้เกิดประโยชน์เกิดผลได้จริง ผู้บริหารสถานศึกษาต้องรู้จักผลของการบริหารจัดการ ผลผลิตของการบริหารจัดการคือผู้เรียน ผู้บรหิ ารสถานศึกษารูว้ ่า เมื่อเลือกกลยุทธ์นี้แล้วจะ เกิดผลดีหรือผลเสียอย่างไร ต้องมีการไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนที่จะลงมือปฏิบัติ การนำ Balanced Scorecard (BSC) มาเป็นเครื่องมือการนำกลยุทธ์ไปสู่การปฏิบัติ โดยอาศัยการ วดั หรอื ประเมนิ (Measurement) ทีจ่ ะช่วยทำให้สถานศึกษาเกิดความสอดคล้องเป็นอันหน่ึง
780 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) อันเดียวกัน และมุ่งเน้นในสิ่งที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จ Balanced Scorecard ประกอบด้วยมุมมอง (Perspectives) 4 ด้าน คือ มุมมองด้านการเงิน (Financial Perspective) มุมมองด้านลูกค้า (Customer Perspective) มุมมองด้านกระบวนการ ภายใน (Internal Process Perspective) และมุมมองด้านการเรียนรู้และการพัฒนา (Learning and Growth Perspective) มุมมองทุกด้านจะมีวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ขององค์กร เป็นศูนย์กลาง ในแต่ละด้านประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ วตั ถปุ ระสงค์ (Objective) คือ ส่ิงท่ีองค์กรมุ่งหวังหรือต้องการท่ีจะบรรลุในแต่ละด้าน 2. ตัวชี้วัด (Measures หรือ Key Performance Indicators) คือ ตัวช้ีวัดของวัตถุประสงค์ในแต่ละด้าน และตัวช้ีวัดเหล่าน้ีจะ เป็นเครื่องมือท่ีใช้ในการวัดว่าองค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ในแต่ละด้านหรือไม่ 3. เป้าหมาย (Target) คือ เป้าหมายหรือตัวเลขท่ีองค์กรต้องการจะบรรลุในตัวช้ีวัดแต่ละประการ 4. แผนงานโครงการ (Initiatives) ท่ีองคก์ รจะจัดทำเพอ่ื บรรลเุ ป้าหมาย 3. อัตตัญญุตา การเป็นผู้รู้จักตน กำลังความรู้ ความสามารถ ความถนัด และ คณุ ธรรม นำมาซ่งึ ความสามารถประเมนิ ตนเองได้ในหลกั ธรรม ศรัทธา (ชอบ ถนัด รักในงาน อะไร) ศีล (วินัย), สุตะ (ความรู้), จาคะ (ความเสียสละ), ปัญญา (กระบวนการในการพัฒนา ความรู้ที่มีอยู่) แล้วประพฤติให้เหมาะสม และรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุงต่อไป ก่อนจะมาเป็น ผู้บริหารสถานศึกษานั้น ต้องรู้จักตนว่า 1. มีใบประกอบวิชาชพี ผู้บรหิ ารสถานศึกษา 2. มีวุฒิ ทางการบริหารการศึกษา/ปรญิ ญาโท/ปรญิ ญาเอก ทางการบรหิ ารการศึกษา 3. มีวุฒิ/ความรู้ และความเข้าใจทางด้านหลักสูตรและการเรยี นการสอน 4. มีความรู้และความเข้าใจทางด้าน ICT อย่างดีเย่ียม 5. มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษในระดับท่ีสามารถสื่อสารแบบสากลได้ 6. มี ความรทู้ างด้านกฎ ระเบียบขอ้ งบังคบั ตาม พรบ. สถานศึกษา และ 7.ประเมินไดว้ า่ บริบทของ สถานศึกษาที่บริหารจัดการอยู่น้ัน มีศักยภาพมากน้อยเพียงใดท้ัง ด้านวิชาการ ด้าน งบประมาณ ด้านบุคลากร และด้านบริหารงานท่ัวไป พร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพท่ีมีอยู่ไปสู่ วสิ ัยทัศนแ์ ละพันธกิจ 4. มัตตัญญุตา การเป็นผู้รู้จักประมาณ ผู้บริหารสถานศึกษาต้องรู้จักประมาณ ศักยภาพของตนเองในการบริหารจัดการ ประมาณทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ประมาณ ศักยภาพของสถานศึกษา ประมาณศักยภาพที่มีในตัวผู้เรียน มีการวางแผนการปฏิบัติงาน ระยะยาว ระยะปานกลางและระยะส้ัน รวมถึงการน้อมนำเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ ทางด้านการศึกษา เศรษฐกิจพอเพียง เป็นกรอบแนวคิดมุ่งให้ทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองได้
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 781 จนเกิดความยั่งยืน พอเพียงในการดำเนินชีวิตแบบทางสายกลาง ซ่ึงต้ังอยู่บนหลัก ความ พอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มกันที่ดี การพ่ึงพาตัวเองได้เป็นเพียงส่วนเร่ิมต้น ของการรู้จักประมาณ เม่ือทุกคนสามารถดูแลตัวเองและครอบครัวได้แล้ว ขั้นต่อไปสู่การ พัฒนา โดยเฉพาะด้านการศึกษาเป็นการรวมกลุ่มในสาขาวิชาชีพเดียวกัน เป็นการ แลกเปลี่ยนความรู้ให้ความช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน การแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ร่วมกันในของกลุ่มสถานศึกษาสู่การต่อยอดความรู้ รวมไปจนถึงการแบ่งปันความช่วยเหลือ คืนสูส่ ังคม อันเปน็ ประโยชน์เกดิ แกส่ ่วนรวม 5. กาลัญญุตา การเป็นผู้รู้จักกาล“เวลา”เป็นทรัพยากรที่มีค่าและมีความสำคัญ ต่อทุกคน ทั้งน้ีเพราะธรรมชาติของเวลามีลักษณะพิเศษคือ เป็นทรัพยากรที่มีจำกัด ใช้แล้ว หมดไปไม่สามารถซอื้ เพม่ิ ได้ ไม่ว่ารวยหรือจนไม่สามารถเก็บเอาไวใ้ ช้ได้เวลาผ่านไปเร่อื ยๆ ไม่ หวนย้อนกลับมาอีก ผู้บรหิ ารสถานศึกษาต้องเป็นตัวอย่างที่ดีด้านการรักษาเวลาตรงต่อเวลา ต้องทันโลกมีความคิดอย่างเป็นระบบ ทำงานกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ มีความยืดหยุ่นและ การปรับตัวเพ่ือพร้อมการเปล่ียนแปลง ผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ต้องเป็นบุคคล ท่ีมคี วามก้าวหนา้ ในชีวติ ตอ้ งรู้จักการแบง่ เวลา ไดแ้ ก่ เวลาสำหรบั “บริหารงานของตนเอง” : เวลาท่ีใช้ เพ่ือจัดการงาน โดยการวางแผน การกำหนดกลยุทธ์การทำงาน และ การคิด วิเคราะห์ปรับปรุงระบบการทำงาน เวลาสำหรับ“บริหาร/พัฒนาลูกน้อง” : เวลาท่ีใช้ เพ่ือ พัฒนาความสามารถของลูกน้อง โดยการสอนงาน การเป็นพี่เลี้ยง การอบรมลูกน้องในขณะ ทำงาน เวลาสำหรับ “ชีวิตส่วนตัว” : เวลาท่ีใช้เพื่ออยู่กับ ตนเอง หรือทำกิจกรรมท่ีสบายๆ ซึ่งเป็นส่ิงที่ชอบและอยากที่จะทำ เวลาสำหรับ “ครอบครัว/คนท่ีรัก”: เวลาที่ใช้เพ่ือ อยู่กับ ครอบครัว/คนท่ีรัก โดยการพาไปเที่ยวนอกบ้าน หรือการหากิจกรรมที่ทำร่วมกัน และ รู้ว่า เวลาไหนควร เวลาไหนไม่ควรทำ อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง ด้วยการจัดลำดับ ความสำคัญของงาน รวมถงึ รจู้ กั ประมาณเวลาขณะทำสง่ิ ๆนนั้ ใหเ้ หมาะสม 6. ปริสัญญุตา การเป็นผู้รู้ชุมชน รู้กิริยาที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้นๆว่า ชุมชนน้ี เมื่อเข้าไปหาจะต้องทำกิริยาอย่างน้ี จะต้องพูดอย่างนี้ เป็นการรู้เขารู้เรา รบร้อยไร้พ่าย เป็น สิ่งสำคัญกว่าส่ิงอ่ืนก็ว่าได้ ผู้บริหารในยุคศตวรรษท่ี 21 ต้องรู้จักและเข้าถึงวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เร่ิมตั้งแต่จะหานักเรียนท่ีไหน จะจูงใจ อย่างไรให้มาเรียนในสถานศึกษา ตอ้ งมีการพัฒนาหลักสูตรที่ตรงต่อความต้องการของผู้เรียน อุปกรณ์การเรียนที่มีเทคโนโลยีทันสมัย มีครูผู้สอนท่ีดูแลศิษย์และสร้างความไว้วางใจให้กับ
782 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) ผู้ปกครองของนักเรียน มีความสัมพันธ์ท่ีดีกับสถานประกอบการที่ให้นักเรียนไปฝึกงาน เม่ือ นักเรยี นจบแล้วเป็นแรงงานท่ีต้องการของสังคม รวมถึงรู้จักชุมชนรอบสถานศึกษาเหล่านั้นมี ความต้องการอะไร มีความเห็นหรือข้อตกลงอย่างไร ย่อมทำให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้ อย่างมีความสุข และเกดิ ความรว่ มมอื จากชุมชนอย่างแทจ้ รงิ 7. ปคุ คลัญญุตา การเป็นผู้รูจ้ ัก รู้ที่จะปฏิบตั ิต่อบคุ คลนั้นๆใหเ้ กิดการยอมรับจะใช้ ตัวแบบการจูงใจ ชนิดไหน ผู้บริหารสถานศึกษาต้องรู้จักและเข้าใจถึงความแตกต่างทางพหุ วัฒนธรรมของครู บุคลากรทางการศึกษา ผู้ปกครองและนักเรียนอย่างดีเย่ียม ต้องใช้ท้ัง ศาสตร์และศิลป์ในการบริหารจัดการ พร้อมทั้งมีปิยะวาจาสิทธ์ิเป็นอาวุธ เพ่ือให้เกิด ประโยชนส์ ูงสดุ ต่อการปฏบิ ัตงิ านในสถานศึกษา บทสรปุ ผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 จะต้องมีความรู้เชิงทฤษฎี ความสามารถ มี ทักษะ และประสบการณ์ทางการบริหารการศึกษา ท่ีทันสมัยเหมาะสมกับการเปล่ียนแปลง โลกยุคใหม่ 4 ด้านดังน้ี 1. คุณลักษณะของผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย การมี วิสัยทัศน์ ความรู้ทางวิชาการ นักประกอบการ นักริเริ่มสร้างสรรค์และประกอบการ ความสามารถด้านเทคโนโลยี นักสร้างพลังและแรงบันดาลใจเชิงบวก ตัวแบบท่ีดี และการ สรา้ งชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ 2. ทักษะสำหรับผู้บริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วยทักษะต่างๆ ดังนี้ การคิดวิเคราะห์และการคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การส่ือสาร การทำงานเป็นทีม การรูเ้ ทา่ ทันเทคโนโลยีดจิ ิตอล การมุง่ ผลสัมฤทธ์ิ และการมมี นุษยสัมพันธ์ร่วมกับผอู้ ่ืน 3. บทบาทหน้าท่ีของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคใหม่ ประกอบด้วย บทบาทใน ฐานะผู้นำทางวิชาการบทบาทในฐานะผู้รักษาระเบียบวินัย บทบาทในฐานะผู้ประเมิน บทบาทในการทบทวนนโยบาย บทบาทในการการบริหารหลักสูตรและการสอน บทบาทใน การกำหนดตารางการปฏิบัติงาน บทบาทในการสร้างบรรยากาศและวัฒนธรรมการเรียนรู้ บทบาทในการส่งเสรมิ การพัฒนาครูและบุคลากร บทบาทในการประชาสัมพันธ์ บาทบาทใน การประสานสัมพนั ธ์กบั ชุมชน และบทบาทในการปฏิบตั ติ นเปน็ แบบอยา่ งท่ีดี
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 783 4. คุณธรรมและจริยธรรมในศตวรรษท่ี 21 ผู้บริหารสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสม กับบริบทการบริหารจัดการ ซึ่งเป็นคุณธรรมท่ีมีอยู่ในตัวของผู้บริหาร การนำหลักธรรมมา ปฏิบัติจนเป็นอุปนิสัยติดตัวประกอบด้วย สัปปุริสธรรม 7 ประการ เป็นหลักธรรมสำหรับสัต ตบุรุษ ได้แก่ 1) ธัมมัญญุตา คือ การรู้จักเหตุ 2) อัตถุญญุตา คือ การรู้จักผล 3) อัตตัญญุตา คือ การรู้จักตนเอง 4) มัตตัญญุตา คือ การรู้จักพอประมาณ 5) กาลัญญุตา คือ การรู้จัก กาลเวลา 6) ปรสิ ญั ญตุ า คอื การรูจ้ กั ชมุ ชน และ 7) บุคลัญญุตา คอื การรู้จักบุคคล เอกสารอ้างอิง ผสุ เดชะรินทร์.(2546). Balanced Scorecard:รู้ลึกในการปฏิบตั ิ, พิมพ์ครัง้ ที่ 3, กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. พระธรรมกิตตวิ งศ์ (ทองดี สขุ เตโช ). (2544). ภาษาธรรม. กรุงเทพฯ :เลี่ยงเซียง. พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์และพเยาว์ ยินดีสุข. (2557). การจัดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), (2546), พจนานุกรมพทุ ธศาสตร์ ฉบบั ประมวลธรรม, พิมพค์ รง้ั ท่ี 12, กรุงเทพฯ:โรงพมิ พ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทาลัย. วรพจน์ วงศก์ จิ ร่งุ เรืองและอธิป จิตตฤกษ์ แปล จากเร่อื ง 21st Century Skills: Rethinking How Students Learn โดย James Bellanca และBrandt สำนกั พมิ พ์ Open worlds. ตุลาคม 2554 สำนกั งานคณะกรรมการกฤษฎีกา. (2546). ราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม 120 /ตอนที่ 52 ก.: 11 ประกอบ คปุ รตั น์. ( 2552). ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษาชอ่ื และความหมาย . แหล่งสืบคน้ :http://pracob.blogspot.com/2009/11/blog-post_1389.html Avis Gaze (2016). Preparing School Leaders: 21st Century Skills. แหล่งสบื ค้น: http://www.principals.ca/documents/International Symposium White Paper - OPC Derick Meado (2016). The Role of the Principal in Schools. แหล่งสืบคน้ :http://teaching.about.com/od/admin/tp/Role-Of-The-Principal.htm Hester, J.P. &Killian,D.R. (2011). The leader as moral agent: Praise, blame, and the artificial person. The Journal of Values Based Leadership, 4 (1), 93–104.
784 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020)
คำแนะนำสำหรบั ผู้นพิ นธ์บทความเพ่อื ตีพมิ พ์ วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตอบุ ลราชธานี วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ เป็นวารสารวิชาการ (ปีละ 3 ฉบับ ฉบับท่ี 1 มกราคม- เมษายน, ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม, ฉบบั ท่ี 3 กันยายน-ธนั วาคม) มวี ัตถปุ ระสงค์ เพ่ือส่งเสริม และสนับสนุนให้เผยแพร่ผลงานทางด้านวิชาการและงานวิจัยของคณาจารย์ นักวิชาการ นักวิจัย นิสิตนักศึกษาและบุคคลทั่วไป ได้มีโอกาสเผยแพร่ผลงานทางวิชาการและผลงานวิจัยทาง สังคมศาสตร์และแขนงวิชาที่เกี่ยวข้อง อันได้แก่ 1) ด้านพระพุทธศาสนาและปรัชญา 2) ด้าน รัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ 3) ด้านการศึกษา และ4) สหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และ สังคมศาสตร์ ตลอดจนบทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาใหแ้ ก่สังคม อนั เป็นประโยชน์แก่การ ตอ่ ยอดองค์ความรู้ ในการพัฒนาชุมชนและสังคม ตลอดจนประเทศชาติ 1. การสง่ ต้นฉบับบทความ ผู้เขียนสง่ ตน้ ฉบับทพี่ ิมพต์ ามขอ้ กำหนดของรปู แบบวารสารจำนวน 1 ชุด พร้อมแผ่น C.D. ในรปู แบบไฟล์ word ส่งดว้ ยตนเองหรอื ทางไปรษณยี ล์ งทะเบยี นมาทก่ี องบรรณาธิการ วารสาร มจร.อุบลปริทรรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอุบลราชธานี ตำบลกระโสบ อำเภอเมอื ง จังหวดั อบุ ลราชธานี 34000 โทรศพั ท์ 081-7908464,088-9454565 E-mail : [email protected] เว็บไซต์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou
786 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 2. รปู แบบบทความและการพมิ พ์เน้อื หา 2.1 ขนาดของตน้ ฉบบั พิมพ์หน้าเดียวจัดพิมพ์เป็น 1 คอลัมน์ บนกระดาษขนาด A4 เว้นระยะห่างระหว่าง ขอบกระดาษด้านบน 3.5 เซนติเมตรและด้านล่าง 2.5 เซนติเมตร ด้านซ้าย 2.5 เซนติเมตร ด้านขวา 2.5 เซนติเมตร การพิมพ์เว้นวรรคข้อความ พิมพ์เว้นวรรคตัวเลข ท้ังภาษาไทยและ ภาษาอังกฤษ ใหเ้ ว้นวรรค 1 ตัวอกั ษร ความยาวไมน่ ้อยกวา่ 8 หน้า แต่ไมเ่ กิน 20 หน้า 3. รูปแบบอักษรและการจดั วางตำแหนง่ เนื้อหาในบทความมี 1 คอลัมน์โดยชื่อเร่ืองรายชื่อคณะผู้วิจัยสถานที่ติดต่อและบทคัดย่อ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษจะอยู่ในส่วนแรก ส่วนเนื้อหาของบทความวิจัย จะพิมพ์ต่อเนื่อง ต่อไป โดยเว้นวรรค 1 บรรทัดก่อนพิมพ์ย่อหน้าแรกและย่อหน้าเท่ากับ 1.25 ซม. หรือ 1 Tab ใช้ รูปแบบอักษรTH Sarabun PSK ขนาด 16 พิมพ์ดว้ ยโปรแกรม Microsoft Word โดยรูปแบบการ จัดวางตำแหนง่ ดงั นี้ 3.1 ชื่อเรื่อง ใชอ้ กั ษรขนาด 18 (ตวั หนา) อย่ตู รงก่งึ กลางหนา้ กระดาษ 3.2 ช่ือผ้เู ขียน ให้ระบุเฉพาะชอื่ และนามสกุลโดยไม่ตอ้ งมีคำนำหน้า ใชอ้ กั ษรขนาด 16 (ตวั หนา) อยู่ตรงกงึ่ กลางหนา้ กระดาษ 3.3 สงั กัด ใชอ้ กั ษรขนาด 16 (ตัวธรรมดา) อย่ตู รงกึง่ กลางหนา้ กระดาษ ชื่อเรอื่ ง ภาษาอังกฤษ (Title) (18 pt) 1Name, 2Name 2, and 3Name (16 pt) Affiliation (14 pt) Abstract (18) (16) (350)................................................................................................................................................................................ ........................................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................................... Keywords: 1; 2; 3 4. รายละเอยี ดการเรยี งลำดับเนือ้ หา 4.1 การเรียงเนอื้ หาบทความวจิ ัย
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 787 4.1.1บทคัดยอ่ (Abstract) ประกอบด้วย ช่ือเร่ือง ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ช่ือ ผู้เขียนผลงาน ให้บทคัดย่อภาษาไทยข้ึนก่อนบทคัดย่อภาษาอังกฤษ ให้ใช้อักษรภาษาอังกฤษตัว ใหญ่เฉพาะตัวแรก ตัวต่อไปพิมพ์เล็ก เน้ือความสรุปสาระสำคัญของเร่ือง วัตถุประสงค์ วธิ ดี ำเนินการ ผลการวิจัยและผลสรุป มีความยาวไม่เกนิ 500 คำ ให้เขยี นในรูปแบบเรียงความ จบ ในยอ่ หน้าเดยี ว 4.1.2 คำสำคัญ (Keywords)ให้พิมพ์ต่อจากส่วนท้ายของบทคัดย่อทั้งภาษาไทย และภาษาองั กฤษ ด้วยอักษรตัวหนาเฉพาะคำสำคญั 4.1.3 เนอ้ื หา (Text) การพิมพ์เน้อื หาไม่ต้องเว้นบรรทัด ในแตล่ ะยอ่ หน้าให้ยอ่ หน้า 1.25 เซนตเิ มตร และใชต้ วั อกั ษรขนาด 16 ประกอบดว้ ย 1) บทนำ (Introduction) บอกความสำคัญหรือที่มาของปัญหาที่นำไปสู่การ ศกึ ษาวิจัย 2) วตั ถปุ ระสงค์ (Objectives) ใหช้ ีแ้ จงถึงเปา้ หมายของการศกึ ษาวจิ ัย 3) สมมตฐิ าน (Hypotheses) (ถา้ ม)ี 4) คำถามในการวจิ ยั (Research Questions) (ถา้ มี) 5) วิธีดำเนินการวิจัย (Methodology) หรืออุปกรณ์วิธีการดำเนินการวิจัย ประกอบด้วย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง (Population and Samples) เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย (Research Instruments) และวธิ ีดำเนินการวิจัย (Procedure) รวมทัง้ สถิตทิ ีน่ ำมาวิเคราะห์ขอ้ มลู 4.1.4 ผลการวิจัย (Results) เป็นการเสนอสิ่งที่ได้จากการวิจัยเป็นลำดับ อาจ แสดงตารางกราฟ แผนภาพประกอบอธิบาย ทั้งน้ีถ้าแสดงด้วยตารางควรเป็นตารางแบบไม่มีเส้น ขอบตารางด้านซ้ายและขวา หัวตารางธรรมดา ไม่มีสี ตารางควรมีเฉพาะที่จำเป็น ไม่ควรมีเกิน 5 ตาราง สำหรับรูปภาพประกอบควรเป็นรูปขาว-ดำ ท่ีชัดเจนและมีคำบรรยายใต้รูป กรณีที่จำเป็น อาจใชภ้ าพสีกไ็ ด้ 4.1.5 อภิปรายผล (Conclusion & Discussion) เป็นการสรุปผลที่ได้จากการ วจิ ัย ควรมกี ารอภปิ รายผลการวิจัยวา่ เป็นไปตามสมมตฐิ านที่ตัง้ ไว้หรือไม่เพยี งใดและควรอา้ งทฤษฎี หรือเปรียบเทียบการทดลองของผู้อ่ืนท่ีเกี่ยวข้องประกอบด้วย เพ่ือให้มีความเข้าใจหรือเกิดความรู้ ใหม่ที่เก่ยี วข้องกับงานวิจัยนน้ั รวมทั้งขอ้ เสนอแนะความคิดเหน็ ใหม่ๆปัญหาและอุปสรรคตา่ งๆที่ได้ จากการศกึ ษาคร้ังน้ี เพื่อเป็นแนวทางทจ่ี ะนำไปประยกุ ต์ใหเ้ กดิ ประโยชนด์ ้วย 4.1.6 ข้อเสนอแนะ (Suggestion) ข้อเสนอแนะอาจจะกล่าวถึงเป็นสิ่งที่งานวิจัย ยงั ขาดหรือบง่ บอกวา่ งานวจิ ยั สามารถตอ่ ยอดได้ในทศิ ทางใด (อาจมีหรือไมม่ กี ไ็ ด้)
788 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 4.1.7 องค์ความรู้ท่ีได้จากการศึกษา เป็นการเสนอองค์ความรู้ท่ีได้จากการศึกษา คน้ ควา้ ท่ีเกดิ จากการคน้ พบองคค์ วามรใู้ หม่ๆจากงานวิจัย 4.1.8 เอกสารอ้างอิง (References) เป็นการอ้างอิงเอกสารในเนื้อหาให้ใช้ใน ระบบ APA style ตามท่ีวารสารกำหนด 4.2 บทความทางวชิ าการ 1) บทคัดย่อ 2) ส่วนนำ 3) ส่วนเนื้อหา 4) สว่ นวิจารณ์ สรปุ องค์ความร้ใู หม่ 5) เอกสารอา้ งอิง 5. ระบบการอ้างอิง การใช้อ้างอิงแบบ APA style ดงั ตัวอย่าง กรณีผ้เู ขยี น 1 คน การมคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรมและวฒั นธรรมในการดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อน่ื ไดอ้ ย่างมี ความสุข (ปรชั ญา เวสารชั ช,์ 2550) Sarapak (2014) state that“ the principle of effective stress is imperfectly known and understood by many practicing engineers” กรณผี ู้เขยี นมากกว่า 3 คน (Nakchat, 2013 , Sarapak & Sumrandee, 2015: John et al3, 2015) 6. หลกั การเขียนบรรณานกุ รมและการอ้างองิ 6.1 ช่ือวารสารชอื่ หนงั สือใชต้ วั เอียงและไม่ใช้ช่ือยอ่ 6.2 ผู้แต่งมีชอื่ ภาอังกฤษให้เขียนชือ่ ผ้แู ต่งโดยข้นึ ต้นด้วยนามสกุลเต็ม ตามด้วยจลุ ภาค (,) และช่ือย่อ ตามด้วยจุลภาค (,) และช่อื ย่อตามดว้ ยมหพั ภาพ (.) 6.3 ชื่อผแู้ ต่งไทยขึ้นตน้ ด้วยช่อื ตวั ตามดว้ ยนามสกลุ 6.4 กรณผี ู้แต่งมากกวา่ หน่ึงคนให้เขยี นชอ่ื ผูแ้ ตง่ ทัง้ หมดทกุ คน คั่นระหว่างชื่อดว้ ยจลุ ภาคร (,) และใส่เครอ่ื งหมาย & (และ) ก่อนชอ่ื สุดท้าย 6.5 ถ้าไมม่ ีชื่อผู้แตง่ ให้ขึ้นต้นดว้ ยช่อื เร่ือง หรือชอื่ วารสาร หรอื ช่ือหนงั สอื 6.6 รายชื่อท่ีอ้างอิงท่ีมีท้ังเอกสารภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้นำข้อมูลภาษาไทยขึ้น ก่อน 6.7 บรรทัดที่สองและบรรทัดต่อๆ ไปของรายช่ือท่ีอ้างอิงของแต่ละรายการให้ย่อเข้ามา 1.25 เซนตเิ มตร แล้วเร่ิมตน้ พิมพ์ จนจบบรรทดั และบรรทัดตอ่ ไปใหท้ ำเหมอื นเดมิ
วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 789 6.8 การอ้างอิงช่ือผู้แต่งท่ีมีมากกว่า 2 คน ให้พิมพ์ชื่อทุกคน ยกเว้นผู้แต่งต้ังแต่ 6 คนข้ึน ไป จะพิมพช์ ่ือคนแรก และตอ่ คำว่าและคณะ หรอื และคนอนื่ ๆ 6.9 การอ้างอิงจากเว็บไซด์ให้ระบุวันเดือนปีท่ีพิมพ์ถ้าไม่ปรากฏให้อ้างวันที่ทำการสืบค้น และระบตุ วั URL ใหช้ ัดเจนถูกตอ้ ง เม่ือจบ URL address ห้ามใสจ่ ดุ (.) ตัวอยา่ งการอา้ งอิง การอ้างองิ จากบทความในวารสาร ผแู้ ตง่ .(ปีทีต่ พี ิมพ์)./ช่ือบทความ./ช่อื วารสาร,/ปที (ี่ ฉบบั ที่),/หนา้ . ชยั เสฏฐ์ พรหมศรี. (2559). การเปน็ ผนู้ ำทม่ี ีจรยิ ธรรม. นกั บรหิ าร, 26(3), 20-25. การอ้างอิงจากหนังสอื ผู้แต่ง. (ปที ่ีตีพิมพ์). /ชือ่ หนงั สอื . /สถานทีพ่ ิมพ์: โรงพมิ พ์ สำนกั พิมพ.์ จารวุ รรณ ธรรมวัตน์. (2538). วเิ คราะหภ์ ูมิปัญญาอสี าน. อบุ ลราชธานี: ศริ ิธรรมออฟเซ็ท. การอา้ งองิ จากเว็บไซต์ ผแู้ ต่ง./(ป)ี ./ช่อื เรอ่ื ง./สืบค้นเมอ่ื วัน/เดอื น,/ปี,/จาก/ชือ่ เว็บไซต์/:/URL Lynch, T. (1996). DS9 trials and terrible-actions review. Retrieved October 8, 1997, from : http://www.bradley.edu/campusorg/psiphi/DS9/ep/503r.html 7. ประเภทของบทความท่ลี งตีพมิ พ์ในวารสาร 7.1 บทความพิเศษ (Special article) ที่เสนอเน้ือหาความรู้วิชาการอย่างเข้มข้นและผ่าน การอ่านและพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาวิชาน้ันๆ มีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักวิชาการในวงการ วิชาการ/วิชาชพี 7.2 บทความทางวิชาการ (Academic articles) ของนักวชิ าการและบุคคลท่ัวไป ในการ นำเสนอองคค์ วามรู้ทางวิชาการของตนเอง 7.3 บทความวจิ ัย (Research article) ได้แก่ รายงานผลการวจิ ัยใหม่ท่ีเป็นประโยชน์ ซ่ึง ไม่เคยตีพมิ พใ์ นวารสารใดๆ มาก่อน 7.4 บทความปริทรรศน์ (Review article) เป็นบทความที่รวบรวมความรู้จากตำรา หนังสือและวารสารใหม่ หรือจากผลงานและประสบการณ์ของผู้นิพนธ์มาเรียบเรียงข้ึน โดยมีการ วิเคราะห์วิจารณเ์ ปรยี บเทียบกัน
790 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) 7.5 ปกิณกะ (Miscellany) ได้แก่บทความทบทวนความรู้ เรื่องแปลยอ่ ความจากวารสาร ตา่ งประเทศ การแสดงความคิดเหน็ วิจารณ์ แนะนำเครอื่ งมือใหม่ ตำราหรือหนังสือใหม่ท่ีนา่ สนใจ หรอื ขา่ วการประชุมท้งั ระดับชาตแิ ละระดับนานาชาติ 8. การตรวจสอบบทความและพสิ จู นอ์ กั ษร ผู้นิพนธ์ควรตะหนักถึงความสำคัญในการเตรียมบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบของ บทความท่วี ารสารกำหนด ตลอดจนตรวจสอบความถูกต้องแน่นอน พร้อมทั้งพิสูจนอ์ ักษรกอ่ นทจ่ี ะ สง่ บทความนใ้ี ห้กับบรรณาธิการ การเตรียมบทความให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสารจะทำให้ การพิจารณาตีพิมพ์มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ท่ีจะไม่ พจิ ารณาบทความจนกวา่ จะได้แก้ไขใหถ้ กู ตอ้ งตามขอ้ กำหนดของวารสารเสยี กอ่ น 9. การอ่านประเมินต้นฉบบั ต้นฉบับจะได้รับการอ่านประเมินโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer Review) จาก ภายนอกและภายในมหาวิทยาลัย ในสาขาน้ันๆไม่น้อยกว่า 2 ท่าน ต่อเรื่องและส่งผลการอ่าน ประเมินคนื ผู้เขียนใหเ้ พ่มิ เติม แกไ้ ขหรือพมิ พต์ น้ ฉบับใหม่แล้วแต่กรณี 10. การตดิ ต่อโฆษณาและการสมคั รสมาชกิ การตดิ ต่อโฆษณา การสัง่ ซ้ือและการสมคั รเปน็ สมาชิกวารสาร มจร.อบุ ลปริทรรศน์ กรุณา ติดต่อ“หัวหน้าบรรณาธิการวารสาร มจร.อุบลปริทรรศน์” มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรราช วิทยาลัย วิทยาเขตอบุ ลราชธานี ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 34000 โทรศัพท์ 080-724-7658 ดร.ไชยสิทธ์ิ อุดมโชคนามอ่อน, 088-945-4565 พระศิวเดชน์ ญาณวโร, [email protected], เว็บไซต์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ กำหนดออกวารสารปลี ะ 3 ฉบบั ดงั น้ี ฉบับท่ี 1 มกราคม-เมษายน ฉบับท่ี 2 พฤษภาคม-สงิ หาคม ฉบบั ที่ 3 กันยายน-ธนั วาคม
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 791 แบบฟอร์มส่งบทความเพ่อื ตพี มิ พ์ วารสาร มจร อบุ ลปรทิ รรศน์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตอบุ ลราชธานี 1. ช่อื ผู้สง่ บทความ ขา้ พเจา้ นาย/นาง/นางสาว/อื่นๆ .............................................................................................................................. ตำแหนง่ ทางวิชาการ…………………….…………หน่วยงานที่สงั กัด................................................................................... ทอ่ี ยู่ที่สามารถตดิ ต่อได้ บา้ นเลขที่...............หม.ู่ ......................ถนน............................................................................ ตำบล.......................................อำเภอ..........................................จงั หวดั .................................................................... รหัสไปรษณยี ์..............................โทรศัพท์มือถือ......................................................................................................... E-mail……………………………………………………………….…………………………………………………………………………………..… 2. บทความที่ส่งเพื่อตีพมิ พ์ หวั ขอ้ (ภาษาไทย)..................................................................................................................................................... หัวข้อ (ภาษาองั กฤษ)................................................................................................................................................ ขา้ พเจ้าส่งบทความนี้ เพื่อรับการพิจารณาตีพมิ พใ์ นวารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตอบุ ลราชธานี โดยไมส่ ่งเพือ่ ตพี ิมพ์ซำ้ ซอ้ นในวารสารอ่นื ๆ หรือสง่ เขา้ [email protected], เวบ็ ไซต์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou ลงช่อื ............................................................. (...........................................................) ผสู้ ง่ บทความ ............./......................./................ สำหรบั เจ้าหนา้ ท่ี 1. ไดร้ ับบทความ เมอ่ื วนั ที่.................../............................................../....................... เวลา.................................น. 2. สิง่ ทีแ่ นบมากับบทความ แผ่น CD บนั ทกึ บทความ จำนวน 1 แผน่ คา่ ธรรมเนยี มจำนวน............................บาท ตามใบเสร็จรบั เงินเล่มท่ี.............เลขท่ี............................. อื่นๆ….................................................................................................................................................... ลงชอ่ื ........................................................ (.......................................................)
792 | Journal of MCU Ubon Review,Vol.5 No.2 (May-August 2020) หลกั เกณฑ์ในการลงตพี ิมพต์ ้นฉบบั ของวารสาร มจร อบุ ลปรทิ รรศน์ มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตอุบลราชธานี 1. บทความหรืองานวิจยั ต้องไม่เคยตีพมิ พ์ในวารสารใดวารสารหน่ึงมาก่อน (Original Article) 2. บทความที่ผู้เขียนเสนอเพ่ือตีพิมพ์ในวารสาร ต้องไม่อยู่ระหว่างการเสนอชื่อเพื่อ พิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอ่นื ๆ 3. บทความที่ตีพิมพ์ต้องมีคุณภาพ โดยผ่านการพิจารณาตรวจสอบ คัดเลือก กลั่นกรองและประเมินคุณภาพจากกองบรรณาธิการวารสารและคณะกรรมการผู้ทรงคุณวฒุ ิ (Peer Review) ทงั้ ภายในและภายนอกไม่น้อยกวา่ 2 ท่าน 4. มีคณะกรรมการดำเนินงานในรปู แบบของกองบรรณาธิการ มีการตรวจสอบความ ถูกต้องของเน้ือหาและรูปแบบการพิมพ์วารสารที่มีคุณภาพ การดำเนินการเผยแพร่วารสาร ด้วยการพมิ พ์เผยแพร่ 5. กองบรรณาธิการเปิดรับบทความตลอดทั้งปีและจะพิจารณาตีพิมพ์ตามลำดับ โดยผู้เขียนบทความต้องส่งต้นฉบับไปยังกองบรรณาธิการพิจารณาล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดอื นกอ่ นทวี่ ารสารจะตพี มิ พ์หรอื เผยแพร่ในเว็บไชต์ สำนักงาน วารสาร มจร อุบลปรทิ รรศน์ มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วิทยาเขตอุบลราชธานี หมู่ 1 ถนนสมเด็จ ตำบลกระโสบ อำเภอเมอื ง จงั หวดั อุบลราชธานี 34000 โทร. 08-1790-8464, 08-0724-7658 E-mail: [email protected] เวบ็ ไซต์ https://so06.tci-thaijo.org/index.php/mcjou
วารสาร มจร อบุ ลปริทรรศน์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2563) | 793
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432
- 433
- 434
- 435
- 436
- 437
- 438
- 439
- 440
- 441
- 442
- 443
- 444
- 445
- 446
- 447
- 448
- 449
- 450
- 451
- 452
- 453
- 454
- 455
- 456
- 457
- 458
- 459
- 460
- 461
- 462
- 463
- 464
- 465
- 466
- 467
- 468
- 469
- 470
- 471
- 472
- 473
- 474
- 475
- 476
- 477
- 478
- 479
- 480
- 481
- 482
- 483
- 484
- 485
- 486
- 487
- 488
- 489
- 490
- 491
- 492
- 493
- 494
- 495
- 496
- 497
- 498
- 499
- 500
- 501
- 502
- 503
- 504
- 505
- 506
- 507
- 508
- 509
- 510
- 511
- 512
- 513
- 514
- 515
- 516
- 517
- 518
- 519
- 520
- 521
- 522
- 523
- 524
- 525
- 526
- 527
- 528
- 529
- 530
- 531
- 532
- 533
- 534
- 535
- 536
- 537
- 538
- 539
- 540
- 541
- 542
- 543
- 544
- 545
- 546
- 547
- 548
- 549
- 550
- 551
- 552
- 553
- 554
- 555
- 556
- 557
- 558
- 559
- 560
- 561
- 562
- 563
- 564
- 565
- 566
- 567
- 568
- 569
- 570
- 571
- 572
- 573
- 574
- 575
- 576
- 577
- 578
- 579
- 580
- 581
- 582
- 583
- 584
- 585
- 586
- 587
- 588
- 589
- 590
- 591
- 592
- 593
- 594
- 595
- 596
- 597
- 598
- 599
- 600
- 601
- 602
- 603
- 604
- 605
- 606
- 607
- 608
- 609
- 610
- 611
- 612
- 613
- 614
- 615
- 616
- 617
- 618
- 619
- 620
- 621
- 622
- 623
- 624
- 625
- 626
- 627
- 628
- 629
- 630
- 631
- 632
- 633
- 634
- 635
- 636
- 637
- 638
- 639
- 640
- 641
- 642
- 643
- 644
- 645
- 646
- 647
- 648
- 649
- 650
- 651
- 652
- 653
- 654
- 655
- 656
- 657
- 658
- 659
- 660
- 661
- 662
- 663
- 664
- 665
- 666
- 667
- 668
- 669
- 670
- 671
- 672
- 673
- 674
- 675
- 676
- 677
- 678
- 679
- 680
- 681
- 682
- 683
- 684
- 685
- 686
- 687
- 688
- 689
- 690
- 691
- 692
- 693
- 694
- 695
- 696
- 697
- 698
- 699
- 700
- 701
- 702
- 703
- 704
- 705
- 706
- 707
- 708
- 709
- 710
- 711
- 712
- 713
- 714
- 715
- 716
- 717
- 718
- 719
- 720
- 721
- 722
- 723
- 724
- 725
- 726
- 727
- 728
- 729
- 730
- 731
- 732
- 733
- 734
- 735
- 736
- 737
- 738
- 739
- 740
- 741
- 742
- 743
- 744
- 745
- 746
- 747
- 748
- 749
- 750
- 751
- 752
- 753
- 754
- 755
- 756
- 757
- 758
- 759
- 760
- 761
- 762
- 763
- 764
- 765
- 766
- 767
- 768
- 769
- 770
- 771
- 772
- 773
- 774
- 775
- 776
- 777
- 778
- 779
- 780
- 781
- 782
- 783
- 784
- 785
- 786
- 787
- 788
- 789
- 790
- 791
- 792
- 793
- 794
- 1 - 50
- 51 - 100
- 101 - 150
- 151 - 200
- 201 - 250
- 251 - 300
- 301 - 350
- 351 - 400
- 401 - 450
- 451 - 500
- 501 - 550
- 551 - 600
- 601 - 650
- 651 - 700
- 701 - 750
- 751 - 794
Pages: